{เรื่องสั้น} ผู้ล่า ➹ | END「060418」p.2
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: {เรื่องสั้น} ผู้ล่า ➹ | END「060418」p.2  (อ่าน 6603 ครั้ง)

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
เกิดอะไรขึ้นกะน้องลัน จะกลายร่างอ่อ???  :m28: :m28: :m28:

ออฟไลน์ แก้วกระจก

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 25
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-1
#3


ผมทำใจเย็นได้ไม่นาน สุดท้ายแล้วตกเย็นผมจำเป็นต้องขับรถกลับมาที่บ้านตระกูลรองโดยด่วนเพื่อที่จะมาขอคำร้องเข้าตระกูลหลัก


หากโผงผางเข้าไปล่ะก็ไม่มาทางเข้าไปได้แน่นอน มิหนำซ้ำอาจจะเสียเวลากว่าเดิม


“ตามที่ผมว่ามาครับ ขอร้องนะครับคุณอา” ตอนนี้ผมยืนอยู่ต่อหน้ารองผู้นำตระกูลจิ้งจอกของผม ท่านมีศักดิ์เป็นคุณอาของผมเอง


“มันไม่ใช่เรื่องที่เธอจะบุ่มบ่ามไปแบบนั้น” ผมอธิบายเรื่องที่ผมพบเจอมาในวันนี้ให้ท่านฟังและขอคำอนุมัติจากท่านในการไปตระกูลหลัก ท่านรองผู้นำพูดด้วยใบหน้าเรียบเฉย “เธอควรปล่อยให้เป็นหน้าที่ของทางตระกูลหลัก เพื่อนของเธอไม่เป็นอะไรหรอก”


“แต่..”


“แต่ความเป็นห่วงของเธอมันก็ยังทำให้เธอกังวลอยู่ดี ถึงฉันว่าจะว่ายังไงสินะ..” ผมสบตาท่านรองผู้นำที่มีศักดิ์เป็นอา ดวงตาของท่านเรียบเฉยแต่ก็ยังฉายแววเจ้าเล่ห์อยู่นัยน์ๆจนทำให้ผมยากที่จะรับมือ


“ฉันพูดอะไรผิดรึเปล่ารุย”


“ไม่ครับ” ผมพยักหน้ารับ


“เธอก็ยังคงเป็นเธอเสมอ” คุณอาลุกขึ้นจากเก้าอี้ท่านเดินไปหยิบบางสิ่งออกมาจากกล่องไม้ข้างๆโต๊ะทำงานออกมายื่นส่งให้กับผม “บัตรขออนุญาตเข้าตระกูลหลักกรณีพิเศษในนามของฉันเอง”


“แต่แบบนี้...”


“บางทีฉันก็อยากจะลำเอียงสิ่งที่ฉันพอจะทำได้ให้กับเธอนะ”


“...”


“จิ้งจอกแก่อย่างฉันก็อย่างนี้แหละรุย” คุณอายิ้มทำให้ยิ้มรับท่านพร้อมกับก้มหัวขอบคุณเขาและรีบออกจากห้องไปที่รถตรงไปที่ตระกูลหลักโดยเร็ว


พอมาถึงตระกูลหลักอย่างแรกเลยก็แค่การยื่นใบขออนุญาตเพราะผมไม่ได้มากับคนในตระกูล แน่นอนย่อมโดนตรวจสอบเป็นพิเศษ


ผมไม่ค่อยได้มาที่นี่เสียเท่าไหร่จำได้ก็ประมาณปีสองปีก่อนที่มาพิธีเลือกคู่ให้กับท่านผู้นำคนปัจจุบันเท่านั้นเอง


ใช้เวลาพอสมควรผมก็มาถึงตัวบ้านใหญ่ของตระกูลได้ ผมจอดรถและเดินไปกดกริ่ง


“คุณ...” คนที่มาเปิดประตูต้อนรับผมเป็นคุณชวินทร์ เลขาส่วนตัวของท่านผู้นำ


“คุณชวินทร์สวัสดีครับ”


“ครับ คุณรุยไม่ทราบว่ามีธุระอะไรครับ”


“ผมมาหาอลัน”


“งั้นผมก็คงไม่สามารถต้อนรับคุณได้” จบถ้อยคำเหล่านั้นคุณชวินทร์ทำท่าว่าจะปิดประตูไม่ต้อนรับผมเสียให้ได้จนทำให้ผมต้องเอ่ยแทรกขัดขึ้น


“เดี๋ยวก่อนครับ ผมเป็นห่วงอลัน ช่วยอธิบายให้ผมทราบถึงสถานการณ์ทั้งหมดด้วย” สิ่งที่คุณชวินทร์ทำนั้นมันยิ่งตอกย้ำข้อสงสัยนับไม่ถ้วนของผมเข้าไปอีก


เหล่าคำถามมากมายที่พลั่งพรูในหัว


คำถามที่ผมต้องหาคำตอบด้วยตัวเอง


“ขอบคุณความเป็นห่วงของคุณอย่างมากครับ แต่ทางเราคงรับไว้ได้เพียงความรู้สึก ผมคิดว่าคุณอรินก็คงคิดไม่ต่างจากผมนัก”


“คุณชวินทร์!”


“มีอะไรชวินทร์เสียงดังเข้าไปถึงโถงบ้าน” เสียงดังจากด้านหลังทำใหคุณชวินทร์รีบหันไปโค้งตัวให้ ท่านผู้นำตระกูลจิ้งจอกของพวกผมถามด้วยเสียงเรียบ “รุย..”


“ท่าน...รู้จักผม?” ผมเลิกคิ้วสงสัย


“ฉันได้ยินเรื่องของเธอจากฝาแฝดมามากทีเดียวร่วมถึงอาของเธอด้วย” ท่านยิ้มอย่างเป็นมิตรให้ผม


“พิธีเสร็จสิ้นแล้วชวินทร์ให้เขาเข้ามาพักเถอะ ต้อนรับแขกนั่นหน้าที่ของนายไม่ใช่หรือ”


“แต่ท่านครับคุณอลัน...”


“มันจะดีกว่าถ้านายทำอย่างที่ฉันว่า หากไม่อย่างนั้นมีหวังอลันได้ฉีกนายเป็นชิ้นๆต่อหน้าตระกูลหลักแน่ๆฉันยังไม่อยากให้เรือนเปื้อนเลือดคนในตระกูลหรอกนะ” คำพูดทีเล่นทีจริงของท่านผมนำทำให้ผมย่นคิ้วสงสัยเป็นปมแน่น


ดวงตาของท่านฉายแววเจ้าเล่ห์ซุกซนโดยเปิดเผยต่างจากรองผู้นำโดยสิ้นเชิง


“คะครับ”


“เดี๋ยวฉันไปนั่งเป็นเพื่อนเธอนะ..รุย”


ทั้งผม คุณชวินทร์และท่านผู้นำตระกูลบัดนี้อยู่ที่ห้องรับแขกขนาดใหญ่ของตระกูลหลัก โดยที่มีผมยังนั่งเกร็งและมีความวิตกกังวลอยู่ในตัวไม่น้อย


ทั้งความกังวลเรื่องของอลัน อริน และทั้งบรรยากาศโดยรอบของตระกูลหลักที่บีบอัดจนร่างเกร็งไปทั้งตัว


“เธอดูต่างจากจิ้งจอกอย่างที่ปักต์บอกจริงๆ” ชื่อของท่านรองผู้นำ


“ครับ?”


“ทั้งๆที่จิ้งจอกนั้นเจ้าช่างหยิ่งยโส ร้อยเล่ห์กล ไม่เป็นอันจะคบค้าสมาคมแท้ๆ แต่นี่แรกพบเธอกลับยอมตามเราง่ายๆถึงขนาดนี้” เสียงของท่านผู้นำติดจะตลกจนผมทำตัวไม่ถูก “เราไม่ได้ว่าเธอหรอก”


“ครับ..”


“เป็นห่วงอลันสินะ”


“เขาเป็นยังไงบ้างครับ” พอได้ยินชื่อของอลันก็ทำให้ผมนั่งใจเต้นไม่เป็นระส่ำอีกครั้ง


“พิธีชำระเสร็จแล้วล่ะ รอฟื้นเดี๋ยวฉันจะพาเขามาหาเธอเอง” ท่านผู้นำยิ้มให้ผม จนผมนั้นโล่งใจ


“ท่านผู้นำ!”


“อย่าหน่าชวินทร์ ฉันไม่อยากทนฟังปักต์มาระบายทุกข์ให้ฟังบ่อยนักหรอกนะ” ท่านผู้นำตระกูลส่ายหน้า “อยากพบเขาไหมล่ะรุย”


“ครับ!” ไม่ต้องคิดให้เสียเวลา ไม่ว่ายังไงผมก็อยากผมเขา


“รออยู่นี่นะ เดี๋ยวฉันจะไปตามเขามาให้”


“ท่านผู้นำ!!” คุณชวินทร์รีบตามท่านผู้นำที่เดินนำออกไป ทิ้งไว้เพียงแค่ผมภายในห้องรับแขกอันกว้างขวางนี่


ถึงจะดีใจแต่ตอนนี้ก็ยังวิตกกังวลไม่น้อย


แถมบรรยากาศในสถานที่แห่งนี้ แปลกๆ ถึงจะเคยมาแต่ผมก็ไม่เคยได้แม้แต่จะสนทนาสังสรรค์อะไรกับใครเลยนอกจากอรินและอลัน


เวลาผ่านไปสักพักแล้วยังไม่มีผู้ใดเข้ามาภายในห้องรับที่ผมเฝ้ารออยู่แห่งนี้ จนผมเริ่มอยู่ไม่สุขจนได้ยินเสียงฝีเท้าของสัตว์ป่าดังเข้ามาใกล้โดยสัญชาตญาณ


เสียงฝีเท้านั่นเร็วมาก แถมไม่มีทางเป็นฝีเท้าจิ้งจอกได้


เสียงนั่นชัดเจนเกินไป


ผมทนอยู่กับที่โดยทำอะไรแบบนี้ไม่ได้ ผมหมายจะลุกขึ้นไปเปิดประตูแต่ในขณะที่เปิดประตูกลับมีบางสิ่งกระโจนเข้าใส่


“รุย!”


เสียงนี่...


“ลัน..” ร่างสูงของอลันบัดนี้เปล่าเปลือยไร้อาภรณ์ปิดกั้น เข้ากระโจนเข้ากอดผมจนล้มเซไปกองกันทั้งคู่


“รุย..” เขากอดผมแน่นขึ้นในขณะที่ผมก็กอดตอบเขาไม่ปล่อยเช่นกัน


เขาปลอดภัย


เขาไม่เป็นอะไร


ขอบคุณ...


“รุยร้องไห้..” อลันผละออกจากผม ทำให้ผมเริ่มรู้สึกตัวว่าเริ่มมีน้ำใสๆไหลออกจากตาโดยไม่รู้ตัวเลยสักนิด


ดีใจ


ดีใจจนร้องไห้


กลั้นไว้ไหวเลยจริงๆ


“อืม ช่างมันเถอะ” ผมยิ้มพร้อมคว้าคนตัวโตกว่ามากอดไว้อีกครั้ง


“อลัน!!!” เสียงแหลมปรี้ดของผู้หญิงนั่นผมจำได้ดี


เสียงของอริน แถมยังใกล้เข้ามา


“ปล่อยตัวออกจากรุยเดี๋ยวนี้นะ!” เธอรีบวิ่งปลี่เข้ามาภายในห้องแต่นั่นทำเอาผมตกใจ แต่ในขณะนั้นร่างสูงที่กำลังกอดผมไว้อยู่นั่นกลับมีแสงสว่างวาบชั่วครู่


ร่างมนุษย์ชายเมื่อครู่ ณ ตอนนี้กลับเป็นร่างจิ้งจอกสีขาวนวลที่ตัวใหญ่กว่าปกติหลายเท่า คร่อมร่างผมอยู่ ยิ่งไปกว่านั้นสิ่งที่ผมสัมผัดได้ไล้ปากตามเนื้อตัวมากกว่าสิ่งจะเป็นขาแขนนั่นก็คือหาง


แถมหางจิ้งจอกยังมีถึง....เก้า


!!!


“อลัน!!” ผมตกใจสุดขีดเมื่อได้เห็นหางทั้งเก้านั่นปลายหางมีผมสีแดงแซมเล็กน้อยกำลังพันไล้ไปรอบตัวผมเหมือนโอบกอดผมไว้


อย่างกับมันทำหน้าที่แทนแขนของผู้เป็นนายในร่างมนุษย์


“จนได้สิหน่า…” เสียงของอรินว่าอย่างหัวเสีย


“นี่..ใช่อลันรึเปล่า” ผมถาม


“อืม นั่นอลันน้องชายฉันเอง ร่างที่แท้จริงของหมอนั่น” อรินอธิบาย ผมพยักหน้ารับ


“รุย...รังเกียจเหรอ” คำถามนั่นมาจากจิ้งจอกเก้าหางตัวโตที่กำลังคร่อมร่างของไว้อยู่


“...”


พอคำตอบที่ผมสื่อไปคือความเงียบทำให้อลันในร่างจิ้งจอกเริ่มถอยออกไป แต่...ไม่


ไม่มีทางที่ผมจะรังเกียจเขาหรอก


“ไม่...ไม่รังเกียจหรอก” ถึงในหัวผมพยายามจะขวนขวายหาเหตุผลเพียงใด คำถามจะซัดประดังประเดเข้ามาในหัวจนจะระเบิดขนาดไหน ผมก็ยอมละทิ้งเพื่อคนตรงหน้าได้


แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะยังไม่แน่ใจนักสองขาหน้าเริ่มยกขึ้นหมายจะเก้าออกจากร่างผม


ผมระบายยิ้มพร้อมกับเปลี่ยนร่างตัวเองให้เป็นดังคนตรงหน้า เว้นแต่ก็จะไม่มีหางถึงเก้าหางและตัวที่โตกว่าหมาป่าทั่วไป


ผมในร่างหมาป่าสีแดงสายพันธ์บริสุทธิ์ปรากฏ ก้าวเข้าหาจิ้งจอกตรงหน้าพร้อมกับเลียที่ใกล้ๆริมฝีปากของเขาอย่างเชื่องช้า


อลันในร่างหมาป่าแข็งทื่อไป เจ้าตัวเหมือนช่างใจอยู่นานก่อนจะเข้ามาคลอเคลียข้างๆตัวผม


“รุย...นายไม่กลัวหรอ?” เสียงอรินแทรกขึ้น


“เพราะเขาคืออลัน” ผมกลับร่างคืนเป็นมนุษย์ดังเดิมโดยมีอลันในร่างหมาป่าคลอเคลียอยู่ไม่เลิก


“แต่นั่นมัน...เขาไม่ใช่อมนุษย์ธรรมดาๆทำอาจจะทำร้ายนาย หมอนั่นยังควบคุมตัวเองไม่ได้”


“ไม่หรอก เพราะเป็นอลันฉันเชื่อว่าเขาไม่ทำอะไรฉันหรอก”ผมยิ้มตอบเธอก่อนจะเปลี่ยนเป็นสีหน้าจริงจัง “อริน ฉันต้องการรู้เรื่องทั้งหมด”


“อืม ถึงเวลาที่นายควรรู้แล้ว” อรินพ่นลมหายใจยาว


“อลันน่ะเป็นพวกสายเลือดพิเศษ นายเคยได้ยินมาบ้างใช่ไหม” สายเลือดพิเศษจะปรากฏอยู่ในตระกูลอมนุษย์ต่างๆซึ่งมีจำนวนน้อยบ้างปรากฏเป็นเผ่าบ้างก็ปรากฏบ้างประปลายโดยจะมีพลังพิเศษที่แตกต่างจากสายเลือดทั่วไป


ผมพยักหน้าแทนการตอบ


“หมอนี่เริ่มผิดปกติตั้งแต่อายุสิบขวบ ร่างจิ้งจอกเริ่มใหญ่โตและในทุกวันที่เก้าของเดือนเก้าหางของอลันจะงอกขึ้นใหม่ โดยมีออกมาจนครบเก้าหางแบบที่นายเห็น โดยจะมีพิธีชำระไม่ให้สิ่งที่เป็นมลทินมากระทบต่อพลังที่กำเนิดใสตัวหมอนั่นที่เห็นว่าเขามีไข้ก็คือเจ้าตัวออกไปพบผู้คนโลกภายนอกที่เต็มไปด้วยมลทินนั่นแหละ” อรินอธิบาย


“และที่อยู่ๆก็กลายร่างเป็นหมาป่าต่อหน้ารุยก็เพราะพลังยังไม่ฟื้นตัวดี คงจะต้องรอให้ผ่านคือนี้ไปก่อนพลังถึงจะฟื้นตัว ปีนี้เด็กนี่ไปอยู่กับนายปีแรกฉันก็ลืมตัวไปเหมือนกัน”


“ที่อลันไม่เคยกลายร่างเลยก็เพราะแบบนี้เหรอ”


“มันเป็นเหตุจำเป็น เราต้องรอให้หางที่เก้าของอลันงอกขึ้นมาก่อนแน่นอนถ้าเรื่องนี้ถูกแพร่ออกไปตระกูลเราก็เหมือนชักศึกเข้าบ้าน ไม่ว่าใครๆก็ต้องอยากได้พลังนี้ถูกไหม”


“แล้วเชื่อใจฉันงั้นเหรอ”


“นายเป็นคนที่อลันเลือก ทั้งฉันด้วย มันถูกพิสูจน์ออกมาตั้งแต่ที่นายกล้าเผชิญหน้ากับอลันในร่างนี้แล้ว” อรินระบายยิ้มกว้างออกมา


ผมหรือคนที่อลันเลือก


“คิดถึงรุยชะมัด” เสียงทุ้มต่ำของจิ้งจอกตัวใหญ่ที่ซุกอยู่ที่อกผมเอ่ย


“แล้วนายพร้อมจะยืนเคียงข้างเด็กคนนี้ไหม นี่ก็แล้วแต่นายเลย”


“ฉันพร้อม พร้อมทุกอย่าง เพื่อเขา” ผมคว้าจิ้งจอกเก้าหางตัวนี้เข้ามากอดแน่น สัมผัสได้ถึงขนสีขาวนวลนุ่มนั้น หัวใจของอลันที่เต้นรัวจนผมรับรู้ได้


“หมั่นไส้จริง!” อรินคว่ำปากเสหน้ามองไปทางอื่นจนผมเผลอหัวเราะออกมาเบาๆ “คืนนี้นายค้างที่นี่แหละ”


“อืม”


“เดี๋ยวฉันให้คุณชวินทร์ไปเตรียมห้อง”


“ไม่!” จิ้งจอกหนุ่มแทรกขึ้นทำเอาผมตกใจไม่แพ้อรินที่หันมาเลิกคิ้ว “ให้รุยนอนห้องฉัน”


“แกยังคุมพลังไม่ได้นะอย่าลืม เพิ่งจะมีหางเพิ่มเดี๋ยวเผลอฆ่ารุยขึ้นมาทำไง” อรินยื่นนิ้มมาดีดหน้าปากอลันจนจิ้งจอกเก้าหางเซไม่เป็นท่า


“ฉันคุมได้”


“ตอแหลสิ จำตอนหางที่สองโผล่ได้ไหมแกเกือบฝังฉันลงดินเลยนะ”


“อันนั้นตั้งใจเอง”


“ไอ้ลัน!!”


“พอเลยทั้งคู่ ฉันนอนกับอลันก็ได้ริน” ผมหันไปตอบแฝดคนพี่


“แต่...” เธอพยายามแย้งแต่ผมพยักหน้าเป็นเชิงให้เชื่อใจผม


“พูดไม่เพราะกันทั้งคู่เลยนะวันนี้” ผมเอ็ดทั้งคู่ไปเล็กน้อย อรินหยักไหล่ก่อนลุกขึ้นเดินออกไป


“เอาเถอะ งั้นฉันจะไปแจ้งให้คุณชวินทร์ทราบแล้วกัน”


“ขอบคุณนะ”


แล้วเธอก็เดินออกไปเหลือเพียงแค่ผมและอลันในร่างจิ้งจอกเท่านั้น


แผล็บ!


ลิ้นร้อนแชะของอีกฝ่ายเลียมาบริเวณแก้มของผมจนผมสะดุ้งโหยง


“คิดถึง”


“อารมณ์ไหนเนี่ย” ผมพูดยิ้มๆ


“รุยจะไม่ทิ้งลันใช่ไหม” จิ้งจอกเก้าหางตัวใหญ่เงยหน้าขึ้นสบตาผม ในแววตาของเขาเต็มไปด้วยความเชื่อมั่น เชื่อมั่นว่าผมจะต้องไม่ไปไหน


ไม่ไปจากเขา


คิดว่าผมจะทำลายความเชื่อมั่นเหล่านั้นลงหรือ


ไม่แน่นอน


“อืม ไม่ไปไหนหรอก” ผมว่าพลางกอดจิ้งจอกร่างใหญ่เต็มแรงไม่ต่างจากอีกฝ่ายที่ใช้หางทั้งเก้าโอบกอดผมไว้เช่นกัน


เราต่างมอบความอบอุ่นอันโหยหาให้แก่กัน


ถึงจะมีคนเกลียดหรือกลัวอลัน แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาสำหรับผม


อลันก็ยังเป็นอลันสำหรับผม


ไม่ว่าเขาจะเป็นตัวอะไร รูปร่างแบบไหน


เพราะความเชื่อมั่นและเชื่อใจ ที่ทำให้ผมอยากจะอยู่กับเขา


“นี่ลัน” จิ้งจอกสีขาวตัวใหญ่เงยหน้าขึ้นสบตาผมอีกครั้ง


“รักนะ มากๆเลย” ผมยิ้มจนตาปิด ไม่สามารถกลั้นความรู้สึกภายในออกมาได้


ผมไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง ไม่รู้ว่าความรู้สึกอันเต็มเปี่ยมนี้จะเทียบความหมายกับคำว่ารักได้หรือเปล่า แต่ก็คงไม่มีคำไหนจะสื่อให้อีกฝ่ายรับรู้ได้ดีกว่า รัก...


ผมไม่รู้ว่าอลันรักผมไหม


แต่ผมแค่ขอให้เขารู้ก็เพียงพอ ถึงไม่เคยบอกแต่ในเวลานี้คงสมควรแล้ว


ทั้งคำถามในใจผมมันมีคำตอบหมดแล้วก็เหลือเพียงแต่ๆคำๆหนึ่งในใจผมไม่เคยเปล่งออกมา


“รุย...” เสียงของอลันขาดห้วงไป “อืม...รอเวลานี้มาตลอดเลย”


ผมยิ้มกว้างให้อลันไม่ต่างจากอีกฝ่าย ถึงจิ้งจอกเก้าหางตัวนี้จะไม่แสดงหน้าตาออกมาแต่ความรู้สึกภายในแววตา และท่าทางของเขาก็ทำให้ผมเดาได้ไม่ยาก


เราสองคนน่ะ สื่อหากันมานานแล้ว


นานแล้วจริงๆ






“ถูกปั่นหัวไปหมดเลยสิฉัน” หญิงสาวฝาแฝดคนพี่ที่ยืนพิงอยู่ประตูห้องรับแขกยืนยิ้มให้กับตัวเอง ในความคิดหวนคิดถึงเหตุการณ์ในอดีตต่างๆของน้องชายร่วมสายเลือดกับเพื่อนสนิท


ไม่ใช่ว่าน้องชายเธอจีบรุยไม่ติด หรือรุยที่ซื่อจนเกินไป


ทั้งสองนั้นรับรู้อยู่แก่กัน


ทุกอย่างดำเนินยืนหยัดมาได้ด้วยความเชื่อมั่นและเชื่อใจ


ในความสัมพันธ์ที่รับรู้เพียงสองคนและสถานะที่ไร้ชื่อ


หากเป็นคนอื่นคงอึดอัดกระวนกระวายตายดิ้นไปเรียบร้อย ต้องขอบคุณสวรรค์ขนาดไหนที่ประธานคนอย่างรุยมาให้น้องชายของเธอ


คงมีแต่เธอสินะที่หัวปั่น ไม่รับรู้เรื่องราวอะไรคนเดียว


ถึงจะสังเกตเห็นว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่มันแปลก แต่เพราะชินตากับการกระทำเหล่านั้นจึงได้ทำนิ่งเฉยและเป่าหูน้องชายพัลวัน


แต่ใครจะไปคิดเล่า...น้องชายเธอจะร้ายกาจขนาดนี้


ไม่สิ...ที่ร้ายกาจยิ่งกว่าคือจิ้งจอกซื่อๆเพื่อนสนิทเธอไม่ใช่เหรอ


“จิ้งจอกนี่ มีหลายประเภทจริงๆสินะ” หญิงสาวหัวเราะในลำคออย่างอารมณ์ดี “แต่ไม่ว่าจะประเภทไหน...ก็เจ้าเล่ห์ทั้งนั้น”


นั่นแหละถึงขึ้นชื่อว่า.... จิ้งจอก







งงไหม555555 เป็นอีกตอนรู้สึกเขียนค่อนข้างยากเลยใช้เวลานานหน่อย[เหรอออ]
ตอนหน้าจบแล้ว เตรียมบอกลาเจ้าลันกับน้องรุยได้เลย
รู้แล้วนะอลันเป็นตัวอะไร แน่ๆไม่ใช่ปลาหมึก
เจอกันตอนหน้า จะพยายามมาเร็วๆนะจ๊ะ  :z10:

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ขอบคุณค่ะ

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1

ออฟไลน์ แก้วกระจก

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 25
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-1
#4


หลังจากเหตุการณ์ในตอนนั้น ในครั้งที่ผู้รู้ว่าอลันเป็นสายเลือดพิเศษเขาไม่ใช่จิ้งจอกธรรมดาๆทั่วไปแต่เป็นถึงจิ้งจอกเก้าหางสายพันธ์ในตำนาน


ที่ไม่มีอยู่จริงภายในโลกใบนี้


ผมได้คุยกับท่านรองผู้นำถึงเรื่องนี้บ้าง ท่านก็ได้ให้คำตอบมาว่า ‘ขึ้นชื่อว่าพิเศษจะเป็นอะไรก็ได้ทั้งนั้น’


ถึงจะเอะใจแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรกลับไป อลันก็ได้กลับมาใช้ชีวิตปกติแต่อรินบอกว่าเขาต้องกลับมาทำพิธีชำระอีกในวันที่เก้าเดือนเก้าของปีหน้าเพื่อให้เจ้าตัวควบคุมพลังที่เกินตัวนั้นได้ดีขึ้น


“รุย”


“หืม” อลันที่นั่งอยู่ข้างๆกันเอียงใบหน้ามาซบที่ไหล่ของผม


ในตอนนี้เราทั้งสองกำลังนั่งดูซีรี่ย์สืบสวนที่ผมชอบกันอยู่


ความสัมพันธ์ในตอนนี้ก็ยังเป็นเหมือนเดิมในทางที่เรากำหนด แต่ก็เลื่อนขั้นเป็นคนรักกันแล้วเพื่อให้ดูชัดเจนขึ้นสมใจอลันเขา


“ง่วง” ผมแอบหัวเราะนิดหน่อย


อลันมักเป็นแบบนี้เวลาเจ้าตัวดูซีรี่ย์ประเภทนี้ไม่เบื่อจนหลับก็ต้องลุกหนีไปหาอะไรทำ ไม่ต่างจากตอนนี้เลย


“ออกไปหาอะไรกินข้างนอกกันไหม” ผมถาม


“ไม่”


“แล้วจะทำอะไร”


“กอดรุย” ว่าแล้วคนตัวใหญ่ก็โถมกายเขามากอดตัวผมไว้ด้วยแรงและน้ำหนักของอีกฝ่ายที่มากกว่าจนทำให้ร่างของผมเซล้มไปนอนบนโซฟา


แถมเจ้าตัวยังรีบตามมาคร่อมไว้ด้วยความว่องไว


“ลัน ตั้งใจสินะ” ผมพ่มลมหายใจ


อีกฝ่ายยิ้มบางเหมือนกำลังเปรียบตัวเองเป็นดั่งผู้ชนะ


เหมือนเด็กจริงๆ


“รุยสวย” อีกฝ่ายเอ่ยจนผมต้องเบือนหน้าหนี ทั้งเขินและไปไม่เป็น


“ไม่ใช่ผู้หญิง”


“เพราะเป็นรุยต่างหากถึงสวย”


ผมยิ้มให้กับคนที่อยู่เหนือตัวเอง เอื้อมมือไปแตะกับคางและใบหน้าคนตรงหน้าพลางขยับตัวให้ไปอยู่เสมอระดับเดียวกับ อลัน


ดวงตาของเราทั้งคู่สบกันอยู่


ดวงตาของอลันเหมือนแก้วใสที่สะท้อนตัวตนผมภายในนั้น


“จูบได้ไหม”

สิ้นเสียงของอลันก็เป็นผมเองที่ขยับกายใกล้อีกฝ่าย อลันบดเบียดริมฝีปากลงมาอย่างนุ่มนวลเป็นจังหวะที่ทำให้ใจผมเต้นระรวย แต่ก็เพียงชั่วครู่ที่รสจูบบรรเลงไปอย่างนุ่มนวลอลันเปลี่ยนมันให้กลายเป็นรุนแรงขึ้นในพริบตา


เขาแทรกลิ้นร้อนชื้นเข้ามาภายในโพลงปากของผม ควานไปทั่วจนผมดิ้นไปมา


จวบจนผมหมดลมหายใจจนต้องร้องประท้วงทำให้อีกฝ่ายละออกจากริมฝีปากของผม


“ปากแดงหมดแล้ว” ผมเงียบแทนการตอบยิ่งทำให้อีกฝ่ายยกยิ้มน้อยๆ


อา... ผมเริ่มหมั่นไส้เขาแล้วสิ


แต่เพียงแค่เสี้ยวความคิด ผมก็สัมผัสได้ถึงสัมผัสแปลกๆบริเวณเหนือสะโพก


ไม่ใช่มือของอลันแน่นอน


ผมเหลือบไปมองบริเวณส่วนเอวของผมก็พบกับหางจิ้งจอกจำนวนมากกว่าปกติกำลังลูบไล้ไปมากับร่างกายของอยู่ ชำเลืองไปมองก็พบว่าบัดนี้หูของอลันได้กลายเป็นหูจิ้งจอกไปเสียแล้ว


“ทำไมถึงมีหูออกมาด้วยล่ะ” เจ้าตัวมุ่ยหน้าเล็กน้อย


แสดงว่าเขายังคงควบคุมพลังได้ไม่ชำนาญจริงๆสินะ


ผมถอนหายใจก่อนจะเอ่ยปาก “อลันไม่เอาแบบนี้”


“ไม่ชอบเหรอ”


จะให้ผมบอกยังไงล่ะ ก็ในเมื่อสัมผัสที่ผมได้รับมันเหมือนลูกหมาที่มาคลอเคลียอยู่ตรงเอว ขนนิ่มของอลันถูไถไปมาจนผมเริ่มควบคุมตัวเองไม่ถูก


“อ๊ะ!” ผมรีบเอามือปิดปากตัวเองโดยพลันเมื่อส่งเสียงแปลกๆออกมา ในขณะที่หางของอลันไปถูกโดนตรงบริเวณเหนือเอวขึ้นมานิดหน่อย


“หึ” อลันหัวเราะในลำคออย่างอารมณ์ดี


“ไม่เอาอลัน อย่าแกล้ง” อลันแทบจะไม่ฟังคำห้ามของผมเลยด้วยซ้ำแต่ก่อนที่อะไรจะเลยเถิดไปกว่านั้น เสียงแหลมปรี๊ดของบุคลมาใหม่ก็แทรกขึ้นเสียงก่อน


“ไอ้ลัน!!!” เสียงของอริน


“ริน...” ผมเอ่ยชื่อเธอเสียงแผ่ว ทางอลันจิ๊ปากไม่พอใจอยู่ไม่น้อย


“เข้ามาได้ยังไง” อลันถาม


“กุญแจสำรอง” ผมจำได้ว่าเคยให้อรินไว้เผื่อฉุกเฉินดูเหมือนจะถึงคราวได้ใช้แล้วสักที


“เกะกะ”


“ไอ้ลัน!!”


“พอเลยทั้งสองคน” ได้จังหวะผมก็ค่อยๆดันแผงอกของอลันให้ถอยออกไปโดยเจ้าตัวก็ยอมทำตามแต่โดยดี คงหมดอารมณ์จะทำอะไรอย่างว่าแล้วนั่นแหละ


คงต้องขอบคุณอรินจริงๆ


“เก็บหางไปเลยไอ้เด็กเวร!” อรินแผดเสียงใส่น้องชายฝาแฝดอีกครั้ง


“ยุ่งอะไรด้วย” อลันมองไปยังพี่สาวของเขาด้วยแววตาไม่สบอารมณ์นักแต่ก็ยอมเก็บหางไปโดยดี


“แกจะทำอะไรมิดีมิร้ายรุยน่ะสิ! เขาสมยอมแกรึเปล่าแค่นี้ดูไม่ออกหรือไง” อรินชี้หน้าอลันอย่างเอาเรื่อง


“ก็เห็นยินยอมตั้งหลายครั้ง”


....


อา....


แย่ล่ะสิ


“พอเถอะๆ อรินมีอะไรหรือเปล่า” ผมรีบเฉไฉเปลี่ยนเรื่องโดยทางอรินเธอก็สีหน้าเหวอไปเลย


อริน ขอโทษนะ..


“เอ่อ...ฉันจะมาวานให้นายทำข้าวกล่องวันพรุ่งนี้ให้หน่อย”


“ทำไมล่ะ?”


“พรุ่งนี้คงไม่ได้กลับห้องทั้งวันน่ะ ไปปั่นงานกับพวกยัยปลาหมึก” อรินพ่นลมหายใจแรง


“ไม่เอาน่าอริน”


“ลำไยจริงๆนะรุย ไปทำแทนฉันได้ไหม”


“แบบนั้นทำได้ซะที่ไหน” ผมยิ้มน้อยๆ “เดี๋ยวพรุ่งนี้จะเอาข้าวกล่องไปให้แต่เช้านะ”


“โอเคๆ ฉันกลับล่ะ ไอ้ลันแกอย่าทำหน้าหื่นแบบนั้นนะ!!” ในขณะที่อรินกำลังเดินไปปิดประตูออกจากห้องไม่วายที่เธอจะหันกลับมาเอ็ดน้องชายตัวเอง


“รีบๆไสหัวไป”


“ไอ้ลัน!!”


พี่น้องคู่นี้นี่จริงๆเลย


“ลัน ไม่เอา” ผมหันไปห้ามปรามอลันที่ครานี้หน้ามุ่ยเหมือนเด็กๆ แถมเบี่ยงหน้าหลบผมอีกต่างหา


พออรินออกไปจนแน่ใจแล้วผมจึงหนุมตัวกลับมาดูอีกคนหนึ่งภายในห้อง


อา.. งอนเสียแล้ว


“ลัน...” อลันเบี่ยงหน้าไปอีกข้างท่าทางที่ดูง่ายของเขาทำให้ผมแอบอดขำไม่ได้


ใบหน้าเรียบเฉย ร่างสูง ตัวโต ช่างดูไม่เข้ากับกริยาบทในตอนนี้เลยจริงๆ


ช่วยไม่ได้นะ...


ผมพูดกับตัวเองภายในใจก่อนจะแปลงตัวเองเป็นร่างจิ้งจอก ผมใช้ขาหน้าสีดำของตัวเองขูดเบาๆที่ช่วงแขนของอีกคนจนเจ้าตัวหันมาให้ความสนใจ


อลันเลิกคิ้วขึ้นก่อนที่ผมจะพยายามปีนป่ายไปตามตักอุ่นของเขาและนั่งลงหันหน้าเข้าหาเจ้าตัว


อลันยังคงสงสัยกับท่าทางขอผม


ผมยกขาหน้าทั้งสองขึ้นพิงไปที่อกของอลันใช้ลิ้นอุ่นๆเล็กเลียไปตามแก้มนั่นอย่างรักใคร่


“หายโหรธแล้ว” ผมเงยหน้ามองหน้าอลันที่กำลังระบายยิ้มจนทาให้ใบหน้าอีกคนดูดีขึ้นไปอีก


“เพราะรุยนั่นแหละ” อลันประคองใบหน้าผมเอาไว้พร้อมใช้จมูกโด่งคลอเคลียไปมากับจมูกของผม


เขากระชับร่างผมเข้าไปกอดค่อยๆประคองอุ้มร่างจิ้งจอกของผมเอาไว้ เราอยู่ด้วยกันในท่าทางอย่างนั้นสักพัก ซึมซับไออุ่นของกันและกัน


“รุย” อลันเรียกชื่อผม “รักเสมอนะ”


“อืม เหมือนกัน”


รักเสมอไม่เปลี่ยนแปลงเลย


รัก เพราะคนนี้ๆเป็นอลัน


รักเพราะอลันคืออลัน


ไม่ว่าเราจะยืนอยู่บนสถานะอะไรก็ตาม ขอแค่รับรู้ไว้เพียงสองคน ขอเพียงแค่ผมกับเขา


ผมกับอลัน


ตลอดไป


END







ต้องโบกมือลารุยกับอลันแล้ว บ๊าย บาย
อาทิตย์หน้าจะอัพพาร์ท Tiger
ซึ่งเป็นพาร์ทสุดท้ายของซีรี่ย์ผู้ล่าแล้ว เร็วจริงจัง

GOODLUCK

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
น่ารัก..รอเรื่องใหม่จ้า  :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ แก้วกระจก

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 25
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-1





#Tiger


“ตกลงกูหรือมึงว่ะ ที่อยากเมาเนี่ย” เสียงของไอ้วิทย์เพื่อนสนิทของผมเอ่ย


“เหมือนๆกันแหละ” ผมเบ้ปากใส่เพื่อนสนิทของตัวเอง ตอนนี้สภาพผมกับมันก็พอๆกันนั่นแหละ เมาร่อแร่ไม่ต่างกันเลย ดีที่ยังพอมีสติประคับประคองตัวเองเดินไปมาได้


วันนี้ไอ้วิทย์ชวนผมมาดื่มเพราะมันถูกแฟนทิ้ง ผลกลับกลายมาเป็นผมเองที่นั่งเอาเหล้ากรอกปากตัวเองเอาเป็นว่าเล่น


“เสือหรือลูกแมวว่ะเนี่ย” ว่าแล้วไอ้วิทย์ก็ยื่นมือมาเกาคางผมยิบๆจนผมต้องปัดออกไปอย่างนึกรำคาญ


“พูดซะเสียชาติกำเนิดกู”


ผม และไอ้วิทย์เป็นอมนุษย์ ภายในโลกแสนสงบสุขจอมปลอมใบนี้ที่อาศัยอยู่ร่วมกับมนุษย์ภายใต้กรอบระเบียบกฎเกณฑ์อันเคร่งครัดที่บรรดาผู้ใหญ่ๆพูดปาวๆอัดหูพวกผมมาแต่เด็กๆ


เพราะเกิดเป็นอมนุษย์จึงต้องพยายามใช้ชีวิตให้เคร่งกว่ามนุษย์ปกติหลายเท่า ระเบียบมากกกว่า กฎมากกว่า จนน่ารำคาญหลายเท่าตัวไปเลย


แต่โชคดีที่ผมถึงจะเกิดในตระกูลใหญ่อย่างเสือ แต่ก็สังกัดอยู่ตระกูลสาขาปลายๆแถวที่ไม่ค่อยโดนเรียกพบตัวนัก


ส่วนไอ้วิทย์ตัวดีเป็นอมนุษย์ตระกูลนกฮูก สมชื่อตระกูลมันเลยดวงตามันกลมโตโปนๆประหนึ่งนมฮูกดีแท้


“เริ่มเดินเซแล้วนะมึงอ่ะ” ไอ้วิทย์เอ่ยปากแซว


“เหอะ มึงด้วยแหละ” พวกผมสองคนเดินออกมาจากผับชื่อดังใจกลางกรุงใหญ่เตรียมตัวจะแยกย้ายกลับบ้านกลับหอ เพราะตัวผับอยู่ไม่ไกลจากตัวหอพวกผมจึงไม่ต้องลงแรงขับรถมา


อา... ปวดหัวตุบๆเลย


“จะถึงหอไหมเนี่ย” เสียงยานๆมาจากเพื่อนตัวแสบ “บินกลับดีกว่า”


ว่าแล้วเจ้าตัวก็เปลี่ยนร่างตัวเองเป็นนกฮูกบินขึ้นมาเกาะบนแขนของผมที่ชูขึ้น “กูกลับนะ”


“เออๆ” จากนั้นนกฮูกบนแขนของผมก็โผบินออกไปตามทิศทางหอของมัน ส่วนผมก็เดินตุบปัดตุบเป๋กลับบ้านตัวเองคนเดียวซึ่งทางมันก็ไม่เปลี่ยวมากหรอก


“เฮ้อ..” ผมพ่นลมหายใจออกมายาวเมื่อตนเองกลับมาถึงบ้านอย่างปลอดภัยดี เดินเซไปเซมานึกว่าตัวเองจะไม่รอดเสียแล้ว


แถมยังวิงๆเวียนๆหัวด้วย


ผมเดินหมายจะเข้าที่พักอาศัยของตัวเอง แต่หน้าบ้านกลับมาเงาตะคุ่มๆแปลกๆทำให้ผมต้องหยุดมอง


เงานั่น...ไม่เหมือนคน


ผมเดินเข้าไปดูใกล้ๆให้แน่ใจ เงานั่นนิ่งมาก ไม่ขยับไปไหนเลย


พอเดินมาดูใกล้ๆแบบนี้แล้ว....นี่มัน


ถึงจะมืดแต่ก็สังเกตออกได้โดยง่าย เสือ


แถมยังเป็นเสือสีขาวอีกด้วย หายากมากๆ


แล้วมาทำอะไรอยู่หน้าบ้านคนอื่นเขาตอนดึกๆดื่นๆแบบนี้ อีแบบนี้คงไม่ใช่เสือที่หลุดออกจากสวนสัตว์แล้วล่ะมั้ง


ผมเดาว่าคงเป็นอมนุษย์ตระกูลเสือ ตระกูลเดียวกับผมมากกว่า


เอาไงดี ปล่อยไว้ดีไหม

ไหนๆก็สายเลือดเชื้อไขเดียวกันนี่


ผมชั่งใจอยู่สักพัก ตัวเองตอนนี้ก็แทบจะเอาไม่รอดอยู่แล้วจะให้หอบหิ้วเอาเสือตัวใหญ่เท่าบ้านไปอีกคงไม่ได้ ทันใดที่ผมกำลังจะเดินผ่านเสือขาวตัวใหญ่นั่นไปเจ้าตัวใหญ่ก็ส่งเสียงขึ้นมา


กรรจ์…


คล้ายเสียงคำรามแต่แผ่วเบากว่า คงจะกำลังฝันอยู่แน่ๆ


เฮ้อ สงสัยคงปล่อยไปไม่ได้แล้วล่ะสิ เกิดมาเป็นคนดีมาเกินไปมันลำบากแบบนี้สินะ


“นี่ ไอ้ยักษ์” สะกิดเรียกเสือตัวใหญ่ใช้สรรพนามจากการวัดขนาดตัวเอา ถ้าเทียบกับร่างเสือของผมเจ้าตัวใหญ่ตัวนี้ทับผมแบนตายชัวร์ๆ


“ตื่นๆ มาหลับหน้าบ้านคนอื่นเขาแบบนี้ไม่ดีนะ” เรียกแล้วเอานิ้วจิ้มๆ สมองก็เบลอๆมองภาพจะชัดก็ชัดจะไม่ชัดก็ไม่ชัด


เสือขาวตัวใหญ่ค่อยๆลืมตาตื่นขึ้น ผมมองไปยังหัวของมัน


หืม...ทำไมขนหัวมันพองๆวะ


ช่างเถอะ


“ตื่นเร็ว” ผมเอ่ย “แปลงกลับเป็นแบบเดิมด้วย”


หมดคำของผมเจ้าเสือยักษ์ก็เชื่อฟังแต่โดยดี แปลงร่างกลับเป็นเหมือนเดิม


ว่าแล้วเชียวว่าเป็นมนุษย์


เจ้าตัวเปิดปากหาวๆพร้อมกับเกาหัวไปมา แต่ผมไม่ได้สนใจแล้วตอนนี้ทั้งมึน ทั้งเพลีย ทั้งง่วง


“จะเข้ามาไหม ไม่เข้าก็ไปไกลๆ” ถือว่าผมช่วยแล้วนะ อยู่ๆให้คนแปลกหน้าเข้าบ้านมันก็กะไร แต่ท่าจะปล่อยให้มานอนเฝ้าหน้าบ้านแบบนี้มันน่าสงสารออกนี่


“ขอบคุณ” น้ำเสียงแผ่วของอีกฝ่ายดังขึ้นแต่ผมไม่ได้สนใจเปิดประตูเข้าบ้านรับเอาอีกฝ่ายเข้ามาพร้อมหันกลับไปล็อคประตูให้เรียบร้อย


คืนนี้เหนื่อยมาทั้งวันเลย


เพลีย


ง่วง


มึน


จะตายแล้ว


แล้วไอ้เจ้ายักษ์นี่มันจะขโมยทรัพย์สินในบ้านผมไหมวะ?


ช่างเหอะ ไม่มีไรให้ขโมยอยู่แล้ว มีเงินติดตัวตอนนี้อยู่ยี่สิบบาทยังไม่ได้ไปถอนออกมาเลย สมุดบัญชีบัตรเครดิตต่างๆก็อยู่ในเซฟงัดไม่ได้หรอก


ผมคิดเพลินๆในใจพลางเดินไปที่ห้องนอนของตัวเองพร้อมล้มลงนอนมันทั้งอย่างนั้นเตรียมพร้อมชัตดาวน์ตัวเอง


“จะนอนไหนก็นอน” ผมปรือตามองไปยังเจ้ายักษ์ตัวใหญ่ที่มองมายังผมอยู่ ผมไม่สนใจอะไรอีกแล้ว


ง่วงแล้ว


จะนอน


“ชื่ออะไร” เสียงทุ้มเอ่ยถาม


“เพียว” ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงแผ่วๆของคนใกล้หลับ


“อือ ฝันดีเพียว”


“อื้ม”


หลับแล้วนะ


เจอกันตอนเช้า


ง่วงแล้ว







น้องเพียวไม่ได้มึนๆอึนๆแบบนี้นะ ตอนนี้นางเมา
เนื้อแท้ไร้ซึ่งสติสตางค์








อยากเม้าส์มอย เรามีทวิตแล้ว ตามเม้าส์มอยกับเรากัน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-12-2017 20:28:51 โดย แก้วกระจก »

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
แลดูน่าสนใจ..ตื่นมาจะเกิดอะไรขึ้นหนอ????   :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
จากจิ้งจอกเก้าหาง มาเสือแล้ว  ชอบบบบบ  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

ออฟไลน์ แก้วกระจก

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 25
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-1
#2


“อือ...” ผมส่งเสียงครางในลำคอ อาการปวดหัวตุบๆพร้อมความอ่อนล้าถาโถมเข้ามาใส่จนต้องตื่นขึ้นมา พอลืมตาตื่นความเจ็บปวดก็ค่อยๆจี๊ดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว


เมื่อวานคงดื่มหนักไปจริงๆ


จำได้ว่าหอบไอ้เสือยักษ์เข้ามาด้วย ไปไหนซะล่ะ


เมื่อคืนผมนอนด้วยสารรูปแบบนี้เลย น้ำก็ไม่ได้อาบ ไม่ได้ทำอะไรทั้งสิ้น


ไม่ได้สำรวจด้วยว่าคนแปลกหน้าที่พาเข้ามาในบ้านหน้าตาเป็นแบบไหน รู้แค่ว่าเป็นเสือ นิสัยใจคอเป็นยังไง
รู้แค่ว่ามานอนหลับอยู่หน้าบ้าน สงสารเลยหอบมาด้วย


หืม...เสียงหอบหายใจของสัตว์


ผมหันไปมองทางต้นเสียงก็พบกับ....เชี้ย!!


สิงโต!!!


แต่ทำไมแผงขนตรงคอถึงได้สิ้นกว่าปกตินักนะ


“เหี้ย!!!” ผมแผดเสียงลั่นออกมาด้วยความตกใจตระกุยตระกายไปอยู่ข้างเตียงเป็นที่เรียบร้อย สิงโตสีขาวตัวยักษ์มานอนในห้องผมได้ยังไง!


ผมทวนความคิดภายในหัว เมื่อคืนผมพาเสือยักษ์เข้ามานะ ทำไมเช้าตรู่มาดันเจอสิงโตตัวใหญ่กว่าควายได้วะ


สิงโตตัวใหญ่อ้าปากหาว ค่อยๆปรือตามองมาทางผม มันนิ่งไปสักพักก่อนจะ...


หลับต่อ!


หลับต่อพร่องมึงดิ๊!


กลัวนะเว้ย!


ถึงจะเป็นสายพันธ์ผู้ล่า ต้นตระกูลก็แก่งแย่งชิ่งดีชิ่งเด่นกันมานานนม เจอกันก็เป็นสู้เพื่อศักดิ์ศรีและสายพันธ์ แต่ตอนนี้ผมมีแต่ต้องถอยกรูลูกเดียว


ดูขนาดตัวก็น่าจะรู้แล้วว่าควรทำตัวยังไง


เผลอผมขู่ไปแม่งอาจจะตะปปผมทีเดียวตายห่าได้เลย


เอาไงดีวะ...


แปลงเป็นเสือไปสะกิดมันดีไหม


ไม่ดีชัวร์ๆ


“ตื่น...” อือหือ แค่คิดจะเปล่งเสียงปลุกมันก็สั่นเป็นลูกนมลูกกาแล้ว


นี่กูเป็นเสือจริงๆนะ


“นะ...” พูดเสียงสั่นไปอีก


ตื่นแล้ว! ไอ้ยักษ์มันตื่นแล้วอ่ะ!!


ผมควรทำไงต่อดี บอกที๊!!


“เอ่อ...เห็นเสือตัวขาวๆแถวนี้ไหม”


เจ้าสิงโตยังนิ่งเฉยมองมาทางผมสักพักก่อนเสหน้าไปทางอื่น ทำเอาผมแอบหวาดๆ


“นี่...”


มันหันกลับมามองผมอีกครั้ง จ้องผมอยู่อย่างนั้น เหมือนตอนนี้ทั้งผมและมันกำลังเล่นจ้องตากัน คนไหนละออกก่อนแพ้ และเป็นผมเองที่ต้องละออกมาเสหน้าไปทางอื่นถึงจะเป็นเสือเป็นศัตรูตัวฉกาจของสิงโต


 เป็นผู้ล่าเหมือนๆกันแต่สัญชาตญาณของผมมันชี้บอกเลยว่าอย่าไปหาเรื่องกับสิงโตตัวยักษ์ตัวนี้เลยจะดีกว่า


“เพียว” เสียงนี่....คุ้นๆนะ


เหมือนเคยได้ยิน


“หิว” ผมมองไปยังด้านหน้าของตน สีหน้าเหมือนไม่เชื่อหูตัวเองเมื่อสิงโตตัวใหญ่นั่นกำลังพูด...กับผม


แถมยังเรียกชื่อผมอีก และที่สำคัญถ้าจำไม่ผิดเสียงทุ้มๆนี่เหมือนกับเสียงของเสือยักษ์ตัวเมื่อคืน


“เอ่อ...เห็นเสือขาวๆตัวใหญ่ๆแถวนี้บ้างไหม” ในหัวผมตีกันวุ่นไปหมดแล้ว


“ไม่ใช่เสือ”


“...”


“ไม่ใช่สิงโต”


ผมขมวดคิ้วไม่เข้าใจในสิ่งที่เจ้าสิงโตตรงหน้ากำลังจะสื่อถึง สักพักเจ้าป่าร่างยักษ์ตรงหน้าผมก็เปลี่ยนร่างตัวเองกลับเป็นร่างมนุษย์เช่นเดิม


ขนสีขาวฟูแปลเปลี่ยนเป็นสีผิวสีเข้ม ใบหน้าคมพร้อมกับดวงตาคมกริบอย่างหน้ากลัว สีหน้าเรียบๆที่ดูดุร้ายนั้นบ่งบอกถึงสายพันธ์ที่ไหลเวียนอยู่ในเลือดของเขาเป็นอย่างดี


ที่แน่ๆคือไม่ใช่หมูหมาแมว


“ไลเกอร์ต่างหาก” ร่างสูงเอ่ยบอกกับผม


“ไลเกอร์...” ผมทวนคำพูดของอีกฝ่ายอย่างงงๆ แต่เจ้าตัวกลับได้สนใจท่าทีของผมกลับเดินเกาหัวพร้อมหาววอดๆมานั่งที่เตียงข้างๆผม


“ลูกผสมไง”


โอเค เข้าใจแล้ว


ห๊ะ!


ลูกผสม!!!!


ผมเบิกตากว้างด้วยความตกใจ กระเถิบหนีคนผิวแทนไปจนติดกำแพงข้างๆเตียง ในหัวพยายามประติดประต่อความคิดจนเริ่มเป็นสตอรี่ลางๆพอที่จะเดาได้ออกมา


“นี่อย่าบอกนะว่า...” เมื่อคืนนี้ เสือขาวตัวนั้นคือตัวเดียวกับเจ้าป่าตัวโตตัวนี้


แล้วลายเสือล่ะ  ลายเสือหายไปไหน!


“เมื่อกี้ไม่มี...ลายเสือ” ด้วยสายตาดุๆที่มองมานั่นทำให้ผมถึงกับพูดไม่ออกบอกไม่ถูกกันเลยทีเดียว พูดเสร็จก็เสหน้าไปมองทางอื่นๆไม่กล้าสบตากับดวงตาเรียวๆกับแววตาดุร้ายนั่น


พอมาอยู่ในร่างมนุษย์แบบนี้ดวงตานั่นดูหน้ากลัวกว่าในร่างสัตว์เสียอีก


“นี่นะเหรอ” พูดจบเจ้าตัวก็ยกแขนขึ้นโชว์ลายเสือพร้อยให้ผมดู  ลายนั่นลามไปทั่วทั้งแขนลามไปถึงคอเลยทีเดียว “คุมได้”


หมายถึงลายสินะ


“เป็นลูกผสมสินะ...”


“อืม” ช่วยตอบอะไรให้มันยาวๆกว่านี้และน้ำเสียงที่เป็นมิตรกว่านี้จะได้หรือไม่


ไลเกอร์...ลูกผสมระหว่างสิงโต-เสือ เคยได้ยินมาบ้างเหมือนแต่ไม่เคยได้มาเห็นกับตา เรื่องอมนุษย์ผสมพันธ์ข้ามสายพันธ์นั้นว่าต้องห้ามยิ่งเป็นตระกูลเสือและสิงโตยิ่งต้องห้ามยิ่งขึ้นไปอีก


สองตระกูลที่จะว่าไม่ถูกกันก็ไม่เชิง ข่มเหงกันก็ไม่ใช่ ชิงดีชิงเด่นกันก็ไม่ถึงขนาดนั้น เพราะทุกวันนี้เราอยู่ร่วมกันอย่างผาสุขถึงสัญชาตญาณดิบในตัวจะเรียกร้องขนาดไหนก็ตามแต่


แต่ด้วยกฎของอมนุษย์ที่ค้ำคออยู่จึงทำให้ไม่มีเรื่องบาดหมางกันระหว่างสองตระกูล


แต่แบบนี้มัน....ผมไปไม่ถูกเลย


“อยู่ตระกูลไหนเหรอ” ผมเอ่ยถามเสียงสั่นไปที่เจ้าป่าที่บัดนี้บิดขี้เกียจไปมา


“สิงโต กับพ่อ” แสดงว่าแม่ของเขาเป็นเสือสินะ


เมื่อคืนที่พอจะเห็นว่าบริเวณหัวมีขนฟูๆก็คงจะเป็นขนของสิงโตนั่นแหละ


เฮ้อ....ดันไปเจอกับตัวปัญหาเสียแล้ว


เอาไงดีล่ะทีนี้


“เอ่อ...”


“หิว” ก่อนที่ผมจะได้พูดกลับมีเสียงของลูกผสมข้างๆดังแทรกขึ้น ใบหน้าดุๆมุ่ยหน้าเล็กน้อยเหมือนเด็กๆ “เพียว หิวแล้ว”


“เอ่อ...”


ใบ้แดกเรียบร้อย


ผมกระพริบตาปริบๆมองอีกคนที่นั่งจ้องผมอยู่ ถ้อยคำที่ไม่แน่ชัดว่าเจ้าตัวแค่จะบอกผมเฉยๆหรือจะให้ผมไปหาของให้ทานกันแน่นั่นทำให้ผมช่างใจอยู่สักพัก


แต่ก็มีสิ่งที่ตอบข้อสงสัยของผมขึ้นมานั่นคือเสียงท้องร้องโครกครากของเจ้าตัวที่ทำให้ผมเผลอหลุดยิ้มออกมา


แต่ทุกอย่างก็ต้องหยุดทันตา เมื่อสายตาดุๆทอดมองมาทางผมที่นั่งกลั้นยิ้มอยู่


จะแดกหัวกูไหมเนี่ย...


“เพียว ทำอะไรให้กินหน่อย” น้ำเสียงนั่นดูเหมือนจะอ้อนแต่ใบหน้ายังคงเรียบเฉยอยู่


“พูดไม่สุภาพได้ไหม” ผมหันไปขอกับเจ้าตัวก่อน อย่างน้อยๆระหว่างผมกับเขาจะได้ดูใกล้ชิดขึ้นสถานการณ์จะถูกแดกหัวของคงอาจจะลดลง


และเจ้าตัวก็พยักหน้ารับ


“งั้นเดี๋ยวกูไปทำไรให้กิน เอาเป็นพวกง่ายๆก่อนนะ แล้วชื่ออะไรล่ะ” ได้ทีผมก็ตีเนียนทำตัวสนิทสนมขึ้นทันตา นี่ขนาดผมเป็นเจ้าบ้านนะยังต้องนอบน้อมกับมันพยายามตีสนิท


เหตุผลหลักๆคือกลัวถูกจับถลกหนังกิน


เห็นขนาดตัวแล้วบอกเลยว่าสู้ไม่ไหวแน่ๆ


“ซีน”


“โอเคซีน ไปล้างหน้าล้างตาก่อน” ไม่รู้เพราะติดนิสัยชอบดูแลนู่นนี่มาตั้งแต่เด็กๆหรือเปล่าทำให้ผมเดินนำคนแปลกหน้ามีสายเลือดผสมไปยังห้องน้ำภายในห้องนอน แถมออกมาหาอะไรเตรียมไว้ให้อีกฝ่ายทานเป็นอาหารเช้า


ก่อนทำอาหารผมเดินมาตรวจเช็คทรัพย์สิ้นของตัวเองก็ไม่มีอะไรหาย เซฟก็ยังอยู่ดีไม่มีร่องลอยอะไร ดูๆภายในบ้านผมก็ไม่มีอะไรให้ขโมยไปหรอก จะมีก็แค่บ็อกเซอร์ที่ตากอยู่หลังบ้านแค่นั้นแหละ


ผมอาศัยอยู่บ้านหลังนี้เพียงคนเดียว เป็นบ้านที่แม่ของผมซื้อไว้ให้เพราะใกล้มหาลัยโดยทั้งแม่และพ่อของผมอาศัยอยู่ที่บ้านภายในตระกูลสาขา


“กินได้นะ” ผมเงยหน้าขึ้นถามอีกฝ่าย เพราะอาหารเช้าที่ผมเตรียมไว้ให้เป็นเพียงแค่ไข่ดาว ขนมปัง ไส้กรอกพร้อมกับโกโก้ให้อีกฝ่ายส่วนของตัวเองเป็นกาแฟดำแก้อาการแฮงค์เท่านั้น


อีกฝ่ายก็พยักหน้ารับก่อนลงมือทานมือเช้า


ซึ่งเวลานี้ก็เช้าพอสมควร ประมาณเจ็ดโมงเศษๆได้


“ขอถามได้ป่ะ” ผมเริ่มเปิดประเด็น


“อืม”


อย่างทำเสียงเรียบๆแบบนั้นสิ


“คือเมื่อคืนทำไมมานอนหน้าบ้านกูอ่ะ”


“โดนแมวข่วน”


“ห๊ะ!”


คนผิวแทนขมวดคิ้วเป็นปม “แมวข่วน”


เหตุผลว่าโดนแมวข่วนแล้วมานอนกองหน้าบ้านคนอื่นนี่ดูสมเหตุสมผลพอรึเปล่า?


“คือมึง กูไม่เข้าใจ” ผมท้วงอีกฝ่ายอีกครั้งเจ้าที่กำลังตักไข่ดาวเข้าปากก็ต้องหยุดชะงักลง


“อมนุษย์แมวไล่ข่วน” จบคำของอีกฝ่ายผมก็ต้องร้องอ๋อ ถึงบางอ้อเสียที แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่คิดไม่ฝันว่าเจ้าป่าสายเลือดผสมอย่างซีน จะมาโดนอมนุษย์แมวไล่ข่วนแบบนี้ได้


ทั้งๆที่คนที่น่าจะโดนข่วนน่าจะเป็นฝ่ายอมนุษย์แมวนั่นด้วยซ้ำ



“ไปทำอีท่าไหนเล่า แค่แมวตัวเล็กๆเอง” พูดถึงไหนอายถึงนั่น สายพันธ์มันอาจจะคล้ายๆกันแต่เขานั้นถือว่าเป็นสายพันธ์ผู้ล่าไม่ใช่สายพันธ์สัตว์เลี้ยงในบ้านอย่างพวกแมวเลยสักนิด ไปพลาดท่าให้พวกนั้นได้ยังไงกัน


“...” อีกฝ่ายทานอาหารต่อไม่พูดไม่จาโต้ตอบจึงทำให้ผมลดละการพูดคุยกับอีกฝ่ายไป กลายเป็นว่าบัดนี้ความเงียบเริ่มปลกคุมบรรยากาศรอบๆตัวแล้ว


ทานอาหารเสร็จผมจึงเก็บจานทั้งของผมและซีนไปล้างให้เรียบร้อยก่อนจะหันมาบอกอีกคนที่นั่งมองผมอยู่ที่เก้าอี้


“กูมีเรียนแปดโมง คงต้องออกไปแล้ว” ผมหันไปหาอีกฝ่าย “มึงอ่ะ”


“แปดโมง”


เหลือบไปมองนาฬิกาบนฝาผนังบ้านก็บอกเวลาว่าเจ็ดโมงครึ่งเป็นที่เรียบร้อย


“เรียนม.ไหนล่ะ ไม่เคยเห็นหน้าเลย” ได้ทีผมก็ถามเรื่องของอีกฝ่ายใหญ่ แต่เจ้าตัวก็ตอบกลับมาสั้นๆ


“แถวนี้ๆ”


“อืม”


อา...ไปต่อไม่เป็นเลย


ทำไงดีนะ


เฮ้อ


“กูคงต้องออกไปแล้ว มึงก็ต้องออกไปตามกูด้วยนะ” พูดจบเจ้าตัวก็พยักหน้างึกหงักเดินไปที่ประตูบ้านของผมหน้าตาเฉย “จะไปเลยเหรอ”


ผมนึกว่าจะอยู่รออกไปพร้อมกัน


“อืม เดี๋ยวเพียวสาย”


“อะ..เออๆ กลับดีๆ” ผมก็ได้แต่ยืนแข็งทื่อมองแผ่นหลังของร่างสูงที่เดินจากออกไป


ผมทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟา ฉับพลันความคิดภายในหัวก็แล่นเข้ามาเรื่อยๆไม่หยุดหย่อน ตั้งแต่ความสงสัยเรื่อยไปจนถึงความกังวลที่เริ่มถาโถมใส่เข้ามาจนปวดหัวไปหมด


สงสัยในตัวของหมอนั่น


สายเลือดผสม...


แถมยังต้องมานั่งโทษตัวเองเพราะความเมาแท้ๆจึงต้องเอาตัวมาพบพานกับคนแปลกหน้าแบบนี้ ดีเท่าไหร่แล้วที่เขาไม่ได้ลักขโมยทรัพย์สินหรือทำอะไรมิดีมิร้าย



มิหนำซ้ำเช้ามายังต้องมานั่งทำกับข้าวหาน้ำหาปลาให้กินถึงที่ จะดีเกินไปไหมเนี่ย


แต่ก็เอาเถอะ ถึงผมจะไม่เมาเมือคืนนี้ผมคงต้องหอบเจ้าเลือดผสมตัวยักษ์นั่นเข้ามาอยู่ดีหรืออาจจะทำอะไรที่ช่วยเหลือเขานั่นแหละ


เฮ้อ...


ผมเหลือบมองนาฬิกาอีกครั้งก็ต้องรีบสปริงตัวเองขึ้นมาจัดการตัวเองไปเรียนให้เรียบร้อย


เอาเถอะยังก็ผ่านไปแล้ว


คงไม่ได้เจอกันอีกแล้วมั้ง...


มั้งนะ...


มั้งจริงๆนะเว้ย....







เสียชาติเกิดกว่ารุยก็เพียวนี่แหละ..... อนาถจิต.....

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
คิดว่าเพียว ได้เจอซีนอีกแน่ๆ  :hao3:

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
มีความมึน  อึน  ซึน  ตลก  ช๊อบ...บบบบบบบบบ  o13 o13 o13

ออฟไลน์ แก้วกระจก

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 25
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-1
#3


“มึงแม่งโคตรไม่ระวังตัว” ไอ้วิทย์ส่ายหัวไปมาเมื่อได้ยินสิ่งที่ผมเพิ่งเล่าจบไปหมาดๆ


“ก็กูเมา กูเมาอ่ะกูเมา นิยามคำว่าเมาอ่ะมึง!” ผมประท้วงบ้างเมื่อเริ่มรู้สึกอีกฝ่ายต่อว่าผมจนเกินไป เมื่อครู่หลังเลิกคลาสผมก็พาไอ้วิทย์มานั่งคุยที่ม้านั่งหน้าคณะ เล่าเรื่องเมื่อคืนให้มันฟัง


นั่นแหละสาเหตุที่ผมต้องมาทนฟังมันบ่น มันเทศอยู่นี่


ก็ผมเมา มันช่วยไม่ได้นี่


“เพราะมึงเมานั่นแหละถึงต้องระวังตัว” วิทย์เอ่ยอีกครั้ง “แล้วไม่มีไรหายใช่มั้ย”


ผมพยักหน้างึกหงักตอนเช้าก็ตรวจทานดูอีกรอบแล้ว ของมีค่าอยู่ครบถ้วน


“เจออีกก็ปล่อยๆไป อย่าให้เข้ามาอีกล่ะ นั่นคนแปลกหน้า” มันเตือน


“เออๆ” ผมตอบรับส่งๆเพราะฟังมันดุมาเป็นชั่วโมงแล้ว


“ดีๆไอ้เพียว”


“เออ”


“เพราะๆ”


“ครับๆ” ผมเริ่มเหม็นขี้หน้ามันแล้วนะ “มึงเหอะ เรื่องแฟนเป็นไง”


หันมาเปลี่ยนประเด็นเป็นเรื่องแฟนเก่าหมาดๆของไอ้นกฮูกตาโปนนี่บ้าง


“เฉยๆ เลิกกันแล้วก็ไม่เกี่ยวกันป่ะวะ” สีหน้าอมนุษย์นกฮูกดูเฉไฉไปเรื่อยเกินกว่าผมจะปลงใจเชื่อมันได้


“แน่ใจ ไม่ใช่ยังรักอยู่เหรอ” เหมือนจะไปจี้จุดเจ้าตัวเพราะเมื่อครู่ไอ้วิทย์เผลอชักสีหน้าออกมา


“เรื่องของกู มึงไม่เกี่ยวไอ้เพียว” ว่าแล้วก็จิ้มมาที่หน้าผากของผมดันจนผมแทบหงายหลัง


เอ้า! ไอ้วิทย์!!


“จิ๊! ไอ้เหี้ยตาโปนเอ้ย!” ผมพ่นคำด่าใส่เพื่อสนิท


“กูนกฮูกไม่ใช่เหี้ย” แหน่ะ เถียงกูอีก


“เหมือนกันแหละ”


“เหี้ยบ้านมึงบินได้เหรอ”


“เออ”


เหี้ยบ้านกูนี่แหละบินได้!!!!


ผมเล่าเรื่งเมื่อคืนให้วิทย์ฟังก็จริงแต่ไม่ใช่ทั้งหมด เรื่องของซีนนั้นผมไม่ได้เล่าในส่วนที่เขาเป็นไลเกอร์มีหวังเล่าออกไปไอ้วิทย์ได้ลมจับล้มพึ่งไปแน่ๆ


นั่งเล่นนั่งคุยกับไอ้วิทย์ได้อีกซักพักใหญ่ก็แยกย้ายกันกลับบ้านกลับหอเพราะไอ้วิทย์เอารถมาพอเริ่มตกเย็นแล้วมันกลัวรถติดเลยรีบบึ่งกลับให้เร็วที่สุด


ส่วนผมก็ชิวๆเดินกลับบ้านเพราะมหาลัยอยู่ใกล้ไม่ได้ลำบากอะไรมาก


นี่ก็สี่โมงเย็นแล้วรถราคงติดหนักหนาสาหัสน่าดู แอบสงสารไอ้วิทย์เล็กๆแฮะ


ผมเดินเล่นคิดอะไรเรื่อยเปื่อยมาจนถึงหน้าบ้านตัวเอง และได้ยินเสียงที่ไม่คิดว่าจะได้ยินอีกนี้เข้า


“เพียว”


“....”


“ช้า”


เชี่ย ยังจะเจอกันอีกเหรอ!!!


ผมตกใจเมื่อทอดสายตาไปเห็นร่างผิวแทนตัวสูงที่ยืนพิงกำแพงหน้าบ้านของผมอยู่  ซีนหันมามองที่ผมไม่วายยังติใส่เสียงแข็งมาอีก


และที่สำคัญคือ....ซีนอยู่ในชุดนักเรียน


เขาสวมเสื้อนักเรียนขาวสะอาดปักชื่อสีแดงติดเข็มกลัดตราโรงเรียนและกางเกงขาสามส่วนสีน้ำเงิน


อาจจะเป็นเพราะผมพิจารณาเสื้อผ้าของอีกฝ่ายนานจนเกินไป เจ้าตัวจึงขมวดคิ้วเป็นปมหรี่ตามองมายังผมที่ยังเล่นจ้องไม่เลิก


“ทำไมใส่ชุดนักเรียน”


“ก็เป็นนักเรียน”


ห๊ะ!!


“เป็นนักเรียน..” ซีนพยักหน้าเบาๆ ผมถึงกับยิ้มแหยงไปไม่เป็นเพราะในตอนแรกเพียงแค่เห็นรูปลักษณ์ของเขา ผมก็ตีว่าเขาน่าจะอายุเท่ากันหรือมากกว่าด้วยซ้ำไป


“อยู่ม.ไหน” ผมถามเสียงสั่นๆ


“ม.ปลาย”


เออ รู้แล้วว่าม.ปลายตัวยักษ์ขนาดนี้คงเป็นนักเรียนม.ต้นไม่ได้หรอก


“ม.ปลายนั่นแหละม.ไหน”


“ม.6”


“อายุเท่าไหร่”


“18”


เพิ่งจะบรรลุนิติภาวะมาเลยไม่ใช่เหรอ!!


ตัวยักษ์ใหญ่เบิ้มขนาดนี้อายุเพิ่งจะสิบแปด แล้วดูสารรูปผมสิเด็กม.สามเหรอ


ทำไมฟ้าประทานมาให้แตกต่างกันถึงขนาดนี้นะ อย่างน้อยผมก็เป็นเสือหมอนั่นก็มีเลือดเสืออยู่ในกายครึ่งหนึ่งมันก็น่าจะเหมือนๆกันสิ!


ทำไม!


“ไม่เข้าบ้าน?” เสียงเอ่ยถามจากอีกคนทำให้ผมหลุดออกจากภวังค์ “เหม่อๆ”


“เอ่อ...ไม่มีอะไรๆ” ผมส่ายหน้าปฏิเสธก่อนจะเอ่ยปากชวนเข้าบ้าน “เข้ามาก่อนสิๆ”


และเพิ่งหวนกลับมาคิดได้ว่า ผมเผลอตัวปล่อยให้เจ้าตัวยักษ์นี่เหยียบเข้ามาในบ้านเป็นครั้งที่สองแล้ว!
อีครั้นจะหันไปเอ่ยไล่ก็ดูจะ....


อา...ดูแววตาดุๆกับใบหน้าบึ้งตึงนั่นสิ


น่ากลัว...ฮือออ


ชีวิตผมต้องเละเทะป่นปี้ขนาดไหนวะ อายุก็ย่างจะยี่สิบสองแล้วต้องมายำเกรงเด็กอายุสิบแปด ทั้งๆที่มีสายเลือดผู้ล่าอันสูงส่งอยู่ในตัวกลับมาเจอกับนักล่าที่เหนือกว่า


โถ่ ถังกะละมังหม้อ


ชีวิตไอ้เพียว


“จะดื่มอะไรไหม” ผมหันไปถามเด็กยักษ์ที่เดินเข้ามาบ้านตามผมมา เจ้าตัวยกมือขึ้นจับคานประตูเอาไว้ก่อนจะเดินเข้ามา


“ประตูเตี้ย”


มันไม่ได้เตี้ยหรอก มึงนั่นแหละสูงเกิน!!!


ผมเข้าๆออกมาเป็นสิบๆปีไม่ยักจะเห็นว่าเตี้ย สูงชิบหายวายวอดเลยด้วยซ้ำ


มาเจอเจ้าเด็กเลือดผสมนี่ทีเดียวแม่งประตูกูเตี้ยเลย


“ดื่มอะไรไหม” ผมสงบสติอารมณ์ก่อนจะเอ่ยถามอีกฝ่ายอีกครั้ง คนตัวใหญ่ส่ายหน้าปฏิเสธก่อนที่จะนั่งลงบนโซฟา ผมจึงแยกตัวออกไปเก็บเข้าเก็บของเปลี่ยนเสื้อผ้า


“เพียว” เสียงเรียบๆของเจ้ายักษ์เอ่ยชื่อผม


“หืม”


“เปิดทีวีได้ไหม” ผมเลิกคิ้วอยู่สักครู่ก่อนจะตกลงให้มันเปิดทีวีดูได้ แต่เหมือนเจ้ายักษ์จะเงอะๆงะๆกับการเปิดทีวีน่าดูจึงเป็นผมเองที่ทนดูไม่ไหวเดินไปเปิดให้เสียเอง


“นี่รีโมต” ซีนรับรีโมตไปจากมือผม อีกฝ่ายเปิดช่องไล่หาไปเรื่อยๆจนมาหยุดที่ช่องๆหนึ่งที่กำลังฉายหนังอยู่


“ศิษย์พี่!!!”


“น้องข้า ได้โปรดเจ้าจงรีบหนีไป!!”


“เจ้าหนีข้าไม่พ้นหรอก พวกเจ้ามันก็แค่ทำงานรองมือรองเท้าของเจ้าหนิงเหอเท่านั้นแหละ! ฮ่าฮ่าฮ่า”


ผมอ้าปากหวอ เกิดอาการเหวอแดกในทันทีเมื่อซีนเปิดมาดูช่องๆหนึ่งที่ในตอนนี้กำลังฉายหนังจีนกำลังภายในภาพรุ่นพ่อรุ่นแม่อยู่


ผมแอบคิดว่าเขาจะกดช่องผิดหรือจะดูรายการอื่นที่ฉายเวลาอื่นแต่กลับไม่ใช่เมื่อเจ้าตัวหน้าตาจริงจังเพ่งดูในทีวิอย่างเอาเป็นเอาตายจนผมยิ้มแหยงๆออกมาอย่างเปิดเผย


เสียงปล่อยพลังใส่กันของตัวละครในหนังก็ดำเนินไปเรื่อยในหัวผมก็คิดวนเวียนไปมาจนยุ่งเหยิงไม่ต่างกัน


หน้าโหดๆดูหนังจีนกำลังภายใน….


ช่างไม่เข้ากันเสียจริงๆ


“พวกเจ้า! ไปฆ่ามัน!!” ตัวร้ายหญิงในเรื่องแผดเสียงดังจนผมเองยังสะดุ้งโหยงตาม


อีกคนที่นั่งบนโซฟาเดียวกันเหมือนจะรับรู้จากแรงสะเทือนจากโซฟาเผยยิ้มบางๆออกมาจนผมอึ้งไป ก่อนที่ซีนจะเขยิบมานั่งใกล้ๆผม


“เพียวกลัว?”


หนังมึงน่ากลัวมากบอกเลย...หน้ากลัวตรงเสียงตัวร้ายนี่แหละแผดทีแก้วหูเกือบแตก


โว้ย!


“ชอบหนังแนวนี้เหรอ”


“ไม่”


อ่าว...แล้วดูทำไม


“อ้าว” เห็นผมทำหน้าไม่เข้าใจเข้าไปอีกฝ่ายจึงเอ่ยตอบ


“พ่อเปิดดูทุกวัน เลยติด” ผมพยักหน้างึกหงักแสดงความเข้าใจ รับอิทธิพลจากพ่อแม่สินะ


สมัยเด็กๆผมก็เป็นนะ เห็นแม่แต่งหน้าเลยแอบหยิบลิปสติกเอย มาสคาร่าเอย อาแชโดว์เอย มาเล่นจนพังมิเป็นท่าไปหมด จำได้ว่าตอนนั้นถูกตีก้นลายพร้อยเลย


เป็นความทรงจำที่น่าคิดถึงจริงๆ


ดูไปดูมากลับเป็นผมเองที่เริ่มค่อยๆอินกับตัวหนังมากขึ้นเรื่อยๆ เรื่อยๆจนลืมโลกภายนอกไปหมดสิ้นสนใจเพียงหนังที่ฉายตรงหน้าเพียงเท่านั้น


“เพียว” เสียงจากเจ้ายักษ์ข้างก็ไม่ได้ทำให้ผมสนใจได้เลย


“เพียว”


“อืมมม” ผมลากเสียงยาวอย่างรำคาญ สายตายังทอดมองจดจ่อกับหนังอยู่ไม่เลิกรา


“ชอบเหรอ”


“อืมมมมมมมม” ลากเสียงให้ยาวกว่าเดิมเพราะหวังว่าเจ้ายักษ์จะยอมเลิกกวนกันเสียทีแต่กลับไม่ใช่แบบนั้นเพราะผมเริ่มรับรู้ได้ถึงแรงกอดจากอีกฝ่าย


เหลือบมองไปยังแขนของอีกฝ่ายบัดนี้โอบรอบไหล่ผมเป็นที่เรียบร้อยแถมยังออกแรงดันให้ผมเข้ามาใกล้ชิดกับเจ้าตัวอีกด้วย


“ซีน ทำอะไร” ผมหย่นคิ้วหันหน้าไปถามอีกฝ่ายที่ระยะห่างของเราสองคนห่างกันเพียงไม่เท่าไหร่


เขยิบไปใกล้อีกนิดหนึ่งคงจะติดหนึบกันเลยด้วยซ้ำ


“กอดเพียว”


“เออรู้แล้ว แต่กอดทำไม” อีกฝ่ายเงียบไม่มีแม้แต่การตอบสนองใดๆกลับมา ผมถึงได้รู้ตัวว่าได้เอ่ยคำอะไรไม่ถูกใจอีกฝ่ายไปหรือเปล่า ช้อนตามองเจ้ายักษ์ข้างๆก็เห็นแววตาดุๆนั่นนิ่งไปใบหน้าเรียบเฉยไร้การแสดงออกใดๆเล่นเอาผมชักหวาดๆ


“เอ่อ...ซีนทำไมถึงกอดล่ะ?” ผมพยายามเรียบเรียงคำพูดให้มันดูสวยหรูและดูดีมีระดับขึ้นมานิดหนึ่ง พยายามคุมเสียงไม่ให้สั่นตัวไม่ให้หดในการพูดออกมา


บรรยากาศนี้มันอะไร...ทำไมน่ากลัวแบบนี้


ฮือ....


“เพียวบอกว่าชอบ” คราวนี้เหมือนได้ผลเจ้าตัวยิ้มพราย ใบหน้าบึ้งตึงดูหน้ากลัวนั่นดูมีเสน่ห์ยิ่งกว่าเดิมแววตาดุเริ่มอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด ผมเงอะงะทำอะไรไม่ถูก


อา...เพราะอินกับหนังจีนเกินไป


เลยทำให้ผมไม่ทันได้สนใจว่าเขาเรียกผมในตอนนั้นเพราะอะไรสินะ


เอาไงดี ไปไม่ถูกเลย


“เดี๋ยว...กูจะไปอาบน้ำ” ผมลุกขึ้นกะทันหันทำให้อีกฝ่ายที่คลายแรงลงกะทันหันไม่ทันได้ตั้งตัวจับผมเอาไว้ “ดูไปก่อนเลยนะ”


ผมร้อนรนรีบวิ่งหนีเด็กเลือดผสมเข้าไปในห้องนอนลงกลอนหนาแน่น ปรี่เข้าไปหยิบผ้าเช็ดตัวเข้าห้องน้ำอย่างไวว่อง


ผมมายืนจ้องตัวเองอยู่หน้ากระจก ในเวลานี้ใบหน้าผมเริ่มแดงระเรื่อถึงจะไม่แดงมากแต่ก็แดงขึ้นกว่าปกติ หน้าร้อนผ่าวๆบวกกับอารมณ์ที่บอกไม่ถูก ผมส่ายหน้าไปมาเปิดน้ำจากฝักบัวสาดใส่ตัวเองยืนนิ่งสงบสติสงบใจอยู่สักพักใหญ่ๆก็จะเตรียมตัวเตรียมใจเปลี่ยนเสื้อผ้าอีกรอบออกมาพบกับคนผิวแทนด้านนอก


เด็กเลือดผสมใสชุดนักเรียนตอนนี้ปิดทีวีให้เรียบร้อยย้ายตัวเองมานั่งทางโต๊ะทานอาหารแทน เจ้าตัวกำลังก้มหน้างุดดูเหมือนจะกำลังทำการบ้านอยู่


ก็...เด็กนักเรียนนี่นะ


ด้วยความอยากรู้อยากเห็นตามประสาทำให้ผมเดินเข้าไปจ้องมองอีกฝ่ายใกล้ๆ แอบย่องเข้าไปด้านหลังเพื่อที่จะแอบดูโจทย์การบ้านที่เจ้าตัวกำลังทำอยู่


“เพียว” ผมสะดุ้งโหยงเกือบตะเบ่งเสียงอุทานออกไปแล้วแต่รู้ตัวทันจึงรีบตะครุบเข้าที่ปากของตัวเองเอาไว้ก่อน


ซีนไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรมากมายเพียงแค่เลิกคิ้วเป็นเชิงสงสัยผมในตอนนี้มากกว่า


“อาบน้ำเสร็จแล้ว...”


“....”


เอ่อ...


“ออกมาเห็นมึงก็ก้มเงยๆ สงสัยเลยมาดู”


เป็นการสนทนาที่มีเพียงผมพูดอยู่ฝ่ายเดียวโดยคู่สนทนาเอาแต่จ้องหน้าไม่เลิกลูกเดียวเล่นเอาผมเอ่ยติดๆขัดไปบ้าง บรรยากาศรอบข้างเริ่มเงียบเพราะไม่ได้เปิดแม้กระทั่งทีวีจะมีเพียงแค่เสียงลมดังมาหวิวๆเท่านั้น


อา...


เงียบจัง


“นั่งซิ” ซีนตบเบาๆที่เก้าอี้ตัวข้างๆเป็นเชิงให้ผมนั่งลงข้างๆเจ้าตัว ผมก็ยอมทำตามแต่โดยดีโดยนั่งลงข้างๆอีกฝ่ายชำเลืองดูการบ้านของเขา


“การบ้านคณิตเหรอ”


“อือ” ซีนส่งเสียงนำคอเป็นการตอบกลับ


คณิตฯสินะ เป็นความทรงจำที่ไม่น่าคิดถึงเท่าไหร่เลย มาเรียนมหาลัยพวกคณิตฯทั้งหลายที่เรียนมาจนแทบจะยัดเข้าสมองกลวงๆของผมไม่ไหวนั้นก็แทบจะไม่ได้ใช้เสียเท่าไหร่เลย


เลยหลงๆลืมๆโยนทิ้งไว้ให้คุณครูไปหมดแล้ว


ปัจจุบันนี้จะหารค่าหมูกระทะกับเพื่อนยังคงต้องพึงเครื่องคิดเลข...ด้วยความกลัวโดนโกงแต่โง่คนิตฯ


นับเป็นความอนาถาอย่างหนึ่งในชีวิต


เห็นอีกฝ่ายนั่งนิ่งนานผมเลยเขยิบเข้าไปใกล้ก็หมายจะช่วยเหลืออีกฝ่าย ในความคิดว่าที่เจ้ายักษ์เด็กนิ่งไปเพราะไม่เข้าใจกับโจทย์ตัวนั้น


“ตัวนี้ใช่สูตรเดียวกับ (a + b)2 รึเปล่า ที่มันแยกได้(a2 + b2) ไง” ผมชี้ไปยังโจทย์ที่อีกฝ่ายทำค้างพยายามเสนอความคิดสอนให้อีกฝ่ายเข้าใจ แต่พอเงยหน้าขึ้นไปมองคนผิวแทนกลับขมวดคิ้วหนักกว่าเดิม


“เพียว”


“หืม”


“มันผิด”


“ผิดยังไง ก็กำลังสองมันก็กระจายเข้าไปในวงเล็บไง” ผมแย้งอีกฝ่าย ผมโตกว่าอีกฝ่ายนะเรียนมาเยอะกว่าด้วยซ้ำถึงจะหลงๆลืมและโง่คณิตฯขนาดไหนก็เถอะ


“สูตรแบบนี้มันจะแยกเป็น a2 + 2ab + b2” ที่แทบจะเป็นประโยคแรกที่ซีนพูดยาวพร่ำเพื่อกับผมและเป็นประโยคแรกที่เขาตอกผมหน้าแทบหงาย


ไม่ใช่แทบหงายสิ


ฝังจมดินไปแล้วมากกว่า


“เรียนตั้งแต่ม.3”


ตอกให้ลึกยิ่งขึ้นไปอีก


ยอมรับแล้วครับว่าโง่คนิตฯ ฮืออออออ


“อะ....” ผมอ้ำๆอึ้งๆไม่รู้จะตอบอีกฝ่ายอย่างไรดี สีหน้าเริ่มเหยเกขึ้นเรื่อยๆแถมยังต้องมาอับอายให้เด็กมัธยมสอนพวกเลขให้อีกด้วย


ผมก้มหน้างุดไม่กล้าสบแววตาดุๆคู่นั้น แต่กลับมีสัมผัสแผ่วๆเกิดขึ้นบริเวณศีรษะลูบไปมาอย่างเบามือบ้างก็หยุดและลูบทวนไปมาเบาชวนให้ผ่อนคลาย


ผมค่อยๆเงยหน้าขึ้นก็พบกับเจ้าเด็กเลือดผสมกำลังใช้มือใหญ่ของตัวเองลูบหัวไปมาเหมือนเด็กน้อยอยู่


“ไม่เอา กูโตแล้ว” ผมประท้วงถึงจะอับอายไปเมื่อครู่แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะให้อีกฝ่ายปลอบโดยการแสดงท่าที่ว่าผมเป็นเด็กแบบนี้นะ


“น่ารัก”


“หะ...”


“เพียว”


“...”


“น่ารัก”


และคนผิวแทนก็ระบายยิ้มพรายเล็กๆออก นั่นยิ่งทำให้ใบหน้าผมยิ่งร้อนผ่าวๆบวกเพิ่มขึ้นมาคืออาการโหวงบริเวณท้องน้อยแปลกๆ


ฮือ....


เกิดมาไม่เคยเสียชาติเสือขนาดนี้เลย


กลับตัวกลับใจเกิดเป็นแมวร้องแง้วๆข้างเตียงตอนนี้ทันไหม?








ขอโทษที่หายไปนานนะคะ ช่วงนี้เราดาวน์มากๆจากเหตุการณ์ที่ผ่านมา ทั้งช็อคทั้งดาวน์ไปพร้อมกัน


อารมณ์มันดิ่งอยู่นานมากๆ เขียนนิยายไม่ออกจริงๆค่ะ


ต้องขอโทษด้วยยจริงๆ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-12-2017 11:12:23 โดย แก้วกระจก »

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
ได้กลิ่นอมตะมาแต่ไกล..ขออนุญาตแก้คำผิด คนิต เป็น คณิต นะจ๊ะ
ปล.หัวอกเดียวกัน จับมือกันเเน่นๆ แล้วซับพอร์ตหนุ่มๆให้ผ่านเรื่องนี้ไปให้ได้เน๊อะ จากชนว.คนหนึ่ง

ออฟไลน์ แก้วกระจก

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 25
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-1
#4


เมื่อคืนนี้ซีนไม่ได้ค้างที่บ้านของผม พอตกดึกหน่อยเจ้าตัวก็ขอตัวกลับบ้านกลับช่องของตัวเองและหลังจากวันนั้นเรื่อยมาจนถึงวันนี้ก็เกือบอาทิตย์แล้วที่ซีนไม่มีแม้กระทั่งเงาให้ผมได้เห็นบ้างเลย


พอไปเล่าให้ไอ้วิทย์ฟังมันก็เอาแต่พร่ำบอกว่า ‘ดีแล้วๆ’ ลูกเดียวไม่ได้สนใจบริบทใดอื่น


หน้าหมั่นไส้จริงๆ


แล้วทำอย่างไรได้เมื่อเจ้าตัวไม่โผล่หน้ามาให้เห็น ผมก็ต้องปล่อยไปเหมือนกัน ทำอะไรไม่ได้อยู่แล้ว ถึงจะรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่


รู้สึกแปลกนิดๆที่ไม่ได้เห็นหน้าดุๆนั่น


เจ้าเด็กเลือดผสมนั่นเล่นของใส่ผมหรือเปล่านะ?


“มึงไปแดกขนมเบื้องโรงเรียน M กันป่ะ” ไอ้วิทย์ที่เดินตามหลังผมอยู่เดินแซงขึ้นมาเอ่ยชวน


“แค่ขนมเบื้องถ่ออะไรไปถึงโรงเรียน M แถวๆนี้แดกไม่ได้ไง๊”


“เอ้า! มันเด็ดไง” ผมขมวดคิ้วย่นเมื่อได้ยินคำพูดที่ดูจะใส่จริตปกปิดนัยน์แท้ๆของอีกฝ่ายอยู่


“อะไรเด็ด” ผมหลอกถาม


“เด็ก เอ้ย! ไม่ใช่ๆ” ไอ้วิทย์หันมาส่ายหน้าใส่ผมขวับๆแต่เป็นผมที่อดจะยิ้มแหย่มันไม่ได้ “มึงทำกูไขว้เขว”


“อ๋อ เหรอ”


“เออ!!” ผมหัวเราะรวนเมื่อเห็นอากัปกริยาหัวเสียเอาเรื่องของเพื่อนสนิท


“ตกลงจะไปไหม” ผมถามอีกครั้ง


“ไปดิ่!”


สุดท้ายผมกับไอ้วิทย์ก็ต้องดั้นด้นกันมาจนถึงแถวๆโรงเรียน M แถมผมกับมันยังเถียงกันระหว่างทางเพราะเดินมาแบบนี้ใช่ว่าจะใกล้ๆไอ้วิทย์มันเกือบจะแปลงร่างบินแล้วด้วยซ้ำ ดีเท่าไหร่ที่ผมห้ามมันทัน


“เหนื่อยชิบหาย” ไอ้วิทย์บ่นอุบอิบ


“มึงบอกเองว่าอยากกิน”


“ก็กูอยาก”


“งั้นก็ทนๆไปเลย” ผมกระทุ้งศอกเข้าที่สะบักซ้ายของเพื่อนสนิทจนเจ้าตัวสะดุ้งโหยงจิ๊ปากไม่พอใจใส่


“ไอ้เพียว!!”


“หึ” ผมหันไปยิ้มอย่าผู้ชนะใส่มัน แหงล่ะ เรี่ยวแรงผมมีกว่ามันตั้งมากมายไอ้วิทย์ก็แค่นกฮูกตาโปนๆเท่านั้นจะไปมีแรงสู้อะไรกับผู้ล่าอย่างผมได้


“เพียว..” เสียงคุ้นหูดังขึ้นไม่ใกล้ไม่ไกลแต่ผมได้ยินมันแบบผ่านๆไม่ชัดเจนนักจึงหันไปถามเพื่อนสนิทที่กุมสะบักตัวเองด้านหลัง


“มึงเรียกกูป่ะ”


“ไม่” ไอ้วิทย์ยังทำหน้ามู่ทู่ใส่ผมอยู่อีแบบนี้เห็นทีจะไม่ใช่เจ้าตัวอย่างที่เอ่ยปากจริงๆ


แล้วเสียงของใคร...


ผมหันหน้าสำรวจไปมาทางขวาและซ้ายและสายตาก็ต้องหยุดนิ่งลงเมื่อสบกับดวงตาดุดัน ใบหน้าคมเข้มที่แสนจะหน้ากลัวบวกกับผิวสีแทนนั่นอีก


ซีน...


“ซีน” ผมเอ่ยชื่ออีกคนเสียงแผ่วจนไอ้วิทย์ต้องเอ่ยถาม


“ใคร”


“เพียว...นั่นใคร” ซีนเดินเข้ามาใกล้คิ้วเรียวสวยนั่นขมวดเข้าหากันเป็นปมแน่นยิ่งทำให้ใบหน้าดูถมึงทึงเข้าไปอีก


“เพื่อน” และทำไมผมต้องเสียงสั่นขวัญผวาแบบนี้ด้วย เหมือนกับในหนังที่ภรรยาออกมาหากิ๊กแล้วสามีแม่งจับได้ไม่มีผิดเลย!


แล้วโพชิชั่นกูนี่เหมือนตัวภรรยาอ่ะ


!!!


“อืม” เสียงเรียบๆที่ปกติมักจะดุๆอยู่แล้วครานี้กลับเพิ่มทวีขึ้นความหน้ากลัวขึ้นมาอีกจนอยากจะควักหัวใจตัวเองออกมาปลอบประโลมเสียซะให้หายตื่นกลัว


“เอ่อ...เด็กม.ปลายถูกไหม” ขนาดไอ้วิทย์ที่ว่าสูงกว่าผมแล้วยังต้องเงยหน้ามองเจ้ายักษ์เลือดผสมตรงหน้า หากไม่ติดว่าอยู่ในเครื่องแบบนักเรียนคงไม่ต่างจากพวกมาเฟียเมืองนอกเลยแน่ๆ


“อะเออ” ผมเหลือบไปมองดวงหน้าเพื่อนสนิทที่บัดนี้แถบจะซีดเซียวแข่งกับไก่ต้มเรียบร้อย มุมปากกระตุกจนผมเห็นได้ชัดเจ้าตัวหันมามองหน้ากับเหมือนพยายามส่งซิกอะไรบางอย่าง


“มาทำอะไร” เสียงของเด็กมัธยมแทรกขึ้นทำเอาเด็กมหาลัยอย่างพวกผมสะดุ้งเฮือกไปตามๆกัน


“พาเพื่อนมาซื้อขนมเบื้องแถวๆนี้” ผมพยายามปั้นหน้ายิ้มพรายใส่คนตัวสูงกว่า แต่เหมือนจะไม่ได้ผล ไม่ได้ทำให้บรรยากาศดูหวานชื่นขึ้นสักนิดหนึ่ง


“มึงๆ กูไม่แดกแล้วนะ”


“ห๊ะ” ผมหันไปอุทานด้วยความตกใจใส่หน้าไอ้นกฮูกที่ตอนนี้เหมือนวัยเด็กในช่วงผลัดขน ถ้าผลัดออกทั้งตัวได้ในตอนนี้รับประกันเลยว่าขนไอ้วิทย์ไม่เหลือแม้แต่เส้นเดียวแน่นอน


“กูกลับละนะ บายจ้า”


จ้าพร่อง!


แม่งบินหนีกูไปแล้ว!


“อยากกินขนมเบื้อง?” เสียงที่ดูอ่อนลงของคนตรงหน้าทำให้ใจผมที่เต้นระทวยเริ่มทำงานน้อยลง


“อะอือ”


จริงไม่ได้อยาก แต่ไอ้นกฮูกตาขาวนั่นมันอยาก


“ไปกัน” ว่าแล้วเจ้าเด็กเลือดผสมก็คว้ามือผมไปจับเอาไว้จูงผมแล้วเดินนำออกไป


มือเขาใหญ่กว่าผมจนกุมมือผมได้ทั้งมือเลย ในขณะที่มือผมเย็นเชียบมือเขากับอุ่นๆเหมือนจะคอยมอบไออุ่นให้กับมือของผม


“เรียนอยู่โรงเรียนนี้เหรอ” ผมเอ่ยถาม


“อือ”


เจ้าตัวพยักหน้างึกหงัก ผมรีบเดินตามอีกฝ่ายจนเราทั้งสองเดินขนาบข้างกันเหมือนเจ้าไลเกอร์ตัวใหญ่จะรู้ทันจึงลดความเร็วของตัวเองลงให้เท่าๆกับผม


มาถึงร้านขนมเบื้องที่ว่าซีนจัดการสั่งให้ผมเสร็จสรรพรอสักพักก็ได้ขนมเบื้องรวมไส้มาหนึ่งถุงสี่สิบบาท ในขณะที่ผมกำลังจะยื่นเงินให้กับลุงคนขายก็มีอีกมือคว้าหมับที่มือผมเอาไว้และยื่นตังเข้าไปจ่ายแทนเอง


“เห้ย! ไม่เอาดิ่กูจ่ายเอง” ผมขึ้นเสียงใส่อีกฝ่ายซึ่งเจ้าตัวแค่ทำหน้าท่าทางเฉยๆเรียบๆเหมือนไม่มีไรเกิดขึ้น “ไอ้ยักษ์!”


คราวนี้อีกฝ่ายหันมาเลิกคิ้วแสดงสีหน้าตกใจเสียเต็มประดาในขณะที่ผมใช้มือทั้งสองปิดเข้าที่ปากพร่อยๆของตัวหมับ


เผลอพูดสิ่งที่คิดออกไปแล้ว...


เวรกรรม..


ผมช้อนตามองอีกฝ่ายในตอนนี้เจ้ายักษ์ดั่งที่ผมว่ากลับเผยรอยยิ้มเล็กๆที่ดูจะขัดกับลุคและคาแรคเตอร์เจ้าตัวเสียเต็มๆ


“กับตัวเล็ก” เสียงแผ่วๆทุ้มๆเอ่ยขึ้นมาเบาถึงคนอื่นๆแถวนั้นจะไม่ได้ยินแต่สำหรับผมแล้วนั้น ได้ยินเต็มสองหูเลยทีเดียวเล่นเอาผมทำตัวไม่ถูกเลิกๆลั่กๆหยิบขนมเบื้องมากินแก้เก้อ


“ไม่ใช่ตัวเล็ก เป็นเสือ” ผมเถียงเบาๆเพราะกลัวอีกฝ่ายจะแปลงเป็นไลเกอร์และตะปปก้านคอตายเอา


“ลูกแมว”


“ซีน!” อีกฝ่ายแย้งมาแบบนั้นผมจึงเรียกชื่อเจ้าตัวอย่างประท้วงๆเล็กกลับ จนอีกฝ่ายเผยยิ้มอีกครั้งแต่คราวนี้คงเป็นยิ้มกว้างที่ดูดีสุดๆ


“ไปไหนต่อ” เจ้าไลเกอร์ตัวใหญ่ถามขึ้น


“ไม่รู้


ไม่พูดพร่ำทำเพลงต่อใดๆซีนก็คว้ามือผมไว้โดยมีอีกข้างของผมก็ล้วงหยิบขนมเบื้องในถุงมากิน เจ้าตัวออกแรงดึงเล็กน้อยให้ผมเดินตามไปโดยเส้นทางนั้นเลยจากทางเดิมที่ผมเดินมากับไอ้วิทย์ไปอีกทาง


จะไปไหน


เดินมาค่อนข้างนานพอตัวคนตัวสูงที่จูงผมเดินนำมาก็หยุดเสียดื้อๆ จนผมที่เดินกินขนมเบื้องอยู่ด้านหลังต้องขมวดคิ้วสงสัย


“หยุดทำไม”


ซีนยังคงนิ่งอยู่อย่างนั้น สายตาของเขาทอดมองไปยังด้านหน้าทำให้ผมชะโงกหน้าไปดูตามเจ้าตัว


ฝูงแมว


ดูเหมือนจะเป็นพวกแมวจรจัด อยู่กันเป็นฝูงค่อนข้างใหญ่เลยด้วย


แต่...หยุดทำไมอ่ะ?


“ซีน” ผมตัดสินใจเรียกชื่อพร้อมเขย่าแขนเจ้าตัวเล็กๆเรียกสติ แต่ถึงกระนั้นเจ้าลูกสายเลือดผสมก็ยังนิ่งเฉยแต่กลับเริ่มเผยสีหน้าแปลกๆออกมา


คิ้วสวยขมวดเป็นปม ยิ่งทำให้หน้าดุดูทมึงยิ่งขึ้นไปอีก


“แมวจรจัด”


“อืม ใช่” แค่เห็นก็รู้แล้ว


“เป็นอมนุษย์”


“อืม”


“ช่วยที” คำพูดแผ่วเบาจนแทบจะกลืนเป็นเสียงกระซิบของซีนทำเอาผมเหวอกินไปหลายวิ


ช่วย...ช่วยอะไร


“ห๊ะ... ไม่เข้าใจซีน”


“เจ้าประจำมาแล้ว” เสียงกวนบาทาลอยมาแต่ไกลจากด้านหน้ามันมาจากเจ้าแมวสฟิงซ์หนังเหี่ยวย่นตามสายพันธ์ของมัน ว่าพร้อมกับแสะยิ้มแบบแมวๆมาให้


ส่วนเจ้ายักษ์ข้างๆผมก็ยืนนิ่งเป็นศิลาแลงมันอยู่ตรงนี้ ไร้การตอบสนองใดๆอีก


อะไรวะเนี่ย!


“ยังไม่เข็ดสินะ” เสียงของแมวขนสีดำตัวข้างๆกันเอ่ย


“สงสัยต้องจัด” เจ้าแมวสฟิงซ์ที่ยืนนำหน้าเอ่ยอย่างนั้น เจ้าพวกนี้ไม่รู้จักกฎของโลกนี้รึไงนะ กลางวันแสกๆแถมยังกลางกรุงขนาดนี้ถึงจะอยู่ตามตรอกซอยมันก็อันตราย


กฎของอมนุษย์น่ะรู้จักบ้างไหมเจ้าเหมียว!


“เหมียว!!” ยังไม่ทันได้สูดลมหายใจจนเต็มปอดเจ้าอมนุษย์แมวจรจัดทั้งหลายก็กระโดดรุมใส่พวกผมตามเจ้าแมวสฟิงซ์


“เฮ้ย!! อันธพาลนี่หว่า!!” ผมว่า


“หึ เด็กของไอ้เวรนี่หรอ” เจ้าแมวสีดำตัวเก่าว่าพลางค่อยๆเดินเข้ามาใกล้ผมทีละนิด


ผมจิ๊ปากขัดใจหันไปมองลูกครึ่งเลือดผสมที่ตอนที่หน้าดูจะอมทุกข์อย่างที่ผมไม่เคยเห็น


เฮ้ย! ไม่คิดจะทำอะไรหน่อยเหรอ นี่เรากำลังโดนรุมอยู่นะ


ที่สำคัญเหมือนมันจะรู้จักซีนมาก่อน


“เพียว...ช่วยที” เสียงที่แทบจะไม่ได้ยินนั่นทำเอาผมคิ้วกระตุก ความหงุดหงิดในหัวเริ่มถาโถมเข้ามา


ตัวก็ใหญ่กว่าไอ้พวกแมวอันธพาลนี่บานโข แต่กลับบอกให้ผมช่วย


“จัดมันเลย!!!” เสียงของแมวสฟิงคซ์เรียกพวกของมันอีกเป็นสิบกว่าตัวด้านหลังเริ่มกระโดดเข้าใส่พวกผมอีกครั้ง


สงครามสายพันธ์แมวเริ่มแล้ว!


“เออ เข้ามา!!!” เพราะไร้หนทางจะหลีกหนีแล้ว ส่วนไอ้คนที่พามทางนี้บัดนี้ก็ยืนนิ่งเป็นมหาหินศิลาแลงไปเรียบร้อยจนทำให้ผมต้องตัดสินใจสู้กับเจ้าอมนุษย์แมวตัวกระเปี้ยกแต่พวกเยอะพวกนี้


“กรรรจ์!!!” พริบตาผมก็กลายร่างตัวเองเป็นเสือ ถึงจะดูผิดกฎไปบ้างทีต้องมากลายร่างกลางวันแสกๆแต่ตอนนี้ต้องป้องกันตัว คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง...


ผมกระโจนเข้าใส่พวกฝูงแมวอันธพาลจนพวกมันกระเด็นกระดอนไปตัวละทิศตัวละทาง จากนั้นจึงค่อยกระโดดกลับมากันด้านหน้าให้กับเจ้ายักษ์เด็กที่ยืนนิ่งอยู่นั่น


“อมนุษย์เสือ!!!” เสียงจากแมวตัวใดตัวหนึ่งในฝูงดังขึ้น


“หน็อย!! เรียกพวกมาหรอแก!!!” เจ้าแมวสฟิงซ์กัดฟันกรอดก่อนพริบตากลายร่างเป็นมนุษย์ดั่งเดิม เจ้าตัวไม่สูงมากนักแต่ร่างกายผอมโซสวมเสื้อสีขาวแขนยาวขาดวิ่นตัวหลวมจนคอเสื้อตกถึงไหล่สภาพค่อนข้างมอมแมมพอตัว ผมยาวลากไซร้มาถึงต้นคอ


เจ้าตัวแสดงสีหน้าไม่พอใจ กัดฟันจนแน่น ดวงตาหาเรื่องที่ไม่คิดจะปิดบังไว้


“ไอ้ซีน! มึงจำใส่กะโหลกเอาไว้เลย! มันจะไม่จบแค่นี้!!!” จากนั้นเจ้าตัวก็กลับร่างเป็นแมวสฟิงซ์กระโดดเข้าไปพวกของตนด้านหลัง


“พวกมึง! กลับ!!” จากนั้นพวกแมวทั้งหลายก็สลายตัวในพริบตา


.....


อะไร แค่นี้เหรอ...


พวกนั้นก็ไม่ได้น่ากลัวอะไรนี่นา


“ซีน..” ผมเรียกชื่อคนเด็กกว่าหลังจากกลับมาร่างมนุษย์แล้ว


“มันน่ารัก”


หะ....


“เลยไม่กล้าทำอะไร” เจ้าไลเกอร์ตัวโตถอนหายใจพลางหลับตาลงเหมือนข่มอารมณ์ สีหน้าดูหม่นลงกว่าเดิม


“หมายความว่ายังไง” ผมยังไม่เข้าใจคำพูดของคนตรงหน้าอยู่ดี


“ไม่กล้าทำอะไร แมวพวกนั้น” ซีนค่อยๆพูดออกมา


“เพราะ”


“มันน่ารัก”


ไปไม่ถูก ไปไม่เป็นเลยครับ


เกิดมาเป็นอมนุษย์เสือก็สิบๆปีแล้วก็เพิ่งเคยเจออะไรแบบนี้นี่แหละ


อ๋อ หรือว่าในตอนที่ผมจอเขาครั้งแรก ที่บอกว่าโดนอมนุษย์แมวไล่ข่วนคือ...


แบบนี้เองหรอกหรอ


เพลียแทน


“เพียว” คนตรงหน้าเรียกชื่อผมแผ่ว ตอนนี้ไร้ความน่าเกรงขามแล้ว ใบหน้าดุๆนั่นดูอ่อนลงทันทีกลายเป็นลูกแมวตัวเล็กไปแล้ว


นี่กลัวแมวหรือไม่กล้าทำอะไรแมว


ขอชัดๆที เอาให้เคลียร์ด้วยนะ


“ไปเถอะ” จู่ๆเจ้ายักษ์ผิวแทนก็คว้าขอมือผมเอาไว้แล้วลากผมไปอีกครั้ง ผมทำอะไรได้อีกล่ะนอกจาลอบถอนหายใจพลางๆไป


แต่เดี๋ยว ขนมเบื้องผมล่ะ


ผมหันหน้าซ้ายขวามองหาขนมของตัวเอง


นั่นไง ถุงขนมเบื้อ....แม่งเละ!!!!


ใคร! แมวตัวไหนทำขนมเบื้องกูเป็นแบบนี้!


พ่อจะตะปปให้หน้าเละ!!!


ระหว่างเดินอยู่คนตัวสูงข้างๆก็เอ่ยปากขึ้น


“ขอโทษ”


“หืม” ขอโทษอะไร


“เพียว ขอโทษ”


“ขอโทษทำไม” ผมถามเจ้าตัวที่เอาแต่ก้มหน้าเงียบ ผู้ชายในชุดเครื่องแบบนักเรียนก็เดินนำหน้าเงียบๆไร้การตอบกลับใดๆ


อะไรเนี่ย


“ทำอะไรไม่ได้”


“มันแค่แมวซีน” โอเค เข้าใจที่พวกผู้หญิงชอบบอกกันแล้วว่า ผู้ชายตัวใหญ่มักมีเรื่องที่Sensitiveง่าย อ่อนไหวแรง ไม่เหมือนตัว


แต่นี่ก็Sensitiveแรงเวอร์วังไป


ไหงไม่เหมือนเมื่อตอนเลิกเรียนวะ


มีสองคนในร่างเดียวหรอ


“อืม”


“นี่กลัวแมวจริงดิ่” ผมรีบวิ่งไปนำหน้าเจ้าเด็กตัวโตแต่กลับSensitiveแรงผิดกับขนาดตัว ซีนไม่ได้พยักหน้ายอมรับหรือส่ายหน้าปฏิเสธ เจ้าตัวแค่มองหน้าผมนิ่งๆอยู่อย่างนั้น

“อะไร มองทำไม” ผมถาม


“มันน่ารัก” ซีนพูดออกมาเสียงเรียบ บรรยากาศเริ่มกลับมาเป็นตัวเขาทีละนิด


“ก็เลยไม่กล้าทำอะไรว่างั้น” คราวนี้เจ้าตัวพยักหน้ารับ


โอเค


ครับ


ทาสแมวนี่เอง


“กลัวมันเจ็บ”


ทาสแมว2018


“เฮ้อ...จริงๆเลย” ผมถอนหายใจ ถึงตัวจะใหญ่ สายเลือดในตัวจะหน้าเกรงขามขนาดไหน


แต่ใจก็ไม่ต่างจากเด็กวัยเดียวกันนักหรอก


จุ๊บ


“!!!!!” ผมเบิกตากว้างสู่ไข่ห่าน เมื่อคนผิวเข้มโน้มตัวลงมาประกบปากเข้าปากของผม เพียงเสี้ยววิที่ผมเผลอตัวแล้วเจ้าตัวก็ละออกไป


“นี่ก็แมว แต่ตัวใหญ่กว่าหน่อย”


ผมอ้าปากกว้างกะจะด่าเจ้าตัวเลือดผสมนี่ซะให้หูชาว่าอยู่มาทำอะไรแบบนี้กลางที่สาธารณะได้อย่างไร แต่ดูเหมือนซีนเขาจะเริ่มกลับมาเหมือนเดิมแล้ว ใบหน้าดุเข้มนั่นแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มบางๆที่ทำให้เจ้าตัวมีเสน่ห์เพิ่มขึ้น


นั่นเลยทำให้ผม...ไม่อยากที่จะด่าเขา


“แมวที่ไหน เสือต่างหาก”


ทำได้แค่พูดไปอย่างนั้น







ไม่นานนักซีนพาผมเดินมาถึงหน้าบ้านหลังใหญ่แห่งหนึ่งเจ้าตัวกดกริ่งประตูรั้วสักพักจึงมาคนเดินออกมาเปิดประตูพร้อมกล่าวกับเด็กอายุสิบแปดตรงหน้าผม


“กลับมาแล้วเหรอครับคุณซีน” ชายหนุ่มผมยาวที่มัดผมรวบเอาไว้ยิ้มให้กับซีน


“แขก” ซีนพยักหน้าทางผม ทางชายหนุ่มผมยาวก็ยกมือสวัสดีผมจนผมต้องรีบยกมือสวัสดีรับ


“ผมธาราเป็นเลขาฯส่วนตัวของท่านผู้นำของตระกูลเราครับ” ธาราแนะนำตัวอย่างเป็นมิตร


“ตระกูล..”


“ครับ ที่นี่เป็นตระกูลหลักของตระกูลสิงโตของทางเรา” ธารายิ้มอีกครั้ง


“เชิญเข้ามาก่อนเถอะครับ” ธาราผายมือเข้าไปทางด้านใน ซีนเดินเข้าไปแต่ก็ต้องหันกลับมามองผมที่ยังยืนนิ่งอยู่ตรงที่เดิม


เขามองผมนิ่งไม่ต้องถามผมก็รูว่าเขากำลังมองผมอยู่ว่าทำไมถึงไม่เดินตามเขาเข้าไป


นี่มันตระกูลสิงโต ตระกูลหลักเลยด้วย!


แล้วกูเป็นอะไร


กูเป็นเสือ!!!


คู่แข่งตระกูลมึงไง๊!!


จำกันไม่ได้เหรอจ๊ะ!!!


“ซีน” ผมเอ่ยชื่อเจ้าถิ่นที่บัดนี้เริ่มขมวดคิ้วเป็นปมอีกรอบ “นี่ตระกูลสิงโต”


“อืม ไม่เป็นไร”


“ไม่เป็นไรได้ยังไง กูเป็นเสือ” ผมเถียง


“เพียว” สายตาคมเริ่มส่อแววเหมือนจะดุผมอีกครั้งถึงน้ำเสียงจะยังอ่อนอยู่


ผมสะดุ้งโหยงเมื่อมือเจ้าตัวมาคว้าข้อมือผมอีกครั้ง


มือไวจริงๆเชียว


“สนิทกันดีนะครับ” ธารายิ้มให้ผมอีกครั้ง


“เอ่อ...” ทำไงได้ ผมก็ต้องยิ้มแห้งไปให้เขาเท่านั้น


“เข้าไปด้านในเถอะครับ ท่านหัวหน้ารอคุณซีนอยู่ท่านเป็นห่วงคุณมากๆเลยนะครับ” ธาราว่า


“อืม”


จบบทสนทนาธาราเดินนำพวกผมเข้าบานโดยมีซีนแลละผมเดินตามเข้าไป


เกิดมาไม่เคยคิดเลยว่า


ผมจะมาที่นี่


มาเหยียบบ้านตระกูลหลักสิงโต


แม่เจ้าโว้ย!


กลัวหางหดแล้วจ้า!!








กลับมาแล้วจ้าาาาาาา
ไม่ได้ทิ้งนะคะ แต่ด้วยเรื่องสภาพจิตใจของเราและเรื่องงานต่างที่ต้องสะสางให้เสร็จ
โต้รุ่งกันไปเป็นเดือนๆ เพิ่งผ่านการสอบมาปาดเหงื่อเลยจ้า
กลับมาอย่างเป็นทางการแล้วนะคะ ไม่ทิ้งแน่นอนแล้วจะพยายามอัพเรื่องที่เหลือด้วย


ปล.ตอนหน้าคาดว่าน้องเพียวจะจบแล้วล่ะค่ะ   :katai4:

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
น้องซีนน่าเอ็นดู เป็นทาสแมว มาตกหลุมรักเสืออ่ะดิ  :mc2: :mc2: :mc2:

ออฟไลน์ แก้วกระจก

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 25
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-1
#5


“พ่ออยู่ไหน” เดินเข้ามาภายในตัวบ้านใหญ่ได้สักพักซีนก็เอ่ยถามกับเลขาส่วนตัวของหัวหน้าตระกูลอย่างคุณธารา


“อยู่ในห้องทำงานครับ แต่ตอนนี้มีแขกจากตระกูลอื่นมาคุยธุระเลยต้องขอให้คุณซีนรอเวลาก่อน”


สมาชิกตระกูลสิงโตก็คุยกันไปโดยมีผมเดินตามด้านหลังทั้งสองคนอยู่ต้อยๆ แถมซีนยังจับมือผมไว้แน่นไม่ยอมปล่อยอีก คนอื่นๆที่เดินผ่านไปมาภายในบ้านก็มองตามเป็นตาเดียว


หากรู้ว่าผมเป็นคนจากตระกูลเสือละก็มีหวัง ถูกกระชากลากชีกจนไม่เป็นชิ้นเป็นอันถ่อสังขารกลับถึงบ้านแน่นอน


“ใคร”


“คนจากตระกูลหมาป่าครับ”


เจ้าไลเกอร์ตัวใหญ่ขมวดคิ้ว หยุดฝีเท้าลงจนทั้งผมและคุณธาราต้องหยุดตาม


“มาทำไม”


“เรื่องนั้นไม่ทราบรายละเอียดที่แน่ชัดครับ แต่ทางนั้นแจ้งมาว่าเป็นการติดต่อเรื่องธุรกิจของทั้งสองตระกูลครับ” คุณธาราแจ้ง


อา..ตระกูลอื่นทั่วไปถึงจะถูกจำกัดให้อยู่ในตระกูลนักล่าด้วยกันแต่ก็ทำธุรกิจค้าขายกันได้ คงจะมีแต่เสือและสิงโตที่ถึงแม้เรื่องราวในอดีตกาลก่อนจะจบลงแล้วแต่ทุกๆวันนี้ความสัมพันธ์ที่ไม่ลงรอยมาตั้งแต่คราวก่อนก็คงอยู่ให้เห็น


ถึงจะมีกฎเกณฑ์ของโลกอมนุษย์มาใช้ปกครองยังไงก็ไปด้วยกันไม่รอดอยู่ดีทั้งสองตระกูลสินะ


“อืม”


“เดี๋ยวสิครับ เข้าไปตอนนี้ไม่ได้นะครับ” คุณธาราปรามไว้แต่กลับไม่ทันการเสียแล้วเมื่อมือสีแทนของเจ้าลูกผสมเอื้อมไปเปิดประตูห้องที่ผมคาดว่าเป็นห้องผู้นำตระกูลสิงโตเรียบร้อยแล้ว


ซีนออกแรงดึงให้ผมเดินเข้ามาขนาบข้างตัวเองจนตัวผมเกือบเซล้มไป


“คุณซีน!” คุณธาราเอ็ดเสียงดังเมื่อเจ้าลูกชายผู้นำตระกูลอย่างซีนแทบจะไม่ฟังเสียงของเขาเลย


“อ้าว! เจ้าซีน” ผมเงยหน้าขึ้นภายในห้องตรงหน้ามีผู้ชายวัยกลางคนที่ดูแข็งแรงภูมิฐานนั่งอยู่บนโซฟาสีดำตัวใหญ่อีกฝั่งหนึ่งคือชายหนุ่มรุ่นราวคนละยุคกับผู้นำตระกูลแห่งนี้สิ้นเชิง


“เทวา?”


“ว่าไง เห็นคุณภาคินบอกไม่ยอมกลับบ้าน” เสียงนุ่มฟังสบายของชายหนุ่มร่างโปร่งที่นั่งอีกฝั่งของผู้นำตระกูลแห่งนี้เอ่ยทักเจ้าลูกผสมที่กุมมือผมไว้แน่น


“ทำไมพันวาไม่มา” ซีนขมวดคิ้วแน่น


“มาก็ได้เปิดศึกกับเราน่ะสิ” อีกคนว่าเรียบๆพลางลุกขึ้นพร้อมหันไปยิ้มพรายให้ผู้นำตระกูลที่นั่งตรงข้าม “งั้นหัวข้อวันนี้ของเราคงจบเพียงเท่านี้แล้วล่ะครับ ขอบคุณสำหรับความร่วมมือนะครับ”


“อา...เหนื่อยหน่อยนะเทวา”


“ไม่เท่าคุณภาคินหรอกครับ ขอตัวก่อน” ผู้มาเยือนกล่าวลากับผู้นำตระกูลสิงโตก่อนจะเดินออกจากห้องไปพร้อมกับบอกลาคุณธาราที่ยืนอยู่ข้างๆผม


“ขอบคุณสำหรับวันนี้นะครับคุณธารา”


“ครับ เดินทางปลอดภัยนะครับ” ธารายิ้ม


“เจ้าซีนก็อย่าดื้อมากนักล่ะ” เจ้าตัวพูดพร้อมโบกมือลาจากด้านหลังก่อนจะเดินออกจากบ้านหลักของตระกูลนี้ไป


“ว่าไงไอ้ตัวดี แล้วนั่นหิ้วใครมาด้วยล่ะ” ผมสะดุ้งโหยงเมื่อผู้นำตระกูลของที่แห่งนี้ซึ่งมีศักดิ์เป็นพ่อของเจ้าลูกผสมตัวใหญ่ข้างๆนี่เอ่ยถาม


“เพียว คนที่เลือก”


หะ


.....


“หืม” พ่อของซีนปรายตามองมาทางผมมองไล่ขึ้นตั้งแต่เท้าไปถึงศีรษะ “สวัสดี ฉันภาคินเป็นพ่อของไอ้ตัวแสบมัน ขอโทษด้วยนะลูกชายฉันคงรบกวนเธอหลายอย่าง”


“มะไม่หรอกครับ แฮะๆ” สมกับเป็นพ่อลูกกัน ถึงคนพ่อจะมีความใจดีอยู่บ้างแต่ออร่าความมาคุนี่ก็ไม่ได้แตกต่างกันเลย
รู้สึกเหมือนหัวจะหลุดออกจากบ่าอยู่ร่ำไร


“คุณภาคินขอโทษที่เสียมารยาทด้วยนะครับ” คุณธาราก้อมหัวขอโทษผู้เป็นผู้นำ


“เอาเถอะ เรื่องแบบนี้ก็บ่อยจนเป็นเรื่องปกติไปแล้ว” ผู้เป็นพ่อพูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่ายขนาดนั้นก็ยังส่งยิ้มมาให้


“เธอเป็นอมนุษย์สินะ สายพันธ์อะไรล่ะ”


“สะ...เสือ ครับ” ผมตะกุกตะกักตอบด้วยเสียงแผ่วเบาจนอีกฝ่ายหัวเราออกมาเล็กน้อย


“ไม่ต้องกลัวไปหรอก ฉันไม่ทำอะไรเธอหรอกนะ”


“อา...”


ช่วงนี้ก็เพิ่งจะหมดฤดูร้อนนะ อากาศก็ร้อนอบอ้าวแทบจะแห้งตายอยู่แล้ว แต่ทำไมเวลาอยู่ต่อหน้าครอบครัวนี้ถึงหนาวไปถึงยวงไส้แปลกๆวะ


ฮืออออ


แม่งเอ้ย


กลัวแล้วจ้า


 “พ่อ”


“อย่าเพิ่งพูดอะไร มานั่งก่อนสิ” ก่อนที่ไลเกอร์ตัวโตข้างๆผมจะได้เอ่ยปาก ผู้เป็นพ่อก็ปริปากแทรกขึ้นไว้ก่อน


ซีนพยักหน้ารับคำอย่างว่าง่ายพร้อมทั้งเดินเข้าไปในห้องดั่งเช่นคำเชิญของผู้นำตระกูล โดยเจ้าตัวก็ยังยื้อไม่ยอมปล่อยมือผมเสียที


ปล่อยเถอะ


ขอร้อง


ฮืออออ


“ว่าไงล่ะไอ้ตัวดี หายไปไหนมาเสียหลายวันไม่ยอมกลับบ้าน” คนอายุมากที่สุดภายในห้องแห่งนี้เปิดประเด็น


“อยู่คอนโด”


“ยังไม่ขายไปอีกหรือ”


“...”


“จริงๆเลย นิสัยนี้แก้ไม่หายสิท่า” ผู้เป็นพ่อผ่อนลมหายใจยาวเยียด “ต้องขอโทษเพียวจริงๆ ไอ้ตัวดีคงไปก่อปัญหาไว้มาก”


“มะไม่เป็นไรหรอกครับ แฮะๆ จริงก็ไม่มีปัญหาอะไรมากเลยด้วย”


ไม่มีเลยครับ


แค่อยู่ๆก็มานอนด้วยกัน


แถมยังแปลงเป็นไลเกอร์ให้ช็อคตาตั้งต่อหน้าต่อตา


มาอาศัยอยู่ในบ้านบ่อยๆ


ไม่มีปัญหาเลยครับ


ไม่มีจริงๆ!!


“แล้วนี่ลากเพียวเขามาด้วยแบบนี้ มีอะไรหรือเปล่า” คุณภาคินหรี่ตาลงมองลูกชายผิวแทนของเขา


“ไม่มี อยากให้มาเฉยๆ”


“เฮ้อ จริงๆเลยเด็กคนนี้” ดูเหมือนทางคุณพ่อก็คงเหนื่อยใจกับพฤติกรรมแบบนี้ของลูกชายหัวแก้วหัวแหวนเต็มแก่


“วันนี้ไม่ค้างนะ จะพาเพียวมาดูสวน” คนผิวแทนลุกขึ้นหันไปบอกผู้เป็นบิกาน้ำเสียงราบเรียบเช่นทุกครั้ง พร้อมกับจับมือผมเอาไว้ออกแรงดึงให้ลุกขึ้นพร้อมกัน


ผมก็ลุกตามอย่างว่าง่ายแต่กลับกันจากเดิม ผมออกแรงยื้อไว้ไม่ยอมขยับตามคนออกจากอีกคน


“จะพาไปไหน ไม่เอานะซีน” ผมแย้ง


ให้มาบ้านตระกูลสิงโตแบบนี้ก็กลัวหัวหดแทบแย่จนเสียชาติตระกูลพยัคฆ์หมดแล้ว คราวนี้จะให้ไปทัวร์ชมอีกมีหวังโดนคนอื่นภายในบ้านหลังนี้กระโจนกระชากหัวหลุดก่อนแน่


ผมกำลังปริปากเพื่อเอ่ยแย้งอีกครั้งแต่ก็ต้อมอมลมกลืนคำพูดก่อนหน้านี้เข้าไป เมื่อคนตรงหน้าหันมามองด้วยสายตาที่คาดเดายากบรรยากาศรอบตัวชวนขนหัวลุกเหมือนครั้งแรกๆที่เจอกัน


แง


ไปก็ได้จ้า


“ไปสิซีน นำไปเลย”


เอาวะ


หัวต้องไม่หลุด


มึงท่องไว้ไอ้เพียว!!



สุดท้ายผมก็ต้องย้ายก้นมาจุ้มปุ๊กอยู่ที่สวนหลังบ้านของตระกูลผู้ล่าคู่กัดกับตระกูลตัวเอง โดยคนที่พามาบัดนี้ก็นั่งกินลมอยู่ข้างๆกันนี่แหละ


ต่างคนต่างเงียบจนได้ยินไปถึงเสยงรถราเคลื่อนตัวด้านนอกเลยทีเดียว


จะว่าไปบ้านสิงโตก็สงบเงียบดีเหมือนกัน


ก็ต่างจากตระกูลหลักเสืออยู่หน่อยๆเพราะที่นั่นเสียงจอแจเยอะจนปวดหัวน่ารำคาญเลย


สวนตรงหน้านี่ก็สวยมากทีเดียว บริเวณไม่กว้างมากเท่าไหร่แต่พืชพรรณไม้ก็เยอะพอสมควร ทำให้บริเวณพื้นที่ตรงหน้าสีเขียวไปหมดแทบจะทุกตารางนิ้ว


“สวนสวยดีนะ ไปจ้างที่ไหนทำล่ะเนี่ย อยู่ส่วนไหนของเมืองไทยจะไปจ้างบ้าง” ผมโพล่งถามขึ้นขำๆเมื่อคิดแล้วคิดอีกว่าบรรยากาศในตอนนี้มันเงียบสงบเกินกว่าที่ควรจะเป็นรึเปล่า


“อยู่นี่”


“....”


“อยู่ตรงนี้”


ผมหันไปสบตากับทางอีกฝ่ายที่หันมาสบตาตรงเวลากันพอดิบพอดีเสียเหลือเกิน


“เอ่อ...สวยดีนะ”


เอ๋อแดกไปแล้ว


เด็กนี่มีความสามารถมากเกินไปหรือเปล่านะ


ผมพอได้ยินเสียงขบขันเบาๆของผิวแทนข้างๆก็ได้แต่ก้มหน้างุดไม่กล้าหันหน้าไปหาเจ้าตัวอีก


“ถ้าเพียวอยากได้ จะไปทำให้” อีกฝ่ายว่า เป็นประโยคธรรมดาที่ผมสัมผัสได้ถึงความพิเศษในน้ำเสียง น้ำเสียงที่ติดจะนุ่มกว่าปกติของคนหน้ากลัวข้างๆนี้

“วันนี้ หน้าโรงเรียนอยู่กับใคร”


โอเคมาแล้วจ้า กับประโยคคำถามที่ไม่อยากได้ยินที่ประจำวันนี้


คิดว่ารอดแล้วนะ


เฮ้อ


“เพื่อนน่ะ แฮะๆ” หัวเราะแห้งเพราะไปไม่เป็นจริงๆในจังหวะนี้


“นั่นน่ะหรือเสือที่ว่า”


“มานั่งทำอะไรอยู่นานสองนานในบ้านตระกูลหลักของเราอย่างนี้นะ”


“ตายแล้ว!! คงต้องล้างบ้านใหม่”


“อย่าพูดไปสิ เดี๋ยวทางนั้นก็ได้ยินเสียหรอก”


ไม่ได้ยินหรอกครับป้า


เสียงจ้อดังนินทาคนอื่นมาไกลขนาดนี้


พูดถึงขนาดนี้แล้วก็มานั่งกรอกคำจ้อข้างหูผมเลยเสียดีกว่า


ผมพ่นลมหายใจออกมายาวเหยียด แต่เอาตามจริงแล้วทางนั้นเขาก็ไม่ผิดหรอกที่จะมาว่ากล่าวผมแบบนี้ ก็ทางผมเองที่ย่างก้าวเข้ามาเหยียบย่ำถึงในตระกูลหลักแบบนี้นี่


ถึงจะไม่ได้เต็มใจก้าวเข้ามาก็เถอะนะ


จะว่าไปแล้ว


ถึงผมที่เป็นคนนอกมีสายเลือดของเสือเข้ามาอยู่ในตระกูลแบบนี้ยังโดนว่ากล่าวถึงขนาดนั้น ลูกเลือดผสมตัวข้างๆนี้ล่ะจะขนาดไหน


พ่อแม่ที่รักกันข้ามสายพันธุ์จนให้กำเนิดลูกสายเลือดผสมที่เป็นไปได้ยากขึ้นมาแบบนี้


ผ่านความลำบากมามากขนาดไหนกันนะ


...


“ยังไงวันนี้ก็พอไว้ก่อนเถอะ คงต้องกลับแล้วล่ะ” ผมหันบอกบอกคนข้างตัวแต่ก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อเจ้าลูกเลือดผสมนั้นยืนขึ้นอยู่ก่อนแล้ว


เด็กหนุ่มม.ปลายผิวแทนในชุดนักเรียนเอกชนมองไปยังตรงข้ามอีกฝั่งหนึ่งที่มาของต้นเสียงนินทานั่นที่ยังไม่หยุดวาระเสียที


“แต่ว่านะคุณท่านก็ยอมให้เข้ามาในบ้านโดยไม่ทักท้วงอะไรขนาดนี้”


“ก็คุณหนูเป็นเลือดผสมไง! ลืมไปแล้วเรอะ!”


“เหอะ! คิดว่าฉันอยากจะปองดองกับพวกเสือนั่นเรอะ! ให้ตายก็ไม่อยากเจียกน้ำลายไปสมานสัมพันธ์ด้วยหรอก ที่มีนายเหนือหัวอีกคนเป็นลูกผสมก็ลำบากจะแย่แล้ว ยังจะต้องมานั่งร่วมชายคาเดียวกับเสือเลือดบริสุทธิ์ ฉันจะอยากเอามีดกรีดคอตัวเองตาย” คำพูดกล่าวหาว่าร้ายยังไม่หยุดอยู่เพียงเท่านั้น


บรรดาเสียงอื่นๆที่จะไม่ใช่เสียงเดิมของผู้ร่วมชายคาคนก่อนในตอนนี้ยังดังอยู่อีกเป็นระยะ


“เมื่อกี้ฉันเดินเฉียดๆมา คุณธาราเดินอยู่ด้วยได้ยังไงตั้งนานสองนาน ไม่ขยะแขยงบ้างหรือไงนะ นั่นน่ะสายเลือดที่พยายามแย่งความเป็นใหญ่ของเราเชียวนะ  ทั้งๆที่รู้อยู่แล้วว่าสายเลือดตัวเองน่ะต้อยต่ำยังไงก็เป็นเพียงรองเท้าแค่สิงโต”


เห้ย!!


อีแบบนี้เริ่มไม่สวยแล้วนะ


ในขณะที่ผมเริ่มฉุนกึกขึ้นสมองกลับมีอีกคนที่แผ่บรรยากาศหน้ากลัวถมึงทึงอยู่รอบๆ ซีนกำมือแน่นจนแดงแววตาที่ดุอยู่แล้วกลับหน้ากลัวขึ้นไปอีก เจ้าตัวเหมือนกำลังโกรธจนเกินลิมิตร


“ซีน เห้ย!! ซีน! เดี๋ยว!!” ไม่ทันที่ผมจะได้ห้ามลูกชายคนโปรดของผู้นำตระกูลเสือแห่งนี้เจ้าตัวก็แปรงเป็นไลเกอร์วิ่งออกไปเสียแล้ว


ให้ตาย!!


รู้เลยว่าอีกฝ่ายจะไปไหน


ถึงผมไม่รู้ทางของบ้านหลังนี้ก็เถอะ แต่ถ้าดมกลิ่นตามไปก็พอได้อยู่


ถึงผมจะไม่ใช่สายพันธ์สุนัขที่มีความสามารถด้านนี้เฉพาะ แต่ในร่างมนุษย์นี้ก็มีความสามารถดมกลิ่นของเสือพอใช้ได้อยู่บ้างถึงจะไม่เต็มร้อยเหมือนในร่างสัตว์


 “ซีน!!”


ผมเบิกตากว้างด้วยความตกใจเมื่อวิ่งตามอีกฝ่าย ภาพตรงหน้าคือไลเกอร์สีขาวตัวใหญ่มีลายเสือพาดกลางลำตัวเป็นทางกำลังตะครุบผู้หญิงคนหนึ่งในชุดแม่บ้าน ส่วนอีกสองสามคนทีเหลือก็ล้มพับไปมองภาพตรงหน้าสายตาหวาดหวั่น


ตัวสั่นเทากันเป็นแถว


“หยุดใช้ปากนั่นพล่ามถึงตระกูลของแม่กับเพียวได้แล้ว!!!!!!!” เสียงขู่คำรามกังโชกก้องกังวานไปทั่วจนน่ากลัว เหมือนสัตว์ร้ายที่พร้อมฉีกเหยื่อในมือได้เป็นชิ้นๆในคราวเดียว


“คะคุณหนู ป้าขอโทษแทนยัยเพาด้วย พวกป้าขอโทษ!!” หญิงสาวที่นั่งล้มพับอยู่ข้างๆยกมือไหว้ปรกๆมือไม้สั่นเทิ้มเต็มไปด้วยความกลัวจนผมอดที่จะสงสารไปไม่ได้


“ซีน หยุดเถอะ พวกเขากลัวหมดแล้ว” ผมผ่อนเสียงลง ใช้มือวางไปลำตัวไลเกอร์ตัวใหญ่ที่สั่นไปด้วยความโทสะ ลองใช้ความกล้าในชีวิตครั้งนี้เป็นครั้งแรกถามว่ากลัวไหมบอกเลยว่ามาก แต่ผมกลั้นใจดูซีนกระชากไส้คุณป้าแม่บ้านใต้ร่างของเขาไม่ไหวหรอก


“เสือไม่ใช่สัตว์ต้อยต่ำ!!” ซีนกลับร่างเป็นดั่งเดิม เจ้าตัวลุกขึ้นยืนเต็มความสูงปรายตามองไปยังหญิงแม่บ้านที่น้ำตาเล็ดจากกระทำเมื่อครู่


“ทั้งคุณแม่ทั้งเพียว และทุกคนของที่นั่น!!!!” ถึงแม้จะกลับร่างมนุษย์แต่กลับคงเสียงคำรามขู่ดั่งเช่นสัตว์นักล่าในตัวเช่นเดิม


“ป้าขะขอโทษค่ะ คุณหนู ป้าผิดไปแล้ว ปะป้า....”


โอเค


ตอนนี้ป้าแกพูดไม่ได้ศัพท์ไปแล้ว คงเพราะความตกใจกับเหตุการณ์เมื่อครู่


แน่นอนว่าป้าแกก็แก่แล้วเจอแบบนั้นไปไม่หัวใจวายก่อนถูกซีนกระชากร่างก็โชคดีแค่ไหนแล้ว


“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมเข้าใจนะ แต่พวกเราสายเลือดของเสือมีจุดยืนที่แน่นอนพอ แน่นอนพอที่จะไม่หวั่นเกรงกับลมปากเหม็นๆเพียงแค่นี้หรอกครับ” ผมแทบจะหน้าตายตอนพูดกับหญิงสาวคู่กรณีถึงจะเป็นคำสุภาพน้ำเสียงเฉยชาที่สุดในชีวิต แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะกลัวหัวหดไปเลย


ผมไม่ได้สะใจหรอกที่พูดไปแบบนั้นแต่ขอพูดแทนคนทั้งสายเลือดที่โดนตราหน้าไว้หน่อยก็แล้วกัน


“เอะอะอะไรกัน!?” เสียงคุ้นเคยของคนผู้ที่แยกจากกันมาเมื่อครู่เอ่ยขึ้นจากด้านหลัง พร้อมกับเลาขาประจำตัวของเขาที่มองมายังภาพเหตุการณ์ตรงหน้า


“เอ่อ..คือ”


“พวกนี้...ไม่สมควรมีสายเลือดของสิงโตอยู่ในตัว!” สีหน้าโกรธจัดของซีนยังไม่สร่างไปจากใบหน้า เจ้าตัวดีนัก


“ผมขออธิบายเองครับ”


....


ผมเดินตามทางกลับบ้านในเวลาพระอาทิตย์ลาลับฟ้าไปได้ไม่มาก ข้างๆกันมีลูกผสมสองสายเลือดเดินขนาบข้างกันมาเงียบๆ


หลังจากซีนโกรธเป็นฝืนเป็นไฟตาพร่าหูหนวกไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้นนอกจาอารมณ์โกรธเกรี้ยวของเจ้าตัว ณ ตอนนี้ผ่อนผันลงไปมากแล้วแต่น่าจะยังมีเคืองในใจเจ้าตัวเล็กๆนั่นแหละ


หลังจากนั้นผมก็ได้เข้ามานั่งในห้องผู้นำตระกูลที่นั่นอีกครั้ง เพื่อเล่าเหตุการณ์เกือบคร่าชีวิตนั่นให้ท่านผู้นำตระกูลสิงโตฟัง ขนาดผมเป็นคนเล่า คุณธาราที่ยืนฟังอยู่ข้างๆท่านผู้นำของทางนั้นยังฉุนกึกเครื่องติดเหมือนกันทั้งที่มองจากภายนอกเป็นคนนิ่งๆสุขุมแท้ๆ


ไม่รู้ว่าเครื่องจะติดง่ายไม่ต่างกับลูกชายของคุณภาคินเลย


ก็ดูเหมือนจะมีแต่ตัวท่านผู้นำเองที่ใจเย็นตั้งใจฟัง มีเหตุผลสั่งลงโทษคนพวกนั้นอยู่บ้างเล็กน้อย และผมเองก็รับภาระเกลี้ยกล่อมเจ้าตัวดีที่โกรธจัดให้สงบลงต่อกว่าจะได้ขอตัวกลับบ้านโดยเด็กอีกคนพ่วงมาด้วย


อย่าถามนะว่าเด็กไหน


มีอยู่คนเดียว


“แต่วันนี้โกรธมาเกินไปหรือเปล่า” ผมถาม ใจกล้าขึ้นมาหน่อยเมื่อเจ้าตัวเย็นลงแล้ว


“ไม่”


“...”


“น้อยไปด้วยซ้ำ” อีกคนว่าน้ำเสียงติดจะหน้ากลัว ดวงตาคมดุนั่นยิ่งส่อประกายแววโกรธเพิ่มขึ้น


ซวยล่ะกู


ดันเผลอคิดว่าเย็นลงไปมากแล้ว


“เขาไม่มีสิทธิ์มาว่าใครแบบนี้ ยิ่งไปกว่านั้นเขาว่าตระกูลของแม่และเพียว”


ผมชี้มาหาตัวเองสีหน้าไม่คาดคิดว่าจะมีชื่อตัวเองอยู่ในประโยคด้วย


“กูไม่คิดมากหรอก ยังไงก็แค่ลมปากเท่านั้นแหละ เป็นถึงอมนุษย์แต่กลับไม่รู้จักคิดจริงๆเลยน้า” ผมไม่คิดมากๆจริง ผมเข้มแข็งมากพอที่จะไม่นำคำพูดมาใส่ใจให้เสียใจและทรมานตัวเองให้เหนื่อยเพราะยังไงเราก็ไม่ได้เป็นดั่งเช่นคำกล่าวของเขา


“เพียวเป็นคนสำคัญ” ซีนหยุดฝีเท้า เขาหันหลังกลับมามองผมจังหวะนี้อยู่ในมุมมืดแต่ผมก็ยังเห็นดวงตาแวววาวสวยของเขาที่ถึงแม้จะดุจนหน้ากลัวไปบ้าง


แต่ดวงตาดั่งลูกแก้วที่สะท้อนต่อแสงไฟนั่น


เหมือนกับสัตว์นักล่าที่สง่างามเหลือเกิน


เหมือนยิ่งจ้องเข้ายิ่งเหมือนกำลังโดนสะกด ติดบ่วงกำดักจากดวงตาที่ทอประกายภายใต้ความมืดนี่


“ไม่อยากให้ใคร ต่อว่าเพียวทั้งนั้น” อีกคนเดินเข้ามาใกล้


“อืม”


“เพียว”



“ว่า”


“ชอบ ชอบเพียวมากๆ ระ...”


ผมตะครุบฝ่ามือปิดปากอีกคนที่ขยับเข้ามาใกล้แน่นจนไม่ให้เสียงของคนตัวสูงกว่าเล็ดลอดออกมาแม้แต่น้อย


“ซีน ตอนนี้แค่นี้ก็พอแล้ว เข้าใจความรู้สึกนะ แต่นั่นมัน...เร็วเกินไป” ไม่ใช่ผมไม่ชอบเขา...ไม่ใช่สิ
ยังไงก็เถอะแบบนี้เร็วเกินไป ผมขอแค่รับไว้แค่นั้นก็เพียงพอเท่าไหร่แล้ว


“ไม่เร็วไปหรอก”


“มันเป็นไปไม่ได้หรอก”


“ถ้าคนนั้นเป็นเพียว ไม่ว่าจะเร็วหรือช้าก็เป็นแบบนั้น”


เสียงเรียบ เฉยชา ดูหน้ากลัวในหลายๆครั้งของซีนที่ทำให้ผมกลัวหัวหดไปเกือบจะทุกครั้งตอนนี้กลับนุ่นนวลเสียจนราวกับฝัน


ซีนรวบมือของผมทั้งสองข้างลงไป เจ้าตัวขยับเข้ามาใกล้จนหน้าเราใกล้กันเรื่อยๆ


สัมผัสแผ่วเบาบริเวณหน้าผากที่บรรจงมอบเข้าทำให้ใจเต้นเป็นกลองยาวแห่ขันหมากไปเลยทีเดียว


.... ถึงจะบางเบาก็แต่ตราตรึง


“จะแสดงให้เพียวเห็น” ซีนยิ้มบางๆจนผมอดเสหน้าหนีไปทางอื่นไม่ได้


ไม่เคยคิดเลยว่าหน้าดุๆเข้มๆนั่นเวลายิ้มจะ...


ดาเมจขนาดไหนกันเนี่ย!


“ขอโอกาสหน่อยได้ไหม”


ขนาดนี้แล้ว...จะให้พูดว่าอย่างไรอีก


ผมขบเม้มริมฝีปากแน่นจนรู้สึกเจ็บ หนีสายตาที่จ้องหน้าผมมันโต้งอยู่อย่างนั้น


ดีขนาดไหนแล้วที่ตรงนี้ค่อนข้างเปลี่ยวช่วงนี้เลยไม่มีคน


บุญยังคุ้มหัวไอ้เพียวอยู่ไงถึงไม่มีใครมาเจอะผู้ชายตัวเท่ายักษ์กับผู้ชายบ้านๆยืนจ้องหน้ากันอยู่แบบนี้


“ว่าไง”


ผมไม่ตอบคนที่เค้นคำตอบตรงหน้านี้สักคำแต่เป็นฝ่ายเดินนำเจ้าตัวออกไปก่อนพร้อมทั้งคว้ามือคนผิวแทนเอาไว้แน่น


“แวะไปกินขนมที่บ้านก่อนกลับ ดีไหม”
นี่กูเกิดมาเป็นเสือหรือเป็นแรดกันแน่วะ


ถามจริงเหอะ!


ไม่รู้ด้วยแล้ว


ถอนหายใจเป็นรอบที่ร้อยของวัน ชีวิตนี้เกิดมามีแต่เรื่องลำบากใจจริงๆ


ขณะที่ผมเป็นฝ่ายเดินนำพร้อมจูงเจ้าเด็กยักษ์ไปพลางๆรู้สึกสัมผัสที่มือที่จับกันไว้อยู่ๆก็หนักแน่นขึ้นจากอีกฝ่ายบีบเข้ามาเบาๆ


เอาเถอะ


มันก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้นเสียหน่อย


และในตอนนี้


บางสิ่งบางอย่างภายในหัวใจของกันและกันมันเพิ่ง ‘เริ่มต้น’ เท่านั้น


END






ในที่สุด!!!!!!!!!!
ดำเนินนิยายเรื่อง ผู้ล่า เรื่องนี้มาจนจบแล้ว
ใจหายไปเลยค่ะ ช่วงหลังความถี่เริ่มแผ่วๆลงด้วย
เป็นความผิดของเราเอง
แต่เราพยายามเขียนจนจบค่ะ
ตอนนี้ต้องลาจากจริงๆแล้ว
ทั้งพี่พันวาน้องเทวา
เจ้าลันหนูรุย
เจ้าซีนกับเพียว
คงคิดถึงกันน่าดูเลย


GOOD LUCK

ออฟไลน์ ืniyataan

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-1
Re: {เรื่องสั้น} ผู้ล่า ➹ | END「060418」p.2
«ตอบ #47 เมื่อ07-04-2018 16:23:33 »

 :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
Re: {เรื่องสั้น} ผู้ล่า ➹ | END「060418」p.2
«ตอบ #48 เมื่อ07-04-2018 17:04:05 »

น่ารักทุกเรื่องเลย
ขอบคุณคนเขียนค่ะ

ออฟไลน์ aoihimeko

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3132
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +155/-9
Re: {เรื่องสั้น} ผู้ล่า ➹ | END「060418」p.2
«ตอบ #49 เมื่อ17-04-2018 09:44:52 »

ชอบทุกเรื่องเลย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: {เรื่องสั้น} ผู้ล่า ➹ | END「060418」p.2
« ตอบ #49 เมื่อ: 17-04-2018 09:44:52 »





ออฟไลน์ twinmonkey0311

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5480
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +110/-9
Re: {เรื่องสั้น} ผู้ล่า ➹ | END「060418」p.2
«ตอบ #50 เมื่อ17-04-2018 17:54:11 »

 :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ lostinthelight

  • 엑소엘
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 151
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: {เรื่องสั้น} ผู้ล่า ➹ | END「060418」p.2
«ตอบ #51 เมื่อ24-12-2018 10:53:23 »

ชอบมากๆๆๆ ชอบทุกเรื่องเลยค่ะ :katai2-1: :mew1:

ออฟไลน์ unicorncolour

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1001
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
Re: {เรื่องสั้น} ผู้ล่า ➹ | END「060418」p.2
«ตอบ #52 เมื่อ25-12-2018 02:58:44 »

 o13 o13

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด