ตอนที่ 20
ร่างสูงจับจ้องมองคนป่วยที่หลับไปแล้วโดยไม่ละสายตา ไล่ตั้งแต่หน้าผากเนียน จมูกโด่งเล็กรับกับริมฝีปากบาง ดวงตาคู่สวยที่ปิดลงเผยให้เห็นแพขนตายาวราวกับผู้หญิง
หินคิดย้อนไปถึงเหตุการณ์ก่อนหน้าแล้วอมยิ้ม หลังจากประโยคนั้นหลุดออกจากปากไปคนได้ยินก็ตัวแข็งทื่อ สักพักก็ขยับตัวดุ๊กดิ๊กอยู่ไม่สุข กระทั่งต้องบอกให้นอนด้วยเสียงราบเรียบจึงยอมอยู่นิ่ง และคงเป็นเพราะฤทธิ์ยาที่ทำให้เจ้าตัวหลับไปในที่สุด
การเป็นห่วงใครสักคนอย่างมากมายนอกเหนือจากคนในครอบครัว หินเพิ่งสัมผัสได้ในวันนี้ จริงอยู่ที่การป่วยแค่นี้เป็นเรื่องเล็กน้อย แต่มันกลับส่งผลต่อความรู้สึกรุนแรงเหมือนอีกฝ่ายป่วยหนัก พะวักพะวนไปหมดทุกสิ่ง
พอป่วยแล้วแฟนสิ้นฤทธิ์ แปลงร่างเป็นเด็กดื้อคูณสิบขี้อ้อน แต่เขากลับชอบแฟนในแบบเดิมมากกว่า
ไม่มีอะไรดีไปกว่าการเห็นคนที่เรา
รักแข็งแรง ไม่เจ็บป่วย
อยากให้หายแล้ว ไม่อยากให้ป่วยเลยสักนิดเดียว
--
“ไม่ให้กลับ”
“รู้แล้ว”
“ห้ามกลับ”
ลมหายใจแห่งความอ่อนใจถูกพรูออกมาแผ่วเบา คนบนตักพร่ำพูดแต่เพียงคำว่าไม่ให้กลับตั้งแต่ตื่นขึ้น สองแขนโอบกอดร่างใหญ่แน่น ไม่ยอมออกห่างแม้แต่เซ็นเดียว
หินได้แต่ส่งสายตาขอลุแก่โทษไปยังพ่อและแม่ของแฟนซึ่งยืนอยู่ข้างเตียงเนื่องจากภาพที่ไม่เรียบร้อย จะจับให้แฟนนั่งดีๆเจ้าตัวก็งอแงจนต้องปล่อยเลยตามเลย
“แฟน พรุ่งนี้พี่หินต้องทำงานนะลูก”
คนเป็นแม่พยายามเกลี้ยกล่อมด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแต่คนถูกกล่อมส่ายหัวปฏิเสธ ยังคงยืนยันว่าไม่ให้กลับอยู่อย่างนั้น
“ไม่เป็นไรครับ ผมสอนบ่าย สายๆค่อยเข้าไปมหาลัยก็ได้”
หินเอ่ยขึ้นเมื่อดูท่าแล้วคงไม่มีทางออกใดที่ดีไปกว่านี้ ความเกรงใจทั้งหมดถูกกดเก็บเอาไว้ส่วนลึกเพราะความเป็นห่วงที่มีมากกว่า
“แต่ว่า...”
“เอาแบบนั้นแหละ ไม่อย่างนั้นลูกคงงอแงไม่หยุด”
เสียงทรงอำนาจแทรกขึ้นเป็นอันว่าสิ้นสุดการตัดสินใจ ดวงตาซึ่งหันไปมองสบกับสามีเจือความลังเล กระทั่งสุดท้ายแม่ของแฟนจึงได้แต่หันกลับไปมองคนรักของลูกด้วยความอ่อนใจ
“งั้นคงต้องรบกวนหินหน่อยนะ เหนื่อยไปบ้างก็ทนหน่อยนะจ๊ะ”
“แค่นี้ก็ไม่ไหวแล้วงั้นหรือ”
คนเป็นภรรยาหันขวับมามองจนสามีต้องเบือนหน้าหนีไปทางอื่นเพราะความแข็งของสายตาคู่นั้น
“ไหวครับ เป็นผมต่างหากที่ต้องรบกวน น้องคงไม่ปล่อยให้นอนห้องอื่น”
หินซึ่งไม่ถือสากับคำถามนั้นเพราะเข้าใจคนเป็นพ่อดีเอ่ยตอบด้วยท่าทีปกติแฝงไปด้วยความเกรงใจ
การนอนค้างที่นี่และต้องนอนห้องเดียวกับแฟนเป็นเรื่องไม่เหมาะสมนัก อีกคนมีพ่อมีแม่ และพ่อแม่ก็ยืนอยู่ตรงหน้า นอนในห้องถัดกันไปเพียงไม่กี่ห้อง
“หินคอยดูแลแฟนก็ดีแล้วล่ะจ้ะ เผื่อไข้ขึ้นกลางดึก ตื่นมาไม่เจอหินแล้วเดี๋ยวฟองกับฟาร์มจะเอาไม่อยู่”
คนพูดเอ่ยด้วยเสียงและรอยยิ้มแสนอ่อนโยน ไม่คิดมากกับเรื่องอื่นใดที่หินเป็นกังวล แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงรักษาท่าทีและคำพูดในความเป็นผู้ใหญ่
เดี๋ยวหินจะตื่นกลัวกับการพร้อมจะยกเจ้าตัวแสบให้เสียเหลือเกิน
“ครับ”
“ถ้าอย่างนั้นแม่กับพ่อฝากด้วยนะจ๊ะ”
คนถูกฝากฝังรับคำด้วยความเต็มใจ ขณะมือหนาลูบไล้ปลอบประโลมคนในอ้อมกอดไม่หยุด การกระทำที่ผู้ใหญ่ทั้งสองมองเห็นอยู่ตลอดเวลา
เมื่อไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง พ่อและแม่ของแฟนจึงโน้มตัวลงคุยกับลูกตัวเองอีกเล็กน้อยก่อนจะเดินออกจากห้องไปให้หินได้ดูแลเด็กดื้ออย่างเต็มที่
“แฟน” เสียงเรียกชื่อคนป่วยดังขึ้นด้วยความอ่อนโยน
“ไม่ให้กลับ” คนถูกเรียกตอบกลับด้วยคำที่เจ้าตัวพร่ำพูด
“ไม่ได้จะกลับ วันนี้จะนอนด้วย ไม่ไปไหน โอเคไหม”
เสียงทุ้มทอดอ่อนพร้อมด้วยสัมผัสบางเบาที่ลูบไล้ไปตามแผ่นหลังทำให้คนป่วยเริ่มได้สติ ใบหน้าที่ซุกซบอยู่กับอกกว้างค่อยๆผละออกห่างแล้วเงยขึ้นมอง
“ไม่ไปนะ?”
“ไม่ไป”
หินตอบพร้อมรอยยิ้ม ก่อนคนฟังจะยิ้มกว้างยิ่งกว่าแล้วกลับมาซบในท่าเดิม
“อยู่กับน้องนะ” ใจคนที่ได้ยินคำออดอ้อนเอียงวูบเป็นครั้งที่นับไม่ถ้วน คนไม่สบายอ้อนกันจนหินแทบทนไม่ไหว อยากจับเด็กดื้อมาฟัด มาขยำด้วยมือและปากของตัวเองตามใจอยาก
ไม่ว่าจะตอนปกติหรือตอนป่วยแฟนก็ทำให้เขาพ่ายแพ้
“แต่น้องต้องเป็นเด็กดีแล้วก็ห้ามดื้อ” หินถือโอกาสต่อรอง
“ไม่ดื้อ”
เจ้าตัวพยักหน้ารับหงึกหงักก่อนเอ่ยทวนคำว่าไม่ดื้อนั้นไปมาเพราะระบบประมวลผลช้าลงกว่าเคย ท่าทางคล้ายกับเด็กตอนต้องจำคำพูดของผู้ใหญ่
“พี่หิน”
เงียบและนิ่งไปหลายนาทีจนนึกว่าหลับแต่อยู่ดีๆแฟนก็เอ่ยเรียกจนต้องรีบขานรับในลำคอ
“หืม”
“จุ๊บๆหน่อย”
คนอ้อนขอผละใบหน้าออกห่างแล้วเงยขึ้นแบบเมื่อครู่ แต่คราวนี้คำพูดกลับแตกต่างจากเรื่องเดิมคนละขั้ว
หินเลิกคิ้วด้วยความไม่ตั้งตัว นิ่งงันเพราะกำลังคิดกับตัวเองว่าคงเพราะอาการป่วยอีกคนจึงเป็นแบบนี้ ทว่าคนอยากได้จุ๊บๆกลับขัดใจกับการยังไม่ได้สิ่งที่ร้องขอในทันที แฟนจึงเป็นฝ่ายขยับริมฝีปากขึ้นทาบทับพลางย้ำคำไปมา
“จุ๊บๆ จุ๊บ จุ๊บ”
เสียงจุ๊บที่แฟนพูดและเสียงจากสัมผัสดังผสมปนเป กว่าหินจะได้สติรั้งร่างเล็กให้อยู่นิ่งได้ปากก็เลอะไปด้วยน้ำลายแล้วบางส่วน
“พอก่อน”
“ฮื่อ!” ไม่ใช่คำตอบรับแต่เป็นเสียงร้องในลำคออย่างขัดใจ
“เดี๋ยวจะเจ็บปาก”
การกระแทกริมฝีปากเข้าหาซ้ำๆอาจทำให้ผิดจังหวะจนเกิดความเจ็บขึ้นกับปากบาง แต่คนถูกเป็นห่วงคงยังไม่เข้าใจ ใบหน้าจึงมีเค้าความไม่พอใจเจืออยู่ กระทั่งหินแนบริมฝีปากเข้าหา หัวคิ้วที่ขมวดมุ่นจึงคลายออก
สัมผัสนี้ต่างจากเมื่อครู่ตรงที่ไม่ได้ผละออกห่างแล้วย้ำลงมาซ้ำๆ ปากอุ่นร้อนจากพิษไข้ถูกดูดคลึงขบเม้มแผ่วเบา ส่งความหวานซ่านไปถึงข้างในโดยไม่ได้รุกล้ำ
ทำอย่างนั้นหลายนาทีก่อนผละออก
“จุ๊บอีก” ทว่าแฟนเอ่ยเรียกร้องอีกครั้งพลางระบายยิ้มราวกับเด็กที่ได้กินของหวาน
การไม่สบายส่งผลให้แฟนมีอาการผิดปกติอีกหนึ่งอย่าง
ชอบจูบเป็นพิเศษ
หินยกยิ้มอ่อนใจยามมองเด็กดื้อตรงหน้า จากนั้นจึงแนบริมฝีปากเข้าหาอีกครั้งแล้วขยับใบหน้าถอยห่าง
“ติดไว้ก่อน ตอนนี้ต้องเช็ดตัวแล้ว”
“เช็ดตัวแล้วได้จุ๊บๆนะ”
รูปประโยคคล้ายกับเป็นคำถามแต่ความจริงแล้วเป็นคำสั่งที่ว่าถ้ายอมเช็ดตัวแล้วต้องได้จุ๊บๆ
“โอเค”
ใบหน้าสวยกดลงรับเชื่องช้า ก่อนฝ่ามือหนาจะวางแนบกับเอวเล็กทั้งสองข้าง ใช้แรงเพียงนิดยกอีกคนไปวางลงทางด้านข้าง
“ไปไหน” ยังไม่ทันจะยันกายลุกขึ้นเด็กแสนดื้อก็เอ่ยถามทันที
“ไปเอาผ้ามาเช็ดตัวให้มึง”
“อือ”
พอรู้จุดประสงค์แฟนก็ครางรับเข้าใจ ก่อนจะเอนตัวพิงหลังกับพนักเตียงระหว่างรอคนตัวโตไปหาผ้าและอ่างมาเช็ดตัวให้ สิบห้านาทีผ่านไปร่างเล็กก็อยู่ในเสื้อผ้าชุดใหม่เรียบร้อย ตามตัวมีกลิ่นแป้งกระจายออกมาจางๆ
“คุยกันก่อน”
หินเอ่ยขัดคนป่วยที่ตั้งท่าจะขยับเข้ามาคลอเคลีย ทางด้านคนถูกขัดนั้นขมวดคิ้วเข้าหากัน กระแสความไม่พอใจฉายวาบขึ้นมาในดวงตา
“คุยอะไร”
อยากกอด อยากจุ๊บๆแล้ว!
“ชอบจุ๊บๆไหม”
“ชอบ” ตอบคำถามทันทีโดยไม่ต้องคิดใดๆ
“แล้วเคยจุ๊บๆกับใครตอนป่วยแบบนี้หรือเปล่า” น้ำเสียงนั้นเข้มขึ้นอย่างไม่รู้ตัว
ท่าทางออดอ้อน ออเซาะ เว้าวอนขอแบบนี้ หินอยากให้เป็นตัวเองคนเดียวที่ได้เห็น ได้สัมผัส
เขาเป็นคนขี้หวง...ยอมรับ
“ไม่เคย”
คนถูกถามส่ายหัวรัวๆไปด้วยจนคนมองโล่งใจ ความหวงที่เกิดขึ้นในอกเมื่อครู่จางลง แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีสิ่งที่อยากถามต่อ
“แล้วทำไมกับกูถึงจุ๊บๆบ่อย”
“ชอบ”
“ชอบอะไร?”
“จุ๊บแล้วมีความสุข...ตรงนี้มีความสุข” ตรงนี้ที่ว่าคือตรงที่นิ้วชี้จิ้มลงบนตำแหน่งอกซ้ายของตัวเอง
แฟนตอบด้วยท่าทีเรียบเรื่อยทว่าซื่อตรงกับความรู้สึกเพราะอาการป่วยที่ส่งผลต่อการแสดงออก ดวงตาคู่สวยใสแป๋วจับจ้องมองมา คนพูดไร้ซึ่งความขัดเขินแต่กลับเป็นคนฟังที่เกิดความร้อนขึ้นบริเวณข้างแก้ม รู้สึกอิ่มเอมใจอย่างที่ไม่เคยเป็น
“กูทำให้มีความสุขมากกว่าคนอื่นใช่ไหม”
มือหนาวางแนบลงบนแก้มเนียนพลางเกลี่ยปลายนิ้วไปตามความนิ่มของผิวเนื้อแผ่วเบา ดวงตาคมอ่อนแสงลงโดยที่ไม่รู้ตัว ยามคนถูกถามนั้นเอียงหน้าซบเข้าหาฝ่ามือก่อนจะตอบรับในลำคอ
“อื้อ” คำยืนยันสั้นๆส่งผลให้เกิดรอยยิ้มบนใบหน้าคร้ามคม
เท่านี้ก็เพียงพอแล้วที่จะให้รางวัลเด็กดื้อด้วยจุ๊บๆแสนหวานแบบที่เจ้าตัวชอบ
หมดแล้ว...ให้แฟนไปหมดแล้วกับความรู้สึกที่มี
--
วันต่อมา“จะไปแล้วเหรอ”
พ่อของแฟนถามขึ้นยามหินเข้ามาขอตัวกลับในเวลาสายของอีกวัน ขอบตาดำคล้ำและร่องรอยความทรุดโทรมบนใบหน้าซึ่งมากกว่าตอนมา ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าหินคอยดูแลคนป่วยตลอดทั้งคืน
“ครับ ผมต้องกลับไปเปลี่ยนชุดก่อน”
ชายหนุ่มยังคงอยู่ในชุดเดิมของเมื่อวานโดยที่แม่บ้านเอาไปจัดการซักให้ ส่วนชุดนอนของเมื่อคืนนั้นเป็นเสื้อผ้าตัวที่ใหญ่ที่สุดในตู้ของแฟน
“ได้นอนบ้างหรือเปล่าจ๊ะ”
“น้องดีขึ้นจนไม่น่าเป็นห่วงนักเมื่อช่วงเกือบเช้าเลยได้นอนนิดหน่อยครับ อาการดีขึ้นมากแล้ว คาดว่าไม่เกินวันสองวันคงหาย”
อาการป่วยของแฟนดีขึ้นเป็นลำดับเนื่องจากการทานข้าวทานยาตรงตามเวลา พร้อมทั้งถูกเช็ดตัวอยู่เป็นระยะ โดยมีหินคอยดูแล กระทั่งความร้อนบนกายเล็กเหลือเพียงอุ่นๆจึงสามารถหลับลงได้โดยไม่กังวลนัก
“ขอบใจมากนะจ๊ะที่ดูแลแฟน” คนเป็นแม่เอ่ยพูดด้วยรอยยิ้ม
“เป็นหน้าที่ของผมอยู่แล้วครับ...ยังไงผมกลับก่อนนะครับ แล้วเดี๋ยวเลิกงานจะกลับมาหาน้องอีกที”
เพราะคำสัญญาที่ให้ไว้กับคนป่วยจึงต้องกลับมารบกวนบ้านของแฟนอีกครั้ง
“ได้จ้ะ ขับรถดีๆนะ”
“กลับดีๆล่ะ” คำอวยพรราบเรียบดังขึ้นให้คนถูกอวยพรลอบยิ้มเพียงในใจ
รู้ดีว่าพ่อของแฟนเพียงแค่แกล้งวางท่าไปอย่างนั้น
“ครับ สวัสดีครับ”
หินยกมือไหว้และกล่าวลาผู้ใหญ่ทั้งสองก่อนจะรีบลุกขึ้นแล้วเดินออกจากห้องรับแขกไป โดยมีสายตาของพ่อแม่แฟนมองตามจนลับสายตา
กับคนนี้ วางใจแล้วที่จะให้ดูแลลูกตัวเอง
--
19.28 น.ร่างสูงในชุดทำงานหลุดลุ่ยเดินเข้าบ้านหลังใหญ่ด้วยความรีบร้อนเมื่อโทรศัพท์ในมือสั่นครืดคราดเนื่องจากสติกเกอร์โกรธที่ส่งรัวๆเข้ามาหา เท้าแกร่งยังไม่ทันเหยียบย่างถึงหน้าประตูดี ร่างของใครบางคนก็เดินมาดักหน้าราวกับรออยู่ก่อน
“กูกลับไปเอาเสื้อผ้าที่ห้องเลยมาช้า” คำอธิบายดังขึ้นทันทีโดยไม่ต้องให้อีกฝ่ายเอ่ยปากถาม
คล้ายกับสามีตอนหนีเที่ยวแล้วกลับมาเจอภรรยารออยู่
“...” คนป่วยที่อาการเริ่มดีขึ้นจนมีแรงเดินไปไหนมาไหนทำเพียงแค่นิ่งเงียบ ดวงตาคู่สวยจับจ้องกวาดมองคนตรงหน้าเหมือนกำลังสแกนอะไรสักอย่าง
หินค่อยๆก้าวเข้าไปใกล้แฟนอย่างระมัดระวัง จากนั้นจึงวาดแขนคล้องเอวเล็ก รอดูปฏิกิริยาตอบกลับหลายวินาที และเมื่ออีกคนไม่มีท่าทีอะไรจึงรั้งร่างบางเข้ามาแนบชิด
“รู้สึกดีขึ้นแล้วใช่ไหม”
“ไม่ได้หนีไปไหนก่อนมาหากูใช่ไหม” คนถูกถามไม่ตอบแต่กลับถามกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
อาการมึนหัวยังคงมีอยู่แต่ดีขึ้นมากจนความงอแงออดอ้อนลดน้อยลง
“กูจะหนีไปไหน ระแวงอะไร” คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันเมื่อได้ยินคำถาม
“ก็แค่ถาม”
น้ำเสียงและแววตานั้นอ่อนลง ความรู้สึกอยากเจอหินรุนแรง ความคิดในหัวจึงเกิดขึ้นอย่างหลากหลาย
“สรุปดีขึ้นหรือยัง ยังปวดหัวมากไหม”
คนอายุมากกว่าไม่ถือสาก่อนจะถามไปถึงเรื่องที่ตัวเองเป็นห่วง ฝ่ามือใหญ่ข้างหนึ่งละจากการโอบเอวเล็กขึ้นมาวางทาบลงบนหน้าผากเนียน ความร้อนที่สัมผัสได้ไม่สูงเช่นเมื่อวานจึงเบาใจ
“ดีขึ้นแล้ว ปวดหัวนิดหน่อย”
“ยังไงก็ต้องกินยาจนกว่าจะหายสนิท”
“รู้แล้ว” ท่าทางรับคำเง้างอดตามแบบฉบับของแฟนคนเดิมทำให้หินส่ายหัวด้วยความอ่อนใจ
ความออดอ้อนลดน้อยลงทว่าความดื้อรั้นกลับยังคงอยู่เช่นเดิม
“เข้าบ้านเถอะ ตากลมนานเดี๋ยวไข้กลับ”
“อืม”
--
“อาบน้ำแล้วก็รีบนอน” หินเอ่ยบอกพร้อมทั้งสวมเสื้อนอนลงให้ร่างเล็กเป็นอย่างสุดท้าย
คนที่ทำได้เพียงเช็ดตัวมาตลอดสองวันได้รับอนุญาตให้อาบน้ำอุ่นโดยมีหินคอยดูแลทุกอย่างแม้กระทั่งตอนแต่งตัว ร่างสูงหมุนกายเอาผ้าเช็ดตัวและชุดคลุมไปเก็บให้เรียบร้อยอีกทาง โดยมีสายตาของแฟนจับจ้องมองตาม ก่อนภาพการถูกดูแลต่างๆจะไหลวนเข้ามาในหัว
“มึง”
“หืม?” คนถูกเรียกขานรับพร้อมทั้งเดินกลับมาหา ทว่าคนเอ่ยเรียกกลับไม่พูดอะไรต่อจากนั้น
แฟนทำเพียงแค่โน้มหัวลงพิงกับหน้าท้องแกร่งของคนตรงหน้า ขณะที่หินยังคงไม่เข้าใจกับการกระทำนี้นัก กระทั่งเวลาผ่านไปราวสิบวินาที คำพูดจึงดังขึ้นแทรกผ่านความเงียบ
“ขอบคุณ”
“ขอบคุณอะไร”
เหมือนจะรู้จุดประสงค์ของคำขอบคุณแต่ก็ยังอยากได้ยินชัดๆ โดยที่มือหนาก็ขยับขึ้นลูบไล้กลุ่มผมนิ่มตรงหน้าท้องแผ่วเบา
“ขอบคุณที่ดูแลกัน”
“ไม่ใช่เรื่องที่ต้องคิดว่าจะทำหรือไม่ทำ เพราะฉะนั้นไม่ใช่เรื่องที่ต้องขอบคุณ” เสียงทุ้มเอ่ยเรียบเรื่อยต่างจากคำพูดและสัมผัสอันแสนอ่อนโยน
คนฟังระบายยิ้มให้กับประโยคทื่อๆที่แฝงไปด้วยความหมายอย่างมากมายนั้นด้วยความรู้สึกที่ไม่อาจอธิบาย
เพราะหินคือหินจริงๆ
“เหนื่อยกับเด็กงอแงคนนี้ไหม”
แฟนถามด้วยเสียงไม่มั่นคง ภาพทุกอย่างฉายชัด ทุกการงอแง ทุกการเอาแต่ใจ เป็นหินคนเดียวที่สามารถจัดการได้ทั้งหมด
คนที่ได้รับรู้และสัมผัสทุกมุมของเด็กคนนี้มาหมดสิ้น
“หึ งอแงไม่หนักเท่าดื้อหรอก...กูเคยพูดไปแล้ว จะดื้อจะไม่น่ารักกับกูแค่ไหนก็ได้ แต่กับครอบครัวกับคนอื่นที่รักมึง ต้องใส่ใจเขาให้มาก”
หินพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเพื่อไม่ให้คนฟังคิดว่าเป็นคำสั่งสอนหากแต่เป็นคำบอกกล่าว ตักเตือนด้วยความหวังดีให้อีกฝ่ายปรับตัวไปในทางที่ดีขึ้น
เขารู้ ตัวเองไม่ได้ดีเด่อะไรมากไปกว่าแฟน แต่อะไรที่รู้ว่าดีหรือไม่ดี บอกกันได้ก็ควรบอก
“...” แฟนไม่ตอบรับเป็นคำพูดแต่ตอบรับด้วยการพยักหน้า
“ทำตัวไม่น่ารักไป อย่าลืมไปขอโทษพวกเขาด้วย”
“อื้อ”
ความนิสัยไม่ดีของตัวเองในเมื่อวานและวันก่อนแฟนรู้ว่าเป็นเรื่องที่ไม่ดี แม้จะไม่มีใครเคยบอกว่าต้องทำอะไรแต่เมื่อหินพูดก็ไม่คิดปฏิเสธ
ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงปล่อยผ่านไปเพราะทุกคนคงไม่ได้โกรธ
“เข้านอนได้แล้ว เดี๋ยวกูจะดูงานอีกนิดหน่อย”
จบเรื่องนี้แล้วสัมผัสบนหัวจึงหยุดนิ่งก่อนมือใหญ่จะเลื่อนลงมาจับไหล่เล็กแล้วรั้งให้ผละออกห่าง
“อืม” เพราะไม่อยากงอแงนอนพร้อมกันให้อีกคนเหนื่อยมากไปกว่านี้ แฟนจึงยอมรับคำโดยง่าย “อุ้มหน่อย”
แต่ถึงอย่างนั้นก็ขออ้อนต่ออีกสักหน่อย
มุมปากของหินยกขึ้นยามได้ยินคำนั้น ก่อนจะช้อนตัวคนที่นั่งอยู่ขึ้นมาในอ้อมแขนแล้วตรงกลับเข้าไปยังห้องนอน ทำตามคำขอของคนขี้อ้อนอย่างไม่อิดออดเช่นเคย
จะปฏิเสธลงได้ยังไง
“นอนซะ”
ผ้าห่มผืนหนาถูกขยับขึ้นมาคลี่คลุมให้ถึงอกหลังจากอุ้มอีกคนมาวางบนเตียงแล้วจัดแจงท่าให้นอนเรียบร้อย พลันเปลือกตาของแฟนก็ปิดลงอย่างเชื่อฟัง จากนั้นจึงเกิดสัมผัสบนหน้าผากตามมา
“ฝันดี”
1 ชั่วโมงผ่านไปเสียงขยับพลิกตัวดังขึ้นในความมืดสลัวเมื่อคนบนเตียงไม่อาจหลับลงได้ทั้งที่เวลาผ่านพ้นไปเป็นชั่วโมง แขนขากอดกระหวัดหมอนข้างแน่น ใบหน้าซุกซบเข้าหาแต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกง่วงงุน อาการมึนหัวซึ่งเบาบางลงเริ่มตีวนกลับมาเล่นงาน
สุดท้ายแล้วร่างเล็กจึงลุกขึ้นนั่ง ยิ่งไม่มีอีกคนให้อิงแอบแบบนี้ยิ่งข่มตาลงได้ยาก
อยากกอดหินนอน...อกแข็งๆที่ให้ได้พิงซบ ท่อนแขนแกร่งโอบรอบตัว กลิ่นกายแสนหลงใหล ทุกอย่างของหินล้วนเป็นยากล่อมนอนชั้นดี
และมีบางอย่างที่กล่อมนอนได้ดีกว่านั้นดวงตาคู่สวยเป็นประกายวิบวับเมื่อนึกขึ้นได้ วินาทีต่อมาขาเรียวจึงตวัดลงข้างเตียง สอดเท้าเข้าไปในรองเท้าสลิปเปอร์ก่อนจะผุดลุกขึ้นตรงไปยังส่วนของห้องทำงาน
หินที่ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวเงยหน้าขึ้น เมื่อสายตาปะทะเข้ากับคนที่ควรนอนหลับไปแล้วคิ้วก็พลันขมวดคิ้วมุ่น
“ลุกขึ้นมาทำไม ปวดหัวเหรอ” ร่างสูงละมือจากงานแล้วเดินตรงเข้าไปหา
“นอนไม่หลับ”
อาจเป็นเพราะนอนพักมาทั้งวันจึงส่งผลถึงตอนกลางคืน
“หลับตาลงเดี๋ยวก็หลับไปเอง”
“ทำแล้ว ไม่หลับ”
“หรือจะให้กูกล่อม”
คิ้วเข้มเลิกขึ้นพลางเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มมุมปาก ทว่าวินาทีต่อมากลับต้องเป็นฝ่ายนิ่งงันเมื่ออีกคนขยับตัวเข้ามาใกล้ จากนั้นก็ยกแขนขึ้นคล้องลำคอ บดเบียดร่างกายเข้าหาแนบชิด
“กล่อมสิ” แฟนกระซิบบอก
“...”
“ไม่ได้กล่อมมาหลายวันแล้ว”
“หายป่วยไม่ทันไรต่อมยั่วก็กำเริบแล้ว?”
หินส่ายหัวคล้ายอ่อนใจแต่มือกลับไล้ไปมาตามเอวบางทางด้านหลัง ตอบสนองคำพูดนั้นทันใด
“ก็คนป่วยต้องฉีดยา” ถึงจะมึนหัวอยู่ไม่น้อยแต่ความยั่วในตัวก็ไม่ได้ลดลงไม่ต่างจากความดื้อ
ไม่เพียงแค่พูดแต่แฟนยังใช้สายตาและสัมผัสจากปลายนิ้วไล้วนบนอกแกร่งอย่างเย้ายวน ลมหายใจของหินเริ่มติดขัดเมื่อห่างหายจากเรื่องนี้มาหลายวัน ตั้งแต่ก่อนวันแฟนป่วยจนถึงวันนี้รวมแล้วเกือบอาทิตย์
ถือว่านานมากสำหรับคนอย่างหิน
“อยากมากหรือไงถึงได้มายั่ว”
แม้แต่เสียงพูดยังไม่หนักแน่นเช่นเคย กลิ่นกายหอมอ่อนและความใกล้ชิดนี้เป็นอันตรายต่อหินเป็นที่สุด
“นอนไม่หลับ”
ใบหน้าสวยทอความหงุดหงิดเล็กๆ การนอนไม่หลับนั้นก่อความทรมานให้ไม่น้อย
“แต่คนป่วยต้องพักผ่อน มึงยังไม่หายดี”
แน่นอนว่าตัวเองมีความต้องการแต่ความเป็นห่วงก็มีมากไม่แพ้กัน ทว่าเด็กแสนเอาแต่ใจไม่คิดฟัง ไม่สนใจอาการของตัวเอง ดื้อรั้นด้วยการเขย่งปลายเท้าขึ้น ทาบทับริมฝีปากเข้าหา ปิดกั้นความหวังดีทั้งหมดของหินให้หมดสิ้น
อีกไม่กี่วันต้องห่างกันหลายวัน...
นาทีแรกหินพยายามจะเลี่ยงสัมผัสนั้น แต่เมื่อถูกรุกล้ำมากขึ้นคนที่มีความอดทนแสนน้อยนิดก็ไม่อาจต้านทาน ท่อนแขนใหญ่รั้งแฟนเข้ามาแนบชิดกันยิ่งกว่าเดิม ตอบโต้กลับด้วยปลายลิ้นจนคนป่วยมึนไปด้วยทั้งจากอาการของตัวเองและสัมผัสร้อนแรง
“ตัวมึงยังอุ่น”
เอ่ยพูดเหมือนเป็นห่วงแต่ริมฝีปากร้ายกาจกลับผละออกเลื่อนลงมาจูบซับตามลำคอ มือหนาทำหน้าที่ปลดกระดุมเสื้อนอนไวยิ่งกว่าอะไร
กว่าจะรู้ตัว ความเย็นของอากาศภายในห้องก็กระทบผิวบริเวณที่สาบเสื้อแยกออกจากกันจนตัวสั่น และคนที่แนบชิดอยู่ใกล้ก็สัมผัสได้ในทันที
“กลับไปที่เตียงกัน”
ส่วนของห้องนอนไม่ได้เปิดแอร์ มีเพียงพัดลมบนเพดานที่ถูกเปิดเอาไว้เอื่อยๆเพื่อไม่ให้คนป่วยร้อนเกินไป
“ไหนบอกว่ากูยังไม่หาย” แฟนเอ่ยเย้าทั้งที่ตัวเองกำลังเดินตามการจูงของร่างสูงต้อยๆ
“ลองยาเข็มใหญ่ของกูแล้วมึงอาจจะหาย”เสียงหัวเราะดังขึ้นจากทั้งคนฟังและคนพูด ยามร่างเล็กกว่าทรุดนั่งลงบนเตียงอีกคนก็ผละออกไปหยิบของที่จำเป็นก่อนจะตามลงมาทาบทับ งานที่ยังไม่เสร็จเรียบร้อยถูกทิ้งค้างไว้ทั้งอย่างนั้นโดยไม่สนใจ
“เตรียมพร้อมใช้กับกู หรือเตรียมพร้อมใช้กับใคร” เสียงที่เอ่ยถามห้วนขึ้น ดวงตาคู่สวยหรี่ลงจับผิด
“กับมึงสิ ขี้ยั่วแบบนี้เผื่อเกิดอยู่ในที่หาซื้อไม่ได้จะลำบาก”
ตอนไปเก็บของไม่ได้คิดสักนิดว่าจะได้ใช้ แต่ด้วยนิสัยของตัวเองและแฟนแล้วจึงหยิบติดมาด้วยเผื่อเกิดเหตุไม่คาดฝัน
แล้วก็เกิดขึ้นจริงๆ
“แน่ใจ?”
“งั้นก็ใช้ให้หมด จะได้มั่นใจว่าเอามาใช้แค่กับมึง”
“อะ ไอ้พี่หิน อื้อ เดี๋ยว...”
มือและปากของหินทำงานได้เร็วยิ่งกว่าสิ่งใด ยังไม่ทันจะเอ่ยห้ามจนจบประโยคทั้งเสื้อและกางเกง ทั้งชั้นนอกและชั้นในก็หลุดออกจนกายบางเหลือเพียงความเปลือยเปล่า
ทั้งหมดมีสามกล่อง กล่องละสามชิ้น
เก้ายก...
ถ้าหมดนั่นไข้กลับแน่นอน--
เมื่อได้
ยาดีจากเข็มอันใหญ่ของคุณหมอจำเป็นร่างกายของคนป่วยก็มีแรงขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ อาการปวดหัวดีขึ้นจนเกือบหายเป็นปกติ
หินไม่ได้ใช้ของจนหมดนั่นอย่างที่ลั่นวาจา สุดท้ายที่คนคิดถึงแฟนมากกว่าสิ่งอื่นใดก็ทำเพียงรอบเดียว บทรักเป็นไปอย่างอ่อนโยนและค่อยเป็นค่อยไปจนไม่มีความเมื่อยล้าใดๆเกิดขึ้นในยามตื่น
ขณะที่คนอ่อนแรงกลับเป็นคนที่ตัวโตกว่า ความเหนื่อยสะสมมาหลายคืนจนเมื่อได้พักร่างกายก็ปิดสวิตซ์ตัวเองกระทั่งตะวันชี้โด่งตรงกลางหัวหินก็ยังไม่ตื่น
หลังจากลงไปทานข้าวทานยาเรียบร้อยแฟนที่ไม่มีอะไรทำจึงเดินเข้าไปในส่วนของห้องทำงาน จัดเก็บงานที่หินทำไว้เมื่อคืนให้เป็นระเบียบ แล้วคิดว่าหลังจากนั้นจะเอางานตัวเองออกมาทำเนื่องจากถูกผู้เป็นพ่อสั่งห้ามไม่ให้ไปบริษัทจนกว่าจะหายสนิท
กึก
มือที่กำลังเก็บเอกสารต่างๆชะงักงันเมื่อหัวข้อบนหน้ากระดาษซึ่งกระจัดกระจายอยู่บนโต๊ะคือสัญญาเรื่องลิขสิทธิ์ด้านดนตรี รายละเอียดทุกอย่างหลายสิบหน้าล้วนเป็นภาษาอังกฤษ และที่สะดุดตาที่สุดคือชื่อของบริษัทเพลงที่ต้องการทำสัญญาด้วย
แม้จะไม่รู้จัก แม้ไม่ใช่ค่ายเพลงโด่งดังที่เห็นแล้วร้องอ๋อ แต่ก็เป็นค่ายเพลงต่างชาติ บ่งบอกว่าหินก้าวไปอีกขั้น
แฟนกวาดสายตาอ่านตัวหนังสือทุกหน้าคร่าวๆ หินยังไม่ได้เซ็นหรือเขียนอะไรลงไปคล้ายกับว่าเป็นช่วงเวลาของการตัดสินใจ
เมื่อทำความเข้าใจแล้วมือบางจึงเก็บทุกอย่างให้เข้าที่ แม้จะแปลกใจกับสิ่งที่เห็นแต่ก็ไม่ได้รู้สึกอยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวหรือก้าวก่ายกับการทำงานของอีกคน
ความสุขของหิน งานของหิน ทุกอย่างขึ้นอยู่กับหินเท่านั้น
แต่ถ้าถามว่าตื่นเต้นไหม...แฟนตอบได้เลยว่าอาจจะมากกว่าเจ้าตัวด้วยซ้ำ
“ตื่นแล้วเหรอ”
แฟนที่เดินกลับมาในส่วนของห้องนอนถามขึ้นเมื่อเห็นร่างสูงซึ่งไร้สิ่งใดปกปิดส่วนบนลุกขึ้นมานั่ง ผมเผ้าไม่เป็นทรง ดวงตาคมยังคงปรือปิดเหมือนยังไม่ตื่นดีนัก
“กี่โมงแล้ว” เสียงที่เปล่งออกมาแหบแห้ง
“เที่ยงครึ่ง”
“กูตื่นช้า” แฟนหลุดยิ้มเมื่อได้ยิน สองขาก้าวตรงไปยังเตียงกว้างก่อนจะทรุดตัวนั่งลงข้างตัวอีกฝ่าย
“เมื่อคืนมึงใช้พลังงานไปเยอะ”
“แค่รอบเดียวยังไม่ทันเหงื่อออกด้วยซ้ำ คงเพราะกูไม่ค่อยได้นอนมาหลายวันเพราะคิดแต่เรื่องเด็กโคตรดื้อที่ป่วย”
ประโยคตอบกลับยาวเหยียดแม้เสียงจะยังกลับมาไม่เต็มที่ ดวงตาก็ปรือเปิดขึ้นได้เพียงหนึ่งข้าง
“เป็นห่วงกูล่ะสิ”
ใบหน้าสวยเชิดขึ้นถามไม่สะทกสะท้าน ไม่รู้สึกผิดทั้งยังรู้สึกดีที่ถูกเป็นห่วง ทว่าคนถูกถามกลับทำหน้าระอา เลี่ยงการตอบคำถามนั้นด้วยการทิ้งตัวนอนพร้อมทั้งรั้งแฟนลงไปนอนด้วย
“จะนอนต่อหรือไง” ร่างเล็กขยับตัวให้ได้ที่พลางเอ่ยถาม
“นอนเล่น ยังไม่อยากลุก มึงดีขึ้นแล้วใช่ไหม”
“ถามอะไรทุกวัน ดีขึ้นแล้ว หายแล้ว” แฟนเงยหน้าขึ้นตอบคนที่กำลังกอดตัวเองอยู่
“ดีแล้ว อย่าป่วยอีกเลย”
ดวงตาคมวูบไหวไปชั่ววินาทีก่อนจะกลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว แต่เพราะความใกล้ชิดจึงทำให้แฟนมองเห็นความรู้สึกนั้นได้ในทันที
“พูดอีกสิ”
“หืม?” หินครางรับอย่างไม่เข้าใจนัก
“คำว่าพี่เป็นห่วงจะแย่...กูอยากได้ยินอีก”
คนฟังนิ่งไปกับคำร้องขอ รู้สึกแปลกๆเล็กน้อยเมื่อต้องพูดโดยมีสายตาของแฟนจับจ้องแบบนี้
ความรู้สึกแปลกก็คือความเขินนั่นแหละ
แต่ถึงอย่างนั้นความเว้าวอนจากดวงตาคู่สวยที่มองสบกันก็ส่งผลให้หินใจอ่อน ยอมพูดออกมาเสียงเบา
“ได้โปรดอย่าป่วยอีกเลย พี่เป็นห่วงจะแย่”
มากกว่าคำว่าพี่เป็นห่วงคือคำว่าได้โปรดที่ดูเว้าวอนเสียจนแฟนใจเต้น หินไม่ใช่คนหวานแต่ทุกการกระทำและคำพูดกลับตรงออกมาจากข้างใน ซึ่งมีผลต่อความรู้สึกรุนแรงกว่าคำหวานหลายเท่า
“แต่น้องชอบที่พี่เป็นห่วง”
เอ่ยจบก็ซุกตัวเข้าหาอีกคนซ่อนความเขินอาย ทิ้งให้คนฟังนิ่งค้าง ใจเต้นกับคำแทนตัวนั้นอยู่หลายนาที
นิสัยขี้อ้อนที่อยู่ส่วนลึกหลุดออกมาบ่อยครั้งเมื่ออยู่กับหิน ถึงจะควรชินแต่ทุกครั้งก็อดเขินอายไม่ได้
“จะขี้ยั่วหรือจะขี้อ้อน เลือกสักอย่าง”
“เป็นทั้งสองอย่างไม่ได้หรือไง”
“ไม่ได้”
“...”
“หัวใจกูจะวายเอา”แล้วเสียงหัวเราะแผ่วด้วยความถูกใจก็ดังขึ้น แม้ต่อจากนั้นจะไร้ซึ่งบทสนทนา มีเพียงความใกล้ชิดและสัมผัสของกันและกัน ทว่าแต่ละวินาทีที่ผ่านพ้นไปก็ไม่น่าเบื่อเลยสักนิด
TBC.
ไม่มีอะไรจะพูดแล้วนอกจากให้ทุกคนระวังเป็นเบาหวาน และ...อยากโดนฉีดยาบ้างค่าพี่หิน5555555
แฟนเพจ : https://www.facebook.com/writerexsoull/
Twitter : https://twitter.com/exsoull_ ฝากติดแท็ก #พี่หินคนห่าม ด้วยนะคะ