ตอนที่ 22
ก่อนสงกรานต์หนึ่งวันบรรยากาศเริ่มส่งสัญญาณความครึกครื้น บางบ้านในต่างจังหวัดมีการซ้อมมือก่อนวันพรุ่งนี้จะมาถึง ภาพการเล่นน้ำเล็กๆซึ่งสาดใส่รถไม่กี่คันที่แล่นผ่านทำให้หินยกยิ้ม ความคิดถึงไหลวนรอบกายยามได้กลับบ้าน
เขาชอบช่วงเวลาของสงกรานต์... ช่วงเวลาของวันเกิดตัวเอง
“แม่ไปตลาด เตรียมของสำหรับจัดงานพรุ่งนี้ ป่านนี้คงเหมาจนหมดตลาดแล้ว”
เสียงเอ่ยอย่างขบขันของพี่สาวซึ่งทำหน้าที่เป็นสารถีดังขึ้น ก่อนจะตามมาด้วยเสียงหัวเราะในลำคอของคนฟัง
“เขาอยากทำอะไรก็ทำไป แต่หินจะไม่ออกจากบ้าน”
“แม่ได้โวยแตก งานวันเกิดไม่มีเจ้าของวันเกิด”
“ก็โวยอยู่ทุกปี บอกว่าไม่ชอบก็ยังจัด”
คนเป็นพี่ส่ายหน้าน้อยๆขณะที่หินดึงความสนใจทั้งหมดกลับไปยังสองข้างทาง
เมื่อเข้ามาถึงกลางตัวเมืองก็พบเพียงถังน้ำที่ตั้งอยู่หน้าบ้านหลายหลังซึ่งเตรียมไว้สำหรับวันพรุ่งนี้ ไม่มีการสาดน้ำเช่นทางที่ผ่านมา
การจราจรเริ่มหนาแน่นแต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่อาจเทียบเท่ากรุงเทพ
สิบห้านาทีต่อมารถยนต์ก็เคลื่อนเข้าสู่บ้านที่แสนคุ้นเคย บ้านซึ่งอาศัยอยู่มาหลายสิบปี
ร่างสูงก้าวลงจากรถ เพียงแค่เท้าเหยียบลงบนพื้นทั้งสองข้างกลิ่นอายของความคุ้นเคยก็ปะทะเข้าหา
หลายเดือนทีเดียวที่ไม่ได้กลับบ้าน
“คุณหิน”
เสียงเรียกนั้นทำให้คนฟังยิ้มกว้าง หินหมุนตัวไปหาต้นเสียงแล้วขยับตัวเข้าไปกอดอีกฝ่าย เปลือกตาหนาปิดลง มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มอบอุ่น
“คิดถึงจังครับ”
ท่าทางนั้นอ่อนโยนอย่างไม่เคยเป็นแม้แต่กับคนเป็นแม่ พี่สาวของหินได้แต่ยืนมองแล้วระบายยิ้มบาง
ลูกรักเขากลับมาแล้ว
“ปากหวานนะคะ คิดถึงแล้วทำไมไม่ค่อยกลับบ้านเลยหืม”
มือเหี่ยวย่นของคนแก่ที่ยังแข็งแรงลูบไล้ไปตามแผ่นหลังกว้างของคนที่ตัวเองเลี้ยงมาตั้งแต่แบเบาะ ก่อนจะผละออกจากอ้อมกอดแล้วถามด้วยรอยยิ้มเย้า
“งานผมค่อนข้างจะยุ่ง”
“รู้ค่ะ มาเหนื่อยๆเข้าบ้านก่อนดีกว่า ป้าเตรียมน้ำลำไยเย็นๆไว้ให้ด้วยนะ”
คนถูกเอาใจตั้งแต่ยังไม่ทันเข้าบ้านดียิ้มรับพร้อมกล่าวคำขอบคุณ จากนั้นจึงเดินโอบเอวคนที่เรียกได้ว่าเป็นแม่คนที่สองเข้าบ้านไปด้วยกัน ทิ้งให้พี่สาวยืนโดดเดี่ยวอยู่ตรงนั้น
“ไม่มีใครสนใจฉันเลยเหรอเนี้ย”
วารินได้แต่ครางอ่อยกับตัวเอง
--
เสียงเปิดประตูบ้านดังขึ้นในความเงียบ บ้านซึ่งเป็นบ้านส่วนตัวของหินได้รับการดูแลเป็นอย่างดีแม้ยามเจ้าของไม่อยู่ กลิ่นของไม้ลอยกรุ่นอยู่รอบตัวเนื่องจากแทบทุกอย่างในบ้านหลังนี้ล้วนทำจากไม้ทั้งสิ้น
ร่างสูงซึ่งเพิ่งได้ออกมาจากความวุ่นวายเดินไปทิ้งตัวยังมุมนั่งเล่นที่ถูกจัดไว้อย่างลงตัว เปลือกตาปิดลงซึมซับกับบรรยากาศอันแสนคุ้นเคย ให้หัวใจที่เหนื่อยล้าจากการเดินทางเต้นด้วยจังหวะเรียบเรื่อย
และระหว่างผ่อนคลายด้วยความขี้เกียจอยู่นั้นโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงก็สั่นครืดคราด โดยไม่ต้องเดาคนที่โทรมาก็รู้ว่าเป็นใคร
“อืม” หินรับคำสั้นๆเช่นเคย
(ว่างรึเปล่า) น้ำเสียงนั้นเจือความไม่แน่ใจเพราะกังวลว่าจะโทรมารับกวนคนที่กลับบ้าน
แต่ทำไงได้ในเมื่อมันคิดถึง
“ว่างพอดี กำลังคิดว่าจะโทรหามึงอยู่เหมือนกัน”
หินกล่าวด้วยความสัตย์จริง แพลนในหัวคือคิดว่าจะพักอีกสักสิบนาทีแล้วโทรหาแฟน แต่อีกคนเป็นฝ่ายโทรมาเสียก่อน
(ถึงบ้านแล้วเหรอ)
ถามย้ำเพื่อความแน่ใจทั้งที่หินส่งข้อความมาบอกความเคลื่อนไหวอยู่เป็นระยะ
“อืม เพิ่งแยกตัวจากครอบครัวมาได้”
(อยู่ในห้องเหรอ)
“อืม มึงล่ะทำอะไร”
ได้ยินเสียงลมหวีดหวิวและผู้คนคุยกันจอแจดังเข้ามาในสาย เดาว่ายังไงก็คงอยู่ข้างนอก
(อยู่ร้านอาหาร มากินข้าวแล้วก็ถ่ายรูปเล่น เดินซื้อของนิดๆหน่อยๆด้วย)
ด้วยเวลาที่ช้ากว่าสี่ชั่วโมง ตอนนี้เมืองไทยสามทุ่มครึ่ง ซานโตรีนีจึงเป็นเวลายามเย็นกำลังดี
ห้าโมงกว่าในฤดูใบไม้ผลิ
“จะกลับที่พักตอนกี่โมง”
(อาจจะประมาณสองทุ่ม)
“ระวังตัวด้วย”
(อือ คิดถึงกูไหม)
คนขี้อ้อนถามเสียงแผ่วลงเมื่อรอบตัวรายล้อมไปด้วยคนในครอบครัว ท่าทางกระซิบกระซาบนั้นไม่อาจรอดพ้นสายตาใคร ทว่าเพราะทุกคนเข้าใจเป็นอย่างดีจึงทำเพียงมองหน้ากันแล้วอมยิ้ม
ขณะที่คนถูกถามยกยิ้มพลางขยับตัวเปลี่ยนท่านอนโดยไม่ยอมตอบคำถามในทันที
(หิน) ปลายสายเรียกขึ้นอีกครั้งเมื่อหินเงียบไปไม่ตอบ คิ้วได้รูปขมวดมุ่น ใบหน้าเริ่มบึ้งตึงตามแบบฉบับคนเอาแต่ใจ
“หืม” คนขี้แกล้งทำเพียงรับคำ ใบหน้าเปื้อนยิ้มกว้างขึ้นยามได้ยินเสียงเรียกนั้น
เท่านี้ก็บรรเทาความเหนื่อยล้าลงได้กว่าครึ่ง
(คิดถึงกูไหม)
“กูต้องตอบว่ายังไง” ลิ้นหนาดุนดันกระพุ้งแก้ม เสียงกวนอารมณ์ที่เอ่ยออกไปยังไม่ได้ครึ่งของท่าทางนี้
ถ้าแฟนได้เห็นคงเข้ามาข่วนหรือไม่ก็กัดด้วยความหมั่นไส้
(ทำไมต้องพูดเหมือนเป็นสิ่งที่ต้องตอบ ไม่ใช่เพราะมึงรู้สึกจริงๆ)
อารมณ์สนุกต้องหยุดชะงักลงเมื่อเสียงนั้นอ่อนอ่อยเจือด้วยความเศร้าและความไม่พอใจ
โดยไม่รู้เลยว่าตัวเองกำลังถูกเอาคืน แฟนพูดด้วยเสียงเศร้าสร้อยแต่ใบหน้ากับยิ้มพรายอย่างเจ้าเล่ห์
คิดว่าแกล้งคนอื่นเป็นคนเดียวหรือไง
“คิดถึง...คิดถึงมาก”
คำตอบนั้นทำให้คนฟังหัวใจพองโต ระยะทางแทบไม่เป็นอุปสรรคกับความรู้สึก แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ยอมอ่อนลงโดยง่ายให้คนชอบแกล้งได้ใจ
(ถ้าตอบเพราะกูถามก็ไม่ต้อง)
“อย่างอแง บอกว่าคิดถึงก็เพราะคิดถึง” คิ้วเข้มขมวดมุ่นด้วยเพราะกลัวว่าอีกคนจะงอนเข้าให้
ระยะทางแบบนี้กับการง้องอนทางโทรศัพท์ ไม่ใช่เรื่องที่ดีเลยสำหรับหิน
(อือ) แฟนยังคงรับคำเพียงสั้นๆแล้วก็เงียบไปให้หินร้อนรนยิ่งกว่าเดิม
ร้อนรนจนต้องลุกขึ้นมานั่ง ใบหน้าคมทอความจริงจังต่างจากเมื่อครู่ที่ยังยกยิ้มเพราะได้แกล้งคนปลายสาย
“พี่คิดถึง” สุดท้ายไม้ตายที่ไม่อยากยกมาใช้บ่อยก็ถูกนำมาใช้เนื่องจากความเงียบนั้น และนั่นก็ทำให้แฟนทนไม่ไหว แก้มเนียนเหมือนจะปริแตกเพราะกำลังกลั้นยิ้มสุดกำลัง มือบางเขี่ยส้อมไปมาบนจานเปล่าจนคนเป็นแม่ต้องแตะหลังมือให้หยุด พลางส่ายหัวกับอาการของลูกตัวเอง
(น้องก็คิดถึง)
ประโยคตอบกลับด้วยสรรพนามแสนหวานหูทำให้หินเริ่มโล่งใจ ทว่าก็ยังไม่ทั้งหมด ปากจึงขยับอธิบายต่อ
“เมื่อกี้แค่แกล้งเล่น”
(ก็ไม่ได้งอนสักหน่อย)
“แน่ใจ?”
(แน่ใจ...อ้ะ อาหารมาเสิร์ฟแล้ว ต้องกินข้าวก่อน)
พนักงานทยอยวางอาหารที่สั่งไปลงบนโต๊ะจนต้องรีบเอ่ยบอก แม้จะเสียดายเพราะยังอยากคุยกับหินต่อแต่ก็ไม่อาจเสียมารยาทคุยโทรศัพท์ขณะที่คนอื่นนั่งทานข้าวได้
“จะกลับตอนไหน ทำอะไร ไลน์มาบอกด้วย” หินกำชับ เกิดความวูบโหวงไม่น้อยยามต้องวางสาย
(อื้อ มึงก็เหมือนกัน วางแล้วนะ)
“อืม บาย”
(บาย)
ปลายสายถูกตัดไปแต่โทรศัพท์ในมือยังคงถูกยกแนบหูเอาไว้อย่างนั้น ราวครึ่งนาทีมันจึงถูกวางลงบนโซฟาอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนร่างสูงจะทิ้งตัวนอนพลางถอนหายใจออกมา
คิดถึงจริงๆนั่นแหละ
--
เช้าวันที่สิบสาม วันผู้สูงอายุและวันปีใหม่ไทย เสียงเพลงครึกครื้นดังไปทั่วตั้งแต่ยังไม่เที่ยง กลิ่นน้ำอบลอยจางๆอบอวลอยู่ทุกพื้นที่
ครอบครัวคณานนท์เริ่มต้นวันด้วยการไปวัด ตักบาตร และทำบุญ เพราะเป็นวันเกิดของหินจึงยกกันไปทั้งครอบครัว และเพราะเป็นที่รู้จักของคนไม่น้อยจึงมีผู้คนมากมายแวะเวียนเข้ามาทักทายไม่ขาดสาย
“ไม่เห็นหน้าซะนาน ยังหล่อเหมือนเดิมเลยนะจ๊ะ”
ประโยคซึ่งเอ่ยด้วยภาษากลางดังขึ้นให้หินทำเพียงยิ้มรับตามมารยาท ก่อนจะเบือนสายตาไปทางอื่นอย่างแนบเนียนเมื่อลูกสาวของคนตรงหน้าเพียรส่งสายตามาให้โดยไม่บิดบังหรือเก็บอาการ
ที่อีกฝ่ายไม่พูดภาษาถิ่นเพราะแม่ของเขาเป็นคนภาคกลางและไม่สามารถพูดอีสานได้แม้จะแต่งงานกับพ่อมาหลายสิบปี
“นานๆจะยอมกลับบ้านที กว่าจะตามตัวได้ก็ลำบากอยู่เหมือนกัน ไม่รู้ว่าติดสาวที่ไหนหรือเปล่า”
ประโยคนั้นทำให้คนทั้งสองชะงักไปอย่างสังเกตได้ ขณะที่คนถูกพาดพิงปรายตามามองผู้เป็นแม่ที่ยืนอยู่ข้างตัว พยายามเก็บซ่อนสายตาพึงพอใจเอาไว้เมื่อรู้ดีว่าผู้ให้กำเนิดกำลังดับฝันสองแม่ลูก
“หินมีแฟนแล้วเหรอจ๊ะ”
มีความอยากรู้แฝงมาอยู่เต็มเปี่ยม ยามคนเป็นลูกกัดปากรอคำตอบด้วยความลุ้นระทึก
“ครับ” คนถูกถามรับคำสั้นๆ คำตอบนั้นส่งผลให้แม่ตัวเองเบิกตาโพลงยิ่งกว่าสองแม่ลูก
“งั้นเหรอจ๊ะ”
ได้ยินเสียงหัวเราะแห้งๆกลบเกลื่อนความผิดหวังดังตามมาแต่หินไม่แม้แต่จะสนใจ ไม่นานนักทั้งสองก็เอ่ยปากขอตัวเนื่องจากไม่สามารถปกปิดความผิดหวังที่ท่วมท้น
“แกไปมีแฟนตอนไหน เป็นใคร ชื่ออะไร ทำไมฉันไม่เคยรู้มาก่อน” คำถามรัวเร็วได้รับคำตอบเป็นเพียงสีหน้าเรียบนิ่ง
สรรพนามเรียกขานคนเป็นลูกอาจฟังดูห่างเหินแต่เป็นเรื่องเคยชินเสียแล้วของบ้านนี้
“กลับกันเถอะ เดี๋ยวก็มีคนเข้ามาทักแม่อีก”
คนเป็นพี่หลุดหัวเราะกับท่าทางของน้องชายและแม่ตัวเอง แม้เรื่องที่ได้ฟังจะทำให้อยากรู้ไม่แพ้กัน แต่กระนั้นก็รู้จักหินดีว่าถ้าเจ้าตัวอยากบอกก็จะเล่าออกมาเอง
“ไม่กลับ ตอบคำถามฉันมาเดี๋ยวนี้”
“คุณน่า กลับเถอะ ค่อยไปคุยกันต่อที่บ้าน”
เสียงเรียบเรื่อยเอื่อยๆของคนเป็นสามีดังขึ้นห้ามทัพ หากแต่แน่นอนว่ามันไม่เป็นผลเมื่อสายตาเขียวปั๊ดตวัดมองมา
“ฉันอยากรู้ตอนนี้ เจ้าตัวดีแอบไปมีแฟนเชียวนะ สาเหตุนี้สินะที่แกไม่ยอมกลับบ้านกลับช่อง”
“ผมทำงานครับคุณนาย” เสียงทุ้มตอบกลับด้วยความเหนื่อยหน่าย
แฟนไม่ใช่สาเหตุของการไม่กลับบ้านแต่เพราะหน้าที่การงานที่ต้องรับผิดชอบไม่เอื้ออำนวยต่อการปลีกตัวกลับมาก็เท่านั้น
“เหอะ ยังไงกลับบ้านก็ต้องเล่าเรื่องของแฟนแกมาให้หมด”
ท่าทางก่อนหน้าอ่อนลงเมื่อหางตามองเห็นเพื่อนบ้านซึ่งดูเหมือนกำลังจะตรงมาทางนี้
พอแล้ว ขี้เกียจจะคุย
“ครับคุณนาย จะเล่าให้ฟังหมดเลยครับ”
ถ้อยคำประชดนั้นได้รับแรงบิดตรงแขนจนต้องขยับตัวหนี พ่อและลูกสาวได้แต่สายหัวด้วยความอ่อนใจขณะที่คนอ่อนใจยิ่งกว่าน่าจะเป็นหิน ก่อนทั้งหมดจะรีบเดินกลับไปที่รถเมื่อกิจกรรมช่วงเช้าเสร็จสิ้น
แม่เขาก็เป็นแบบนี้ แตกต่างจากคนเป็นพ่อโดยสิ้นเชิง แต่ถึงอย่างนั้นทั้งสองกลับเป็นคู่ที่ลงตัวอย่างไม่น่าเชื่อ และแม้คำพูดในครอบครัวอาจฟังดูไม่เหมือนบ้านอื่นแต่ความจริงกลับสนิทกันยิ่งกว่าอะไร
เมื่อแม่ไม่รู้เรื่องแฟน เจ้าตัวถึงได้โวยวายอย่างที่เห็น
--
บ่ายลมพัดเอื่อยๆผสมกับกลิ่นของน้ำอบที่ลอยอบอวลพัดผ่านหน้าพาให้รู้สึกสดชื่น เสียงเพลงและบรรยากาศการสาดน้ำยามบ่ายเกิดขึ้นอยู่นอกวัด มองออกไปแล้วได้แต่คิดถึงตัวเองเมื่อครั้งเป็นเด็ก ตอนนี้หมดความรู้สึกอยากจะเล่นน้ำแบบนั้นเสียแล้ว
ยามเช้าหินมาวัดเพื่อใส่บาตร ไหว้พระ ตอนบ่ายก็กลับมาอีกครั้งกับกลุ่มเพื่อนที่นานๆจะเจอกันที
มาเพื่อเพื่อนอีกคนที่อยู่ในความทรงจำไม่ห่างหาย
“เย็นนี้เจอกันกี่โมงวะ”
“เหล่าเบียร์บ่ออั้นแมนบ๊อ” (เหล้าเบียร์ไม่อั้นใช่ไหม)
“วันเกิดหมู๊ทังเทือ สิฉลองไห่ฮอดมื่ออื่นเลยครับ” (วันเกิดเพื่อนทั้งที จะฉลองให้ถึงพรุ่งนี้เลยครับ)
ยังไม่ทันจะพ้นเขตวัดเพื่อนตัวดีที่คบหากันมาตั้งแต่เด็กก็เริ่มพูดคุยถึงงานเลี้ยงเย็นนี้ หินปรายตามองเพื่อนที่กำลังไฮไฟว์กันสนุกสนาน สีหน้าท่าทางนั้นบ่งบอกชัดเจนว่ากำลังรอคอยสิ่งใด
“บ่อทันพ่นเขตวัดกะคิดเรืองบ่อดีแล่ว?” (ยังไม่ทันพ้นเขตวันก็คิดเรื่องไม่ดีแล้ว?)
หินพูดพลางส่ายหัวอ่อนใจ
“ไม่ดีตรงไหน พวกกูแค่จะฉลองวันเกิดให้มึงเท่านั้น”
หนึ่งในเพื่อนสนิทนามว่าจอห์น ผู้ซึ่งพูดอีสานไม่ได้เพราะที่บ้านให้พูดภาษากลางมาตั้งแต่เด็กเอ่ยขึ้น
“แน่ใจว่ามึงคิดแค่นี้?”
“ไม่ เหล้าเท่านั้นที่กูคิดถึง”
“ฮ่าๆๆๆๆ” แล้วเสียงหัวเราะอย่างถูกใจก็ดังขึ้นประสานกัน ขาแกร่งจึงยื่นออกไปเตะเพื่อนตัวเองด้วยความหมั่นไส้
“ทำไมมึงยอมรับง่ายจังวะ” เชนเอ่ยขึ้นอีกคน
“อยู่ในวัด กูไม่อยากโกหก”
หินไม่อยู่รอฟังบทสนทนาไร้สาระต่อจากนั้น เมื่อเห็นเจ้าของวันนี้เดินไปทางรถเพื่อนทั้งสามจึงต่างรีบวิ่งตาม แม้ว่าวันนี้จะสนุกกันเพียงใดแต่พวกเขาทั้งหมดก็ไม่ลืมเพื่อนอีกคนบนสวรรค์
มาทำบุญให้แล้วนะ นางฟ้าของพวกเขา
--
ตกเย็นก่อนงานเลี้ยงจะเริ่มก็เป็นการใช้เวลากับครอบครัว ผู้หญิงที่ใกล้เข้าสู่วัยผู้สูงอายุนั่งอยู่บนเก้าไม้พันธ์หายากตัวใหญ่ เคียงข้างกับชายที่อายุมากกว่า โดยมีลูกชายนั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้า ลูกสาวนั่งอยู่อีกด้าน
น้ำเย็นฉ่ำหอมกลิ่นมะลิโอบอุ้มเท้าสองคู่ มือหนาหยาบสากค่อยๆลูบไล้ ล้างเท้าที่ลำบากลำบนเลี้ยงตนมา ขณะที่ปากกล่าวคำขอขมาในสิ่งที่ล่วงเกินผู้ให้กำเนิด
จากนั้นหินจึงยกเท้าของพ่อกับแม่มาวางลงบนหน้าขาที่มีผ้าสะอาดรองอยู่ก่อนแล้วค่อยๆเช็ดความเปียกนั้นออกให้แห้ง กล่าวคำอธิษฐานจิตก่อนจะก้มหมอบลงแล้วนำเท้าสองคู่มาวางลงบนหัว เมื่อสัมผัสอ่อนโยนไล้ไปมาข้างแก้มสองสามครั้งจึงผละออกแล้ววางเท้าพ่อกับแม่ลงบนพื้น นำพานธูปเทียนยื่นส่งให้ ก่อนจะก้มลงกราบ
คนเป็นพ่อและแม่ยิ้มรับพลางกล่าวคำอวยพร จากนั้นจึงรั้งตัวของหินเข้ามากอด
“เป็นคนดีอย่างที่เป็น ตลอดไปนะลูก”
หินพยักหน้ารับ ถึงไม่มีคำพูดสวยหรูแต่ถึงอย่างนั้นดวงตาก็แสดงออกถึงการรับคำ
ทางด้านคนเป็นพ่อที่หยิบกระดาษบนพานขึ้นมาดูแล้วได้แต่ยกยิ้ม มากกว่าซองเงินแล้วคือความสำเร็จของลูกชายคนนี้ที่ไม่เคยทำให้ผิดหวังเลยสักครั้ง
“เก่งมาก” ไม่มีคำพูดใดที่มากกว่านั้นไม่ต่างจากคนเป็นลูก
เพียงเท่านี้ก็เป็นวันเกิดที่ดีแล้ว
--
เมื่องานเลี้ยงเริ่มเจ้าของวันเกิดก็ปลีกตัวมายังพื้นที่ของตัวเอง ไม่พ้นว่าคนเป็นแม่จะเข้ามาโวยวายในวันพรุ่งนี้ทว่าหินไม่สนใจ ปาร์ตี้เล็กๆฉบับเพื่อนสนิทเริ่มขึ้นโดยถูกตัดขาดจากคนภายนอก
ท่ามกลางเสียงเพลงและเครื่องดื่มมึนเมาร่างสูงกลับนั่งจับจ้องโทรศัพท์ในมือไม่วางตา
ลืมไปเลยว่ายังไม่ได้บอกแฟนว่าวันนี้เป็นวันเกิด
“เอ้า จับอยู๊หั่นล่ะโทรศัพท์ เป็นหยังคะสามี” (เอ้า จับอยู่นั่นแหละโทรศัพท์ เป็นอะไรคะสามี)
คำพูดมาพร้อมกับร่างเพรียวที่เข้ามากอดคอจากทางด้านหลัง เพราะมัวแต่เหม่อลอยคิดถึงแฟนจึงไม่ทันได้เบี่ยงตัวหลบ
งานนี้มีเพื่อนสนิทมากันเพียงห้าหกคน หนึ่งในนั้นคือไอ้ชาติ หรือชาช่าที่กำลังกอดคอกันอยู่ตอนนี้
“กูกำลังคิดถึงเมีย”
“ต๊าย คิดถึงกูเหรอ”
“เมียกูชื่อแฟน”
“หมดอารมณ์เลยค่า! เบรกกูจนหัวทิ่ม อีเชนคะ มาเก็บเพื่อนมึงค่ะ”
สาวสวยที่ไม่ใช่สาวแท้ผละออกห่างก่อนจะเดินนวยนาดไปหาเพื่อนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้อีกตัว
“เหลือโตนเด้ มาๆ มาซบอกพี่มา” (สงสารจัง มาๆ มาซบอกพี่มา)
หินได้แต่ส่ายหน้าพลางเลื่อนสายตากลับมายังหน้าจอโทรศัพท์ของตัวเองอีกครั้ง
วันนี้ทำนู้นทำนี่ทั้งวัน ไม่ได้ลืมเพียงแต่ไม่มีโอกาสจะบอก ได้คุยกันผ่านไลน์เพียงแค่ช่วงเช้า ครั้นตอนนี้แฟนก็คงกำลังวุ่นอยู่กับการเตรียมตัวกลับ อีกคนจะบินกลับตอนกลางคืนของวันที่สิบสามซึ่งก็คือวันนี้
ถ้าถามว่าที่ผ่านมาทำไมไม่บอก...ตอบตามความจริงแล้วหินไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องสำคัญขนาดนั้น
แต่ก็รู้ดีว่าสำหรับคนเป็นแฟนกันแล้วคงไม่ใช่ เมื่อลองคิดกลับกันเขาก็อยากรู้วันเกิดอีกฝ่ายอยู่เหมือนกัน
สุดท้ายนิ้วก็กดคอลหาแฟนขณะลุกขึ้นเดินไปยังด้านนอกเนื่องจากเสียงเพลงดังอยู่รอบด้าน รอสายด้วยใจตุ้มๆต่อมๆ กระทั่งสายถูกตัดไปโดยไม่ถูกกดรับ
คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน ลองโทรอีกครั้งก็เป็นเหมือนเดิมจึงตัดสินใจส่งข้อความทิ้งเอาไว้
‘เดินทางปลอดภัย ถึงแล้วโทรมาด้วย’
‘แล้วก็...วันนี้วันเกิดกู’
--
แสงแดดจากหน้าต่างเล็กๆข้างหัวพลันทำให้คนนอนค่อยๆรู้สึกตัว อาการหนักอึ้งจากแอลกอฮอล์แล่นเข้ามาเล่นงานจนต้องสะบัดหัวสองสามที ถึงจะไม่ถึงกับเมาจนไม่มีสติแต่ก็อาการหนักไม่น้อยเพราะเพื่อนตัวดีทั้งหลาย และทั้งหมดตอนนี้คงอยู่อีกบ้านจึงได้ไม่เห็นเงาของใครสักคน
อันดับแรกที่คนตื่นทำคือหยัดกายขึ้นเดินหาโทรศัพท์ หลังจากส่งข้อความแล้วหินไม่ได้แตะต้องมันอีกเนื่องจากความวุ่นวายรอบตัว เมื่อสติกลับมาเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ ความร้อนใจมากมายก็ตามมาเพราะกลัวแฟนติดต่อกลับแล้วจะไม่ได้รับ
และแล้วสิ่งที่กลัวก็เกิดขึ้น มากกว่าสายที่โทรเข้าผ่านไลน์คือข้อความซึ่งถูกส่งเข้ามา
‘กูรู้วันเกิดมึง...เป็นคนสุดท้าย’
มีเพียงข้อความเดียวแต่สะท้านใจคนฟังจนต้องทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้
โดยไม่ต้องบอก ไม่ต้องอธิบาย ไม่ต้องขยายความ...แฟนโกรธอย่างแน่นอน
ดูจากเวลาบนหน้าจอแล้วคำนวณระยะเวลาการเดินทางมันก้ำกึ่งว่าแฟนเดินทางถึงไทยแล้วหรือกำลังจะถึง หินพยายามข่มความร้อนรน รอคอยเวลาอีกหนึ่งชั่วโมงค่อยพยายามติดต่อหาแฟนไปอีกครั้ง
หนึ่งชั่วโมงที่แต่ละวินาทีผ่านไปอย่างเชื่องช้าในความรู้สึก หนึ่งชั่วโมงที่ไม่แม้แต่จะลุกขึ้นไปจัดการกับตัวเอง ไม่ลุกขึ้นหาอะไรกินแก้อาการปวดหัว
ระหว่างนั้นหินหาอะไรทำฆ่าเวลาแห่งความว้าวุ่นด้วยการเข้าไปเช็กเฟซบุ๊ก หวังจะดูความเคลื่อนไหวของแฟนที่อาจจะอัพเดตอะไรสักอย่างให้รู้ แต่สิ่งที่เจอกลับเป็นสาเหตุที่อาจทำให้แฟนโกรธกันมากกว่าที่คิด
หน้าเฟซบุ๊กเต็มไปด้วยการโพสต์และแท็กจากเพื่อน สิ่งที่ยิ่งตอกย้ำว่าแฟนรับรู้เป็นคนสุดท้าย
ยิ่งเห็นยิ่งร้อนใจ กระทั่งยังไม่ทันถึงหนึ่งชั่วโมงดีมือก็กดโทรศัพท์โทรออกทันใด
ถ้าติดแสดงว่าอีกฝ่ายถึงเมืองไทยแล้ว...และมันก็ติด
หินรอคอยเสียงสัญญาณราวกับรอคอยประกาศผลสอบ และมันคงเป็นการสอบตกเมื่อสายถูกตัดไปโดยที่ปลายสายไม่ได้รับ
ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่หมดความพยายาม เพียรโทรหาแฟนอีกครั้งและอีกครั้ง
“แฟน!” เสียงเรียกดังก้องอย่างไม่อาจควบคุมทันทีที่อีกฝ่ายกดรับโดยไม่ทันได้ตั้งตัว
ทว่าปลายสายกลับเงียบจนต้องละโทรศัพท์จากหูมาดูว่าสายถูกตัดไปหรือไม่ เมื่อพบว่าแฟนยังคงถือสายอยู่จึงลองเรียกอีกครั้ง
“แฟน...” คราวนี้น้ำเสียงอ่อนลงเว้าวอน ความผิดนี้หินยอมรับผิดแต่โดยดี
(...)
“ถึงบ้านหรือยัง” เลือกถามไปถึงเรื่องที่เป็นห่วงมากที่สุดแม้ว่าคนถูกถามอาจจะไม่ยอมพูดคุย
(...)
“ยังไงก็รีบพักผ่อนนะ เดินทางมาเหนื่อยๆ”
(...)
“กูรู้ว่ามึงโกรธเรื่องวันเกิด กูผิดเองที่ไม่ได้บอก...ขอโทษ”
ไม่มีอะไรจะพูดมากไปกว่าทั้งหมดเป็นความผิดของตัวเองและกล่าวคำขอโทษให้กับความคิดน้อยนี้
(มึงไม่บอกเพราะกูไม่สำคัญสำหรับมึงใช่ไหม)
น้ำเสียงของคนที่ยอมเอ่ยปากพูดไม่สั่นสะอื้น ไม่ตะคอก ไม่รุนแรง ทว่าความเรียบเรื่อยนั้นกลับเสียดแทงใจคนฟังจนสะอึก ความปวดปร่าแล่นพล่านไปทั่วอก
ด่ากันยังดีกว่านี้
“มึงสำคัญ”
(งั้นคงเป็นความสำคัญที่น้อยที่สุดสำหรับมึงกูถึงไม่รู้อะไรเลย เราคุยกันทุกวันแต่มึงไม่แม้แต่จะบอกกูสักครั้ง หรืออาจจะผิดตรงที่กูใส่ใจมึงไม่มากพอ กูคิดง่ายเกินไปใช่ไหมว่ามึงจะบอกออกมาเอง)
เมื่อได้พูดเพียงประเดียวทุกคำที่อัดอั้นอยู่ในหัวก็พรั่งพรูออกมาราวกับเขื่อนแตก ไม่อาจรักษาความสงบในน้ำเสียงและท่าทีได้อีกต่อไป
แฟนกลับถึงบ้านราวหนึ่งชั่วโมง ตลอดการเดินทางที่พยายามติดต่อหาหินไร้ซึ่งการตอบกลับ ทุกวินาทีผ่านไปด้วยความน้อยใจและเสียใจ ทรมานกับความรู้สึกที่ว่าตัวเองไม่สำคัญกับอีกฝ่ายจนปวดหัว ไม่สามารถข่มตาลงได้ทั้งที่แสนเหนื่อยล้ากับการเดินทาง
แค่จะบอก มันยากมากเลยใช่ไหม
“แฟน กู...”
(กี่ครั้งแล้วหิน กี่ครั้งกับการรับรู้เรื่องของมึงเป็นคนสุดท้าย มึงชอบคิดว่ามันไม่มีอะไรมากมาย แต่สำหรับกูมันมี เพราะมึงเป็นแฟน เป็นคนสำคัญ กูถึงได้อยากรู้ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม)
ที่ผ่านมาพยายามไม่คิดกับหลายเรื่องที่ไม่รู้จากหิน ยอมปล่อยผ่านอย่างพยายามเข้าใจในความเป็นหิน แต่เรื่องนี้มันมากเกินกว่าจะปล่อยผ่านหรือพูดออกมาได้ว่าไม่เป็นไร
ทุกคนรู้ เพื่อนในเฟซรู้ มีงานปาร์ตี้...แต่คนเป็นแฟนกลับไม่รู้เรื่องอะไรเลยแม้แต่น้อย และหินเลือกจะส่งข้อความมาบอกในนาทีที่อีกไม่กี่ชั่วโมงจะเลยพ้นวันเกิด
ควรต้องรู้สึกยังไง
“...” คนฟังสะอึกจนพูดไม่ออก หินนั่งนิ่ง มือที่ไม่ได้ถือโทรศัพท์กำแน่นจนเส้นเลือดปูดโปน
ความไม่ชอบพูด ไม่ชอบเล่า มันจะทำลายเราถ้าไม่เรียนรู้การเปลี่ยนแปลง กับแฟนยอมเผยความคิดให้รับรู้มากกว่าคนอื่นแต่มันคงไม่มากพอในความเป็นจริง
ไม่โทษใครเลย เพราะตัวเองทั้งนั้น
(บางทีกูก็คิด...หรือเพราะความรู้สึกของเราไม่เท่ากัน หรือเป็นกูที่รู้สึกมากกว่า)
“ไม่ กูรู้สึกกับมึงไม่ได้น้อยไปกว่าที่มึงรู้สึกกับกู”
หินตอบกลับทันทีอย่างไม่อาจทานทน คำว่าความรู้สึกไม่เท่ากันไม่ใช่ความจริง
(แล้วมันมากแค่ไหน มากพอที่มึงจะบอกทุกเรื่องกับกูได้หรือเปล่า เมื่อไหร่มันจะมากพอไปถึงตรงนั้น...
ตรงที่มึงรักกูเหมือนที่กูรักมึง)
เกิดความเงียบปกคลุมบทสนทนาฉับพลัน คำว่ารักทำให้คนฟังนิ่งงันเหมือนถูกสาปด้วยน้ำแข็ง ท่ามกลางความห่อเหี่ยวแสนเจ็บปวดกลับมีความสวยงามผุดแทรกขึ้นมา เป็นความรู้สึกที่ไม่อาจอธิบายได้ทั้งหมด
เหมือนลุกขึ้นมากู่ร้องอย่างยินดีในงานศพ...มันไม่สมควร
นานหลายนาทีกว่าริมฝีปากได้รูปจะค่อยๆขยับ วางความรู้สึกอิ่มเอมนั้นลงไว้ชั่วครู่แล้วกลับมาสู่ความยังไม่เข้าใจกัน
“กูระ...” ทว่าแฟนกลับขัดขึ้นจนคำที่ตั้งใจไม่หลุดออกจากปาก
(คิดให้ดีก่อนจะตอบ เผื่อคิดดีแล้วคำตอบของมึงอาจไม่เป็นอย่างนั้น เราอาจจะไม่ต้องดันทุรังกันไปมากกว่านี้)
“ไม่!” เสียงตะโกนดังลั่นเมื่อสมองตีความหมายของคำว่าไม่ต้องดันทุรังไปเลวร้ายถึงขีดสุด
เขาไม่มีวันยอมให้มันเกิด ยังไม่พร้อมจะหยุดเดินด้วยกันในตอนนี้....ไม่มีวัน
(กูถึงบ้านแล้ว อยากพัก คงช้าไปมากที่จะพูดคำนี้แต่ยังไงก็...
สุขสันต์วันเกิด)
บทสนทนาถูกทิ้งท้ายไว้เพียงเท่านั้นก่อนสายจะถูกตัดไปโดยที่หินรั้งเอาไว้ไม่ทัน มือหนาที่ถือโทรศัพท์อยู่แนบหูกำแน่นจนสั่นระริก ความปวดหัวที่รุมเร้าไม่เท่ากับความเจ็บปวดข้างในที่ไม่อาจอธิบายหรือกินยารักษาได้
ทุกคำพูดของแฟนหลั่งไหลเข้าหัวแล้วซึมลึกลงไปถึงใจ แม้จะรู้สึกแย่กับการทำอีกคนเสียใจแค่ไหนแต่ก็ยังมีประโยคหนึ่งที่หล่อเลี้ยงหัวใจอันเหี่ยวเฉาให้ไม่ตายลงตรงนี้
เหมือนที่กูรักมึง...
รักมึง
รัก
คำว่าชอบมีผลต่อหัวใจมากเท่าไหร่ คำว่ารักนี้มีผลกว่าหลายสิบหลายร้อยเท่า
โกรธก็จะง้อ ทำผิดก็จะแก้ไข...ไม่มีทางปล่อยไป
‘ขอโทษ’
‘รักของมึงคือของขวัญที่ดีที่สุดในปีนี้’ถึงแฟนจะไม่อยากรับโทรศัพท์ ไม่อยากตอบข้อความ แต่ขอแค่อ่านมันก็ยังดีTBC.
มาแล้วววว ทุกคนกลับมาอ่านตอนปกติก่อนนะคะ อย่าเพิ่งไปจดจ่อกับตอนพิเศษขนาดนั้น><
ก่อนอื่นเลยต้องบอกว่าสุขสันต์วันสงกรานต์ค่าาา เดินทางอย่างระมัดระวัง เล่นน้ำกันให้สนุกสนาน เมาไม่ขับน้า
สำหรับใครที่นอนอืดๆอยู่บ้านเหมือนโซแอลก็มาอ่านพี่หินกันค่ะ อิอิ
นอกจากสุขสันต์วันสงกรานต์แล้วคงต้องพูดว่าสุขสันต์วันเกิดคนห่ามคนหื่นของเรา
วันนี้วันที่13เมษา เป็นวันเกิดของพี่หิน เย้ๆ แต่กลับเป็นวันเกิดและสงกรานต์ที่ไม่ค่อยแฮปปี้เอาซะเลยเนอะ555555
มาลุ้นกันว่าพี่หินคนไม่ชอบพูดจะง้อน้องยังไง คึคึ
แล้วเจอกันตอนหน้านะคะะะ อย่าลืมแท็ก #พี่หินคนห่าม ด้วยน้า เค้ารออ่านคอมเมนต์และฟีดแบคตลอดๆเลย
เยิฟยูออลค่ะ^^
ปล.ง่วงมาก นั่งอ่านมาทั้งวันตาจะปิด ตรงไหนไม่ลื่นไหลยังไงบอกได้เลยนะคะ
แฟนเพจ : https://www.facebook.com/writerexsoull/
Twitter : https://twitter.com/exsoull_ ฝากติดแท็ก #พี่หินคนห่าม ด้วยนะคะ