ตอนที่ 14
“ไม่รู้ว่าเรื่องนี้จำเป็นต้องบอกไหม แต่มันอาจดีกว่าถ้ามึงรู้จากตัวกูเอง...เรื่องที่กูจบปริญญาโทจากที่นี่กูไม่ได้โกหก แต่แค่ไม่ได้บอกมึงว่าก่อนหน้านั้นกูจบปริญญาตรีจากที่อื่น”--
ที่อื่นที่ว่าคงไม่ต้องให้เจ้าตัวเอ่ยบอกเมื่อหลักฐานยังคงอยู่ในมือ หลังจากหินพูดจบความเงียบก็เข้าปกคลุมคนทั้งสอง ดวงตาคู่สวยฉายความรู้สึกที่ไม่อาจคาดเดา ราวกับกำลังสื่อสารกันผ่านทางสายตาแต่กลับคุยกันคนละภาษา กระทั่งแฟนเริ่มขยับตัวด้วยการวางของในมือลง จากนั้นร่างบางจึงค่อยๆก้าวตรงมาหาเชื่องช้า
“มึงไม่เหมือนหินที่กูรู้จักวันแรก”
“แฟน...”
เสียงเรียกดังขึ้นเพียงเท่านั้นก่อนหินจะลอบถอนหายใจออกมาแผ่วเบา เกิดความรู้สึกยุ่งยากที่จะอธิบายเรื่องราวทั้งหมด แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือท่าทางของคนตรงหน้าที่ทำให้ยุ่งยากใจเสียยิ่งกว่า
“กูคือกู อย่างอื่นมึงไม่ต้องสนใจ”
มือหนาเอื้อมไปดึงมือเล็กมาจับเอาไว้เมื่อรับรู้ได้ถึงความไม่ปกติจากแฟน
“กูไม่ได้ดีใจเลยที่มึงดูจะเพียบพร้อมไปทุกอย่าง”
แฟนไม่อาจอธิบายออกมาได้ว่ากำลังรู้สึกอย่างไรกับเรื่องที่ได้รับรู้ จะว่ามึนงงก็ไม่ใช่ สับสนก็ไม่ถูก โกรธยิ่งไม่ใช่ไปใหญ่
บอกไม่ถูกจริงๆ
“กูไม่ได้เพียบพร้อมอะไร” คนถ่อมตัวเอ่ยเสียงเรียบ
“กูอยากให้มึงเป็นแค่หิน...เป็นพี่หินแค่เท่านั้น”
หากในเวลาอื่นคำว่าพี่หินคงเขย่าใจคนฟังจนวูบไหว แต่ยามนี้แววตาลุ่มลึกและคำพูดนั้นของแฟนทำให้รู้สึกไปอีกอย่าง
ไม่ใช่ความรู้สึกที่ดีนัก
“กูก็ยังคือกูไง ถึงวันแรกกับวันนี้กูจะแตกต่างกันในความรู้สึกของมึง แต่กูยังคือคนเดิมเหมือนที่เคยบอกไป...ไม่ว่าจะมีเรื่องราวอะไรที่เกี่ยวกับกูเพิ่มขึ้น กูก็ยังเป็นผู้ชายธรรมดาที่อยู่ตรงหน้ามึงตลอดสามเดือน”
แฟนจับจ้องมองคนตรงหน้า คำพูดมากมายเมื่อครู่แทบไม่เข้าหัว ดวงตาคู่สวยกวาดมองไล่ตั้งแต่หน้าผาก ลงมายังจมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากได้รูป โครงหน้าซึ่งมีเค้าโครงชัด ผิวสีแทนตามแบบฉบับของผู้ชาย ท้ายที่สุดแล้วจึงวกกลับมาจบที่ดวงตาคม มองสบอยู่หลายนาทีก่อนจะก้าวเท้าเข้าไปใกล้จนต้องเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย เมื่อความสูงของตัวเองสุดแค่ตรงปลายคางแกร่ง
“ทำไมไม่บอกเรื่องนี้กูแต่แรก”
“กูไม่อยากพูดให้รู้สึกว่ากำลังอวดประวัติของตัวเอง”
หินตอบคำถามด้วยสีหน้ามั่นคง แววตาไม่มีสั่นไหว และคำตอบนั้นก็ทำให้แฟนถอนหายใจเฮือก หอบเอาความรู้สึกขมุกขมัวออกไปจากข้างในแล้วพยายามทำความเข้าใจว่าคนตรงหน้านี้คือหิน
ความหินนี่มันจริงๆ
“กูควรรู้สึกยังไงดี เอามึงไปอวดกับทุกคนดีไหมว่ามีหลัวที่เก่งขนาดนี้”
ใบหน้าและคำพูดของแฟนผ่อนปรนความเครียดขึงลงจนหินเริ่มโล่งใจ พลันจากการจับมือหลวมๆจึงเปลี่ยนเป็นรั้งเอวบางเข้ามาหาตัว
“รู้เหรอว่ามหาลัยกูเป็นมหาลัยอะไร” คิ้วเข้มเลิกขึ้นพลางเอ่ยด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ
“ดูจากชื่อก็รู้ว่าต้องขึ้นชื่อด้านดนตรี”
“อืม ถูก”
“ก็ชื่อโมสาร์ทขึ้นมาซะขนาดนั้น”
แฟนทำสีหน้าราวกับจะบอกว่าใครไม่รู้ก็บ้าแล้วจนหินหลุดหัวเราะในลำคอ บรรยากาศแปลกๆก่อนหน้าเลือนหาย หลงเหลือเพียงความรู้สึกเช่นปกติของคนทั้งสอง
“แล้วไหนมึงบอกว่าไม่รวย”
คนถามหรี่ตาลงจับผิดพลางเคาะนิ้วลงบนอกแกร่งระหว่างรอเวลาฟังคำตอบ
“กูไม่รวย...ที่ไปเพราะได้ทุน”
“หมั่นไส้ความเก่ง”
แทนที่จะทำหน้าปลาบปลื้มแต่แฟนกลับเบะปากใส่ สีหน้าแสดงออกไปในทางเดียวกันกับคำพูด
“หึ มึงต้องปลื้มสิที่หลัวตัวเองเก่งขนาดนี้”
คำโอ้อวดครั้งแรกหลุดออกจากปากเพียงเพราะอยากให้คนตรงหน้าเป็นปลื้ม ทว่าดูจากหน้าตาของแฟนแล้วมันกลับไม่เป็นเช่นนั้น
“ไม่ปลื้ม เก่งแล้วไง เรียบจบจากนอกแล้วไง มันไม่ใช่สิ่งที่บ่งบอกว่ามึงจะรักกูไปตลอดนี่”
ต่อให้เก่งกว่านี้ รวยเป็นมหาเศรษฐี หรือหล่อเท่าคริส เฮมสวอร์ธ มันก็การันตรีความสัมพันธ์ไม่ได้
ตรงกันข้าม ยิ่งอีกฝ่ายสมบูรณ์แบบเท่าไหร่ยิ่งทำให้ย่อมไปจากกันโดยง่ายเนื่องจากมีคนอยากเข้าหาเป็นพรวน
คำตอบที่คนฟังชะงักไปในวินาทีแรก จากนั้นมุมปากจึงยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม ก่อนจะซบหน้าผากลงกับหน้าผากของคนในอ้อมแขน
“มึงจะสื่อว่าต่อให้กูไม่เก่ง เป็นนักดนตรีจนๆที่ไม่มีความหล่อ แต่ขอแค่รักมึงเท่านั้นก็ได้ใช่ไหม”
ประโยคยกตัวอย่างทำให้คำว่ารักยังไม่สมบูรณ์แต่ถึงอย่างนั้นก็ส่งผลต่อความรู้สึก อีกทั้งสัมผัสและสีหน้าของคนพูดพลันหลอมละลายใจคนฟังจนอ่อนยวบ ความร้อนวิ่งลามมาที่แก้มจนกลัวว่าหินจะสัมผัสได้
“แต่ยังไงก็ขอหน้าตาแบบดูดีหน่อยแล้วกัน”
ถึงความรู้สึกจะไม่มั่นคงนักแต่คำพูดก็ยังคงความเป็นตัวเองจนหินส่ายหน้าเบาๆ ท่าทางคล้ายอ่อนใจกับคำตอบหากแต่ใจกลับเห็นด้วยอย่างไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ
ยอมรับเถอะว่าคนเราเข้าหาเพราะรูปลักษณ์เป็นอันดับแรก ก่อนที่นิสัยและไลฟ์สไตล์จะตามมาเป็นอย่างหลัง
“อย่างมึงต้องลีลาดีด้วยถึงจะถูกใจ”
ปึก
มือบางบนอกแกร่งซัดใส่ปึกจนหินสะอึก น้ำหนักมือซึ่งไม่เบานักส่งผลให้เกิดความเจ็บในระดับหนึ่งจนต้องผละใบหน้าออกห่าง
“ทะลึ่ง”
“หรือไม่จริง”
“ไม่จริง”
“แน่ใจ?” ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันเมื่อได้ยินเสียงทุ้มเอ่ยสูงขึ้นบ่งบอกว่าไม่เชื่อ
“แน่”
“งั้นต่อไปทำแค่ท่ามิชชันนารีนะ The Erotic V,Ascent to desire,The Waterfall และอื่นๆคงไม่จำเป็น”
มากกว่าสำเนียงที่ชัดเจนคือการจำชื่อท่าทั้งหมดได้...
“จำเป็น!”
หลุดตอบออกไปเสียงดังจนมือที่ยกตะครุบปิดไม่อาจปิดทันคำที่หลุดออกจากปาก ขณะที่หินหัวเราะออกมาเสียงดังก้อง ยิ่งยามมองใบหน้าคนเผลอที่แดงก่ำแล้วยิ่งหัวเราะหนักเข้าไปใหญ่
ทางด้านคนคิดดังก็กัดปากที่อยู่ภายใต้มือของตัวเองจนเลือดแทบซิบ ร่างเล็กดิ้นหนีจากการถูกกอดแล้วก้าวถอยหลังไปไกล
“ไม่ต้องอายหรอกน่า กูเข้าใจ”
ประโยคนั้นแทบเปล่งออกมาไม่เป็นคำเมื่อคนพูดยังคงหัวเราะไม่หยุด
“กูลืมคำว่าไม่ จะบอกว่าไม่จำเป็น”
เสียงที่เอ่ยตอบดังอู้อี้เมื่อมันไม่อาจเดินทางผ่านมือที่ปิดกั้นออกมาได้
“หึ โอเคๆ กูเข้าใจ กลับมานี่” ท่อนขาแกร่งก้าวตามแล้วคว้าตัวคนที่ถอยห่างให้กลับมาแนบชิดเช่นเดิม
หินกลายเป็นโรคเสพติดความใกล้ชิดของแฟน เมื่ออีกคนอยู่ในครรลองสายตาจะไม่พ้นต้องดึงเข้ามากอด จูบ หรือทำอะไรสักอย่างให้ร่างกายคลอเคลียกันไม่ห่าง
กลิ่นหอมอ่อนเย้ายวนจากเรือนกายบางคือสารเสพติดชั้นดีที่มอมเมาให้อยากสูดดมตลอดเวลา
พอได้กลิ่นก็อยากกัด อยากทรมานร่างบางด้วยริมฝีปากของตัวเอง
“กอดทำไม”
ปากบางเป็นอิสระจากการถูกปิดเมื่อมือบางเปลี่ยนไปวางพักอยู่บนอกกว้าง แต่แก้มเนียนก็ยังคงขึ้นสีอยู่จางๆ
“อายอะไร จำเป็นก็จำเป็น กูไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย”
คำพูดราวกับจะปลอบแต่รอยยิ้มมุมปากนั้นไม่ได้ทำให้แฟนรู้สึกอายน้อยลงเลยแม้แต่น้อย
“งั้นมึงก็ห้ามยิ้มล้อกู”
“กูไม่ได้ล้อ แค่มีความสุขก็เลยยิ้ม”
“มีความสุขที่ได้แกล้งกูน่ะสิ” เสียงที่เอ่ยขึ้นจมูก ดวงตาสวยเฉี่ยวประกายไปด้วยความขุ่นเคือง
“หึ เพราะมึงคือความสุขไง”
คนไม่ได้ตั้งตัวได้แต่นิ่งงัน อารมณ์เปลี่ยนวูบราวกับเป็นไบโพล่า ความร้อนบนแก้มดูจะเพิ่มขึ้นยิ่งกว่าความอายเมื่อครู่จนเหมือนมันจะระเบิด รอยยิ้มเย้าหยอกแปรเปลี่ยนเป็นละมุนจนไม่คุ้นชิน
ไม่คุ้นชินโดยเฉพาะกับใจที่เต้นถี่รัวเหมือนมีกลองถูกตีเป็นร้อยชุดอยู่ข้างใน
“เขิน?” คนเห็นอาการนั้นเอ่ยถามขึ้นอย่างอดไม่ได้
“ทำไมต้องเขิน”
ลมหายใจถูกสูดเข้าปอดก่อนแฟนจะสลัดความหวั่นไหวข้างในออกแล้วหยิบหน้ากากแห่งความมั่นใจที่ใช้อยู่เป็นประจำขึ้นมาสวม
“Cause I just said you are the reason I’m happy”
เมื่อบอกเรื่องของตัวเองไปแล้วการพูดภาษาที่คุ้นชินจึงคล่องปากที่จะพูดมากขึ้น
“No,I’m not blushing.” แฟนตอบกลับเป็นภาษาเดียวกัน
“OK if you say so.”
ถึงจะพูดอย่างนั้นแต่ใบหน้าของหินก็ไม่ได้เป็นไปตามคำพูดเลย เมื่ออีกฝ่ายทำหน้ากรุ้มกริ่มจนรับไม่ไหวปากเล็กจึงอ้างับปลายจมูกโด่งด้วยความหมั่นไส้
“โอ๊ย นี่กลายร่างเป็นหมาอีกแล้วเหรอ” มือหนายกขึ้นกุมจมูกตัวเองขณะที่อีกข้างก็ยังรัดเอวบางไม่ปล่อย
“อยากทำหน้าทำตาใส่กูนัก”
“งั้นกูกัดคืน”
“โอ๊ยยยย ไอ้พี่หิน”
เสียงร้องดังขึ้นเมื่อแก้มตัวเองตกอยู่ในปากของอีกฝ่ายบางส่วน ถึงหินจะไม่ได้ลงน้ำหนักงับเต็มแรงแต่ก็มากพอจะให้รู้สึกเจ็บ
“พอแล้ว ห้ามกัดคืน ถือว่าหายกัน” หินเอ่ยขึ้นเมื่อปากเล็กตั้งท่าจะตามมางับกลับอีกรอบ
ไม่รู้ว่าพวกเขามาถึงจุดที่เล่นกันเป็นเด็กแบบนี้ได้ยังไง
“น้ำลายเต็มหน้ากูเลย”
“น้ำลายมึงก็เต็มจมูกกูเหมือนกัน...เปื้อนทั้งสองคนแบบนี้ก็ไปอาบน้ำ จะได้ออกไปกินข้าว”
ถึงไม่อยากยอมแต่เพราะความหิวที่เริ่มเล่นงานก็ทำให้ล่าถอย เมื่ออีกคนคลายแรงรัดบนเอวลงแฟนจึงขยับออกห่าง
“งั้นกูไปอาบน้ำก่อน”
“อาบพร้อมกันนี่แหละ”
ยังไม่ทันจะได้ดิ้นหนีแขนใหญ่ก็สอดหมับเข้าที่เอวอีกครั้ง ก่อนจะออกแรงหิ้วพาเดินเข้าไปในห้องนอนราวกับเป็นสัตว์เลี้ยงตัวน้อยที่จะจับไปวางตรงไหนก็ได้
“กูไม่ใช่หมากระเป๋านะ”
ถึงจะเอ่ยอะไรไปก็ดูเหมือนประโยคเล่านั้นจะดังไม่เข้าหูหิน จนสุดท้ายแล้วเสียงโวยวายก็ถูกเปลี่ยนไปเป็นเสียงอย่างอื่น การอาบน้ำด้วยกันไม่ใช่เพียงแค่การอาบน้ำอีกต่อไป
สรุปว่าสุดท้ายการออกไปทานข้าวข้างนอกก็ต้องเปลี่ยนเป็นโทรสั่งมาทานที่ห้องเนื่องจากร่างกายของแฟนอ่อนแรงเพราะถูกสูบพลังไปจนหมด
--
“ถามจริง เขารู้ไหมเนี้ยว่ามึงโรคจิตขนาดนี้”
คนถูกถามไม่ตอบ ทำเพียงแค่หัวเราะในลำคอยามเอื้อมมือออกไปรับซองสีน้ำตาลซึ่งมีรูปถ่ายอยู่ในนั้นมาไว้ในมือ
“นิดเดียว”
“นิดห่าอะไร จะเป็นรูปนู้ดอยู่แล้ว...เออ แต่สวยจริงว่ะ”
“นั่นเมียผม” ประโยคแสดงความเป็นเจ้าของมาพร้อมกับแววตาที่เข้มขึ้นจนคนเป็นรุ่นพี่หลุดหัวเราะ
นานๆทีจะเห็นท่าทางนี้จากเสื้อยิ้มยาก
“กูรู้น่า ไม่ได้คิดหื่นกับเมียน้อง แค่จะบอกว่าสวย ภาพออกมาดีมากแต่ก็เป็นเพราะฝีมือมึงด้วย”
รุ่นน้องคนนี้มีพรสวรรค์และพรแสวงเรื่องดนตรีอย่างร้ายกาจ แต่สิ่งที่เก่งไม่แพ้กันก็คือการกดชัตเตอร์จับภาพคนหลังเลนส์
ยิ่งกับภาพที่เน้นอารมณ์แบบนี้ยิ่งออกมาราวกับเป็นศิลปินดัง
“ยังห่างไกลจากพี่เยอะ ขอบคุณมาก เดี๋ยวผมแวะมารบกวนอีก”
“คราวหน้าคงไม่นู้ดจนกูไม่มีสมาธิล้างรูปนะ” เจ้าของร้านถ่ายรูปเอ่ยเย้า
“หึ ไม่ต้องห่วง ถ้าแบบนั้นเดี๋ยวผมล้างเอง”
ร่างสูงในชุดสบายๆตามแบบฉบับเจ้าตัวเดินออกจากร้านไปพร้อมกับซองรูปสุดรักสุดหวง ทว่ายังไม่ทันจะได้สตาร์ทรถคู่ใจเสียงโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงก็ดังขึ้น
“ว่า” หินรับสายเมื่อเห็นชื่อของคนที่โทรเข้ามา
“อยู่ไหน”
“มาทำธุระแถวลาดพร้าว กูไลน์บอกมึงแล้วนี่”
“กูโทรมาถามเพื่อความแน่ใจ มึงอยู่ไกลจากเซ็นลาดรึเปล่า ถ้าไกลก็ไม่เป็นไร”
“จะเอาอะไร พูดมาเลย”
“อยากกินขนม” ปลายสายเอ่ยเสียงเบา
“ขนมอะไร ส่งมาในไลน์ เดี๋ยวไปหาให้”
“โอเค”
เสียงตอบรับฟังดูร่าเริงกว่าเมื่อครู่ก่อนสัญญาณจะถูกตัดไป ไม่นานนักแจ้งเตือนจากไลน์ก็ปรากฏขึ้นโดยแฟนส่งมาทั้งรูปและข้อความ หินอ่านรายละเอียดเหล่านั้นแล้วเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋าพลางส่ายหัวไปมาน้อยๆ
นี่เมียหรือลูก
“กินมากๆเดี๋ยวได้ฟันผุ”
เสียงทุ้มดังขึ้นเมื่อร่างบางข้างตัวเอาแต่ดูดอมยิ้มที่ฝากซื้อไม่หยุด เพิ่งรู้ว่าแฟนชอบกินอะไรพรรค์นี้ นอกจากกินของที่เหมือนเด็กแล้วท่าทางตอนนี้ยังเหมือนเด็กจนคนมองขมวดคิ้ว
ขาเรียวภายใต้กางเกงขาสั้นปิดถึงเพียงขาอ่อนถูกชันขึ้นมากอด ขณะที่ดวงตาสวยจับจ้องอยู่บนหน้าจอโทรทัศน์
ไม่เคยเห็นแฟนในมุมนี้มาก่อน
“กินแล้วก็แปรงฟันไง”
แก้มเนียนป่องออกมาหนึ่งข้างเนื่องจากอมยิ้มที่พักเอาไว้ตรงกระพุ้งแก้ม พอเอ่ยตอบแล้วก็จับก้านเรียวยาวที่ยื่นออกมาจากปากดึงออก เผยให้เห็นอมยิ้มที่เคลือบไปด้วยน้ำลายสีใส
“หอมมาก อร่อยด้วย”
เจ้าตัวพูดต่อก่อนจะเอาของกินสีสวยไล้ไปมาบนริมฝีปาก จนความเหนียวหนืดเคลือบอยู่บนกลีบปากวาววับ จากนั้นก็แลบลิ้นเลียกวาดเอาความหวาน เสร็จแล้วจึงหัวเราะกับตัวเอง
“เหมือนเด็กเลยกู” เล่นเองรู้ตัวเอง
“นี่จะยั่วหรืออะไร”
“กูไม่ได้ยั่ว เนี้ย มันหอมจริงนะ”
แฟนขยับตัวเข้าไปใกล้พลางยื่นปากไปหาอีกคน ทว่าหินกลับเบี่ยงหน้าหนี ไม่คิดสนใจของกินของเด็กแต่ร่างเล็กก็ไม่ยอมแพ้ ขยับขึ้นมานั่งคร่อมบนตัก วินาทีต่อมาเรียวปากสีสดก็ทาบทับเข้าหา บังคับให้ได้ลิ้มลองรสชาติหวานหอมอย่างเอาแต่ใจ
“อร่อยไหม”
ยังมีหน้ามาถาม
ใบหน้าของถามพูดทอความกะลิ้มกะเหลี่ยเนื่องจากคิดดีใจที่เอาชนะให้หินลิ้มลองรสชาติของอมยิ้มได้ ส่วนคนถูกถามได้แต่เข่นเขี้ยวเด็กดื้ออยู่ในอก เมื่อทนไม่ไหวจึงแนบเรียวปากเข้าหา กลืนกินรสชาติที่แฟนภูมิใจนำเสนอตั้งแต่นอกปากไปจนถึงในปาก
“อื้อ”
เสียงร้องอื้ออึงดังขึ้นเมื่อไม่ทันได้ตั้งตัว มือที่ถืออมยิ้มเอาไว้พยายามยื่นออกไปไกล ไม่ให้ต้องเลอะตัวเองและอีกฝ่าย
สองลิ้นเกี่ยวพันกันจนเกิดเสียงที่แทบจะกลบเสียงโทรทัศน์ ความหอมหวานของอมยิ้มเลือนหายไปตั้งแต่วินาทีแรก ตอนนี้จึงเหลือเพียงความหอมหวานจากสัมผัสกันและกัน
ความลับอีกหนึ่งอย่างของแฟน
ชอบจูบของหินเป็นที่สุด
มันไม่ได้อ่อนหวานจนทำให้อ่อนระทวยกองลงตรงหน้า แต่กลับมีความเร่งเร้าที่เหมือนจะดุดัน อีกทั้งยังแฝงความลึกซึ้งที่อธิบายไม่ถูก
“พอแล้ว”
สุดท้ายต้องเอ่ยออกมาเสียงเบายามหินให้พักหายใจเนื่องจากกลัวว่าจากแค่จูบจะกลายเป็นเลยเถิดไปไกล
“มึงให้กูชิมไม่ใช่รึไง”
“ให้ชิมอมยิ้ม ไม่ใช่ให้ชิมปากกู”
“หึ ใครเล่นก่อน”
ใบหน้าของแฟนแดงเรื่อจากแรงจูบ ริมฝีปากสีสดบวมเจ่อ ขณะยังคงนั่งอยู่บนตัก
น่าทำมากกว่านี้
“เลิกเล่นก็ได้”
ร่างเล็กขยับลงไปนั่งที่เดิมก่อนจะเอาอมยิ้มในมือเข้าปากแล้วหยิบหมอนขึ้นมากอดเพื่อเป็นเกราะป้องกันตัวเอง พอนั่งดูทีวีไปได้สักครู่ก็หันมาถามคนข้างตัวเมื่อนึกอะไรขึ้นมาได้
“มึงเริ่มงานวันไหนนะสรุป”
“วันจันทร์หน้า” คนเอ่ยถามพยักหน้ารับเชื่องช้าจากนั้นจึงถามต่อ
“งั้นเสาร์อาทิตย์นี้ว่างรึเปล่า”
“ก็ว่าง ทำไม?”
หินมองหน้าแฟนด้วยความสงสัยเมื่ออีกฝ่ายถามราวกับจะนัดไปไหน สีหน้าและแววตาแสดงออกถึงความไม่มั่นใจในอะไรบางอย่าง
“ก็...ที่บ้านกูเขาอยากรู้จักมึง”
คิ้วเข้มคลายออกจากกันเมื่อได้ยินประโยคต่อมาก่อนหินจะครางรับในลำคอ
“อ่าห๊ะ”
“อ่าห๊ะนี่คือจะไปหรือไม่ไป”
กลายเป็นแฟนที่ขมวดคิ้ว อมยิ้มในปากถูกดึงออก ดวงตาหรี่ลงคาดคั้น
“แล้วทำไมกูต้องไม่ไป” หินถามกลับ
“ไม่รู้สิ...”
ได้ยินดังนั้นคนคิดไกลจึงได้แต่เอ่ยเสียงเบา ความรู้สึกสับสันแปลกๆวิ่งวนอยู่ในอกด้วยเพราะไม่ได้คิดว่าหินจะตอบรับโดยง่าย
“เวลาไหนอะไรยังไงก็บอกกูมาแล้วกัน”
“อืม”
แฟนเหลือบมองเสี้ยวหน้าของคนที่นั่งอยู่ข้างกันเงียบๆ อีกคนไม่มีท่าทีผิดปกติ ไม่มีปฏิกิริยาด้านลบ อีกทั้งไม่มีความวิตกใดๆฉายออกมาให้เห็น
“ถ้ามึงไม่อยากไปก็บอกกูได้นะ” เอ่ยออกมาด้วยความรู้สึกจากข้างใน ไม่ได้คิดประชดหรือโกรธเคืองใดๆ
หินเองก็มีสิทธิ์ตัดสินใจว่าจะไปหรือไม่ไป
ประโยนั้นทำให้คนที่คิดว่าประเด็นนี้จบไปแล้วหันขวับกลับมา คิ้วเข้มขมวดมุ่น ดวงตาคมดูดุยิ่งกว่าเคย
“อย่าคิดแทนกู”
“จริงๆ ถ้าเผื่อมันยุ่งยากสำหรับมึง เอาไว้โอกาสหน้าก็ได้”
คนฟังถอนหายใจ เมื่อขี้เกียจอธิบายจึงดึงแฟนเข้ามาจูบ ปิดกั้นคำพูดและความคิดแปลกๆนั้นไปให้หมด
“กูไม่ได้รู้สึกยุ่งยากอะไร และมันคือสิ่งที่สมควรทำ”
“...” คนเพิ่งถูกจูบได้แต่กดหน้ารับ
“มึงเองก็ต้องไปเจอครอบครัวกู แต่แค่ต้องรอเวลาที่ลงตัว”
คำว่าต้องไปเจอครอบครัวของหินเรียกให้ใจคนฟังเต้นถี่ ความตื่นเต้นไหลวูบเข้ามาจนมือข้างที่ถืออมยิ้มเอาไว้กำแน่น
เหมือนความสัมพันธ์ก้าวไปอีกขั้น
“หรือมึงไม่อยากไป?” หินถามขึ้นอีก
“เปล่าซะหน่อย”
“เห็นไหม กูก็เหมือนกัน เพราะงั้นเลิกคิด”
“อืม เข้าใจแล้ว”
หน้าผากเนียนถูกเคาะเบาๆเป็นการลงโทษอีกครั้ง จากนั้นหินจึงหันกลับไปดูทีวีต่อ ขณะที่ปากเล็กก็อ้ารับอมยิ้มด้วยความรู้สึกเป็นสุขเล็กๆ
ความจริงจังและการให้เกียรติกันของหินมันเกินกว่าที่คาดคิด
--
“บอกว่าไม่ต้องซื้ออะไรไป พ่อกับแม่กูไม่ว่าหรอก”
เสียงเอ่ยห้ามดังขึ้นยามเห็นหินกำลังให้ความสนใจกับอาหารบำรุงร่างกายซึ่งเรียงรายอยู่บนชั้น
ห้างสรรพสินค้าซึ่งไม่ไกลจากคอนโดนักคือสถานที่ที่แฟนถูกพามา โดยหลังเลิกงานอีกคนแวะมาหาที่บริษัทเพื่อรอกลับพร้อมกัน จากนั้นเจ้าตัวก็ตัดสินใจเองเสร็จสรรพ หักพวงมาลัยเลี้ยวเข้าโดยไม่ถามความคิดเห็นเลยแม้แต่น้อย
“ตามมารยาทแล้วก็ควรมี”
หินหยิบนู้นนี่นั่นมาดูอยู่สักพักก่อนวางลงเมื่อไม่มีอะไรถูกใจ ก่อนจะเดินต่อ
“พ่อกับแม่มึงชอบดื่มชารึเปล่า” อยู่ดีๆร่างสูงก็หันมาถาม
“ก็ชอบ” แฟนเอ่ยอบพลางเดินขึ้นมาจนทันคนที่เดินอยู่ข้างหน้า “ทำไม จะซื้อให้พ่อกับแม่กูเหรอ”
“อืม จำได้ว่าที่นี่มีร้านขนมที่ขายชาชั้นดีอยู่”
เมื่อนึกขึ้นได้เป้าหมายจึงเปลี่ยนไปเป็นร้านขนมสไตล์ผู้ดีอังกฤษซึ่งอยู่ชั้นบน ยามแฟนได้เห็นบรรยากาศรอบร้านดวงตาจึงลุกวาว เค้กแต่ละชิ้นหน้าตาสวยงามจนสุดท้ายต้องอ้อนขอให้หินแวะนั่งก่อนสักครู่
“มึงจะกินของหวานก่อนกินข้าว?” เสียงทุ้มเอ่ยถามเมื่อร่างบางสั่งเค้กไปแล้วเรียบร้อย
“กินได้ มันคนละกระเพาะกัน”
หินส่ายหัวให้กับคำตอบ ระหว่างนั้นก็ทำเพียงนั่งไปเงียบๆโดยไม่คิดสั่งอะไร กระทั่งโทรศัพท์มือถือของตัวเองดังขึ้น
“กูออกไปคุยงานแป๊บ”
เพราะบรรยากาศในร้านค่อนข้างจอแจจึงลุกออกไปคุยนอกร้าน สื่อสารกับปลายสายราวๆสิบนาที จากนั้นจึงกลับเข้ามาอีกครั้ง
ทว่ายังไม่ทันถึงโต๊ะดีคิ้วเข้มก็ขมวดมุ่น ชายหนุ่มรูปร่างสูงเพรียวกำลังยืนคุยบางอย่างกับแฟน พร้อมทั้งถือโทรศัพท์อยู่ในมือ
“มีแฟนแล้ว”
ได้ยินแฟนเอ่ยดังนั้นเมื่อเดินจนถึงโต๊ะพอดี เสียงฝีเท้าหนักๆหยุดลงเรียกให้คนทั้งสองหันมา ก่อนคนที่ไม่รู้จักจะมีสีหน้าและท่าทางตกใจ
“ขอโทษครับ”
ไม่รู้ว่าเพราะรับรู้ถึงความสัมพันธ์ของคนที่นั่งอยู่โต๊ะกับคนเพิ่งเดินเข้ามา หรือเพราะดวงตาเรียบนิ่งคมกริบคู่นี้ที่ทำให้ชายหนุ่มคนนั้นรีบถอยทับกลับอย่างรวดเร็ว
“มาจีบมึง?” เอ่ยถามขึ้นพลางทรุดตัวนั่งลงฝั่งตรงข้าม
“มั้ง ก็เข้ามาขอไลน์” แฟนเอ่ยตอบสบายๆก่อนจะหันกลับมาให้ความสนใจกับเค้กตรงหน้าต่อ
“ทำไมไม่ให้ไปล่ะ” ทว่าประโยคต่อมาทำให้คนฟังถึงกับเงยหน้าขึ้น
“ไลน์กู ก็ให้เขาไปสิ” หินเอ่ยตอบเสียงเรียบ มุมปากโค้งขึ้นน้อยๆราวกับกำลังเย้าหยอก
“ให้ไลน์มึงแล้วทำไม”
“กูจะได้บอกว่าหน้าอ่อนๆแบบนั้นมึงไม่ชอบหรอก”
คิ้วได้รูปเลิกขึ้นเมื่อได้ยินคำตอบ ดวงตาคู่สวยวาววับเพราะคำพูดของคนตรงหน้า ท่าทางของหินไม่ถึงกับหึงหวง แต่คำพูดเหล่านั้นก็ส่งผลให้แฟนรู้สึกดีไม่น้อย
“หึ แล้วกูจะชอบแบบไหน”
สุดท้ายก็ต้องวางช้อนในมือลงบนจาน เค้กดูท่าจะถูกละเลยความสนใจไปเสียแล้ว
“ไม่หล่อแต่เด็ด นั่นแหละที่มึงชอบ”
ยิ่งกว่าคำพูดคือดวงตาคมที่ฉายแววกรุ้มกริ่มจนแฟนนึกอยากเอานิ้วจิ้ม
ถ้าพูดถึงคำว่าสเป็ค แบบหินนั้นช่างห่างไกล วินาทีแรกเมื่อเจอเป็นเพียงแค่ความถูกใจ น่าลองค้นหา แต่ตอนนี้ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าคนตรงหน้าเปลี่ยนให้สายตาที่มีต่อคนอื่นเปลี่ยนไป
จากที่ชอบมองคนหล่อแบบดูดีก็เปลี่ยนเป็นมองคนที่เสน่ห์มากกว่ารูปลักษณ์ ไม่ใช่ว่าสนใจในเชิงชู้สาวแต่ก็มองไปเรื่อยๆเมื่อไม่มีอะไรทำ
“จะบอกว่าตัวเองเด็ดว่างั้น”
แฟนถามกลับเมื่อดึงสติตัวเองออกจากภวังค์ความคิด แต่ประโยคนั้นกลับทำให้หินแสร้งเบิกตา
“พูดว่าชอบกูเนียนๆเลยนะ”
คนเผลอหลุดปากแทบจะสะดุ้งยามคิดตามคำพูดของหินแล้วพบว่ามันเป็นอย่างที่อีกฝ่ายพูด แต่เรื่องอะไรจะยอมรับให้เจ้าตัวได้ใจ
“กูยังไม่ได้พูด”
“เคยเรียนตรรกศาสตร์การให้เหตุผลแบบนิรนัยไหม เมื่อกี้กูบอกว่ามึงชอบคนไม่หล่อแต่เด็ด มึงถามกลับว่าคิดว่าตัวเองเด็ดสินะ...ผลก็คือมึงจะบอกว่าชอบกู”
ประโยคยืดยาวมากมายก่อนหน้าเข้าใจยากจนคนไม่ถนัดอะไรแบบนี้ไม่อาจเข้าใจ แต่สรุปได้โดยง่ายว่าหินกำลังอ้างอิงที่มาของคำว่าชอบ ซึ่งไม่ได้ถูกเอ่ยออกมาอย่างชัดเจนทว่าตีความหมายได้
“ถ้ากูหมายความว่าอย่างนั้นแล้วมันทำไม”
เมื่อดิ้นไม่หลุดจึงยอมสู้ตรงๆ ใช่ว่าจะไม่เคยบอกความรู้สึกของตัวเองที่มีต่ออีกฝ่าย
“ก็ไม่ทำไม แค่ถูกต้องแล้วที่มึงชอบคนไม่หล่อแต่เด็ด แล้วก็ชอบกู”
หินพูดเรื่อยๆแต่สายตากลับไม่เรียบเรื่อยดั่งคำพูด มันวาววับ หยอกเย้า น่าหมั่นไส้
“งั้นมึงก็คงชอบคนเด็ดเหมือนกัน ทั้งเด็ดแล้วก็สวยมากด้วย” แฟนพยายามข่มกลับ ไม่ยอมถูกหินต้อนอยู่ฝ่ายเดียว
“อืม...ยอมรับ” คิ้วได้รูปขมวดมุ่นเมื่อคนตรงหน้ายอมรับโดยง่าย
“นี่ยอมรับว่ากูเด็ด กูสวย แล้วก็ชอบกูด้วยเหรอ”
“อืม ทำไม มึงก็รู้อยู่แล้วนี่”
“อะไร ไม่สนุกเลย”
ใบหน้าสวยเบ้บิดฉายแววขัดใจจนคนมองหลุดหัวเราะ เมื่อหินไม่โต้ตอบร่างบางจึงหันไปลงกับเค้กตรงหน้า สงครามย่อมๆยุติลงเพียงเท่านั้น ก่อนภาพเด็กแสนเอาแต่ใจจะถูกบันทึกด้วยกล้องของโทรศัพท์มือถือแล้วอัพโหลดลงเฟซบุ๊กที่นานทีปีหนจะมีการเคลื่อนไหวโดยที่เจ้าตัวไม่รู้ตัว
“FAN”คำสั้นๆซึ่งแปลความหมายได้ทั้งเป็นเพียงแค่ชื่อ...และสถานะของคนในรูป
--
Fan Tharun commented on your post.‘ I’m your FAN
And you’re my FAN too. ’--
TBC.
ช่วงนี้ฟิตมากกกก มาเร็วมาก คึคึ (ถ้ากำลังใจดีโซแอลก็จะขยันแบบนี้ไปเรื่อยๆเล้ย><)
ตอนนี้คือหวานลืมไปเลยค่าาา ฮื่อ อย่าเพิ่งเลี่ยนกันนะคะ เพราะเขาจะหวานกันไปอีกน๊าน คิก
ยังไงก็ฝากติดตาม แล้วก็ฝากแท็ก #พี่หินคนห่าม ด้วยน้า
แล้วเจอกันตอนหน้าค่ะ~
แฟนเพจ : https://www.facebook.com/writerexsoull/
Twitter : https://twitter.com/exsoull_ ฝากติดแท็ก #พี่หินคนห่าม ด้วยนะคะ