::: ตอนที่ 8 :::
กฏมีไว้ให้ปฏิบัติตาม
กฎย่อมต้องเป็นกฎ และกฎมีไว้ให้ปฏิบัติตาม เมื่อใครไม่รับฟังและไม่อยู่ในกฎจะได้รับบทลงโทษ
จ้าว... เป็นกฎที่ว่านั่น
หลังจากที่ตกลงกันแล้วว่าเพื่อนของตฤณทั้งสามคนจะอยู่ที่คฤหาสน์คืนนี้ นั่นเป็นไปตามแผนที่จ้าววางเอาไว้และมันก็ดูเหมือนจะราบรื่นไปเรื่อยจนกระทั่งถึงมื้ออาหารเย็นที่เนตรไม่ยอมนอนคนละห้องกับยุ้ยไม่ว่าจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร มันทำให้แผนของจ้าวเริ่มสะดุดเพราะถ้าไม่แยกแต่ละคนออกจากกัน แผนที่เขาวางเอาไว้ตั้งแต่แรกมันคงลำบากและหมดสนุกขึ้นอีกเป็นกอง
“ทำไมพี่เนตรไม่นอนคนละห้องกับพี่ยุ้ยล่ะครับ ที่นี่มีห้องว่างอยู่อีกตั้งหลายห้อง อีกอย่างจะได้ไม่ต้องนอนเบียดกันให้รู้สึกอึดอัดด้วยนะครับ”
“ไม่ดีกว่า”
“ครับ น่าเสียดายจัง ห้องในคฤหาสน์นี้มีตั้งมากแต่แทบจะไม่ได้เปิดใช้งานเท่าไรเลย” จ้าวเหลือบมองร่างที่นั่งอยู่ข้างๆ เนตรแล้วรู้สึกเหมือนการที่เธอต้องอยู่ห้องเดียวกับเนตรนั่นเป็นเพราะไม่มีทางเลือก “แล้วพี่ยุ้ยไม่อยากได้ความเป็นส่วนตัวบ้างเหรอครับ”
การอยู่กับเนตรก็ใช่ว่าจะดีเพราะเธอเป็นผู้หญิงที่ค่อนข้างเอาแต่ใจแต่ยุ้ยเลือกที่จะปล่อยให้เนตรอยู่ลำพังไม่ได้ เมื่อคฤหาสน์หลังนี้ค่อยๆ ไร้แสง รัตติกาลมาเยือนพร้อมบรรยากาศเยือกเย็นที่สร้างความน่ากลัวให้กับทุกอณูรูขุมขนทำให้เธอเลือกที่จะเกาะติดเนตรมากกว่าปล่อยให้ตัวเองต้องอยู่คนเดียว
“อยู่กันสองคนก็ดีนะ จะได้ไม่ต้องเสียเวลาจัดห้องเพิ่ม”
“ครับ เดี๋ยวอีกสักพักจ้าวจะให้ลุงมิ่งมาพาไปห้องพักนะครับ”
เมื่อได้บทสรุปแล้ว จ้าวจึงเดินจากไป ใบหน้ากลมมนประดับด้วยรอยยิ้มเย็น ดูเหมือนช่วงนี้จะมีเรื่องสนุกให้เขายิ้มบ่อยเสียเหลือเกิน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของลุงมิ่ง ตฤณ หรือแม้แต่เด็กวัยรุ่นที่เข้ามาเล่นพิเรนทร์ในคฤหาสน์หลังนี้ล้วนแล้วแต่ทำให้ช่วงชีวิตในหลายร้อยปีที่ผ่านมาของจ้าวดูมีสีสันขึ้นอีกมากทีเดียว
พอพ้นสายตาและการรับรู้ของคนที่นั่งอยู่ในห้องรับประทานอาหารแล้ว วิญญาณของเจตรินก็รีบตรงมาหาจ้าวทันที เขารู้ว่าหลังจากนี้จะต้องมีเรื่องให้ทำอีกมากมาย ในขณะที่คนพวกนั้นยังนั่งอยู่ในห้อง นี่ถือเป็นโอกาสที่ดีที่จะได้พูดคุยกับจ้าวได้อย่างสะดวก
‘จ้าว คืนนี้จะให้พี่ทำอะไร’เด็กน้อยกระตุกยิ้มมุมปาก “ฝากไปบอกทุกคนที่อยู่หลังกระจกเงาด้วยว่าหลังพระอาทิตย์ตกดินไปแล้วสนุกกันให้เต็มที่ จ้าวอนุญาต แต่อย่าเพิ่งเล่นกันจนถึงขั้นเอาชีวิตล่ะ”
‘แค่นี้เหรอ แล้วพี่ล่ะ’“พี่เจตไปรอจ้าวในตุ๊กตาได้เลย ตอนนี้มีปัญหานิดหน่อย ขอจ้าวจัดการให้เรียบร้อยก่อนนะ”
‘ให้พี่ช่วยไหม’“ไม่ดีกว่า จ้าวมีแผนของจ้าวอยู่แล้ว พี่เจตแค่ไปรอเงียบๆ เมื่อถึงเวลานั้นแล้วจ้าวจะบอกเองว่าให้ทำอะไร”
เจตรินไม่ค่อยอยากขัดคำสั่งจ้าวเท่าไรนักเช่นเดียวกับที่จ้าวไม่ชอบให้ใครขัดคำสั่ง
“พระจันทร์กำลังขึ้นแล้ว พี่เจตรีบไปเถอะครับ แต่... เอ๊ะ! เหมือนจ้าวจะลืมอะไรบางอย่างไปนะ” จ้าวทำท่าครุ่นคิดในขณะที่เดินไปตามทางที่พาออกไปนอกคฤหาสน์แต่สุดท้ายเจ้าตัวก็พูดขึ้นมาเองก่อนที่เจตรินจะได้เตือนสติว่าน้องชายของเขาลืมเรื่องสำคัญบางอย่างไป “จ้าวลืมบอกกฎของที่นี่ได้ยังไง แบบนี้มันจะไปสนุกตรงไหนล่ะ จริงไหมครับ พี่เจต”
‘จ้าวว่ายังไง พี่ก็ว่าตามนั้น’“หวังว่าลุงมิ่งคงยังไม่พาพวกเขาไปส่งที่ห้องแล้วหรอกนะ บอกตรงๆ ว่าจ้าวขี้เกียจไปเคาะทีละห้อง”
‘ให้พี่ช่วยไหม’“ยังก่อนครับ จ้าวยังไม่อยากให้ใครเห็นพี่ตอนนี้ พี่เจตเป็นวิญญาณก็ต้องรับบทเป็นวิญญาณสิครับ”
‘พูดอย่างกับจ้าวไม่ใช่’เด็กน้อยที่แสนดีของเจตรินนิ่งไปชั่วครู่ จะให้ตอบรับว่าใช่ก็ไม่เชิงแต่ถ้าให้ตอบปฏิเสธ พี่ชายก็ไม่เชื่ออยู่ดีว่าแท้จริงแล้วเขาเป็นอะไรที่มากกว่านั้น “ถ้าจ้าวบอกว่าจ้าวเป็นปีศาจจริงๆ ล่ะครับ พี่เจตจะเชื่อไหม”
‘น้องชายของพี่ไม่ใช่ปีศาจ ก็แค่ร้ายกาจกว่าเด็กทั่วไปเท่านั้น’“นี่ถือเป็นคำชมไหมครับ”
จ้าวหัวเราะน้อยๆ เพราะถ้านั่นเป็นคำชมก็แปลว่าเขาร้ายกาจจริงๆ แต่ทว่านั่นก็เป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวของสิ่งชั่วร้ายตนนี้เท่านั้น มันยังมีอะไรมากกว่านี้ที่ใครหลายคนอาจคาดไม่ถึงรวมถึงตัวเจตรินเองด้วย เขาเพียงแค่ต้องเก็บมันเอาไว้ในร่างของเด็กชายตัวเล็กคนนี้
'พี่ก็ต้องชมจ้าวอยู่แล้วล่ะ พี่มีน้องชายอยู่คนเดียวนะ’“จริงๆ พี่เจตก็ร้าย ไม่ใช่ไม่ร้ายแต่พี่เลือกที่จะแสดงให้คนอื่นเห็นว่าเป็นคนดีใช่ไหมล่ะครับ มันก็เหมือนกับจ้าวที่พยายามทำให้คนอื่นเห็นว่าเด็กตัวเล็กๆ คนนี้ไม่ได้มีพิษมีภัยอะไร แต่ถ้าไม่ระวังตัวล่ะก็จะถูกมีดที่แอบซ่อนอยู่ข้างหลังคร่าเอาจนถึงชีวิตได้”
‘พี่อยู่กับจ้าวมากี่ปี ถึงจะไม่อยากร้ายแต่ก็ต้องร้ายให้เป็น ยังไงก็ตามพี่คงสู้จ้าวไม่ได้อยู่แล้ว’จ้าวกระตุกยิ้มมุมปากเล็กน้อย แน่นอนว่าคงไม่มีใครจะร้ายกาจไปกว่าปีศาจอีกแล้ว “พี่เจตไปได้แล้วล่ะครับ จ้าวก็ต้องรีบไปทำหน้าที่เจ้าของคฤหาสน์ที่ดี เตือนพวกพี่เขาบ้างแล้วล่ะ”
วิญญาณของเจตรินที่ลอยตามจ้าวต้อยๆ หายไปจากที่ตรงนั้นแล้ว เช่นเดียวกับร่างของจ้าวที่ก็หายไปจากที่ตรงนั้นด้วย มาปรากฏกายให้เห็นอีกทีก็ที่หน้าประตูห้องพักของลี เสียงประตูห้องดังขึ้นสามครั้งโดยที่มือเล็กนั่นยังไม่ทันได้เคาะลงไปบนบานประตูด้วยซ้ำ
“ครับ!” เสียงตอบรับดังมาจากในห้องก่อนที่ประตูจะถูกเปิดออก
“พี่ลี จ้าวมารบกวนหรือเปล่าครับ”
“อ๋อ ไม่ๆ มีอะไรหรือเปล่า”
“จ้าวลืมบอกกฎของที่นี่ไปน่ะครับว่าหลังเที่ยงคืนไปแล้วห้ามออกจากห้อง ห้ามส่องกระจกหรือถ้าได้ยินเสียงอะไรก็อย่าไปใส่ใจครับ ถ้าเป็นไปได้ล่ะก็จ้าวอยากให้พี่ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดนะครับ”
ดูเหมือนลีจะเข้าใจมันดีทีเดียว สิ่งที่เป็นคำถามคอยรบกวนจิตใจมาตลอดตั้งแต่ที่ก้าวเข้ามาในคฤหาสน์หลังนี้พอจะคลายตัวลงบ้างแล้ว เหตุผลของการที่ไม่มีใครอยากเข้าใกล้บริเวณนี้แม้แต่พนักงานร้านพิซซ่าก็ยังปฏิเสธที่จะมาส่งหลังพระอาทิตย์ตกดินไปแล้ว เหตุผลของการที่ทำไมตอนอ่านประวัติของครอบครัวคัลเลนถึงได้เกิดเรื่องประหลาดขึ้น
“ที่นี่มีอะไรบางอย่างที่นอกเหนือจากคนอย่างเราๆ ใช่ไหม”
“ไม่รู้เหมือนกันครับ จ้าวก็แค่มาเตือนเอาไว้ ไม่อยากให้พี่ไปไหนมาไหนตอนกลางคืนเพราะมันอันตราย อีกอย่างที่นี่ก็กว้างด้วย ถ้าเกิดพี่หลงทางแล้วกลับห้องไม่ถูก พี่ตฤณคงไม่สบายใจแน่ครับ”
น้ำเสียงที่จ้าวใช้พูดออกมาแฝงไปด้วยความเป็นห่วงเป็นใยแต่ทว่าใบหน้ากลมสีไข่มุกยังคงเรียบเฉย
“แล้วทำไมต้องห้ามส่องกระจกหลังเที่ยงคืนด้วย”
“พี่ลีครับ โบราณเขาว่าเอาไว้ว่าส่องกระจกหลังเที่ยงคืนมักจะเห็นผีนะครับ”
“ผะ... ผี?”
“จ้าวล้อเล่นหรอกครับ แค่อยากจะบอกว่าคนโบราณเขาเชื่อว่าตอนกลางคืนมันมืดแล้วพอส่องกระจก เห็นหน้าตัวเองไม่ชัดแล้วจะนึกว่าเจอผีน่ะครับ พี่ลีอย่าคิดมากไปเลย แค่ทำตามที่จ้าวบอกก็พอครับ”
เจอคำเตือนแบบนี้ก็ทำเอาลียิ้มไม่ออกได้เหมือนกัน ยิ่งมาเห็นสภาพคฤหาสน์ที่ชวนให้นึกถึงบ้านผีสิงด้วยแล้วยิ่งทำให้รู้สึกว่าถ้าละเมิดกฎตามที่เด็กคนนั้นบอกมาก็อาจจะมีภัยมาถึงตัวได้ แต่เขาก็ยังทำเป็นนิ่งและพร้อมรับฟังแต่ไม่แน่ใจตัวเองว่าจะปฏิบัติตามได้ไหม
“จ้าวมาบอกแค่นี้แหละครับ ไม่รบกวนพี่แล้ว”
จ้าวเดินออกมาจากหน้าประตูห้องตรงไปยังอีกห้องที่อยู่ถัดไปเพื่อพูดบอกประโยคเดียวกันกับที่พูดเมื่อครู่นี้ ไม่จำเป็นต้องเคาะประตูมันก็ดังก๊อกๆ ถึงสามครั้ง รอไม่นานเท่าไรนักประตูห้องจึงเปิดออก เนตรกำลังนอนเล่นโทรศัพท์มือถือของตัวเองอยู่บนเตียงนอน หนีไม่พ้นต้องให้ยุ้ยเป็นคนมันเปิดมัน
“ขอโทษนะครับ พี่ยุ้ย พี่เนตร จ้าวรบกวนไม่นานหรอกครับ”
“มีอะไรเหรอ”
“คือ... จ้าวลืมบอกกฎของที่นี่น่ะครับ คือว่ามันเป็นกฎสำคัญมาก อยากให้พี่ช่วยปฏิบัติตามด้วยนะครับ หลังเที่ยงคืนไปแล้วอย่าออกไปไหนเด็ดขาดเลยนะครับ กระจกก็ห้ามส่อง ได้ยินเสียงอะไรก็ห้ามทัก ห้ามสนใจ”
“ที่ว่าห้ามออกไปไหนก็พอเข้าใจอยู่หรอกนะ แต่ห้ามส่องกระจก ห้ามสนใจเสียงอะไรนั่นมันคืออะไร ที่นี่มันมีอะไรเหรอ”
จ้าวส่งสายตาอันเป็นมิตรที่เคลือบแฝงความชั่วร้ายไปให้ก่อนจะทำเสียงประหนึ่งเป็นห่วงเป็นใยพี่สาวทั้งสองคนมากมาย “ที่นี่ชอบมีคนเข้าใจผิดคิดว่าเป็นคฤหาสน์ร้างแถมยังมีผีสิง แล้วคนก็มักชอบมาลองของกันตอนดึกๆ ดื่นๆ บางทีก็มีหัวขโมยด้วย จ้าวกลัวว่าถ้าพวกพี่สนใจเสียงพวกนั้นแล้วจะทำให้พวกมันรู้ตัว พวกพี่ก็อาจจะเป็นอันตรายได้ คนงานของที่นี่ก็มีไม่มากคงดูแลได้ไม่ทั่วถึง ที่จ้าวพูดแบบนี้ก็เพราะเป็นห่วงในความปลอดภัยของพี่ยุ้ยกับพี่เนตรนะครับ”
คำพูดของจ้าวฟังดูแปลกๆ ยุ้ยไม่ค่อยอยากจะเชื่อว่ามันจะมีแค่นั้นจริงๆ แต่เธอก็ทำเป็นนิ่งเงียบและตั้งใจฟัง
“มีอะไรอีกหรือเปล่า”
“อ๋อ! ไม่มีแล้วครับ จ้าวมาบอกแค่นี้ ขอตัวไปหาพี่ตฤณก่อนนะครับ”
“ตฤณพักอยู่ห้องไหน”
“ห้องที่อยู่เยื้องกับกับบันไดน่ะครับ งั้นจ้าวไปแล้วนะครับ”
“อืม” ยุ้ยพยักหน้าก่อนที่จะปิดประตูห้องลง
กับดักชิ้นโตอันหอมหวานถูกวางเอาไว้แล้ว เหลือแค่เพียงจะมีใครเดินมาติดกับนั้นไหม จ้าวกำลังเฝ้ารอมันอย่างใจจดใจจ่อเลยทีเดียวล่ะ
-----------------------------------------
“พี่ตฤณครับ นี่จ้าวเองนะครับ อยู่ในห้องหรือเปล่า”
แน่นอนว่าจ้าวรู้ว่าตฤณอยู่ในนั้น
“จ้าวขอเข้าไปนะครับ”
บานประตูถูกเปิดเข้ามา เขาปรายตามองตุ๊กตาหมีขมปุยที่วางอยู่บนเตียงนอนในห้อง ตอนนี้ใกล้ได้เวลาแล้ว รอเพียงแค่เหยื่อเดินเข้ามาติดกับ คืนนี้คงกลายเป็นคืนหฤหรรษ์อีกคืนหนึ่งแน่นอน มือเล็กคว้าเอาตุ๊กตาที่มีวิญญาณเจตรินสิงสถิตอยู่ขึ้นมากอดแนบอกแล้วกระซิบเบาข้างหู “ถ้าพี่เนตรมาแล้ว พี่เจตช่วยพาผู้หญิงที่อยู่ในห้องที่มีกระจกไปเที่ยวในโลกของเราหน่อยนะครับ”
ตุ๊กตาหมีขนปุยตัวเก่าถูกวางไว้บนเก้าอี้วิคตอเรียและวิญญาณของเจตรินก็ออกไปแล้ว เขาไปหลบซ่อนอยู่ใต้เงามืดที่ใดที่หนึ่ง ณ คฤหาสน์หลังนี้ รอเวลาที่จะได้ลงมือทำให้สิ่งที่จ้าวอยากให้ทำ สิ่งที่เด็กคนนั้นนึกสนุกอยากให้แขกผู้มาเยือนได้ความทรงจำที่ดีกลับไป
“พี่ตฤณครับ”
“.....”
“พี่ตฤณครับ จ้าวขอนอนด้วยคนได้ไหม”
“.....”
ตฤณไม่ยอมตอบแต่จ้าวได้ยินเสียงน้ำที่กำลังไหลออกจากฝักบัวที่อยู่ในห้องน้ำ เขาเดาว่าเพราะเสียงน้ำที่ดังเกินไปจนกลบเสียงใสๆ ไปจนสิ้น ดวงตาสีเพลิงฉายแววแห่งความเจ้าเล่ห์ราวกับจิ้งจอกตัวน้อยก่อนจะทิ้งตัวลงไปนอนอยู่ใต้ผืนผ้าห่ม ซุกตัวอยู่อย่างนั้นจนกว่าตฤณจะออกมาจากในนั้นแล้วแสร้งทำเป็นหลับสนิท
กว่าตฤณจะออกจากห้องน้ำ จ้าวก็แสร้งหลับจนเมื่อยเนื้อเมื่อยตัวไปหมดแต่ทว่ามันก็คุ้มค่าเมื่อได้ยินเสียงตฤณพูดกับเขาด้วยความอ่อนโยนเพราะนั่นหมายความว่าฝ่ายนั้นคงกำลังเริ่มหลงใหลในตัวเขาเข้าไปทุกทีแล้ว
“ตอนหลับทำไมน่ารักแบบนี้นะ เสียดายที่คราวที่แล้วไม่ทันได้สังเกต”
“ตฤณ!! เปิดประตูให้เนตรหน่อย ตฤณ!”
เสียงตะโกนร้องเรียกของหญิงสาวดังอยู่หน้าห้องพร้อมกับเสียงเคาะประตูที่ดังถี่รัวเหมือนมีเรื่องอะไรร้อนใจ
“ตฤณ!! ได้ยินเนตรไหม เปิดประตูให้เนตรหน่อย”
ตฤณขยับตัวออกห่างจากเด็กตัวน้อยที่นอนขดตัวอยู่ใต้ผ้าห่ม เดินไปเปิดประตูให้กับเนตรที่ร้องเรียกอยู่หน้าห้องอย่างเร่งรีบ เขากลัวว่าถ้าเนตรยังคงส่งเสียงดังอยู่อย่างนี้จะทำให้คนที่หลับสนิทต้องตื่นขึ้นมา
“ว่ายังไง เนตร”
“เนตร... เนตรขอนอนด้วยได้ไหม”
ตฤณถึงกับนิ่งไปเล็กน้อยก่อนที่จะพูดขึ้นมา “แล้วยุ้ยล่ะ เนตรนอนกับยุ้ยไม่ใช่เหรอ”
“ก็ใช่ แต่เนตรมานอนด้วยไม่ได้เหรอ ทีเด็กคนนั้นยังอยู่บนเตียงนอนตฤณได้เลย”
“มันไม่เหมือนกันไหม จ้าวเป็นผู้ชายแต่เนตรเป็นผู้หญิงแล้วจะให้มานอนห้องเดียวกันได้ยังไง”
เนตรทำเสียงฮึดฮัดไม่พอใจ ตั้งแต่ที่ตฤณย้ายมาอยู่ในคฤหาสน์หลังนี้ก็ดูเหมือนว่าจะให้ความสนใจและเอาใจจ้าวมากเป็นพิเศษกว่าใคร ทั้งที่เธอก็เป็นทั้งเพื่อนและคนที่รักตฤณมาก รู้จักมาก็นานกว่า มีอะไรหลายๆ อย่างที่ดูเหมือนว่าเธอจะได้ภาษีดีกว่าด้วยซ้ำ
“แล้วทำไมถึงให้เด็กคนนั้นอยู่ในห้องได้”
“พี่ชายเขาไม่อยู่ ผมที่อายุมากกว่าก็ต้องดูแลเขาสิ”
“แค่ดูแล เนตรก็ไม่อยากว่าอะไรนะ แต่ตฤณก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าเนตรคิดยังไงกับตฤณน่ะ”
“ผมรู้”
แค่คำว่ารู้ของตฤณไม่ได้ทำให้เนตรดูจะพอใจขึ้นมาเท่าไร เพราะคำว่ารู้มันก็แค่รู้แต่ไม่พยายามเข้าใจความรู้สึกของเธอเลยที่พอเห็นคนที่รักมีใครอีกคนนอนอยู่บนเตียงเดียวกัน แม้อีกฝ่ายจะเป็นแค่เพียงเด็กผู้ชายก็ตาม
“งั้นตฤณไปส่งเนตรที่ห้องได้ไหม”
ตฤณชำเลืองมองไปยังร่างเล็กที่อยู่ใต้ผืนผ้าห่ม ร่างนั้นขยับตัวเล็กน้อยคล้ายจะตื่นแต่ทว่าความจริงแล้วจ้าวไม่ได้หลับ เขาเพียงแค่หลับตารอจังหวะและตอนนี้ก็ถึงเวลาแล้วที่จะค่อยๆ ลุกขึ้น ทำหน้าตาสะลืมสะลือคล้ายกับเพิ่งตื่นเพราะถูกปลุกจากเสียงที่คุยกันอยู่หน้าห้อง
“พี่ตฤณ...”
“ครับ”
“เสียงดังอะไรกันเหรอครับ” จ้าวพูดพลางขยี้ตาตัวเอง ส่งสายตาเป็นประกายเชิงออดอ้อนไปให้กับชายที่อยู่ตรงหน้า
“ไม่มีอะไรหรอก จ้าวหลับเถอะ เดี๋ยวพี่ขอไปส่งเนตรที่ห้องก่อนนะ”
“พี่ตฤณ... จ้าวคงนอนไม่หลับแน่เลยถ้าพี่ตฤณไม่กอด”
ริมฝีปากรูปกระจับถูกขบกัดเล็กน้อย สายตาที่แสดงความอ้อนถูกเปลี่ยนไปเป็นการเรียกร้องความน่าสงสารและเห็นใจให้ตฤณเลือกที่จะอยู่กับเขาแทนที่จะเดินไปส่งเนตรที่ห้อง ไม่อย่างนั้นแผนที่วางไว้อาจยังไม่ทันสำเร็จดีก็ถูกจับได้เสียแล้ว
“ตฤณ”
“พี่ตฤณครับ อยู่กับจ้าวก่อนนะ”
“เอ่อ... พี่ขอไปส่งเนตรก่อนแล้วเดี๋ยวจะกลับมา”
ความไม่สบอารมณ์แสดงอยู่บนใบหน้ากลมมนอยู่เพียงครู่ก่อนที่เจ้าตัวจะลุกออกมาจากเตียงนอน เดินตีหน้าเศร้าเข้าไปหาตฤณ กระตุกชายเสื้ออีกฝ่ายราวกับจะเรียกให้หันมาสนใจเขาหน่อย เมื่อตฤณก้มลงมาใกล้ก็ถูกจ้าวขโมยหอมแก้มไปหนึ่งครั้งแต่เป็นหนึ่งครั้งที่ทำให้เนตรเดือนพล่านแต่ทว่าเธอกลับแสดงออกมากไม่ได้
“ถือว่าเป็นค่าไถ่โทษนะครับ”
จ้าวหันหลังเดินกลับลงไปทิ้งตัวนอนลงบนเตียงด้วยแววตามุ่งร้ายที่แอบซ่อนเอาไว้
“ตฤณ! ไปส่งเนตรที่ห้อง”
สิ้นเสียงของเนตรและฝีเท้าสองคู่ที่เดินจากไปพร้อมกับประตูห้องที่ปิดลง จ้าวลุกขึ้นมานั่งพิงหัวเตียง เคาะนิ้วไปมาเป็นจังหวะลงบนฟูกนอน นับถอยหลังไปเรื่อยๆ อย่างอารมณ์ดี แม้จะอยากออกไปจัดการเรื่องบางเรื่องแต่ก็ต้องรอจนกว่าตฤณจะกลับเข้าห้องมา
โชคดีที่ในห้องมีกระจก จ้าวจึงเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้ากระจกยาวบานหนึ่ง ภาพของเด็กผู้ชายตัวเล็กที่สะท้อนเงาอยู่ในกระจกบานนั้นค่อยๆ หายไปแม้กระทั่งสิ่งที่อยู่เป็นฉากหลังก็ยังดำมืด เรียวขาเล็กก้าวเข้าไปในกระจกยาวบานนั้นพร้อมด้วยรอยยิ้มแห่งความชั่วร้าย
ทางที่จ้าวเดินไปไร้แสงรอบทิศทาง มองไม่เห็นอะไรในความมืดมิดนั้นแต่ดวงตาสีเพลิงแห่งปีศาจย่อมมองเห็นทุกอย่างในโลกของตัวเอง
“คุณวินเซ้นท์”
“เธอคนนั้นมาหรือยัง”
“มาแล้วค่ะ กำลังเตรียมการต้อนรับเป็นอย่างดีตามที่คุณวินเซ้นท์สั่ง”
“ดีมาก อย่าเพิ่งเล่นสนุกจนถึงตายล่ะ”
จ้าวสั่งกับวิญญาณตนหนึ่งที่อยู่ในกระจกเงาเสร็จก็รีบก้าวออกมา เขารับรู้ว่าตฤณส่งเนตรถึงหน้าห้องแล้วกำลังจะปลีกตัวเดินกลับมา ก่อนที่จะได้รู้ว่าเขาไม่อยู่ในห้องแต่อยู่ในบานกระจกแทน
เมื่อจ้าวก้าวเท้าออกมาแล้วก็รีบแทรกตัวเข้าไปในผืนผ้าห่ม หันหน้ามองประตูห้องอย่างคนกำลังรอคอย พอได้จังหวะและรับรู้ว่าตฤณเดินมาถึงหน้าห้องแล้วก็รีบปรับสีหน้า แววตาให้ตัวเองกลายเป็นเด็กน้อยที่ดูน่าสงสาร ผู้ที่กำลังเฝ้ารอการกลับมาของอ้อมกอดอันแสนอบอุ่น
ทันทีที่ได้ยินเสียงกลอนประตูห้องขยับ จ้าวยิ่งจ้องเขม็งไปยังประตูห้องเพื่อให้รู้ว่าเขากำลังรอคอยการกลับมา
“พี่ตฤณ จ้าวนอนไม่หลับเลย”
“ทำไมนอนไม่หลับ”
“ไม่มีใครให้กอดเลยนอนไม่หลับ จ้าวคิดถึงพี่เจต”
น้ำเสียงที่เศร้าสลดชวนเชื่อเรียกความเห็นอกเห็นใจจากตฤณได้ เขาเดินลงมานั่งข้างเตียง เอื้อมมือที่ใหญ่กว่าขึ้นไปลูบหัวเบาๆ คล้ายจะปลอบประโลมให้คลายเศร้าแต่หารู้ไม่ว่าการกระทำของจ้าวในตอนนี้เป็นเพียงแผนการหนึ่งและมันเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น
“พี่ตฤณกอดจ้าวอีกนะครับ กอดของพี่มันอบอุ่นมากเลย”
ไม่เพียงแค่พูดเท่านั้น มือเล็กยังคงกระตุกชายเสื้อของอีกฝ่ายยิกๆ เป็นเชิงเรียกร้องให้ทำตามที่ขอ
“นะครับ พี่ตฤณ”
ตฤณไม่รู้จะทำยังไงจึงได้แต่สอดตัวเข้าไปใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน วางหัวลงหมอนใบเดียวกันโดยที่ใบหน้ากลมนั้นอยู่ห่างออกไปไม่ถึงคืบด้วยซ้ำ ใกล้กันยิ่งกว่าเมื่อวาน ชิดกันจนรับรู้ถึงความเย็นที่แผ่กระจายอย่างบางเบาออกมาจากร่างเล็ก เขาดูจะนิ่งไปเล็กน้อย ร่างกายที่อยู่ใต้ผ้าห่มไม่ควรจะเย็นขนาดนี้
“ทำไมตัวจ้าวเหมือนจะเย็นๆ”
“ก็จ้าวหนาวไงครับ พี่ตฤณต้องกอดจ้าวให้แน่นๆ เลยนะครับ”
ตฤณกลัวว่าถ้ากอดร่างเล็กที่นอนอยู่ใกล้เพียงแค่นี้แล้วกลัวว่ามันจะเลยเถิดกันไปใหญ่ คราวที่แล้วก็เกือบจะรั้งอารมณ์และสติของตัวเองเอาไว้ไม่อยู่ ยิ่งใกล้ชิดยิ่งเหมือนถูกดึงดูดให้เข้าหา ยิ่งแนบแน่นยิ่งอยากจะถลำลงไปให้ลึกกว่านี้ เขาไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร พอได้ย้ายมาอยู่ที่คฤหาสน์หลังนี้จริงๆ ก็ดูเหมือนจะยิ่งหลงเสน่ห์เด็กตัวน้อยคนนี้เข้าอย่างจัง
“พี่... พี่ไม่กล้ากอดจ้าวแน่น กลัวอึดอัด”
“จ้าวไม่อึดอัดหรอกครับ แต่ถ้าพี่ตฤณลำบากใจ จะให้จ้าวกอดก็ได้นะครับ”
ร่างเล็กขยับตัวเล็กน้อยพอจะให้ซอกคอที่ถูกปิดด้วยปกคอเสื้อสูงได้อยู่ใกล้กับตำแหน่งปลายจมูกของตฤณอย่างพอดิบพอดี นิ้วเรียวเล็กแอบสอดเข้าไปข้างในนั้นแล้วจิกเล็บเข้าที่เนื้อของตัวเองด้วยลักษณะท่าทางที่ตฤณเห็นว่าเป็นแค่การขยับปกคอเสื้อคอให้เข้าที่เข้าทางเท่านั้น
“ทำไมตัวจ้าวหอมแบบนี้”
“ถ้าพี่ตฤณชอบ จะอยู่แบบนี้นานๆ เลยก็ได้นะครับ”
จ้าวเองก็หวังว่าตฤณจะยอมอยู่ในท่านี้ไปนานๆ นานพอที่เลือดจากบาดแผลเล็กๆ จะไหลลงมาให้ได้ลิ้มรสที่จะทำให้ลืมไม่ลงและติดใจไปอีกนานแสนนาน
“ถ้าพี่ตฤณคิดว่าตัวจ้าวหอม จะลองชิมดูก็ได้นะครับ”
น้ำเสียงยั่วยวนเกือบจะพาให้ตฤณตกหลุมพราง ดีที่เขาได้สติมาก่อนจึงขยับตัวออกห่างเล็กน้อยพอให้มีระยะระหว่างกันไว้บ้าง สีหน้าของจ้าวดูเปลี่ยนไปเล็กน้อยทั้งที่เขาพยายามขนาดนี้แล้วแต่ใช่ว่ามันจะหมดหนทางเสียทีเดียว เขายังคงพยายามต่อ
“จ้าวคงทำให้พี่ตฤณลำบากใจจริงๆ สินะครับ งั้นจ้าวกลับไปนอนที่ห้องของตัวเองก็ได้”
ริมฝีปากรูปกระจับหงิกง้ำลง ดวงตาสีเพลิงทอดต่ำและดูหมองลงกว่าเดิม จ้าวทำท่าจะลุกออกจากเตียงนอน เตรียมก้าวเท้าลงแตะพื้นแต่ถูกรั้งเอาไว้เสียก่อน เส้นประสาทบริเวณริมฝีปากเผลอกระตุกเบาๆ หนึ่งครั้ง
“พี่... พี่ไม่อยากเผลอทำอะไรที่ไม่ให้เกียรติจ้าว”
“ไม่เป็นไรครับ จ้าวไม่ถือ ถ้าพี่ตฤณจะทำแค่กอดหรือซุกหน้าลงบนคอจ้าว”
ถ้าแค่กอด ตฤณก็กลัวว่ามันอาจจะเป็นมากกว่าแค่กอด ถ้าแค่ซุกซอกคอสีไข่มุกก็กลัวว่ามันอาจจะมีร่องรอยบางอย่างที่เขาฝากมันเอาไว้ ยิ่งอยู่ใกล้ยิ่งรู้สึกเหมือนตัวเองจะอดใจไม่ไหวเข้าไปทุกที มือแกร่งดึงร่างเล็กให้ลงมานอนบนเตียงก่อนที่จะซุกสันจมูกเข้าซอกคอขาวเนียนที่กำลังเชิญชวนให้เขาได้ลิ้มลอง มันช่างหอมหวานราวกับพรมน้ำหอมมาทั่วร่าง
“พี่ตฤณ...”
“พี่ชักจะหลงจ้าวเข้าไปทุกทีแล้วสิ เพราะอะไรกัน”
“เพราะจ้าวเป็นเด็กน่ารักล่ะมั้งครับ”
“งั้น... หืม?”
ในขณะที่กำลังซุกปลายจมูกสูดดมความหอมที่ค่อยๆ กระจายออกจากร่างเล็กๆ ริมฝีปากของตฤณก็รับรู้ถึงรสชาดฝาดเฝื่อนของอะไรบางอย่างที่ไหลเข้าปาก กลิ่นคาวคล้ายเลือดคละคลุ้งไปทั่วปากจนแน่ชัดแล้วว่าที่ปลายลิ้นได้สัมผัส ความรู้สึกที่รับรู้ได้นั่นคือเลือดของแท้ เลือดที่ไหลออกมาจากซอกคอขาวเนียนที่ตฤณพยายามฝังใบหน้าของตัวเองลงไป
“เลือดจ้าวอร่อยไหมครับ”
“จ้าว...”
“มันต้องอร่อยแน่อยู่แล้วล่ะครับ เลือดของจ้าวเป็นของหายากจะตาย”
รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของปีศาจร้ายปรากฏชัดเจนบนใบหน้ามน ถ้าตอนนี้ตฤณจะไม่ชอบมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่ถ้าเลือดของเขาได้ไหลลงคอไปแล้วล่ะก็ต่อจากนี้กลิ่นคาวเลือดก็จะกลายเป็นกลิ่นที่หอมที่สุด ความฝาดลิ้นที่ได้รับรู้ยามลิ้นได้สัมผัสมันจะกลายเป็นความอร่อยราวกับตับห่านฟัวกราที่ถูกขุนมาอย่างดี
“จ้าว...”
ตฤณพูดอะไรไม่ออก แต่เขารู้สึกเหมือนเจอสิ่งที่โหยหามานานแม้ว่าเขาจะรู้แก่ใจว่านั่นคือเลือดที่ไหลออกมาจากลำคอเรียวแต่เขากลับรู้สึกติดใจอย่างบอกไม่ถูก คำถามที่ว่าได้แผลมาจากไหนถูกกลืนหายไป
“ถ้าพี่ตฤณชอบมัน จ้าวยกให้ก็ได้ครับ แต่ขอเพียงให้พี่ตฤณเชื่อฟังจ้าวก็พอ ตกลงไหมครับ”
“อืม... พี่ขอนะ”
“เชิญสิครับ”
ปลายลิ้นลากไล้ไปตามลำคอขาวเนียน พยายามดูดเอาน้ำสีแดงที่ไหลออกมาจากบาดแผลเล็กๆ เป็นของตัวเอง จากสิ่งที่มนุษย์ทุกคนควรจะเกลียดกลับกลายเป็นสิ่งที่เขาปรารถนา จากกลิ่นคาวเลือดที่ชวนให้อยากอาเจียนในครั้งแรกกลับกลายเป็นกลิ่นหอมที่ดอมดมได้นานเท่านาน
“อ๊า~ พี่ตฤณเบาๆ สิครับ อย่าดูดแรง จ้าวเจ็บนะ”
จ้าวสะดุ้งเล็กน้อย ไม่คิดว่าผลของการให้ดื่มเลือดสดจากซอกคอจะส่งผลได้แรงขนาดนี้ แต่ยิ่งแรงนั่นก็ยิ่งดีและดูเหมือนว่าตฤณจะไม่หยุดแค่นั้น มือข้างหนึ่งสอดเข้าไปข้างใต้เสื้อลูบหน้าท้องที่แบนราบและเย็นเฉียบวนไปมาอย่างเบามือและรุ่มร้อนราวกับไฟกามอารมณ์กำลังจะลุกโชน
“พี่ตฤณ พอก่อนครับ พอก่อน”
มือเล็กแตะลงบนหลังมือที่อยู่ข้างใต้เสื้อตัวบาง ไม่ใช่ว่าไม่อยากแต่ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาสำหรับทำเรื่องแบบนั้น
“จ้าว... พี่ขอนะ”
“ไม่ได้ครับ พี่ตฤณ มันไม่ใช่ตอนนี้ จ้าวง่วงแล้วครับ”
“งั้นพี่ขอกอดจ้าวแบบนี้นะ พี่จะกอดจ้าวเอาไว้แน่นๆ”
“แล้วแต่พี่ตฤณเลยครับ”
จ้าวปล่อยให้ตฤณได้กอดเขาเอาไว้อย่างที่ใจอยาก ได้เก็บเกี่ยวความสุขจากร่างกายของเขาได้อย่างที่ต้องการโดยไม่คิดที่จะว่าอะไรเพราะรู้อยู่แล้วว่าเลือดของเขาส่งผลกระทบกับร่างกายมนุษย์อย่างไรบ้างและมันย่อมไม่จบลงที่ตรงนี้แน่ มันแค่เพิ่งเริ่มต้น ราตรีนี้ยังอีกยาวไกลนัก
** ติดตามตอนต่อไป **ตอนหน้าจะได้รู้กันแล้วนะคะว่าใครจะโดนจ้าวจัดก่อนคนแรกเลย .... อยากบอกใบ้มาก แต่ก็อยากให้ลุ้นเอาเองเหมือนกันค่ะ แหะๆๆ
-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-
areenart1984ขอบคุณค่ะ รอลุ้นกันตอนหน้าได้เลยค่ะว่าใครจะได้โดนดีก่อนคนแรกเลย
kunขอบคุณนะคะ ประวัติคฤหาสน์หลังนี้... ได้รู้แน่นอนค่ะแต่ว่ามันไม่ใช่ตอนนี้ ตอนนี้ขอยกให้หนูจ้าวไปก่อนนะคะ ^^
Nekosamaขอบคุณนะคะ ทิ้งพี่เจตไว้ในห้องมันมีเหตุผลค่ะ แต่ยังไม่บอก 555+