Fifth Songเขาไม่ชอบกรุงเทพ
ไม่ชอบอีกเลยหลังจากวันนั้น
-กริ้ง กริ้ง-
เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นทำให้เด็กหนุ่มหลุดออกจากภวังค์ ดวงตากลมเหลือบมองหน้าจอของอุปกรณ์เล็กจิ๋วที่อยู่ไม่ไกล
พอเห็นชื่อที่ขึ้นโชว์ หัวใจก็อึดอัดไปหมด
อยากหนี อยากหนีไปให้ไกลๆ
ทำได้ทีไหนกัน
มือบางกดปุ่มสมอลทอร์คที่หูเบาๆ
“สวัสดีครับพ่อ”
[แกไม่ได้ลืมงานของคุณธงชัยใช่ไหม]
เขาลอบถอนหายใจเบาๆ
น่ารำคาญ
“ไม่ลืมครับ ผมกำลังไป อีกสองแยกก็ถึงแล้ว”
[ดี]
เสียงทุ้มต่ำเยือกเย็นจากปลายสายทำให้ตัวเขาสั่นขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ
[อย่าทำให้ฉันผิดหวัง แล้วแกจะได้ทุกอย่างที่สมควรได้]
นั่นหมายความว่า ‘ถ้าทำให้ฉันผิดหวัง แกจะต้องเสียใจ’
มือสั่นเทาสองข้างกำพวงมาลัยแน่นจนน่ากลัวจะหลุดติดมือมา แต่เสียงของเขากลับราบเรียบเหมือนปกติ
“ไม่ต้องห่วงครับ ผมจะดูแลให้เรียบร้อย”
เขาตอบไปแค่นั้น
แล้วปลายสายก็ตัดไป
ความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ในอกนี่คืออะไรกัน มันทั้งอึดอัด ทั้งพลุ่งพล่านจนแยกไม่ออกว่าเป็นความกลัวหรือความโกรธ แต่ที่เขารู้แน่ๆ คือเขาไม่ชอบ เขาเกลียดความรู้สึกนี้
เขาไม่ชอบพ่อ เพราะพ่อทำให้เขามีความรู้สึกแบบนี้
มันอึดอัด มันเจ็บปวด ร้อนผ่าวไปทั้งอก
ไม่ชอบ...ไม่ชอบเลย
-ปี้น -
เสียงบีบแตรสั้นๆ จากรถคันข้างหลังดึงเขากลับสู่โลกแห่งความเป็นจริง ไฟเขียวที่โชว์หราอยู่บนไฟจราจรทำให้เขาต้องรีบเข้าเกียร์แล้วแตะคันเร่ง
การจราจรในกรุงเทพนั้นน่าเบื่อ ไฟแดงใช้เวลาหนึ่งชาติ ไฟเขียวใช้เวลาหนึ่งวิ รถราพวกนี้ก็มาจากไหนกันนักกันหนาก็ไม่รู้ จะขับผ่านสักแยกไปได้ใช้เวลาร่วมสิบยี่สิบนาที ที่ร้ายที่สุดคือเราไม่มีทางรู้เลยว่าวันไหน ช่วงไหน ถนนเส้นไหนจะติดหรือไม่ติด วันดีคืนดีพญาไทก็รถติดทั้งที่ปกติไม่ติด หรือวันดีคืนดีพระรามสี่ก็รถไม่ติดทั้งๆ ที่ปกติก็ติดอยู่ทุกวัน เสียอย่างนั้น
คนจะอยู่ในกรุงเทพให้มีความสุขได้ต้องเป็นคนมีดวง เพราะขืนเป็นคนดวงอับอย่างเขาก็ต้องมาผิดเวล่ำเวลาจนติดแหง็กอยู่บนถนนแบบนี้ล่ะ
โชคดีที่เขาเผื่อเวลามาดี ไม่งั้นคงต้องไปสายแน่
โชคดีที่ตาลุงนั่นทำเวลาดีเกินคาด
ดวงตากลมโตเหลือบมองรถสปอร์ตสีดำคันหรูที่จอดอยู่ด้านหลังผ่านกระจกมองหลังแล้วอมยิ้มบางๆ
ทั้งที่พวกเขาต้องไปงานเดียวกันแท้ๆ แต่กลับต้องขับรถแยกกันมาเพื่อไม่ให้น่าสงสัย
ลูกชายของดลนธี ไวยสมุทร ทายาทของตระกูลไวยสมุทร มางานกับ ปราณ บุญสรนพ เจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์ที่ยังดูเซ็กซี่แม้อายุจะปาเข้าเลขหกไปแล้ว
แค่เด็กอมมือยังรู้เลยว่าจะกลายเป็นข่าวใหญ่ขนาดไหน เพราะแบบนั้นเขาจึงขอแยกกันขับรถมาตั้งแต่ที่ร้าน
ถึงจะแยกกันมา แต่ตาลุงนั่นก็ขี้ห่วงเหลือเกิน ทั้งๆ ที่บอกไปแล้วว่าให้ไปเจอกันในงานเลยก็ได้ ก็ยังยืนยันจะขับรถตามหลังเขาให้ได้ ตัวเขานี่ก็บ้า แค่เพราะอีกฝ่ายพูดออกมาประโยคเดียวก็ยอมเขาเสียแล้ว
‘เป็นห่วง’บ้าชะมัด
เด็กหนุ่มหัวเราะเบาๆ แล้วมองเงาสะท้อนของรถคุ้นตานั่นผ่านกระจกมองข้าง
ภายใต้ฟิล์มสีดำสนิทนั่น ตาลุงนั่นจะทำอะไรอยู่ก็ไม่มีใครรู้ ใบหน้ามีอายุแต่ยังหล่อเหลานั้นอาจจะหันไปหันมาเพื่อเช็คทรงผมเหมือนอย่างที่ชอบทำเวลาที่เขาขับรถแล้วอีกฝ่ายเป็นผู้โดยสาร หรืออาจจะนั่งฟังเพลงเก่าๆ ของ The Beatles ไม่ก็ฮัมเพลง ทรายกับทะเล ที่ตาลุงนั่นชอบนักหนา
ก็คงเป็นอะไรทำนองนั้นล่ะนะ
ว่าแล้วก็ขอแกล้งอีกคนสักหน่อยแล้วกัน
นิ้วเรียวปัดหน้าจอขนาดเล็กตรงคอนโซลหน้ารถอย่างสองสามวิ
“Call คุณปราณ”
สิ้นเสียงพูด สัญญาณรอสายก็ดังขึ้นที่สมอลทอร์คของเขา
เทคโนโลยีสมัยนี้มันรวดเร็วทันใจดีเหมือนกัน
[ว่าไง]
น้ำเสียงทุ้มต่ำที่ฟังดูเหนื่อยล้ากว่าปกติจากปลายสายเผลอทำให้เขานึกถึงเรื่องเมื่อเช้าเสียได้
หื่นกามจริงๆ เลยดนัย
“ไม่มีอะไรครับ แค่จะโทรมาขอบคุณที่อุตส่าห์บีบแตรบอกผม”
[เหม่ออะไรล่ะ บอกกี่ครั้งแล้วว่าเวลาขับรถต้องมีสติ]
“อย่าบ่นสิลุง พอดีพ่อโทรมาน่ะครับ”
ปลายสายเงียบไปเหมือนกำลังชั่งใจว่าควรจะพูดอะไรดี เขาเลยอาสาต่อบทสนทนาเอง
“หลังจากงานคุณธงชัย คุณมีงานที่ไหนต่อรึเปล่า”
[ไม่มีแล้ว]
“เยี่ยม งั้นไปหาอะไรดื่มกันไหม”
เขาได้ยินเสียงถอนหายใจ
[ฉันแก่แล้วนะเหมียวน้อย เมื่อเช้าเสียพลังงานไปเยอะ ขอกลับไปพักได้ไหม]
พอได้ยินเสียงเหนื่อยๆ ของอีกฝ่ายหัวใจมันก็เต้นระส่ำอย่างไม่มีสาเหตุ
เมื่อเช้าก็...เสียพลังงานเยอะจริงๆ ล่ะนะ
“โอเค งั้นกลับไปเปิดไวน์ที่ห้อง”
[ที่บ้าน]
ฮะ?
“บ้าน?”
[ใช่ วันนี้จะพาไปบ้านฉัน]
เด็กหนุ่มนิ่งคิดอย่างชั่งใจ
[ไม่ได้ไปนานแล้วไม่ใช่เหรอ ทุกคนเขาคิดถึงคุณหนูกันหมดแล้ว]
“เพ้อเจ้อน่ะลุง”
ถึงจะตอบออกไปแบบนั้น แต่ไม่รู้ทำไมใบหน้าถึงเห่อร้อนแปลกๆ
แม่บ้านของตาลุงเคยบอกว่า ‘คุณผู้ชาย’ ไม่เคยพาใครเข้าบ้านมาก่อน นอกจากภรรยาที่หย่ากันไป ก็มีแค่ ‘คุณหนู’ คนเดียว
มันเริ่มจากคุณป้าแม่บ้านนั่นล่ะ ทุกคนในบ้านหลังนั้นเลยเรียกเขาว่าคุณหนูกันหมด
...บ้าน...
แล้วหัวใจจะเต้นแรงทำไมกันนะ
[ไปนะ]
“อืม”
สุดท้ายก็จบลงแบบนี้จนได้
เขาไม่ชอบงานเลี้ยง แต่มีคนเคยบอกว่าเขาเกิดมาเพื่อเข้าสังคม
...เกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์ในการสร้างคอนเนคชั่นทางธุรกิจ...
ทันทีที่เข้าเดินเข้าไปในห้องจัดเลี้ยง สายตาทุกคู่ก็ปรายมองมาด้วยความสนอกสนใจ หนึ่งคือพวกที่สงสัยว่าเขาหายไปไหนจึงไม่เข้างานสังคมเสียนาน สองคือพวกที่รู้ว่าเขาเป็นลูกของดลนธี ไวยสมุทร เจ้าของกิจการอาหารแช่แข็งผู้มีชื่อเสียง และสามคือพวกสอดรู้สอดเห็น
“อ้าวดิม ไม่ได้เจอกันนานเชียว เป็นยังไงบ้าง”
เสียงร้องทักของชายหนุ่มคนหนึ่งทำให้เขาต้องหันไปยิ้มให้
ทรงผมเรียบแปล้ ใบหน้ากลม ดวงตาเล็ก ผิวขาวเหลือง ใส่สูทสั่งตัดจากร้านทั่วไป ข้างในใส่เชิ้ตขาวธรรมดาผูกด้วยไทสีแดงที่ทำจากผ้าไหม
คนๆ นี้ต้องเป็นคนที่สนิทกับเขาในระดับหนึ่งจึงได้กล้าเรียกชื่อจริง สำคัญคือมีชื่อเสียงพอตัวและเป็นคนไทยเชื้อสายจีน
คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยมีเพื่อนแบบนี้อยู่...
...อ๋อ...
“สบายดี แล้วยศล่ะ เป็นไงบ้าง”
ใบหน้ากลมนั้นประดับด้วยรอยยิ้มกว้างทำให้เขารู้ว่าเขาพูดชื่อออกไปถูกคน
“ไม่ได้เจอกันนานมาก นึกว่าจะจำกันไม่ได้แล้วนะเนี่ย”
เขาแสร้งหัวเราะขำขันเหมือนไม่ได้ลืม
“ใครจะจำไม่ได้ ยศทั้งคนเลยนะ ตอนมัธยมต้นยังให้เราลอกการบ้านคณิตอยู่เลย”
เขานี่ล่ะที่จำไม่ได้
เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้ลืม อีกฝ่ายจึงมีท่าทีผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อย
“เราแทบไม่ได้เจอเพื่อนเก่าๆ เลยล่ะ แต่ละคนก็แยกย้ายกันไปหมด แถมกิจการช่วงนี้ลำบากเลย เศรษฐกิจไม่ค่อยดีน่ะ ส่งออกได้น้อยกว่าปีที่แล้วเยอะมากจนน่าห่วงเลยล่ะ เราเลยไม่ค่อยได้ออกไปพบใครเท่าไหร่”
“ไม่เป็นไรหรอก ยศซะอย่าง เดี๋ยวก็ประคองกลับมาได้อยู่แล้ว”
เขาหมายความตามที่พูด เท่าที่จำได้ เขาคนๆ นี้เห็นมาตั้งแต่สมัยมัธยมต้น รู้ดีว่าเป็นคนเก่งและซื่อสัตย์ ยังไงก็ต้องกลับมายืนหยัดได้อย่างมั่นคง
“อ้าวดนัย ไม่เจอกันนานเลยนะครับ พักหลังไม่ค่อยออกงานเลยนะ”
แต่คนที่เข้ามาใหม่นี่ตรงข้ามอย่างสิ้นเชิง
ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ หน้าโครงฝรั่ง นัยน์ตาสีดำ ผมสีเข้มเซ็ตทรงเว็ทลุค เสื้อเชิ้ตติดกระดุมไม่ครบทุกเม็ด สูทสีน้ำเงินดูกึ่งผ่อนคลายกึ่งเป็นทางการ
“พอดีที่ร้านยุ่งๆ น่ะครับคุณเอก ผมก็เลยไม่ได้มาร่วมงานสังคมเลย”
“คุณดนัยนี่ดีนะ ทำธุรกิจมีความเสี่ยงน้อย ต่อให้ล้มก็ไม่เจ็บ ว่าแต่เมื่อไหร่จะมารับช่วงต่อที่บริษัทคุณพ่อล่ะครับ”
เสือก
“คงอีกสักพักเลยล่ะครับ ผมเองก็ยังต้องเรียนรู้งานอีกมาก”
“เหรอครับ ผมก็นึกว่าคุณดนัยจะเป็นพวกเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อเสียอีก”
ใบหน้ามีเสน่ห์ฉีกยิ้มบาง
“คุณเอกก็ว่าไปนั่น อย่าเอาคนอื่นไปเทียบกับตัวเองสิครับ”
รอยยิ้มของอีกฝ่ายหุบลง เหลือไว้เพียงแววตาคมกริบดุร้าย
“ปากหมาเหมือนเดิมเลยนะดิม”
“ไม่เท่าคุณเอกหรอกครับ”
ฝ่ามือใหญ่รวบเอวเขาไปอยู่ในอ้อมกอด
“ฉันล่ะอยากขยี้นายลงใต้ร่างจะแย่”
เสียงกระซิบกระเส่าที่ข้างหูทำให้เด็กหนุ่มแสยะยิ้ม
กักขฬะ ไม่เจียมตัว
แต่ถึงอย่างนั้นเด็กหนุ่มก็ยังฉีกยิ้มพลางปรายตามองผ่านแผ่นหลังของคนที่โอบกอดเขาอยู่
นัยน์ตาดำสนิทของอีกคนกำลังมองมาด้วยแววตาไม่พอใจ
นัยน์ตาคมของตาลุงกำลังมองมาด้วยแววตาหงุดหงิดใจ
หึงแหง
...น่าสนุก...
มือเรียวแสร้งดันร่างใหญ่ของอีกคนเบาๆ
“ปล่อยผมนะครับ”
“แรงแค่นี้ คิดว่าจะผลักฉันออกไปได้เหรอ”
ไม่คิด เพราะไม่ได้ตั้งใจจะผลักออกไปแต่แรก เขาแค่แสร้งทำเป็นขัดขืนเพื่อส่งบทให้พระเอกขี่ม้าขาวเท่านั้นเอง
แต่โลกใบนี้มักไม่เห็นด้วยกับแผนของเขาอยู่เสมอ
“กรุณาปล่อยด้วยครับ”
น้ำเสียงคุ้นหูที่ไม่ยินมานานแสนนานทำให้เขาต้องหันขวับไปมองแล้วเผลออ้าปากค้างอย่างตกตะลึง
“ทีน/ไอ้ทีน”
เขากับไอ้เอกพูดชื่อของคนมาใหม่ออกมาแทบจะพร้อมกัน
ไม่ตกใจยังไงไหว ในเมื่อคนๆ นี้แทบจะหายไปจากแวดวงธุรกิจตลอดหลายปีที่ผ่านมา แล้วจู่ๆ...
“แล้วตกลงเอกจะปล่อยดิมได้รึยัง หรือจะต้องให้เราไปพูดออกไมค์”
เสียงท้วงจากอีกฝ่ายทำให้ไอ้ฝรั่งขี้นกยอมปล่อยเด็กหนุ่มออกจากวงแขนก่อนจะเดินกระฟัดกระเฟียดหายไป
โล่งใจก็ส่วนหนึ่ง หงุดหงิดที่ผิดแผนก็ส่วนหนึ่ง แต่ความรู้สึกพวกนั้นถูกความตกใจกลบไปจนหมด
“ทีน...มาได้ยังไง”
“นั่งรถมา”
“ทีน”
เสียงดุๆ ของเขาทำให้คู่สนทนาหัวเราะ
นัยน์ตาสีดำนั้นดูเป็นประกายยามจ้องมอง
“ไปหาที่เงียบๆ คุยกันดีไหม”
เด็กหนุ่มเหลือบมองคนที่อยู่ไกลๆ พลางยกยิ้ม
“ไปสิ”
เขายิ้มเพราะดวงตาคมที่ทอดมองมาทางเขาตลอดเวลา
มีใครไม่ชอบเวลามีคนเป็นห่วงบ้างล่ะ
เขาคนนึงล่ะที่ชอบ
กรุงเทพเป็นเมืองที่สวยในยามค่ำคืน
ระเบียงกว้างบนยอดตึกสูงทำให้ทิวทัศน์ที่เห็นสวยกว่าปกติ แสงไฟหลากสียามค่ำคืนปรากฏเป็นดวงๆ ลมเย็นๆ พัดปะทะร่างกายครั้งแล้วครั้งเล่าเคล้าคลอไปกับเสียงเพลงแจ๊สแผ่วๆ จากที่ไหนสักแห่ง
คงเป็นห้องจัดเลี้ยงสักที่ในโรงแรมนี้ล่ะมั้ง
“เราไม่ค่อยชอบเพลงแจ๊สเท่าไหร่”
คำพูดของคนข้างตัวทำให้เด็กหนุ่มกระตุกยิ้มมุมปาก
“แต่ผมชอบนะ”
ภาพของใครบางคนปรากฏขึ้นในหัว
เสียงครางกระเส่า ลมหายใจหนักๆ มัดกล้ามเนื้อสวยลื่นมือ ผมสีควันบุหรี่คลอเคลียอยู่ที่คอให้ความรู้สึกจั๊กจี้
หื่นกามจริงๆ เลยดนัย
“ดิมเจอพี่ดารึยัง”
ประโยคที่คิดเอาไว้แล้วว่ายังไงก็ต้องได้ยินจากอีกฝ่ายทำให้เขาอดถอนหายใจออกมายาวๆ ไม่ได้
ทีนเป็นเพื่อนสมัยมัธยมต้นของเขา เป็นคนที่เขาสนิทที่สุด ไว้ใจที่สุด รักที่สุด แต่จู่ๆ อีกฝ่ายก็ย้ายบ้านไปต่างจังหวัดตอนมัธยมปลาย ก็เลยกลายเป็นว่าห่างหายกันไปตั้งแต่ช่วงนั้น
มาเจอกันอีกทีก็ตอนที่เขาออกตามหาพี่ดา
ตอนนั้นเขาอ่อนไหวเกินไป เสียใจมากเกินไป ทั้งเรื่องพี่ดา ทั้งเรื่องแฟนเก่า ทั้งเรื่องผ่าตัดมดลูกที่เจ็บแทบขาดใจ ทุกอย่างมันประดังประเดเข้ามาจนเขาเสียหลักยึด
เพราะแบบนั้นเขาเลยเผลอเล่าเรื่องทุกอย่างให้อีกฝ่ายฟังจนหมดเปลือก
“ไม่ต้องห่วงหรอก เดี๋ยวก็เจอ”
“เมื่อไหร่ล่ะ?”
คู่สนทนาของเขาหลบตาไปเงียบๆ
บทสนทนาเงียบลง ส่งให้ต่างฝ่ายต่างจมจ่ออยู่กับความคิดของตัวเอง
“ขอโทษ ผมไม่ได้ตั้งใจจะว่าทีนหรอกนะ”
“ขอโทษเหมือนกันที่พูดอะไรไม่เข้าเรื่อง”
แล้วก็เงียบ
ความเงียบน่าอึดอัดที่ก่อตัวขึ้นระหว่างคนสองคนทำให้คนช่างพูดต้องหาทางทำอะไรสักอย่าง
“แล้ว...ช่วงนี้ทีนทำอะไรอยู่ล่ะ”
คนถูกถามอมยิ้มบางๆ แล้วทอดสายตามองออกไปยังทิวทัศน์ด้านนอก
“ก็เรื่อยๆ ล่ะ ทำงานวิศวะในบริษัทบ้านจัดสรร ไม่มีอะไรหวือหวาหรอก”
ก็สมกับเป็นคนๆ นี้ดี
“แล้วกิจการฟาร์มไม้ดอก ไม้ประดับที่บ้านล่ะ”
“ให้พี่ธามดูแลน่ะ พี่เขาจบเกษตรมา น่าจะทำได้ดีกว่าเรา”
ธาม พี่ชายของทีนเป็นเพื่อนสนิทคนนึงของพี่ดา
หนึ่งในชนชั้นกลางไม่กี่คนที่เป็นเพื่อนของทายาทตระกูลไวยสมุทร
พ่อของเขาเคยบอกเป็นทำนองว่า ตระกูลของทีนและพี่ธาม เป็นตระกูลของข้าราชการยศธรรมดาตั้งแต่ยุคร.5 ร.6 ไม่ใช่คนร่ำคนรวยแต่ก็นับว่าเป็นพวกมีอันจะกินอยู่ประมาณนึง ในแวดวงธุรกิจก็ไม่ใช่คนสลักสำคัญอะไร สู้เอาเวลาไปสนิทกับตระกูลอื่นน่าจะดีเสียกว่า
แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ไม่เคยเลิกคบกัน
ทั้งทีนและพี่ธามเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่คบสองพี่น้องด้วยความจริงใจ น่าเสียดายที่หลังจากครอบครัวของทีนย้ายออกไปจากกรุงเทพ พวกเขาก็แทบไม่เคยเจอกันอีกเลย
พอมาเจอกันอีกทีก็ดันมีเรื่องขึ้นเสียได้
“แล้วดิมล่ะ ทำอะไรอยู่”
“เปิดร้านทำผมน่ะ”
เจ้าของร่างสูงโปร่งไม่ต่างจากเขาหัวเราะร่วน
“ก็เหมาะกับดิมดีนะ ทรงผมตอนมาเรียนสมัยก่อนโคตรเฟี้ยวเลย เราจำได้”
แล้วพวกเขาก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน
นานแค่ไหนแล้วที่หัวใจของเขาไม่ได้พักผ่อนแบบนี้
“แล้วไปยังไงมายังไงถึงมางานคุณธงชัยได้ล่ะ”
ทีนหัวเราะเบาๆ
“ดิมคงลืมไปแล้วว่าลุงธงชัยเป็นลุงเขยของเรา”
...อ๋อ...จริงด้วย ลืมไปสนิทเลยสิ
เพราะแบบนั้นเลยหัวเราะแก้เก้อไปเบาๆ
คนข้างๆ หันมามองหน้าเขาด้วยรอยยิ้มกว้างก่อนจะเอื้อมมือมาโยกหัวเขาไปมาอย่างที่ชอบทำ
เมื่อก่อนเป็นยังไงก็ยังเป็นอย่างนั้นอยู่ตลอดเลยจริงๆ
“ดิม”
เสียงขรึมๆ ที่ดังแทรกขึ้นมาทำให้เด็กหนุ่มทั้งสองหยุดชะงักแล้วหันไปมองทางต้นเสียงพร้อมกัน
ทีนมีท่าทีงุนงงเล็กน้อย ในขณะที่อีกคนกลับกระตุกยิ้มบาง
คนขี้หึงมานู่นแล้ว
“คุณจักรอยากคุยด้วย”
เด็กหนุ่มหัวเราะ ‘ฮึๆ’ ในคอแล้วหันไปบอกลาเพื่อนเก่า
“แล้วเจอกันนะทีน”
“โอเค”
เขาหยุดโบกมือให้อีกฝ่ายเล็กน้อย ก่อนจะเดินกลับเข้ามาในตัวอาคารโดยมีอีกคนเดินตามหลังมาเงียบๆ
ไม่มีคำพูดบอกว่าให้ไปที่ไหน ไม่มีคำพูดบอกว่าผิดทาง
ก็จะบอกได้ยังไง ในเมื่อคุณจักรอะไรนั่นไม่รู้จักเขาสักหน่อย
ประตูห้องน้ำชายถูกผลักเข้าไปอย่างเชื่องช้า นัยน์ตากลมกวาดมองไปรอบๆ จนแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่จึงถือวิสาสะเดินเข้าไปในห้องเก็บอุปกรณ์ทำความสะอาดแล้วคว้าเอาป้าย ‘อยู่ระหว่างทำความสะอาด’ ไปตั้งหน้าห้องน้ำเสียเสร็จสรรพ
คนสูงวัยกอดอกพิงกำแพงมองร่างเล็กๆ เคลื่อนที่ไปทางนู้นทีทางนี้อย่างคล่องแคล่วแล้วอดกระตุกยิ้มไม่ได้
ดูเจ้าแมวนั่นสิ เข้าใจหาวิธีง้อเขานักเชียว
-กริ้ก-
เสียงล็อกประตูทำให้ร่างหนาฉีกยิ้มอย่างพึงพอใจ
เอาเข้าจริงอายุเขาก็ไม่ใช่น้อยๆ แล้ว จริงๆ ก็ถึงวัยที่จะเข้าวัดทำบุญได้แล้วด้วยซ้ำ ไม่รู้จะพูดว่าโชคดีหรือโชคร้ายที่สมัยหนุ่มๆ เขาเป็นพวกอารมณ์ทางเพศสูงจนน่าตกใจ พอแก่ตัวลงก็อารมณ์ทางเพศก็ลดลงไปบ้าง แต่ก็ยังสูงมากเมื่อเทียบกับคนในวัยเดียวกัน
เพราะแบบนั้นเลยยังฟัดแมวน้อยได้อยู่ทุกวัน...วันละหลายๆ ครั้ง
“รู้ใช่ไหมว่าทำอะไรผิด”
ร่างสมส่วนตรงหน้าขยับเข้ามาใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจที่รินรดลงที่ปลายคาง
“ผมก็มารอรับโทษแล้วนี่ไง”
นิ้วเรียวสวยกรีดเปิดให้เห็นของในอุ้งมือน้อยๆ
ซองโลหะเล็กๆ ทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสคุ้นตา
“เชิญลงโทษตามสบายเลยครับ”
“ถ้าฉันไม่อยากใช้ล่ะ”
คิ้วเรียวขมวดยุ่ง
“เราคุยกันจบไปแล้วนะคุณปราณ ผมยังไม่พร้อม”
“แล้วเมื่อไหร่จะพร้อม”
เด็กหนุ่มเม้มปากเงียบๆ แววตาปรากฏแววสับสนจนเขาสงสาร
เอาเถอะ พวกเขายังมีเวลาคุยเรื่องนี้กันอยู่ ตอนนี้ช่างมันก่อนแล้วกัน
ฝ่ามือใหญ่ทาบลงบนใบหน้าเล็กเบาๆ
“เมื่อเช้าเจ็บหลังไหม”
แววตาซุกซนนั่นทำให้หัวใจเขาเต้นรัว
“เจ็บครับ”
เรียวแขนเพรียวคล้องคอเขาไว้แล้วดึงเข้าไปหา
ปลายจมูกของพวกเขาสัมผัสกัน ริมฝีปากอยู่ห่างกันไม่ถึงคืบ
“แต่ผมชอบ”
ริมฝีปากเล็กประทับรอยจูบลงที่ปลายคางของเขา
“ถามทำไมเหรอครับ”
เขายิ้ม
ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเขาทำหน้าแบบไหนออกไป สิ่งเดียวที่รู้ในตอนนี้คือเขาต้องการ
เขาต้องการเจ้าแมวตรงหน้านี้ ตอนนี้
ต้องเป็นคนนี้เท่านั้น
“ก็ถามไว้ เผื่อต้องเรียกคนมาเอารถเพราะขับกลับไม่ไหว”
ในเมื่อขังเอาไว้ในกรงไม่ได้ ก็ต้องใส่ปลอกคอไว้
ต้องเลี้ยงด้วยความรักให้เคยตัวจนหนีไปไหนไม่ได้อีกเลย
***********************************************************************
พูดคุยกันได้ที่ #ปราณดิม หรือ #หลงลุง ใน twitter นะคะ