ตอนที่ 38
กล้าหาญ
Naaytan Aroonkittiniwat
รักนะ (209 Likes)
Naaytan Aroonkittiniwat : ... (นายท่านพิมพ์)
Naaytan Aroonkittiniwat : ... (กล้าหาญพิมพ์)
Naaytan Aroonkittiniwat : ...... (นายท่านพิมพ์)
Naaytan Aroonkittiniwat : ...... (กล้าหาญพิมพ์)
Naaypon Aroonkittiniwat : นี่คือช่วง ‘ตั้งสเตตัสเองเมนต์เอง...นักเลงพอ’ ของนายท่าน อรุณกิตตินิวัฒน์เหรอ (24 Likes)
Tim Gy : คนงอนกัน 201X (12 Likes) เมื่อคืนผมได้นอนแค่สองชั่วโมงเอง
คนที่นอนเป็นเพื่อนผมก็คือหมูหัน มันมองดูผมวางแผน ‘เล่นนายท่าน’ อยู่นานก่อนจะม่อยหลับไปบนโซฟาซึ่งเป็นภาพที่ตลกมาก มันเผลอหลับไปทั้งๆ ที่ยังอยู่ในท่านั่ง อีกทั้งยังนอนอ้าปากนิดๆ อีกต่างหาก
เชนแวะมาดูมันแป๊บหนึ่งด้วย เพื่อนร่วมหอของผมตัดสินใจไม่ปลุกหมูหันแล้วหาอะไรมาห่มให้มันแทน แถมยังไม่ลืมที่จะให้กำลังใจผมด้วย ขอให้ผมสู้ๆ ไม่ว่าผมจะทำอะไรก็ตาม
ผมก็งงเหมือนกันว่าตัวเองทำอะไรอยู่...
ทำไมผมไม่ง้อมันให้มันง่ายๆ จบๆ ผมลองแล้วครับ และผมก็รู้จักนายท่านดีเกินกว่าที่ผมจะง้อต่อ มันโกรธผมชนิดที่ว่าหน้าก็ยังไม่อยากจะมอง แม้ว่านี่จะเป็นครั้งแรกที่มันเป็นแบบนี้ แต่เชื่อผมเถอะว่าถ้าขืนผมง้อมันแบบธรรมดาๆ ยังไงมันก็ไม่หายโกรธผมง่ายๆ แน่
เพราะฉะนั้นผมจึงต้องวางแผน แม้ว่าลักษณะของแผนนั้นจะไม่ได้แตกต่างจากครั้งที่นายท่านวางแผนเล่นผม แต่แล้วยังไง...เป้าหมายของเราทั้งคู่นั้นเหมือนกันซึ่งนั่นก็คือเราต้องกลับมารักกันเหมือนเดิม
ไม่ว่าจะยากแค่ไหนยังไงผมก็ต้องทำ คราวนี้ผมผิดเต็มประตูจริงๆ ผมยอมรับอย่างไร้ซึ่งข้อโต้แย้งใดๆ เลยครับ
“กล้า...ไปเรียนโว้ย” หมูหันในชุดนักศึกษาเรียบร้อยสะกิดผมที่นอนอยู่กับพื้นท่ามกลางเศษนั่นเศษนี่มากมาย “โอ้โห”
ผนังของผมลายพร้อย...เต็มไปด้วยแผนและก็แผน รูปนายท่านถูกแปะอยู่ทั่วทุกส่วนไปหมด บางรูปผมก็วาดหัวใจใส่ แต่บางรูปผมก็ทำร้ายมันด้วยการเติมเขาเดวิลให้...เมื่อคืนอารมณ์ของผมขึ้นๆ ลงๆ น่ะ
“มึงเอาจริงใช่มั้ยเนี่ย”
“อืม” ผมที่เหนื่อยนิดหน่อยลุกขึ้นยืน “กูอาบน้ำแต่งตัวแป๊บ”
“ได้”
“...”
“วันนี้เชนจะไปส่งที่คณะนะ”
ผมหรี่ตามองหมูหันเป็นเชิงหยอกล้อ “คบกันแล้วเหรอ”
“ยัง” หมูหันตอบสวนกลับมาอย่างรวดเร็ว
“เฮ้อ ลีลาเยอะอย่างกับคู่ไอ้เซียน สุดท้ายแล้วเป็นไง...ยังไงก็ได้กันเหมือนเดิม”
มันไม่ได้สนใจคำพูดผมเลยสักนิด ผมอาบน้ำแต่งตัวในห้องตัวเองจนเสร็จ พอเดินออกมา...ผมก็เห็นเซียนกับหมูหันนั่งอยู่ข้างๆ กันบนโซฟาของผมแล้ว ทั้งคู่กำลังเล่นเกมกันอยู่ มองเผินๆ ก็เหมือนเป็นเพื่อนกัน ไม่ได้ดูหวานแหววอะไรเลย
ไม่เคยคิดเลยว่าพวกแม่งอยู่ด้วยกันแล้วจะดูเหมาะกันดีขนาดนี้
“เอาเลยมั้ย” เชนถาม
“เอาเลย”
คำถามอะไรของมันวะนั่น...ผมเหลือบมองไปที่จอ คำว่า ‘เอา’ ของมันคือฆ่าทีมตรงข้ามสินะ
“แป๊บนะไอ้กล้า กูขออีกสามนาที” หมูหันจริงจังมาก
“เออ ได้หมด”
“มึงจะแวะไปที่นิเทศฯ เปล่า”
“แวะทำไมวะ”
“อ้าว ไม่มีแผนจะทำอะไรเหรอ”
“แผนไร” ผมตอบ “กูขาดเรียนจนคะแนนกูจะไม่เหลือแล้วเนี่ย ไปเรียนก่อน”
จริงๆ แล้วผมอยากไปนิเทศฯ ใจจะขาดครับ แต่ไปแล้วยังไง...ไปแล้วนายท่านมันก็ไม่สนใจผมเหมือนเดิม เพราะฉะนั้นการหายไปอย่างเงียบๆ ก่อนคือสิ่งที่ผมควรทำที่สุด
ผมจะไม่ใช้เวลาถึงสองปีเหมือนที่นายท่านมันทำหรอกครับ ผมรอนานขนาดนั้นไม่ได้หรอก ไม่งั้นอาจมีอาการขาดใจตาย...ผมแค่ต้องการเวลานิดหน่อยเพื่อให้นายท่านมันใจเย็นลง
ตอนนี้หัวมันยังร้อนรุ่ม เข้าไปตอนนี้ก็คงโดนเผาจนไหม้เกรียม...
ลองถอยออกมาตั้งหลักดูสักนิด...บางทีมันอาจจะดีขึ้นก็ได้
เป็นอีกครั้งที่ผมขอบอกว่า...ผมล้อเล่น
คนง้อแม่งต้องดับเครื่องชนเข้าง้อสิครับ เราลีลาเยอะไม่ได้นะถ้าเราเป็นคนง้อเขาน่ะ
ความผิดนี้ของผมมันไม่เหมือนกับความผิดครั้งไหนๆ ที่ผมเคยทำ...ผมไม่สามารถอยู่นิ่งๆ ได้นานไปมากกว่านี้อีกแล้ว
นายท่านมันกำลังหัวร้อนก็จริง และใจของผมเนี่ย...บอกเลยว่าร้อนพอๆ กัน
ผมใช้เวลาว่างห้องเรียนดูสิ่งที่อยู่ในจอโทรศัพท์ของผม ผมถ่ายภาพผนังของผมมาใส่ในโทรศัพท์ด้วย เพื่อการทำงานของผมจะได้มีการ Continue ต่อเนื่อง
“มึงทำเหี้ยอะไร” ตงเอียงคอมาถามอย่างสงสัย
“กูกำลังวิเคราะห์อยู่ว่านายท่านมันจะไปกินข้าวเที่ยงที่ไหนวันนี้”
“มึงวิเคราะห์ยังไง”
“นับสถิติสิวะ”
ผมพูดให้มันดูดีไปงั้น เพราะตอนนี้ผมแค่กำลังตัดตัวเลือก ไม่ได้คำนวณทางสถิติอะไรทั้งสิ้น โอกาสที่นายท่านจะมากินแถวเศรษฐศาสตร์นี่คือแทบจะเข้าใกล้ศูนย์ ร้านป้าปอยมีหนึ่งเปอร์เซ็นต์ โอกาสที่มันจะกินที่อื่นมีทั้งหมดเก้าสิบกว่าเปอร์เซ็นต์
เอ่อ...ยิ่งคิดก็ยิ่งดูแปลกๆ เสียเวลาแถมไร้ประโยชน์สุดๆ เพราะมันคือความจริงซึ่งเป็นสิ่งไม่ตายอยู่แล้วโว้ยยยย
“สรุปก็คือ...” ตงอยากรู้ต่อ
“มันจะมากินกับเรานี่แหละ” เซียนตอบแทน
เฮ้ย...ถึงแม้โอกาสจะเข้าศูนย์แต่ก็ไม่ใช่ว่ามันจะไม่มีโอกาสเกิดขึ้นเลย ไอ้นายท่านมันได้พิสูจน์ข้อนี้แล้ว
“มัน...มันยอมมาเหรอวะ”
“กูใช้สิทธิ์แฟนชวนไอ้ทิมมา ไอ้ทิมก็เลยไปชวนไอ้นุกอีกที นายท่านมันก็เลยต้องมา เพราะถ้ามันไม่มา มันก็จะไม่มีเพื่อนกินข้าว”
แม่งเอ๊ย แผนล้ำว่ะ
“ไม่ต้องมาทำหน้าขอบคุณกู” ไอ้เซียนโบกมือใส่หน้าผม “กูแค่อยากเจอแฟนกู...นายท่านมามันคือผลพลอยได้ กูไม่ได้ช่วยมึง”
มันปากแข็งไปอย่างนั้นแหละ ผมปล่อยให้มันพูดไปโดยไม่ขยี้ต่อ การที่นายท่านมันยอมมาในสถานที่ที่มีผมอยู่ ไม่ว่าจะเพราะอะไรผมก็ดีใจทั้งนั้น
คนง้อเราลีลาเยอะไม่ได้...อีกทั้งยังเลือกโอกาสที่จะง้อไม่ได้ด้วยครับ
มีโอกาสเมื่อไหร่...เราก็ต้องคว้าไว้ให้หมด
นายท่าน
ผมเห็นกล้าแล้ว...ตอนนี้ผมกับเพื่อนกำลังมาเยือนโรงอาหารคณะเศรษฐศาสตร์ จริงๆ แล้วผมก็ไม่ค่อยอยากจะมาหรอก (เนื่องจากทิฐิล้วนๆ) แต่ถ้าผมไม่มา...ผมก็ต้องโดนเพื่อนทิ้ง เพราะฉะนั้นผมมาดีกว่า
ผมยังโกรธกล้าอยู่ โกรธมากที่มันเห็นความรักของผมเป็นเรื่องเล่นๆ นึกจะไปก็ไป นึกจะมาก็มา...ทั้งๆ ที่มันก็รู้อยู่เต็มอกว่าผมรักมันมากขนาดไหน ผมโกรธมากขึ้นตอนที่กล้ารู้สึกผิดที่บอกเลิกผม มันคือความผิดพลาดที่กล้าไม่ได้ตั้งใจ
ขอโทษทีเถอะ...หัวใจกูไม่ใช่พื้นคอนกรีตนะเว้ย บทจะอยากดูแลก็มาดูแล แต่บทจะเหยียบก็เหยียบอย่างไม่เห็นคุณค่า นี่มันยังเห็นผมเป็นคนรักของมันอยู่หรือเปล่า...
แทนที่การมาอยู่ใกล้ๆ กล้าครั้งนี้มันจะดีขึ้น แต่เปล่าเลยครับ...ผมกลับหัวร้อนมากขึ้นกว่าเดิมหลายสิบเท่า
กล้าไม่ได้เอ่ยขอโทษผม ไม่ได้บอกว่ามันผิดขนาดไหนหรือผิดยังไง มันพูดคุยกับเพื่อนของมันและเพื่อนของผม ทำเหมือนทุกอย่างยังอยู่ในสภาวะปกติ เพียงแต่ว่าผมกับมันไม่ได้คุยกันก็เท่านั้น
ที่น่าแปลกไปกว่านั้นก็คือเพื่อนมันกับเพื่อนผมเป็นธรรมชาติมาก ไม่มีการฝืนหรือทำการแสดงใดๆ ทุกคนทำเหมือนผมกับกล้าไม่ได้เลิกกันและบรรยากาศบนโต๊ะของเราไม่ได้มีความอึดอัดอะไรใดๆ
เมื่อมันเป็นอย่างนั้น...ผมก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองหงุดหงิดหนักกว่าเดิม
หรือว่าเรื่องที่มันคิดจะง้อผมกลายเป็นเรื่องไม่สำคัญไปแล้ว
หรือมันกะจะเลิกกับผมจริงๆ...
แม้ว่าผมจะเป็นคนงอนอยู่ แต่ผมก็โคตรไม่ชอบความรู้สึกที่หัวใจแขวนอยู่บนเส้นด้ายแบบนี้เลย
“ใช่ สกินตัวนี้แม่งแพงเลย” ผมได้ยินเสียงไอ้ทิมเพื่อนผมพูดคุยเรื่องเกมอย่างออกรสกับเพื่อนๆ ของกล้า
“พี่จ่ายให้ได้นะ” พี่เซียนพูด
“เปลืองเงินน่า เดี๋ยวผมจ่ายเอง”
“ไหนบอกแพงไง”
“บ่นแต่ก็จ่ายไง เพื่อความสบายใจ” ทิมหันไปหาพี่ตง “พี่ตงซื้อด้วยป่ะ”
“ไม่เอาว่ะ กูจะเก็บเงินไว้ซื้ออีกตัว”
“เออใช่ สกินใหม่ลิโป้จะมาแล้วนี่”
ผมขอย้ำอีกครั้งว่าบนโต๊ะนี้ไม่มีใครอึดอัดทั้งนั้น...ยกเว้นผม ผมที่โคตรงงเลยว่าทุกคนทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้ยังไง
“พี่ตงเล่นลิโป้โอเคเลยนะ”
“แล้วตอนนี้มึงจะเปลี่ยนเป็นเล่นแทงค์แทนไอ้เซียนเลยป่ะ” พี่ตงพูดกับเพื่อนผมต่อ
“ก็แล้วแต่พี่เซียนน่ะ”
“กูแล้วแต่ทิม”
กล้าตั้งใจฟังเพื่อน ไม่ได้มีความรู้สึกรู้สาอะไรกับการที่มีผมนั่งมองอยู่ฝั่งตรงข้ามแบบนี้ ทั้งๆ ที่เมื่อวานมันยังเอ่ยปากบอกขอโทษอย่างรู้สึกผิดอยู่เลย
นี่มันอะไรกันวะเนี่ย...
“เดี๋ยวกูไปซื้อน้ำ” ผมลุกขึ้น
“เดี๋ยวกูไปซื้อไอติม” กล้าก็ลุกพร้อมผมเหมือนกัน
เรามองหน้ากัน เพื่อนของเรามองหน้าเรา...ทุกคนเหมือนกำลังรอดูว่าผมจะเอายังไง
ผมก็เดินไปตามทางของผมน่ะสิถามได้ ส่วนกล้าน่ะเหรอ มันก็เดินไปหาร้านไอศกรีมของมันนั่นไง...ไม่เห็นจะเข้ามาคุยกับผมหรือเดินตามง้อผมเลย
มันจะเลิกกับผมจริงๆ เหรอวะ
ผมไม่ชอบโดนมันเมินแบบนี้เลยจริงๆ นะ
ยอมรับว่าผมโกรธ...โกรธมากด้วย...แต่ความโกรธนั้นมันเทียบไม่ได้เลยกับความเสียใจของผม ที่ผมแสดงออกว่าผมโมโหนักโมโหหนานั่นเพราะผมไม่อยากให้คนอื่นรู้ว่าผมเสียใจขนาดไหน แท้จริงแล้วคนที่ทำเป็นเข้มแข็งหลายคนแม่งก็ต้องเก็บความอ่อนแอไว้ในใจกันทั้งนั้น ผมเองก็เหมือนกัน
ผมไม่อยากเสียมันไปหรอก...แต่จะให้ผมไม่รู้สึกอะไรเลยผมก็ทำไม่ได้
ผมรู้สึกแย่หนักมากขึ้นกว่าเดิมที่กล้าทำเหมือนเรื่องของเรามันจบลงไปแล้วจริงๆ
มึงจะเอาอย่างนั้นจริงๆ ใช่มั้ยกล้า...
กล้าหาญ
ผมกำลังทำอะไรของผมอยู่เนี่ย
มันไม่ใช่สิ่งที่ผมอยากแสดงออกไปเลยจริงๆ นะ
“ตอนเย็นเจอกันห้องไอ้กล้านะ เดี๋ยวออกไปหาอะไรดื่มกันต่อ”
“วันศุกร์แห่งชาติโว้ย วันศุกร์แห่งชาติ”
ไอ้เซียนกับไอ้ตงตื่นเต้นใหญ่ที่จะได้กลับเข้าไปสู่วงการ (ดื่ม) ส่วนผมเดินคอตกอยู่ข้างหลังเพื่อนๆ ระหว่างที่ชาวคณะเสดสาดกับชาวคณะนิเทศฯ กำลังจะแยกกัน
ดวงตาของผมมองเห็นแต่หลังนายท่าน...รู้ดีว่าเจ้าของแผ่นหลังนั่นมันไม่ได้แคร์อะไรผมเลยสักนิด ผมทำเป็นไม่แคร์มันก็อยากให้มันโมโหแล้วเข้ามาหาผมเองเหมือนเมื่อครั้งก่อน แต่มันก็ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น
ผมรู้สึกเจ็บไปหมด...เจ็บจนน้ำตาเหมือนกำลังจะไหล แต่ก็ไม่ไหล
ถ้าเป็นตอนกลางคืนและผมอยู่คนเดียว...ผมมั่นใจมากว่าน้ำตาของผมต้องไหลพรากแน่ๆ
แผนเล่นนายท่านเหี้ยอะไรนั่น...ผมทำได้ไม่เก่งเอาเสียเลย ผมเจ็บปวดทุกครั้งที่เห็นมันทำหน้าตาเย็นชาใส่ผม นั่นทำให้ผมรู้สึกอยากเทหมดทุกสิ่งทุกอย่างแล้วกลับไปง้องอนมันเหมือนเดิม
ไม่ว่าจะทางไหน...แม่งก็คงจะไม่หายโกรธผมจริงๆ ใช่มั้ย
“กูไป” ผมบอกไอ้เซียน “ไปกันเลย ไม่ต้องแวะห้องกูหรอก เสียเวลา”
“เหี้ยกล้า มึงจะไปช่วยเขาเปิดร้านหรือไง มันต้องไปสักสองสามทุ่มดิ”
ผมไม่ตอบ...เซียนมันคงพอจะเดาออกว่าสภาพจิตใจผมตอนนี้นั้นโหยหาแอลกอฮอล์อย่างแรง
“เอาไงก็เอา” เซียนเอ่ยในที่สุด จากนั้นมันก็เดินนำหน้าผมไปดีลกับพวกเด็กนิเทศฯ อีกที ผมจับใจความสำคัญได้ว่าเด็กพวกนั้นต้องไปทำงานกลุ่มก่อนถึงจะตามมาสมทบได้
ผมไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้น นายท่านอาจจะตามมาหรือไม่ตามมาก็เรื่องของมันแล้ว สิ่งที่ผมปรารถนามากที่สุดตอนนี้ก็คือนอนกอดขวดเหล้าครับ
และถ้าผมขออีกอย่างได้ก็คงจะเป็น...อ้อมกอดไอ้นายท่านล่ะมั้ง
เซียนพาผมไปยังร้านที่มันรู้จัก โชคดีที่บรรยากาศร้านมันน่าดื่มตั้งแต่หัวค่ำ ผมจัดการชงให้ตัวเองเข้มๆ ทันที พร้อมๆ กับมอมตัวเองด้วยการกลืนเครื่องดื่มสีอำพันลงคอครั้งแล้วครั้งเล่า...
คืนนี้ถ้าภาพในหัวผมไม่ตัด...อย่ามาเรียกผมว่ากล้าหาญบอย
“แก...เซเลบว่ะ” สาวๆ โต๊ะข้างๆ ส่งเสียงทันทีเมื่อเห็นผม
“เขาไม่เอาแฟนมาด้วยเหรอ”
“แฟนเขาหล่อมากนะ”
“โอ๊ย...เขาก็ดูดีนะแก”
“หยุดเลย...มองไปก็ไม่ได้ เขาไม่ชอบชะนีเว้ย อย่าไปมอง อย่าไปมอง”
ผมยังถูกพูดถึงอยู่ครับ ทั้งในชีวิตจริงและในโลกโซเชียล แต่เชื่อมั้ยว่า...ผมเรียนรู้ที่จะไม่สนใจคำพูดคนอื่นโดยสิ้นเชิงตั้งแต่ผมเลิกกับนายท่าน มันผ่านมาไม่กี่วันก็จริง แต่มันก็ได้สั่งสอนผมหนักมากว่าสิ่งที่ผมควรแคร์จริงๆ คืออะไร
ไม่ใช่คำพูดของคนอื่นที่ผมต้องแคร์...แต่เป็นความรู้สึกของคนที่ผมรักต่างหากที่ผมควรจะแคร์ให้มาก
นายท่านไม่เปิดโอกาสให้ผมกลับไปแก้ตัว มันไม่มองผม ไม่สนใจผม และเทผมอย่างสิ้นเชิง ยิ่งผมคิด...ผมก็ยิ่งเจ็บปวด
ผมยอมถูกคนทั้งโลกด่า...ถ้ามันจะทำให้นายท่านคืนดีกับผมอีกครั้ง ผมยอมทำทุกอย่างจริงๆ นะ
แต้มบุญของผมจะมีมากพอให้ผมมีโอกาสอย่างนั้นมั้ย...
เชนตามมาสมทบในเวลาเกือบสองทุ่ม มันนั่งข้างๆ หมูหันทันทีพร้อมๆ กับแย่งแก้วในมือหมูหันไปดื่มแทน พร้อมกับเอ่ยปากบอกเพื่อนผมว่าถ้าเพื่อนผมมันจะดื่มแก้วไหน...ต้องให้มันเช็กก่อนว่าที่คนอื่นชงให้นั้นมันเข้มหรือมันอ่อน
เชนแม่งห่วงเพื่อนผมเหมือนกันนะเนี่ย
“โต๊ะนี้เหลือแต่กูใช่มั้ยที่ยังไม่มีใคร” ตงโอดครวญ
“มึงลืมกูไปแล้วเหรอ” ผมกล่าว
“มึงไม่นับดิ” ตงไม่สนใจผมเลย
“นับสิวะ...นับ”
“...”
“กล้าหาญบอยโสดแล้วนะ ต้องนับดิ”
หมับ ตงแย่งแก้วในมือผมไปวางเอาไว้ที่อื่น
“เอามา ไอ้สาดดด”
“เพิ่งจะสองทุ่ม...แม่งจะไปแล้วเหรอวะ”
“มันใส่หนักตั้งแต่หัวค่ำ มันรอดจนมาถึงวินาทีนี้แม่งก็บุญหัวแล้ว” เซียนส่ายหน้าให้ผมอย่างระอา
ผมเอื้อมมือไปหยิบแก้วของตัวเองที่วางอยู่ไกลออกไปได้สำเร็จ จากนั้นผมก็ดื่ม ดื่ม และก็ดื่ม จนกระทั่งเวลาเกือบสี่ทุ่ม ทิมกับนุกก็มา...
ไม่มีเงาของนายท่าน
นายท่านแม่งไม่มาว่ะ
โอย จังหวะนี้ผมต้องดื่มเท่านั้นผมถึงจะใช้ชีวิตอยู่ต่อได้...ดวงตาผมเบลอไปหมด ผมมองแทบไม่เห็นตอนที่อมรมันแวะเอาหนุ่มฝรั่งที่มันเดตอยู่มาอวดเพื่อนๆ
หัวของผมหนักอึ้ง...รู้สึกมึนจนใกล้จะหลับ
ไม่...ผมยังไม่พอแค่นี้หรอก เพราะผมยังไม่ลืมนายท่านเลยสักนิด...ผมต้องดื่มให้หนักกว่านี้ เมามากกว่านี้...
นายท่าน
[กูมันคนโสด 201X โว้ยยยย]
[เชนมึงบอกกูมาดิ๊ว่ามึงจะดูแลเพื่อนกูดีๆ]
[ท่านมันมาหรือยัง]
[เหี้ยเซียน มึงอย่าเอาแก้วกูปายยย]
[ความรักอ่ะนะ...แม่ง...โคตรเป็นเรื่องที่ไร้สาระ เอิ๊ก]
[นายท่านยังไม่มาอีกเหรอวะ]
[ตงมึงมาชนแก้วกับกูเร็ว มึงโสดเหมือนกู!]
[ตกลงนายท่านจะไม่มาจริงๆ ใช่มั้ย]
[มันไปตายที่ไหนแล้ว]
ผมเดินไปเดินมาอยู่ในห้องจนพื้นห้องผมจะสึกอยู่แล้ว
ดูจากสตอรี่ที่เพื่อนๆ ของผมกับกล้าพากันอัดแล้วลงในไอจี...กล้ากำลังเมามาก มากในแบบที่เกินกว่าผมจะทนรับไหว คุณคนอ่านคงจำได้ว่าผมไม่ชอบเห็นมันเมา มันคือเหตุผลเดียวที่ผมไม่ยอมดื่มแอลกอฮอล์เพราะผมต้องการดูแลมัน...แต่ทว่าตอนนี้...มันกำลังจะเป็นในสิ่งที่ผมไม่ชอบ
เมาเหมือนหมา...ขาดสติ...ขาดการยับยั้งชั่งใจ...และที่สำคัญ...มันดูแลตัวเองไม่ได้
สตอรี่ล่าสุดของไอ้ทิมทำเอาใจผมร่วง
กล้าล้มลงไปกองกับพื้นเพราะมันทรงตัวไว้ไม่อยู่
[กูไหว กูไหว...กูโอเค...นายท่านมันมาหรือยัง]
แม่งเอ๊ย...ผมไม่ทนอีกต่อไปแล้ว
ผมกดโทรศัพท์โทรออกหาทิม...มันรับสายผมทันทีราวกับโทรศัพท์ของมันนั้นอยู่ในมือของมันอยู่แล้ว
[ฮัลโหล!] มันต้องตะโกนเสียงดังเพราะในร้านที่มันอยู่นั้นกำลังมีดนตรีสด [ไอ้เหี้ยท่าน มึงพิมพ์แชตมา กูไม่ได้ยิน!]
โว้ยยยย กูหงุดหงิดดดดดดด
ตอนที่ผมพิมพ์ข้อความไปหาไอ้ทิมนั้น...ผมไม่ห่วงสวัสดิภาพของโทรศัพท์ของผมด้วยซ้ำ ถ้าผมแข็งแรงกว่านี้อีกนิด ผมบอกได้เลยว่าผมอาจจะบีบโทรศัพท์ตัวเองจนมันพังไปเลยก็เป็นได้
Naaytan_Lkh : เลิกปั่นกันได้แล้ว
Naaytan_Lkh : ลบออกให้หมด
Naaytan_Lkh : กูยอมแล้ว กูยอม! ขอบคุณทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้ที่ทำให้เพื่อนผมมันอ่านไวตอบไว
Tim_Gy : แฟนใคร...มารับไปเอง วันนี้เป็นวันที่สามนับจากคืนที่กล้าบอกเลิกผม...ผมขอสารภาพจากใจของผมว่า...ผมทำเป็นโกรธมันได้แค่นี้ แค่นี้จริงๆ
พวกเราควรลืมทุกอย่างแล้วเริ่มต้นใหม่
ผมรู้สึกขอบคุณตัวเองที่ลดฟอร์มลงมาได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ
ตอนที่ผมไปถึงร้าน...กล้าแม่งกำลังนัวเนียคนนั้นคนนี้ไปทั่ว โชคดีนะที่คนที่มันไปนัวเนียนั้นมีแต่เพื่อนๆ ของมัน ไม่อย่างนั้นล่ะก็...เรื่องการโกรธกันของเราคงต้องยาวต่อไปอีก
มันสลบเหมือด...หลับอย่างไร้สติตลอดทางที่ผมพามันกลับมายังตึกที่เป็นหอของเรา ผมหิ้วมันขึ้นไปบนห้องของมันอย่างง่ายดาย เพราะมันทั้งตัวเล็กและก็ตัวเบา...
“นายท่าน...มาหรือยัง”
ตอนที่ผมแบกมันขึ้นบ่าระหว่างที่ผมกำลังเสียบกุญแจห้องของมัน...ผมก็ได้ยินเสียงมันบ่นพึมพำ
“ยัง” ผมตอบมันอย่างขุ่นเคือง “มันไปตายแล้ว”
“เฮ้ย”
“...”
“มันตายไม่ได้นะ”
“ทำไมมันถึงจะตายไม่ได้ มึงยังถามอยู่เลยเมื่อตะกี้ว่ามันไปตายที่ไหน”
“ก็กู...ฉุนเฉียว” เสียงของมันดังอยู่ตรงแผ่นหลังใกล้ๆ กับไหล่ของผม เพราะใบหน้าของมันอยู่ตรงนั้น
“ใช้คำว่าฉุนเฉียวด้วย”
“...”
“น่ารักดีนะ”
ผมกดเปิดไฟ...พาตัวกล้าไปนอนบนโซฟา จากนั้นก็...
ยืนชาตัวแข็งทันทีกับสิ่งที่เพิ่งเห็น
ผนังข้างห้องของกล้าฝั่งหนึ่งเป็นเรื่องราวของผมทั้งหมด เหมือนกับตอนที่ผมเคยวางแผนเรื่องมันเมื่อประมาณเดือนสองเดือนที่แล้ว ผมอ้าปากค้างเติ่ง ไล่สายตามองดูรูปตัวเอง ข้อความที่ถูกเขียนเพิ่ม ลามไปจนถึงพวกเส้นด้ายต่างๆ ที่กล้าใช้หมุดมาเสียบ
มันน่าอัศจรรย์ใจตรงที่ว่ากล้าได้ทำสิ่งเหล่านี้ภายในเวลาคืนหรือสองคืน แต่ผมใช้เวลาทำตั้งสองปี
ข้อความพวกนั้นทำเอาใจผมอ่อนยวบยาบ...นี่มันไม่ใช่การวางแผน แต่มันคือการพร่ำพรรณนาถึงผมในแบบแปะบนฝาผนังต่างหาก
‘กูควรง้อมึงยังไงมึงถึงจะยิ้มให้กูแบบนี้อีก’
‘สเตตัสเมื่อเกือบสองเดือนที่แล้วของมึง...กูชอบมากนะ’
‘ต่อไปกูยอมให้มึงเป็นเล่นเฟซบุ๊กลับของมึงแต่เพียงผู้เดียวก็ได้ กูไม่ยุ่งแล้วววววว’
‘แบรนด์ที่มึงชอบใช้...กูควรซื้ออันไหนไปดี’
‘หรือมึงอยากได้แหวนอีกสักวง...คราวนี้ไม่ต้องใส่นิ้วกลางแล้ว กูจะให้มึงใส่นิ้วนาง!’ มันจะหมั้นกับผมหรือไง...
ผมยิ้มขณะมองดูรูปตัวเองที่บางรูปก็ถูกมันวาดรูปหัวใจใส่ แต่บางรูปมันก็วาดรูปเล่นใส่ แม้ว่าทั้งหมดนี่จะเป็นการทำภายในระยะเวลาสั้นๆ แต่มันก็ทำให้ผมประทับใจมาก...
ขอเก็บไว้ได้มั้ย...ไม่ต้องรื้อมันทิ้ง
ไว้ผมจะลองขอกับเจ้าตัวอีกทีหนึ่ง...แต่ต้องเป็นตอนที่มันมีสติซะก่อน
ผมเดินมาหากล้าที่โซฟา...มันไถลตัวเปลี่ยนจากนอนพิงโซฟาเป็นนอนในท่าราบเป็นที่เรียบร้อย กลิ่นของแอลกอฮอล์ลอยมาจากตัวของมันจนทำให้ผมต้องย่นจมูก
มันไม่เคยดื่มหนักขนาดนี้มาก่อน...ไม่ว่าจะเป็นตอนไหนๆ ก็ตาม
มันหลับสนิทชนิดที่ว่าถ้าผมปล้ำมันคงไม่รู้สึก (?)...แต่ผมไม่ทำแบบนั้นหรอก ผมแค่นั่งจ้องหน้ามันข้างๆ โซฟาแบบนี้...ผมก็พอใจแล้ว
“แม่งบอกเลิกกูมาได้นะ” ผมพูดทั้งๆ ที่รู้ว่ามันไม่ตอบ “แล้วดูสภาพคนที่บอกเลิกอย่างตัวเองสิ”
บอกได้เลยว่าเละเป็นขี้...
ผมขยับเท้าตัวเอง...เท้าของผมไปโดนเศษกระดาษที่ถูกขยำเป็นก้อนอยู่หลายอัน มันถูกกล้าเขี่ยมาซ่อนไว้ใต้โซฟา
ข้อความในกระดาษเหล่านั้นคือสิ่งที่มันเคยเขียนตอนง้อผมเรื่องนายกอง แล้วมันก็ไม่ได้เขียนแค่แผ่นเดียวครับ แม่งเขียนเป็นสิบๆ
หัวข้อส่วนใหญ่จะเป็น ‘ห้าเหตุผลที่นายท่านควรเลิกโกรธกล้าหาญ’ ‘ห้าเหตุผลที่กล้าหาญอยากให้นายท่านกลับมาคืนดี’ ‘ห้าเหตุผลที่กล้าหาญขาดสติ’ ‘ห้าเหตุผลที่กล้าหาญพูดจางี่เง่า’ และก็...อีกหลายๆ หัวข้อ มันเยอะมากจนผมอ่านไม่ไหว
ทุกแผ่นมันตั้งใจเขียนหมด...เพียงแต่มันเลือกที่จะไม่ใช้ ตัดสินใจขยำกระดาษเป็นก้อน แล้วก็เขี่ยมันมาไว้ใต้โซฟาทั้งหมดแบบนี้
ผมถอนหายใจแล้วเหลือบมองดูคนเมาที่หลับปุ๋ย...
“มึงนี่นะ” ผมไม่รู้จะพูดอะไรออกมาดี “ขอจูบได้ป่ะ”
จุ๊บ
คนเมาไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเพิ่งถูกจูบ...เพราะมันเอาแต่นอน
ผมอ่านกระดาษพวกนั้น แล้วก็พูดออกมาอีก “ขออีกที”
จุ๊บ
มันง้อผมได้สำเร็จโดยที่มันไม่ต้องลงทุนอ้อนวอนอะไรมากเลย...
หลังจากวันนี้ผมควรเปลี่ยนความคิดเสียใหม่...
ไม่ใช่แค่ผมคนเดียวหรอกที่รักมันมากจนเกินไป...มันเองก็รักผมมากจนเกินไปเหมือนกัน
ผมรักมากพอที่จะให้อภัย...มันเองก็รักมากพอที่จะยอมรับว่าตัวเองผิดพลาดแล้วรีบทำการง้องอนผมหลังจากที่รู้ตัวแทบจะในทันที
รักกัน...มันดีกว่าโกรธกันอยู่แล้วจริงมั้ยครับ
ว่าแต่ถ้าผมแกล้งงอนมันอีกสักนิด...ผมจะได้แหวนที่นิ้วนางของผมจากมันจริงๆ ป่ะ
ชักอยากจะเป็นคู่หมั้นของมันจริงๆ แล้วสิ
[ดีกันหรือยังวะ!]
“ดีแล้ว”
[เดี๋ยว พี่กล้าเมาไม่ใช่เหรอ]
“...”
[พี่เขาง้อมึงยังไงเนี่ย]
“ไม่เห็นมันจะง้ออะไร...มาถึงห้องปุ๊บมันก็เอาแต่นอน”
[แบบนี้แปลว่ามึงหายโกรธเองชัวร์ๆ]
“คงงั้นแหละ”
[...]
“เห็นซากอารยธรรมที่ฝาผนังแล้วกูยอมเลยว่ะ”
[ไงล่ะ พี่กล้ากู]
“กะแล้วเชียวว่ามึงต้องรู้”
[พี่เขานั่งวางแผนเล่นมึงเมื่อคืนอ่ะ แม่งโคตรฮา เหมือนมึงเมื่อสมัยก่อนเด๊ะเลย]
“ทำเมื่อคืนเหรอวะ เฮ้ยยย”
[ก็เออดิ แทบไม่ได้นอนเลย]
“เขาคิดมั้ยเนี่ยว่ากูจะมาเห็น”
[กูว่าไม่...]
“...”
[นุก ดีกันแล้วว่ะ (นั่นไง!) เห็นมั้ย...กูบอกแล้วว่าไม่เกินสามวัน]
“เดี๋ยว อะไรของมึงวะ”
[แค่นี้นะ]
“เฮ้ย เดี๋ยว!”
ตู๊ด ตู๊ด ตู๊ด
TBC*สองตอนสุดท้ายมาหลังสงกรานต์นะคะ
อยากอ่านความเห็นคนอ่านด้วย เมนต์มาให้อ่านหน่อยน้า <3