▲▲As an escort
#เพื่อนนอนตอนที่ 4 “เอสคอร์ทที่นี่มีหลายระดับ” น้ำเสียงหวานชวนฟังเอ่ยเล่าหลังจากรับเครื่องดื่มจากบาร์เทนเดอร์ยื่นส่งให้คนตัวสูงข้างๆ เรียบร้อยแล้ว ศีรษะได้รูปเอนพิงกับไหล่กว้างของธนาดล ขาเรียวยกขึ้นไขว่ห้าง มือถือแก้วเครื่องดื่มคนละสี แต่ดวงตาคู่วิบวับนั้นเงยขึ้นมองสบกับดวงตาคมดุสีชาคล้ายรู้ทัน
“ส่วนมากเราทำหน้าที่ให้บริการ เพื่อนคุย เพื่อนดื่ม พาไปสปาคอมเพลกซ์ตรงชั้นสามสี่ หรือแม้กระทั่งรับแขกในห้องรับรองส่วนตัว”
“.....”
“ค่าตัวก็ขึ้นอยู่กับระดับของเอสคอร์ท ความต้องการของลูกค้า แต่ยิ่งเอสคอร์ทมีห้องรับรองบนชั้นสูงๆ ขึ้น ค่าตัวก็แพงตามไปด้วย และคุณธีก็น่าจะรู้ดีว่าเอสคอร์ทที่ค่าตัวแพงสุดอยู่บนชั้นนี้” ...ชั้นเจ็ด
“.....”
“ปกติแล้ว ถ้าแค่การให้บริการลูกค้าทั่วๆ ไป ที่ไนท์คลับชั้นล่างจะมีผู้จัดการคอยจัดตารางการทำงานให้ ยิ่งค่าตัวแพงมากเท่าไหร่งานส่วนชั้นล่างก็จะน้อยลงเท่านั้น และผมคิดว่าคุณธีคงไม่ได้ต้องการรายละเอียดในส่วนนี้”
“รู้ดี” ธนาดลยกแก้วเครื่องดื่มขึ้นจิบอีกครั้ง แต่สายตาก็ยังคงกดดันให้เล่าต่อ แต่อีกฝ่ายกลับแย้มรอยยิ้มแล้วถามไปอีกเรื่อง
“คุณธีทราบไหมครับว่าผมเป็นเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของปูรณ์”
“หืม?”
“เราโตมาด้วยกันที่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าที่บ้านคุณธีให้การอุปถัมภ์ครับ เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ยังเด็ก ปูรณ์เป็นเด็กดีมาก เรียนเก่ง ช่วยงานที่มูลนิธิตลอด ใครๆ ก็รัก แต่ปูรณ์เป็นคนเงียบๆ เก็บตัว ตามสัญญาของมูลนิธิแล้วเด็กส่วนมากหลังพ้นอายุ 18 ไปก็จะต้องออกไปใช้ชีวิตด้วยตัวเองข้างนอก แต่ถ้าจะเรียนต่อทางมูลนิธิก็ยินดีส่งเรียนจนจบปริญญาตรี ผมกับปูรณ์ก็เป็นแบบนั้น เราคุยกันว่าจะออกมาเช่าหอพักข้างนอกระหว่างที่เรียน แต่ว่าปูรณ์ก็ได้เจอกับคุณฐา คุณอาของคุณก่อน”
“.....”
“ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างตอนนั้น ไม่รู้ว่าคุณอาของคุณคุยอะไรกับปูรณ์ รู้เพียงแต่คุณฐาไปหาปูรณ์ที่มหาลัยเรื่อยๆ ไม่บ่อยมากแต่ก็ไม่เคยหายไปนาน จนปีหนึ่งเทอมสองปูรณ์ก็เล่าให้ผมฟังเรื่องโครงการไนท์คลับนี้และชวนผมมาทำงานด้วย ผมรู้ดีว่าปูรณ์ไม่อยากทิ้งให้ผมลำบาก แต่งานที่ปูรณ์บอกก็ไม่ได้ทำให้เจ้าตัวสบายใจ แต่หมอนั่นก็ยอมมา ยอมมาทำ มาเรียนรู้งาน เหตุผลทั้งหมดนั่นไม่ใช่เพราะเงิน แต่เป็นเพราะคุณอาของคุณ”
“เพราะอาฐา?...” คิ้วเข้มขมวดมุ่น ทว่าคนฟังกลับมีสีหน้าผ่อนคลายอย่างจงใจ
“บางทีนี่อาจจะเป็นเรื่องเดียวที่ผมไม่สามารถให้รายละเอียดกับคุณได้”
สีหน้าของคนฟังเครียดขึ้นโดยไม่รู้ตัว แต่นั่นยิ่งทำให้เอสคอร์ทที่จะเรียกว่าอารมณ์ดีที่สุดในชั้นนี้ก็ว่าได้ต้องลอบยิ้ม กลณัฏฐ์ทิ้งความเงียบให้เป็นตัวคั่นกลางบรรยากาศ ดวงตาโตกวาดมองไปรอบๆ โถงวีไอพี ก่อนจะเบิกตาขึ้นอีกนิดเมื่อเห็นคนสองคนที่เดินเข้ามาตรงทางเข้า และท่าทางนั้นก็ทำให้ธนาดลหันมองตาม
“ฉันจะออกไปข้างนอก จัดการเรื่องเวลาของปูรณ์ด้วย” เสียงทุ้มดุของฐานัฐเอ่ยสั่งผู้จัดการของคลับที่มาโค้งรับ เมื่อเห็นว่าเรียบร้อยดีก็แตะหลังร่างเพรียวก่อนจะเลื่อนมือขึ้นโอบบ่าแล้วพาเดินออกไปในทิศทางที่เพิ่งเดินเข้ามา
“คุณธีรู้ไหมครับ ปกติแล้วลูกค้าของเราสามารถขอพาเอสคอร์ทออกไปข้างนอกได้แต่ต้องมาส่งให้ตรงตามกำหนดเวลา ต้องจองคิวล่วงหน้าอย่างน้อยหนึ่งอาทิตย์ ที่สำคัญคือต้องได้รับการอนุญาตจากคุณฐา และเอสคอร์ทเองก็มีสิทธิปฏิเสธการออกไปข้างนอกด้วยถ้าไม่เต็มใจ แต่ปูรณ์เป็นคนเดียวที่คุณฐาไม่เคยอนุญาตให้ออกนอกสถานที่เลย ไม่ว่าเจ้าตัวจะเต็มใจหรือไม่ก็ตาม”
“.....”
“ค่าตัวของหมอนั่นเวลารับแขกแต่ละครั้ง แค่นั่งทานข้าวธรรมดาๆ สองชั่วโมงก็จ่ายกันเกือบแสนแล้ว นั่นยิ่งไม่ต้องคิดไปถึงการทำอย่างอื่น แต่ขนาดค่าตัวแพงระยับขนาดนั้น คนรอใช้บริการก็มีเป็นสิบๆ คิว แต่ก็ได้แค่รอนั่นแหละครับ คุณอาของคุณปัดคำขอพวกนั้นทิ้งหมด ยิ่งหลังๆ มานี้ บางอาทิตย์ปูรณ์แทบไม่ได้ออกมารับแขกเลยด้วยซ้ำ”
คิ้วได้รูปคู่เดิมยังคงขมวดมุ่น ยิ่งได้ฟังยิ่งแปลกใจแต่ว่าลึกๆ เขาไม่ปฏิเสธเลยว่าทำไมเอสคอร์ทคนนั้นถึงมีค่าตัวสูงขนาดนี้
ท่าทางเย็นชาแต่ยั่วยวนอยู่ในที ใบหน้าติดหวาน รูปร่างสะอดสะอง ผิวขาวแม้จะซีดแต่ก็เนียนราวได้รับการดูแลเลี้ยงดูมาอย่างดีมาตั้งแต่เด็ก รวมถึงริมฝีปากอิ่มที่น่าจูบจนช้ำนั่นก็ด้วย
“ว่าแต่ตอนนี้ คุณธีมีเวลาเหลือสองชั่วโมง อย่างทำอะไรมากกว่านั่งคุยกันหรือเปล่าครับ”
ดวงตาสีชาทว่าคมดุคล้ายผู้เป็นอาเหลือบมองเอสคอร์ทที่นั่งด้านข้าง มือหนึ่งยกขึ้นวางบนต้นขาภายใต้กางเกงเนื้อดีสีขาว ลูบไล้ไปมาแต่ไม่ยอมทำอะไรมากกว่านั้น กำลังจะเอ่ยถึงสิ่งที่ตั้งใจแต่ริมฝีปากสีระเรื่อก็เอ่ยขัดมาก่อน
“ได้ทุกอย่างที่คุณธีต้องการ ตราบใดที่ไม่ออกไปจากห้องโถงนี้นะครับ”
เท่านั้นความตั้งใจที่จะพาไปดินเนอร์นอกสถานที่ก็ถูกปัดไป ธนาดลจึงลุกขึ้นยืนมองสบกับดวงตาที่ยังฉายแววรู้ทัน
“เอาเป็นว่าฉันยกสองชั่วโมงที่เหลือนี้ให้เธอ ถือว่าแทนคำขอบคุณ”
“ด้วยความยินดีครับ”
ร่างสูงของหลานชายเจ้าของสถานที่เดินจากไปนานแล้ว แต่กลณัฏฐ์ยังนั่งนิ่งอยู่ที่เดิมพร้อมแอลกอฮอล์ในแก้วใบเก่า นิ้วมือเรียวสวยไล้หยดน้ำที่เกาะพรายรอบขอบแก้ว รอยยิ้มที่มีมาตลอดหนึ่งชั่วโมงหายไปเหมือนเช่นทุกครั้งที่ไม่ต้องรับแขก
...ไม่ว่าใคร ก็ล้วนถูกดึงดูดสู่วังวนของความรู้สึกอันยากจะเข้าใจเหมือนกันทั้งนั้น
ซอยเล็กๆ ที่รถสีดำคันหรูกำลังขับผ่านทำให้ร่างเพรียวที่นั่งข้างคนขับหันมองอย่างแปลกใจ ตอนคุณฐาเอ่ยชวนออกมาทานมื้อเย็น ปูรณ์ไม่ได้คาดหวังว่าจะถูกพาไปที่ไหนแต่โดยปกติแล้วก็คงไม่พ้นโรงแรมสักแห่งแบบที่คุณฐาไปบ่อยๆ แต่ทว่าเส้นทางแปลกตาตอนนี้ทำให้อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม
“เรากำลังจะไปที่ไหนกันเหรอครับ”
“ทานข้าวไง” เสียงทุ้มเอ่ยตอบรวดเร็ว แต่ก็ไม่ได้ขยายความใดนอกจากตั้งใจขับรถ ทำให้คนขี้สงสัยไม่กล้าถามออกมาเช่นกัน แต่เพียงครู่เดียว รถคันหรูก็เลี้ยวเข้าเขตรั้วไม้ไผ่ผ่านถนนที่ปูด้วยกรวดเล็กๆ ก่อนจะจอดลงที่หน้าบ้านแบบญี่ปุ่นหลังหนึ่ง พร้อมกันนั้นก็มีชายหญิงหนึ่งคู่เดินออกมาก่อนจะโค้งตัวลงพร้อมเอ่ยต้อนรับ
“สวัสดีครับคุณฐานัฐ ห้องและอาหารที่จองไว้เรียบร้อยพอดีเลยครับ”
“นำไปได้เลยครับ”
คนที่ยังทำหน้างงงวยถูกดันแผ่นหลังให้เดินตามชายหญิงคู่นั้นไป ก่อนดวงตาเรียวจะเบิกขึ้นนิดๆ เมื่อเห็นห้องรับประทานอาหารแบบญี่ปุ่นและอาหารที่ถูกเตรียมไว้บนโต๊ะญี่ปุ่นตัวเล็ก ที่มีเบาะปูนั่งวางเตรียมไว้สองเบาะตรงข้ามกัน
“ตามสบายนะครับ” ฐานัฐพยักหน้ารับแล้วพยักเพยิดให้คนตัวเล็กกว่าถอดรองเท้าก่อนจะเดินไปนั่ง เจ้าของไนท์คลับหรูมองอย่างพึงพอใจเมื่อเห็นว่าสิ่งที่สั่งไว้ก่อนหน้าถูกเตรียมไว้อย่างดี และยิ่งพึงใจมากขึ้นเมื่อใบหน้าเนียนมีรอยยิ้มประดับทั้งปากและตา
“ฉันจำได้ว่าเธอชอบทานอาหารญี่ปุ่น และนี่ร้านเพื่อนฉันเอง คนญี่ปุ่นแท้เลยล่ะ คิดว่าพาเธอมาเลี้ยงย้อนหลังที่นี่เธอน่าจะชอบ”
“ขอบคุณมากนะครับ” เจ้าของวันเกิดพุ่มมือไหว้
“ถ้าอยากขอบคุณก็ทานเยอะๆ” พูดพลางแกะตะเกียบแล้วส่งให้ ก่อนจะยิ้มรับเมื่อปูรณ์ส่งถ้วยชาเขียวร้อนกลับมา
“ชาเขียวที่นี่หอมมาก และฉันก็บอกให้ที่ร้านเตรียมเอาไว้ส่วนหนึ่งให้เธอเอากลับไปชงเองด้วยนะ”
“แต่ผมไม่เคยชงชาเขียวแบบนี้เลยนะครับ”
“พรุ่งนี้ตอนบ่ายจะมีคนจากทางร้านเข้าไปสอน ฉันนัดไว้ให้แล้ว”
“ครับ”
“ทานเยอะๆ นะ ฉันไม่ชอบที่เธอผอมลง” ประโยคคล้ายสั่งกันนั้นมาพร้อมกับอาหารที่ถูกวางลงบนจานสีขาวใบเล็ก
“ขอบคุณครับ แต่คุณฐาไม่ต้อง...”
“ฉันแค่อยากดูแลเธอบ้าง” เสียงทุ้มเอ่ยขัดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน คนตัวเล็กกว่าจึงไม่กล้าเอ่ยขัดอะไรอีก ได้แต่ก้มหน้าลงซ่อนสีแก้มที่ระเรื่อแดงขึ้นแล้วคีบปลาดิบชิ้นโตเข้าปาก ก่อนจะคีบอีกชิ้นวางไว้บนจานของฐานัฐ
“ผมก็อยากดูแลคุณฐาบ้างเหมือนกันครับ”
รอยยิ้มน้อยๆ แต้มบนใบหน้าคม สายตาเย็นชาที่เอาไว้มองใครต่อใครทอดเสียอ่อนโยนเมื่อมองเด็กผู้ชายตรงหน้า ในดวงตาคู่คมมีแววเอ็นดูที่ไม่เคยพยายามปิดบังและไม่เคยใช้แววตานี้กับใคร แต่ฐานัฐก็รู้ดีเท่ากับที่อีกคนรู้ ..มันไม่เคยเจือปนไปด้วยความรักในรูปแบบนั้น
...
ไม่เคยเลย ดวงไฟที่ประดับเหนือสะพานข้ามแม่น้ำใหญ่ส่องแสงตกกระทบร่างคนคู่หนึ่งที่เดินเคียงกันรับลมธรรมชาติจากแม่น้ำยามดึกหลังอิ่มจากมื้ออาหารที่เรียกได้ว่าพิเศษ ชายร่างสูงกว่าเดินนำหน้าเพียงเล็กน้อย มือข้างที่ว่างจากการล้วงกระเป๋ากางเกงขณะเดินเอื้อมมาด้านหลังเพื่อจับจูงข้อมือเล็กขาวของคนอ่อนวัยกว่า
“นานมากเลยนะที่ฉันไม่ได้เดินเล่นแบบนี้”
“ก็คุณฐางานเยอะ”
“ฉันหวังว่ามันจะดีขึ้นถ้าเธอมาช่วย”
“คุณฐาครับ” น้ำเสียงที่จริงจังขึ้นทำให้ร่างสูงหยุดเดินและหันมามอง “คุณฐาจำตอนที่ชวนผมมาทำงานที่นี่ได้ไหมครับ”
ประโยคที่ปูรณ์ใช้ตอบรับตอนที่ฐานัฐชวนมาทำงานที่ไนท์คลับแห่งนี้
‘ผมจะช่วยคุณ จนกว่าคุณจะไม่ต้องการ’“ผมแค่อยากบอกว่าไม่ว่าจะตอนนั้นหรือในอนาคต ผมก็ยังยืนยันแบบเดิม ผมจะตอบแบบเดิม”
“.....”
“...จนกว่าคุณจะไม่ต้องการ”“เด็กดี...” ฝ่ามืออุ่นยกขึ้นมาประคองแก้มเนียน ไล้ปลายนิ้วเบาๆ ลงบนแก้มนั้น แววตาทอดมองดวงตาเรียวทอประกายล้อแสงไฟตรงหน้า มองลึกไปถึงดวงตาที่คล้ายกันนี้ของใครอีกคน
“ตอนฉันอายุเท่าเธอ ฉันมีแฟนคนหนึ่ง”
“.....” ความไม่เข้าใจฉายชัดบนใบหน้าหวาน แต่ดวงตาคู่ที่จ้องมองกันอยู่ก็สะกดให้ฟังเงียบๆ โดยไม่เอ่ยอะไรออกไป
“เธอเป็นผู้หญิงน่ารัก เป็นลูกครึ่งไทยญี่ปุ่นแต่ไปโตที่ญี่ปุ่น ตอนนั้นเธอมาเรียนแลกเปลี่ยนที่นี่ เราเริ่มคุยกันเพราะถูกอาจารย์จับคู่ให้ทำโปรเจคด้วยกัน เธอเป็นคนฉลาด หัวดี เรียนเก่งแถมยังร่าเริงและมีน้ำใจ เพื่อนคนไทยที่นี่รักเธอกันหมด ตอนแรกเราก็แค่เป็นเพื่อนคุยกันถูกคอเพราะชอบอะไรคล้ายๆ กัน แต่สุดท้ายมันก็พัฒนาเป็นความรัก เราคบกันจนเธอหมดช่วงเวลาเรียนแลกเปลี่ยนและต้องกลับไปญี่ปุ่น แต่ก็ติดต่อกันตลอดจนกระทั่งเราทั้งคู่เรียนจบ”
“.....”
“เราคุยกันว่าเราจะไปเรียนต่อโทที่เยอรมันด้วยกัน ฉันให้สัญญาว่าจะไปพบพ่อแม่ของเธอ ให้ผู้ใหญ่ได้คุยกัน อาจจะให้เราหมั้นกันไว้ก่อน ทุกอย่างดูราบรื่นจนกระทั่งวันหนึ่งที่อยู่ๆ เธอก็เดินทางมาหาฉันที่นี่ แม้จะแปลกใจแต่ฉันก็ดีใจเกินกว่าจะสงสัยอะไร เราใช้เวลาอยู่ด้วยกันประมาณสองอาทิตย์ ก่อนที่เช้าวันต่อมาฉันจะตื่นมาเพื่อพบว่าเธอหายตัวไป”
“.....”
“ฉันใช้เวลาหนึ่งปีเต็มหลังจากนั้นในการตามหาผู้หญิงคนหนึ่งทั้งที่นี่และประเทศบ้านเกิดเธอ สืบเสาะจนหาญาติที่อยู่เหลือเพียงคนเดียวของเธอเจอ แต่ตอนนั้นมันก็สายไปแล้ว ข่าวที่ได้มีน้อยนิด น้อยมากจนฉันรู้แค่ว่าครอบครัวเธอทั้งหมดที่ญี่ปุ่นโดนฟ้องล้มละลาย และพวกเขาตัดสินใจที่จะจบชีวิตตัวเองพร้อมกัน”
แววตาคมที่เปิดเผยร่องรอยความเศร้าเสียใจที่ฝังรากลึกมานานทำให้คนฟังน้ำตาคลอ และมันก็หยดลงบนแก้มเนียนให้คนเล่ายิ้มจางแล้วค่อยๆ เช็ดออกให้
“แต่ครั้งนั้น ทำให้ฉันได้รู้ว่าเธอมีน้องชายที่เหลืออยู่ที่ประเทศไทย เพราะน้องชายเธอถูกทิ้งไว้ที่นี่ตั้งแต่ยังเด็กกับญาติคนนั้นที่ฉันเจอ ฉันจึงตั้งใจว่า ฉันจะขอดูแลเด็กคนนั้น เพราะฐานะทางบ้านของญาติคนนั้นก็ไม่ได้ดีนัก แต่น่าเสียดายที่เขาบอกว่าเด็กคนนั้นไม่ได้อยู่กับเขาตั้งนานแล้ว เขายกเด็กให้มูลนิธิแห่งหนึ่งดูแลแทน นั่นหมายความว่าถ้าฉันอยากเลี้ยงดูเด็กคนนั้น ฉันต้องตามหามูลนิธิที่ว่าและเข้าไปคุยด้วยตัวเอง
ตอนแรก ฉันตั้งใจจะรับเด็กคนนั้นเป็นบุตรบุญธรรมด้วยซ้ำ แต่อายุเราห่างกันน้อยเกินไป ถ้าฉันเกิดเร็วกว่านี้สักสองปี หรือเด็กคนนั้นเกิดช้าอีกหน่อย อะไรๆ มันอาจจะง่ายกว่าตอนนี้”
“คุณฐา...”
“เธอจำได้ใช่ไหมปูรณ์ ฉันย้ำกับเธอเสมอว่าสำหรับเธอแล้วฉันให้ได้ทุกอย่าง ทุกอย่างจริงๆ ยกเว้นเพียงเรื่องเดียว”
“.....”
“เพราะเรื่องนั้น ฉันยกมันให้พี่สาวเธอไปหมดแล้ว”สิ้นประโยคนั้น น้ำตาก็หยดไหลลงเป็นสายผ่านดวงตาเรียวทั้งสองข้าง ตอนเด็กๆ ครูที่มูลนิธิก็เคยเล่าเรื่องครอบครัวเขาให้ฟังบ้าง ตอนยังเล็กเขาก็แค่สงสัยว่าจะให้เขาเกิดมาบนโลกใบนี้ทำไมถ้าไม่มีใครต้องการ
...แต่จนถึงตอนนี้เขาก็ยังสงสัย ว่าเมื่อไหร่เขาถึงจะเป็นที่ต้องการของใครๆ ได้เสียที
เสียงสะอื้นฮักทั้งๆ ที่เจ้าตัวพยายามอย่างยิ่งที่จะกลั้นมันไว้ทำให้ร่างสูงกว่าดึงเข้ามากอด มือลูบหลังลูบไหล่คนที่ซบหน้าร้องไห้กับอกเขาอย่างหมดท่า ฐานัฐรู้ดียิ่งกว่ารู้ว่าความจริงมันเจ็บปวด แต่เขาก็ไม่อยากให้ปูรณ์ถลำความรู้สึกที่มีต่อเขาให้ลึกลงไปกว่านี้
เพราะเขารู้ดี รู้ว่าชีวิตนี้เขาคงรักใครอีกไม่ได้แล้วจริงๆ
“ถึงอย่างนั้น...ฮึก” เสียงปนสะอื้นเอ่ยตะกุกตะกักอย่างน่าสงสาร “ถึงอย่างนั้นคุณฐาก็ไม่ลืม...”
“.....”
“และก็เป็นผมไม่ได้จริงๆ ใช่ไหมครับ”
อ้อมกอดที่กระชับขึ้นในความเงียบงันแทนคำตอบทั้งหมดได้อย่างดีแล้ว
...ที่ตรงนั้นไม่เคยเป็นของเขา
...เป็นเขาไม่ได้
...ต่อให้ไม่ว่าจะพยายามจนตัวเองเจ็บเจียนตายอีกกี่ครั้งก็ตาม
รู้เธอมีเหตุผลอะไรสักอย่าง
ที่ทำให้เธอไม่คิดจะอยู่กับฉัน
อาจเป็นเพราะเธอแค่เหงาใจในวันที่เราพบกัน
เธอแค่มีความสุข แต่ว่าเธอไม่ได้รักกัน
.....
โปรดรักฉันรักฉันเถอะนะ จะไม่ทำให้เธอเสียใจ
รู้ฉันสู้เขาไม่ไหว เทียบกับใครที่เธอมี
แต่เลือกฉันเลือกฉันได้ไหม ฉันจะดูแลเธอให้ดี
โปรดถามใจเธออีกที เพราะทั้งใจฉันมันยังมีแค่เธอ
(**เนื้อเพลง please - อะตอม ชนกันต์)เพราะร้องไห้จนหมดแรง พอขึ้นมานั่งบนรถได้ไม่นานปูรณ์ก็หลับไป เมื่อมาถึงไนท์คลับฐานัฐจึงเป็นคนอุ้มร่างเพรียวบางนั้นเข้าห้องนอน บนฟูกนอนสีขาวนุ่มแบบที่เจ้าของห้องคนใหม่ชอบ ร่างสูงของเจ้าของคนเดิมกำลังนั่งพิงหัวเตียง มือข้างหนึ่งลูบเส้นผมนุ่มไปมาราวจะกล่อมคนหลับให้นอนหลับให้สนิท เปลือกตาบางที่บวมช้ำยังมีร่องรอยของคราบน้ำตาบนแพขนตาเปียกชื้น ริมฝีปากอิ่มแดงชัดเพราะเจ้าตัวทั้งกัดทั้งเม้มตอนที่ร้องไห้ คนโตกว่าที่นั่งข้างๆ อดไม่ได้ที่จะก้มลงจูบบนหน้าผากเนียน แววตาที่ทอดมองสะท้อนความสงสาร เรื่องราวบางอย่างที่เขาไม่ได้เล่าก็ยังคงถูกเก็บเป็นความลับอยู่แบบนั้น
...ไม่ใช่แค่ไม่รัก แต่กับบางคน แม้อยากจะรักก็ไม่อาจรักได้จริงๆเพราะเป็นเช้าวันจันทร์ที่ต้องไปเรียน แม้จะรู้สึกมึนหัวและตัวรุมๆ แต่ปูรณ์ก็ยังลุกขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัวแต่เช้า โดยปกติแล้วคนขับรถที่นี่จะไปส่งที่มหาวิทยาลัย แต่บางครั้งเจ้าตัวก็เลือกจะนั่งรถเมล์ แท็กซี่ หรือเดินทางไปเองโดยวิธีใดก็ได้ที่ไม่ต้องรบกวนใคร แต่เช้าวันนี้ปูรณ์กลับเจอใครอีกคนที่อยู่ในชุดนักศึกษามหาวิทยาลัยเดียวกันเสียก่อน และธนาดลก็ไม่เปิดโอกาสให้เขาหาทางในการไปเรียนเอง
“ทำไมตัวอุ่นๆ”
คนที่จับจูงข้อมือบางกึ่งบังคับให้เดินไปในทิศทางเดียวกันหลังจากจอดรถที่หน้าโรงอาหารเรียบร้อยถามพร้อมขมวดคิ้วอย่างกดดันให้ตอบ
“ผมไม่สบายนิดหน่อยน่ะครับ”
“แล้วทำไมไม่ให้คนที่คลับมาส่ง”
“ผมไม่อยากรบกวนใคร”
“งั้นวันหลังก็มากับฉัน”
“เดี๋ยวนี้คุณธนาดลย้ายมานอนที่คลับเหรอครับ”
“นี่ถามเพราะสงสัยหรือถามเพราะหาเรื่อง”
“ใครจะกล้าหาเรื่องคุณกัน...”
“ฉันมีเรื่องต้องทำ มีเรื่องต้องหาคำตอบเลยขออาฐามาอยู่ชั่วคราวน่ะ”
“จริงๆ ห้องฝั่งนั้นก็เป็นของคุณอยู่แล้ว”
“ฉันต้องขอเพราะห้องฝั่งอาฉันไม่ได้มีแค่อาอยู่คนเดียวต่างหาก”
“คุณธีรู้...”
“รู้แค่ว่าเธอย้ายมาอยู่ แต่ไม่รู้เหตุผล”
“คุณฐาก็แค่อยากให้ผมไปช่วยงานบางอย่างน่ะครับ”
“รวมถึงงานบนเตียงด้วยหรือเปล่า?”“คุณธี” ข้อมือบางบิดออกจากการเกาะกุมทันทีที่ถูกถามด้วยคำถามแบบนั้น แต่ธนาดลกลับบีบมือนั้นแน่นยิ่งขึ้น ร่างสูงผ่อนลมหายใจช้าๆ แม้จะไม่ค่อยเข้าใจอารมณ์ของตัวเองในช่วงสองสามวันนี้มากนัก แต่ก็รู้ดีว่าควรเอ่ยคำขอโทษ
“ฉันขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจ”
“คุณธีครับ” คนที่ถูกกึ่งจูงกึ่งลากมาตลอดทางปรับน้ำเสียงให้จริงจังขึ้น เงยหน้าสบตาร่างสูงแล้วเอ่ยถามในสิ่งที่สงสัยออกมา
“เพราะคุณธีรู้อะไรบางอย่างมาหรือเปล่า คุณธีถึงมาตั้งคำถามแบบนี้”
“ถ้าเธอหมายถึงเรื่องคืนนั้น ฉันจำได้แล้วว่าคนที่ฉันอยู่ด้วยคือ...”
“ลืมมันไปเถอะครับ” แม้จะรู้ดีว่าการเอ่ยแทรกแบบนี้มันเสียมารยาท แต่พอคิดว่ามันเป็นเรื่องที่สำคัญเขาก็จำต้องพูด “ผมจะคิดว่ามันก็เหมือนกับการรับแขก งานของผมก่อนหน้าก็ไม่ต่างจากวันนั้น”
“แล้วเธอคิดว่าฉันไม่พยายามหรือไง?” เสียงทุ้มสวนกลับด้วยความดุดัน ความสับสนที่มีมาตลอดทำให้ธนาดลพูดแทบทุกอย่างในใจ “ฉันก็ไม่ได้อยากจำ ไม่ได้อยากรื้อฟื้น แต่ความรู้สึกวันนั้นมันติดอยู่ในหัว สัมผัสของเธอติดอยู่ในทุกคืนที่ฉันฝัน สำคัญกว่านั้นคือภาพที่เธอร้องไห้ มองฉันแล้วอ้อนวอนให้ฉันรัก มันติดอยู่ในความคิดฉันตลอดเวลา”
...คนที่โหยหาความรักขนาดนั้น
“แต่วันนั้น คุณรู้ตัวหรือเปล่าว่าตอนนั้นจริงๆ แล้วความรู้สึกของคุณกอดใคร สายตาคุณมีใคร คำรักของคุณพูดถึงคนไหน”
“แฟนเก่า” ธนาดลสวนขึ้นทันทีเพราะรู้ตัวเองอยู่แล้ว “ฉันยอมรับว่าฉันยังไม่ลืม แต่ฉันก็พยายามตัดใจมาตลอดตั้งแต่เลิกกัน เวลาฉันเมาฉันอาจจะเพ้อถึงบ้าง แต่เวลาปกติฉันก็ไม่ได้นึกถึงอีกแล้ว”
“นั่นเพราะจิตใต้สำนึกคุณยังไม่ลืมเธอไงครับ”
“แต่หนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมาจิตใต้สำนึกฉันนึกถึงแต่เธอ”เกิดกระแสความเงียบขึ้นทันทีหลังประโยคนั้นจบลง สายตาสองคู่ที่มองสบกันอยู่ตั้งแต่แรกมีแต่ความเก้อกระดาก ก่อนจะต้องหันมองคนละทิศละทางเมื่อไม่รู้จะต่อบทสนทนาให้ไปทางไหน แต่แล้วคนตัวโตกว่าจะคว้าข้อมือบางขึ้นอีกครั้งแล้วเอ่ย
“ไปทานข้าวกันก่อนเถอะ นายจะได้ทานยาลดไข้” สรรพนามที่จู่ๆ ก็เปลี่ยนไปรวมถึงสถานการณ์ชวนอึดอัดขัดเขินแปลกๆ ทำให้คนตัวเล็กกว่าทำได้เพียงรับคำเบาๆ ก่อนยอมเดินตามร่างสูงไปหาที่นั่งในโรงอาหาร
“ครับ”
“มีร้านประจำไหม ทานอะไรดี”
“ผมไม่มีร้านประจำครับ แต่เดี๋ยวผมไปซื้อเอง คุณธีไปซื้อก่อนเถอะครับ ผมเฝ้าโต๊ะให้”
“เลือกมาสักอย่าง” คำสั่งเชิงกดดันนั้นทำให้อดไม่ได้ที่จะเม้มปาก แต่สายตาก็มองหาร้านที่อยากทาน ก่อนจะบอก
“แกงจืดเต้าหู้หมูสับร้านนั้นก็ได้ครับ”
“แล้วก็ข้าวเปล่า”
“ไม่เอาข้าวครับ”
“อืม” แม้จะรับคำไปแบบนั้น แต่สุดท้ายสิ่งที่วางลงตรงหน้าคนที่นั่งจองโต๊ะก็คือข้าวเปล่า แกงจืด แล้วก็ผัดผักอีกจานอยู่ดี
“นายทานก่อนได้เลย จะได้รีบทานยา”
“แล้วคุณธีล่ะครับ?”
“ฉันสั่งอีกร้านหนึ่งไว้ อยากทานก๋วยเตี๋ยวร้อนๆ มากกว่า”
“แต่นี่ผมทานคนเดียวไม่หมดหรอกนะครับ”
“เหลือก็ทิ้ง”
“เสียดายแย่”
“เสียดายก็จัดการให้หมด ฉันไม่กินผัก” เสียงบอกเรียบหน้าตายนั้นทำให้คนถูกบังคับกลายๆ อดไม่ได้ต้องบ่นออกมาเบาๆ
“โตขนาดนี้แล้วแท้ๆ”
ไม่นาน คนที่บอกว่าอยากทานก๋วยเตี๋ยวก็เดินกลับมาพร้อมถ้วยก๋วยเตี๋ยวที่มีเพียงเส้นเล็กและเนื้อหมูกับเครื่องในเพิ่มพิเศษ ปรุงรสด้วยพริกสีแดงแจ๋ที่แค่มองด้วยตายังรู้สึกเผ็ดแทน
“เช้าๆ แล้วทานเผ็ดขนาดนี้ระวังแสบท้องนะครับ”
“เรื่องปกติน่ะ ร่างกายชินแล้ว”
“ชินแล้วพังไม่ได้เหรอครับ”
“ทำไมเถียงเก่ง”
“ก็คุณธี...”
“ฉันทำไม?”
นั่นสิ ธนาดลทำไม?
ปกติปูรณ์ก็ไม่ใช่คนที่ต่อปากต่อใครกับใครอยู่แล้ว ออกจะไปทางเงียบๆ ฟังอย่างเดียวมากกว่าด้วยซ้ำถ้าเป็นคนที่ไม่สนิท แต่กับผู้ชายคนนี้...
...อาจจะเป็นแค่ความสบายใจอย่างหนึ่งก็เป็นไปได้
“ไม่มีอะไรครับ”บอกปัดไปแล้วก็รวบช้อนส้อม ร่างสูงที่นั่งตรงข้ามมองมานิ่งๆ เห็นว่ากับข้าวพร่องไปอย่างละครึ่งก็แอบยิ้มออกมา ก่อนจะแกะยาออกจากซองแล้วยื่นให้
“ทานข้าวอิ่มแล้วก็ทานยา”
“ครับ”
พอเห็นว่าคนป่วยยอมทานข้าวทานยาจนตนพอใจ ธนาดลก็กลับไปทานของตัวเองต่อเงียบๆ ปล่อยให้คนที่แก้มยังแดงเรื่อเพราะพิษไข้ก้มหน้าก้มตาเล่นโทรศัพท์ระหว่างรอ เมื่อจัดการกับตัวเองเสร็จแล้วก็เอ่ยถามขึ้นมาอีก
“วันนี้เรียนถึงกี่โมง”
“บ่ายสามครับ”
“ฉันเลิกบ่ายสามครึ่ง รอก่อน แล้วค่อยกลับพร้อมกัน”
“แต่ผมกลับเองได้นะครับ เกรงใจคุณธี”
“บอกให้รอก็ทำตามนั้นเถอะน่า”
“ครับ”
“แล้วนี่เพื่อนนายไม่มาเรียนด้วยกันเหรอ กลณัฏฐ์น่ะ”
“คุณธีรู้จักนัทเหรอครับ”
“ก็เรียกว่ารู้จัก”
“นัทไม่มีมีเรียนวันนี้ครับ”
“เหมือนที่เธอไม่มีเรียนวันศุกร์สินะ”
“นัทบอกเหรอครับ”
“ก็ประมาณนั้น”
“ผมถามอะไรบางอย่างได้ไหม”
“ว่ามาสิ”
“คุณธีคิดอะไรอยู่หรือครับ”
“.....”
“.....”
“เปลี่ยนจากคำถามนั้นเป็นคำตอบของเธอดีกว่าไหม ไม่ต้องสนใจว่าฉันจะคิดอะไร ไม่ต้องระวังตัวเองขนาดนั้น ถ้าฉันบอกเธอว่าฉันจะลืมเรื่องคืนนั้น จะไม่มีการพูดถึงมันอีก เราสองคนจะเป็นเพื่อนกันได้ไหม”
“.....”
“แค่เพื่อนเท่านั้นปูรณ์”ไม่รู้ว่าเพราะดวงตาสีชาคู่นั้นที่แสดงความจริงใจออกมาเต็มเปี่ยมหรือเปล่า ที่ทำให้ปูรณ์ยอมพยักหน้าลงช้าๆ ด้วยรอยยิ้มแต้มมุมปากที่ธนาดลมองว่าน่ารักดี
เป็นแค่เพื่อนไปก่อนก็ได้...บางความสัมพันธ์มันก็พัฒนามาจากคำว่าเพื่อนนี่แหละ
แค่รอเวลาที่เหมาะสมมากกว่านี้แล้วค่อยว่ากันอีกทีเท่านั้นเอง
..TBC..
>> มาละค่ะ เหตุผลที่ทำไมคุณฐาถึงบอกว่ารักน้องปูรณ์ไม่ได้
ขอบคุณที่ติดตามละก็ฝากเอ็นดูน้องปูรณ์ด้วยนะคะ ^^
ปล..แอบฝากเรื่องสั้นตอนเดียวจบ feel good ไว้อีกรอบนะคะ ^^
[เรื่องสั้นตอนเดียวจบ] ♥ Describe me in one word ♥