#5
“พ่ออยู่ไหน” เดินเข้ามาภายในตัวบ้านใหญ่ได้สักพักซีนก็เอ่ยถามกับเลขาส่วนตัวของหัวหน้าตระกูลอย่างคุณธารา
“อยู่ในห้องทำงานครับ แต่ตอนนี้มีแขกจากตระกูลอื่นมาคุยธุระเลยต้องขอให้คุณซีนรอเวลาก่อน”
สมาชิกตระกูลสิงโตก็คุยกันไปโดยมีผมเดินตามด้านหลังทั้งสองคนอยู่ต้อยๆ แถมซีนยังจับมือผมไว้แน่นไม่ยอมปล่อยอีก คนอื่นๆที่เดินผ่านไปมาภายในบ้านก็มองตามเป็นตาเดียว
หากรู้ว่าผมเป็นคนจากตระกูลเสือละก็มีหวัง ถูกกระชากลากชีกจนไม่เป็นชิ้นเป็นอันถ่อสังขารกลับถึงบ้านแน่นอน
“ใคร”
“คนจากตระกูลหมาป่าครับ”
เจ้าไลเกอร์ตัวใหญ่ขมวดคิ้ว หยุดฝีเท้าลงจนทั้งผมและคุณธาราต้องหยุดตาม
“มาทำไม”
“เรื่องนั้นไม่ทราบรายละเอียดที่แน่ชัดครับ แต่ทางนั้นแจ้งมาว่าเป็นการติดต่อเรื่องธุรกิจของทั้งสองตระกูลครับ” คุณธาราแจ้ง
อา..ตระกูลอื่นทั่วไปถึงจะถูกจำกัดให้อยู่ในตระกูลนักล่าด้วยกันแต่ก็ทำธุรกิจค้าขายกันได้ คงจะมีแต่เสือและสิงโตที่ถึงแม้เรื่องราวในอดีตกาลก่อนจะจบลงแล้วแต่ทุกๆวันนี้ความสัมพันธ์ที่ไม่ลงรอยมาตั้งแต่คราวก่อนก็คงอยู่ให้เห็น
ถึงจะมีกฎเกณฑ์ของโลกอมนุษย์มาใช้ปกครองยังไงก็ไปด้วยกันไม่รอดอยู่ดีทั้งสองตระกูลสินะ
“อืม”
“เดี๋ยวสิครับ เข้าไปตอนนี้ไม่ได้นะครับ” คุณธาราปรามไว้แต่กลับไม่ทันการเสียแล้วเมื่อมือสีแทนของเจ้าลูกผสมเอื้อมไปเปิดประตูห้องที่ผมคาดว่าเป็นห้องผู้นำตระกูลสิงโตเรียบร้อยแล้ว
ซีนออกแรงดึงให้ผมเดินเข้ามาขนาบข้างตัวเองจนตัวผมเกือบเซล้มไป
“คุณซีน!” คุณธาราเอ็ดเสียงดังเมื่อเจ้าลูกชายผู้นำตระกูลอย่างซีนแทบจะไม่ฟังเสียงของเขาเลย
“อ้าว! เจ้าซีน” ผมเงยหน้าขึ้นภายในห้องตรงหน้ามีผู้ชายวัยกลางคนที่ดูแข็งแรงภูมิฐานนั่งอยู่บนโซฟาสีดำตัวใหญ่อีกฝั่งหนึ่งคือชายหนุ่มรุ่นราวคนละยุคกับผู้นำตระกูลแห่งนี้สิ้นเชิง
“เทวา?”
“ว่าไง เห็นคุณภาคินบอกไม่ยอมกลับบ้าน” เสียงนุ่มฟังสบายของชายหนุ่มร่างโปร่งที่นั่งอีกฝั่งของผู้นำตระกูลแห่งนี้เอ่ยทักเจ้าลูกผสมที่กุมมือผมไว้แน่น
“ทำไมพันวาไม่มา” ซีนขมวดคิ้วแน่น
“มาก็ได้เปิดศึกกับเราน่ะสิ” อีกคนว่าเรียบๆพลางลุกขึ้นพร้อมหันไปยิ้มพรายให้ผู้นำตระกูลที่นั่งตรงข้าม “งั้นหัวข้อวันนี้ของเราคงจบเพียงเท่านี้แล้วล่ะครับ ขอบคุณสำหรับความร่วมมือนะครับ”
“อา...เหนื่อยหน่อยนะเทวา”
“ไม่เท่าคุณภาคินหรอกครับ ขอตัวก่อน” ผู้มาเยือนกล่าวลากับผู้นำตระกูลสิงโตก่อนจะเดินออกจากห้องไปพร้อมกับบอกลาคุณธาราที่ยืนอยู่ข้างๆผม
“ขอบคุณสำหรับวันนี้นะครับคุณธารา”
“ครับ เดินทางปลอดภัยนะครับ” ธารายิ้ม
“เจ้าซีนก็อย่าดื้อมากนักล่ะ” เจ้าตัวพูดพร้อมโบกมือลาจากด้านหลังก่อนจะเดินออกจากบ้านหลักของตระกูลนี้ไป
“ว่าไงไอ้ตัวดี แล้วนั่นหิ้วใครมาด้วยล่ะ” ผมสะดุ้งโหยงเมื่อผู้นำตระกูลของที่แห่งนี้ซึ่งมีศักดิ์เป็นพ่อของเจ้าลูกผสมตัวใหญ่ข้างๆนี่เอ่ยถาม
“เพียว คนที่เลือก”
หะ
.....
“หืม” พ่อของซีนปรายตามองมาทางผมมองไล่ขึ้นตั้งแต่เท้าไปถึงศีรษะ “สวัสดี ฉันภาคินเป็นพ่อของไอ้ตัวแสบมัน ขอโทษด้วยนะลูกชายฉันคงรบกวนเธอหลายอย่าง”
“มะไม่หรอกครับ แฮะๆ” สมกับเป็นพ่อลูกกัน ถึงคนพ่อจะมีความใจดีอยู่บ้างแต่ออร่าความมาคุนี่ก็ไม่ได้แตกต่างกันเลย
รู้สึกเหมือนหัวจะหลุดออกจากบ่าอยู่ร่ำไร
“คุณภาคินขอโทษที่เสียมารยาทด้วยนะครับ” คุณธาราก้อมหัวขอโทษผู้เป็นผู้นำ
“เอาเถอะ เรื่องแบบนี้ก็บ่อยจนเป็นเรื่องปกติไปแล้ว” ผู้เป็นพ่อพูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่ายขนาดนั้นก็ยังส่งยิ้มมาให้
“เธอเป็นอมนุษย์สินะ สายพันธ์อะไรล่ะ”
“สะ...เสือ ครับ” ผมตะกุกตะกักตอบด้วยเสียงแผ่วเบาจนอีกฝ่ายหัวเราออกมาเล็กน้อย
“ไม่ต้องกลัวไปหรอก ฉันไม่ทำอะไรเธอหรอกนะ”
“อา...”
ช่วงนี้ก็เพิ่งจะหมดฤดูร้อนนะ อากาศก็ร้อนอบอ้าวแทบจะแห้งตายอยู่แล้ว แต่ทำไมเวลาอยู่ต่อหน้าครอบครัวนี้ถึงหนาวไปถึงยวงไส้แปลกๆวะ
ฮืออออ
แม่งเอ้ย
กลัวแล้วจ้า
“พ่อ”
“อย่าเพิ่งพูดอะไร มานั่งก่อนสิ” ก่อนที่ไลเกอร์ตัวโตข้างๆผมจะได้เอ่ยปาก ผู้เป็นพ่อก็ปริปากแทรกขึ้นไว้ก่อน
ซีนพยักหน้ารับคำอย่างว่าง่ายพร้อมทั้งเดินเข้าไปในห้องดั่งเช่นคำเชิญของผู้นำตระกูล โดยเจ้าตัวก็ยังยื้อไม่ยอมปล่อยมือผมเสียที
ปล่อยเถอะ
ขอร้อง
ฮืออออ
“ว่าไงล่ะไอ้ตัวดี หายไปไหนมาเสียหลายวันไม่ยอมกลับบ้าน” คนอายุมากที่สุดภายในห้องแห่งนี้เปิดประเด็น
“อยู่คอนโด”
“ยังไม่ขายไปอีกหรือ”
“...”
“จริงๆเลย นิสัยนี้แก้ไม่หายสิท่า” ผู้เป็นพ่อผ่อนลมหายใจยาวเยียด “ต้องขอโทษเพียวจริงๆ ไอ้ตัวดีคงไปก่อปัญหาไว้มาก”
“มะไม่เป็นไรหรอกครับ แฮะๆ จริงก็ไม่มีปัญหาอะไรมากเลยด้วย”
ไม่มีเลยครับ
แค่อยู่ๆก็มานอนด้วยกัน
แถมยังแปลงเป็นไลเกอร์ให้ช็อคตาตั้งต่อหน้าต่อตา
มาอาศัยอยู่ในบ้านบ่อยๆ
ไม่มีปัญหาเลยครับ
ไม่มีจริงๆ!!
“แล้วนี่ลากเพียวเขามาด้วยแบบนี้ มีอะไรหรือเปล่า” คุณภาคินหรี่ตาลงมองลูกชายผิวแทนของเขา
“ไม่มี อยากให้มาเฉยๆ”
“เฮ้อ จริงๆเลยเด็กคนนี้” ดูเหมือนทางคุณพ่อก็คงเหนื่อยใจกับพฤติกรรมแบบนี้ของลูกชายหัวแก้วหัวแหวนเต็มแก่
“วันนี้ไม่ค้างนะ จะพาเพียวมาดูสวน” คนผิวแทนลุกขึ้นหันไปบอกผู้เป็นบิกาน้ำเสียงราบเรียบเช่นทุกครั้ง พร้อมกับจับมือผมเอาไว้ออกแรงดึงให้ลุกขึ้นพร้อมกัน
ผมก็ลุกตามอย่างว่าง่ายแต่กลับกันจากเดิม ผมออกแรงยื้อไว้ไม่ยอมขยับตามคนออกจากอีกคน
“จะพาไปไหน ไม่เอานะซีน” ผมแย้ง
ให้มาบ้านตระกูลสิงโตแบบนี้ก็กลัวหัวหดแทบแย่จนเสียชาติตระกูลพยัคฆ์หมดแล้ว คราวนี้จะให้ไปทัวร์ชมอีกมีหวังโดนคนอื่นภายในบ้านหลังนี้กระโจนกระชากหัวหลุดก่อนแน่
ผมกำลังปริปากเพื่อเอ่ยแย้งอีกครั้งแต่ก็ต้อมอมลมกลืนคำพูดก่อนหน้านี้เข้าไป เมื่อคนตรงหน้าหันมามองด้วยสายตาที่คาดเดายากบรรยากาศรอบตัวชวนขนหัวลุกเหมือนครั้งแรกๆที่เจอกัน
แง
ไปก็ได้จ้า
“ไปสิซีน นำไปเลย”
เอาวะ
หัวต้องไม่หลุด
มึงท่องไว้ไอ้เพียว!!
สุดท้ายผมก็ต้องย้ายก้นมาจุ้มปุ๊กอยู่ที่สวนหลังบ้านของตระกูลผู้ล่าคู่กัดกับตระกูลตัวเอง โดยคนที่พามาบัดนี้ก็นั่งกินลมอยู่ข้างๆกันนี่แหละ
ต่างคนต่างเงียบจนได้ยินไปถึงเสยงรถราเคลื่อนตัวด้านนอกเลยทีเดียว
จะว่าไปบ้านสิงโตก็สงบเงียบดีเหมือนกัน
ก็ต่างจากตระกูลหลักเสืออยู่หน่อยๆเพราะที่นั่นเสียงจอแจเยอะจนปวดหัวน่ารำคาญเลย
สวนตรงหน้านี่ก็สวยมากทีเดียว บริเวณไม่กว้างมากเท่าไหร่แต่พืชพรรณไม้ก็เยอะพอสมควร ทำให้บริเวณพื้นที่ตรงหน้าสีเขียวไปหมดแทบจะทุกตารางนิ้ว
“สวนสวยดีนะ ไปจ้างที่ไหนทำล่ะเนี่ย อยู่ส่วนไหนของเมืองไทยจะไปจ้างบ้าง” ผมโพล่งถามขึ้นขำๆเมื่อคิดแล้วคิดอีกว่าบรรยากาศในตอนนี้มันเงียบสงบเกินกว่าที่ควรจะเป็นรึเปล่า
“อยู่นี่”
“....”
“อยู่ตรงนี้”
ผมหันไปสบตากับทางอีกฝ่ายที่หันมาสบตาตรงเวลากันพอดิบพอดีเสียเหลือเกิน
“เอ่อ...สวยดีนะ”
เอ๋อแดกไปแล้ว
เด็กนี่มีความสามารถมากเกินไปหรือเปล่านะ
ผมพอได้ยินเสียงขบขันเบาๆของผิวแทนข้างๆก็ได้แต่ก้มหน้างุดไม่กล้าหันหน้าไปหาเจ้าตัวอีก
“ถ้าเพียวอยากได้ จะไปทำให้” อีกฝ่ายว่า เป็นประโยคธรรมดาที่ผมสัมผัสได้ถึงความพิเศษในน้ำเสียง น้ำเสียงที่ติดจะนุ่มกว่าปกติของคนหน้ากลัวข้างๆนี้
“วันนี้ หน้าโรงเรียนอยู่กับใคร”
โอเคมาแล้วจ้า กับประโยคคำถามที่ไม่อยากได้ยินที่ประจำวันนี้
คิดว่ารอดแล้วนะ
เฮ้อ
“เพื่อนน่ะ แฮะๆ” หัวเราะแห้งเพราะไปไม่เป็นจริงๆในจังหวะนี้
“นั่นน่ะหรือเสือที่ว่า”
“มานั่งทำอะไรอยู่นานสองนานในบ้านตระกูลหลักของเราอย่างนี้นะ”
“ตายแล้ว!! คงต้องล้างบ้านใหม่”
“อย่าพูดไปสิ เดี๋ยวทางนั้นก็ได้ยินเสียหรอก”
ไม่ได้ยินหรอกครับป้า
เสียงจ้อดังนินทาคนอื่นมาไกลขนาดนี้
พูดถึงขนาดนี้แล้วก็มานั่งกรอกคำจ้อข้างหูผมเลยเสียดีกว่า
ผมพ่นลมหายใจออกมายาวเหยียด แต่เอาตามจริงแล้วทางนั้นเขาก็ไม่ผิดหรอกที่จะมาว่ากล่าวผมแบบนี้ ก็ทางผมเองที่ย่างก้าวเข้ามาเหยียบย่ำถึงในตระกูลหลักแบบนี้นี่
ถึงจะไม่ได้เต็มใจก้าวเข้ามาก็เถอะนะ
จะว่าไปแล้ว
ถึงผมที่เป็นคนนอกมีสายเลือดของเสือเข้ามาอยู่ในตระกูลแบบนี้ยังโดนว่ากล่าวถึงขนาดนั้น ลูกเลือดผสมตัวข้างๆนี้ล่ะจะขนาดไหน
พ่อแม่ที่รักกันข้ามสายพันธุ์จนให้กำเนิดลูกสายเลือดผสมที่เป็นไปได้ยากขึ้นมาแบบนี้
ผ่านความลำบากมามากขนาดไหนกันนะ
...
“ยังไงวันนี้ก็พอไว้ก่อนเถอะ คงต้องกลับแล้วล่ะ” ผมหันบอกบอกคนข้างตัวแต่ก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อเจ้าลูกเลือดผสมนั้นยืนขึ้นอยู่ก่อนแล้ว
เด็กหนุ่มม.ปลายผิวแทนในชุดนักเรียนเอกชนมองไปยังตรงข้ามอีกฝั่งหนึ่งที่มาของต้นเสียงนินทานั่นที่ยังไม่หยุดวาระเสียที
“แต่ว่านะคุณท่านก็ยอมให้เข้ามาในบ้านโดยไม่ทักท้วงอะไรขนาดนี้”
“ก็คุณหนูเป็นเลือดผสมไง! ลืมไปแล้วเรอะ!”
“เหอะ! คิดว่าฉันอยากจะปองดองกับพวกเสือนั่นเรอะ! ให้ตายก็ไม่อยากเจียกน้ำลายไปสมานสัมพันธ์ด้วยหรอก ที่มีนายเหนือหัวอีกคนเป็นลูกผสมก็ลำบากจะแย่แล้ว ยังจะต้องมานั่งร่วมชายคาเดียวกับเสือเลือดบริสุทธิ์ ฉันจะอยากเอามีดกรีดคอตัวเองตาย” คำพูดกล่าวหาว่าร้ายยังไม่หยุดอยู่เพียงเท่านั้น
บรรดาเสียงอื่นๆที่จะไม่ใช่เสียงเดิมของผู้ร่วมชายคาคนก่อนในตอนนี้ยังดังอยู่อีกเป็นระยะ
“เมื่อกี้ฉันเดินเฉียดๆมา คุณธาราเดินอยู่ด้วยได้ยังไงตั้งนานสองนาน ไม่ขยะแขยงบ้างหรือไงนะ นั่นน่ะสายเลือดที่พยายามแย่งความเป็นใหญ่ของเราเชียวนะ ทั้งๆที่รู้อยู่แล้วว่าสายเลือดตัวเองน่ะต้อยต่ำยังไงก็เป็นเพียงรองเท้าแค่สิงโต”
เห้ย!!
อีแบบนี้เริ่มไม่สวยแล้วนะ
ในขณะที่ผมเริ่มฉุนกึกขึ้นสมองกลับมีอีกคนที่แผ่บรรยากาศหน้ากลัวถมึงทึงอยู่รอบๆ ซีนกำมือแน่นจนแดงแววตาที่ดุอยู่แล้วกลับหน้ากลัวขึ้นไปอีก เจ้าตัวเหมือนกำลังโกรธจนเกินลิมิตร
“ซีน เห้ย!! ซีน! เดี๋ยว!!” ไม่ทันที่ผมจะได้ห้ามลูกชายคนโปรดของผู้นำตระกูลเสือแห่งนี้เจ้าตัวก็แปรงเป็นไลเกอร์วิ่งออกไปเสียแล้ว
ให้ตาย!!
รู้เลยว่าอีกฝ่ายจะไปไหน
ถึงผมไม่รู้ทางของบ้านหลังนี้ก็เถอะ แต่ถ้าดมกลิ่นตามไปก็พอได้อยู่
ถึงผมจะไม่ใช่สายพันธ์สุนัขที่มีความสามารถด้านนี้เฉพาะ แต่ในร่างมนุษย์นี้ก็มีความสามารถดมกลิ่นของเสือพอใช้ได้อยู่บ้างถึงจะไม่เต็มร้อยเหมือนในร่างสัตว์
“ซีน!!”
ผมเบิกตากว้างด้วยความตกใจเมื่อวิ่งตามอีกฝ่าย ภาพตรงหน้าคือไลเกอร์สีขาวตัวใหญ่มีลายเสือพาดกลางลำตัวเป็นทางกำลังตะครุบผู้หญิงคนหนึ่งในชุดแม่บ้าน ส่วนอีกสองสามคนทีเหลือก็ล้มพับไปมองภาพตรงหน้าสายตาหวาดหวั่น
ตัวสั่นเทากันเป็นแถว
“หยุดใช้ปากนั่นพล่ามถึงตระกูลของแม่กับเพียวได้แล้ว!!!!!!!” เสียงขู่คำรามกังโชกก้องกังวานไปทั่วจนน่ากลัว เหมือนสัตว์ร้ายที่พร้อมฉีกเหยื่อในมือได้เป็นชิ้นๆในคราวเดียว
“คะคุณหนู ป้าขอโทษแทนยัยเพาด้วย พวกป้าขอโทษ!!” หญิงสาวที่นั่งล้มพับอยู่ข้างๆยกมือไหว้ปรกๆมือไม้สั่นเทิ้มเต็มไปด้วยความกลัวจนผมอดที่จะสงสารไปไม่ได้
“ซีน หยุดเถอะ พวกเขากลัวหมดแล้ว” ผมผ่อนเสียงลง ใช้มือวางไปลำตัวไลเกอร์ตัวใหญ่ที่สั่นไปด้วยความโทสะ ลองใช้ความกล้าในชีวิตครั้งนี้เป็นครั้งแรกถามว่ากลัวไหมบอกเลยว่ามาก แต่ผมกลั้นใจดูซีนกระชากไส้คุณป้าแม่บ้านใต้ร่างของเขาไม่ไหวหรอก
“เสือไม่ใช่สัตว์ต้อยต่ำ!!” ซีนกลับร่างเป็นดั่งเดิม เจ้าตัวลุกขึ้นยืนเต็มความสูงปรายตามองไปยังหญิงแม่บ้านที่น้ำตาเล็ดจากกระทำเมื่อครู่
“ทั้งคุณแม่ทั้งเพียว และทุกคนของที่นั่น!!!!” ถึงแม้จะกลับร่างมนุษย์แต่กลับคงเสียงคำรามขู่ดั่งเช่นสัตว์นักล่าในตัวเช่นเดิม
“ป้าขะขอโทษค่ะ คุณหนู ป้าผิดไปแล้ว ปะป้า....”
โอเค
ตอนนี้ป้าแกพูดไม่ได้ศัพท์ไปแล้ว คงเพราะความตกใจกับเหตุการณ์เมื่อครู่
แน่นอนว่าป้าแกก็แก่แล้วเจอแบบนั้นไปไม่หัวใจวายก่อนถูกซีนกระชากร่างก็โชคดีแค่ไหนแล้ว
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมเข้าใจนะ แต่พวกเราสายเลือดของเสือมีจุดยืนที่แน่นอนพอ แน่นอนพอที่จะไม่หวั่นเกรงกับลมปากเหม็นๆเพียงแค่นี้หรอกครับ” ผมแทบจะหน้าตายตอนพูดกับหญิงสาวคู่กรณีถึงจะเป็นคำสุภาพน้ำเสียงเฉยชาที่สุดในชีวิต แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะกลัวหัวหดไปเลย
ผมไม่ได้สะใจหรอกที่พูดไปแบบนั้นแต่ขอพูดแทนคนทั้งสายเลือดที่โดนตราหน้าไว้หน่อยก็แล้วกัน
“เอะอะอะไรกัน!?” เสียงคุ้นเคยของคนผู้ที่แยกจากกันมาเมื่อครู่เอ่ยขึ้นจากด้านหลัง พร้อมกับเลาขาประจำตัวของเขาที่มองมายังภาพเหตุการณ์ตรงหน้า
“เอ่อ..คือ”
“พวกนี้...ไม่สมควรมีสายเลือดของสิงโตอยู่ในตัว!” สีหน้าโกรธจัดของซีนยังไม่สร่างไปจากใบหน้า เจ้าตัวดีนัก
“ผมขออธิบายเองครับ”
....
ผมเดินตามทางกลับบ้านในเวลาพระอาทิตย์ลาลับฟ้าไปได้ไม่มาก ข้างๆกันมีลูกผสมสองสายเลือดเดินขนาบข้างกันมาเงียบๆ
หลังจากซีนโกรธเป็นฝืนเป็นไฟตาพร่าหูหนวกไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้นนอกจาอารมณ์โกรธเกรี้ยวของเจ้าตัว ณ ตอนนี้ผ่อนผันลงไปมากแล้วแต่น่าจะยังมีเคืองในใจเจ้าตัวเล็กๆนั่นแหละ
หลังจากนั้นผมก็ได้เข้ามานั่งในห้องผู้นำตระกูลที่นั่นอีกครั้ง เพื่อเล่าเหตุการณ์เกือบคร่าชีวิตนั่นให้ท่านผู้นำตระกูลสิงโตฟัง ขนาดผมเป็นคนเล่า คุณธาราที่ยืนฟังอยู่ข้างๆท่านผู้นำของทางนั้นยังฉุนกึกเครื่องติดเหมือนกันทั้งที่มองจากภายนอกเป็นคนนิ่งๆสุขุมแท้ๆ
ไม่รู้ว่าเครื่องจะติดง่ายไม่ต่างกับลูกชายของคุณภาคินเลย
ก็ดูเหมือนจะมีแต่ตัวท่านผู้นำเองที่ใจเย็นตั้งใจฟัง มีเหตุผลสั่งลงโทษคนพวกนั้นอยู่บ้างเล็กน้อย และผมเองก็รับภาระเกลี้ยกล่อมเจ้าตัวดีที่โกรธจัดให้สงบลงต่อกว่าจะได้ขอตัวกลับบ้านโดยเด็กอีกคนพ่วงมาด้วย
อย่าถามนะว่าเด็กไหน
มีอยู่คนเดียว
“แต่วันนี้โกรธมาเกินไปหรือเปล่า” ผมถาม ใจกล้าขึ้นมาหน่อยเมื่อเจ้าตัวเย็นลงแล้ว
“ไม่”
“...”
“น้อยไปด้วยซ้ำ” อีกคนว่าน้ำเสียงติดจะหน้ากลัว ดวงตาคมดุนั่นยิ่งส่อประกายแววโกรธเพิ่มขึ้น
ซวยล่ะกู
ดันเผลอคิดว่าเย็นลงไปมากแล้ว
“เขาไม่มีสิทธิ์มาว่าใครแบบนี้ ยิ่งไปกว่านั้นเขาว่าตระกูลของแม่และเพียว”
ผมชี้มาหาตัวเองสีหน้าไม่คาดคิดว่าจะมีชื่อตัวเองอยู่ในประโยคด้วย
“กูไม่คิดมากหรอก ยังไงก็แค่ลมปากเท่านั้นแหละ เป็นถึงอมนุษย์แต่กลับไม่รู้จักคิดจริงๆเลยน้า” ผมไม่คิดมากๆจริง ผมเข้มแข็งมากพอที่จะไม่นำคำพูดมาใส่ใจให้เสียใจและทรมานตัวเองให้เหนื่อยเพราะยังไงเราก็ไม่ได้เป็นดั่งเช่นคำกล่าวของเขา
“เพียวเป็นคนสำคัญ” ซีนหยุดฝีเท้า เขาหันหลังกลับมามองผมจังหวะนี้อยู่ในมุมมืดแต่ผมก็ยังเห็นดวงตาแวววาวสวยของเขาที่ถึงแม้จะดุจนหน้ากลัวไปบ้าง
แต่ดวงตาดั่งลูกแก้วที่สะท้อนต่อแสงไฟนั่น
เหมือนกับสัตว์นักล่าที่สง่างามเหลือเกิน
เหมือนยิ่งจ้องเข้ายิ่งเหมือนกำลังโดนสะกด ติดบ่วงกำดักจากดวงตาที่ทอประกายภายใต้ความมืดนี่
“ไม่อยากให้ใคร ต่อว่าเพียวทั้งนั้น” อีกคนเดินเข้ามาใกล้
“อืม”
“เพียว”
“ว่า”
“ชอบ ชอบเพียวมากๆ ระ...”
ผมตะครุบฝ่ามือปิดปากอีกคนที่ขยับเข้ามาใกล้แน่นจนไม่ให้เสียงของคนตัวสูงกว่าเล็ดลอดออกมาแม้แต่น้อย
“ซีน ตอนนี้แค่นี้ก็พอแล้ว เข้าใจความรู้สึกนะ แต่นั่นมัน...เร็วเกินไป” ไม่ใช่ผมไม่ชอบเขา...ไม่ใช่สิ
ยังไงก็เถอะแบบนี้เร็วเกินไป ผมขอแค่รับไว้แค่นั้นก็เพียงพอเท่าไหร่แล้ว
“ไม่เร็วไปหรอก”
“มันเป็นไปไม่ได้หรอก”
“ถ้าคนนั้นเป็นเพียว ไม่ว่าจะเร็วหรือช้าก็เป็นแบบนั้น”
เสียงเรียบ เฉยชา ดูหน้ากลัวในหลายๆครั้งของซีนที่ทำให้ผมกลัวหัวหดไปเกือบจะทุกครั้งตอนนี้กลับนุ่นนวลเสียจนราวกับฝัน
ซีนรวบมือของผมทั้งสองข้างลงไป เจ้าตัวขยับเข้ามาใกล้จนหน้าเราใกล้กันเรื่อยๆ
สัมผัสแผ่วเบาบริเวณหน้าผากที่บรรจงมอบเข้าทำให้ใจเต้นเป็นกลองยาวแห่ขันหมากไปเลยทีเดียว
.... ถึงจะบางเบาก็แต่ตราตรึง
“จะแสดงให้เพียวเห็น” ซีนยิ้มบางๆจนผมอดเสหน้าหนีไปทางอื่นไม่ได้
ไม่เคยคิดเลยว่าหน้าดุๆเข้มๆนั่นเวลายิ้มจะ...
ดาเมจขนาดไหนกันเนี่ย!
“ขอโอกาสหน่อยได้ไหม”
ขนาดนี้แล้ว...จะให้พูดว่าอย่างไรอีก
ผมขบเม้มริมฝีปากแน่นจนรู้สึกเจ็บ หนีสายตาที่จ้องหน้าผมมันโต้งอยู่อย่างนั้น
ดีขนาดไหนแล้วที่ตรงนี้ค่อนข้างเปลี่ยวช่วงนี้เลยไม่มีคน
บุญยังคุ้มหัวไอ้เพียวอยู่ไงถึงไม่มีใครมาเจอะผู้ชายตัวเท่ายักษ์กับผู้ชายบ้านๆยืนจ้องหน้ากันอยู่แบบนี้
“ว่าไง”
ผมไม่ตอบคนที่เค้นคำตอบตรงหน้านี้สักคำแต่เป็นฝ่ายเดินนำเจ้าตัวออกไปก่อนพร้อมทั้งคว้ามือคนผิวแทนเอาไว้แน่น
“แวะไปกินขนมที่บ้านก่อนกลับ ดีไหม”
นี่กูเกิดมาเป็นเสือหรือเป็นแรดกันแน่วะ
ถามจริงเหอะ!
ไม่รู้ด้วยแล้ว
ถอนหายใจเป็นรอบที่ร้อยของวัน ชีวิตนี้เกิดมามีแต่เรื่องลำบากใจจริงๆ
ขณะที่ผมเป็นฝ่ายเดินนำพร้อมจูงเจ้าเด็กยักษ์ไปพลางๆรู้สึกสัมผัสที่มือที่จับกันไว้อยู่ๆก็หนักแน่นขึ้นจากอีกฝ่ายบีบเข้ามาเบาๆ
เอาเถอะ
มันก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้นเสียหน่อย
และในตอนนี้
บางสิ่งบางอย่างภายในหัวใจของกันและกันมันเพิ่ง ‘เริ่มต้น’ เท่านั้น
END
ในที่สุด!!!!!!!!!!
ดำเนินนิยายเรื่อง ผู้ล่า เรื่องนี้มาจนจบแล้ว
ใจหายไปเลยค่ะ ช่วงหลังความถี่เริ่มแผ่วๆลงด้วย
เป็นความผิดของเราเอง
แต่เราพยายามเขียนจนจบค่ะ
ตอนนี้ต้องลาจากจริงๆแล้ว
ทั้งพี่พันวาน้องเทวา
เจ้าลันหนูรุย
เจ้าซีนกับเพียว
คงคิดถึงกันน่าดูเลย
GOOD LUCK