ตอนที่ ๖๓
“น้ำหยด นายนี่มันอดทนดีจริงๆเลยนะ” ติ๊กพูดกับน้ำหยดที่มาส่งเขาถึงรถ น้ำหยดได้แต่ยิ้มไม่ตอบอะไร
“เมื่อตอนบ่าย หมูมันไปหาเราที่มหาวิทยาลัย” ติ๊กบอกกับน้ำหยดที่มาส่งเขาถึงรถ
“เหรอ” ดวงตาที่สดใสของน้ำหยดเศร้าลงถนัด เมื่อได้ยินชื่อนี้
“มันมาถามว่านายอยู่ที่ไหน แล้วอยู่กับใคร แล้วก็...” ติ๊กเว้นระยะเหมือนลังเลว่าจะพูดดีหรือไม่ “หมูรู้เรื่องเก่าๆของพี่ต้นด้วย”
น้ำหยดยังคงนิ่งเงียบ ไม่ตอบอะไรนอกจากยิ้มบางๆที่มุมปาก
“เอาไงกับหมูมันดีล่ะ” ติ๊กถามด้วยความกังวล
“ปล่อยไว้แบบนี้แหละ ให้เรื่องมันค่อยๆจางหายไป หมูมาหานายถึงที่แปลว่าคงร้อนรนน่าดู ถ้าเราโผล่ไปตอนนี้ คงเป็นเรื่องขึ้นมาอีก”
“นายยอมรับเหอะว่ารักหมูมันเหมือนกัน” ติ๊กยิ้มเศร้าๆ
“หมูขาดเราได้ แต่พี่ต้นถ้าไม่มีเรา...” น้ำหยดไม่ตอบตรงๆ แววตาเปลี่ยนเป็นหม่นหมองลงอีกครั้ง
“เอาเหอะ แล้วแต่นายแล้วกัน แต่นายห้ามลืมนะว่า ถ้ามีอะไรต้องบอกเรา ว่าไปก็เซ็งหว่ะ”
“เซ็งไร”
“ไม่มีคนรักน่ะสิวะ” พูดจบก็เปิดประตูรถเข้าไปนั่ง สตาร์ทรถเตรียมจะขับออกไป แต่ก็ต้องชะงักเพราะน้ำหยดเคาะเบาๆที่กระจกหน้าต่าง ติ๊กจึงกดสวิชต์เลื่อนกระจกหน้าต่างลง
“ติ๊ก เรารักนายนะ ไอ้เพื่อนรัก” น้ำหยดพูดด้วยรอยยิ้มกว้างจนตาหยี
“เช๊อะ” ติ๊กเบ้หน้า “ก็ยังดีวะ ไปนะเดี๋ยวคืนส่งท้ายปีเก่าถ้าไม่มีที่ไปจะมาเคาท์ดาวน์ด้วย”
“ถ้ามาก็ดีสิ พี่ต้นคงดีใจ”
“ไปหล่ะ นายเข้าบ้านเหอะ ออกมานานแล้วเดี๋ยวพี่เค้าจะเป็นห่วง” พูดจบก็กดสวิตช์เลื่อนบานกระจกขึ้น แล้วขับรถไปยังประตูรั้วที่ค่อยๆเปิดออกช้าๆ
น้ำหยดยืนรอจนรถของติ๊กขับพ้นประตูรั้วออกไป และบานประตูเลื่อนปิดสนิท จึงเดินกลับเข้าไปในบ้าน พอปิดประตูบ้านเรียบร้อยก็เดินไปนั่งลงข้างๆต้นไม้ ที่นั่งดูโทรทัศน์อยู่บนโซฟา
“พอดีน้ำคุยกับติ๊กนานไปหน่อย” น้ำหยดยิ้มกว้างให้ต้นไม้ เอื้อมมือไปจับมือต้นไม้แล้วบีบเบาๆ “ติ๊กบอกว่าอาจจะมาเคาท์ดาวน์กับพวกเราด้วย พี่ต้นว่าดีมั๊ยครับ”
“อื้อ” ต้นไม้ตอบเบาๆด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง พลางบีบมือของน้ำหยดอย่างแผ่วเบาเหมือนไร้เรี่ยวแรง
น้ำหยดแนบแก้มไปกับต้นแขนอันซูบผอมของต้นไม้ บีบมือของต้นไม้เบาๆอีกครั้ง แล้วยิ้มอย่างมีความสุข
“เพื่อนงั้นเหรอ เฮ้อออ.....” ติ๊กนอนใช้แขนก่ายหน้าผากอยู่บนเตียงนอนในห้องของตัวเอง “ถ้าเราทำแบบหมู นายจะรู้สึกกับเราแบบเดียวกับที่รู้สึกกับหมูมันหรือเปล่า แต่เราคงทนไม่ได้ถ้านายทำกับเราเหมือนที่ทำกับหมูตอนนี้”
ติ๊กถอนหายใจยาวอีกครั้ง แล้วพลิกตัวตอนตะแคง คิดถึงเรื่องของน้ำหยดกับต้นไม้จนหลับไป
“แกจะบอกว่าผีนายต้นไปลักหลับนายถึงห้องเหรอ” ติ๊กพูดด้วยความตกใจ เมื่อน้ำหยดเล่าเรื่องทุกอย่างให้ฟังจนจบ
“ไม่ใช่ผี แต่เป็นดวงจิต” น้ำหยดพูดด้วยสีหน้าบูดบึ้ง “พี่เค้าไม่ได้ตายซะหน่อย”
“นั่นแหละ เหลือแต่วิญญาณแค่นั้น ไม่เป็นผีแล้วเรียกว่าอะไร”
วันนั้นเป็นวันที่ติ๊กนัดน้ำหยดออกมากินข้าวด้วยกัน หลังจากที่น้ำหยดกลับมากรุงเทพฯได้เกือบสัปดาห์
“บอกว่าดวงจิต นายจะเรียกวิญญาณก็ได้ ตามใจนายแต่ห้ามเรียกพี่เค้าว่าผี” น้ำหยดพูดโกรธๆ “พี่เค้ายังไม่ตายนะ”
“ไม่ตายก็เกือบไปแหละ” ติ๊กไม่ยอมแพ้ “เหลือแต่วิญญาณสิงอยู่ในห้อง แล้วลักหลับจนคนเค้าเผ่นกระเจิง มีนายนี่แหละที่ไม่กลัว”
“ใครว่าไม่กลัว” น้ำหยดเถียง “ตอนนั้นกลัวนะ แต่พออะไรๆมันผ่านไป ก็รู้สีกว่าพี่เค้าอ่อนโยนกับเรามากๆ เลยกลัวน้อยลง”
“เฮ๊อะ!” ติ๊กแค่นเสียง “ว่าแต่ทำไมจู่ๆถึงฟื้นขึ้นมาได้วะ หลับไปตั้ง ๒ ปี”
“ก็บอกแล้วไง ว่าดวงจิตหลงไปติดอยู่ที่โน่น” น้ำหยดหมายถึงห้อง ๓๑๕ ของหอชาย ๙ “พอรู้สึกมั่นใจในตัวเรา ก็เลยตามเรากลับมาเข้าร่าง”
“ทำไมนายเข้าใจอะไรได้งายจัง เป็นเรานะ” ติ๊กทำท่าหัวสั่นหัวคลอน “บรื๊อ... แค่คิดก็ไม่ไหว”
“ฮ่าๆๆ” น้ำหยดหัวเราะในท่าทางของติ๊ก “คงเป็นเพราะหลวงปู่สั่งสอนมาดีมั๊ง” รอยยิ้มระบายไปทั่วใบหน้า
“อืม...คงจะจริง” ติ๊กพยักหน้าเห็นด้วย “แล้วนายจะทำยังไงต่อ”
“เราคงดรอปเรียนไว้ซักเทอม อยากอยู่เป็นกำลังใจให้พี่เค้า บางทีนะ อาจจะไปอยู่ที่บ้านพี่เค้าซักพัก”
“พ่อกับแม่นายจะยอมเหรอ” ติ๊กพูดด้วยสีหน้ากังวล “แล้วทางบ้านพี่ต้นเค้าจะยอมให้นายไปอยู่เหรอไง”
“เรื่องดรอปน่ะ ทีแรกพ่อกับแม่ก็ไม่เห็นด้วย แต่พอเราเล่าทุกอย่างให้ฟัง พ่อกับแม่ก็เข้าใจ” ติ๊กพยักหน้าทำท่าเข้าใจในสิ่งที่น้ำหยดพูด แต่ไม่ได้พูดขัดอะไร น้ำหยดจึงพูดต่อ “ส่วนบ้านพี่ต้นน่ะ ตอนนี้เราก็ไปกลับเกือบทุกวันอยู่แล้ว ถ้าไปค้างซะเลยก็ไม่มีปัญหาหรอก”
“เราว่าผิดธรรมเนียมไปหน่อยนะ” ติ๊กทำสีหน้าขึงขัง
“ธรรมเนียมอะไร” น้ำหยดถามงงๆ
“อ้าว จู่ๆไปอยู่บ้านเค้าเลยได้ยังไง ต้องให้จัดผู้หลักผู้ใหญ่ไปสู่ขอก่อนสิ แล้วก็ยกขันหมากไม่ก็ขบวนเกี้ยวเจ้าสาวไปรับ นี่หอบข้าวหอบของไปอยู่บ้านผู้ชายเค้าเลย ไม่เรียกผิดธรรมเนียมเหรอไง”
น้ำหยดฟังแล้วก็หัวเราะด้วยใบหน้าแดงกล่ำ ไม่รู้ว่าเพราะความขบขันหรือความเขินอาย
จากนั้นติ๊กก็เจอกับน้ำหยดอีก ๒-๓ ครั้ง ช่วงใกล้เปิดเทอมก็ได้รู้ว่า พ่อและแม่ของน้ำหยดมีความจำเป็นต้องไปทำงานต่างประเทศ ๓-๔ เดือน และน้ำหยดไปทำเรื่องดรอปการเรียนในมหาวิทยาลัยไว้เรียบร้อยแล้ว ผ่านไปอีกเดือนหนึ่ง ติ๊กจึงได้มีโอกาสตามน้ำหยดเข้าไปในบ้านของต้นไม้ และได้พบกับชายหนุ่มที่เป็น ‘ผู้มาเยือนยามวิกาล’ ของน้ำหยดเป็นครั้งแรก