Twenty-Fifth Songเขาไม่ชอบกลิ่นของโรงพยาบาลและไม่เคยคิดจะชอบ หลายๆ ครั้งที่ต้องมาอย่างช่วยไม่ได้ก็ทำได้แค่ปลอบใจตัวเองว่ามาเดี๋ยวเดียวแล้วก็ไป กลิ่นแอลกอฮอล์ฉุนจมูกพวกนั้นคงติดตัวเขาออกไปได้ไม่เท่าไหร่หรอก ยังไงเสียโรงพยาบาลก็ไม่ใช่ที่ๆ ควรเอาตัวเองเข้าไปอยู่นานๆ อยู่แล้ว ความคิดแบบนั้น ต่อให้ผ่านมาหลายสิบปีแล้วก็ไม่เคยเปลี่ยนไป
มันไม่เคยเปลี่ยนตั้งแต่ตอนนั้นจนกระทั่งตอนนี้
“ไปพักก่อนไหมครับคุณปราณ เดี๋ยวถ้ามีอะไรผมจะโทรบอก”
คนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ห่างออกไปไม่มากเสนอตัวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังแล้วเหนื่อยล้ายิ่งกว่าเขา แต่ถึงอย่างนั้น เจ้าตัวก็ยังคงแสดงสีหน้ามุ่งมั่นเต็มใจรับผิดชอบให้เห็น
มันก็สมควรเต็มใจอยู่หรอก ที่ยังได้นั่งคุยกับเขาอยู่ตรงนี้โดยไม่โดนเขาซัดใส่สักหมัดก็บุญแค่ไหนแล้ว
อุตส่าห์เคลียร์ตารางงานของมันเพื่อให้มาช่วยดูแลเจ้าแมวน้อยของเขาแท้ๆ ที่ไหนได้กลับเป็นพวกไร้น้ำยากว่าที่คิด เห็นทีว่าเขาคงประเมินความสามารถของเด็กหนุ่มคนนี้มากเกินไปจริงๆ
นัยน์ตาคมเหลือบมองป้ายสีขาวที่ถูกแต่งแต้มด้วยตัวอักษรสีแดงเป็นคำว่า ‘แผนกอุบัติเหตุและฉุกเฉิน’ เป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ สิ่งเดียวที่เขารู้คือเขาต้องการให้คนที่อยู่ข้างในนั้นปลอดภัย
ได้โปรดเถอะดิม อย่าจากกันไปแบบนี้
ด้วยอารมณ์ที่ยังไม่คงที่นัก ชายสูงวัยเลือกที่จะปรายตามองคนถามเงียบๆ ก่อนจะหย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้ที่อยู่ห่างออกไปไม่มากนัก
เขาว่าเขาแสดงออกชัดพอแล้วว่าคำตอบคืออะไร
เคราะห์ยังดีที่เด็กหนุ่มคนนี้หัวไวพอที่จะไม่ซักไซ้ไล่เรียงให้เขาอารมณ์เสียขึ้นกว่าเก่า เจ้าตัวเลือกที่จะปิดปากแล้วนั่งเงียบๆ อย่างคนรู้งาน ผิดกับอีกคน...
“เอ่อ...”
เสียงทุ้มต่ำของคนที่นั่งอยู่บริเวณเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามเรียกความสนใจของเขาและคนที่นั่งบนเก้าอี้ห่างออกไปสองตัวได้ดี
ถ้าจำไม่ผิด คนที่พูดขึ้นมาเหมือนจะชื่อทีน
ดวงตาของคนมากประสบการณ์ปราดสายตามองคนพูดเพียงแว็บเดียวก่อนจะเฉมองไปทางอื่น
ไม่ผิดจากที่ดิมเคยเล่าเอาไว้เลย
เด็กหนุ่มเคยเล่าเรื่องของชายคนนี้ให้เขาฟังในเช้าวันหนึ่ง ถ้าจำไม่ผิดก็คงเป็นวันที่เขาต้องให้คนไปเอารถของเจ้าตัวกลับมาจากร้านอาหารริมแม่น้ำเจ้าพระยา ในวันนั้นเขาจำอะไรได้ไม่มากนักเพราะมัวแต่ยุ่งอยู่กับคนช่างพูดจนไม่ทันจับใจความอะไรให้ดี แต่เท่าที่จำได้ก็น่าจะมีหลักๆ อยู่ไม่กี่คำ
‘เขาเป็นคนดี พลังบวกล้นเหลือ ที่สำคัญ เขาเป็นคนที่ผมไว้ใจที่สุดเลยครับ’ชายสูงวัยเหลือบมองเด็กหนุ่มที่อยู่ห่างออกไปอีกครั้ง
ก็สดใสสมคำเล่าของเจ้าแมวน้อย แม้จะอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก แต่เขากลับสัมผัสถึงความหวังในดวงตาของชายคนนี้ได้มากกว่าใครทั้งหมด แต่มีบางอย่างแปลกๆ
เขารู้สึกถึงบรรยากาศหม่นหมองบางอย่างที่รายล้อมอยู่รอบๆ ตัวของคนๆ นี้
ทำไมกันนะ
“ผมจะไปซื้อข้าว มีใครจะฝากซื้ออะไรไหมครับ”
ไม่มีใครพูดอะไรออกไปในทีแรก จนคนถามต้องเอ่ยปากซ้ำ
“ผมจะไปเซเว่น มีใครจะฝากซื้ออะไรมะ...”
“กูไปด้วย”
เสียงพูดแทรกของเด็กหนุ่มอีกคนทำให้บรรยากาศรอบด้านกระอักกระอ่วนขึ้นอย่างฉับพลัน ทีนหันมามองหน้าเขาเหมือนตั้งใจจะขอให้เขาพูดอะไรสักอย่าง
แต่มีหรือที่เขาจะสนใจ
“คุณเอาอะไรไหมครับ”
หลังจากรวบรวมความกล้าอยู่พักใหญ่ เด็กหนุ่มที่เขาเพิ่งได้เจอก็ถามขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ดูเหมือนจะเจาะจงถามเขาโดยเฉพาะเสียด้วย ท่าทางจะไม่อยากไปกับเดลจริงๆ ....
...แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องของเขาเสียหน่อย...
“ไม่ล่ะ ขอบคุณ”
คำปฏิเสธของเขาทำให้เดลได้โอกาสเดินไปกระตุกแขนให้เพื่อนของตนเดินตามไปอย่างรวดเร็ว เห็นทีว่าคงมีอะไรที่เขาไม่รู้ แต่ไม่ควรจะรู้
เอาเถอะ ตราบใดที่มันยังไม่เกี่ยวกับดิม เขาไม่ใส่ใจนักหรอก
เมื่อถูกทิ้งให้อยู่เพียงลำพังกับแสงไฟสลัวและกลิ่นยาฉุนจมูกที่เกลียดแสนเกลียด ใบหน้าคมเข้มก็ค่อยๆ ปรากฏความเหนื่อยล้าออกมาช้าๆ
ตลอดระยะเวลาสองสามวันมานี้เขาแทบไม่ได้พัก โชคดีที่ได้หลับบนเครื่องบินนิดหน่อย ตอนนี้ก็เลยพอทรงตัวอยู่ได้บ้าง เรื่องหลายอย่างที่ถาโถมเข้ามาใส่ราวกับจะทดสอบความแข็งแรงของตัวเขา...ของพวกเขา ว่าจะผ่านเรื่องราวเลวร้ายนี้ไปได้หรือไม่
ถ้าให้พูดกันตามจริง เรื่องราวฝั่งธุรกิจของเขาก็ยังไม่เรียบร้อยนัก เลยจำเป็นที่จะต้องทิ้งเลขาคนสนิทให้จัดการเรื่องต่างๆ แล้วปลีกตัวออกมาเพียงลำพัง แม้จะได้รับการทัดทานว่าการเดินทางไปไหนมาไหนคนเดียวนั้นอันตราย แต่เขาก็ไม่อยากรอให้อะไรมันช้าไปกว่านี้อีกแล้ว
กลัวว่าทุกอย่างมันจะสายเกินไป
วินาทีแรกที่ได้รับโทรศัพท์จากเดลแจ้งว่าดิมถูกยิงและแขนหัก เลือดในร่างก็พลันเดือดพล่าน ตัวเขาเปลี่ยนจากคนสุขุมเป็นปีศาจภายในไม่กี่อึดใจ ในตอนนั้นเขารู้สึกว่าเขาพร้อมทำลายทุกอย่าง พร้อมฆ่าทุกคนที่บังอาจมาแตะต้องคนที่เขารัก ไม่เว้นแม้แต่กระทั่งคนที่อยู่ปลายสาย
มันทำให้ดิมเจ็บ พวกมันทำให้ดิมเจ็บ มันต้องตายเพื่อชดใช้
ในตอนนั้น หัวสมองของเขามีเสียงสะท้อนแห่งความเคียดแค้นดังก้องไปมาเสียจนเขาแทบสูญเสียการควบคุมตัวเอง
แต่เหมือนพระเจ้าจะยังเมตตาเขาอยู่หน่อย
เมื่อปลายสายแจ้งว่า คนที่ทำร้ายร่างกายดิมไม่มีชีวิตอยู่แล้ว ประกอบกับคนเจ็บไม่ได้มีอาการน่าเป็นห่วง ปีศาจร้ายในตัวจึงสงบลงได้บ้าง
...บ้าง...
ใช่ แค่เล็กน้อยเท่านั้น
“ญาติคุณดนัย ติดต่อที่เคาน์เตอร์ห้องฉุกเฉินด้วยค่ะ”
ร่างสูงใหญ่ลุกขึ้นจากเก้าอี้ด้วยท่าทางมั่นคง เก็บซ่อนความอ่อนล้าเอาไว้ไม่ให้ใครได้เห็น เขาเดินไปจัดการทุกอย่างตามขั้นตอนของโรงพยาบาล ไม่นานหลังจากนั้น ประตูห้องฉุกเฉินก็เปิดออกพร้อมกับร่างของคนคุ้นเคยที่ห่างหายกันไปเพียงไม่กี่วัน
แค่ไม่กี่วัน ทำไมถึงเป็นแบบนี้
แค่ไม่กี่วันที่ปล่อยมือคู่นี้ไป ทำไมถึง...
ลมหายใจหนักๆ ถูกพ่นออกจากจมูกเพื่อระบายอารมณ์ของปีศาจร้ายในตัวให้เย็นลง
โชคดีที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งนี้ไม่ได้พลุกพล่านมากนัก ประกอบกับเด็กหนุ่มไม่ได้มีอาการหนักจนต้องอยู่ใกล้ชิดพยาบาลตลอดเวลา คนป่วยจึงมีได้รับอนุญาตให้อยู่ห้องพิเศษได้ตั้งแต่ออกจากห้องฉุกเฉิน
ชายสูงวัยเดินตามบุรุษพยาบาลไปเงียบๆ
ไม่มีคำถาม ไม่มีการชวนคุยอะไรทั้งนั้น เขาแค่ต้องการความสงบเพื่อกำราบความพลุ่งพล่านในตัว
เขาจำเรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นได้ไม่แม่นยำนัก รู้แต่เพียงว่าขั้นตอนในการดูแลผู้ป่วยนั้นมากมายเหลือเกิน กว่าจะเซ็ตอุปกรณ์ จัดทุกอย่างให้เข้าที่เข้าทางได้ก็กินเวลาไปอีกพักใหญ่กว่าที่ห้องจะกลับมาเงียบสงบ
กว่าจะได้อยู่กันตามลำพัง...
-ครืด ครืด-
อุปกรณ์สื่อสารในกระเป๋ากางเกงของเขาสั่นครืน ทีแรกที่รับรู้ได้ก็ตั้งใจไว้ว่าจะรับ แต่เมื่อเห็นชื่อคนโทร เขาก็เลือกที่จะปล่อยโยนมันลงบนโซฟาในห้องพักผู้ป่วยแทน
ให้สองคนนั้นรอสักหน่อยก็คงไม่เป็นไร
รองเท้าหนังดังกระทบกับพื้นกระเบื้องในทุกก้าวที่เดิน แต่คนเดินก็ระมัดระวังที่สุดแล้วที่จะไม่ให้เสียงนั้นดังจนไปรบกวนการนอนของคนบนเตียง
แขนขวาที่หักได้รับการใส่เฝือกอย่างดี บริเวณหัวไหล่ข้างที่โดนยิงก็ดูเหมือนว่าจะได้รับการผ่าตัดเอาหัวกระสุนออกเรียบร้อยแล้ว ดูเผินๆ แล้วก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง...
ไม่จริง ไม่จริงเลยสักนิด
ปกติดิมเป็นคนมีฝีมือพอตัว อาจจะไม่ได้เก่งมากแต่ก็ไม่น่าจะสะบักสะบอมขนาดนี้ ที่บาดเจ็บสาหัสได้ขนาดนี้ก็คงเพราะมีอะไรบางอย่างมารบกวนจิตใจด้วยแน่
ขออย่าให้ไอ้เศษเดนนั่นพูดอะไรที่ทำร้ายจิตใจของคนๆ นี้เลย แค่นี้...แค่ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ ดิมก็บาดเจ็บเกินพอแล้ว
-ครืด ครืด-
เสียงจากโทรศัพท์ที่ดูเหมือนไม่มีทีท่าว่าจะหยุดทำให้เขาจำใจต้องผละออกจากข้างเตียงเพื่อไปจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย
ร่างสูงเหลือบมองคนที่นอนพักผ่อนอยู่กลางห้องก่อนจะตัดสินใจเปิดประตูเดินออกไปด้านนอกบริเวณห้องพัก
เขาไม่อยากรบกวนคนป่วย แม้แต่นิดเดียวก็ไม่อยาก
เรียวขายาวก้าวออกจากห้องพักแล้วเดินไปจนถึงบริเวณสวนใจกลางตึกที่พอจะใช้เสียงได้บ้างจึงได้กดปุ่มรับสาย
“ว่าไง”
เขากรอกเสียงทักทายปลายสายด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ผิดกับอีกฝ่ายอย่างสิ้นเชิง
“คุณปราณ คุณหายไปไหนมา ผมตกใจแทบใจ แล้วนี่ดิม...”
“ตึกสี่ ขั้นหก ห้องสี่ศูนย์หกห้า”
เขาพูดตอบไปเพียงเท่านั้นก่อนจะวางสายไป บอกตามตรงว่าเขายังไม่อยากเห็นหน้าหรือเสวนากับเด็กสองคนนั้นเท่าไหร่
กลัวตัวเองจะเผลอลั่นไกไปไม่รู้ตัว
ร่างกำยำระบายลมหายใจหนักๆ ก่อนจะเดินไปนั่งบนเก้าอี้ไม้ในสวน
หัวใจของเขาว้าวุ่นอย่างบอกไม่ถูก
ไม่หรอก มันก็ไม่เชิงว่าจะไม่รู้สาเหตุเสียทีเดียว สาเหตุที่ทำให้เขาต้องมานั่งวิตกกังวลอยู่ตอนนี้มันก็แน่ชัดอยู่แล้วว่าเพราะอะไร
มันชัดอยู่แล้วว่าเขากลัว...เขากลัวการสูญเสีย
ตลอดชีวิตที่ผ่านมา เขาเผชิญหน้ากับความสูญเสียมามากมายหลายรูปแบบ ทั้งครอบครัว เพื่อน ลูกน้องหรือแม้กระทั่งสัตว์เลี้ยง เขาล้วนผ่านมันมาหมดแล้วทั้งนั้น เหลืออยู่เพียงอย่างเดียวที่ไม่เคย
เขาไม่เคยสูญเสียคนรัก
เพราะชีวิตที่แขวนอยู่บนเส้นด้ายทำให้ไม่เคยรักใครจริงจัง เพราะแบบนั้น...
เสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ดังขึ้นพร้อมกับดวงตาที่หลับลง
แค่คิดว่าเจ้าแมวน้อยของเขาจะหายไปจากอ้อมอกของเขาตลอดกาลก็แทบทนไม่ได้แล้ว แม้เวลาของชีวิตเขาจะเหลือน้อย แต่ถ้าหากต้องอยู่โดยปราศจากอีกคนจนถึงวันสุดท้ายของชีวิต...เขาจะอยู่ได้ยังไงกัน จะใช้ชีวิตโดยไม่มีเด็กคนนั้นให้กอดอีกแล้วได้ยังไงกัน
...คิดไม่ออกเลย...
ภาพของคนที่นอนเจ็บอยู่บนเตียงฉายวาบขึ้นมาในความทรงจำจนทำให้มือใหญ่เผลอกำเข้าหากันแน่นโดยไม่รู้ตัว
ความรู้สึกผิดกำลังกัดกินจิตใจของเขาจนเหวอะหวะ ในตอนนี้เขาต้องการแค่จะหาใครสักคนมาเป็นแพะแบกรับความรู้สึกผิดนี้เอาไว้ แม้จะรู้ว่าตัวเองกำลังทำตัวเป็นเด็ก แต่ก็ไม่อาจสลัดความคิดนั้นออกไปได้
พวกมันทุกคนนั่นแหละที่ผิด เดลผิดที่ดูแลดิมไม่ดีพอ ทีนก็ผิดที่ดูแลดิมไม่ดีพอ ไอ้ชาติชั่ววิทย์ก็เลวระยำที่มาทำร้ายดิมของเขา ที่เลวกว่านั้นคือไอ้ดลนธีและเมียของมันที่ทำให้เรื่องราวยุ่งเหยิงจนบาปกรรมต้องมาตกที่ดิม ไหนจะพี่สาวเจ้าปัญหาที่ตายอย่างไร้ประโยชน์นั่นอีก
พวกมันผิดกันทั้งหมด พวกมันทั้งนั้นที่ทำให้ดิมเป็นแบบนี้ พวกมันนั่นแหละ พวกมัน...
จู่ๆ ปลายจมูกของเขาก็เห่อร้อนขึ้นอย่างไม่มีที่มาที่ไป...ร้อนกว่าทุกครั้งในรอบหลายสิบปีที่ผ่านมา
หรือบางทีอาจจะเป็นเขาเองที่ผิดที่สุด
ขอแค่เพียงเขาไม่ปล่อยมือจาก ‘หัวใจ’ ในวันนั้น ขอแค่เพียงเขาจับมือคู่นั้นให้แน่นกว่านี้ ขอแค่เพียงเขากอดอีกคนให้แน่นกว่านี้
ขอแค่เพียงเขาทำให้ตัวเองน่าเชื่อถือและทำให้ดิมพึ่งพิงเขาให้มากกว่านี้ เรื่องทุกอย่างคงจบตั้งแต่แรก เขาและดิมคงช่วยกันไขปริศนาเรื่องดาและจบทุกอย่างอย่างรวดเร็ว
ขอแค่เพียงพวกเขาเชื่อใจกันให้มากกว่านี้ เรื่องแบบนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น
ทั้งที่อยากปกป้อง อยากโอบกอด อยากบอกว่าทุกอย่างจะไม่เป็นไร แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ทำอะไรไม่ได้สักอย่าง
สุดท้ายก็ทำได้เพียงแค่มองอีกคนโดนทำร้ายและต่อสู้อยู่เพียงลำพัง
ถ้าหากวันนึงดิมหมดแรงจะลุกแล้วเลือกที่จะจากไปล่ะ...
...ไม่ไหว แค่คิดว่าจะสูญเสียอีกคนไป จิตใจเขาก็เจ็บช้ำจนรับไม่ไหวแล้ว...
เสียงจ้อกแจ้กจอแจบริเวณสวนไม่ได้ทำให้คนสูงวัยหลุดออกจากห้วงความคิดของตัวเองได้เลยแม้แต่วินาทีเดียว ในหัวของเขามีภาพของ ‘หัวใจ’ ฉายซ้ำไปซ้ำมา วนไปวนมาพร้อมกับคำถามมากมายในหัว ดังก้องไปมาอยู่อย่างนั้น
มันสะท้อนอยู่อย่างนั้น พร้อมกับหลุมในหัวใจที่แผ่กว้างขึ้นทุกขณะ
ถ้าใครมาเห็นเขาตอนนี้คงอดหัวเราะเยาะไม่ได้แน่ ใครจะคิดว่าปราณ บุญสรนพ ผู้สุขุมและเฉียบขาดกำลังเพลี่ยงพล้ำเพียงและเผยจุดอ่อนเพียงเพราะเรื่องแค่นี้ ทั้งที่ยิงลูกน้องที่ทำงานด้วยกันมานานได้อย่างหน้าตาเฉย แต่พอเป็นเรื่องดิม เขากลับกลายเป็นแค่ไอ้งั่งคนนึงเท่านั้น
แม้จะไม่อยากยอมรับ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาอ่อนแออย่างถึงที่สุด ร่างกายของเขาอ่อนล้า จิตใจเป็นแผลเหวอะหวะยากจะเยียวยา ตัวเขาเองบาดเจ็บไม่ต่างจากคนที่นอนรักษาตัวอยู่ในห้อง
พวกเขาบาดเจ็บ...ทั้งคู่...
ร่างสูงปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับตัวเองอยู่อย่างนั้นพักใหญ่
ปล่อยให้สายลมแผ่วๆ พัดผ่านร่างไปครั้งแล้วครั้งเล่า หวังเพียงแค่ให้สายลมเย็นนี้ช่วยเยียวยาเขาให้กลับมาพร้อมรับมือปัญหาต่างๆ ได้อีกครั้ง
ใช่ เขาควรจะเข้มแข็งกว่านี้
ในวันที่อีกคนกำลังอ่อนแอถึงขีดสุด เขาก็ควรที่จะมั่นคงและแข็งแรงเพื่อที่จะสามารถประคองอีกคนเอาไว้ในอ้อมกอดแล้วพากันผ่านเรื่องราวเลวร้ายนี้ไปได้
ลมหายใจเฮือกใหญ่ถูกสูดลึกเข้าไปในปอดเพื่อสร้างกำลังใจให้กับเจ้าของร่าง
จำได้ว่าเมื่อครู่พยาบาลบอกว่าอีกครึ่งชั่วโมง หมอที่รับผิดชอบเคสของเด็กหนุ่มจะเข้ามาพบเพื่อแจ้งอาการของผู้ป่วย ซึ่งอาจจะรวมไปถึงค่าใช้จ่ายคร่าวๆ
เห็นทีว่าเขาควรจะต้องกลับไปเสียที
หวังด้วยว่าเขาจะไม่เผลอเหนี่ยวไกใส่เด็กสองคนนั้นด้วย
แม้จะไม่ชอบกลิ่นของโรงพยาล แต่ก็อดยอมรับไม่ได้ว่าห้องทำงานของแพทย์ที่เขานั่งอยู่นี้ค่อนข้างกำจัดกลิ่นฉุนแสบจมูกของโรงพยาบาลไปได้มากโข
ห้องทำงานทรงสี่เหลี่ยมขนาดไม่กว้างนักมีกลิ่นหอมของดอกไม้บางอย่างลอยคละคลุ้งไปทั่วทั้งห้อง ถ้าให้เดาก็คงมีต้นกำเนิดมาจากอุปกรณ์ที่เสียบเข้ากับปลั๊กไฟที่อยู่ตรงมุมห้อง
กลิ่นหอมหนักๆ เย็นๆ คล้ายกล้วยหอมปนกับดอกไม้ก่อให้เกิดกลิ่นแปลกๆ ที่น่าหลงใหล แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่มากพอที่จะดึงความสนใจของเขาออกจากคนที่นั่งอยู่ตรงข้าม
“หมอ...ว่ายังไงนะครับ”
ดวงตาของคนตรงข้ามเปล่งประกายสดใสก่อนจะฉีกยิ้มกว้าง
“คุณดนัยตั้งครรภ์ได้ประมาณสามสัปดาห์แล้วครับ แต่ยังไงหลังจากนี้ก็ต้องซักประวัติอีกทีเพื่อให้ได้ระยะเวลาที่แน่นอน จะได้ดูแลได้ถูกต้องนะครับ”
จริงเหรอ เขาไม่ได้กำลังฝันไปใช่ไหม
“จากการตรวจร่างกายพบว่าคุณดนัยมีการผ่าตัดปลูกมดลูกและรังไข่ใช่ไหมครับ เท่าที่หมอเช็ค ไม่มีอะไรน่ากังวลนะครับ อาการบาดเจ็บไม่ได้ส่งผลต่อทารก เด็กยังสมบูรณ์ดีครับ”
น้ำเสียงสดใสนั้นยังคงพูดเจื้อยแจ้วต่ออย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด แต่น่าแปลกที่เขาไม่ได้รู้สึกรำคาญหรืออยากให้อีกฝ่ายหยุดพูดเลย
พูดออกมา พูดเรื่องของเด็กคนนั้นออกมาอีก
“อย่างไรก็ตาม หมอแนะนำให้คนไข้กลับไปฝากครรภ์ที่โรงพยาบาลที่คนไข้ทำการผ่าตัดปลูกมดลูกนะครับ เพราะว่าจะมีประวัติที่ละเอียดกว่าและสามารถดูแลได้เฉพาะเจาะจงกว่าครับ”
“หมอหมายความว่า...คือ...”
เขาระบายลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่อย่างไม่รู้จะพูดอะไรดี
เรื่องนี้มันเร็วเกินไปจนเขาตั้งตัวไม่ทัน หรือจะพูดให้ถูกคือเขาแทบจะลืมเรื่องนี้ไปแล้วด้วยซ้ำ
หลังจากเหตุการณ์ต่างๆ ประดังประเดเข้ามามากมายไม่จบไม่สิ้น เขาก็ลืมเรื่องการสร้างครอบครัวไปเสียสนิท สิ่งที่คิดในช่วงนี้มีเพียงเรื่องธุรกิจและการแก้ปัญหาต่างๆ เท่านั้น ไม่อยากเชื่อเลยว่ามันจะเกิดขึ้นเร็วขนาดนี้
ไม่อยากเชื่อเลยว่าในความโชคร้ายอย่างถึงที่สุด จะมีความโชคดีแบบนี้ซ่อนอยู่ด้วย
“ครับ หมอก็หมายความตามที่บอกไป คุณดนัยตั้งครรภ์ สุขภาพแข็งแรงดี ไม่มีอะไรน่าห่วง คุณพ่ออย่าเป็นกังวลไปเลยครับ”
คุณพ่อ...แค่คำๆ เดียว ไม่รู้ทำไมหัวใจเขาถึงอุ่นวาบขึ้นอย่างน่าประหลาด
พ่อ...จะเป็นพ่อคนแล้วเหรอ...
เดี๋ยวสิ
“หมอรู้ได้ยังไงครับว่าผมเป็นพ่อเด็ก”
มันไม่แปลกไปหน่อยเหรอที่อีกฝ่ายจะรู้ว่าเขาคือพ่อของเด็กทั้งที่อายุของเขากับดิมก็ห่างกันถึงขนาดนี้
นัยน์ตาคมหรี่ลงอย่างหวาดระแวง
หรือจะเป็นพวกศัตรู...
“ก็ดูจากปฏิกริยายังไงล่ะครับ”
แต่เหมือนว่าวันนี้อะไรต่อมิอะไรก็ดูจะผิดคาดไปเสียหมด เพราะแทนที่คนถูกถามจะทำท่าทีเลิ่กลั่กลุกลนเหมือนอย่างที่เขาคาดการณ์ หมอหนุ่มกลับทำเพียงยิ้มกว้างแล้วตอบกลับด้วยท่าทีร่าเริงเหมือนอย่างเคย แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่คลายกังวล
“ยังไงเหรอครับ”
เขาพยายามไล่ต้อนเพื่อดูว่าคนๆ นี้ไม่ใช่คนประสงค์ร้าย
...และดูเหมือนเขาจะโชคดี...
นัยน์ตาสีดำสนิทของคนถูกถามเปล่งประกายสดใสกว่าครั้งไหน แต่ไม่รู้ทำไมเขาถึงรู้สึกว่ามันมีแววหม่นหมองบางอย่างซ่อนอยู่
เป็นแววตาที่ดูแปลกประหลาดจนเขาเองก็ไม่เข้าใจ
“เพราะหมอเห็นความรักในดวงตาของคุณมั้งครับ”
คนตรงข้ามเขาตอบด้วยรอยยิ้มกว้างก่อนจะก้มหน้าเปิดแฟ้มนู้น แฟ้มนี้ไปมาไม่หยุด
“เวลาคนเรารักใครนะครับ มันจะออกทางตากันทั้งนั้นล่ะครับ”
เขาไม่ได้พูดตอบอะไรไปหลังจากนั้น และดูเหมือนคนพูดก็ไม่ได้คิดจะเสริมอะไรขึ้นมาอีก ก็เลยกลายเป็นว่าพวกเขาสองคนนั่งอยู่ด้วยกันเงียบๆ ท่ามกลางเสียงปากกาลากไปมาบนแผ่นกระดาษและกลิ่นหอมแปลกๆ ที่คละคลุ้งไปทั่วห้อง
แปลก แต่ช่างเถอะ นั่นไม่ใช่เรื่องของเขาเลย สิ่งสำคัญตอนนี้คืออีกคนที่กำลังนอนพักอยู่ในห้องผู้ป่วยต่างหาก
พ่อ...เขากำลังจะเป็นพ่อคนแล้วจริงๆ เหรอ ความรู้สึกนี้เรียกว่าความดีใจใช่หรือเปล่า หัวใจของเขาเต้นแรง มือไม้สั่นอย่างไม่อาจควบคุม ควบคุมไม่ได้เลย
แม้กระทั่งรอยยิ้มบนใบหน้าก็ควบคุมไม่ได้เลย
“เท่าที่ดูจากรายงานตอนนี้ ไม่มีอะไรน่าห่วงแล้วล่ะครับ หลังจากนี้อีกประมาณ...”
คนพูดเงยหน้ามองนาฬิกาที่ฝาผนังเล็กน้อย
“อีกประมาณห้าชั่วโมงคนไข้ก็น่าจะฟื้นนะครับ หลังจากนี้ก็รอดูอาการอีกสักสามสี่วัน ถ้าแผลไม่ติดเชื้อ ไม่มีอะไรน่าห่วง ก็กลับบ้านได้ครับ”
เจ้าของคำอธิบายก้มหน้าลงเซ็นต์เอกสารตรงหน้าต่ออีกเล็กน้อยก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาคลี่ยิ้มให้
“เดี๋ยวยังไงหมอจะจัดการเรื่องการบำรุงครรภ์ไปให้ด้วยเลย ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ”
ชายหนุ่มฉีกยิ้มให้เขาอีกครั้งก่อนจะเรียกพยาบาลให้เข้ามาจัดการเรื่องเอกสาร คนสองคนนั้นคุยกันด้วยศัพท์วิชาการบางอย่างที่เขาไม่เข้าใจ แต่เขาก็อดทนรอจนพยาบาลคนนั้นเดินจากไปแล้วจึงค่อยบอกลา
หมอหนุ่มคนนั้นรับไหว้เขาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสเช่นเดียวกับครั้งแรกที่เจอหน้ากัน
“ยินดีด้วยนะครับว่าที่คุณพ่อ”
“ขอบคุณครับ”
ไม่รู้ทำไม จิตใจของเขาถึงได้รู้สึกฟูฟ่องกับคำนี้เหลือเกิน
พ่อ..ว่าที่คุณพ่อ...
...ครอบครัว...
ดี...ดีจริงๆ
เขาจะไม่มีวันลืมเหตุการณ์ในวันนี้ได้เลย
นั่นสิ...
“หมอครับ”
เขาเกือบจะเดินออกจากห้องไปอยู่แล้ว แต่จู่ๆ ก็พลันนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
“กลิ่นน้ำยาปรับอากาศนี้กลิ่นอะไรเหรอครับ”
เพราะอยากจะเก็บทุกอย่างเอาไว้เป็นความทรงจำ เขาจึงอยากเก็บทุกรายละเอียดของเหตุการณ์ในวันนี้เอาไว้ เผื่อว่าเด็กคนนั้นลืมตาดูโลกแล้ว เขาจะได้เก็บเอาไปเล่าให้ฟัง
พ่อเล่าเรื่องราวตอนลูกอยู่ในท้องให้เจ้าลูกแมวฟัง โดยมีแม่แมวนอนอิงอยู่ข้างๆ...
...คงสุขน่าดู...
“ชอบเหรอครับ”
ในขณะที่เขากำลังตกอยู่ในภวังค์แห่งความสุข น้ำเสียงแปลกๆ ของคนถามก็พลันฉุดเขาขึ้นมาจากห้วงความคิดแสนสุข
ทำไมจู่ๆ น้ำเสียงนั้นถึงฟังดูหม่นหมองพิกล ทั้งที่คนพูดก็กำลังยิ้มอยู่แท้ๆ
ไม่สิ...คนตรงหน้าเขาไม่ได้กำลังยิ้ม ริมฝีปากคลี่กว้างก็จริง แต่ในดวงตานั้นราวกับจะร้องไห้อยู่รอมร่อ
แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น เขาก็เลือกที่จะไม่สนใจแล้วปล่อยให้มันผ่านไป
“ครับ ผมชอบ เผื่อจะได้หาซื้อไปใช้บ้าง"
อีกคนฉีกยิ้ม แต่ไม่สดใสเหมือนอย่างเก่า
“กลิ่นการเวกน่ะครับ”
เสียงเอ่ยตอบนั้นแผ่วเบากว่าทุกประโยคที่ผ่านมา
“เป็นกลิ่นที่ผมผสมเอง ไม่มีขายหรอกครับ”
หากเป็นในยามปกติ เขาคงถามไปแล้วว่าจะให้อีกฝ่ายช่วยผสมแล้วส่งขายให้เขาได้ไหม แต่สถานการณ์แบบนี้...บรรยากาศแบบนี้ มันมีบางอย่างที่กำลังบอกเขาว่าให้เงียบไว้
“อ๋อ เหรอครับ ขอบคุณคะ...”
“ความรักมันเป็นอะไรที่ยุ่งยากนะครับ”
ไม่มีใครพูดอะไรอยู่อึดใจนึง จนกระทั่งอีกฝ่ายเป็นคนพูดขึ้นมาก่อน
“ความรักที่คุณรักเขาและเขารักคุณตอบ พร้อมที่จะเดินเคียงข้างกัน พร้อมจะเข้าใจซึ่งกันและกัน ความรักแบบนั้น...”
รอยยิ้มที่ส่งมานั้นเศร้าหมอง
“รักษาไว้ให้ดีนะครับ”
เขาไม่ได้พูดอะไรออกไป ไม่มีอะไรนอกจาก...
“ขอบคุณครับ”
แล้วเขาก็เดินจากมาโดยทิ้งกลิ่นหอมคละคลุ้งและรอยยิ้มหมองๆ นั้นไว้เบื้องหลัง แต่คำๆ นั้นที่อีกฝ่ายพูดทิ้งท้ายไว้กลับติดอยู่ในใจอย่างไม่มีสาเหตุ
‘รักษาไว้ให้ดีนะครับ’เพิ่งจะมารู้ตัวว่าตัวเองโชคดีแค่ไหนก็ตอนนี้เอง
ช้าเหลือเกินนะปราณ
***********************************************************************
ตอนหน้าจะเป็นตอนสุดท้ายแล้วค่ะ แล้วก็มีบทส่งท้ายสั้นๆ อีกนิดหน่อย หลังจากนี้ก็จะจบจริงๆ แล้ว เย้!
ปล.คุณหมอคนนี้เป็นตัวละครรับเชิญจากอีกเรื่องนึงค่ะ(แว่วเสียงการเวก) คนที่อ่านมาแล้วพอเดาได้ไหมเอ่ยว่าเป็นหมอคนไหน >w<
ปล2. ฉากคุณหมอเป็นฉากเซอร์วิสค่ะ พูดกันตรงๆ 5555555 ถ้าเกิดมีการรวมเล่ม อาจจะมีการปรับเปลี่ยนฉากนี้เพื่อให้เนื้อเรื่องสมูธขึ้นนะคะ
***********************************************************************
พูดคุยกันได้ที่ #ปราณดิม หรือ #หลงลุง ใน twitter นะคะ