ตอนที่ 25
“ยินดีต้อนรับสู่บ้านของกู”
เสียงทุ้มดังขึ้นก่อนความอุ่นร้อนจากแผ่นอกกว้างจะแนบชิดเข้าหาจากทางด้านหลัง ท่อนแขนแกร่งสอดรัดรอบเอว ปลายคางของหินวางลงบนหัว
ดวงตาคู่สวยกวาดมองบ้านไม้ตรงหน้า บ้านชั้นเดียวหลังขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ซ่อนตัวอยู่ในเขตชานเมืองขอนแก่น รายล้อมไปด้วยต้นไม้ที่ปลูกโดยรอบ
ดูเรียบง่าย สงบ ร่มเย็น มีความเป็นหินอย่างชัดเจน
“บ้านของมึงเองเลยเหรอ” นานหลายนาทีจนสำรวจด้านนอกด้วยสายตาเสร็จจึงเอ่ยถาม
“อืม”
“เข้าไปข้างในเลยได้ไหม”
ปลายคางที่ทิ้งน้ำหนักอยู่บนหัวผละออกพร้อมกับอ้อมแขน บนใบหน้าของเจ้าของบ้านประดับด้วยรอยยิ้มบาง
“ได้สิ สำรวจได้เท่าที่มึงต้องการ”
ทันทีที่ได้ยินร่างเล็กก็เดินตรงไปยังหน้าประตู ยกมือขึ้นหมุนลูกบิดแล้วผลักเข้าไปโดยไม่รีรอ
ใจอยากจะวิ่งสำรวจให้ทั่ว ทว่าร่างกายซึ่งถูกเล่นงานมาหนักหน่วงทำให้ไม่อาจทำได้อย่างใจอยาก
ข้างนอกว่าตื่นตาแล้วแต่ข้างในกลับยิ่งกว่า นอกเหนือจากเครื่องใช้บางชิ้นแล้วทุกสิ่งในบ้านล้วนทำจากไม้ ทุกมุมถูกจัดไว้อย่างเป็นระเบียบและลงตัว ณ มุมหนึ่งข้างในสุดนั้นมีบันไดเล็กๆ ขึ้นไปยังส่วนที่น่าจะเป็นที่นอน
“น่าอยู่จัง”
เสียงพึมพำเบาๆดังเล็ดรอด ขณะเดินสำรวจด้วยความเชื่องช้า กระทั่งประตูห้องน้ำถูกเปิดเข้าไป ดวงตาของแฟนจึงเบิกขึ้น
สีน้ำตาลของเนื้อไม้ถูกตกแต่งให้ตัดกับสีส้มจากกระถางต้นไม้ สีส้มจากภาพพระอาทิตย์กำลังตกดินซึ่งติดอยู่บนผนัง พร้อมทั้งของใช้ชิ้นเล็กชิ้นน้อยต่างๆ
ทั้งหมดนี้ล้วนลงตัว บ่งบอกความใส่ใจของเจ้าของ
“สำรวจเสร็จหรือยัง เดี๋ยวพาไปดูห้องนอน”
เท้าเล็กที่กำลังจะก้าวเข้าไปในห้องน้ำหยุดชะงัก ก่อนแฟนจะหันไปหาคนด้านหลัง
“จะเข้าห้องน้ำเหรอ” หินเอ่ยถาม
“เปล่า แค่อยากเข้าไปดู”
“งั้นก็เข้าไปล้างเท้าไป ถอดรองเท้าไว้ตรงนี้แหละ เดี๋ยวกูไปเอาสลิปเปอร์มาให้ใส่”
แฟนก้มลงมองเท้าตัวเอง เมื่ออีกคนพูดจึงได้รู้ว่าเผลอเดินสำรวจไปทั่วโดยไม่ได้ถอดรองเท้า
“โทษที กูลืมถอด”
“กูไม่ได้ว่า แต่มึงจะได้สบายเท้าขึ้น”
ร่างสูงก้มตัวลงหยิบรองเท้าของแฟนก่อนจะเดินเอาไปเก็บเข้าที่แล้วกลับมาพร้อมกับสลิปเปอร์ในมือ
“ห้องน้ำมึงสวย” แฟนเอ่ยเมื่อเข้าไปล้างเท้าแล้วเรียบร้อย
“แบบนี้ต้องห้ามพลาด”
สายตาวิบวับและน้ำเสียงแหบพร่าด้วยความจงใจ บ่งบอกให้รู้ว่าหมายถึงห้ามพลาดเรื่องอะไร
“สภาพกูอีกนิดก็คนพิการแล้ว”
แขนเรียวยกขึ้นกอดอกพลางถอนหายใจใส่คนหื่นตรงหน้า ขณะที่หินหลุดหัวเราะเมื่อได้ยิน
“งั้นก็ไปนอนพักก่อน” มือเล็กถูกดึงออกจากการกอดอกก่อนจะถูกรั้งให้ก้าวตาม
บ้านของหินเป็นชั้นเดียวซึ่งมีทุกอย่างครบครัน บันไดที่ทอดขึ้นไปยังส่วนของห้องนอนคล้ายๆกับเป็นห้องใต้หลังคา และเมื่อขึ้นมาถึงแฟนก็อดชื่นชมการออกแบบไม่ได้
เตียงนอนกว้างสีขาว ปลายเตียงมีหน้าต่างกว้างให้ทอดมองต้นไม้โดยรอบ ทางด้านขวามีมุมนั่งเล่นสำหรับจิบกาแฟดูพระอาทิตย์ขึ้น
มันอาจไม่ได้ใหญ่โต หรูหรา แต่กลับลงตัวและสร้างสรรค์ในทุกส่วน...เป็นบ้านที่น่าอยู่จริงๆ
“บ้านหลังนี้เป็นบ้านของกู เป็นเงินของกูทุกบาท คิดออกแบบและตกแต่งเองทั้งหมด ส่วนพ่อแม่และพี่อยู่บ้านใหญ่ที่มีทางเชื่อมกันเล็กๆด้านหลัง มีแค่กูเท่านั้นที่เข้าออกได้”
หินค่อยๆเล่าออกมาให้แฟนฟังโดยไม่ต้องให้อีกฝ่ายถามขึ้น ค่อยๆเรียนรู้และปรับตัวหลังจากเกิดความไม่เข้าใจกัน
“เหมือนตรงหน้าบ้านน่ะเหรอ”
พื้นที่บ้านของหินมีบริเวณกว้าง กว่าจะเข้ามาถึงตัวบ้านได้ดูเหมือนจะมีเพียงเจ้าของเท่านั้นที่สามารถ ส่วนของหน้าบ้านหลังนี้มีประตูที่ระบบผ่านเข้าออกมีความปลอดภัยแน่นหนา กำแพงทึบตั้งสูงตระหง่านอย่างไม่สามารถมองเห็นข้างในได้แม้แต่ปลายหลังคา
พี่สาวของหินบอกว่ามีเพียงหินเท่านั้นที่สามารถเข้าหรืออนุญาตให้คนเข้าไปได้...เหตุผลเพราะเจ้าตัวต้องการความเป็นส่วนตัว
ประตูทางเชื่อมก็คงเช่นกัน
“ใช่ ทั้งทางเข้าและทางออกไปบ้านใหญ่ใช้ระบบสแกนนิ้วมือและกดรหัส ออกจากนี้ไปไม่ยาก แต่คนข้างนอกเข้ามาไม่ได้”
“เวลามึงทะเลาะกับแม่ก็คงหนีมานี่เลยสินะ”
“มันมีระบบส่งสัญญาณฉุกเฉินจากคนด้านนอก แม่กูก็จะก่อกวนจากตรงนั้น” คิดถึงภาพนั้นแล้วเสียงทุ้มก็พลันเหนื่อยหน่ายขึ้นมาราวกับกำลังเกิดขึ้น
สัญญาณเตือนปิดได้แต่แม่จะไม่หยุดหากไม่ยอมเปิดประตูให้เข้ามา
“แล้วมึงทำไง”
“ทำยังไง ก็ต้องเปิด”
คนฟังหลุดหัวเราะให้กับวีรกรรมของสองแม่ลูกพลางส่ายหน้าน้อยๆ
“สร้างบ้านเป็นส่วนตัวขนาดนี้ทำไมไม่ไปอยู่ในถ้ำซะเลยล่ะ”
“ผนังถ้ำมันแข็ง เวลาทำอะไรเดี๋ยวเจ็บหลัง”
แฟนเบ้ปากให้กับคำตอบที่ไม่พ้นเรื่องใต้สะดือ ก่อนร่างเล็กจะเดินกลับมานั่งลงบนเตียงกว้างเมื่อสำรวจครบทุกมุม พอร่างกายถูกรองรับด้วยความนุ่มก็รู้สึกง่วงขึ้นมาฉับพลัน
“ง่วง” ว่าแล้วก็ถอดสลิปเปอร์แล้วเอนตัวลงนอน พร้อมทั้งขยับให้ได้ที่
“ง่วงก็นอน” ร่างสูงทรุดตัวนั่งลงบนเตียงอีกด้าน
“มึงมานอนด้วยกันสิ”
คนถูกชวนไม่ปฏิเสธ หินถอดสลิปเปอร์แล้วดึงผ้าห่มมาคลุมตัวเองและอีกคน จากนั้นจึงล้มตัวลงนอน ไม่นานนักแฟนก็ขยับเข้ามาใกล้ เบียดกายเข้าหา แนบใบหน้าอยู่กับอกกว้าง
“บ้านมึงน่าอยู่มาก”
เปลือกตาบางปิดลงขณะเอ่ยพูด ซึมซับกลิ่นอายของหินจากการแนบชิด และจากบรรยากาศโดยรอบ
ทุกอย่างในนี้ล้วนเป็นหินจริงๆ
“น่าอยู่ก็มาอยู่ด้วยกัน”
“อยากให้กูมาอยู่เหรอ”
“อีกสิบปีหรือยี่สิบปีกูก็ต้องกลับมาอยู่ ยังไงมึงก็ต้องมาด้วย สลับกับอยู่บ้านมึง”
มือหนาลูบไล้ไหล่ของคนในอ้อมกอดเป็นการกล่อมพร้อมทั้งพูดถึงเรื่องในอนาคต
“กูไม่ยอมอยู่ห่างมึงแน่ๆ”
“หึ แล้วใครจะยอม”
แฟนระบายยิ้มยามสติกำลังค่อยๆหลุดลอยเนื่องจากความง่วงงุน ไม่มีคำพูดใดๆต่อจากนั้น มีเพียงการขยับกายซุกซบก่อนจะนิ่งไปพร้อมกับสัมผัสที่กดลงกลางหัว
สี่โมงเย็นทางเดินเล็กๆลัดเลาะไปตามแผ่นหินที่ปูบนพื้นนำพาสู่ประตูทางเชื่อม นิ้วแกร่งวางลงบนแท่นสแกนลายนิ้วมือ พลันวินาทีต่อมาเสียงปลดล็อกก็ดังขึ้น
“รหัส 236790 ลายนิ้วมือมีแค่กูคนเดียว ส่วนคนที่รู้รหัสมีกูและ...มึง”
ปากเล็กที่กำลังพึมพำรหัสนั้นชะงักกึกเมื่อไม่คาดคิดว่าตัวเองจะเป็นเพียงอีกคนที่ได้รู้
“กูจะไปบอกคนในบ้านมึง”
ใบหน้าสวยเชิดขึ้นด้วยท่าทางกวนๆ ทางด้านคนถูกขู่กลับไม่นึกหวั่น มุมปากได้รูปยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม ก่อนจะเอื้อมมือไปบีบปากเล็กที่ยื่นออกมาเบาๆ
“อื้อ!”
“เอาสิ มึงบอกกูก็เปลี่ยนรหัส แล้วก็จะลงโทษจนมึงนอนเป็นผู้ป่วยติดเตียง ไปไหนไม่ได้”
แฟนเบี่ยงหน้าหนีให้ปากหลุดออกจากการถูกบีบ สายตาวิบวับของคนพูดส่งผลให้ขนอ่อนในกายลุกพรึบยามคิดถึงสภาพนั้นของตัวเอง
“นี่มึงเข้าขั้นโรคจิตแล้วนะ”
หินหลุดหัวเราะให้กับคำพูดนั้น ก่อนจะเลิกเย้าแหย่คนข้างตัวด้วยการเอื้อมมือไปเปิดประตู
แฟนชะโงกหน้าไปมองอีกฝั่งจึงได้เห็นว่าเป็นซุ้มทางเดินที่รายล้อมไปด้วยไม้เลื้อย คนที่ก้าวไปก่อนยื่นมือมาตรงหน้า เมื่อมือเล็กวางลงแล้วก้าวตามไปจึงได้พบกับทางเดินที่นำพาสู่บ้านใหญ่
ทางเชื่อมนี้ทอดยาวไปสู่ด้านหลังของตัวบ้าน บริเวณซึ่งมีสวนดอกไม้และโต๊ะเก้าอี้สำหรับการนั่งพักผ่อน ยามแฟนเดินมาจนสุดทางร่างเล็กก็หยุดนิ่ง กวาดมองทุกอย่างรอบตัวรวมถึงตัวบ้านที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า
บ้านใหญ่...ใช่ ใหญ่ เป็นบ้านสามชั้น
อาจไม่เท่าบ้านของเขาแต่ก็ถือว่าใหญ่เกินกว่าจะเรียกได้ว่าพอมีพอกิน ขนาดเห็นเพียงแค่ด้านหลังเท่านั้น
“บ้านพ่อแม่ไง ไม่ใช่บ้านกู” คนร้อนตัวรีบเอ่ยอธิบายเมื่อเห็นสายตาของแฟนที่มองมา
“มึงก็เอาแต่พูดแบบนี้”
“ก็เรื่องจริง” หินพูดไม่เต็มเสียงนัก
เสียงถอนหายใจดังขึ้นยิ่งทำให้คนมีความผิดติดตัวระแวง ทว่ายังไม่ทันจะได้แก้ตัวอะไรมากไปกว่านั้นประตูหลังบ้านก็ถูกเปิดออก
“อ้าว ป้านาง...สวัสดีครับ”
เห็นหินยกมือไหว้แฟนเองก็รีบทำตามทั้งที่สมองยังคิดอะไรตามไม่ทัน
“สวัสดีค่ะ ตื่นกันแล้วเหรอคะ”
คนแก่ระบายยิ้มอ่อนโยนเมื่อเห็นคุณหนูของตัวเองและคนข้างกายซึ่งมีหน้าตาและท่าทางน่าเอ็นดู
“ครับ กำลังจะเข้าบ้านพอดี”
“คุณพรรณรออยู่ในบ้านแต่เช้าแล้วค่ะ นี่ก็เห็นบ่นใหญ่เลยว่าเมื่อไหร่จะเข้าไปหากัน”
“ครับ ป้านาง นี่แฟนเป็นแฟนผม...ป้านางเป็นคนที่เลี้ยงกูมา”
คนกลางเอ่ยแนะนำทั้งสองฝ่ายให้รู้จักกัน แฟนจึงกล่าวสวัสดีป้านางพร้อมรอยยิ้ม
“สวัสดีค่ะ หน้าตาน่าเอ็นดูจริงเชียว ยังไงก็รีบเข้าบ้านกันเถอะค่ะ เดี๋ยวป้าจะรีบเก็บดอกไม้ไปทำอาหารเย็นให้ทาน”
หินรับคำพลางกุมมือแฟนให้เดินตามมา โดยมีสายตาของคนแก่ทอดมองจนกระทั่งทั้งสองหายเข้าไปในตัวบ้าน ใบหน้าซึ่งมีรอยเหี่ยวย่นตามอายุทอประกายความสุข
ดูเข้ากันจริงเชียว
“น้องแฟนอยากกินอะไรเป็นพิเศษไหมลูก เดี๋ยวแม่ให้คนทำให้แป๊บเดียว”
“มะ...”
“เดี๋ยวกินข้าวเสร็จแล้วให้พี่เขาพาเที่ยวเนอะ ไปทั้งต้นตาลแล้วก็คนเดินเลย”
“เอ่อ...”
“หรือว่าจะไปเซ็นทรัลจ๊ะ ไปช็อปปิ้งไหมหืม” คนถูกถามนั่งนิ่ง ตากะพริบปริบเนื่องจากฟังไม่ทัน
ตั้งแต่ได้เจอกับพ่อและแม่ของหิน ทุกอย่างก็เกิดขึ้นรวดเร็วจนไม่ทันได้ตั้งตัว จำได้เพียงว่าแม่ของหินเข้ามากอดพร้อมทั้งรัวคำชมและประโยคอื่นๆอีกมากมายกระทั่งถึงตอนนี้ที่ทำได้เพียงยิ้มแหย
คุณแม่จะเอาคำถามไหนก่อน...
“คุณ เด็กๆจะไปเที่ยวไหนก็แล้วแต่เขาเถอะ คุยเยอะจนแฟนลูกตอบไม่ทันแล้วนั่น”
คนเป็นสามีขัดขึ้นอย่างอดไม่ได้เมื่อภรรยาผู้เห่อลูกสะใภ้เอาแต่แนะนำนู้นนี่ไม่หยุด
“อย่างลูกคุณจะรู้จักไปเที่ยวที่ไหน ไปไหนทีก็บอกแต่คนเยอะ”
ผู้เป็นแม่ปรายตามองลูกชายซึ่งนั่งอยู่ข้างตัวอย่างไม่สบอารมณ์ แตกต่างจากยามพูดและยามมองแฟนของลูกโดยสิ้นเชิง
“เอาน่า ปล่อยให้เป็นเรื่องของเด็กไป น้องแฟนอย่าถือสาแม่เขาเลยนะ”
น้องแฟนของคนทั้งบ้านยิ้มรับก่อนจะรีบเอ่ยปากเมื่อตั้งสติกับเหตุการณ์อันรวดเร็วนี้ได้แล้ว
“ไม่เป็นไรเลยครับ ขอบคุณคุณแม่ที่แนะนำ แฟนอยากไปเดินตลาดมากกว่า”
ท่าทางสุภาพนอบน้อม และคำแทนตัวอย่างน่ารักเป็นไปเองโดยเป็นธรรมชาติ
ความใจดีของครอบครัวหินทำให้ความหวั่นกลัวและความตื่นเต้นยามเดินเข้ามาในบ้านมลายหาย เพียงไม่กี่นาทีที่ได้พูดคุยก็สามารถเป็นตัวเองได้โดยไม่ต้องนั่งเกร็ง
“งั้นก็ให้พี่เขาพาไปนะลูกนะ”
“ครับ” แฟนรับคำพร้อมรอยยิ้ม
เสียงพูดคุยระหว่างรอมื้อเย็นในตอนหกโมงดังขึ้นไม่หยุดหย่อน บรรยากาศของบ้านหลังใหญ่ดูครื้นเครงขึ้นกว่าเคย ไม่เงียบเหงาอย่างที่ผ่านมา
“แฟนคุณหินหนิพุงามเนาะป้า หน่าตา ผิวพรรณดี้ดี” (แฟนคุณหินนี่สวยเนอะป้า หน้าตา ผิวพรรณดี้ดี)
“คนนึงนิ่ง คนนึงสดใส เหมาะสมกันจริงๆ”
คนแก่ซึ่งได้ขึ้นชื่อว่าแม่คนที่สองของหินตอบกลับด้วยรอยยิ้มยามสายตาจับจ้องไปยังกลุ่มคนซึ่งนั่งคุยกันอยู่ในห้องรับแขก
รสนิยมของคุณหินของทุกคนเป็นที่รับรู้กันดีในบ้านจึงไม่ใช่เรื่องน่าตกใจ แม้ไม่เคยพาใครมาแนะนำเป็นตัวเป็นตนแต่ก็มีคนพยายามเข้าหาอยู่บ้างทั้งหญิงและชาย
--
“นี่มึงบอกว่าพ่อกับแม่พอมีพอกินเหรอ...เปิดร้านทองแล้วก็ปั๊มน้ำมันนี่เรียกแค่พอมีพอกินเหรอ!”
ยังไม่ทันที่ประตูรถจะปิดลงสนิทแฟนก็ว้ากถามคนข้างตัวด้วยความอัดอั้น
ด้วยเพราะไม่มีเวลาอยู่ด้วยกันเป็นส่วนตัวกระทั่งถึงตอนนี้ จึงไม่มีโอกาสได้พูดคุยใดๆ
วินาทีที่เดินเข้าไปในบ้านแฟนรู้สึกอึ้งจนพูดไม่ออก ยิ่งยามได้รู้ว่าครอบครัวของหินมีกิจการอะไรบ้างยิ่งอยากหันไปทุบอีกคนแรงๆ ไหนจะโรงรถที่เรียงรายไปด้วยรถยุโรปหลายคัน
ทั้งหมดนี้บ่งบอกให้รู้ว่าบ้านหินรวยแค่ไหน
“ก็...ไม่รวยเท่ามึงหรอกน่า” คนที่พ่อกับแม่แค่‘พอมีพอกิน’เอ่ยตอบเสียงไม่หนักแน่นนัก
“ไม่ต้องมาพูด!”
“แต่เรื่องนี้กูไม่ได้ปิดบังมึงเลย จะให้มาแนะนำตัวว่ากูชื่อหิน ที่บ้านขายทองมีปั๊มน้ำมัน มันก็ไม่ใช่”
คิดตามแล้วแฟนก็เข้าใจในสิ่งที่หินต้องการสื่อ จะให้บอกว่าชื่อหิน พ่อแม่รวยมาก เรียบจบจากต่างประเทศ ก็คงไม่ใช่เรื่องจริงๆ
ลมหายใจร้อนถูกพรูออกระงับสติของตัวเอง ไม่ได้รู้สึกโกรธหรือไม่พอใจอีกคน เพียงแต่ยังคงแปลกใจกับเรื่องที่เพิ่งได้รับรู้
“โอเค เรื่องนี้กูเข้าใจได้” คนที่แอบกังวลว่าแฟนอาจจะโกรธโล่งอกจนหลุดยิ้ม “กูหวังจะไม่มีเรื่องอะไรที่กูไม่รู้อีกแล้วนะ”
สายตาและคำพูดคาดโทษนั้นทำให้หินรีบครุ่นคิดว่ามีเรื่องอื่นอีกหรือไม่
“ไม่น่ามีแล้ว...อืม แต่ว่าก็จะบอกไว้เผื่อมึงอยากรู้ มีเรื่องงานนิดหน่อย มีบริษัทต่างชาติเข้ามาคุยให้ไปทำงานให้ แต่ทุกอย่างก็ยังอยู่ในกระบวนการเตรียมการ”
แฟนพยักหน้ารับรู้ แม้จะพอรู้มาบ้างจากเอกสารที่ได้เห็น แต่เมื่ออีกฝ่ายบอกออกมาตรงๆก็ยังอดตื่นเต้นแทนไม่ได้ ทั้งที่เจ้าตัวกลับไม่มีแววของความตื่นเต้นเลยสักนิด
“กูไม่ได้สติ้กให้มึงต้องพูดทุกอย่าง แต่อะไรที่สำคัญ อะไรที่รู้สึกว่าคนรักกันสมควรต้องรู้ อันนี้ต้องพูด...หรือจะให้ง่ายก็ลอง
คิดว่าถ้าเรื่องนั้นกูไม่บอกมึง มึงจะรู้สึกยังไง”
คนเด็กกว่าและมีมุมที่ยังเป็นเด็กอยู่มากมายกลายเป็นผู้ใหญ่กว่าในยามนี้
น้ำเสียงที่เอ่ยบอกไม่มีความบังคับ คาดคั้น หรือประชดประชัน แฟนเรียนรู้ที่จะคุยถึงความต้องการของตัวเองด้วยเหตุและผลแบบที่หินทำเป็นตัวอย่างมากขึ้น
“อืม เข้าใจ”
หินพยักหน้ารับ ดวงตาคมฉายชัดถึงความเข้าใจเมื่อลองคิดตามสิ่งที่แฟนบอก
แฟนลอบถอนหายใจกับหลายเรื่องที่เพิ่งได้รู้ หลายสิ่งที่ต้องทำความเข้าใจในตัวของอีกคน แต่ถึงอย่างนั้นความรู้สึกเต็มตื้นที่คนตรงหน้าเป็นหินก็มีมากเหนือสิ่งอื่นใด
โชคดีที่สุดแล้ว...
“สรุปกูได้หลัวเป็นผ้าขี้ริ้วห่อทองซะงั้น” เอียงหน้าผากไปซบกับคนที่นั่งอยู่ฝั่งคนขับพร้อมพูดด้วยรอยยิ้มอ่อน
“กูเป็นผ้าขี้ริ้ว?” หินแกล้งเย้าก่อนจะกดจูบลงบนหัวเล็กเบาๆ
“อืม!” แฟนรับคำด้วยเสียงในลำคอให้กับมุกละบาทสองบาท จากนั้นจึงผละออกมานั่งตัวตรง
“ออกรถได้ กูพร้อมจะเป็นเด็กขอนแก่นแล้ว”
หินเลิกเลิกคิ้วให้กับการเปลี่ยนอารมณ์ไวของแฟน แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่คิดขัด รถคันหรู(ที่แม่บังคับให้ใช้)เคลื่อนออกจากตัวบ้าน มุ่งหน้าสู่ถนนคนเดินขอนแก่นตามคำเรียกร้องของเด็กกรุงเทพ
“คนเยอะมาก ร้านส้มตำคนแน่นเชียว เราไปนั่งกินแบบนั้นบ้างได้ไหม”
คนที่ตื่นตาตื่นใจกับร้านรวงต่างๆตามถนนเส้นเล็กซึ่งมีผู้คนเดินเบียดเสียดสะกิดให้หันไปมองร้านที่อยู่ฝั่งฟุตบาท ร้านอาหารแถบฝั่งนั้นจะมีโต๊ะญี่ปุ่นไว้รองรับสำหรับให้ลูกค้านั่งทาน
“มึงอยากกิน?”
“ก็อยากลอง”
คนซึ่งถูกกอดคอเอาไว้กันเดินพลัดหลงเงยหน้าขึ้นมาตอบ ตามกรอบหน้าเล็กชื้นไปด้วยเหงื่อเนื่องจากสภาพอากาศและผู้คนรอบตัว
“เดินดูก่อนแล้วค่อยกลับมากิน” แฟนพยักหน้ารับ
“ของกินเยอะมาก ของต่างๆก็เยอะมาก ยังมีตรงนู้นอีกใช่ไหม”
“อืม ยาวไปถึงนั่นแหละ” ตาดวงโตเบิกขึ้นเล็กน้อยบ่งบอกความตื่นเต้น
แฟนแทบจะแวะซื้อของกินทุกร้าน ยังไม่ทันจะเดินไปถึงโซนพวกของจิปาถะสองมือหนาก็เต็มไปด้วยถุงอาหารมากมายหลายสิบถุง
“อะ” มือบางจิ้มไส้กรอกที่บีบเพื่อตัดเป็นชิ้นๆส่งมาให้ถึงปาก
“ไหนบอกจะไปกินส้มตำ”
“ก็กินด้วยไง”
“มึงซื้อของกินเหมือนเผื่อถึงอาทิตย์หน้า”
“ก็ได้มาทั้งที มันน่ากินทุกร้านเลยนี่...น่า อย่าดุเลย”
คนที่รู้ตัวว่าจะโดนหินดุเรื่องการใช้เงินรีบเอ่ยดักทาง ขณะที่คนกำลังจะดุก็ได้แต่ส่ายหัวอ่อนใจ
จะยอมให้เพราะถือว่าเป็นโอกาสพิเศษที่มีนานๆที
“หูย ตรงนี้เขาแสดงอะไรอ่ะ”
เมื่อเดินจนใกล้จะถึงกลางทางแยก ซึ่งแบ่งฝั่งโซนขายอาหารและของจิปาถะสายตาก็เหลือบเห็นโชว์อะไรสักอย่างที่กำลังแสดงอยู่ ทว่ายังไม่ทันได้รับคำตอบร่างกายก็เซไปเล็กน้อยจากการที่เจ้าของท่อนแขนบนบ่าถูกชน
“อ๊ะ ขอโทษครับ”
แรงกระแทกตรงช่วงหัวไหล่ทำให้หินเซจนคนที่ถูกกอดคอเซไปด้วยกัน ทว่าเมื่อเงยหน้าขึ้นมองคู่กรณี คนถูกชนก็ได้แต่บอกตัวเองว่าไม่น่าเลย
“พี่หิน! กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”
คิ้วคู่สวยขมวดมุ่นเมื่อได้ยินคำทักทายที่บ่งบอกถึงความสนิทสนม ผู้คนเดินสวนไปมาขวักไขว่จนต้องขยับไปอยู่ด้านหลังของหิน โดยที่แฟนลอบกวาดสายตามองคนตรงหน้าเงียบๆ
อีหรอบนี้เด็กเก่าหินชัวร์
“เพิ่งมาถึงวันนี้เอง”
“ไม่ได้เจอกันตั้งนานแหนะ กลับขอนแก่นทำไมไม่บอกกันบ้าง”
“พี่มาทำธุระ พรุ่งนี้ก็กลับแล้ว” สรรพนามที่เรียกแทนตัวเองทำให้คนด้านหลังเบะปาก
พี่อย่างงั้นพี่อย่างนี้ ทีกับเขากว่าจะพูดสักที
“น่าเสียดาย ยังไงเดี๋ยวอาร์ตทักเฟซไปนะ ต้องรีบไปแล้ว เพื่อนรออยู่”
หินรับคำเพียงสั้นๆตามมารยาทก่อนจะต้องรีบหันไปหาคนด้านหลังเมื่อคู่กรณีเดินเลยไปไกลแล้ว
“เอาโทรศัพท์มา” แฟนเอ่ยพูดเสียงเรียบ
“เอาไปทำไม” แม้จะเอ่ยถามแต่กลับล้วงโทรศัพท์มือถือของตัวเองส่งให้โดยไม่มีอิดออด
เห็นสายตาของแฟนแล้วก็ไม่ควรจะอิดออดใดๆ
คนถูกถามไม่ตอบ ทำเพียงกดรหัสปลดล็อกหน้าจอแล้วกดเข้าไปในเฟซบุ๊ก
“เฟซคนเมื่อกี้ชื่ออะไร”
“อาร์ตี้อะไรสักอย่าง Arty”
“จำได้แม่นเชียวนะ” น้ำเสียงและถ้อยคำเข้มๆนั้นทำให้หินรีบแก้ตัว
“ก็มันชื่ออาร์ต จำได้แบบผ่านๆตาเท่านั้นเอง”
แฟนไม่สนใจคำอธิบาย ไม่สนใจแม้แต่การแสดงที่อยากรู้ก่อนหน้า นิ้วเล็กเลื่อนกดนู้นนี่อยู่สักก่อนส่งคืนเจ้าของ
“ทำอะไร?” หินถามขึ้นอีกครั้งขณะเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋ากางเกง
“บล็อก”
สั้น ง่าย และได้ใจความ
“กูบอกแล้วว่าตอนที่ยังไม่รู้สึก มึงจะให้เบอร์หรือจะอ่อยใครก็ได้ แต่ตอนนี้แม้แต่ชายตามองก็ไม่มีสิทธิ์แล้ว คุยแชทเหรอ?...อย่าหวัง”--
หลังจากละอองของระเบิดลูกเล็กๆที่อาร์ตทิ้งไว้ปลิวหายไปสถานการณ์ก็กลับมาเป็นปกติ แฟนใช้จ่ายและซื้อของไปมากมายด้วยความเพลิดเพลินก่อนสุดท้ายจะไปจบที่ร้านส้มตำที่หมายตา ทริปไปต่อยังตลาดนัดต้นตาลเป็นอันต้องเป็นหมันเนื่องจากคนร่างกายไม่สมบูรณ์นักเหนื่อยจนไม่อาจเดินต่อได้
“ไว้คราวหลังมาเที่ยวเฉยๆบ้างดีกว่า พรุ่งนี้ก็ต้องกลับแล้ว กูยังเที่ยวไม่จุใจเลย” แฟนบ่นขึ้นระหว่างนั่งรถกลับบ้าน
“คราวนี้มาทำธุระ ไว้คราวหลังจะพามาอีก”
“ว่าแต่ธุระอะไร แม่มึงให้มาซื้อรถเหรอ” แฟนลองเดาจากคำพูดที่ได้ยินแม่หินพูดในวันนั้น
“อืม ให้มาจอง เพื่อนกูทำกิจการด้านนี้ มีอะไรก็คุยกันง่ายเลยให้กลับมาจองที่นี่”
ความจริงอีกอย่างคือเพราะแม่กลัวเขาเบี้ยว อิดออดไม่ยอมไปดูไปซื้อ จึงให้กลับมาจัดการที่นี่เป็นการมัดมือชก
“มึงมีรถรุ่นในใจไว้แล้ว?”
“ก็ดูๆไว้บ้าง”
“ยี่ห้ออะไร”
“ทำไม อยากให้กูซื้อรถอะไร” คิ้วเข้มเลิกขึ้นถาม
“ก็ไม่ได้อยากให้ซื้ออะไรเป็นพิเศษ แค่ถามเฉยๆ”
“ว่าจะซื้อรถยี่ห้อทั่วไปนี่แหละ เดี๋ยวกลับถึงบ้านจะให้มึงเลือกคันที่ดูๆไว้”
คนจะมีส่วนช่วยในการตัดสินใจยกยิ้ม ทั้งที่เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยแต่การที่หินถามความคิดเห็นก็เป็นเรื่องน่าดีใจ
มันบ่งบอกถึงความสำคัญ บ่งบอกว่าเวลาจะทำอะไร เราเป็นอีกครึ่งหนึ่งในการตัดสินใจของเขา
“แต่บ้านมึงก็มีรถหลายคันนี่ มีทั้งเบนซ์และบีเอ็ม ไม่เห็นต้องซื้อใหม่”
ไม่รวมกับรถเก๋งยี่ห้อทั่วไป รถกระบะ และรถครอบครัว ทั้งหมดแล้วยังไงก็มากกว่าจำนวนคนที่มี
“หึ แล้วกูขัดคำสั่งแม่ได้ที่ไหน”
เพียงเท่านั้นก็เป็นอันว่าเข้าใจ
คำสั่งของแม่หินคือต้องซื้อรถใหม่...
--
“แม่เรียกผมมาคุยเรื่องอะไร”
ร่างสูงในชุดนอนเดินเข้ามากลางบ้านหลังจากได้รับโทรศัพท์จากคนเป็นแม่ในเวลาเกือบเที่ยงคืนว่ามีเรื่องจะคุยด้วย
“พรุ่งนี้ต้องไปคุยเรื่องรถแต่เช้าใช่ไหม” ใบหน้าคมพยักรับยามทรุดตัวนั่งลง
แม่เขานอนดึกเป็นประจำเนื่องจากต้องตรวจสอบงานทุกอย่างให้เรียบร้อย โดยเฉพาะกิจกาจปั๊มน้ำมันที่เปิดตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง
ทุกกิจการมีพี่สาวและแฟนของพี่ช่วยดูแลรวมถึงญาติคนอื่นๆ คงมีเพียงลูกชายที่ไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับธุรกิจใดโดยสิ้นเชิง
“ดูรุ่นอะไรไว้”
“ก็น่าจะ CR-V” ได้ยินคำตอบแล้วเสียงถอนหายใจจากคนเป็นแม่ก็ดังขึ้น
“เหมือนพ่อแกไม่มีมีผิด...เลือกใหม่ อย่ามองแค่ขับได้ ต้องคำนึงถึงอีกคน คิดถึงสังคมเขา หน้าตาเขา ยิ่งไปกว่านั้นคือความปลอดภัย รถราคาแพงไม่ได้มีไว้แค่อวด แต่สมรรถนะและความปลอดภัยมันสูงกว่า”
คนพูดเอ่ยด้วยเสียงเรียบเรื่อยพร้อมทั้งจิบน้ำสมุนไพรไปด้วยคล้ายกับคุยเรื่องสบายๆ หากแต่สายตาและน้ำเสียงนั้นบ่งบอกชัดเจนว่าทุกคำล้วนจริงจัง
“แม่จะให้ผมซื้อพวกรถแพงๆสินะ” หินตีความประโยคยืดยาวเหล่านั้นในแบบของตัวเอง
“ก็แล้วแต่แก ฉันแค่แนะนำ แต่ก็ลองคิดดูแล้วกันว่าถ้ามีคนในสังคมเดียวกับน้องแฟนมาสนใจเขาแล้วขับแลมโบกินี่มา ในขณะที่แกขับCR-V มันจะรู้สึกยังไง”
“...” คนฟังนิ่งเงียบ โดยไม่ต้องให้ขยายความต่อภาพในหัวก็แจ่มชัด
“อย่าลืมว่าถึงแกจะไม่รวย แต่ฉันรวย...มากด้วย” รอยยิ้มมุมปากและท่าทางกรีดกรายวางแก้วน้ำลงบนโต๊ะดูน่าหมั่นไส้จนคนเป็นลูกอยากถอนหายใจ
“...”
“...” หินใช้เวลาไตร่ตรองคิด ภาพรถหรูในดวงใจที่พยายามบอกตัวเองตลอดมาว่าไม่จำเป็นวาบขึ้นมาในหัวเป็นอันดับแรก
ผู้ชายกับรถ...ของมันแน่นอนอยู่แล้วว่าต้องมีคันในดวงใจ
“งั้นขอยืมเงินคนรวยส่วนหนึ่งก่อนแล้วกัน”
เขามีเงิน แต่ราคารถก็สูงลิบลิ่วเกินกว่าจะจ่ายด้วยเงินของตัวเองทั้งหมด
“ฉันมีปัญญาซื้อให้แกทั้งคัน ไม่สิ ถือว่าฉันซื้อให้น้องแฟน”
“หึ สิบล้านก็ยอมจ่าย?” หินแค่นหัวเราะพลางเลิกคิ้วถาม
“สิวๆจ้ะ”
คราวนี้คนมีแม่เป็นเศรษฐีไม่อาจอดกลั้นการถอนหายใจเอาไว้ได้จนมันดังพรืดออกมา...
TBC.
แปะรูปห้องนอนกับห้องน้ำบ้านพี่หินให้ทุกคนเห็นภาพค่ะ^^
มาเร็วเคลมเร็วมาก เครียดๆกับเจกต์ก็หนีมาแต่งนิยายซะเลย อิอิ
ตอนนี้ก็ได้รู้จักพี่หินมากขึ้นแล้วนะคะะะ ก็ตามนั้นเนอะ><
แล้วก็ขออธิบายจุดที่กลัวคนไม่เข้าใจ(แต่เคยเขียนบอกไว้แล้ว)
แม่พี่หินเป็นคนภาคกลางนะคะ เลยพูดกันเป็นภาษากลางตลอด
ไม่รู้ว่าคนอื่นเป็นไหม แต่สำหรับคนเขียนภาษาถิ่นจะไม่ค่อยพูดกับคนไม่สนิทค่ะ
ยิ่งในตัวเมืองแล้ว เวลาสื่อสารกับแม่ค้าพ่อค้า ทักทายเวลาเจอคนรู้จักก็จะเป็นภาษากลางตลอด
กรี๊ดคุณแม่พี่หินมาก สปอร์ตกทมสุดๆ555555555555 รวยจริงอะไรจริงเด้อ
ตอนหน้าจะมาลงลึกเรื่องความคิดของครอบครัวพี่หินมากขึ้นนะคะ
ทุกอย่างมีเหตุและผลเสมอค่ะ : )
แล้วเจอกันตอนหน้าน้า(ถ้าโซแอลไม่ตายกับเจกต์และสอบไปซะก่อน)
ฝากแท็ก #พี่หินคนห่าม / twitter / fanpage ของโซแอลด้วยน้าาาา
แฟนเพจ : https://www.facebook.com/writerexsoull/
Twitter : https://twitter.com/exsoull_ ฝากติดแท็ก #พี่หินคนห่าม ด้วยนะคะ