✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 26 **END** [27/06/2561]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 26 **END** [27/06/2561]  (อ่าน 18243 ครั้ง)

ออฟไลน์ t2007

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2400
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-5

ออฟไลน์ BlueSora

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
::: ตอนที่ 14 :::
สวัสดีค่ำคืนแห่งความสนุก






คืนแห่งความสนุกคงไม่จบลงที่ต่างฝ่ายต่างเข้านอน


จ้าวพาเนตรเข้ามาที่ห้องหนึ่งใกล้กับบันไดทางลงไปชั้นล่างแต่ยังคงอยู่ทางปีกขวามือ ไม่ใช่ห้องเก่าที่ตฤณเคยพักแต่อยู่ติดกัน เขาปล่อยเธอไว้ในห้องนั้นลำพังโดยไม่ได้พูดอะไร

กึก! กึก!

ร่างของเนตรสั่นสะท้านด้วยความกลัวที่ไม่รู้ว่าการถูกปล่อยไว้ในห้องนี้จะเจอะเจอกับอะไรอีก แค่เพียงที่ผ่านมา สติก็แทบจะหลุดลอยออกไปจากร่างอยู่แล้ว ยิ่งได้ยินเสียงเหมือนมีอะไรบางอย่างขยับ เธอยิ่งดิ้นทุรนทุรายแต่ในขณะที่ดิ้นก็คล้ายกับว่าร่างของเธอไม่ได้ถูกพันธนาการเอาไว้ด้วยสิ่งที่มองไม่เห็นอีกแล้ว เธอหลุดพ้นออกมาแล้วแต่ทว่าเรี่ยวแรงที่มีเหือดหายไปกับกาลเวลา ร่างนั้นทรุดลงกับพื้นทันทีแต่ยังพอมีแรงที่จะกระเสือกกระสนพาตัวเองออกมาจากที่ตรงนั้น

เสียงเหมือนอะไรบางอย่างกระทบกันดังเล็ดลอดออกมาจากใต้เตียงนอน เนตรไม่กล้าแม้แต่จะหันกลับไปดูให้แน่ชัดว่ามันคืออะไรแต่แล้วแสงไฟสีนวลก็สาดส่องเข้าใส่ร่างของเธอจนต้องหรี่ตา

“คุณ!”

เสียงเรียกที่ไม่คล้ายว่าจะเป็นมิตรพาให้เธอต้องใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีขยับร่างกายให้ออกห่าง

“คุณ!”

เนตรพยายามออกแรงให้ได้มากที่สุดเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้ แสงไฟสีนวลยังคงสาดส่องลงมาที่ร่างของเธอจนอยากจะส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือแต่ไม่ว่าพยายามเปล่งเสียงออกมาเท่าไรมันก็กลายเป็นเพียงแค่เสียงแหบแห้งอันแสนแผ่วเบา

“เดี๋ยวก่อน! จะไปไหนครับ!”

เนตรไม่อยากหยุดอยู่กับที่แต่เสียงเรียกนั้นทำให้เธอต้องหันกลับไปดูให้แน่ชัดว่าเป็นอะไร แน่นอนว่าความหวาดกลัวยังคงฝังอยู่ในทุกอณูความรู้สึก ซ่อนตัวอยู่ทั่วทั้งร่างแต่สิ่งที่เธอได้ยินมันอาจจะเลวร้ายแต่คงไม่มีอะไรจะร้ายไปกว่าที่เธอได้พบเจอมาตลอดทั้งคืนอีกแล้ว 

ต่างฝ่ายต่างชะงักด้วยกันทั้งคู่เมื่อหันมาสบตากัน ร่างของเนตรทั้งโทรมทั้งเปรอะไปด้วยคราบเลือดแถมยังมีเชือกร้อยอยู่บนริมฝีปาก ดวงตาอ่อนล้าบวมช้ำ พวงแก้มทั้งสองข้างเปรอะคราบน้ำตาที่ไหลลงมาแทบจะตลอดเวลาที่เธอถูกพันธนาการไว้กับเก้าอี้วิคตอเรียตัวนั้น ผมเผ้ากระเซอะกระเซิงปกปิดใบหน้าบางส่วนเอาไว้ ชายเจ้าของไฟฉายสีนวลถึงกับปล่อยให้กระบอกไฟฉายร่วงหล่นกระแทกพื้น ดวงตาเบิกโพลงด้วยความตกใจเมื่อได้มาเห็นในระยะที่ไม่ใกล้ไม่ไกล

“เอ่อ....”

“อื้อออ อื้มมม”

นิ้วเรียวบางแตะริมฝีปากตัวเองคล้ายกับจะขอความช่วยเหลือ เนตรหมดแรงที่จะก้าวต่อไปแล้วแถมยังหิวน้ำ ลำคอแห้งผาก หยาดหยดน้ำตาที่ควรจะหลั่งรินออกมาจากดวงตาที่ปูดบวมอีกระลอกกลับเหือดแห้งหายไป หัวใจของเธอเต้นระส่ำไม่เป็นสุขแต่ตอนนี้เธอรู้แล้วว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่ความน่ากลัวเหมือนที่เคยเจอ

“อื้ออออ!!”

“เอ่อ...”

“อืมมมมมมม!!”

เนตรพยายามส่งเสียงร้องให้ดังที่สุดแม้รู้ว่าตัวเองจะเปล่งเสียงออกมาแทบจะไม่ได้แล้วก็ตาม ดวงตาที่แสนอิดโรยบวมช้ำนั้นแสดงถึงความเป็นมิตรและเว้าวอนขอร้องให้ช่วยเหลือ น่าเสียดายที่เธอไม่มีแรงไปมากกว่านี้อีกแล้ว ไม่อย่างนั้นคงวิ่งออกไปด้วยตัวเองเพื่อไปช่วยตฤณให้ออกมาจากขุมนรกบ้าๆ นี่

“ดะ... ดะ... ได้ยินไหม”

ชายผู้นั้นยังคงยืนตัวแข็งทื่อ พอหายจากความตกใจที่เห็นใบหน้าของเนตรอย่างชัดเจนแล้วเขาก็นิ่งไป มีเสียงฝีเท้ากำลังเดินตรงมาทางนี้ อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลกับห้องที่พวกเขากำลังเผชิญหน้ากัน เนตรพยักหน้าถี่รัวแต่ไม่สามารถพาตัวเองให้ลุกขึ้นมาก้าวขาได้อีกครั้ง ความกลัวรวมกับเรี่ยวแรงที่หดหายไปทำให้แขนขาของเธออ่อนแรงไปหมด แต่เธอก็ยังพยายามที่จะใช้นิ้วอันสั่นเทาชี้ไปยังตู้เสื้อผ้าที่อยู่ในห้องเป็นการบอกใบ้

“เร็วเข้า! ลุกไหวไหม”

ชายคนนั้นคว้าไฟฉายที่ตกพื้นขึ้นมาแล้วเอ่ยถาม แต่เนตรส่ายหน้าให้แทนคำตอบ แรงเธอไม่เหลือพอที่จะให้ก้าวไปไหนได้อีกแล้ว

“งั้นซ่อนใต้เตียงก่อน มาเร็ว!”

กระบอกไฟฉายถูกเสียบไว้ที่กระเป๋าด้านหลังของกางเกง มือแกร่งช่วยพยุงร่างอันบอบบางของเนตรให้ลุกขึ้นยืน ประคองร่างนั้นเดินตรงไปยังเตียงนอนสี่เสาแล้วดันให้ร่างของเธอเข้าไปอยู่ข้างในก่อนที่จะรีบสอดตัวเข้าไปหลบตาม เสียงฝีเท้าที่ได้ยินก่อนหน้านี้หยุดลงที่หน้าประตูห้อง

“ผมมีกรรไกรตัดด้าย เดี๋ยวจะช่วยตัดให้นะ”

“อืม”

เสียงฝีเท้าที่หยุดอยู่หน้าประตูห้องกลับมาดังขึ้นอีกครั้งแล้วค่อยๆ เบาจนจางหายไปกับสายลม คนทั้งคู่ถึงกับถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ชายคนนั้นค่อยๆ คลานออกมาจากใต้เตียง เมื่อเห็นว่าไม่น่าจะมีอะไรแล้วจึงเอื้อมมือเข้าไปดึงร่างของเนตรที่ซ่อนตัวอยู่ในนั้นออกมาและพาเธอขึ้นมานั่งบนเตียงนอน

“ผมชื่อจักร”

ชายคนนั้นบอกในขณะที่หยิบกล่องอุปกรณ์เย็นผ้าขนาดเล็กออกมาจากกระเป๋าคาดเอว กรรไกรอันจิ๋วสีฟ้าอ่อนถูกหยิบออกมาตัดด้ายที่ร้อยปากออกทีละเส้น เนตรส่งเสียงร้องเบาๆ อย่างเจ็บปวดทุกครั้งที่ด้ายแต่ละเส้นถูกดึงออกมา น้ำตาเธอไหลจนไม่เหลือที่จะไหลต่อไปได้อีกแล้ว เรียวปากงามที่ถูกปิดสนิทมานานค่อยๆ ขยับขึ้นลงอย่างช้าๆ มันเจ็บปวดจนเธอไม่รู้จะทำอย่างไรเพื่อระบายสิ่งที่กักเก็บไว้ข้างในออกมา

“นะ... เนตร”

“เด็กคนนั้นเป็นใครเหรอ คนที่พาเนตรเข้ามาในห้องน่ะ”

“จ้าว... อย่า... ไปยุ่ง... กับ... เขา... นะ”

น้ำเสียงของเนตรฟังดูกระท่อนกระแท่นและแหบพร่า กว่าจะพูดออกมาได้แต่ละคำ เธอก็จำต้องใช้พลังงานอย่างมากก่อนที่จะไอออกมาอย่างหนัก ในตอนนี้เธอทั้งหิวน้ำและหิวข้าวจนไม่มีแรงที่จะขยับเขยื้อนร่างกายส่วนใดอีกแล้ว เธอทิ้งตัวลงนอนแผ่หลาบนเตียง อยากจะออกไปจากที่นี่ใจจะขาดแต่ร่างกายกลับร้องประท้วงจนต้องยอมแพ้

“ทำไมเหรอครับ”

“เขา... ปี... สะ...”

ยังไม่ทันที่เนตรจะได้พูดจนจบ ประตูห้องพักก็ถูกเปิดเข้ามาอย่างรวดเร็ว เธอสะดุ้งเล็กน้อยก่อนที่จะยันตัวขึ้นมานั่ง เด็กคนนั้นที่พวกเขากำลังพูดถึง เดินเข้ามาใกล้แล้วส่งยิ้มอย่างเป็นมิตรแต่เนตรรู้ว่านั่นเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา ความเป็นมิตรไม่มีอยู่ในตัวของเด็กคนนั้นจริง

“พี่เนตร ใครตัดด้ายให้พี่เนตรเหรอครับ จ้าวเพิ่งไปหยิบกรรไกรมา”

กรรไกรตัดกระดาษอันใหญ่ถูกชูขึ้นมาให้เห็นว่าเขาหยิบกรรไกรมาด้วยจริงๆ

“ผมเอง มันเกิดอะไรขึ้นเหรอครับ ทำไมเธอเป็นแบบนั้น”

“พี่อยากรู้เหรอครับ”

เนตรอยากจะเอ่ยปากห้ามเมื่อเห็นแววตาสีเพลิงมองมาแต่ไม่ทันเสียแล้ว จักรพยักหน้าด้วยความอยากรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับเนตร อาการของเธอสาหัสสากรรจ์จนดูน่าเป็นห่วงอยู่ไม่น้อย

“ถ้าอย่างนั้นพี่ช่วยรออยู่ที่นี่สักครู่นะครับ ขอจ้าวพาพี่เนตรไปพักก่อนแล้วจะกลับมาเล่าให้ฟังครับ”

จ้าววางกรรไกรตัดกระดาษทิ้งเอาไว้บนเตียงแล้วค่อยพยุงร่างของเนตรให้ลุกขึ้น เธออยากจะขัดขืนแต่เรี่ยวแรงไม่เหลือพอที่จะให้ทำแบบนั้นได้อีกแล้ว ในขณะที่เด็กตัวน้อยค่อยๆ ประคองร่างกายอันบอบช้ำของเนตรขึ้นมาอย่างช้าๆ เขาก็เอ่ยกระซิบที่ข้างหู “พี่เนตรกลับได้แล้วล่ะครับ จ้าวปล่อยแล้ว”

เนตรแทบกลั้นน้ำตาด้วยความดีใจเอาไว้ไม่อยู่ คำว่า ‘ปล่อยแล้ว’ ที่ถูกพูดออกมามีค่ากับเธอมากมายมหาศาล อิสรภาพที่ขาดหายไปในช่วงสองวันที่ผ่านมาราวกับเป็นสิ่งล้ำค่าที่เธอเฝ้ารอมานานแสนนาน

“พี่เนตรเดินระวังนะครับ เดี๋ยวจ้าวพาออกไปเอง”

ในน้ำเสียงที่ได้ยินจากริมฝีปากรูปกระจับนั้นไม่ได้มีความมุ่งร้ายแฝงอยู่อีกต่อไปแล้ว แต่เป็นคำจริงที่เนตรสามารถเชื่อในคำพูดนั้นได้ แต่ทว่าเธอก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าเพราะเหตุอะไรทำให้ต้องเจอเรื่องราวอันแสนเลวร้ายในคฤหาสน์หลังนี้ ถ้าเพียงแค่คำพูดหลบหลู่ดูหมิ่นสถานที่ เธอก็ขอโทษไปแล้ว

จ้าวประคองร่างของเนตรเดินออกมาจากห้องไปตามทางเดินจนกระทั่งถึงบันไดกลาง เขาก็หยุดลงแล้วหันไปมองใบหน้าซีดเซียวเหนื่อยล้าด้วยความเสียดาย “แย่จังเลยนะครับ ถ้าเขาไม่ยื่นมือเข้ามาช่วยก่อน เราคงจะได้สนุกกันนานกว่านี้ จ้าวอุตส่าห์เตรียมเซอร์ไพร์สไว้ให้พี่เนตรอีกตั้งหลายอย่าง”

เนตรไม่เคยอยากได้หรือเรียกร้องเซอร์ไพร์สใดๆ ทั้งนั้น แต่ทว่ายังไม่ทันจะได้พูดอะไร จ้าวก็พูดต่อขึ้นมาทันทีแกมบังคับ “หวังว่าพี่เนตรจะไม่มายุ่งกับพี่ตฤณของจ้าวอีกนะครับ”

เนตรชะงักไปเล็กน้อย เธอเข้าใจแล้วว่าเพราะอะไรถึงได้โดนขนาดนี้

“จ้าวไม่ใจร้ายถึงขั้นให้พี่เนตรเลิกเป็นเพื่อนกับพี่ตฤณหรอกนะครับ เพียงแต่... ถ้าจ้าวรู้สึกว่ามันมากเกินไป จ้าวคงไม่ใจดีกับพี่เหมือนวันนี้อีกแน่ ขอให้โชคดีนะครับ พี่เนตร จ้าวส่งแค่นี้ล่ะ”

จ้าวหันหลังกลับเดินจากไปโดยไม่สนใจเนตรอีก เขาไม่เคยผิดคำสัญญา เมื่อรับปากแล้วว่าจะปล่อยก็คือปล่อย ไม่เคยเล่นตุกติกอะไรและก็ถึงเวลาประจวบเหมาะพอดิบพอดี ผู้ชายคนนั้นพอจะเป็นตัวตายตัวแทนเนตรให้เขาได้เล่นแก้เหงาไปได้อีกสักพัก ความสนุกที่เกิดในค่ำคืนนี้คงดำเนินไปอีกยาวไกล

ประตูห้องพักที่จักรนั่งรออยู่ถูกเปิดออก เขารีบกุลีกุจอเดินไปถามอาการเนตรด้วยความเป็นห่วง “เนตรเป็นยังไงบ้างครับ”

“พี่เนตรหลับแล้วล่ะครับ เอ๊ะ! เรื่องที่เราคุยค้างเมื่อกี้นี้เรื่องอะไรนะครับ ใช่เรื่องที่เกิดอะไรขึ้นกับพี่เนตรหรือเปล่าครับ จ้าว... จ้าวเป็นห่วงพี่เนตรมากไปหน่อยเลยจำอะไรไม่ค่อยได้น่ะครับ”

ดวงตาสีเพลิงเศร้าสลดโป้ปดความรู้สึกที่แท้จริง

“ครับ”

“แต่ก่อนที่จ้าวจะตอบคำถาม ขอถามอะไรพี่สักอย่างสองอย่างสิครับ อย่างแรก... พี่ชอบพกอุปกรณ์ตัดเย็บเหรอครับ”

“ครับ ผมพกติดตัวเป็นประจำ”

จักรดูจะงงๆ กับคำถามที่ถูกถามแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไปมากกว่านี้

“อีกคำถามนะครับ ทำไมพี่ถึงแอบเข้ามาในคฤหาสน์หลังนี้ล่ะครับ ไปได้ยินข่าวลืออะไรมาเหรอครับ” 

น้ำเสียงเรียบเรื่อยของจ้าวไม่แสดงถึงพิรุธใดๆ อีกทั้งใบหน้ากลมมนนั้นยังปรกดับไปด้วยรอยยิ้มหวานที่เต็มไปด้วยความเป็นมิตรจนจักรไม่ทันได้สังเกตว่าสิ่งที่อยู่ข้างหลังคำถามนั้นคือมีดเล่มใหญ่ที่พร้อมจะจ้วงแทงได้ทุกเมื่อ

“ข่าวลือ... เอ่อ...”

จักรไม่รู้จะอธิบายยังไงดี ข่าวลือที่ว่านั่นก็มีแต่ข่าวลือเสียๆ หายๆ บ้างก็ว่าคฤหาสน์หลังนี้เต็มไปด้วยดวงวิญญาณ สัมภเวสีผีเร่ร่อนที่ไม่ได้ไปผุดไปเกิด บ้างก็ว่าคฤหาสน์หลังนี้เป็นคฤหาสน์ร้างที่ไม่มีผู้คนอาศัยอยู่เพราะเหตุฆาตกรรมเมื่อหลายสิบปีก่อนเป็นเหตุให้ตายยกครัว บ้างก็ว่าคฤหาสน์หลังนี้มีความชั่วร้ายอาศัยอยู่ หากผู้ใดเข้ามาก็อาจจะไม่ได้ออกไปอีกเลยหรือถ้าออกไปได้ก็จะกลายเป็นบ้า สติฟั่นเฟือน เอาแต่เพ้อถึงสิ่งที่ไม่มีตัวตนและเห็นภาพหลอน

“ดูเหมือนพี่จะตอบลำบากนะครับ งั้นจ้าวขอถามใหม่ พวกพี่มาพิสูจน์อะไรกันที่นี่เหรอครับ”   

คำถามนี้ก็ดูเหมือนจะเป็นอีกหนึ่งคำถามที่จักรรู้สึกว่ามันตอบยากเช่นกัน

“พิสูจน์ว่าข่าวลือเป็นจริงไหม”

“แล้วจริงไหมล่ะครับ”

จ้าวยังส่งคำถามอย่างใจเย็น มีดที่เขาซ่อนไว้ข้างหลังนั้นคมกริบพร้อมที่จะเสียบแทงทะลุร่างแล้วเพียงแต่ว่าถ้าลงมือทำเลยจะไปน่าตื่นเต้นตรงไหน

“ผมยังไม่เจออะไรเลย”

“อ้อ! อย่างนั้นเหรอครับ แล้วเพื่อนพี่ไปไหนล่ะครับ ทำไมถึงมาอยู่ในห้องนี้คนเดียว กำลังเล่นซ่อนแอบกันอยู่เหรอครับ”

จักรไม่กล้ายอมรับว่าเขาเข้ามาเล่นซ่อนแอบกับเพื่อนที่นี่เพื่อพิสูจน์ความจริง อีกอย่างเขาเองก็ไม่รู้ว่าเด็กคนนี้เป็นใคร มาจากไหนด้วยซ้ำ อาจเป็นเด็กที่แอบเข้ามาเล่นพิเรนทร์เหมือนที่พวกเขากำลังทำอยู่ได้

“จ้าวอยากเล่นด้วย ขอเล่นด้วยนะครับ”

น้ำเสียงกระตือรือร้น แววตาที่มองมาเต็มเปี่ยมไปด้วยประกายวาววับ ริมฝีปากรูปกระจับยกยิ้มฉีกกว้างราวกับดีใจที่หาเพื่อนเล่นได้ แต่จักรก็ยังไม่ไว้ใจเท่าไร พูดคุยได้ ถามได้แต่เขาไม่อยากเอาตัวเข้าไปเกี่ยวข้องกับเด็กที่ไม่รู้จักแม้แต่หัวนอนปลายเท้า เขาชักปลายเท้าถอยหลังอย่างวางเชิงดูท่าทีของเด็กคนนั้นก่อนที่จะตั้งคำถามถามกลับไปบ้าง “ชื่ออะไร เป็นใคร มาจากไหน”

“ไม่ไว้ใจจ้าวเหรอครับ ไม่เป็นไรครับ งั้นจะแนะนำตัวให้ฟัง ผมชื่อจ้าว อาศัยอยู่ในคฤหาสน์หลังนี้มานานแล้วครับ เห็นพวกพี่เข้ามา น่าจะมีเรื่องสนุกเลยอยากขอเล่นด้วยก็เท่านั้นเองครับ แต่ถ้าพี่ไม่อนุญาตให้เล่นด้วยก็ไม่เป็นไรครับ จ้าวไม่รบกวนแล้ว”

จ้าวพูดจบก็หันหลังเตรียมเดินจากไปแต่ยังไม่วายทิ้งมีดเล่มหนึ่งจ่อท้ายทอยของจักรเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ไม่ให้เขาเล่นด้วยก็จะไม่รบกวนแต่มันจะไปสนุกได้อย่างไร หากเล่นซ่อนหาแล้วหาเจอ รอยยิ้มราวกับปีศาจตัวน้อยปรากฏขึ้นบนใบหน้ากลมมนสีไข่มุกเป็นครั้งที่เท่าไรแล้วไม่รู้ตั้งแต่ที่ตฤณรับปากว่าจะย้ายเข้ามาอยู่ด้วย

“เดี๋ยวก่อน!”

เรียวเท้าเล็กชะงักลงแล้วหันกลับมามองหน้าจักรอย่างมีความหวัง

“ผมชื่อจักร จะ... จะมาเล่นด้วยกันก็ได้ แต่แค่ตีสอง พวกพี่ก็เลิกแล้วนะ”

“ครับ ขอบคุณครับ แล้วตอนนี้กี่โมงแล้วเหรอครับ พี่จักร”

“ตีหนึ่ง”

“ยังมีเวลาให้สนุกอีกหนึ่งชั่วโมงก่อนงานเลี้ยงจะเลิกสินะครับ ถ้าอย่างนั้นจ้าวมีที่ซ่อนตัวดีๆ แนะนำพี่จักรด้วยล่ะ รับรองเลยว่ายังไงเพื่อนพี่ก็ไม่มีทางหาพี่เจอแน่นอน”

นิ้วเรียวเล็กชี้ไปยังตู้เสื้อผ้าไม้แกะสลักที่อยู่ในห้อง แต่จักรก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าตู้เสื้อผ้าถึงเป็นที่ที่จะหาไม่พบทั้งที่แค่เปิดประตูตู้เสื้อผ้าทั้งสองบานออกพร้อมกันก็เจอตัวแล้ว แต่แล้วเขาก็นึกขึ้นมาได้ถึงภาพยนตร์เรื่องหนึ่งที่เคยดูเมื่อนานมาแล้ว ‘ตู้ซ่อนผี’ ช่วงนั้นทำเอาเขาหลอนจนไม่กล้าเปิดประตูตู้เสื้อผ้าตอนกลางคืนไปอีกนานเลย

“ตู้เสื้อผ้า?”

“ครับ ซ่อนในตู้นั้น มันมีทางลับ พอเพื่อนพี่เปิดเข้าไปดูยังไงก็ไม่เจอพี่หรอก เชื่อจ้าวสิครับ จ้าวอยู่ที่นี่มานานกว่าพี่จักรตั้งเยอะ เรื่องทางหนีทีไล่หรือช่องทางลับอะไรพวกนี้ถูกจ้าวสำรวจมาหมดแล้วล่ะครับ”

 จักรทำท่าเหมือนกับไม่อยากจะเชื่อว่าทางลับมีอยู่จริง มันคงไม่ใช่ว่าพอเข้าไปข้างในนั้นแล้วสามารถทะลุไปยังห้องข้างๆ ได้หรอกนะ แบบนั้นมันคงไม่เรียกว่าทางลับแต่เขาก็ยอมที่จะเข้าไปดีกว่าที่จะหลบอยู่ใต้เตียงนอนเพราะแค่ผู้หาอย่างไผ่โน้มตัวลงต่ำแล้วส่องไฟเข้ามาก็คงเจอเขาเข้าแล้ว

“ไปสิครับ เดี๋ยวจ้าวจะไปซ่อนที่อื่นเอง”

ท่าทางของจักรดูลังเล จ้าวจึงย้ำอีกครั้งให้เข้าไปข้างใน ฝ่ายนั้นลังเลจริงๆ ที่จะเข้าไปซ่อนในตู้เสื้อผ้าแต่แล้วเขาก็เลิกลังเลเพราะถ้ามันดูไม่โอเคจริง เขาก็สามารถหาที่ซ่อนใหม่ได้อยู่แล้วจึงยอมเข้าไปแอบอยู่ในนั้น จ้าวรอจนแน่ใจแล้วว่าประตูตู้เสื้อผ้าปิดลงและมันจะไม่ถูกเปิดออก เขาจึงเดินจากไปแต่ยังไม่วายที่จะฝากประโยคเด็ดทิ้งท้ายเอาไว้ให้จักร “ข่าวลือบางเรื่องมันก็เป็นจริงนะครับ พี่จักร”

จบจากเรื่องของจักรแล้วก็ใช่ว่าจ้าวจะได้พักอย่างสบายเสียเมื่อไร ยังมีอีกหลายสิ่งที่เขาต้องจัดการให้จบก่อนพระอาทิตย์ขึ้นและก่อนที่ตฤณจะตื่นขึ้นมา เท้าทั้งสองข้างก้าวยาวๆ อย่างเร่งรีบตรงไปยังห้องน้ำที่หวานถูกขังอยู่ในนั้น เขาแสร้งทำเป็นเด็กดีมาเคาะประตูช่วยเหลือพร้อมกับหมุนลูกบิดประตูเข้ามาดู ยิ่งไปกว่านั้นยังแสร้งทำเป็นตกใจที่เห็นกองเลือดท่วมพื้นห้องน้ำเต็มไปหมด ร่างเล็กทรุดตัวลงนั่งกับพื้นคล้ายว่าแขนขาเขานั้นไร้ซึ่งเรี่ยวแรงกะทันหัน

“ละ... เลือด”

“ช่วยด้วย ฮือออ ช่วยด้วย”

จ้าวไม่รู้จะช่วยอย่างไรเมื่อภาพที่เห็นตรงหน้าก็ทำเอาเขาลนลานไปหมด

“พี่... พี่ออกมาก่อนดีกว่าไหมครับ”

หวานเอาแต่ร่ำไห้เสียใจ อยากจะออกแต่เธอก็กลัวว่าจะมีบางสิ่งที่มองไม่เห็นรออยู่ข้างนอกและเธอไม่สามารถทิ้งโอมไว้ที่นี่เพียงลำพังได้

เมื่อจ้าวตั้งสติได้ เขาจึงสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ เพื่อเรียกความกล้าที่จะไม่ทำอะไรไปมากกว่าแค่ช่วยเหลือให้ออกมาจากที่ตรงนั้น นับว่าเขามีความปราณีให้กับผู้บุกรุกมากพอแล้ว “ออกมาเถอะครับ ไปตามหาคนมาช่วยกัน”

หวานยังคงนั่งอยู่อย่างนั้นราวกับกำลังตัดสินใจอะไรบางอย่างอยู่แต่จ้าวไม่รีบร้อน เขารอให้เธอคิดตกเอง แต่เพียงไม่นานเธอก็ยอมก้าวเท้าออกมาจากห้องแล้วทิ้งศพของเพื่อนไว้ตรงนั้น สายตายังคงความอาลัยอาวรณ์เอาไว้มองกลับไปยังร่างที่นอนจมกองเลือด เธอไม่มีทางเลือก ถ้าหากไม่ออกไปตามคนมาช่วย บางทีก็อาจจะต้องติดอยู่ในนี้ไปตลอดกาลเพราะหลังจากที่ประตูห้องน้ำปิดใส่หน้าดังลั่นและร้องไห้เศร้าเสียใจกับการจากไปของเพื่อนอยู่พักหนึ่ง เธอก็ค่อยๆ ลุกขึ้นมาเปิดประตูเพื่อจะออกไปแต่มันกลับเปิดไม่ออก ไม่ว่าจะพยายามหาอะไรมางัดหรือใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีกระชากบานประตูก็ไม่มีผลอะไรจนกระทั่งเด็กคนนี้เดินมา

“เดี๋ยวจ้าวเดินไปส่งที่หน้าประตูคฤหาสน์นะครับ แล้วพี่รีบไปตามคนมาช่วยนะ”

หวานได้แต่พยักหน้ารับ ในหัวสมองของเธอนั้นขาวโพลนไปหมด มันไม่มีความคิดอะไรอยู่ในนั้นเลย

“พี่ครับ ไม่ต้องเป็นห่วงเพื่อนที่เหลือนะครับ เดี๋ยวจ้าวจะช่วยตามหาให้”

หน้าคฤหาสน์อยู่ไมไกลจากหน้าห้องน้ำที่หวานออกมาเท่าไรนัก ให้อย่างมาก็ไม่เกิดร้อยเมตรด้วยซ้ำแต่เธอกลับรู้สึกว่ากว่าจะเดินไปแต่ละก้าวมันช่างยาวนานนัก บรรยากาศรอบข้างเย็นเยือกขึ้นมาทันตา รังสีอำมหิตแฝงความร้ายกาจแผ่พุ่งออกมาจากร่างของเด็กที่เดินอยู่ด้วยกัน

“อ้อ! อีกเรื่องนะครับ ช่วยเตรียมโลงศพไว้สักสองหรือสามโลงด้วยครับ”

“......”

“สำหรับเพื่อนพี่ที่เหลือยังไงล่ะครับ แล้วก็... มาช่วงบ่ายๆ แดดแรงๆ นะครับ ตอนเช้าจ้าวไม่ว่างมาเปิดประตูต้อนรับ ส่วนถ้ามาหลังพระอาทิตย์ตกดินไปแล้วก็เกรงว่าน่าจะต้องซื้อโลงศพเพิ่ม นี่ถือเป็นคำเตือนด้วยความปรารถนาดีจากจ้าวนะครับ โชคดีนะที่เกมซ่อนหาที่พวกพี่เล่นกันทำเอาจ้าวอารมณ์ดีขึ้นมาหน่อย”

และแล้วเท้าของหวานที่เตรียมจะก้าวไปข้างหน้าก็ชะงักลง เธอเริ่มประมวลผลเรื่องราวที่เกิดขึ้นในคฤหาสน์หลังนี้ได้บ้างแล้ว หนึ่งสิ่งที่เธอรู้นั่นก็คือไม่ว่าจะได้ยินข่าวลืออย่างไรเกี่ยวกับคฤหาสน์นี้อย่าได้คิดอยากรู้อยากเห็น เข้ามาพิสูจน์ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นอีกเพราะนั่นหมายถึงการนำชีวิตของตัวเองมายืนอยู่ตรงปากเหว ถ้าไม่พลาดตกลงไปก็รอดแต่ผู้คนส่วนใหญ่ก็มักจะตกลงไปในเหวลึกกันทั้งนั้น

“ส่งแค่นี้นะครับ”

หวานยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นเพียงชั่วอึดใจก่อนที่จะเร่งฝีเท้าวิ่งออกไปให้พ้นจากบริเวณคฤหาสน์โดยที่ไม่หันหลังกลับมามองอีก


-----------------------------

คงมีหลายคนตั้งคำถามว่าแพรวถูกลากไปไหน โดยใครและตอนนี้เป็นอย่างไร เธอไม่ได้สุขสบายดีเท่าไรนักเมื่อเทียบกับจักรแต่ก็ไม่ได้ย่ำแย่เท่าไร เธอได้เพื่อนเล่นน่ารักน่าดูชมเชียวล่ะ เป็นเด็กผู้หญิงวัยแปดขวบที่กำลังอยากได้ตุ๊กตามาเล่นแต่งตัวและตุ๊กตาที่ได้รับมาจากจ้าวก็ทั้งสวยถูกอกถูกใจจนอยากจะยึดไว้เป็นของตัวเองแต่เพียงผู้เดียว

“คาเรน ของที่พี่พามาให้ถูกใจไหมครับ”

“ถูกใจค่ะ พี่วินเซ้นท์ ขอหนูเก็บไว้เลยได้ไหมคะ”

“ไม่ได้ๆ เป็นเด็กดีต้องรู้จักมีใจเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ของชิ้นนี้จะอยู่กับคาเรนได้แค่ก่อนพระอาทิตย์ขึ้นเท่านั้นนะ พี่ให้เวลาได้เท่านี้”

จ้าวแวะมาบอกแค่นี้ เขาไม่สนใจด้วยซ้ำว่าระหว่างนี้ผู้หญิงที่ถูกพาตัวมาคนนั้นจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร ในเมื่อเขายกให้เล่นแล้วก็จงเล่นให้เต็มที่

“แต่หนูอยากได้”

“คาเรน”

น้ำเสียงกดต่ำแกมบังคับทำให้เด็กน้อยก้มหน้างุด ไม่กล้าพูดอะไรอีก เธอกลับไปยืนหน้ากระจกแล้วสนใจแต่ตุ๊กตาสวยงามที่อยู่ตรงหน้า ภาพที่สะท้อนอยู่ในกระจกเงาบานโตหน้าโต๊ะเครื่องแป้งมีเพียงผู้หญิงผมสีบลอนทองที่กำลังนั่งบนเก้าอี้อย่างหวาดกลัวกับโครงกระดูกเด็กสาววัยแปดขวบ

“ก่อนพระอาทิตย์ขึ้น นำของเล่นมาคืนพี่ด้วย”




** ติดตามตอนต่อไป **



ออฟไลน์ lcortsess

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 173
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-3
 :z3: น้องจ้าวผู้น่ารักของพี่  โหดๆพอประมาณก็ได้เนอะ หุหุหุ :jul1:

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
จักรจะรอดไหมเนี่ย แต่ใจแข็งเอาการอยู่นะ เห็นเนตรถูกเย็บปาก ยังอุตส่าห์เข้าไปช่วย เป็นคนแก่นี่วิ่งจนลืมตายไปแล้ว  :ling3:

ออฟไลน์ Nekosama

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
จักรแลดูว่านอนสอนง่ายเกิ๊น จ้าวพูดไรก็เชื่อ จะรอดจนเกมจบมั่ยน้อ .... :ruready

ออฟไลน์ BlueSora

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
::: ตอนที่ 15 :::
เธอ + ฉัน = เรา







เมื่อจัดการพวกหนูที่บุกรุกคฤหาสน์หลังนี้จนเสร็จเรียบร้อยแล้ว จ้าวก็รีบกลับเข้าไปในห้อง โชคดีอีกครั้งที่ตฤณไม่ได้ตื่นขึ้นมากลางดึก ไม่อย่างนั้นเขาคงนึกคำโกหกอะไรไม่ออกแน่ก็เพราะคืนที่ผ่านมาถึงจะสนุกแต่มันก็ทำเอาเหนื่อยได้เรื่องอยู่เหมือนกัน จ้าวเดินเข้าไปนั่งข้างเตียงแล้วเอื้อมมือเกลี่ยเส้นผมที่ปรกหน้าออกอย่างช้าๆ ผมของตฤณไม่สั้นไม่ยาวจนเกินไป อีกทั้งมันยังนุ่นมือมากด้วย เขานึกภาพไม่ออกเลยว่าถ้าหากตฤณรับรู้ร่างที่แท้จริงแล้วจะเป็นอย่างไร แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม เขามีวิธีรับมือกับทุกสถานการณ์เอาไว้อยู่แล้ว

“อื้อ”

ร่างของตฤณขยับเล็กน้อย จ้าวจึงชักมือกลับแล้วนั่งนิ่งอยู่อย่างนั้น

“จ้าว…รัก…”

เสียงพึมพำดังออกมาจากปากของคนที่นอนอยู่แล้วจู่ๆ ริมฝีปากรูปกระจับก็ยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย จ้าวไม่เคยมีความสุขกับสิ่งที่เรียกว่ารักเพราะเขาไม่เคยรักใครยกเว้นตัวเองและพี่ชายเท่านั้น ชั่วชีวิตที่ผ่านมานั้นจ้าวมีความสุขกับความทุกข์ของผู้อื่น ยิ่งเห็นความเจ็บปวดที่ส่งผ่านมาทางสายตา ยิ่งได้ยินคำขอร้องอ้อนวอนขอชีวิต หัวใจเขายิ่งสูบฉีดแต่ทว่าทำไมคำว่ารักที่หลุดออกมาจากปากของผู้ชายที่นอนหลับฝันหวานถึงได้ทำให้ใจเขารู้สึกแปลกๆ

ร่างที่นอนอยู่ขยับตัวอีกเล็กน้อยก่อนที่จะค่อยๆ ปรือตาขึ้นมา จ้าวที่นั่งอยู่ไม่ห่างเตรียมพร้อมส่งยิ้มให้

“จ้าว… ตื่นแล้วเหรอ”

“ครับ ตื่นนานแล้ว ได้นั่งมองหน้าพี่ตฤณเพลินเลยล่ะครับ”

“กี่โมงแล้วเหรอ”

“ไม่รู้ครับ แต่พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น พี่ตฤณนอนต่อเถอะครับ”

“มานอนด้วยกันสิ”

จ้าวแสดงท่าทีกระมิดกระเมี้ยนเขินอายเล็กน้อยแต่ก็ยอมทิ้งตัวลงไปนอนข้างๆ เขายังคงอยู่ในชุดนอนของเมื่อคืนวานที่เกือบจะเปรอะเปื้อนคราบเลือด สอดตัวเข้าไปใต้ผ้าห่มและซุกตัวอยู่กับแผงอกกว้างของอีกฝ่ายเหมือนทุกครั้งที่ทำเวลานอนร่วมกัน

“จ้าวสัญญาว่าจะไม่ทำร้ายพี่ตฤณนะครับ”

น้ำเสียงกระอ้อมกระแอ้มราวกับพูดอยู่ในลำคอทำให้ตฤณฟังไม่ค่อยชัดเท่าไรนักจนต้องถามร่างที่อยู่ในอ้อมกอดอีกครั้ง “เมื่อกี้ว่าอะไรนะครับ พี่ได้ยินไม่ถนัด”

“พี่ตฤณเป็นคนเดียวที่จ้าวจะทำดีด้วย”

“แล้วกับคนอื่น จ้าวไม่คิดจะทำดีด้วยเหรอ”

จ้าวไม่ตอบอะไรแต่แสร้งทำเป็นหลับตา ขยับตัวเล็กน้อยให้อยู่ในท่านอนที่สบาย ขาข้างหนึ่งกอดก่ายร่างสูงที่เปลี่ยนสภาพกลายเป็นหมอนข้าง ผ่อนลมหายใจเข้าออกช้าๆ ให้อีกฝ่ายได้รู้ว่าเขาเข้าสู่ห้างนิทราไปแล้วเพื่อที่จะได้ไม่ต้องตอบคำถามนั้น

ตฤณเห็นว่าจ้าวหลับไปแล้วจึงค่อยๆ ขยับตัวออกอย่างช้าๆ แกะขาที่พาดอยู่เกือบจะกลางลำตัวออกอย่างเบามือและเงียบที่สุด ในขณะที่กำลังจะลุกลงจากเตียงนอน มือเล็กก็คว้าเอาไว้แล้วกำแน่นอยู่อย่างนั้นเป็นเชิงบอกให้เขาต้องอยู่บนเตียงโดยที่ยังไม่ลืมตา เขาถอนหายใจออกมาแล้วก้มลงกระซิบข้างหู “หลับเถอะ พี่แค่จะไปเข้าห้องน้ำ” มือเล็กข้างนั้นจึงยอมปล่อยไป

เมื่อตฤณก้าวลงจากเตียงไปแล้วเด็กน้อยที่แสนว่าง่ายก็ลืมตาขึ้นมอง เขาไม่ได้หลับและไม่ง่วงด้วยซ้ำ เพียงแค่เหนื่อยที่ต้องวิ่งวุ่นจัดการเก็บกวาดพวกหนูที่ลักลอบเข้ามา ปลายเท้าคู่เล็กก้าวลงแตะสัมผัสพื้นมุ่งหน้าตรงไปยังห้องน้ำ ทุกย่างก้าวที่เดินนั้นเงียบกริบ บานประตูห้องน้ำที่ตฤณเพิ่งจะเข้าไปถูกผลักให้เปิดออกอย่างง่ายดายแม้ว่ามันจะล็อคอยู่ก็ตาม

“จ้าวอยากเข้าห้องน้ำด้วย”

ร่างสูงสะดุ้งเล็กน้อยในขณะที่กำลังยืนหันหลังให้กับประตู ปลดทุกข์เบา เขาแทบจะดึงกางเกงขึ้นไม่ทัน

“เปิด... เปิดเข้ามาได้ยังไง พี่ว่าพี่ล็อคอยู่”

“อ้าว~ จ้าวลืมบอกพี่เหรอครับว่ากลอนห้องน้ำมันเสีย มันล็อคไม่ได้”

จ้าวทำหน้าเหลอหลาแต่ประเด็นหลักมันก็ไม่ควรอยู่ที่ประตูห้องน้ำเสียหรือไม่ แต่ควรจะไปโฟกัสที่คำว่ารู้ทั้งรู้แล้วทำไมถึงยังเปิดเข้ามาอีก

“จะเข้าห้องน้ำใช่ไหม เดี๋ยวพี่ออกไปรอข้างนอก”

“ครับ”

จ้าวพยักหน้า รอให้ตฤณเดินออกไปข้างนอกห้องก่อนแล้วจึงปิดประตูลง เขาเปิดน้ำก๊อกที่อ่างล่างหน้าให้แรงที่สุดกลบเสียงบางอย่างที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ “พี่เจต” หลังจากคำเรียก ร่างของเจตรินก็ปรากฏบนบานกระจกที่อยู่ตรงหน้าในทันที ใบหน้าของเขาดูนิ่งเฉยแต่ก็ยังแฝงไปด้วยความหวาดกลัวอยู่เล็กน้อย

“จัดการหนูในห้องของเราหรือยังครับ”

‘เอ่อ... พี่ขังไว้ รอให้จ้าวมาจัดการเอง’

“จ้าวบอกให้พี่จัดการไม่ใช่เหรอครับ แล้วทำไมถึงยังไม่ทำ”

น้ำเสียงของจ้าวฟังดูโกรธเคืองอยู่เล็กน้อยแต่กลับไม่ได้ทำให้เจตรินรู้สึกหวาดกลัวไปมากกว่านี้

‘จ้าวบอกให้พี่แค่ไปดูไม่ใช่เหรอ พี่ก็แค่ดูแล้วหลังจากนี้อยากให้จ้าวมาจัดการเองดีกว่า’

“ถ้าอย่างนั้นก็ขังเอาไว้ให้ดี แล้วไปจัดการหนูที่อยู่ในตู้เสื้อผ้าให้จ้าวด้วย จะทำอะไรก็สุดแล้วแต่พี่เจตแล้วกัน”

จ้าวผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ ก่อนที่จะโบกมือไล่ให้กลับไปจัดการหนูที่เหลืออยู่อีกสองตัว แต่เจตรินยังคงอยู่ตรงนั้นไม่ยอมไปไหนคล้ายกับว่ามีเรื่องบางเรื่องที่อยากจะพูดต่อ

‘จ้าว กับตฤณนี่ยังไง รักเขาแล้วใช่ไหม’

“พี่เจตก็รู้ จ้าวไม่เคยรักใครนอกจากตัวเองและพี่”

‘ลองรักคนอื่นดูบ้าง เผื่อว่ามันจะทำให้หัวใจของจ้าวอ่อนโยนขึ้น’

จ้าวไม่ได้ตอบอะไรกับคำพูดที่ทำให้ชะงักค้างไป เขากระแทกมือลงบนบานกระจกเงาระบายโทสะที่อยู่ในใจออกเป็นการกระทำ ... อ่อนโยน ... สิ่งนี้มันไม่เคยมีอยู่ในจิตวิญญาณของเขาอยู่แล้ว 

มือเล็กกวักน้ำที่ไหลออกมาจากก๊อกล้างมือ ล้างหน้าจนปรอยผมเปียกน้ำลู่ลงมาด้านข้างแต่ไม่ลืมที่จะทำให้เสื้อนอนเปียกปอนด้วย ริมฝีปากรูปกระจับยกยิ้มเล็กน้อยให้กับตัวเองที่สะท้อนอยู่ในกระจกเงาอย่างพึงพอใจแล้วเปิดประตูออกไปหาตฤณที่รออยู่ข้างนอกด้วยแววตาเศร้าสลด

“พี่ตฤณ จ้าวทำเสื้อเปียกอีกแล้ว”

กางเกงนอนขาสามส่วนตัวนั้นเปียกก็ว่าแย่แล้ว มาคราวนี้เสื้อนอนที่สวมอยู่กลับเปียกน้ำอีกแล้วตฤณจะทำอย่างไรกับหัวใจของตัวเองในเมื่อมันเอาแต่เต้นโครมครามไม่หยุด เสื้อนอนที่เปียกน้ำบางส่วนแนบไปตามลำตัวจนเห็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ใต้ผืนผ้าเป็นเงาจางๆ เขากลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ก่อนจะเบนสายตาไปทางอื่นเพื่อหลบเลี่ยงสิ่งที่จะทำให้คิดอกุศล

“จ้าวผิดเองล่ะครับ ไม่ทันระวังตอนล้างหน้าเลยทำให้เสื้อเปียกหมดเลย” 

“งั้นเดี๋ยวพี่ไปหยิบเสื้อให้นะ ห้องจ้าวอยู่ไหน” ตฤณรีบเสนอตัวไปหยิบเสื้อมาให้ก่อนที่อะไรๆ จะทำเอาสติเขาเตลิดเปิดเปิง

“มะ... ไม่เป็นไรครับ จ้าวนอนทั้งเปียกๆ แบบนี้ก็ได้”

จ้าวรีบเดินขึ้นเตียงนอนแล้วสอดตัวเข้าใต้ผ้าห่มอีกครั้ง ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ไม่สนใจว่าเสื้อที่เปียกจะส่งผลอะไรบ้างแต่ที่คาดไม่ถึงคือสิ่งที่เขาทำลงไปจะทำให้ตฤณดุด้วยนี่สิ “ถ้าไม่สบายขึ้นมาจะทำยังไง ทำไมไม่เป็นห่วงตัวเองบ้าง”

“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวมันก็แห้ง”

“ไม่เป็นไรได้ยังไง ลุกขึ้นมาเปลี่ยนเสื้อก่อน ให้พี่เดินไปที่ห้องเป็นเพื่อนก็ได้”

ตฤณเลิกดึงผ้าห่มออกจากร่างที่พยายามนอนซุกตัวอยู่ข้างในแล้วจับแขนที่แทบจะมีแต่กระดูกเอาไว้แล้วดึงขึ้นมา แต่กลับกลายเป็นว่าไม่รู้ว่าตัวเองพลาดที่ตรงไหนถึงได้ล้มไปทับร่างเล็กเข้า ฝ่ายนั้นดิ้นขลุกขลักอยู่ข้างล่างจนปลายเสื้อที่ปิดช่วงต้นขานั้นถลกขึ้นมาถึงสะโพกเผยให้เห็นเรียวขายาวสีไข่มุก เขาชะงักไปเล็กน้อยก่อนที่จะขยับตัวถอยออกมา

“พี่ตฤณ~”

นิ้วเรียวเล็กรีบจับชายเสื้อนอนแล้วดึงลงให้กลับไปปิดบังต้นขาขาวเนียนเอาไว้ตามเดิม

“พะ... พะ... พี่ขอโทษ”

“รับผิดชอบด้วยเลยครับ”

ตฤณยังคงอยู่ห่างจากร่างนั้นแต่ยังอยู่ในลักษณะขึ้นคร่อม ดวงตาสีเพลิงจ้องมองมาราวกับจะเรียกร้องค่าเสียหายที่ทำให้เกิดความรู้สึกอับอาย เขาไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกเสียจากต้องรับผิดชอบแต่จะต้องรับผิดชอบอย่างไร

“เอ่อ...”

“จ้าวล้อเล่นหรอกครับ”

“ถ้าอย่างนั้น...”

ตฤณโน้มตัวลงมาใกล้ ใบหน้าแทบจะแนบชิดจนสามารถรับรู้ถึงลมหายใจของกันและกันได้ จ้องมองดวงตาสีเพลิงที่จู่ๆ ก็เป็นประกายราวกับเปลวเพลิงที่พร้อมจะหลอมละลายใจเขาให้กลายเป็นสถานะของเหลวอ่อนยวบ เขายกยิ้มมุมปากอย่างอ่อนโยนก่อนที่จะก้มใบหน้าลงจรดริมฝีปากของตัวเองลงบนริมฝีปากรูปกระจับ กดเน้นเบาๆ อย่างไม่รุกล้ำแล้วถอนใบหน้าขึ้นมา ทิ้งตัวเองลงนอนข้างกายของร่างเล็กที่จู่ๆ ใบหน้าก็ร้อนผ่าวราวกับถูกไฟสุม หัวใจเต้นโครมครามด้วยจังหวะแปลกที่จ้าวไม่เคยสัมผัสมาก่อน 

“พี่รับผิดชอบแล้วนะครับ”

“ระ... รับผิดชอบ?”

“พี่ก็รับผิดชอบด้วยการเสียจูบของพี่คืนให้จ้าวยังไงล่ะครับ”

จ้าวไม่รู้ว่าความรู้สึกที่เกิดขึ้นในตอนนี้มันคืออะไร แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เป้าหมายของเขาเปลี่ยนไป “แบบนี้จ้าวก็เสียเปรียบแย่เลยสิครับ พี่ตฤณจูบจ้าวก็เหมือนจ้าวจูบพี่ตฤณ ไม่แฟร์เลย” เขาพลิกตัวขึ้นทับร่างสูงที่อยู่ข้างๆ ให้เสื้อผ้าฝ้ายตัวยาวส่งผ่านความเปียกชื้นไปถึงอีกฝ่ายด้วยการให้ร่างกายของตัวเองแนบชิดกับร่างที่อยู่ข้างใต้

“จะ... จ้าวทำอะไร”

“จ้าวก็จะทำให้พี่ตฤณเปียกเหมือนจ้าวยังไงล่ะครับ”

ไม่ใช่แค่เสื้อที่จะเปียกแต่ตฤณยังรู้สึกว่าสิ่งที่อยู่ระหว่างขาของตัวเองมันเริ่มตื่นตัวขึ้นมาด้วย สถานการณ์แบบนี้เริ่มไม่ดีเสียแล้ว ถ้าหากเขาอดใจไม่ไหวกับการยั่วยวนของร่างเล็กแล้วล่ะก็อีกฝ่ายคงช้ำไปทั้งตัวแน่ เขารีบเบือนหน้าหนีก่อนที่สายตาที่ถูกส่งมาจะแผดเผาหัวใจของเขาให้ร้อนรุ่มดั่งไฟปรารถนาที่กำลังจะลุกโชติช่วง

“คิดจะยั่วพี่เหรอครับ”

“แล้วพี่ตฤณไม่ชอบเหรอครับ จ้าวบอกแล้วนะว่าอยากกินก็กินได้”

“แต่...”

“จ้าวยินดีทำให้พี่ตฤณมีความสุขครับ”

จ้าวขยับตัวขึ้นเล็กน้อยพอให้มีที่ว่างระหว่างกัน มือเล็กสอดเข้าใต้เสื้อยืดที่ชื้นน้ำลูบไล้ไปตามเรือนร่างที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อแน่นก่อนไล้วนไปรอบสะดือเป็นวงกลมสร้างความเสียวซ่านให้กับร่างที่กำลังถูกรุกรานอิสรภาพ ดวงตาสีเพลิงช้อนมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความปรารถนาแล้วยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย ภาพนั้นมันช่างเซ็กซี่ชวนเชิญเสียเหลือเกินจนตฤณห้ามใจตัวเองเอาไว้ไม่อยู่ ตวัดกายพลิกขึ้นคร่อมร่างเล็กเอาไว้ก่อนจะระดมจูบไล่ไปตามซอกคอขาวเนียน ขบเม้มริมฝีปากรูปกระจับสีกลีบกุหลาบเบาๆ อย่างหยอกล้อ

“พี่ตฤณ~”

มือแกร่งพันธนาการข้อมือเล็กทั้งสองข้างเอาไว้เหนือหัว อีกข้างที่ว่างอยู่สอดเข้าใต้เสื้อผ้าฝ้าย ความเปียกชื้นทำให้ผิวสัมผัสนั้นเยียบเย็นแต่ไม่อาจเทียบเท่ากับเปลวเพลิงแห่งตัณหาที่กำลังก่อตัวขึ้นในใจของเขาตอนนี้ได้

“ทำไมตัวจ้าวถึงได้หอมกว่าครั้งไหนๆ นะ”

จ้าวไม่ได้ตอบอะไร เขาทำเพียงแค่บิดร่างกายไปมาตามการเล้าโลมของอีกฝ่าย ถ้าเขาออกแรงขยับข้อมือของตัวเองมากกว่านี้อีกนิดก็หลุดออกจากการจับกุมได้อย่างง่ายดายแต่กลับไม่ทำ เขากำลังเดินไปตามเส้นทางที่ตฤณขีดขึ้นในขณะที่ตฤณก็เดินไปตามเส้นทางที่เขากำหนดเอาไว้เช่นกัน

“อ๊ะ! พี่ตฤณ อย่า...”

คำร้องของจ้าวดูจะไม่เป็นผล เมื่อนิ้วมือที่อยู่ใต้เสื้อคลึงวนรอบตุ่มไตไปมา

“อย่าอะไรครับ”

จ้าวไม่รู้ว่าอย่าอะไร ทำไมร่างกายถึงได้ตอบสนองไปตามแรงสัมผัสนั้น ทำไมหัวใจของเขาถึงได้เต้นเป็นจังหวะที่แปลกขึ้นทุกที ทำไมความรู้สึกของเขาถึงได้โหยหาสิ่งที่มากกว่าที่ได้รับอยู่ตอนนี้ อยากถูกสัมผัสให้แรงมากกว่านี้ อยากให้ตฤณได้ครอบครองร่างของเขาจนอดรนทนไม่ไหว

“พี่ตฤณ~”

“ครับ”

ตฤณตอบรับแต่ก็ยังไม่หยุดที่จะควานหาความหวานจากริมฝีปากสีกลีบกุหลาบ เขาประกบปากของตัวเองเข้ากับริมฝีปากของฝ่ายนั้นก่อนที่จะขบเม้มเบาๆ แล้วรุกล้ำเข้าสู่พื้นที่ส่วนตัว ปลายลิ้นเกี่ยวกระหวัดไปทั่วทั้งโพรงปาก พยายามตามหาความหวานที่อยู่ลึกลงไป ลากไล้ปลายลิ้นผ่านตามซี่ฟันเก็บเกี่ยวทุกอณูภายในที่สามารถช่วงชิงมาเป็นของตัวเอง

“อืมมมมมม”

ตฤณถอนริมฝีปากออกมาเมื่อรู้สึกพึงพอใจกับสิ่งที่ได้รับ ริมฝีปากรูปกระจับวาววับไปด้วยน้ำลายของทั้งสอง ใบหน้ากลมมนขึ้นสีแดงระเรื่อ ตลอดการใช้ชีวิตมาเป็นศตวรรษของจ้าว ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ถือเป็นครั้งแรกของเขาทั้งสิ้น

ชั้นในตัวเดียวที่จ้าวสวมใส่อยู่ในตอนนี้ไม่นับเสื้อนอนตัวยาวถูกปลดเปลื้องลงสู่เบื้องล่างโดยที่เจ้าของมันให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ในขณะที่เสื้อนอนตัวยาวกำลังจะถูกถอดออก จ้าวก็รีบร้องห้ามเอาไว้ “พี่ตฤณ อย่าครับ จ้าวอาย”

ตฤณยอมที่จะปล่อยให้เสื้อนอนตัวนั้นเป็นสิ่งที่ปกปิดความงดงามของร่างกายนี้เอาไว้ตามคำร้องขอ เขาปล่อยมันลงเช่นเดียวกับที่ปลดพันธนาการข้อมือเล็กออกด้วยเช่นกันแล้วจับให้คนตัวเล็กนอนคว่ำหน้าลง สอดนิ้วเรียวเล็กเข้าสู่เส้นทางด้านหลังเป็นใบเบิกทาง

“อ๊ะ!”

เส้นทางที่ตฤณกำลังบุกเบิกด้วยนิ้วของตัวเองมันช่างคับแน่น ยากที่จะแทรกผ่านเข้าไปได้โดยง่ายจนร่างที่อยู่ข้างใต้ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด

“พี่... พี่ขอโทษ”

 ตฤณถอนนิ้วที่เข้าไปได้เพียงข้อออกมาตั้งต้นใหม่ ปลายนิ้วคลึงวนอยู่รอบดอกตูมในขณะที่โน้มตัวลงขบเม้มติ่งหูนุ่มเบาๆ อย่างหมั่นเขี้ยว ใบหน้ากลมมนที่อยู่ข้างใต้นั้นร้อนผ่าวราวกับกาน้ำที่พร้อมจะเดือดจัด สิ่งที่ร่างกายของเขากำลังได้รับจากร่างสูงนั้นเป็นสิ่งแปลกใหม่ที่ทั้งชีวิตไม่เคยได้สัมผัสสร้างความเสียวซ่านจนร่างหดเกร็ง

“อย่าเกร็งสิครับ” 

จ้าวก็อยากจะผ่อนคลายแต่มันทำไม่ได้เมื่อเขารู้สึกในทุกสัมผัสที่ตฤณมอบให้

“ใจเย็นนะ พี่จะทำเบาๆ จะถนุถนอมอย่างดี พี่สัญญา”

ตฤณลองสอดนิ้วเข้าไปในช่องทางด้านหลังอีกครั้ง ถึงแม้ว่ามันจะแน่นขนัดแต่ก็ดีกว่าเมื่อครู่มาก ร่างกายที่เขากำลังจะครอบครองหลังจากนี้เริ่มผ่อนคลายลงบ้างแล้ว เขาสอดนิ้วเข้าออกอยู่สามสี่ครั้งให้ช่องทางนั้นได้คุ้นชินกับสิ่งแปลกปลอม เสียงร้องของจ้าวยามเขาชักนิ้วเข้าออกช่างไพเราะจนอยากได้ยินเรื่อยๆ เขาแกล้งเด็กคนนั้นด้วยการบีบเค้นตุ่มไตบนหน้าอกที่กระเพื่อมเป็นจังหวะพร้อมกับสอดนิ้วเข้าไปจนสุด

“อ๊าาาาาา” 

เสียงกรีดร้องของจ้าวทำให้ตฤณมีความสุขแต่มันจะสุขมากกว่านี้ถ้าหากเขาได้ฝังตัวเข้าไปรับความอบอุ่นในร่างกายนั้น

“พี่เข้าไปได้ไหม”

“ไม่ๆ พี่ตฤณห้ามเข้า แค่นี้ก็เจ็บจะแย่แล้ว”

ใช่ว่าตฤณจะยอมรับฟังเสียงร้องขอของจ้าวที่ฝังหน้าลงกับหมอนหนุนเสียเมื่อไร ความเสียวซ่านที่มาพร้อมกับความเจ็บปวดมันไม่ใช่สิ่งที่จะเรียกว่าความสุขได้เลยเพราะนั่นมันคือสิ่งที่จ้าวรู้สึกว่าร่างทั้งร่างเริ่มทรมาน เรียกร้องหาการปลดปล่อย   

ไม่รู้ว่างานนี้ใครจะได้กลายร่างเป็นปีศาจกันแน่ ระหว่างตฤณที่เตรียมพร้อมจะกินอาหารมื้อโอชะกับจ้าวที่อีกไม่นานจะได้กลายเป็นอาหารมื้อพิเศษในตฤณได้ติดใจไปอีกนานแสนนาน

“พี่รับปากว่าจะทำให้เบาที่สุด ให้จ้าวมีความสุขที่สุดนะครับ”

“ไม่เอา!”

จ้าวรู้ว่าสิ่งที่เขาต้องการมีเพียงทางนี้ทางเดียวที่จะได้ครอบครองมันแต่ไม่คิดว่าเพราะเป็นทางนี้ที่ทำให้เขาต้องเจ็บตัว ถ้ารู้แต่แรกก็คงไม่อยากได้ทว่าจะกลับลำตอนนี้ก็ไม่ทันการเสียแล้ว เมื่อเขาทั้งเป็นฝ่ายเชิญชวนและยังอนุญาตให้กินได้ตามใจต้องการ

“ทำไมตอนแรกไม่เห็นดื้อกับพี่แบบนี้เลยล่ะ”

น้ำเสียงของตฤณที่กระซิบเบาๆ ข้างหูเต็มไปด้วยความปรารถนาที่อยากปลดปล่อยสิ่งที่อยู่ในกายออกมา จ้าวไม่ได้ตอบอะไรเพราะเขาเอาแต่ฝังหน้าตัวเองลงกับหมอนหนุน เมื่อฝ่ายนั้นไม่ตอบ ตฤณจึงถือโอกาสนี้สานต่อสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้าให้เรียบร้อย   

มือแกร่งจับขาเรียวเล็กให้แยกออกจากกันก่อนที่จะสอดสิ่งสำคัญของตัวเองที่แข็งขึงเข้าไป แม้เส้นทางจะถูกเปิดแล้วแต่มันก็ยังคับแคบอยู่มากกว่าจะเข้าก็ทำเอาร่างข้างใต้ร้องระงมด้วยความเจ็บปวดเพราะสิ่งนั้นมันมีขนาดใหญ่กว่านิ้วเป็นไหนๆ เมื่อเข้าไปแล้วตฤณกลับกลั่นแกล้งด้วยการค้างมันไว้อย่างนั้น

“พี่ตฤณ~”

“ครับ”

“จ้าวอึดอัด เอาออกไปได้ไหม”

“ได้สิ”

จ้าวได้ยินแบบนั้นก็ใจชื้นขึ้นมาหน่อย เขาหวังว่าตฤณจะถอนแท่งนั่นออกจากร่างให้เร็วที่สุดแต่กลับไม่ใช่อย่างที่คาดเอาไว้ เมื่อตฤณทำเพียงแค่ขยับออกแต่ก็ยังมีส่วนหนึ่งติดค้างอยู่ที่ปลายทางออก ใบหน้ากลมมนแสดงความทุกข์ทรมานออกมาอย่างเห็นได้ชัดเพราะสิ่งนั้นก็ยังอยู่ในร่างอีกตั้งเกือบครึ่ง

“พี่ตฤณ~ เอาออกให้หมดสิครับ จ้าวทรมานจะแย่แล้ว”

“ได้สิ”

ตฤณดันแก่นกายของตัวเองกลับเข้าไปจนมิดอีกครั้งพร้อมกับกระซิบที่ข้างหูของร่างเล็กด้วยเสียงกระเส่า “พี่จะเอาออกให้หมดแล้วฝากไว้ที่จ้าวนะครับ”

ดวงตาสีแดงเพลิงเบิกกว้างทันทีที่ได้ยิน ทั้งที่จ้าวมีอำนาจเหนือผู้ใดในที่นี้มาโดยตลอดแต่ทว่าเมื่อมาอยู่บนเตียงแล้วอำนาจที่เคยครอบครองกลับสูญหายไปจนหมดสิ้น ร่ายกายของเขากำลังถูกครอบครองอย่างเอาแต่ใจ น้ำหนักที่กระแทกกระทั้นลงมายังบั้นท้ายมันช่างสร้างความเจ็บปวดไปทั่วทั้งเบื้องล่างแต่ถึงกระนั้นเส้นสายแห่งความสุขกลับไหลไปยังทุกส่วนของร่างกายรวมถึงหัวใจดวงน้อยที่เต้นไม่เป็นจังหวะดวงนั้นด้วย

“อ๊า~ พี่ตฤณ”

“มีความสุขไหมครับ”

จ้าวได้แต่พยักหน้าแทนคำตอบ ความเจ็บปวดที่แล่นริ้วถาโถมเข้ามาทำเอาต้องกัดฟันข่มไว้แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีเสียงเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากรูปกระจับที่ถูกขบกัดจากร่างที่ทาบทับอยู่ ตฤณพลิกร่างข้างใต้ให้นอนหงายในขณะที่ส่วนหนึ่งของร่างกายเขายังคงอยู่ในตัวของเด็กคนนั้น จังหวะที่ร่างกายถูกจับให้หงายขึ้น เสียงร้องของจ้าวก็ดังขึ้นมาอีกระลอกด้วยเพราะช่องทางอ่อนนุ่มนั้นถูกเสียดสี

“งั้นพี่ขอกินทั้งตัวเลยนะครับ”

ตฤณไม่รอฟังคำตอบใด มือแกร่งจับเรียวขางามให้แยกห่างออกจากกันก่อนจะกระแทกกายเข้าออกกระชั้นถี่จนร่างที่อยู่ข้างกระตุกเป็นบางช่วง มือเรียวเล็กขยุ้มผ้าปูจบยับเยินแต่ใบหน้านั้นสุขสมราวกับกำลังถูกชักจูงให้ขึ้นสวรรค์แต่เมื่อสิ่งนั้นหยุดนิ่งก็คล้ายกับความรู้สึกกำลังถูกกระชากให้ตกลงมายังนรก

“อ๊า~ อย่าหยุดสิครับ”

ร่างเล็กบิดเร่าอย่างทุกข์ทรมาน การถูกกลั่นแกล้งแบบนี้ไม่เป็นผลดีอะไรเลยเพราะนั่นทำให้ความต้องการในร่างการเพิ่มสูงขึ้น นิ้วเรียวเล็กลูบไล้ไปตามแผงอกที่อยู่ใต้เสื้อ ดวงตาสีเพลิงที่ดูเร่าร้อนกลับยิ่งร้อนเร่ามากขึ้น จ้าวทนไม่ไหวกับอาการแบบนี้อีกแล้ว เขาอยากถูกปลดปล่อย

“แล้วจ้าวอยากให้พี่ทำอะไรล่ะ”

ได้ที ตฤณก็กระเซ้าเย้าแหย่ถามเสียหน่อยแต่เขาก็รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังต้องการอะไรในเวลานี้ เช่นเดียวกับที่เขาเองก็ต้องการด้วยเหมือนกัน แต่ทว่าถ้าเอาแต่เป็นฝ่ายกระทำอยู่ผู้เดียวมันจะไปสนุกอะไร

“เอ่อ...”

“บอกพี่สิครับ พี่จะทำให้”

จ้าวไม่ได้ตอบแต่เขากลับขยับช่วงล่างของตัวเองเป็นการบอกนัยๆ ว่าให้เริ่มทำต่อจากที่ค้างไว้ได้แล้ว ตฤณยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยแล้วเปลี่ยนท่าบ้างด้วยการให้คนตัวเล็กอยู่ด้านบน ส่วนเขานั้นอยู่ข้างล่าง ด้วยท่านี้ทำให้เขากระแทกกระทั้นแก่นกายเข้าสู่ช่องทางอันคับแคบและเปียกชื้นได้อย่างถนัดถนี่

เสียงร้องครวญครางเจือเสียงหอบกระเส่าเร่งเร้าให้ตฤณกระแทกแก่นกายเร็วและแรงขึ้น มันสร้างความเสียวกระสันให้กับร่างที่ขึ้นคร่อม ปลายเล็บที่วางอยู่บนหน้าท้องกดจิกเบาๆ คล้ายกับต้องการบรรเทาสิ่งที่อัดแน่นอยู่ภายใน

“พี่... อ๊า~ จะออกแล้ว จ้าว”

“ไม่ อย่า... อ๊า~ ปล่อย”

ไม่ทันที่จ้าวจะได้เอ่ยปราม ร่างที่นอนอยู่ข้างใต้กระตุกวูบ น้ำอุ่นสีขาวขุ่นก็ฉีดพุ่งจากแก่นกายไหลทะลักเข้าสู่ช่องทางอันคับแคบอย่างสมปรารถนา ใบหน้าคมคายอิ่มเอมไปด้วยความสุขที่แทบจะล้นทะลักผิดกับเด็กน้อยที่นอนซบแผ่นอกกว้างทำหน้ามุ่ย ตฤณมีความสุขสบายกับการได้ปลดปล่อยมันออกมาต่างจากอีกฝ่ายที่ยังทรมานกาย

“พี่ตฤณ”

“พี่มีความสุขมากเลยนะ”

“ครับ แต่จ้าวกำลังทุกข์”

นิ้วเล็กบิดตุ่มไตบนแผงหน้าอกของอีกฝ่ายหวังคลายความทรมานนี้ออกไป เพราะไม่เพียงแต่ตัวเองจะยังขึ้นไม่ถึงสวรรค์ชั้นสูงสุดแล้วฝ่ายนั้นก็ยังไม่ยอมถอนกายออกจากร่างเขาแม้ว่าจะปลดปล่อยออกไปจนหมดสิ้นแล้วก็ตาม

รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ราวกับปีศาจปรากฏขึ้นบนใบหน้าคมคาย เขาค่อยๆ ขยับตัวลุกขึ้นโดยที่ยังฝังแก่นกายของตัวเองอยู่ในช่องทางอันอุ่นร้อนมาเผชิญหน้ากับใบหน้าที่แสดงให้เห็นถึงความอึดอัดที่ยังไม่ถูกระบาย มือแกร่งสัมผัสเบาไปยังแก่นกายอันน้อยที่แข็งขึง รูดขึ้นลงช้าๆ ดวงตาเรียวยาวปรือปรอยราวกับกำลังดื่มด่ำความสุขที่ไม่เคยพบเจอ ช่วงจังหวะที่ฝ่ามือไล้ผ่านแก่นกายช่างมีน้ำหนักพอเหมาะพอเจาะ มือเรียวเล็กเอื้อมไปคล้องรอบคอหวังช่วงประคองร่างของตัวเองเอาไว้ให้มั่นคง

“เร็วกว่านี้ อ๊า~”

ตฤณแอบแกล้งร่างเล็กด้วยการปล่อยมือออก ใบหน้ากลมมนนั้นถึงกับบิดเบี้ยว เรียวคิ้วงามขมวดเข้าหากันอย่างหงุดหงิด ริมฝีปากบางขยับคล้ายกับจะก่นด่าแต่ก็เงียบไปเมื่อแก่นกายรับรู้ได้ถึงความอบอุ่นที่ถูกส่งผ่านมา

“ไม่ถึงแล้วทำไมไม่บอกล่ะครับ”

จะให้จ้าวเอาเวลาไหนไปพูดบอกเมื่อถูกกระทำอยู่ฝ่ายเดียว

“อ๊า~ พี่ตฤณเร็วๆ สิครับ”

ช่วงจังหวะการขยับมือของตฤณยังไม่มากพอที่จะช่วยปลดปล่อยความทุกข์ทรมานที่สุมอยู่ในกายออกไปได้ ดวงหน้ามนเชิดขึ้นพร้อมกับขยับตัวขึ้นลงอย่างช้าๆ แก่นกายที่ยังคงค้างอยู่ในนั้นเสียดสีกับช่องทางรักเบาๆ ปลุกเร้าความต้องการของตฤณขึ้นมาอีกระลอก

“ทำแบบนี้หมายความว่า... อยากให้พี่ต่อใช่ไหมครับ”

“พี่ตฤณช้า”       

ตฤณหลุดหัวเราะเล็กน้อย ปล่อยมือจากสิ่งที่กำลังกอบกุมอยู่แล้วเคลื่อนย้ายไปประคองแก้มก้นงามงอนก่อนจะขยับกายเข้าออกเสียเอง เมื่อเป็นเช่นนั้นจ้าวจึงต้องปล่อยมือที่โอบรอบคอแกร่งเอาไว้แล้วมาสัมผัสกับส่วนสำคัญของตัวเองแทน ขยับเข้าขยับออกตามจังหวะชักจูงของร่างที่สูงกว่าจนท้ายที่สุดแล้วต่างฝ่ายต่างก็พากันขึ้นสวรรค์ไปพร้อมกัน

“อ๊า~ พี่ตฤณ”

“จ้าว” 

ร่างเล็กทรุดตัวลงพิงแนบกับแผงอกของอีกฝ่ายอย่างหมดเรี่ยวแรง หอบหายใจจนตัวโยน

“จ้าวเป็นของพี่ตฤณแล้วนะครับ”

น้ำเสียงอู้อี้ฟังไม่ได้ศัพท์แต่ตฤณกลับได้ยินชัดทุกถ้อยคำ เขายกยิ้มอย่างมีความสุขพลางโอบกอดร่างเล็กเอาไว้แอบอกแล้วถอนกายออกมา เอื้อมมือออกไปลูบไล้ใบหน้าที่โชกชุ่มไปด้วยหยาดเหงื่อด้วยความเอ็นดูรักใคร่ ไม่ใช่เพียงแค่จ้าวเป็นของตฤณแล้วแต่หัวใจของเขาก็เป็นของเด็กคนนั้นไปแล้วด้วยเช่นกัน

“ครับ เป็นของพี่แล้ว พี่จะดูแลอย่างดีเลย”

“พี่ตฤณก็เป็นของจ้าวแล้วด้วยเหมือนกัน จ้าวก็จะมีแค่พี่ตฤณคนเดียว”     







>> ต่อด้านล่าง <<

ออฟไลน์ BlueSora

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
>> ต่อจากข้างบน <<







หลังจากที่ได้ร่วมรักกับตฤณแล้ว จ้าวก็ทิ้งตัวลงนอนบนเตียงแล้วปล่อยให้อีกฝ่ายได้เข้าไปชำระล้างร่างกายก่อนโดยที่ยืนกรานอย่างหนักแน่นว่าจะไม่ตามเข้าไปเพราะกลัวว่ามันจะไม่ได้จบลงแค่ที่บนเตียงนอนแต่อาจจะยังต้องไปต่อรอบสองในห้องน้ำอีก

สิ่งที่จ้าวต้องการนั้นได้ครอบครองแล้วเพียงครึ่ง ขาดอีกครึ่งก็จะครบถ้วนสมบูรณ์โดยที่ไม่มีใครจะมาพรากมันไปจากเขาได้อีก หากแต่ยังคงไม่ใช่เวลานี้เพราะเขาเหนื่อยเกินจนแค่ขยับตัวเล็กน้อยก็ปวดร้าวไปหมด เขาซุกตัวลงใต้ผืนผ้าห่ม กอดหมอนหนุนแน่น ถ้าสุดท้ายแล้วเขารู้ว่าปลายทางของความเจ็บปวดที่ได้รับนั้นคือความสุขสมที่หาจากที่ไหนไม่ได้ เขาคงรีบลงมือทำมันเสียตั้งแต่ทีแรก ตั้งแต่วันแรกที่เจอหน้าตฤณเลยด้วยซ้ำ

ตฤณออกจากห้องน้ำแล้วเดินตรงมายังเตียงนอนที่เราเคยได้พลอดรักกัน โน้มกายลงต่ำ จุมพิตข้างกกหูพลางกระซิบด้วยน้ำเสียงที่จ้าวได้ยินแล้วใจสั่น “เหนื่อยก็พักสักหน่อยนะ แล้วพี่จะรีบกลับนะครับ สุดที่รัก”

จ้าวได้แต่พยักหน้าให้แทนคำตอบ เขารอให้ตฤณเดินออกไปจากห้องแล้วค่อยๆ ยันกายลุกขึ้นมานั่งพิงหัวเตียง

“พี่เจต!!”

รอไม่นาน วิญญาณของเจตรินก็มาปรากฏกายอยู่ตรงหน้าตามคำเรียกเชิญ ใบหน้าลูกครึ่งของพี่ชายที่รักสุดหัวใจเต็มไปด้วยความสุขที่ไม่เคยมีมาก่อน จากเหตุการณ์ที่ผ่านมาเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้วน้องชายอันเป็นที่รักน่าจะได้เรียนรู้สิ่งที่เรียกว่าความอ่อนโยนได้จากผู้ชายคนนั้นบ้าง

‘มีอะไรหรือเปล่า’

“ปล่อยทุกคนออกไปให้หมด”

'ปล่อยเหรอ ปกติจ้าวไม่เคยใจดีแบบนี้นี่’

“จ้าวใจดีบ้างแล้วไม่ดีเหรอครับ พี่เจตก็อยากให้จ้าวใจดีไม่ใช่เหรอไงครับ”

เป็นความจริงที่เจตรินอยากให้น้องชายของเขาใจดี มีเมตตาและอ่อนโยนบ้างแต่ก็น่าแปลกอยู่ไม่น้อยที่วันนี้จู่ๆ เด็กคนนั้นก็นึกใจดีมีเมตตายอมปล่อยพวกที่ชอบลองของ อยากเจอดีให้ออกไปได้อย่างง่ายดายโดยที่แทบจะไม่ได้ฝากอะไรไว้ให้เป็นของที่ระลึกเลย

‘ก็ใช่ แต่มันก็น่าแปลก เป็นเพราะตฤณหรือเปล่านะที่ทำให้น้องของพี่เปลี่ยนไปนิดหน่อย’

 “จ้าวก็แค่อารมณ์ดีจนขี้เกียจจะไปเล่นสนุกแล้ว”

‘กับตฤณนี่ สรุปหลงรักเขาแล้วหรือยัง’

“จะรักหรือไม่ จ้าวก็ได้สิ่งที่ต้องการมาแล้ว ขาดอีกแค่ครึ่งเท่านั้น พี่เจตมีอะไรจะทำไปก็ไปเถอะครับ จ้าวอยากพักผ่อนสักหน่อย เหนื่อยมาหลายคืนแล้ว”

เจตรินปล่อยให้จ้าวได้พักผ่อนตามต้องการ ส่วนเขาก็ต้องไปจัดการเรื่องที่เหลือที่ได้รับคำสั่งมา เก็บกวาดศพคนสองศพกับปล่อยคนอีกสามคนให้กลับไปพบกับแสงแดดและอากาศอันบริสุทธิ์อีกครั้ง





** ติดตามตอนต่อไป **

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ได้ครึ่งหนึ่ง ยังขาดอีกครึ่งหนึ่ง มันคืออะไร  :confuse:
จะมีอะไรเป็นหลักประกันว่า พระเอกเรื่องนี้จะไม่ตายตอนจบ  :ling3:

ออฟไลน์ XXX

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
สุดยอดดดดด อิอิ รอมาต่อนะค้าาา

 :-[ :-[ :impress2:

ออฟไลน์ BlueSora

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
::: ตอนที่ 16 :::
อีกครึ่งของวิญญาณที่หายไป





​ตฤณมาถึงมหาวิทยาลัยในช่วงสายของวัน ยังไม่ทันจะได้หย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้ไม้ยาวในซุ้มของคณะ เขาก็ถูกรุ่นพี่ปีสี่ที่นั่งอยู่ก่อนแล้วเอ่ยทักด้วยเรื่องไม่เป็นมงคลเข้าเสียก่อน

“ตฤณ อย่าหาว่าพี่สอดเลยนะ วิญญาณอีกครึ่งหายไปไหน”

“พี่เมฆถามอะไร วิญญาณหาย? ก็ไม่หายนี่ครับ”

เมฆเป็นรุ่นพี่ที่ค่อนข้างจะสนิทสนมกับตฤณและเพื่อนในกลุ่มอยู่มาก อีกทั้งยังมีสัมผัสพิเศษเกี่ยวกับสิ่งลี้ลับที่มองไม่เห็นอีกด้วย เพราะฉะนั้นแล้วเขาจึงไม่โกรธที่ถูกถามอะไรแบบนี้

“แล้วตอนนี้ไม่ได้อยู่หอแล้วเหรอ”

“ครับ พอดีผมได้ที่พักฟรี ถึงจะไกลจากมหาวิทยาลัยไปหน่อยแต่ก็โอเคนะ”

“จริงๆ พี่ถามลีแล้วล่ะ อยู่ที่คฤหาสน์หลังนั้นใช่ไหม”

ตฤณพยักหน้ารับพร้อมกับทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเมฆ วางกระเป๋าและหนังสือเรียนลง เขาอยู่ที่คฤหาสน์หลังนั้นจริงแถมเด็กที่เป็นเจ้าของก็ยังอัธยาศัยดีมากด้วยจนเขาอยากแนะนำให้เพื่อนทุกคนได้รู้จัก

“แล้วเคยได้ยินข่าวลืออะไรเกี่ยวกับที่นั่นบ้างไหม”

ข่าวลือ... ตฤณก็พอจะได้ยินมาบ้างจากการที่วันนั้นออกไปซื้อน้ำข้างนอก มีคนถามถึงว่าเจอเหตุการณ์อะไรแปลกๆ ในคฤหาสน์หลังนั้นหรือไม่ แล้วอยู่สบายดีไหมราวกับเป็นห่วงเป็นใยในชีวิตของเขา แต่ตฤณกลับส่ายหน้าให้เป็นคำตอบ เขาเองก็อยากรู้จากปากของรุ่นพี่ว่ามันมีข่าวลืออะไรที่เกี่ยวข้องกับคฤหาสน์หลังนั้นบ้างนอกเหนือจากที่ได้เจอมา

“แล้วอยากฟังไหม แต่พี่บอกก่อนนะว่าที่จะพูดมันไม่ใช่แค่ข่าวลือ”

ตฤณพยักหน้ารับคำ เขาพอรู้อยู่บ้างว่าครอบครัวของรุ่นพี่กำลังศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งลี้ลับบางอย่างอยู่ ไม่คิดว่าเรื่องนั้นจะมาเกี่ยวข้องกับคฤหาสน์หลังนี้เข้า 

“คฤหาสน์ที่แกอยู่น่ะเป็นของครอบครัวชาวอังกฤษ ฟาเบกัส คัลเลน พ่อค้าวานิชที่เข้ามาทำการค้ากับไทย เขาแต่งงานกับภรรยาชาวไทยและมีลูกชายด้วยกันหนึ่งคนคือ โจเซฟ คัลเลน แต่อยู่มาวันหนึ่งพ่อค้าวานิชคนนี้ก็เกิดไปถูกอกถูกใจเด็กน้อยคนหนึ่งวัยห้าขวบเข้าจึงรับมาเลี้ยงและมอบชื่อใหม่ว่าวินเซ้นท์ เด็กคนนี้มีนัยน์ตาสีแดงฉานเหมือนสีเลือดจึงถูกรังเกียจเพราะคิดว่าเป็นปีศาจ”

เมฆหยุดเล่าเพียงเท่านี้แล้วหยิบสมุดภาพเล่มหนึ่งออกมาจากกระเป๋าสะพาย วางมันลงตรงหน้าของตฤณแล้วพลิกไปยังหน้าที่มีรูปภาพของครอบครัวนี้อยู่ซึ่งครอบครัวของเขาเก็บมันมาจากหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งเมื่อนานมากแล้วตอนที่กำลังค้นคว้าเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของคฤหาสน์ที่ใครหลายคนต่างก็กล่าวกันว่าเป็นสถานที่ที่ผีดุ

ภาพจากหนังสือพิมพ์เก่าๆ ที่เหลืองจนกรอบทำเอาตฤณตกใจอยู่ไม่น้อย สองคนในภาพนั้นเป็นคนที่เขารู้จักและมีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้ เด็กน้อยที่เขาเพิ่งจูบลาก่อนจากมากับพี่ชายของเขา ‘เจต’

“นี่คือครอบครัวคัลเลน เด็กสองคนในภาพคือโจเซฟกับวินเซ้นท์”

“เดี๋ยว! นี่พี่เล่นตลกอะไร อำกันเล่นใช่ไหม”

“ดูวันที่ของหนังสือพิมพ์สิ คิดว่าพี่อำเล่นเหรอ”

ตฤณเบนสายตามองไปยังวันที่และปีพุทธศักราชตรงมุมบนของหน้าหนังสือพิมพ์ที่ถูกตัดทอนมาด้วย วันที่กับเดือนที่ปรากฏอยู่ตรงนั้นยังไม่ทำให้เขารู้สึกช็อคไปมากกว่าตัวเลขที่ต่อท้ายอักษรย่อว่า พ.ศ. มันขึ้นต้นด้วยเลขสองและตามมาด้วยเลขสี่ เขาไม่ดูต่อว่ามันจะเป็นปีพุทธศักราชที่เท่าไรแต่กลับเบือนสายตาไปยังภาพถ่ายที่อยู่ในหน้าหนังสือพิมพ์นั้นอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง

“สมัยนี้อะไรๆ ก็ทำได้ ขนาดของเก่ายังทำให้เป็นของใหม่ได้เลย แล้วถ้าของใหม่มันจะทำให้เป็นของเก่าไม่ได้เหรอ”

“ตฤณ”

“ไม่ใช่ผมไม่เชื่อนะพี่ แต่เมื่อเช้าผมยังคุยกับเขาอยู่เลย”

แค่พวกเขาเริ่มต้นคุยเรื่องประวัติของคฤหาสน์หลังนั้นก็คล้ายกับว่ากำลังจะเปิดศึกทะเลาะกันแล้ว ยังไม่นับเรื่องราวอีกมากมายที่เกิดขึ้นหลังจากนี้

“คฤหาสน์หลังนั้นมันมีอะไรที่อยู่เหนือการควบคุมเรานะ พูดตรงๆ ว่าพี่เป็นห่วงแก ออกจากมาที่นั่นก่อนที่อะไรๆ มันจะสายเกินไปเถอะ”

ทั้งเนตร ลี รวมถึงพี่เมฆ ทำไมถึงได้มีแต่คนอยากให้เขาออกมาจากคฤหาสน์หลังนั้นทั้งที่มันไม่ได้มีเรื่องอะไรเลวร้ายเกิดขึ้นกับตัวเขาเลยสักอย่าง จ้าวออกจะเป็นเด็กดีที่แสนน่ารักและข่าวลือมันก็เป็นเพียงแค่ข่าวลือ ตฤณเชื่ออย่างนั้น

“แล้วมันมีอะไรล่ะ”

“ตามข่าวที่พี่อ่านมาหรือสืบหาเอาจากคนที่พอรู้เรื่องเกี่ยวกับคฤหาสน์หลังนี้อ่ะนะ เขาบอกว่าหลังจากที่เด็กคนนี้ย้ายเข้ามาอยู่ที่คฤหาสน์หลังนี้ได้พักใหญ่ ทุกคนในครอบครัวก็ถูกฆ่าตาย ไม่มีใครรอดชีวิต แม่บ้าน คนรับใช้ รวมถึงเด็กทั้งสองคนนั้นด้วยก็ไม่รอด จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครรู้ว่าฆาตกรเป็นใคร แต่หลังจากเกิดเหตุการณ์นั้นแค่วันเดียว ตอนที่กำลังจะเคลื่อนย้ายศพไปฝังก็มีเหตุการณ์แปลกๆ เกิดขึ้น ทุกศพที่อยู่ในนั้นเคลื่อนย้ายไม่ได้ ไม่ว่าจะใช้กี่คนลากก็ยังไม่ขยับ จะหาเครื่องทุ่นแรงมาใช้ยกศพไปมันก็ไม่ขึ้นจนสุดท้ายก็ต้องล้มเลิกไป แล้วปล่อยให้มันเป็นปริศนาอยู่อย่างนั้น”

“พวกข่าวแบบนี้บางทีมันก็ใส่สีตีไข่ เขียนเอาสนุกกันทั้งนั้นแหละ”

“แกจะบอกว่าไม่เชื่อเหรอ”

“ไม่ใช่แบบนั้นนะ คือ... ผมแค่คิดว่าเด็กคนนั้น วินวินอะไรนั่นคงไม่ใช่คนเดียวกับที่ผมรู้จักหรอก ก็เป็นแค่เด็กหน้าเหมือนแล้วอีกอย่างตอนที่ผมอยู่ที่คฤหาสน์หลังนั้นมันก็ไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นเลย อาจจะมีความรู้สึกแค่แบบ... เหมือนมีคนจับตามองอยู่บ้าง แต่มันก็ไม่ได้แย่อะไร”

เมฆไม่รู้จะอธิบายยังไงให้ตฤณยอมย้ายออกมาจากคฤหาสน์หลังนั้น เขาได้เองได้ยินได้ฟังข่าวลือเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในนั้นมาบ้าง โดยเฉพาะสิ่งที่เกิดขึ้นกับลี ที่นั่นมีความชั่วร้ายแอบแฝงอยู่และเขาต้องพาตัวรุ่นน้องคนนี้ออกมาจากสถานที่เลวร้ายแบบนั้นให้ได้

“แล้วเคยได้ยินข่าวลือที่เขาบอกว่าใครที่เข้าไปที่นั่นแล้วอาจจะไม่มีโอกาสได้กลับออกมาหรือถ้าออกมาได้ก็จะกลายเป็นบ้า สติฟั่นเฟือน”

“ข่าวลือมันก็คือข่าวลือน่ะพี่ แล้วนี่ผมก็อยู่ที่นั่นมาตั้งห้าวัน ถ้าข่าวลือเป็นจริง ป่านนี้ผมคงกลายเป็นศพหรือเป็นบ้าไปตั้งนานแล้ว”

นับว่าเป็นเรื่องที่แปลกมากที่สุดเท่าที่เมฆเคยได้ยินมา ไม่เคยมีใครรอดชีวิตจากคฤหาสน์หลังนั้นแล้วสามารถใช้แบบปกติสุขราวกับไม่มีเรื่องราวอะไรเกิดขึ้นในนั้นให้ต้องขวัญผวา

“ห้าวันเลยเหรอวะ!”

“อืม แล้วเด็กคนนั้นก็นิสัยดีมากด้วย พี่จะไปเจอเขาหน่อยไหมครับ”

“ก็ดีเหมือนกัน พี่ก็อยากรู้ว่าวินเซ้นท์กับเด็กคนนั้นใช่คนเดียวกันจริงๆ หรือเปล่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกันนะ เดี๋ยวตอนเลิกเรียนแล้วพี่จะขับมอเตอร์ไซค์ไปส่ง ตกลงไหม”

“ครับ”

“เอ่อ... งั้นเดี๋ยวพี่ไปเรียนล่ะ แล้วเดี๋ยวเรียนเสร็จก็โทรมาหาพี่นะ”

“ครับ”

 

---------------------------------


หลังจากหมดคาบเรียนแล้วตฤณก็กลับคฤหาสน์มาพร้อมกับเมฆ ตลอดทั้งวันที่เข้าเรียนนั้นเขาไม่เจอเนตร ไม่เห็นยุ้ย โทรไปก็ติดต่อไม่ได้ พอถามเอาความจากลี ฝ่ายนั้นก็ยังไม่ยอมตอบว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับเพื่อนอีกสองคน ถึงมันจะแปลกไปสักหน่อยที่ติดต่อทั้งสองคนไม่ได้แต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก

คฤหาสน์หลังโตที่อยู่ตรงหน้าในช่วงที่พระอาทิตย์ใกล้จะเลิกทำงานดูวังเวงอยู่เล็กน้อย ถนนที่อยู่ข้างหน้ายังพอเห็นรถวิ่งสวนไปมาบ้างประปราย บรรยากาศเยือกเย็นโรยตัวลงมาจากเบื้องบนจนเกือบจะครอบคลุมทั่วทั้งบริเวณ ความเงียบสงัดทำให้พวกเขาราวกับหลุดเข้าไปอยู่ในอีกโลกใบหนึ่ง

“พี่ตฤณ~”

เด็กน้อยในชุดเดิมเหมือนเช่นครั้งแรกที่ตฤณเจอวิ่งถลาจากหน้าประตูคฤหาสน์ที่เปิดกว้างอยู่แล้วเข้ามาหาเขา ใบหน้ากลมมนได้รูปนั้นประดับไปด้วยรอยยิ้มอันแสนงดงามและเป็นมิตรแต่ทว่าเมฆกลับไม่รู้สึกถึงความเป็นมิตรนั้นเลย ดวงตาสีเพลิงตวัดมองเขาอยู่ครู่หนึ่งด้วยแววแห่งความไม่พอใจ

“เดินลงมาไหวเหรอ”

“พอไหวครับ แต่มันก็ยังเจ็บอยู่ แล้วนี่ใครเหรอครับ”

จ้าวเอ่ยถามถึงผู้ชายอีกคนที่ติดสอยห้อยตามตฤณมาด้วย เขาเงยหน้ามองร่างที่อยู่สูงกว่าแล้วปั้นหน้าที่แสดงถึงความอ่อนโยนและเป็นมิตรให้ได้มากที่สุดแต่แววตาที่ส่งผ่านมานั้นมีแต่ความมุ่งร้ายที่หมายมาดเอาชีวิต ถ้าหากเผลอทำอะไรที่ไม่ถูกใจเข้าล่ะก็อาจไม่มีโอกาสได้เอาชีวิตที่เหลืออยู่กลับไปใช้

“อ้อ! รุ่นพี่ที่มหาวิทยาลัยน่ะ ชื่อเมฆ”     

“เพื่อนพี่ตฤณนี่เอง ผมชื่อจ้าวครับ เข้ามาข้างในก่อนสิครับ”

“ไม่เป็นไร แค่มาส่งเฉยๆ ก็กลับแล้ว”

เมฆรีบเอ่ยปฏิเสธ แน่นอนว่าที่เขามาที่นี่ก็เพื่อต้องการยืนยันว่าเด็กที่ตฤณพูดถึงกับวินเซ้นท์คนนั้นเป็นคนเดียวกันหรือไม่ และตอนนี้เขาก็รู้แล้วว่าถ้าเด็กคนนี้ไม่ใช่คนเดียวกับที่ปรากฏอยู่ในรูปถ่ายบนหน้าหนังสือพิมพ์เมื่อร้อยกว่าปีก่อนก็คงจะเป็นร่างโคลนนิ่งที่คัดลอกออกมาทุกกระเบียดนิ้ว ไม่เว้นแม้แต่ชุดที่สวมใส่อยู่นี่ก็ยังเป็นชุดเดียวกับของวินเซ้นท์ คัลเลน

“น่าจะเข้ามานั่งจิบชาสักหน่อยนะครับ จ้าวเพิ่งให้เขาเตรียมไว้เมื่อครู่เอง”

“นั่นสิ พี่เมฆเข้ามานั่งก่อนก็ได้ พักให้หายเหนื่อยก่อนแล้วค่อยกลับ”

เมฆนิ่งไปชั่วครู่ราวกับกำลังคิดทบทวนว่าควรเอาตัวเองเข้าไปในพื้นที่ของเด็กคนนั้นหรือไม่ แค่เขายืนอยู่หน้าประตูรั้ว ยังไม่ทันจะได้ก้าวเข้าไปเหยียบลงบนส่วนหนึ่งของคฤหาสน์ตระกูลคัลเลนก็ยังรับรู้ได้ถึงความน่ากลัวที่แผ่ขยายออกมาจนขนแขนแทบจะลุกเกรียว และน่าแปลกที่รุ่นน้องของเขากลับไม่รู้สึกถึงอะไรเลย

“เกรงใจน่ะ ไม่อยากรบกวน”

“ไม่ได้รบกวนอะไรเลยครับ จ้าวยินดีต้อนรับทุกคนที่เป็นเพื่อนของพี่ตฤณ”

“ไม่เป็นไร พี่มีธุระต้องรีบไปต่อน่ะ ไว้โอกาสหน้าก็แล้วกันนะ”

เมฆยืนกรานปฏิเสธอีกครั้ง และเขาก็รู้แล้วว่าวิญญาณอีกครึ่งของตฤณหายไปไหนจึงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องอยู่ต่อ

“ก็ได้ครับ พี่เมฆรับปากกับจ้าวแล้วนะครับว่าโอกาสหน้าจะมานั่งจิบน้ำชากัน”

  “อืม งั้นพี่ไปก่อนนะ”

“แล้วเจอกันพรุ่งนี้นะ พี่”

ตฤณกับจ้าวยืนส่งเมฆจนลับสายตา เมื่อเห็นว่าแถวนั้นไม่มีใครแล้วจ้าวจึงเข้าไปคล้องแขนทำทีเหมือนการเดินลงมาต้อนรับนั้นทำให้เบื้องล่างของเขาเจ็บปวดขึ้นมาอีกครั้ง อันที่จริงมันก็เจ็บแน่อยู่แล้ว เพียงแค่เขาเก็บอาการตอนที่เมฆยังอยู่เอาไว้

“ให้พี่ช่วยอุ้มขึ้นไปไหม”

“เอาสิครับ มันเริ่มระบมจนเดินไม่ไหวแล้ว”

ตฤณยกยิ้มเล็กน้อยก่อนที่จะช้อนร่างเล็กขึ้นมาอุ้มในท่าเจ้าหญิงเข้าไปข้างในคฤหาสน์ พอวางร่างเล็กลงบนเตียงนอน โทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงก็ส่งเสียงเป็นระรอกคล้ายกับว่ามีใครส่งข้อความเข้ามาในไลน์อย่างถี่รัว เขาจึงหยิบขึ้นมาเปิดดู เป็นข้อความที่ส่งมาจากลี ยิ่งไล่อ่านข้อความที่ถูกส่งมาเรื่อยๆ เรียวคิ้วงามก็ยิ่งขมวดเข้าหากันจนแทบจะกลายเป็นโบว์ชิ้นโตกลางหน้าผาก

“มีอะไรหรือเปล่าครับ พี่ตฤณ”

“จำเนตร เพื่อนพี่ได้ใช่ไหม”

“ครับ”

แน่สิ! ทำไมจ้าวจะจำไม่ได้ ผู้หญิงคนนั้นทำให้เขามีความทรงจำที่แสนสนุกตั้งหลายเรื่อง

“เธอเข้าโรงพยาบาล”

“เอ๋? พี่เนตรเป็นอะไรมากหรือเปล่าครับ”

ดวงหน้ากลมมนฉายแววความตกใจ ดวงตาสีเพลิงเต็มไปด้วยความเป็นห่วงเป็นใยแต่ริมฝีปากที่ยกขยับกลับเหยียดหยันขึ้นเล็กน้อยราวกับกำลังเยาะเย้ยในความโชคร้ายของเธอคนนั้น

“ลีบอกว่าอาการหนัก เอาแต่เพ้อว่าขอโทษกับช่วยด้วยตลอดเวลาเลย ไม่รู้ไปเจออะไรมา”

“น่าสงสารพี่เนตรนะครับ จ้าวอยากไปเยี่ยมจังเลยแต่... ดูเหมือนพี่เนตรไม่ชอบหน้าจ้าวสักเท่าไร ไม่รู้ว่าเขาจะอยากเจอหน้าจ้าวหรือเปล่า ถ้าพี่ตฤณไปเยี่ยมพี่เนตรก็ฝากบอกด้วยนะครับว่าขอให้หายไวๆ จ้าวเป็นห่วง”

ตฤณวางโทรศัพท์ไว้ข้างโต๊ะหัวเตียงนอนแล้วก้าวขึ้นไปนอนข้างกัน

“ไม่เป็นห่วงพี่บ้างเหรอครับ”

“ให้จ้าวห่วงอะไรล่ะครับ พี่เนตรสิน่าเป็นห่วงกว่า”

มือแกร่งสอดเข้าใต้ผืนผ้าห่มแล้วไล้มือไปตามเรือนร่างเล็ก ปลดกระดุมเสื้อแต่ละเม็ดออกอย่างช้าๆ จ้าวรู้ว่าตฤณกำลังจะทำอะไรแต่ไม่มีทางที่มันจะเกิดขึ้นอีกเป็นครั้งที่สองในเวลานี้แน่นอน เขายังไม่พร้อมและมันก็เร็วเกินไปที่จะยึดครองอีกครึ่งหนึ่งที่เหลือมาเป็นของตน

“เป็นห่วงว่าพี่ทรมาน อยากปลดปล่อยอีกหรือเปล่าน่ะ”

“พี่ตฤณ! ไม่เอาแล้ว จ้าวเจ็บนะครับ”

มือเล็กตีเข้าบนมือที่แสนซุกซนสอดเข้าไล้วนตุ่มไตยอดอกเล่นอย่างสนุกมือ

“เจ็บนะครับแต่ก็ยังปล่อยให้พี่ทำถึงขนาดนี้ ไม่ใช่เพราะว่าก็อยากเหมือนกันเหรอครับ”

“พี่ตฤณ~ เปลี่ยนเรื่องคุยกันดีกว่า เรื่องพี่เมฆคนนี้ยังไงเหรอครับ เล่าให้ฟังหน่อยได้ไหม จ้าวอยากรู้ว่าเขาเป็นรุ่นพี่ที่ดีของพี่ตฤณหรือเปล่า แล้วพี่สนิทกับพี่เมฆมากไหม จ้าว... จ้าวอยากรู้อะไรเกี่ยวกับพี่ตฤณไว้บ้างน่ะครับ ไหนๆ เราก็... กันแล้ว”

ร่างเล็กขยับตัวเล็กน้อยให้ใบหน้ากลมมนได้อิงแอบแนบซบกับแผ่นอกกว้าง ฟังเสียงลมหายใจเข้าออก

“รู้จักกันมาตั้งแต่อยู่ปีหนึ่งแล้วล่ะ พี่เมฆเป็นรุ่นพี่ที่ดีนะ ดูเอาใจใส่ คอยเป็นห่วงเป็นใย”

“แล้วดีกว่าที่จ้าวทำให้พี่ตฤณหรือเปล่าครับ”

ตฤณยกยิ้มเล็กน้อยพลางเอื้อมมือไปลูบเรือนผมเส้นเล็กอย่างเบามือ ระหว่างรุ่นพี่ที่มหาวิทยาลัยกับเด็กน้อยคนนี้คงเทียบอะไรกันไม่ได้เพราะสำคัญกันคนละแบบ เมฆเป็นรุ่นพี่ที่ตฤณเคารพรัก ส่วนจ้าวเป็นเด็กน้อยที่เขาหลงรักจนพร้อมที่จะมอบทุกอย่างและทำทุกสิ่งให้ตามที่ต้องการ

“จะมีใครดีไปกว่าเด็กคนนี้อีกล่ะ”

มือแกร่งยกบีบจมูกโด่งเป็นสันเล่นอย่างหมั่นเขี้ยว เด็กคนนี้ทั้งน่ารักน่าเอ็นดูขนาดนี้แล้วเขาจะไม่เลือกได้อย่างไร

“ได้ยินแบบนี้ จ้าวก็สบายใจแล้วล่ะครับ ไม่อยากให้ใครมาแย่งที่ที่ควรจะเป็นของจ้าวน่ะครับ”

“ว่าแต่พี่ชายจ้าวกลับมาหรือยัง เห็นไปทำงานที่ต่างจังหวัดตั้งหลายวัน ไม่ติดต่อกลับมาเลย”

“กลับมาแล้วล่ะครับ บ่นว่าเหนื่อยมากเลยพักอยู่ที่ห้อง”

ตฤณพยักหน้าเป็นเชิงว่าเขาได้รับรู้แล้วแต่มันก็ยังมีบางสิ่งบางอย่างที่ค้างคาใจ เรื่องที่เมฆพูดถึง ประวัติของคฤหาสน์ตระกูลคัลเลน เด็กที่ชื่อโจเซฟและวินเซ้นท์ และเหตุการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นตอนที่เกิดโศกอนาถกรรมของครอบครัวจนกระทั่งถึงเรื่องที่เขาเล่าลือกับเกี่ยวกับความชั่วร้ายที่แฝงกายอยู่ที่นี่

“จ้าว พี่ขอถามอะไรหน่อยสิ”

“ครับ”

“รู้จักเด็กที่ชื่อโจเซฟกับวินเซ้นท์ คัลเลนไหม”

ร่างที่ซบอยู่ในอ้อมกอดแน่นิ่งไป ใบหน้ากลมมนเผือดสีลงเล็กน้อย แววตาสีเพลิงดุดันคล้ายกับจะไม่พอใจที่ถูกถามถึงเรื่องนี้แต่แล้วใบหน้าดวงนั้นก็กลับมาประดับด้วยรอยยิ้มหวานอีกครั้ง น้ำเสียงอันแสนไพเราะไร้พิรุธถูกเอื้อนเอ่ยออกมาอย่างใจเย็นเป็นที่สุด แม้ภายในอกจะร้อนรุ่มดั่งไฟที่พร้อมแผดเผาทุกความเท็จจริงให้มอดไหม้

“พวกเขาเป็นใครเหรอครับ จ้าวไม่รู้จักเลย”

“ไม่รู้จักเลยเหรอ”

“ครับ จ้าวอายุสิบห้าเองนะครับ แล้วพ่อกับแม่ก็เสียไปตั้งนานแล้ว เราเลยมีกันแค่สองคนพี่น้อง พี่เจตกับจ้าวแค่นั้นครับ ถ้าคนที่พี่ตฤณพูดถึงคนนั้นเกี่ยวข้องอะไรกับจ้าวก็คงเป็นเรื่องที่นานมากแล้ว อาจจะเป็นบรรพบุรุษของครอบครัวก็ได้ครับ ถ้าพี่ตฤณอยากรู้ข้อเท็จจริงว่าเด็กทั้งสองคนเป็นใครก็คงต้องไปรบกวนพ่อกับแม่ที่หลุมศพ ปลุกพวกเขาขึ้นมาถามเอาแล้วล่ะครับ”

หนึ่งข้อสงสัยที่มีถูกปัดตกไปแม้ว่าคำตอบของจ้าวจะไม่ค่อยกระจ่างสักเท่าไรแต่เขาคงถามอะไรมากไม่ได้ ในเมื่อเด็กน้อยที่อยู่ข้างกายมีอายุน้อยกว่าเขาแค่ห้าปี ส่วนคนที่ถามถึงกลับอยู่ในยุคที่พวกเขายังไม่ทันจะได้ปฏิสนธิเลยด้วยซ้ำ

“ทำไมพี่ตฤณถึงอยากรู้ล่ะครับ”

“พี่เห็นรูปถ่ายของครอบครัวคัลเลนในหนังสือพิมพ์เมื่อร้อยกว่าปีก่อนน่ะ แล้วเด็กคนนั้นหน้าตาเหมือนจ้าวเลยอยากรู้ว่าเป็นอะไรกันหรือเปล่า”

“บางทีหน้าจ้าวอาจจะไปเหมือนกับคนยุคก่อนก็ได้นะครับ แบบ... กลับชาติมาเกิดอะไรแบบนี้”   

“อาจเป็นแค่คนหน้าเหมือนเนอะ”

ตฤณก็พอจะเห็นด้วยว่ามันอาจจะเป็นความบังเอิญที่มีใบหน้าเหมือนกับคนในอดีตแต่กลับลืมไปว่าคงไม่มีอะไรที่เหมือนกันจนถึงขนาดเสื้อผ้าที่สวมใส่ก็ยังเป็นแบบเดียวกันด้วย

“ครับ หน้าจ้าวก็แค่บังเอิญเหมือน”

“แล้วเรื่องข่าวลือเกี่ยวกับคฤหาสน์นั่นล่ะ มันเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า”

จ้าวนิ่งเงียบอีกครั้ง แน่นอนว่าคำถามนี้ทำให้เขาไม่พอใจอย่างมาก เพราะนั่นเท่ากับว่าตฤณกำลังระแวงในทุกสิ่งที่เกิดขึ้นที่นี่และอาจจะรวมถึงตัวเขาเองด้วยที่ตฤณจะไม่ไว้ใจ

“พี่ตฤณคิดว่ายังไงล่ะครับ”

“มันคงไม่ใช่เรื่องจริงหรอก เพราะถ้ามันเป็นจริง พี่ก็คงไม่อยู่ได้ถึงวันนี้แล้วอีกอย่างที่นี่ก็ไม่เห็นจะมีอะไรให้ต้องกลัว จะมีก็แค่...” ตฤณแกล้งเงียบลงให้จ้าวได้ลุ้นแต่เด็กคนนั้นไม่ลุ้นไปด้วยเพราะถ้าสิ่งที่ตฤณพูดออกมาต่อจากนี้ทำให้เขาไม่พอใจ เรื่องราวอาจจบลงไม่สวยสักเท่าไรนัก “คนน่ารักที่พี่รักอย่างจ้าว”

ริมฝีปากรูปกระจับยกยิ้มด้วยความพึงพอใจเป็นอย่างมากพลางฝังใบหน้าลงกับแผ่นอกกว้างคล้ายกับจะออดอ้อนเอาอกเอาใจ

“พรุ่งนี้พี่จะไปเยี่ยมเนตรที่โรงพยาบาลนะ ไปด้วยกันไหม”

“ไม่เอาหรอกครับ ยังเจ็บไม่หายเลย ถ้าต้องเดินบ่อยๆ สงสัยจะระบมไปอีกนาน”

“นั่นสิเนอะ รอให้หายก่อนแล้วพี่ค่อยพาไปเยี่ยมเนตร เสร็จแล้วเราก็มาทำให้มันระบมใหม่ดีไหม”

“ทะลึ่ง! จ้าวไม่คุยกับพี่ตฤณแล้ว ไปหาพี่เจตดีกว่า”

มือเล็กตีลงบนหน้าอกของอีกฝ่ายเบาๆ ก่อนที่จะขยับตัวลุกขึ้นจากเตียง ตฤณยกยิ้มเล็กน้อย มองตามร่างเล็กที่เดินออกจากห้องไปจนสุดสายตา แล้วกลับมาสนใจข้อความที่ลีทิ้งไว้ให้ในมือถือต่อ ในนั้นมีบางสิ่งบางอย่างที่เขาเอ่ยถามเจ้าของคฤหาสน์คนนั้นไม่ได้... ‘สิ่งที่เกิดขึ้นกับเนตรและยุ้ยมันเหมือนข่าวลือที่เขาพูดกัน’





** ติดตามตอนต่อไป **



CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
พี่เมฆไปแล้ว ไปให้ตลอดนะ  :call:

ออฟไลน์ kun

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +122/-10
ดูเหมือนจ้าวจะได้กินพี่ตฤณมากกว่า
พี่เมฆของเล่นชิ้นใหม่ของจ้าว
ตามต่อไป^^
((ฉากบนเตียงอ่านแล้วระทึก มากกว่าหื่นอ่ะ อิอิ))

ออฟไลน์ Nekosama

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
พี่เมฆจิตสัมผัส .....

ออฟไลน์ BlueSora

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
::: ตอนที่ 17 :::
เยี่ยมเยียน







ตฤณแวะมาเยี่ยมเนตรที่โรงพยาบาลก่อนไปเรียนที่มหาวิทยาลัย สภาพของผู้ป่วยที่นอนอยู่บนเตียงนั้นดูน่ากลัว รอยแผลเป็นจุดๆ รอบริมฝีปากยังไม่ตกสะเก็จ ขอบตาดำคล้ำลึกโบ๋เป็นวงกว้าง ทั้งแขนและขาถูกมัดด้วยผ้าตรึงไว้กับเตียงนอนทั้งสี่ด้าน เธอเอาแต่ร้องไห้ไม่หยุด ริมฝีปากขมุบขมิบคล้ายกับจะพูดอะไรอยู่ตลอดเวลา

“ทำไมเนตรเป็นแบบนี้ล่ะครับ”

ตฤณทนไม่ไหวกับสภาพของเพื่อนที่เห็นอยู่ตรงหน้า เอ่ยถามนางจิตตราผู้เป็นแม่ที่ได้แต่ยืนมองดูอยู่ห่างๆ เพียงเพราะแค่ก้าวเท้าเข้าไปใกล้ เธอจะกรีดร้องโวยวายอย่างบ้าคลั่งแล้ววิ่งไปหลบซุกตัวอยู่มุมหนึ่งของห้องด้วยท่าทางหวาดกลัว แววตาตื่นตระหนกคล้ายกับเห็นอะไรบางอย่างที่น่ากลัวเข้าจนต้องมัดร่างเอาไว้แบบนี้

“แม่ไม่รู้เหมือนกัน เพื่อนของเนตร ลูกน้ำน่ะ พามาส่งที่บ้านตอนเช้าวันจันทร์ บอกว่าเจออยู่กลางทาง”

“เมื่อวานเหรอครับ”

“จ๊ะ เมื่อวานแต่อาการดีกว่านี้ ยังยอมให้ใครเข้าใกล้บ้าง”

เนตรออกจากคฤหาสน์หลังนั้นไปตั้งแต่เช้าวันอาทิตย์แล้วทำไมถึงมาเจอในสภาพนี้ตอนเช้าวันจันทร์ ตฤณไม่เข้าใจเลยว่าเนตรไปเจอกับอะไรมาบ้าง สภาพถึงได้กลายเป็นแบบนี้

“แล้ว... หมอบอกว่ายังไงบ้างครับ”

“สภาพร่างกายน่ะไม่เท่าไร แต่สภาพจิตใจ...” นางจิตตราเงียบลง กลั้นเสียงสำอื้นไห้ พอพูดถึงเรื่องสภาพจิตใจของลูกสาว เธอก็แทบจะกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ มันย่ำแย่เสียจนเธอไม่อาจทำใจยอมรับมันได้โดยง่าย ลูกสาวที่แสนน่ารักกลับมาเป็นอย่างนี้ไม่ว่าใครก็รับไม่ได้ทั้งนั้น “ถ้าไม่รักษา เธอจะกลายเป็นบ้า”

“แม่ทำใจดีๆ ไว้นะครับ ผมเชื่อว่าเนตรต้องหาย”   

ตฤณรู้ว่ามันเป็นเรื่องยาก การรักษาผู้ที่มีสภาพจิตไม่ปกติต้องใช้เวลา

“ขอบใจนะ คือ... หมอบอกว่าถ้าไม่รู้ว่าอะไรไปกระทบกระเทือนจิตใจของเธอ มันก็ทำการรักษายากอยู่ ตฤณพอจะรู้ไหมว่าช่วงนี้เกิดอะไรขึ้นกับลูกของแม่ มีอะไรผิดสังเกตหรือเปล่า”

ตฤณเองก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเนตร ทุกอย่างดูปกติ ไม่มีอะไรที่ทำให้เขารู้สึกว่ามันแปลกไป เนตรก็ยังเป็นเนตรที่เอาแต่ใจอยู่เหมือนเดิมจนกระทั่งที่ได้รับข่าวจากลีว่าเธออยู่โรงพยาบาลและอาการหนักมาก เขายังหาสาเหตุไม่ได้แต่รู้แค่ว่าเช้าวันอาทิตย์ที่เนตรออกจากคฤหาสน์หลังนั้นไปเป็นเพราะมีธุระด่วนและคนที่บอกประโยคนั้นก็คือเด็กคนนั้น จู่ๆ ใบหน้าของเขาก็ซีดเผือดลงเล็กน้อยเมื่อคิดว่าคนที่ทำอะไรแบบนี้กับเนตรอาจเป็นจ้าว

“มะ... ไม่มีนี่ครับ”

“งั้นเหรอ... เฮ้อ~ แม่คงหมดหวังซะแล้วล่ะมั้ง”

แม้แต่ตฤณก็ยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับลูกสาวของนางจิตตรา

“เอ่อ... ขอผมเดินเข้าไปหาเนตรใกล้ๆ ได้ไหมครับ อยากลองถามดูว่ามันเกิดอะไรขึ้น”

“เอาสิ ใครเข้าใกล้ก็ไม่ได้ ถามอะไรก็เอาแต่พูดว่าขอโทษ ปล่อยไปเถอะนะ กับช่วยด้วย แต่ถ้าเป็นตฤณ ลูกสาวแม่อาจจะยอมตอบอะไรออกมาบ้าง”

ตฤณรอให้เนตรดูจะสงบลงเล็กน้อยแล้วจึงค่อยๆ ก้าวเดินเข้าไปหาช้าๆ คอยระวังไม่ทำให้เธอหวาดกลัว ถึงจะเดินเข้าไปใกล้แต่ก็ยังเว้นระยะห่างเอาไว้ซึ่งกันและกัน เนตรหันมามองและหยุดนิ่งราวกับกำลังคิดอะไรบางอย่าง ยิ่งพอมาเห็นใกล้ๆ แล้วตฤณยิ่งรู้สึกสงสาร ใบหน้าอิดโรยบวมน้ำเกลือ ริมฝีปากแห้งผากและยังมีแผลอยู่รอบๆ ริมฝีปากด้วยนั้น

“เนตร”

“ตฤณ...”

“เกิดอะไรขึ้น”

เนตรไม่ตอบ เธอเอาแต่เงียบแล้วจู่ๆ ก็ร้องไห้อย่างหนัก แววตาที่สะท้อนออกมาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ระแวงและเสียใจ ตฤณยังคงยืนมองอยู่อย่างนั้น เขาไม่อยากเร่งเร้าถามหาความจริงที่เกิดขึ้นหลังจากออกจากคฤหาสน์ไปแล้วและกำลังรอให้เนตรเป็นฝ่ายพูดออกมาเอง เขารออยู่อย่างนั้นโดยไม่พูดอะไร เอาแต่มองหน้าด้วยความเป็นห่วงเป็นใยอยู่ครู่ใหญ่ก่อนที่สุดท้ายแล้วเนตรจะเป็นฝ่ายเปิดปากพูดขึ้นมาเองอีกครั้ง “ออกมา... น่ากลัว... อย่ายุ่ง... เนตร”

เป็นคำพูดเพียงสี่คำที่ตฤณไม่เข้าใจความหมายแต่เขาจดจำมันไว้อย่างดี

“พักเถอะนะ แล้วเดี๋ยวไว้จะมาเยี่ยมใหม่”

ตฤณหันหลังเดินออกมาจากเตียงนอนผู้ป่าวแล้วล่ำลานางจิตตราก่อนที่จะออกจากห้องไป คำพูดของเนตรฟังดูออกจะแปลกๆ หนึ่งคำแรกเขาเข้าใจดีว่ามันหมายถึงอะไรแต่ทว่าสามคำที่เหลือนั้นเขากลับไม่รู้เลยว่าเนตรต้องการจะสื่ออะไรกันแน่ มีอะไรบางอย่างน่ากลัวและสั่งให้เขาห้ามยุ่งกับอะไร อีกทั้งมันยังเกี่ยวพันอะไรกับตัวเนตรเอง ทั้งหมดยังเป็นเรื่องที่เขาไม่สามารถปะติดปะต่อออกมาเป็นรูปร่างร้อยเรียงเรื่องราวใดๆ ได้ เขาจึงตัดสินใจโทรหาเมฆ

“พี่เมฆ ผมรบกวนหน่อยสิ”

[ เรื่องอะไร ]

“คือ... พี่รู้แล้วใช่ไหมว่าเนตรอยู่โรงพยาบาลน่ะ”

[ อืม ลีบอกแล้ว คิดอยู่ว่าจะหาเวลาไปเยี่ยมสักหน่อยอยู่เหมือนกัน ]

“ผมมาเยี่ยมเนตรที่โรงพยาบาลแล้วผมถามเธอว่าเกิดอะไรขึ้น เธอตอบแค่สี่คำเป็นคำว่าออกมา น่ากลัว อย่ายุ่งและเนตร พี่พอจะเดาได้ไหมว่ามันเกิดอะไร นี่ผมลองคิดแล้วนะแต่ก็ยังจับต้นชนปลายอะไรไม่ได้เลย”

[ แล้วมาถามพี่ที่ไม่รู้อะไรเลยเนี่ยนะ ]

“อ๋อ! ลืมไป... เอายังไงดี นัดคุยกันหน่อยไหมพี่ ผมอยากช่วยให้เนตรหายไวๆ”

[ เย็นนี้คงไม่ได้ว่ะ ติดซ้อมดนตรี ไว้อีกวันสองวันแล้วกัน พี่พอจะว่างอยู่ ]

“โอเค งั้นพี่สะดวกตอนไหนก็โทรมาคอนเฟิร์มอีกทีแล้วกันนะ เดี๋ยวผมต้องไปเรียนล่ะ คลาสกำลังจะเริ่ม”

พอวางสายจากรุ่นพี่อย่างเมฆไปก็มีสายใหม่เข้ามาทันที ชื่อปรากฏอยู่บนหน้าจอโทรศัพท์นั้น... ‘ลี’

“มีอะไร ลี”

[ คือ... มึงทำใจดีๆ นะ ]

แค่เรื่องที่เนตรประสบอยู่ตอนนี้ ตฤณก็ไม่อาจทำใจให้สงบได้เลย ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้รักเนตรเหมือนที่เธอรักเขาแต่เนตรก็ยังเป็นเพื่อนที่ดีคนหนึ่ง แล้วยังต้องให้ทำใจดีๆ เรื่องอะไรอีก

“เรื่อง?”

[ ยุ้ย... ยุ้ยตายแล้ว ] 

“ห๊ะ! มึง... มึง... ว่าอะไรนะ”

หัวสมองของตฤณขาวโพลนว่างเปล่า โทรศัพท์ที่ถืออยู่ในมือสั่นคลอนเบาๆ ต่อจากเรื่องเนตรก็ยังมีเรื่องยุ้ย เขาไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเธอทั้งสองคนกันแน่ และมันยิ่งทำให้เขาอยากหาคำตอบกับเรื่องที่เกิดขึ้น อย่างน้อยๆ ก็อาจจะช่วยอีกคนที่เหลือได้บ้าง

[ ยุ้ยตายแล้ว เมื่อเช้านี้ ]

“คือ... อีกทีได้ไหม”

[ ยุ้ยตายแล้วเมื่อเช้า ฆ่าตัวตาย ]

“เดี๋ยว! คือ...”

ตฤณพูดอะไรไม่ออก ยุ้ยไม่มีทางฆ่าตัวตายเพราะมันไม่มีเหตุผลหรือแรงจูงใจอะไรให้เธอต้องทำแบบนั้นเลย เธอที่ไม่มีแฟนคงไม่ฆ่าตัวตายเพราะเรื่องฉันท์ชู้สาว เธอที่ตั้งอกตั้งใจเรียนหนังสือและมีความเป้าหมายในชีวิตอย่างชัดเจน ครอบครัวที่สมบูรณ์พร้อมพ่อแม่ลูกเอ็นดูรักใคร่ ฐานะทางบ้านไม่ได้ย่ำแย่จนถึงขั้นต้องไปกู้หนี้ยืมสินใคร

[ โยโทรมาบอกเมื่อกี้ว่าพี่สาวเธอตายแล้ว ทิ้งจดหมายไว้หนึ่งฉบับให้พวกเรา ]

“ยุ้ยเขียนว่าอะไร”

[ ไม่รู้เหมือนกัน โยบอกให้มาเอาที่บ้านเอง กูก็กำลังจะไปเนี่ยแหละ วันนี้คงโดดเรียนว่ะ ]

“งั้นเดี๋ยวกูตามไป กูคงถึงในอีกสิบห้านาที มึงรอกูก่อนนะ”

[ มึงอยู่ไหน ]

“มาเยี่ยมเนตรที่โรงพยาบาล”

[ งั้นมึงรอที่หน้าโรงพยาบาล เดี๋ยวกูขี่มอเตอร์ไซค์ไปรับ ]

“อืม”

ตฤณวางสายจากลีไปแล้ว เขาคิดไม่ตกเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นและนั่นคงไม่ใช่ความบังเอิญแต่ข่าวลือที่พูดถึงกันอาจเป็นเรื่องจริง อย่างน้อยๆ เขาก็เชื่อไปครึ่งหนึ่งแล้วว่ามันเป็นเรื่องจริง แต่ทว่าอีกครึ่งกลับปฏิเสธในสิ่งที่คิดว่ามันคงไม่มีทางเป็นไปได้เพราะถ้าเกิดเรื่องขึ้นกับเนตรและยุ้ยจริงตามที่เขาเล่าลือกันก็ย่อมต้องเกิดกับตัวเขาด้วยเช่นกัน


------------------------------


ตฤณและลีมาถึงบ้านของยุ้ยแล้ว โยผู้เป็นน้องสาวเป็นคนมาเปิดประตูต้อนรับและเชิญให้เข้าไปข้างในแต่พวกเขาเกรงใจเพราะตอนนี้ทุกคนต่างล้วนกำลังโศกเศร้ากับการจากไปของผู้ที่รักยิ่ง เขารับจดหมายที่ยุ้ยเขียนทิ้งไว้ให้แล้วถามอะไรนิดหน่อยเกี่ยวกับยุ้ยหลังจากที่กลับมาจากการไปทำรายงานที่คฤหาสน์หลังนั้น

“โย พวกพี่ขอถามอะไรนิดหน่อยได้ไหม”

“อืม”

“ยุ้ยกลับมาวันไหน”

“พี่ยุ้ยกลับมาเมื่อวานตอนบ่ายแก่ๆ  พอมาถึงก็เข้าห้องแล้วเก็บตัวเงียบอยู่ในนั้น ไม่พูดไม่จากับใครเลย เรียกลงมากินข้าวก็ไม่กิน พอเปิดประตูเข้าไปดูก็เห็นพี่นั่งซุกตัวอยู่บนเตียงท่าทางอิดโรยแล้วก็เหมือนจะหวาดกลัวกับอะไรก็ไม่รู้ ไม่ยอมให้ปิดไฟแล้วก็เอาผ้าคลุมกระจกทุกบานในห้อง ถามอะไรก็ไม่ตอบ ทุกคนเป็นห่วงพี่มาก จะพาไปโรงพยาบาลก็ไม่ยอมไปจนนั่นแหละ ตอนเช้าแม่เปิดประตูเข้าไปดูก็เห็นพี่...”

โยเงียบลงแทนด้วยเสียงสะอื้นไห้ หัวใจเธอเจ็บปวดเกินกว่าที่จะพูดต่อไปได้อีกแล้ว พี่สาวที่แสนดีของเธอจากโลกใบนี้ไปโดยที่ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่มีแม้กระทั่งลางบอกเหตุว่าเมื่อวานจะเป็นวันสุดท้ายที่ได้พบเจอเห็นหน้า ลีเอื้อมมือออกไปลูบหัวเบาๆ เป็นเชิงปลอบใจ น้องสาวของยุ้ยก็เหมือนน้องสาวของพวกเขาเช่นกัน

“พี่ยุ้ย ฮึก! เป็นคนดี...”

“อืม... ยุ้ยเป็นคนดีและเป็นเพื่อนที่ดี มันต้องมีเหตุผลที่ทำให้เธอตัดสินใจแบบนั้น พวกพี่จะเป็นคนหาสาเหตุนั้นให้เอง ไม่ต้องเป็นห่วงนะ ฝากบอกพ่อกับแม่ด้วยว่าพวกพี่มาหาแล้วก็เสียใจด้วยแต่ที่ไม่เข้าไปเพราะรู้ว่าพวกท่านยังทำใจไม่ได้กับการสูญเสียลูก มันไม่ใช่เวลาที่จะต้องมาต้อนรับแขกน่ะ”

“ค่ะ เดี๋ยวโยจะบอกให้”

“ไปก่อนนะ เข้มแข็งเข้าไว้”       

ตฤณทิ้งท้ายไว้เท่านั้นแล้วเดินจากไป เขาไม่ได้กลับไปที่คฤหาสน์ทันทีหรือไปมหาวิทยาลัยเพื่อนเข้าเรียนคลาสต่อไปแต่เลือกที่จะหาพื้นที่สงบ ปะติดปะต่อเรื่องราวและหาสาเหตุที่เกิดขึ้นกับเนตรและยุ้ยโดยมีลีตามไปด้วย สองหัวย่อมดีกว่าหัวเดียวเป็นแน่แต่ลีก็ไม่ลืมที่รับปากกับจ้าวเอาไว้ สิ่งไหนแพร่งพรายไม่ได้ก็จะไม่พูด

ที่สงบที่ว่านั่นก็คือสวนสาธารณะ

“ลี มึงคิดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับเนตร ยุ้ย มันเป็นเพราะอะไรวะ”

เพราะอะไร ลีย่อมรู้อยู่แก่ใจแต่เขาพูดไม่ได้ว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นฝีมือของใครหรือของอะไร

“ลี!! มึงจะช่วยกูคิดไหมเนี่ย”

“มึงเปิดจดหมายที่ยุ้ยเขียนทิ้งไว้ให้ก่อนดีไหม จะได้รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น”

ตฤณลืมไปเสียสนิทว่ายุ้ยทิ้งจดหมายฉบับหนึ่งไว้ให้กับพวกเขา เพราะเอาแต่คิดหมกมุ่นเรื่องที่เกิดขึ้นกับเพื่อนสาวทั้งสองคน เขารีบหยิบจดหมายที่อยู่ในกระเป๋าหนังสือออกมาเปิดอ่าน จดหมายที่ยุ้ยเขียนไว้ให้ถูกใส่ซองปิดผนึกอย่างดีจึงต้องฉีกออก มือแกร่งคลี่กระดาษเอสี่ที่ถูกพับสามทบอย่างรวดเร็ว กวาดสายตาอ่านสิ่งที่ถูกถ่ายทอดไว้ในนั้นซึ่งมีอยู่เพียงไม่กี่คำเหมือนเช่นที่ได้ยินจากปากของเนตร

‘ออกมา ตาย เป็นจริง’

นี่มันปริศนาคำใบ้อะไรกัน!!

“แบบนี้อีกแล้วเหรอวะ”

ตฤณถึงกับสบถออกมาเมื่อเห็นคำใบ้ปริศนาที่เขาต้องไปหาเอาเองว่าแต่ละคำมันมีความหมายว่าอย่างไรและเชื่อมโยงกับอะไรได้บ้าง แต่ทว่าคำว่าออกมาที่ถูกเขียนอยู่บนกระดาษเป็นคำซ้ำที่เนตรก็พูดแบบเดียวกันนี้

“คืออะไรวะ”

ลีดูจะไม่เข้าใจว่าที่ตฤณพูดนั้นหมายความว่าอย่างไร แต่คำว่าอีกแล้วที่หลุดออกมานั่นก็คงหมายความว่าเคยมีเรื่องทำนองนี้เกิดขึ้นมาก่อนแล้ว

“ตอนที่กูไปเยี่ยมเนตร เธอพูดกับกูว่าออกมา น่ากลัว อย่ายุ่งและเนตร แต่กูก็พอเดาได้นะว่าคำแรกหมายถึงให้กูออกมาจากคฤหาสน์หลังนั้น กูรู้ว่าที่นั่นอาจจะดูไม่ค่อยน่าอยู่แต่กูรับปากกับเขาไว้แล้ว ยังไงก็ออกมาตอนนี้ไม่ได้”

“น่ากลัวก็คงหมายถึงคฤหาสน์นั่นแหละ ตอนที่เข้าไปรอมึงตรงห้องโถง เนตรก็พูดว่าเธอไม่ชอบที่นั่น มันน่ากลัว แต่คำว่าอย่ายุ่งกับคำว่าเนตรนี่กูไม่รู้นะว่าอยากพูดเรื่องอะไรกันแน่”

ตฤณไม่เห็นแย้งกับคำพูดของเพื่อน แต่บางเวลาที่อยู่ร่วมกับจ้าวมันช่างเต็มไปด้วยความอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก

“แล้วคำที่ยุ้ยทิ้งไว้ให้ล่ะ”

“กูไม่รู้ว่ะ ตฤณ กูว่ามึงค่อยๆ กลับไปคิดทบทวนดูว่ามันเกิดอะไรขึ้น เมื่อไร ยังไงดีกว่า แล้วกูว่ามันคงจะได้คำตอบไม่ยาก”

“ไม่ช่วยกูแล้วเหรอ ไม่อยากให้เนตรหายเหรอวะ”

“กูก็อยากช่วย ไม่ใช่ไม่อยากแต่มึงอยู่ที่นั่น มึงน่าจะเป็นคนหาคำตอบได้ดีกว่าคนนอกอย่างกู ทำไมมึงไม่ลองถามเด็กคนนั้นดูล่ะ”

“กูถามแล้ว บางเรื่องอ่ะนะ แต่ถ้ากูถามอีก เขาคงไม่ยอมพูด อีกอย่างจ้าวก็ยังเป็นแค่เด็ก คงไม่ทำให้เนตรกับยุ้ยเป็นแบบนี้ไปได้หรอก”

ลีแอบลอบถอนหายใจออกมาเบาๆ “มึงกำลังปกป้องเขาอยู่ รู้ตัวหรือเปล่า”

“กูไม่ได้ปกป้องเขาแต่กำลังพูดความจริง เด็กตัวแค่นั้นจะไปทำอะไรใครได้ เขาออกจะเป็นเด็กดี น่ารักจะตาย ไม่โหดร้ายถึงขั้นทำให้เนตรกับยุ้ยเป็นแบบนี้ได้หรอก ตอนที่มึงไปค้างที่นั่นก็น่าจะเห็นนะว่าเขาเอาใจใส่ทุกคนแล้วคนแบบนั้นจะไปลงมือทำร้ายใครได้”

ลีอยากจะเถียงหัวชนฝาแต่เขาพูดไม่ได้ เพราะถ้าหากเด็กอย่างจ้าวรู้เข้าล่ะก็อิสรภาพที่ได้รับมาอาจถูกลิดรอนไป เด็กคนนั้นที่ตฤณเห็นว่าดีแสนดีก็เป็นเพียงแค่ความดีที่แสร้งหยิบยกมาบังหน้าและมีแต่ความหลงใหลในตัวเด็กคนนั้นจนไม่ลืมหูลืมตา เขาถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่ายแล้วเลือกที่จะเปลี่ยนประเด็นพูดคุยเพียงเพราะไม่อยากผิดใจกัน

“กูจะช่วยมึงหาความจริงเท่าที่ทำได้ก็แล้วกัน ส่วนที่เหลือคือมึงต้องจัดการด้วยตัวเอง แล้วเรื่องรายงานที่ทำกันเมื่อวันก่อน กูเอาไปส่งที่ห้องพักอาจารย์แล้วนะ”

“อืม ขอบใจ”

“งั้นกูไปล่ะ จะแวะไปดูเนตรที่โรงพยาบาลอีกหน่อยแล้วก็กลับบ้านแล้ว” 

“มีอะไรก็ส่งข่าวมาบอกกูบ้างนะ เดี๋ยวกูจะนั่งไขปริศนาคำใบ้อยู่ตรงนี้สักพักก่อนแล้วจะกลับเหมือนกัน”

ลีพยักหน้ารับแล้วเดินจากไป ปล่อยให้ตฤณได้ทิ้งความคิดทุกอย่างลงไปกับคำทั้งเจ็ดที่เพื่อนได้มอบให้ คำพวกนี้ต้องเชื่อมโยงถึงอะไรบางอย่างและมันอาจจะมีความเกี่ยวข้องกับคฤหาสน์หลังนั้นซึ่งเขายังไม่รู้ว่ามันเกี่ยวข้องได้อย่างไร หนึ่งสิ่งที่รู้ด้วยคำพูดที่เหมือนกันทำให้เขาตัดคำออกไปได้ถึงสองคำ นั่นก็คือคำว่าออกมาและคำว่าน่ากลัว เมื่อตฤณลองจับมารวมกันแล้ว ความหมายที่เขาได้นั่นก็คือให้เขาออกมาจากคฤหาสน์หลังนั้นเพราะมันน่ากลัว

“อย่ายุ่ง? อย่ายุ่งกับอะไรวะ? กับเนตร?”

ตฤณหยิบดินสอออกมา เขียนสิ่งที่เขาได้รับมาจากเนตรและยุ้ยแยกออกมาเป็นคำๆ เผื่อว่าจะได้เข้าใจง่ายขึ้น

เนตร : ออกมา / น่ากลัว / อย่ายุ่ง / เนตร

ยุ้ย : ออกมา / ตาย / เป็นจริง


โอกาสในสิ่งเนตรต้องการจะสื่อและทำให้ตฤณตีความออกมาเป็นสองประโยคด้วยกันนั้นมีสูงมาก อย่างประโยคแรกที่ลองคาดเดาดูก็ยังเป็นประโยคเดียวกับที่ยุ้ยอาจจะอยากบอกและเป็นประโยคเดียวกับที่ลีเคยพูดกับเขา นั่นก็คือ ‘ออกมาจากคฤหาสน์ที่น่ากลัวหลังนั้น’ กับอีกหนึ่งประโยคที่ลองตีความแบบมั่วๆ ดู ‘อย่ายุ่งกับเนตร’

แต่ทว่าพอตฤณลองทวนดูคำใบ้ที่ยุ้ยเขียนไว้ให้ เขากลับไม่เข้าใจอะไรเลยว่าแต่ละคำมีความหมายที่เชื่อมโยงกันอย่างไร และต้องการจะสื่ออะไรให้เขาได้รับรู้กันแน่ คำว่า ‘เป็นจริง’ ซึ่งเขาคาดเดาไม่ได้เลยว่าอะไรเป็นจริง ความตายเป็นจริงหรือ?

“ไม่เข้าใจเลยว่ะ ทำไมไม่พูดอะไรที่มันเป็นประโยควะ”

ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่เข้าใจ ยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิดเพราะหาคำตอบให้กับตัวเองไม่ได้

“โว้ยยยยยย”

ทางสุดท้ายที่นึกขึ้นมาได้ในตอนนี้มีเพียงแค่ต้องกลับไปถามเด็กคนนั้นเกี่ยวกับคฤหาสน์คัลเลนอีกรอบ แม้จะทำให้จ้าวไม่พอใจและถูกโกรธก็ยอม ยิ่งนึกถึงสภาพที่เนตรเป็น ยิ่งคิดถึงยุ้ยที่ฆ่าตัวตายโดยไร้สาเหตุแล้วหัวใจก็ปวดหนึบขึ้นมา เพื่อนที่แสนดีทั้งสองคนต้องมาพานพบกับเรื่องเลวร้าย หนึ่งคนเลือกที่จะจบชีวิตของตัวเอง ส่วนอีกคนยังมีชีวิตอยู่ราวกับตายทั้งเป็น

ตฤณเก็บข้าวของลงกระเป๋าแล้วรีบกลับไปคฤหาสน์หลังนั้นให้เร็วที่สุด ด้วยเพราะถ้าแก้ปริศนาคำใบ้ที่เนตรและยุ้ยให้มาได้เร็วมากเท่าไร เขาก็จะรู้สาเหตุว่าอะไรทำให้พวกเธอกลายสภาพเป็นแบบนี้ไปได้

คฤหาสน์ในวันนี้ที่ตฤณกลับมาถึงในช่วงที่พระอาทิตย์ยังคงทำงานอยู่กลับดูอบอุ่นอย่างประหลาดแต่ทว่าเมื่อย่างเท้าเหยียบลงบนส่วนหนึ่งของตัวคฤหาสน์แล้วไอเย็นกลับแผ่ซ่านออกมาจากทุกทิศทางจนขนแขนตั้งชัน ความเงียบสงัดรอบข้างดูไม่สงบเอาเสียเลยราวกับกำลังอยู่ท่ามกลางสุสานอีกครั้ง ผิดกับช่วงเวลาที่มีจ้าวอยู่ข้างกายเหมือนเช่นทุกครั้งมันทำให้เขากลัว

“จ้าว! พี่กลับมาแล้ว”

‘จ้าวหลับอยู่ครับ’

เสียงหนึ่งดังขึ้นจากทางด้านหลังเรียกให้ตฤณหันกลับไปมอง เป็นเจตรินที่ยืนส่งยิ้มอยู่ตรงนั้น

“เอ่อ... พี่เจต”

‘เรียกผมว่าเจตเฉยๆ ก็ได้ อายุเราคงไม่ห่างกันมากเท่าไร’


“จ้าวหลับเหรอ? ตอนบ่ายสอง?”

‘ครับ แต่เดี๋ยวอีกสักพักก็ตื่นแล้ว มีธุระอะไรด่วนหรือเปล่า ผมจะได้ไปปลุกให้’

อันที่จริงแล้วตฤณมีเรื่องสำคัญที่จะถามอยู่หลายคำถาม แต่ในเมื่อจ้าวกำลังพักผ่อนอยู่ เขาจึงไม่อยากเข้าไปรบกวน เด็กคนนั้นอาจกำลังฝันหวานอยู่ก็ได้ คนที่จะถามได้ในตอนนี้ก็มีเพียงแค่เจตรินเท่านั้น แต่เขากลับลังเลที่จะถามมันออกไปเหมือนกับว่าคำถามของเขา มีเพียงจ้าวเท่านั้นที่ให้คำตอบมันได้

‘มีอะไรหรือเปล่าครับ สีหน้าดูไม่ค่อยดี’


“คือ...”

แน่นอนว่าตฤณมีคำถามอีกเป็นกระบุงโกยแต่ไม่รู้จะพูดอย่างไร ไม่รู้ว่าควรเริ่มต้นถามที่ตรงไหน

‘มีอะไรอยากพูด อยากถามก็ถามมาเถอะครับ เก็บเอาไว้ในใจนานๆ แล้วมันจะอึดอัดเปล่าๆ’


“คือ... ที่นี่เคยมีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า”

‘มี’   

จู่ๆ ใบหน้าของตฤณก็ไร้สีเลือดฝาด ฝ่ามือเย็นเฉียบ ชั่ววินาทีหนึ่งราวกับหัวใจหยุดเต้นไปเสียเฉยๆ คำพูดของเจตรินเพียงสั้นๆ แต่กลับสร้างความสะเทือนใจให้เขาได้มากทีเดียว

“มี... มีอะไร”

‘ไม่แน่ใจว่าเคยได้ยินข่าวนี้ไหม ฆาตกรรมครอบครัวคัลเลนตายยกครัว ไม่เหลือผู้รอดชีวิต’

ตฤณนิ่งไปเล็กน้อย เขาคิดไม่ถึงว่าสิ่งที่เจตรินพูดจะเป็นเรื่องนี้เพราะอย่างน้อยๆ ในหัวของเขามันมีแต่เรื่องลี้ลับ สิ่งมองไม่เห็นแต่สัมผัสได้ อย่างเช่นพวกภูติ ผี ปีศาจ วิญญาณเร่ร่อนไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดอะไรทำนองนั้น

“ฆาตกรรม?”

ยังไม่ทันที่เจตรินจะได้ตอบอะไร เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นที่ตรงหัวบันได “พี่เจตกำลังแกล้งให้พี่ตฤณกลัวเหรอครับ ฆาตกรรมอะไรมันไม่มีหรอก แต่ถึงจะมีก็แล้วยังไงล่ะครับ เรื่องมันก็เกิดขึ้นมาตั้งนานแล้ว อ๋อ! จ้าวจำได้ว่าพี่เจตบอกว่าตอนที่จ้าวนอนอยู่จะไปทำขนมอร่อยๆ มาให้กินไม่ใช่เหรอครับ ทำเสร็จหรือยัง”

คำพูดหลุดออกมาเป็นพรวนขนาดนี้ ถ้าเจตรินยังไม่รู้ตัวว่าควรทำอย่างไร เห็นทีจ้าวคงต้องแสดงให้ดูเสียแล้ว แต่เจตรินรู้ว่าเขาควรเงียบลงเสียบ้าง ไม่อย่างนั้นแม้แต่เขาที่เป็นพี่ชาย จ้าวก็คงจะไม่ละเว้นด้วยเช่นกัน

‘งั้น... พี่ขอตัวไปจัดการให้เสร็จก่อนแล้วกันนะ แล้วเดี๋ยวจะยกขึ้นไปให้’

“ครับ ขอบคุณนะครับ”

คำขอบคุณที่จ้าวหมายถึงไม่ได้ขอบคุณสำหรับขนมอร่อยๆ ที่ทำให้แต่หมายถึงขอบคุณที่เข้าใจว่าควรทำตัวอย่างไร เขารอให้เจตรินเดินจากไปจนลับสายตาก่อนที่จะสอดแขนเล็กเข้าคล้องแขนแกร่งของอีกฝ่ายเอาไว้พลางซบใบหน้าลงบนต้นแขนที่พอจะมีกล้ามเนื้อแน่นๆ

“พี่เนตรเป็นยังไงบ้างครับ”

“อาการไม่ดีเลย หมอบอกว่าถ้าไม่รู้ว่าอะไรเป็นสาเหตุก็คงจะไม่หาย”

“ถ้าอย่างนั้นจ้าวคงต้องไปเยี่ยมบ้างแล้วล่ะครับ อยากให้พี่เนตรรู้ว่าจ้าวเองก็เป็นห่วง”

“งั้นพรุ่งนี้เราไปเยี่ยมเนตรกัน พี่เองก็ลืมบอกไปด้วยว่าจ้าวเป็นห่วง ไว้ให้จ้าวไปบอกด้วยตัวเองดีกว่าเนอะ”

“ครับ”

จ้าวยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย พรุ่งนี้คงไม่ใช่แค่ความเป็นห่วงที่เขาจะมอบให้ แต่อาจจะมีของขวัญสุดพิเศษที่จะจดจำไปอีกนานแสนนานมอบให้อีกหนึ่งชิ้นด้วยเช่นกัน





** ติดตามตอนต่อไป **




ออฟไลน์ XXX

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
สนุกมากกกกก อ่านไปลุ้นไป5555

 :hao3: o18 :katai1:

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ลีออกมาแล้ว จะตายไหมเนี่ย  ส่วนเมฆจะกลับไปยุ่งกับจ้าวหรือเหรอ ไม่เข็ดหรือไง  :hao3:

ออฟไลน์ BlueSora

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
::: ตอนที่ 18 :::
คำใบ้ส่งความตาย





ในห้องพักของตฤณยังคงอวลไปด้วยความอบอุ่นที่จ้าวบรรจงสร้างขึ้นมากลบเกลื่อนบรรยากาศอึมครึมที่เคลือบแฝงไปด้วยความชั่วร้ายรอบบริเวณคฤหาสน์หลังนี้ สองร่างนอนกอดก่ายกันอย่างมีความสุข ตฤณเป็นสุภาพบุรุษเกินกว่าที่เขาคาดหมายไปไกล เด็กน้อยไม่ได้คาดคิดว่าเมื่อตฤณได้สมปรารถนาแล้วจะไม่พยายามล่วงเกินเขาอีกแม้ในใจลึกๆ ความปรารถนาที่ว่านั้นจะยังไม่ดับมอดไปก็ตาม

“พี่ตฤณรักจ้าวไหมครับ”

“ถามอะไรแบบนั้น พี่ก็ต้องรักจ้าวแน่อยู่แล้วสิ ไม่อย่างนั้นคงทิ้งไปตั้งแต่วันนั้นแล้ว”

เด็กน้อยอย่างจ้าวปั้นหน้าใสซื่อ แสร้งทำเป็นไม่รู้ว่าวันนั้นที่อีกฝ่ายพูดถึงคือวันไหน

“วันไหนเหรอครับ”

“ไม่ต้องเลย รู้แล้วมาแกล้งทำเป็นไม่รู้เนี่ย”

มือแกร่งบีบเข้าที่สันจมูกโด่งอย่างเบามือคล้ายกับจะหมั่นไส้ที่เด็กคนนั้นก็น่าจะรู้อยู่แก่ใจว่าเพราะอะไรถึงทำให้เขารักได้มากขนาดนี้ นั่นเป็นเพราะความอ่อนโยน ความเอาใจใส่ ความใสซื่อและสิ่งที่จ้าวเป็นทุกอย่างหล่อหลอมให้เกิดบางสิ่งบางอย่างขึ้นในใจและดูท่าว่ามันจะเพิ่มมากขึ้นทุกวันจนแทบจะถอนตัวไม่ขึ้นเอาเสียแล้ว

“ก็ไม่รู้จริงๆ นี่ครับ”

“เอ๊า! บอกก็ได้ มันไม่ใช่วันแรกที่เราได้เจอกันหรอกนะ แต่เป็นวันที่พี่เก็บข้าวของย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่”                         

“โห~ จ้าวคิดไม่ถึงเลยว่ามันตั้งแต่ตอนนั้น”

บทสนทนาของทั้งคู่หยุดลงเพียงเท่านี้เมื่อเจตรินเคาะลงที่ปะตูห้องเบาๆ แล้วเดินถือถาดใส่คุกกี้อัลมอนด์เข้ามาวางเอาไว้บนโต๊ะข้างหัวเตียงโดยที่ไม่พูดอะไร มองดูใบหน้ากลมมนที่เหมือนจะไล่ให้เขาออกจากห้องไปแล้วได้แต่ถอนหายใจเบาๆ ตอนนี้ก็เป็นได้เพียงแค่ส่วนเกินของคนสองคนที่กำลังหวานชื่นกันอยู่

“ขอบคุณนะครับ พี่เจต”

‘มีอะไรก็เรียกนะ พี่ไปพักก่อนล่ะ’

“พี่เจต... อยู่ก่อนสิครับ”

เจตรินนิ่งไปชั่วครู่ สิ่งที่บอกผ่านสายตาสีเพลิงดวงนั้นคืออยากให้เขาไปให้ไกลๆ แต่ทว่าริมฝีปากรูปกระจับกลับยกยิ้มขึ้นเล็กน้อยพลางเอื้อนเอ่ยชวนให้อยู่ เขาไม่เข้าใจน้องชายคนนี้เลยจริงๆ แต่ก็จำต้องอยู่ตามความต้องการ

“พี่เจตไม่คิดจะพรีเซนต์ผลงานของตัวเองหน่อยเหรอครับ”

‘มันก็แค่คุกกี้อัลมอลด์ที่พี่เพิ่งหัดทำ ถ้ามันไม่อร่อย จะโยนทิ้งไปเลยก็ได้’


“ครับ ถ้ามันไม่อร่อยหรือไม่ถูกปาก จ้าวก็จะโยนทิ้งเหมือนของไร้ค่า พี่เจตไปพักเถอะครับ เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว”

คำตอบของจ้าวแฝงนัยยะที่เข้าใจกันได้แค่เพียงพี่น้อง เจตรินดูจะพึงพอใจแล้วกับคำตอบที่ได้รับ เขาจึงยิ้มออกมาได้บ้าง การที่น้องชายพูดแบบนี้ก็เท่ากับยืนกรานแล้วเรื่องหนึ่ง ถ้ารสชาติของสิ่งที่ได้ลิ้มชิมรสเป็นครั้งแรกมันจะกลายเป็นสิ่งที่ไม่ถูกปาก จะให้จ้าวโยนทิ้งเหมือนขยะข้างถนนก็ไม่เสียดายแม้เพียงเศษเสี้ยว

‘งั้นพี่ไปล่ะ’

ตฤณรอให้เจตรินเดินออกจากห้องไปก่อนแล้วจึงขยับตัวลุกขึ้นมานั่งในท่าที่สบายขึ้นโดยที่ยังมีคนตัวเล็กกว่านอนทับอยู่บนหน้าอก ไม่ยอมขยับออกไปไหนเหมือนลูกจิงโจ้น้อยที่ซุกตัวหาความอบอุ่นอยู่ในกระเป๋าหน้าไม่มีผิดไม่มีเพี้ยน เขายกยิ้มเล็กน้อยด้วยความเอ็นดูพลางลูบหัวกลมนั้นเล่นอย่างเบามือ

“พี่ตฤณ ทำไมถึงได้ถามเรื่องข่าวฆาตกรรมครอบครัวคัลเลนกับพี่เจตเหรอครับ”

“อ๋อ! พี่แค่อยากรู้ว่าเมื่อก่อนมันมีอะไรเกิดขึ้นที่นี่หรือเปล่าน่ะ”

“แล้วรู้หรือยังครับ”

ตฤณรู้แล้วแต่แสร้งทำเป็นไม่รู้ ทำตัวเป็นน้ำไม่เต็มแก้วบ้างเผื่อว่าอาจจะได้รู้อะไรที่ไม่เคยได้รู้จากปากของเด็กคนนี้ เขาส่ายหน้าแล้วยิ้มอย่างอ่อนใจ ปกปิดสิ่งที่ตนเองรู้เอาไว้ภายในและพร้อมที่จะรับฟังเรื่องราวใหม่

“แล้วจ้าวต้องบอกไหมครับ”

“มีอะไรต้องบอกพี่หรือเปล่า”

“ไม่มีนี่ครับ อดีตก็คืออดีต ถึงจะมีหรือไม่มีมันก็เป็นเรื่องที่ผ่านไปแล้ว รื้อฟื้นขึ้นมามันก็ไม่ได้อะไร รู้ไปแล้วก็ช่วยให้คนตายฟื้นคืนชีพกลับมาไม่ได้หรอกครับ สู้เอาเวลาที่มีอยู่มาใช้ไปกับปัจจุบันและวันที่เหลือให้มีความสุขดีกว่า พี่ตฤณว่าจริงไหมครับ”

ตฤณเห็นด้วยว่าการทำปัจจุบันให้มีความสุขที่สุดคือเรื่องสำคัญกว่า แต่อดีตของคฤหาสน์หลังนี้ก็ยังเป็นสิ่งที่เขาต้องค้นหาเพราะมันเกี่ยวพันกับเพื่อนทั้งสองคน ความเห็นพ้องต้องกันของคนสามคนไม่ใช่เรื่องบังเอิญ สิ่งที่เกิดขึ้นกับเนตรและยุ้ยก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าจะเกิดขึ้นกับคนทั่วไป

“พี่ตฤณดูเครียดๆ นะครับ ไม่ค่อยยิ้มเท่าไรเลยตั้งแต่กลับมาจากเยี่ยมพี่เนตร”

“มันมีเรื่องให้ต้องคิดเยอะน่ะ ไม่ต้องเป็นห่วงพี่หรอก”

“ไม่ให้ห่วงได้ยังไงครับ ดูสิ คิ้วผูกกันจนจะเป็นโบว์อยู่แล้ว”

นิ้วเล็กจิ้มไปตรงหว่างคิ้วที่เครียดขึงสองสามครั้งให้รู้ว่าที่ปรากฏอยู่บนใบหน้านั้นคืออะไรกันแน่แล้วก็หัวเราะออกมาอย่างชอบอกชอบใจ รอยขมวดที่เกือบจะเป็นปมถูกคลายออกอย่างช้าๆ ด้วยรอยยิ้มที่แสนงดงาม ดวงหน้ากลมมนกับดวงตาสีเพลิงที่ดูเหมือนจะร้ายกาจแต่กลับน่ารักเมื่อยามที่ริมฝีปากรูปกระจับยกยิ้มกว้างอย่างจริงใจ

“อยากช่วยให้คิ้วพี่เลิกผูกกันเป็นโบว์ไหมล่ะ”

“จ้าวช่วยได้เหรอครับ”

ร่างเล็กยันกายลุกขึ้นมานั่งอย่างจริงจังและดูจะตั้งอกตั้งใจเป็นพิเศษสำหรับความช่วยเหลือที่อีกฝ่ายร้องขอมา

“ไขปริศนาให้พี่หน่อยสิ”

“ได้สิครับ จ้าวชอบปริศนา”

ตฤณกางสมุดที่ใช้จดคำพูดของเนตรและสิ่งที่ยุ้ยเขียนไว้ในจดหมายฉบับนั้นออก คำพูดที่ถูกเขียนอยู่ในนั้นเรียกรอยยิ้มตรงมุมปากจากเด็กน้อยคนนี้ได้ชะงักนักเชียว ดวงตาสีเพลิงที่ใช้มองตฤณเปลี่ยนไปวูบหนึ่ง ความสนุกอีกระลอกกำลังจะเริ่มต้นขึ้นอีกครั้งแล้ว

“เอ๋? นี่มันอะไรเหรอครับ จ้าวไม่เข้าใจ”

“ช่วยพี่แกะปริศนาคำใบ้พวกนี้หน่อยสิ อย่างคำว่า... ออกมาเนี่ยมันจะหมายถึงอะไร แล้วคำว่าน่ากลัวคือน่ากลัวอะไร อะไรน่ากลัว”

“มีแค่นี้เหรอครับ จ้าวคงช่วยไม่ได้หรอก ถ้าพี่ตฤณไม่ขยายความให้มากกว่านี้”   

จ้าวรู้ว่ามันไม่ได้มีแค่นี้และเขาก็รู้ด้วยเช่นกันว่าคำพวกนี้ที่มาจากเนตรและยุ้ยหมายถึงอะไร แต่ก็ยังแสร้งทำเป็นเด็กไร้เดียงสาที่ไม่เข้าใจความหมายและต้องการคำอธิบายมากกว่านี้ ดวงหน้ากลมมนช้อนมองแล้วจึงกระเถิบตัวเข้าไปนั่งเบียดร่างสูงจนเนื้อแขนแนบชิดติดกัน

“แล้วพี่จะอธิบายยังไงดีล่ะเนี่ย”

“มันเป็นคำที่พี่เนตรกับพี่ยุ้ยทิ้งไว้ให้เหรอครับ”

ตฤณตอบรับในลำคอ ก่อนที่จะเสริมต่อคำถามของจ้าว “เนตรบอกพี่ตอนที่พี่ไปเยี่ยมเธอที่โรงพยาบาลน่ะ ส่วนคำพูดของยุ้ยมันอยู่ในจดหมายที่เธอทิ้งไว้ให้พวกพี่ก่อนที่จะฆ่าตัวตาย พี่เลยอยากไขคำใบ้ปริศนาพวกนี้ให้ได้เร็วที่สุดเผื่อว่าจะได้รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”

“อะ... อะไรนะครับ! พี่ยุ้ยฆ่า... ตัวตาย?”

น้ำเสียงของจ้าวราวกับไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยินแต่ทว่าแววตากลับสวนทางกันอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะปรับเปลี่ยนเป็นความโศกเศร้า ดวงตากลมโตเอ่อล้นไปด้วยหยาดหยดน้ำใสราวกับสั่งได้ หัวใจของเขาไม่ได้เจ็บปวดรวดร้าวกับการจากไปของยุ้ยอย่างที่แสดงออก

“อืม พี่ถึงได้อยากรู้ไงว่ามันเกิดอะไรขึ้น”

“จ้าว... เสียใจด้วยนะครับ พี่ตฤณ”

“ขอบใจนะ เรามาหากันเถอะ คำตอบของปริศนาคำใบ้”

“ครับ มาหาคำตอบกันเถอะครับ จ้าวอยากรู้เหมือนกันว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับพวกพี่สองคน”

ดูจ้าวจะตั้งอกตั้งใจค้นหาคำตอบให้กับคำใบ้ปริศนาพวกนี้เสียเหลือเกินด้วยการคว้าเอาปากกาด้ามหนึ่งที่อยู่ในกระเป๋าดินสอใบเล็กออกมาขีดๆ เขียนๆ ลงไปบนนั้นโดยไม่คิดแม้แต่จะเอ่ยปากขอเจ้าของสมุดเลยด้วยซ้ำ พลันนั้นสายตากลับเหลือบไปเห็นตัวหนังสือยาวเป็นพรืดเขียนไว้ตรงด้านล่างของกระดาษ ‘ออกมาจากคฤหาสน์ที่น่ากลัว’

“ที่พี่ตฤณถามพี่เจตเรื่องคฤหาสน์ก็เพราะแบบนี้เองเหรอครับ จริงอยู่ว่าที่นี่ดูน่ากลัวแล้วก็มันก็เคยมีเรื่องฆาตกรรมเกิดขึ้นจริงแต่มันผ่านมานานมากแล้ว พ่อกับแม่ของจ้าวก็ไม่ได้บอกรายละเอียดอะไรด้วย จ้าวจึงไม่รู้และที่สำคัญ จ้าวคิดว่าการที่เรามัวแต่หมกมุ่นอยู่กับอดีตมากเกินไปมันจะพาให้ปัจจุบันไม่มีความสุขเอานะครับ”

“สรุปว่ามันเคยเกิดขึ้นจริงสินะ”

“ครับ จ้าวยอมรับว่าตอนแรกอาจจะพูดคลุมเครือไปหน่อย มันมีฆาตกรรมเกิดขึ้นจริงแต่อย่างที่พี่ตฤณน่าจะรู้ มันเกิดขึ้นก่อนที่จ้าวจะเกิดหลายสิบปีมากแล้ว จ้าวถึงได้บอกพี่ตฤณยังไงล่ะครับว่าบางทีอดีตมันก็ไม่ควรจะไปขุดคุ้ย”

“ช่างมันเถอะ พี่ว่า... เราพักเรื่องเครียดๆ พวกนี้แล้วมาลองชิมคุกกี้ดีกว่าไหม”

“ก็ดีเหมือนกันครับ ยิ่งคิดยิ่งเครียด จ้าวก็ไม่อยากเห็นพี่ตฤณเครียดด้วย มัน... ทำให้จ้าวไม่มีความสุข”

ดวงหน้ากลมแอบอิงพิงซบลงบนหน้าอกของฝ่ายนั้น ตีบทเศร้าเสียแตกกระเจิง จ้าวแสร้งทำเป็นขยับตัวข้ามผ่านร่างของตฤณเพื่อเอื้อมไปหยิบเอาคุกกี้อัลมอนด์ชิ้นโตที่เจตรินเป็นคนทำขึ้นมาจากจานหนึ่งชิ้นแล้วป้อนเข้าปากอีกฝ่ายอย่างเอาอกเอาใจ

“อร่อยไหมครับ”

“ไม่อร่อยเลย”

“ว้า~ พี่เจตฝีมือตกเหรอเนี่ย”

“ถ้าจะให้อร่อยมันต้องกินจากปากของจ้าว”

พูดยังไม่ทันขาดคำ ตฤณก็โน้มตัวลงมาประกบริมฝีปากเข้ากับริมฝีปากสีกลีบกุหลาบที่เผยอออกเล็กน้อย เชิญชวนให้เขาลิ้มลองมากกว่าคุกกี้ชิ้นโตฝีมือของเจตรินเสียอีก แม้จะไม่จาบจ้วงและเนิบนาบแต่ก็พาให้ใบหน้าสีไข่มุกดวงนั้นขึ้นสีแดงระเรื่อเล็กน้อย แต่ตฤณมองไม่เห็นเพราะไม่มันใช่รูปธรรม

“กินแบบนี้หวาน อร่อยกว่าตั้งเยอะ”

“พี่ตฤณ~ คราวหลังอย่าทำแบบนี้อีกนะครับ จ้าวตกใจหมด”

“เขาบอกว่ากินหวานมันจะช่วยทำให้หายเครียด แค่ให้พี่กินจ้าวก็หายเครียดแล้วนะ”

ตฤณยื่นหน้าเข้าไปใกล้ หวังจะกินลูกแกะตาแดงตัวน้อยอีกครั้ง แต่จ้าวกลับเบี่ยงตัวหลบแล้วคว้าเอาสมุดจดของตฤณขึ้นมาบังหน้า กระเถิบตัวหนีไปนั่งอีกมุมหนึ่งของเตียง อยู่ให้ห่างไกลจากผู้ชายสุภาพบุรุษที่กลายร่างเป็นหมาป่า รอคอยตะครุบเหยื่อ

“จ้าวช่วยพี่ตฤณไขปริศนาอีกหน่อยดีกว่า”

ดวงตาสีเพลิงไล่ไปตามคำต่างๆ ที่ถูกเขียนอยู่ในสมุดเล่มนั้นอีกครั้ง ทุกคำที่อยู่ในนั้นมีคำตอบที่จ้าวรู้ดีแต่เขาแสร้งทำเป็นไม่แน่ใจว่าคำตอบที่มีอยู่ในหัวนั้นจะเป็นคำตอบที่ถูกต้องหรือไม่

“พี่ตฤณ จ้าวว่าคำว่าเป็นจริงนี่หมายถึงข่าวลือที่เขาพูดกันมันเป็นจริงหรือเปล่าครับ จ้าวไม่ค่อยแน่ใจเท่าไร”

“พี่ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน มันไม่ใช่คำว่าความตายเป็นจริงเหรอ ลองดูที่คำข้างหน้าสิ”

“แต่ถ้าแต่ละคำที่เขียนมามันไม่ใช่คำที่ต้องเอามาเรียงเป็นประโยคเดียวกันล่ะครับ ถ้าแต่ละคำมันมีประโยคของมันเอง คำว่าตายกับคำว่าเป็นจริงมันก็คงไม่เกี่ยวข้องกัน พี่ตฤณลองดูคำแรกสิครับ ถ้าคำว่าออกมา ตายและเป็นจริงต้องรวมเป็นประโยคเดียวกัน มัน... เรียงลำบากนะครับ” 

ตฤณลองดูแต่ละคำแล้วพบว่าสิ่งที่จ้าวพูดก็ดูจะมีเค้าโครงความเป็นจริงอยู่บ้าง มีจ้าวอยู่เป็นตัวช่วยดูเหมือนเขาจะได้คำตอบมากขึ้นจึงอดเอ่ยชมไม่ได้ “จ้าวเก่งจริงๆ พี่ยังคิดไม่ออกเลย”

“พี่ตฤณก็ชมเกินไปครับ จ้าวแค่ลองเดาๆ ดู แล้วอีกอย่างพี่เจตก็บอกว่าเคยได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับคฤหาสน์หลังนี้ด้วย ประมาณว่าเป็นคฤหาสน์ผีดุ น่ากลัว หลอนมากตอนเวลากลางคืน หรือทำนองว่าใครลอบเข้ามาที่นี่แล้วจะต้องพบเจอจุดจบของชีวิต ไม่ตายก็เป็นบ้า สติไม่ดีอะไรแบบนี้น่ะครับ”

 คำพูดของจ้าวในช่วงท้ายของประโยคทำให้ตฤณฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ข่าวลือนั่นตรงกับสิ่งที่เนตรและยุ้ยพบเจอ นั่นเท่ากับว่า... เขาไม่อยากคิดต่อเลยว่าคฤหาสน์หลังนี้จะมีอะไรบางสิ่งบางอย่างที่น่ากลัวเกินกว่าจะจินตนาการ

“แต่พี่ตฤณเชื่อเหรอครับ เพราะถ้ามันเป็นจริงแล้วทำไมพี่ตฤณถึงไม่เป็นอะไรเลย”

จ้าวพูดให้ตฤณได้คิดตามแต่กลับปิดความคิดต่อจากนั้นของเขาด้วยประโยคที่ทำให้เขาเห็นด้วยทุกประการ ถ้าหากข่าวลือนั่นเป็นความจริง มันต้องมีอะไรเกิดขึ้นกับตัวเขาด้วยเช่นกัน แต่ทว่าเวลาที่ผ่านเลยมาเกือบหนึ่งสัปดาห์บ่งบอกว่าชีวิตของเขายังปลอดภัยดีอยู่ที่ได้อยู่ในคฤหาสน์หลังนี้และข่าวลือนั่นก็อาจเป็นเพียงแค่ข่าวลือทั่วๆ ไปที่ใครก็สามารถกุขึ้นมาพูดได้

“ก็จริงนะ จ้าวก็ยังอยู่นี่ได้ ไม่เห็นจะเป็นอะไร แล้วข่าวลือนั่นจะเป็นจริงได้ยังไง”

“ครับ ส่วนคำว่าตายของพี่ยุ้ยก็คงจะหมายถึงว่าเธอกำลังจะฆ่าตัวตายหรือไปตายหรือเปล่าครับ”

“พี่ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน มันตอบยากนะกับคำใบ้พวกนี้โดยที่ไม่รู้อะไรเลย”

“พรุ่งนี้ พี่ตฤณก็ไปถามพี่เนตรอีกนิดสิครับ เผื่อพี่เขาจะบอกอะไรมาบ้าง”

แน่นอนว่าพรุ่งนี้ตฤณจะไปเยี่ยมเนตรอีกครั้งและจะพาจ้าวไปด้วยกัน เพราะฉะนั้นพรุ่งนี้อาจเป็นวันที่เขาจะได้รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นมากกว่านี้

“อืม ไว้พี่เลิกเรียนแล้วจะมารับนะ”

“ครับ จ้าวคิดจนเหนื่อยแล้ว ขอไปนอนพักที่ห้องก่อนดีกว่า เผื่อพี่ตฤณจะได้ทำธุระส่วนตัวของพี่ได้สบายๆ”

จ้าวไม่ได้สนใจว่าตฤณจะเอ่ยรั้งอะไรเขาไว้อีก เขาแค่อยากไปนอนพักเพื่อเอาแรงเตรียมรับศึกหนักในวันพรุ่งนี้ 


-------------------------------------


ตฤณกลับมารับจ้าวหลังเลิกเรียน แม้ว่าตฤณจะพูดว่าเป็นตอนเย็นแต่แดดก็ยังส่องแสงสว่างอยู่ ในขณะที่พวกเขากำลังจะก้าวออกจากคฤหาสน์เพื่อไปเยี่ยมเนตรที่โรงพยาบาลแต่เจตรินกลับไม่เห็นด้วยที่จะให้น้องชายออกไป ไม่ใช่ว่าเขาไม่ไว้วางใจผู้ชายคนนี้แต่เขาเป็นห่วงจ้าวมากกว่าอะไรทั้งสิ้น เด็กที่ไม่เคยก้าวเท้าออกจากคฤหาสน์ เด็กที่ใช้ชีวิตอยู่แค่ในพื้นที่ของเขา

‘จ้าว พี่ขอคุยอะไรด้วยหน่อย’

“ครับ”

เจตรินดึงตัวจ้าวให้เดินห่างออกมาจนกระทั่งแน่ใจแล้วว่าสิ่งที่พวกเขาคุยกันจะไม่มีทางหลุดรอดออกไปให้ตฤณได้ยินแน่นอน

‘จะให้พี่ไปแทนก็ได้นะ แต่จ้าวไม่ควรออกไป’

“ไม่ได้หรอกครับ ของขวัญชิ้นนี้ จ้าวต้องไปมอบให้เองกับมือ”

‘จ้าว... พี่ต้องทำยังไงถึงทำให้จ้าวไม่ต้องออกไปข้างนอกได้ รู้ไหมว่าพี่เป็นห่วงนะ’


จ้าวเอื้อมมือออกไปจับมือของพี่ชายเอาไว้แน่น ถึงเขาจะร้ายใส่อย่างไรแต่ก็รู้ดีว่าพี่ชายรักเขามากและเป็นห่วงมากเช่นกัน ถ้าหากเขาปล่อยให้เจตรินออกไปพร้อมกับตฤณนั่นจะเท่ากับว่าโอกาสที่เจตรินจะไม่ได้กลับมาที่นี่อีกมีสูงมากจนหวั่นใจ

“รู้ครับ แต่พี่เจตเองก็ออกไปไม่ได้ รู้ใช่ไหมครับว่าข้างนอกมีอะไร”

‘พี่รู้ ยังไงก็ระวังตัวด้วยนะ ถ้าเขาไม่ให้เข้าก็อย่าฝืน ไม่ไหวก็รีบกลับมา พี่จะรออยู่ที่นี่นะ’

“ครับ”

จ้าวละออกมาจากเจตรินแล้วเดินตรงไปหาตฤณที่ยืนรออยู่ห่างๆ เขาหันมาส่งสายตาเพื่อบอกว่าจะไม่เป็นอะไรให้พี่ชายได้คลายกังวลลงไปบ้างแต่ถึงอย่างนั้นก็ยังเป็นห่วงอยู่ดี ข้างนอกนั่นเป็นสถานที่อันตรายสำหรับพวกเรา

“พี่ตฤณ... รู้ไหมครับว่าจ้าวไม่เคยออกไปข้างนอกเลย”

จ้าวเดินเข้าไปคล้องแขนแล้วส่งยิ้มหวานไปให้แต่ทว่าในใจกลับหวาดกลัวเมื่อยอมต้องก้าวเท้าออกนอกพื้นที่

“กลัวเหรอครับ”

“นิดหน่อย พี่ตฤณก้าวช้าๆ นะครับ ขาพี่ตฤณยาว จ้าวเดินตามไม่ทันแน่เลย”

“งั้นจ้าวค่อยๆ เดินตามมานะ เดี๋ยวพี่ไปเรียกรถแท็กซี่ให้ก่อน”

ตฤณผละออกไปโดยมีสายตาคู่หนึ่งคอยมองดูอยู่ตลอด รถแท็กซี่แถวนี้เรียกยากเรียกเย็นเสียเหลือเกิน เขาแค่ยกมือยกเรียกแต่กลับไม่มีคันไหนยอมจอดทั้งที่ไฟว่างหน้ารถก็ยังสว่างไสวพร้อมรับผู้โดยสาร เบาะข้างหลังและข้างคนขับก็ยังว่าง

“พี่ตฤณไปเรียกตรงนู้นไหมครับ เขาน่าจะจอด”

นิ้วเรียวเล็กชี้ไปยังหน้าบ้านของใครบางคน อย่างน้อยๆ ตรงนั้นก็ไม่ใช่หน้าคฤหาสน์ที่ถูกกล่าวขานถึงความน่ากลัว อาจมีแท็กซี่ใจดียอมจอดรับผู้โดยสารสักคัน ตฤณพยักหน้าพร้อมกับลองย้ายที่เรียกรถแท็กซี่ไปโรงพยาบาล ปรากฏว่าเพียงแค่ย้ายออกไปจากที่เดิมหนึ่งหลัง รถแท็กซี่ที่โบกเรียกคันแรกกลับจอดเสียอย่างนั้น

“ไปโรงพยาบาลXXX ครับ”

คนขับพยักหน้า ตฤณจึงหันไปมองจ้าวพลางเปิดประตูหลังรอให้เด็กคนนั้นเดินเข้าไปนั่งข้างในก่อนแล้วจึงตามเข้าไป ปิดประตูลงแต่ขับคนไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงได้เปิดประตูค้างเอาไว้ตั้งนานในเมื่อก็มีอยู่แค่คนเดียว

ไม่มีใครพูดอะไรระหว่างนั้น ตฤณก็เงียบ จ้าวก็เงียบ คนขับรถยิ่งเงียบเข้าไปใหญ่แต่ในใจกลับกำลังตั้งคำถามถึงข้อสงสัยที่ผู้โดยสารคนนั้นเปิดประตูค้างเอาไว้เสียนาน แถมยังหันไปมองอะไรบางอย่างหน้าคฤหาสน์หลังนั้นด้วย อะไรบางอย่างที่เขาเผลอคิดไปว่าเป็นสิ่งที่ไม่มีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้

“คุณอยู่แถวคฤหาสน์นั่นเหรอครับ”

ตฤณที่กำลังนั่งคิดอะไรเพลินๆ สะดุ้งเล็กน้อย เขารีบตอบกลับไปทันที “ห๊ะ! อ้อ ครับ”

“แถวนั้นตอนกลางคืนน่ากลัวมากเลยนะ ผมไม่กล้าขับรถมาแถวนี้ตอนดึกๆ เลย ดีที่ตอนนี้ยังมีแสงอยู่ ไม่อย่างนั้นผมคงเลี้ยวตั้งแต่แยกนู้นแล้วล่ะครับ เอ่อ... ว่าแต่อยู่แถวนี้เคยเจออะไรบ้างหรือเปล่า”

“อืม ก็ไม่มีอะไรนะ”

“แล้วไปทำอะไรที่โรงพยาบาลเหรอครับ”

“ไปเยี่ยมเพื่อนน่ะ”

“อ้อ! แล้วเพื่อนเป็นอะไรถึงต้องเข้าโรงพยาบาลล่ะ”

ตฤณแอบทำหน้าเซ็งอยู่เล็กน้อยแต่จ้าวกลับยิ้มขำ “ป่วยครับ”

“เป็นโรคอะไรล่ะ”

“มะเร็งครับ ใกล้ตายล่ะ”

ตฤณตอบส่งๆ ออกไปและประโยคท้ายเขาก็หมายถึงตัวเองที่ใกล้จะตายแล้ว ใกล้จะหมดความอดทนกับการตอบคำถามของคนขับรถแล้ว

“ระยะสี่เหรอ แย่หน่อยนะ เนี่ย... เมียลุงก็เป็นมะเร็งเหมือนกันแต่โชคดีที่แค่ระยะสอง ไปตรวจทันน่ะ”

“อ้อ ครับ”

“แล้วนี่จะให้ไปจอดข้างในเลยไหม”

“ข้างหน้าก็ได้ครับ เดี๋ยวผมเดินเข้าไปเอง” 

โชคดีที่พอตอบเสร็จก็ถึงโรงพยาบาลพอดี ไม่อย่างนั้นตฤณเชื่อว่าเขาคงได้กลายเป็นอีกรายที่นอนโรงพยาบาล

รถแท็กซี่คันนั้นจอดตรงหน้าโรงพยาบาล เขาจ่ายเงินค่าโดยสารแล้วลงจากรถ รอให้จ้าวได้ก้าวลงจากรถก่อนแล้วจึงปิดประตู

ศาลพระภูมิเจ้าที่หน้าโรงพยาบาลทำให้จ้าวชะงักเท้าลงทันที เขาเข้าไปในนั้นไม่ได้แน่ อำนาจที่พระภูมิเจ้าที่มีอยู่นั้นมากกว่าอำนาจที่เขามีหลายเท่าตัวนัก อีกทั้งคำยืนกรานอย่างหนักแน่นจากชายชราในชุดสีขาวล้วนที่มีเพียงจ้าวเท่านั้น ที่ได้ยินก็การันตีแล้วว่าสถานที่แห่งเป็นสถานที่ต้องห้าม

“พี่ตฤณ ตรงนั้นมีพระภูมิเจ้าที่อยู่ด้วย เราต้องแสดงความเคารพเขาด้วยการไปขออนุญาตเข้าไปข้างใน พี่ตฤณไปขอให้เราสองคนเข้าไปหน่อยได้ไหมครับ”

จ้าวชี้ชวนให้ตฤณไปขออนุญาตจากพระภูมิเจ้าที่ และตฤณก็ยอมทำตาม เขากำลังมีเรื่องวิงวอนร้องขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อาศัยอยู่ในบ้านเรือนไทยหลังน้อยพอดี จึงไม่รีรอที่จะทำตาม ยกมือขึ้นพนมส่งคำอธิษฐาน ดวงหน้ากลมสีไข่มุกประดับไปด้วยรอยยิ้มทันทีที่พระภูมิเจ้าที่ที่กำลังยืนดักหน้าอยู่ ตรงทางเข้าโรงพยาบาลยอมถอยหนี หลบทางให้จ้าวได้เข้าไปแม้ในใจลึกๆ จะไม่อยากต้อนรับแต่มีมนุษย์ผู้หนึ่งเอ่ยขอแทนให้แล้ว คงปฏิเสธคำขอนั้นไม่ได้

“ไปกันเถอะครับ”

ตฤณเดินเข้าไปจูงมือเล็กเมื่อถูกชวนให้เข้าไปข้างใน จ้าวไม่สะบัดมือทิ้งแต่กลับกระชับแน่น ส่งยิ้มหวานให้อย่างจริงใจที่สุดในรอบหลายครั้งที่ผ่านมา

“ว่าแต่ทำไมต้องให้พี่ไปพูดอะไรแบบนั้นด้วย”

“จ้าวเคารพสถานที่น่ะครับ เวลาไปที่ไหนถ้าเราบอกกล่าวเขาก่อน เขาก็อาจจะคุ้มครองเราก็ได้ จริงไหมครับ”

“ให้พี่คุ้มครองจ้าวแทนได้ไหม”

“พี่ตฤณ~”

จู่ๆ จ้าวก็รู้สึกเขินขึ้นมา แค่คำพูดสั้นๆ ก็คล้ายกับจะทำให้เลือดในกายวิ่งพล่านไปทั่ว

“ได้ไหม”

“ได้สิครับ สัญญาแล้วนะว่าจะปกป้องจ้าว”

“ครับ”




** ติดตามตอนต่อไป **

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
จ้าวออกมาข้างนอก ก็แสดงว่าคนอื่นมองไม่เห็นจ้าวซินะ  :ling3:

ออฟไลน์ XXX

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
โอ้ววว น้องจ้าวออกมาข้างนอก จะเป็นไรไหมนะ

 :hao6: :hao6: :hao6:

ออฟไลน์ BlueSora

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
::: ตอนที่ 19 :::
โรงพยาบาล






เนตรยังคงนอนผวาไม่ได้สติอยู่ในห้องพักผู้ป่วย ข้อมือถูกพันธนาการเอาไว้กับขอบเตียงทั้งสองข้าง ตลอดเวลาที่ถูกส่งมาอยู่โรงพยาบาลทำได้เพียงแค่กึ่งหลับกึ่งตื่น เธอกลัวว่าถ้าหลับไปแล้วสิ่งเลวร้ายที่เกิดขึ้นในคฤหาสน์หลังนั้นจะตามมาหลอกหลอนไม่จบไม่สิ้น แค่ลืมตาก็ยังรับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดตลอดเวลาที่อยู่ในสถานที่แห่งนั้น

นางจิตตรานั่งเฝ้าอยู่ไม่ห่างด้วยความเป็นห่วงแต่ไม่กล้าเข้าไปใกล้ลูกสาว กลัวเธอจะกรีดร้องโวยวาย ขนาดหมอเดินและนางพยาบาลเดินเข้าไปตรวจอาการ เธอก็คุ้มคลั่งขึ้นมาราวกับมองเห็นเหล่าคนพวกนั้นคือสิ่งชั่วร้ายในคฤหาสน์

ประตูห้องพักผู้ป่วยถูกเปิดออกอย่างช้าๆ และเบาเสียงที่สุด เป็นตฤณที่เดินเข้ามา เขายกมือไหว้ผู้เป็นแม่ที่นั่งอยู่ตรงโซฟาใกล้กับประตู

“เนตรเป็นยังไงบ้างครับ”

ตฤณไม่จำเป็นต้องถามก็พอจะรู้ว่าเนตรเป็นอย่างไร สภาพของเนตรไม่ได้ดีขึ้นไปจากวันนั้นที่เขามาเยี่ยมเลยแม้แต่น้อยและดูเหมือนจะทรุดหนักกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ เพราะเมื่อดวงตาแสนอิดโรยคู่นั้นหันมองมา เสียงกรีดร้องอย่างบ้าคลั่งคล้ายกับกำลังหวาดกลัวบางสิ่งบางอย่างก็ดังลั่นไปทั่วทั้งห้องจนนางจิตตราตกใจ

“ออกไป!! บอกให้ออกไป!!”

“เนตร...”

ตฤณไม่รู้จะทำอย่างไร เขาไม่กล้าเดินเข้าไปใกล้จึงได้แต่มองดูด้วยความเป็นห่วงอยู่ตรงนี้

“ช่วยด้วย... ฮืออออ ช่วยด้วย! ตฤณช่วยเนตรด้วย”

แขนทั้งสองข้างพยายามออกแรงดึงให้ผ้าที่ผูกกันไว้หลุดออก แต่ยิ่งดึงก็ยิ่งรัดแน่น ดวงตาอิดโรยนั้นเบิกโพลงไม่ยอมหลับ ไม่แม้แต่จะกระพริบเสียด้วยซ้ำ เอาแต่จ้องมองไปยังเด็กที่ยืนอยู่ข้างหลังตฤณอย่างไม่วางตา

“เนตร ผมอยู่นี่แล้ว มีอะไรก็บอกผมได้นะ”

ตฤณเดินเข้าไปใกล้เตียงนอนผู้ป่วยแต่เนตรกลับกรีดร้องเสียงดังลั่นเมื่อได้เห็นดวงหน้ากลมมนใบหน้าที่ซ่อนอยู่ข้างหลังตฤณ พยายามดิ้นขลุกขลักอยู่บนเตียง หยาดหยดน้ำตาหลั่งรินออกมาเป็นสาย ยิ่งตฤณเดินเข้าไปใกล้มาเท่าไรเธอยิ่งถอยหนีแต่ก็ได้แค่บนเตียง เธอไปไกลกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว

“ยอมแล้ว... ขอโทษ ขอโทษนะ ฮือออออ”

“เนตรขอโทษใคร”   

นิ้วชี้ที่เหลือแต่หนังหุ้มกระดูกชี้ไปยังที่ข้างๆ ตฤณ เธอไม่กล้าพูดออกมาว่าเป็นใคร ไม่กล้าแม้แต่จะให้เข้ามาใกล้มากกว่านี้อีกเพียงก้าวเดียว เธอกลัวว่าเด็กคนนั้นจะเดินเข้ามาแล้วพรากเอาชีวิตที่เหลืออยู่ไปจากร่างกายนี้ ไปจากตฤณที่กำลังเป็นห่วงเป็นใยในตัวเธอเวลานี้

“ใคร เนตร”

ยังไม่ทันที่เนตรจะได้พูดตอบอะไร จ้าวที่ยืนซ้อนท้ายตฤณอยู่ข้างหลังก็ยกนิ้วเล็กๆ ของตัวเองปาดคอเป็นเชิงข่มขู่

“ตฤณ ขะ... ขอโทษตฤณ”

“ผม? ผมเหรอ?”

เนตรไม่ตอบ เธอหลับตาลง เบือนหน้าหนีออกไปอีกทางทำทีเป็นว่าอยากพักผ่อนแล้ว ตฤณถึงได้ยอมถอยออกมา ในเมื่อเพื่อนไม่อยากพูด เขาก็ไม่อยากจะไปดึงรั้งเซ้าซี้ถามให้มากความ

“เนตรได้นอนบ้างหรือเปล่าครับ เธอดูโทรมมากเลย”

“ไม่ได้นอนหรอก กรีดร้องทั้งวัน หวาดผวาตลอดเวลา ใครเข้าไปใกล้ก็คุ้มคลั่ง หมอต้องฉีดยานอนหลับให้แต่กว่าจะฉีดยาให้ได้ก็ทำเอาเข็มหักไปหลายอันอยู่เหมือนกัน อาการไม่ดีขึ้นเลยตั้งแต่ที่พาเข้าโรงพยาบาล หรือว่าแม่ควรพากลับไปดูอาการที่บ้านดี”

นางจิตตราพูดแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ พาลูกสาวมาโรงพยาบาลก็ยังมีคุณหมอและนางพยาบาลคอยดูแลอย่างใกล้ชิดแต่อาการของเธอก็ไม่ดีขึ้นเลยแม้แต่นิดเดียว การพากลับบ้านไปพบกับสภาพแวดล้อมที่คุ้นตาอาจจะช่วยเยียวยาความบอบช้ำที่เกิดขึ้นภายในจิตใจได้บ้าง

“แต่ถ้าแม่พาเนตรกลับไปบ้านแล้วมันช่วยให้อาการเธอดีขึ้นมันก็เป็นทางเลือกที่ดีนะครับ แต่... ผมเป็นห่วงเนตร อยากให้เธอได้อยู่ใกล้หมอ”

“แม่ก็อยากให้เนตรได้อยู่ใกล้ชิดหมอ แต่เห็นเธอเป็นแบบนี้แล้วแม่อดสงสารไม่ได้ ถ้าจะทำให้อาการเธอดีขึ้นมาได้บ้าง แม่ก็ยอมเสียเงินจ้างนางพยาบาลให้มาคอยดูอาการตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงนะ”

นางจิตตรารู้ว่าการจ้างนางพยาบาลให้มาคอยดูอาการนั้นต้องใช้เงินจำนวนไม่น้อยแต่เรื่องนั้นไม่ใช่ปัญหาสำหรับครอบครัวของเธอเลย ไม่ว่าจะต้องใช้จ่ายมากเท่าไรก็ตาม ขอเพียงแค่ให้เธอได้ลูกสาวคนเดิมกลับมาก็พอ

“ผมก็พยายามอยู่ครับ อยากรู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ตอนนี้มันยังปะติดปะต่อเรื่องราวไม่ได้เลย ยิ่งเนตรไม่ยอมพูดหรือบอกอะไร ผมก็ไม่รู้ว่าจะช่วยเธอได้มากน้อยแค่ไหน”

“ขอบใจนะ”

“งั้น... ผมกลับก่อนนะครับ ไว้วันหลังจะพาจ้าวมาเยี่ยมใหม่”

“หา? ใครนะ”

จ้าวเดินออกมาจากด้านหลังตฤณแล้วยกมือไหว้พร้อมกับส่งยิ้มไปให้ นางจิตตรารับไหว้แต่เธอกลับมีความรู้สึกแปลกๆ เด็กคนนั้นเข้ามาในห้องตั้งแต่เมื่อไร ทำไมเธอถึงไม่รับรู้ถึงการมีอยู่ของเด็กคนนี้เลยแม้แต่น้อยจนกระทั่งที่ตฤณพูดขึ้น เธอถึงได้เห็นว่ามีใครอีกคนอยู่ในห้องนี้ด้วย

“อ้าว~ นี่หนูก็อยู่ในห้องด้วยเหรอ ทำไมป้าไม่เห็นรู้เลย”

“คงเป็นเพราะจ้าวตัวเล็กมั้งครับ คุณป้าเลยมองไม่เห็น”

เด็กน้อยร่างเล็กส่งยิ้มให้แป้นแล้นพร้อมกับเข้าไปเกาะแขนตฤณเอาไว้ไม่ยอมห่าง เมื่อมองเทียบขนาดระหว่างเพื่อนของลูกสาวกับเด็กคนนั้นแล้วถึงได้รู้ว่าจ้าวเป็นเด็กที่ตัวเล็กมากจริงๆ เหมือนเด็กประถมที่อยู่ในช่วงกำลังเติบโต

“จริงด้วยเนอะ สูงแค่หน้าอกของตฤณเอง แล้วหนูอายุเท่าไรแล้วล่ะ”

“สิบเจ็ดแล้วครับ”

“สิบเจ็ดแล้วเหรอ ตัวเล็กจัง กินเยอะๆ นะ จะได้โตไวๆ”

“ครับ”

จ้าวตอบรับแกนๆ ส่งยิ้มเป็นเชิงว่าเข้าใจแล้ว แต่จะให้เขากินเท่าไรยังไงก็ไม่มีทางโตไปมากกว่านี้ได้อีก ร่างกายนี้หยุดโตมาตั้งแต่เมื่อร้อยกว่าปีที่แล้ว

ในขณะที่ตฤณกับจ้าวกำลังจะเดินออกจากห้องพักผู้ป่วยหลังจากที่ล่ำลากับนางจิตตราเรียบร้อยแล้ว เสียงตะโกนเรียกของเนตรแม้ว่ามันจะไม่ดังเท่าไรแต่ตฤณได้ยินเต็มสองหู “ตฤณ! อย่าไป” แล้วเสียงร้องไห้ของเธอก็ดังต่อจากนั้นอย่างต่อเนื่องไม่หยุด จนเขาต้องรีบเดินเข้าไปหา

“เนตร ผมอยู่นี่”

“ฮืออออ ตฤณ ออกมา ออกมานะ ตฤณ”

“ให้พี่ตฤณออกมาจากอะไรเหรอครับ พี่เนตร”

จ้าวเดินมาหยุดอยู่ข้างกายของตฤณพร้อมกับเอ่ยถามเสียงเรียบ ดวงตาสีเพลิงจ้องมองร่างนั้นด้วยแววแห่งความอาฆาต หากตอบผิดแม้เพียงนิดก็จะช่วงชิงสิ่งที่รักยิ่งไปในทันที เนตรที่รับรู้ได้ถึงความน่ากลัวนั้นเอาแต่ปิดปากเงียบและไม่กล้าแม้เพียงแต่จะสบสายตาคู่นั้นอีก

“ออกมานะ ต้องออกมา”

“ให้ผมออกมาจากอะไร เนตร ถ้าไม่พูดก็ไม่รู้หรอกนะ”

“น่ากลัว ชั่วร้าย ออกมานะ ตฤณ เชื่อเนตร”   

“อืม ผมเชื่อเนตร พักสักหน่อยนะ แล้วจะกลับมาเยี่ยมใหม่”

ตฤณผละออกมา ดูเหมือนเนตรจะยอมสงบลงบ้างแล้วที่เห็นว่าเขาเชื่อในคำพูดของเธอ จ้าวทำเพียงแค่เมียงมองร่างบนเตียงนอนแล้วยกยิ้มมุมปากด้วยความเห็นอกเห็นใจก่อนที่ริมฝีปากรูปกระจับนั้นจะเอื้อยเอ่ยถ้อยคำอันอ่อนหวานที่เคลือบแฝงไปด้วยพิษร้าย ประโยคที่เธอจะต้องจดจำมันไม่จนวันตาย “หลับให้สบายนะครับ พี่เนตร”

คล้อยหลังคำพูดจ้าวไปได้เพียงครึ่งนาที ร่างของเนตรก็กระตุกชักตัวเกร็งอยู่บนเตียงนอน ลิ้นจุกปาก ท่าทางทุรนทุรายคล้ายกับจะขาดอากาศหายใจ จ้าวจึงรีบคว้าปุ่มฉุกเฉินกดเรียกพยาบาลเข้ามาดูอาการแต่ทว่าเขากลับไม่กดในทันทีแต่เลือกที่จะถือเอาไว้อย่างนั้น ดึงเวลารอให้ยมทูตมาคว้าวิญญาณดวงนี้ไปแล้วจึงค่อยกดย้ำๆ ลงไปที่ปุ่มฉุกเฉิน

“พี่เนตร!! จ้าวกดเรียกพยาบาลให้แล้วนะ จ้าวกดแล้ว รอก่อนนะ”

“เนตร!!”

ทั้งตฤณและนางจิตตราประสานเสียงร้องเรียก ทั้งคู่วิ่งเข้ามาดูอาการ พยายามหาอะไรมายัดปากเพื่อไม่ให้เนตรกัดลิ้นตัวเองจนขาด มือเท้าแข็งเกร็ง ดวงตาเบิกกว้างจ้องเขม็งไปข้างหน้าอย่างหวาดกลัว นางพยาบาลรีบเข้ามาดูอาการแล้วแต่ไม่ทันทีที่จะยื้อร่างนี้เอาไว้ได้ เธอสิ้นใจไปก่อนที่จะทำการช่วยเหลือได้สำเร็จ ยมทูตใช้เคียวเกี่ยวรั้งวิญญาณดวงนั้นไปสู่อีกภพภูมิแล้ว

“เนตร!!”

นางจิตตราทรุดตัวลงนั่งกับพื้นห้องอย่างหมดแรง ร้องห่มร้องไห้ไม่หยุด ลูกสาวที่เธอพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยเหลือ ลูกสาวที่เธอรักดั่งแก้วตาดวงใจจากไปนิรันกาลโดยไม่มีแม้กระทั่งคำลา ไม่รู้แม้แต่สาเหตุของเรื่องราวที่เกิดขึ้น ไม่มีลาบอกเหตุว่าวันนี้จะเป็นวันสุดท้ายที่ได้นั่งมองหน้าลูกสาวเพียงคนเดียว

“พี่เนตร!”   

จ้าวร้องลั่นเมื่อเห็นร่างของเนตรแน่นิ่งไป น้ำตาหลั่งรินด้วยความเสียอกเสียใจที่ไม่อาจช่วยผู้หญิงคนนี้เอาไว้ได้ เขาหันหลังกลับไปซบลงกับหน้าอกของตฤณ ปากก็เอาแต่พร่ำโทษตัวเองที่กดเรียกนางพยาบาลเข้ามาดูอาการช้าเกินไป แต่แววตาและรอยยิ้มบนใบหน้าที่ฝังอยู่บนแผ่นอกกว้างกลับเต็มไปด้วยความสุขใจ

“พี่ตฤณ จ้าวผิดเอง ถ้าจ้าวกดเรียกพยาบาลเร็วกว่านี้ พี่เนตร... พี่เนตร...”

ตฤณไม่พูดอะไร เขาได้แต่ลูบหัวปลอบใจแต่หัวสมองกลับครุ่นคิดถึงพูดที่ย้ำแล้วย้ำอีกด้วยคำเดิมซ้ำซากของเนตร ดวงตาเบิกโพลงของหญิงสาวไม่สามารถปิดลงได้ราวกับเธอยังมีเรื่องไม่สบายใจจึงไม่อาจจากไปทั้งอย่างนั้นได้

“เนตรไปสบายแล้ว”

ในที่สุดนางจิตตราก็พูดขึ้นมา บางทีการปล่อยให้เนตรได้จากไปก็อาจจะทำให้เธอไม่ต้องทนทุกข์ทรมานใจโดยที่ยังหาทางช่วยเหลือใดๆ ไม่ได้ ไม่มีใครรู้ว่าโลกหลังความตายเป็นอย่างไรแต่ก็น่าจะสุขสบายกว่า

“พี่เนตร จ้าวขอโทษ... ขอโทษ ฮืออออ”

ดวงหน้าที่ซบลงกับแผงอกกว้างยังคงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ความรู้สึกเจ็บปวดและเสียใจกับการจากไปของเนตรอย่างกะทันหันเป็นเพียงเรื่องราวเสแสร้งของจ้าวเท่านั้น คำขอโทษที่ไร้ความจริงใจ น้ำตาที่หลั่งออกมาด้วยความปลื้มปิติเป็นเพียงสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาในสถานการณ์อันโศกเศร้า

“จ้าวทำเต็มที่แล้ว ไม่มีใครโทษหรอก”

“จ้าว... จ้าว... ฮึก! ก็ยังรู้สึกผิด”

ใช่! จ้าวกำลังรู้สึกผิดและผิดเอามากเสียด้วยที่ไม่ทันได้ออกจากห้องพักผู้ป่วยไปก่อนที่ยมทูตที่เขาเรียกมาจะมาถึง ผิดที่ไม่ได้ปล่อยให้วิญญาณดวงนั้นได้ไปอย่างสบายแต่กลับปล่อยให้ทุกข์ทรมานก่อนตาย ผิดที่ปล่อยให้เนตรได้พูดในสิ่งที่ไม่ควรพูดออกมาตั้งมากมาย มากจนถึงว่าถ้าหากใสใจในคำพูดนั้นอีกสักหน่อยก็จะเข้าใจได้ว่าต้องการสื่อถึงอะไรกันแน่

“จ้าว... ฮึก! จ้าวขอโทษ จ้าวขอ...”

ร่างเล็กร้องไห้จนหมดสติ โชคดีที่ได้ตฤณประคองเอาไว้ก่อนที่จะร่วงลงพื้น พาไปนอนพัก หายาดมมาให้จนจ้าวได้สติฟื้นคืนกลับมา อันที่จริงแล้วเขาไม่ได้หมดสติไปแต่เพียงแค่อยากหลุดออกไปให้พ้นจากที่นี่ พลังงานที่เขาใช้คงสภาพตัวเองให้ผู้อื่นมองเห็นได้เริ่มจะมีไม่มากแล้ว ถ้ายังขืนอยู่ต่อไป ร่างกายนี้จะโปร่งแสงและโปร่งใสในที่สุดจนรู้สถานะที่แท้จริง

“จ้าว!”

“พะ... พี่ตฤณ จ้าวมึนหัวจังเลยครับ อยากกลับไปพักแล้ว”

“อืม พี่จะพากลับเดี๋ยวนี้ล่ะ”

ตฤณบอกพร้อมกับผละออกมาเพื่อไปล่ำลานางจิตตราอีกครั้งแล้วจึงกลับมาประคองร่างเล็กให้ลุกขึ้นยืน จ้าวทำท่าเหมือนจะเดินไม่ไหว เขาหมดพลังงานไปมากกับการออกมาช้างนอกคฤหาสน์และนี่ก็เป็นครั้งแรกเสียด้วย ประกอบกับการดึงเอาวิญญาณของเนตรให้ออกจากร่างจำต้องใช้พลังงานเยอะกว่าการฆ่าใครสักคนด้วยมือตัวเอง นี่จึงเป็นเหตุให้เขาเหมือนจะหมดแรงไปเสียดื้อๆ 

“พี่ตฤณ จ้าวไม่ไหว”

“งั้นขึ้นมาขี่หลังพี่นะ”

เด็กน้อยพยักหน้า ยอมให้ตฤณอุ้มขึ้นหลัง เขาซบลงกับไหล่กว้างทันทีที่ถูกประคองขึ้นไป ความเหนื่อยล้าที่สะสมมานานกับการพลังงานที่สูญเสียไปเกือบจะทำให้เขาเผลอวูบหลับ

“เดี๋ยวเรานั่งแท็กซี่กลับกันนะ จ้าวจะได้พักผ่อน”

“ครับ”

ตฤณอุ้มร่างของจ้าวออกไปทั้งอย่างนั้น ในขณะที่กำลังเดินผ่านศาลพระภูมิเจ้าที่ ขวดน้ำแดงหนึ่งขวดซึ่งเป็นแก้วตั้งอยู่บนโต๊ะด้านหน้าเป็นของเซ่นไหว้ก็ล้มลงกับโต๊ะก่อนที่จะกลิ้งตกแตกกระจายเกลื่อนพื้น ผู้คนในบริเวณนั้นต่างหันมามองกันเป็นตาเดียว แต่จ้าวรู้ว่ามันเกิดขึ้นเพราะอะไร เขาจึงยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยเป็นเชิงท้าทาย

// ข้าเป็นพระภูมิเจ้าที่ เจ้าทำแบบนี้ก็เท่ากับหลบหลู่ข้าที่ดูแลปกปักษ์รักษาพื้นที่แห่งนี้ //

เสียงหนึ่งดังขึ้นคล้ายกับจะก้องอยู่ในหัวของจ้าว เขาจึงใช้ความคิดของตัวเองตอบกลับไป

// รู้ //

// ถ้ารู้แล้วทำไมถึงยังทำ เป็นเด็กเป็นเล็กทำตัวร้ายกาจแบบนี้ไม่น่ารักเอาเสียเลยนะ //

// ถ้าท่านพระภูมิใจดี ยอมให้เข้าตั้งแต่ทีแรกก็ไม่ทำหรอก //

// สถานที่แบบนี้วิญญาณเข้าไม่ได้ แต่ข้าไม่โกรธหรอก มีคนใจดีขออนุญาตแทนแล้วนี่ จะบอกอะไรไว้อย่างว่าการพรากชีวิตผู้อื่นมันบาปนะ แล้วบาปนั้นก็หนักหนามากด้วย หมั่นทำบุญทำกุศลเสียบ้างเถิด จะได้หลุดพ้นจากสิ่งที่เป็นอยู่ //

จ้าวไม่ได้ตอบอะไรกลับไปอีก เขาเอาแต่ซบหน้าลงกับต้นคอของตฤณ บุญกุศลก็อยากทำอยู่หรอกแต่พวกมนุษย์ที่อยากลองของ ลองวิชาก็มักมีมาไม่หยุดไม่หย่อนแล้วจะให้เขาว่างเว้นจากการทำสิ่งอกุศลได้อย่างไร

 // จำเอาไว้นะ!! ยิ่งเจ้าปล่อยวางได้เท่าไรก็ยิ่งเป็นผลดีกับตัวเจ้าเอง!! //

คำทิ้งท้ายของพระภูมิเจ้าที่ที่แสนดี จ้าวได้ยินทั้งหมด แต่ว่าเขาไม่อาจปล่อยวางทุกสิ่งไว้เบื้องหลังได้ ใบหน้ากลมมนฉายแววเศร้าอยู่เพียงครู่หนึ่งก่อนจะถูกปรับเปลี่ยนให้เป็นสีหน้าเรียบเฉยไร้ความรู้สึกใดๆ   


----------------------------


กว่าตฤณจะพาจ้าวกลับมาที่คฤหาสน์ได้ก็ใช้เวลาไปมากอยู่พอสมควร ดูเหมือนจะไม่มีแท็กซี่คันไหนยอมขับพามาส่งที่หน้าคฤหาสน์เลยสักคันเดียวเมื่อพระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าไปแล้วจนสุดท้ายก็ต้องยอมให้ไปส่งแค่ที่สี่แยกไฟแดงซึ่งอยู่ก่อนถึงคฤหาสน์หลังนั้น ระยะทางจากจุดที่ลงรถไปถึงคฤหาสน์ก็เกือบจะครึ่งกิโลเมตร อีกทั้งตฤณยังต้องคอยอุ้มจ้าวเดินข้ามถนนที่แทบจะไม่เห็นรถวิ่งผ่านแล้ว บรรยากาศที่เงียบสนิทเมื่อข้ามมาถึงอีกฝั่งของถนนราวกับอยู่ในละภพทำเอาขนแขนของตฤณลุกเกรียว เขาไม่เคยรู้สึกหวาดกลัวกับอะไรมากเท่านี้มาก่อนในชีวิต คล้ายกับว่าตัวเองกำลังอยู่ในเกมเอาชีวิตรอดจากศพคนตายที่ไล่ตามมาท่ามกลางสุสานที่กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา

“พี่ตฤณ กลัวไหมครับ”

“กลัวสิ ทำไมวันนี้มันน่ากลัวขนาดนี้ก็ไม่รู้”

“ขอโทษด้วยนะครับที่วันนี้จ้าวปกป้องพี่ตฤณไม่ได้”

คำพูดแปลกๆ ทำเอาตฤณสับสน ในสถานการณ์แบบนี้แล้วคนที่จะต้องเป็นฝ่ายถูกปกป้องไม่ใช่จ้าวหรืออย่างไร

“พี่ต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายปกป้องจ้าว พี่บอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าจะเป็นคนปกป้องจ้าวเอง”

“ครับ”

จ้าวรู้ดีว่าในเวลาแบบนี้ตฤณปกป้องเขาไม่ได้แน่ แต่ในขณะเดียวกันนั้นเขาก็ปกป้องตฤณไม่ได้ด้วยเช่นกัน การออกมานอกคฤหาสน์ดูดเอาพลังงานที่มีอยู่ไปจนเกือบหมด และการพักผ่อนคือทางออกเดียวที่จะทำให้ได้พลังกลับคืนสู่ร่างกายนี้แต่ทว่าเขาก็ยังต้องปกป้องตฤณด้วยเช่นกัน ไม่อย่างนั้นมันจะเป็นเหมือนเช่นวันแรกอีก

“คืนนี้... พี่ตฤณนอนกับจ้าวอีกสักคืนนะครับ”

“แล้วพี่ชายจ้าวจะไม่ว่าอะไรเอาเหรอที่จ้าวมานอนกับพี่อีกแล้วน่ะ”

“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ พี่เจตเข้าใจดี พี่ตฤณปล่อยจ้าวลงตรงนี้เถอะ จ้าวพอเดินเองไหวแล้ว”

ตฤณไม่ยอมปล่อยให้ร่างเล็กที่เกาะอยู่ข้างหลังลงพื้น เขายังมีแรงพอที่จะแบกต่อไปไหว พวกเขาผ่านประตูรั้วเข้ามาแล้วเหลือเพียงแค่อีกไม่เท่าไรก็จะถึงประตูคฤหาสน์ จะมาถอดใจตรงนี้ก็คงไม่ใช่เรื่องดีนัก ทำอะไรแล้วก็ควรจะทำให้ถึงที่สุด

“พี่ตฤณ จ้าวลงเดินเองได้แล้วครับ”

“ทำไมถึงดื้อจัง”

“ก็... จ้าวกลัวพี่ตฤณหนักนี่ครับ”

ถึงจ้าวจะตัวหนักแค่ไหน สำหรับตฤณแล้วมันไม่ได้เหนือบ่ากว่าแรงเขาสักเท่าไร มือแกร่งกระชับร่างที่อยู่ข้างหลังก่อนก้าวเดินต่อไปเรื่อยๆ โดยไม่สนใจว่าคนตัวเล็กจะมีปฏิกิริยาอย่างไรต่อ

‘จ้าว!! กลับมาแล้วเหรอ พี่เป็นห่วงมากนะ รู้ไหม’


ร่างของเจตรินปรากฏขึ้นที่หน้าประตูคฤหาสน์พร้อมกับร้องเรียกด้วยความดีใจที่เห็นน้องชายกลับมาอย่างปลอดภัย เขาเป็นกังวลตลอดเวลาที่จ้าวไม่อยู่ที่นี่ กลัวว่าจ้าวจะเป็นอะไรไปหรือเกิดอาการบาดเจ็บเพราะต้องต่อสู้กับเจ้าที่เจ้าทางเพื่อเข้าไปในโรงพยาบาล แต่เท่าที่เห็นก็ไม่มีอะไรให้น่าวิตกกังวลเสียเท่าไร จะมีก็แค่ร่างกายนี้สูญเสียพลังงานในการคงสภาพร่างกายเอาไว้ไปมากก็เท่านั้น

“กลับมาแล้วครับ”

‘มา เดี๋ยวพี่พาขึ้นไปพักที่ห้องของเรานะ’

“วันนี้จ้าวจะนอนกับพี่ตฤณครับ”

‘อะไรนะ! มัน... ไม่ได้! ไม่ได้เด็ดขาด สภาพจ้าวเป็นแบบนี้ พี่ให้นอนห้องเดียวกับตฤณไม่ได้’


“พี่ตฤณครับ ไม่โทรไปบอกพี่ลีเรื่องพี่เนตรหน่อยเหรอครับ”

ตฤณลืมไปสนิทเลยว่าต้องโทรไปบอกลีเรื่องที่เนตรเสียแล้ว เขามัวแต่เป็นห่วงจ้าวมากเกินไป

“เดี๋ยวพี่ค่อยโทรบอกก็ได้ ให้พี่พาจ้าวขึ้นไปพักก่อน”

“ไม่เป็นไรครับ พี่ตฤณรีบโทรไปบอกพี่ลีเถอะ เดี๋ยวจ้าวให้พี่เจตพาขึ้นไปพักเองแล้วพี่ตฤณค่อยตามขึ้นมาทีหลังก็ได้ครับ”

เห็นตฤณไม่พูดอะไรต่อ จ้าวก็คิดเอาว่าอีกฝ่ายคงตกลง เขาจึงให้เจตรินประคองขึ้นไปพักข้างบนห้อง ร่างกายของจ้าวถึงจะดูจากภายนอกไม่ออกว่าอ่อนล้าแค่ไหนเพราะความที่ต้องฝืนคงสภาพร่างกายให้เหมือนมนุษย์เอาไว้ให้ได้มากที่สุดโดยที่ไม่ทำให้ตฤณเกิดความสงสัย แต่เจตรินรู้ดีเป็นที่สุดว่าน้องชายเริ่มไม่ไหวแล้ว หลังจากพ้นสายตาของตฤณไปแล้วสภาพที่แท้จริงจึงปรากฏขึ้น ร่างที่แทบจะทรุดลงกับพื้นมองทะลุเห็นอีกฝากฝั่งหนึ่งที่อยู่ข้างหลังบ่งบอกได้ดีที่สุด

‘จ้าว...’

“ไม่เป็นไรครับ พี่เจต ไม่ต้องเป็นห่วง แค่นอนพักสักระยะก็คงหายเป็นปกติ”

‘เกิดอะไรขึ้นที่ข้างนอกนั่น คงไม่ได้ไปออกฤทธิ์กับท่านเจ้าที่มาหรอกใช่ไหม’


“ไม่หรอกครับ พี่เจตวางใจได้ จ้าวไม่ได้โง่ขนาดเอาตัวเองไปเสี่ยงกับเรื่องแบบนั้นทั้งที่รู้ว่าไม่มีทางสู้ได้หรอกครับ”

‘รู้แบบนั้นก็ดีแล้ว พี่มีน้องชายอยู่คนเดียวนะ’


“ครับ จ้าวรู้ จ้าวเองก็มีพี่ชายอยู่คนเดียวเหมือนกัน”

แต่ทว่าเจตรินก็อดที่จะสงสัยไม่ได้ ถ้าหากไม่ได้ไปต่อกรกับเจ้าที่เจ้าทางที่นั่นมาก็ไม่มีทางที่จะทรุดหนักได้ขนาดนี้ อำนาจของจ้าวและพลังในร่างกายนี้มีมากเกินกว่าที่จะทำให้กลายสภาพเป็นแบบนี้ไปได้

‘แล้วทำไมถึงเป็นแบบนี้’

“หึ! พี่เจตน่าจะรู้นะครับว่าเกิดอะไรขึ้น มันเดาได้ไม่ยากเลย”

‘พี่รู้ๆ เข้าไปนอนพักในห้องของเราเถอะ แล้วเดี๋ยวเรื่องอื่นๆ พี่จะจัดการให้เอง’


“ไม่ได้ จ้าวอยู่ในสภาพแบบนี้ไม่มีแรงมากพอที่จะจัดการควบคุมสิ่งอื่นที่อยู่ที่นี่นอกจากคนของเราได้หรอกนะ แล้วยิ่งต้องปล่อยให้พี่ตฤณอยู่คนเดียวยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ ใครจะจัดการความสงบตลอดทั้งคืน ยิ่งจ้าวอยู่ห่างมันก็ยิ่งควบคุมลำบาก และพี่เจตก็ไม่มีทางทำได้อยู่แล้ว ส่วนเรื่องพักผ่อนน่ะยังมีเวลาให้จ้าวได้พักอีกตลอดทั้งเช้า”

เจตรินไม่รู้จะแย้งอย่างไร สิ่งที่จ้าวพูดขึ้นมานั้นถูกต้องทุกประการ เจตรินไม่มีอำนาจหรือพลังมากพอที่จะควบคุมทุกสิ่งที่อยู่ในสถานที่แห่งนี้ได้ เขาไม่สามารถปกป้องผู้ชายคนนั้นจากวิญญาณผีตายโหงที่มีจิตอาฆาตมุ่งร้าย

 ‘แต่พี่อดเป็นห่วงไม่ได้จริงๆ’


“ไม่มีอะไรให้น่าเป็นห่วงเลย แต่ถ้าพี่เจตเป็นห่วงจริงๆ แล้วอยากจะช่วยก็ช่วยเป็นหูเป็นตารอบห้องให้จ้าวด้วยนะครับ เผื่อจ้าวเผลอหลับไปซะก่อน”

‘อืม ได้ พี่จะคอยดูให้’


ได้ยินแบบนี้ ทั้งจ้าวและเจตรินก็ได้ด้วยกันทั้งสองฝ่าย คนหนึ่งก็เบาใจที่ให้เขาได้คอยปกป้องอยู่ห่างๆ อย่างห่วงๆ ส่วนอีกคนก็ยินดีที่จะมีคนคอยสังเกตการณ์ข้างนอกให้อีกแรง

‘งั้นพี่ไปก่อนนะ แล้วจะกลับมาอีกที’

“ครับ”

จ้าวเดินเข้าไปในห้อง ทิ้งตัวลงนอนบนเตียง คำพูดของพระภูมิเจ้าที่ตนนั้นยังคงดังก้องอยู่ในหัว หมั่นทำบุญทำกุศลเสียบ้างจะได้หลุดพ้นจากสิ่งที่เป็นอยู่  ถ้ามันง่ายเหมือนกับการปลอกกล้วยเข้าปาก เขาคงทำมันไปตั้งนานแล้ว ไม่รอให้เวลาล่วงเลยมานานถึงขนาดนี้ แต่เพราะรู้อยู่แก่ใจว่าบาปที่ทำเอาไว้หนักหนาสาหัสเพียงใด จะมาลบล้างด้วยบุญกุศลเท่าไรก็ไม่มีวันหมด

“ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ล่ะก็... ก็ทำบาปอยู่ดี”

จ้าวเผลอถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย บางทีเขาก็อดคิดไม่ได้ว่าที่ตนต้องคอยสร้างบาปมากกว่าทำบุญทำกุศลนั้นไม่ใช่เพราะมนุษย์หรอกหรือ เข้ามารนหาที่ตายด้วยตัวเองแล้วทำไมความผิดนั้นถึงได้มาตกที่ตัวเขาเสียได้ แต่ยังคิดไปได้ไม่ไกลเท่าไร ตฤณก็เปิดประตูห้องเข้ามาแล้วสอดตัวเข้าไปนอนอยู่ใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน

“พี่ตฤณ~ เข้ามาทำไมครับ จ้าวยังไม่ได้อาบน้ำเลย”

“คิดถึง”

“ครับ แล้ว... พี่ลีว่ายังไงครับ”

“พรุ่งนี้พี่ต้องไปงานศพเนตร อาจจะกลับมาดึกหน่อยนะ หรือจ้าวจะไปด้วยกันไหม”

“ไม่ดีกว่าครับ จ้าวยังมึนหัวอยู่เลย ขอนอนพักอยู่ที่นี่ดีกว่า”

จ้าวรีบหาทางปฏิเสธ ให้เข้าวัดมันก็เหมือนกับการเอาตัวเองจุ่มลงในกระทะที่มีน้ำมันเดือดพล่าน อาจจะไม่ถึงตายแต่ก็ต้องได้บาดแผลกลับมาอย่างแน่นอน

“งั้น... พี่จะรีบกลับมาให้เร็วที่สุดนะ”

“ครับ จ้าวขอนอนพักหน่อยนะ เหนื่อยมากเลยวันนี้”

ตฤณยอมปล่อยให้จ้าวได้นอนพักผ่อนตามที่ต้องการโดยที่ตัวเขาก็เอาแต่จ้องมองใบหน้ากลมมนสีไข่มุกอย่างหลงใหล เอ็นดูและรักใคร่มากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา


-------------------------


ตลอดค่ำคืนที่ผ่านมานั้นถือว่าทั้งตฤณและจ้าวค่อนข้างจะมีโชคอยู่บ้าง ไม่มีผีสางตนใดที่คิดจะมาหาเรื่อง

เมื่อจ้าวตื่นขึ้นมาก็พบว่าตฤณไม่อยู่บนเตียงนอน ไม่อยู่ในห้อง ไม่อยู่ในที่ไหนสักแห่งในรอบคฤหาสน์หลังนี้ เขาจับไม่ได้ถึงสัมผัสของวิญญาณอีกครึ่งที่เหลืออยู่ ร่างกายอันแสนบอบบางนั้นสั่นเทิ้ม เสียงกรีดร้องอย่างบ้าคลั่งราวกับถูกสิ่งที่รักยิ่งถูกช่วงชิงไปดังก้องไปทั่วทั้งคฤหาสน์จนเจตรินต้องปรากฏกายขึ้นมาในห้อง รีบรุดเข้าไปดูอาการของน้องชายด้วยความเป็นห่วง

‘เป็นอะไร จ้าว... เป็นอะไร’

“พี่เจต พี่ตฤณไม่อยู่”

ร่างเล็กกอดพี่ชายเอาไว้แน่น สะอื้นไห้ไม่หยุดราวกับตื่นตกใจจากฝันร้าย เจตรินถึงกับอมยิ้มเล็กน้อย

‘เขาแค่ไปเรียน เดี๋ยวก็กลับ ร้องไห้แบบนี้ คิดถึงเขาเหรอ’   


“ปะ... เปล่า มะ... ไม่ใช่สักหน่อย”

ใบหน้ากลมมนเบือนหนี หลบซ่อนความจริงที่ปรากฏอยู่ในดวงตาสีเพลิง

‘รู้หรือเปล่า เวลาที่จ้าวได้อยู่กับเขาน่ะดูเปลี่ยนไปมากเลยนะ อย่างน้อยๆ จ้าวก็ไม่เคยเป็นห่วงใครมากเท่านี้มาก่อน’

“ก็ต้องเป็นห่วงสิ เพราะเขามีอีกครึ่งที่จ้าวต้องการ”

‘ลองตัดเรื่องนั้นออกไปสิ ถ้าไม่ใช่เพราะมีอีกครึ่งที่ต้องการ จ้าวก็ใจดีกับเขามาตลอดอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ’


“พี่เจต! จ้าวไม่คุยด้วยแล้ว ขอนอนพักผ่อนเอาแรงก่อนดีกว่า”

จ้าวสอดตัวมุดเข้าใต้ผืนผ้าห่มแล้วหลับลงอีกครั้ง




** ติดตามตอนต่อไป **

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ลี นายน่าจะเป็นรายต่อไปนะ  :ling3:

ออฟไลน์ BlueSora

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
::: ตอนที่ 20 :::
สืบหาความจริง






ในช่วงบ่ายของวัน ตฤณพอจะมีเวลาว่างอยู่บ้าง เขาหยิบสมุดจดขึ้นมาอ่านทบทวนสิ่งที่ได้จากเนตรและยุ้ย และหนึ่งคำใหม่ที่เขาได้มาจากเนตรคือคำว่า ‘ชั่วร้าย’ แต่น่าแปลกที่ว่าเนตรเอาแต่ย้ำคำว่าออกมาอยู่หลายครั้งจนอดคิดไม่ได้ว่าคฤหาสน์หลังนั้นคงต้องมีอะไรบางอย่างอยู่จริง

“ไง ตฤณ”

ตฤณเงยหน้าอันแสนเคร่งเครียดขึ้นมาเมื่อถูกเรียก เมฆทิ้งตัวลงนั่งฝั่งตรงข้ามพร้อมกับดึงเอาสมุดจดเล่มนั้นมาอ่าน

“พี่เมฆรู้แล้วใช่ไหมเรื่องเนตรกับยุ้ยน่ะ”

เมฆพยักหน้าพร้อมกับตอบรับในลำคอเบาๆ เขารู้เรื่องนี้มาจากลี รู้ทุกเรื่องแม้กระทั่งสิ่งที่ถูกเขียนไว้ในสมุดเล่มนั้นด้วยแต่ที่ไม่เข้าใจคือเกิดอะไรขึ้นกับเนตรและยุ้ยตอนที่อยู่ในคฤหาสน์หลังนั้นกันแน่ คำใบ้พวกนี้จะนำทางพวกเขาไปสู่ความจริง

“นั่นเป็นคำพูดของเนตรกับสิ่งที่ยุ้ยทิ้งไว้ให้ในจดหมายใช่ไหม”

“ครับ แต่ผมยังปะติดปะต่อเรื่องราวอะไรไม่ได้เลย มีบางเรื่องที่ผมพอเดาได้บ้างแต่ก็ยังไม่แน่ใจว่ามันเป็นแบบที่คิดหรือเปล่า พี่เมฆพอจะช่วยได้ไหม”

“อืม ได้สิ”

เมฆอ่านทวนข้อความที่ปรากฏอยู่ในหน้าสมุด ค่อยๆ ครุ่นคิดถึงแต่ละคำเพราะมันจะต้องมีความหมายแน่ ไม่อย่างนั้นทั้งเนตรและยุ้ยคงไม่พูดออกมา อีกทั้งคำพวกนี้ก็จำเป็นต้องมาปะติดปะต่อเรื่องราวกันเอง นั่นอาจจะหมายความว่าทั้งเนตรและยุ้ยไม่สามารถพูดมันออกมาได้ตรงๆ

“ผมรู้แค่ว่าออกมามันหมายความว่ายังไง แต่ผมไม่รู้เลยว่าคำอื่นมันหมายความว่ายังไงกันแน่ ถามจ้าวดูแล้วเขาก็บอกว่าเรื่องฆาตกรรมที่อยู่ในหนังสือพิมพ์ที่พี่เมฆเอาให้ผมดูวันก่อนมันเป็นเรื่องจริง แต่เขาบอกว่าเขาไม่ใช่วินเซ้นท์อะไรนั่นหรอก เขาก็แค่เป็นคนหน้าเหมือนคนในอดีตเท่านั้น”

“กะ... แกเอาไปถามเขามาเหรอ”

เมฆพอจะเดาได้แล้วว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับเนตรและยุ้ยเป็นเพราะอะไร ถ้าไม่ผิดจากที่คาดไปเท่าไรนัก นั่นต้องเป็นฝีมือของเด็กคนนั้นแน่แต่เขายังไม่มีหลักฐานพอที่จะชี้ตัวผู้ร้ายคนนั้นได้

“อืม”

“แล้วเขาได้บอกอะไรอีกไหม”

“อ้อ! เรื่องข่าวลือที่เกี่ยวกับคฤหาสน์นั่น เขาบอกเหมือนที่เราคุยกันวันนั้นเลย ถ้าข่าวลือเป็นจริงแล้วล่ะก็ทำไมผมถึงไม่เป็นอะไรเลย ทำไมผมถึงยังอยู่ดีมีสุขได้จนถึงตอนนี้” 

เมฆพยักหน้า เขากำลังทวนข้อมูลที่มีอยู่ในหัว คอยเรียบเรียงปะติดปะต่อเรื่องราวเท่าที่จะทำได้ แต่มันก็ยังไม่พบเจออะไรที่พอจะนำมาเป็นหลักฐานหรือบ่งบอกได้ว่าการตายของเนตรและยุ้ยเป็นฝีมือของจ้าว หรือแม้แต่อะไรก็ตามที่ทำให้ตฤณยอมออกมาจากคฤหาสน์หลังนั้นได้เลย

“เด็กคนนั้นปิดช่องโหว่จนมิดเลยแฮะ”

“หา? พี่เมฆว่าอะไรนะ”

ตฤณทวนถามอีกครั้ง เขากำลังนั่งคิดอะไรเพลินเกี่ยวกับสิ่งที่เนตรพูดถึงครั้งสุดท้าย

“เปล่า แค่บอกว่าเด็กคนนั้นได้ไปเยี่ยมเนตรที่โรงพยาบาลบ้างไหม”

“ไปกับผมเมื่อวานนี้ ช่วงบ่ายๆ ”

“เข้าได้เหรอ”

“ไอ้พี่เมฆ! จ้าวเป็นคนนะ ยังไงก็เข้าได้อยู่แล้ว ถามอะไรแปลกๆ ทำไม? กลัวเจ้าที่เจ้าทางเขาไม่ให้เข้าเหรอ เอ่อ... จะว่าไป ตอนนั้นจ้าวก็ขอให้ผมไปขออนุญาตกับเจ้าที่ที่ศาลพระภูมิด้วยนะ หรือพี่จะบอกว่า... จ้าวไม่ใช่คนงั้นเหรอ ตลกแล้วล่ะพี่!”

ตฤณไม่เชื่อและไม่เชื่ออย่างเด็ดขาด ต่อให้นั่นเป็นเรื่องจริงก็ตาม เด็กที่แสนน่ารักน่าเอ็นดูอย่างจ้าว เด็กที่สามารถทำให้เขาตกหลุมรักแทบจะในทันที เด็กอายุสิบเจ็ดปีที่ดูแลเขาเป็นอย่างดีตลอดการพักอาศัยอยู่ในคฤหาสน์หลังนั้น

“ใจเย็น พี่ก็ไม่ได้บอกว่าเขาไม่ใช่คน เอาอย่างนี้ พักเรื่องนั้นเอาไว้ก่อนแล้วมาดูสิ่งที่เนตรกับยุ้ยพูดกันต่อดีกว่า” เมฆรีบเปลี่ยนเรื่อง อะไรที่ยังไม่มีหลักฐานชี้ชัด เขาเองก็ยังไม่อยากปักใจเชื่อ “อืม... คำว่าตายที่ยุ้ยพูดถึงมันคงจะหมายถึงว่าพวกเธอกำลังจะตายก็ได้ อาจจะโดนอะไรบางอย่างหรือใครบางคนตามเล่นงานอยู่ก็ได้”

“แล้วอะไรบางอย่างที่ว่าคือ...”

“ไม่รู้ว่ะ แต่มันมีบางอย่างค้างคาใจ แกว่างไปโรงพยาบาลด้วยกันไหม”

“ตอนนี้เหรอ คลาสกำลังจะเริ่มอีกครึ่งชั่วโมงนี้แล้วอ่ะ ไว้พรุ่งนี้ได้ไหม เมื่อวานก็ขาดเรียนไปแล้วด้วย”

ตฤณแสดงสีหน้าลำบากใจ เขาเองก็อยากไปเป็นเพื่อนเมฆแต่จะต้องเข้าเรียนในไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงข้างหน้านี้ เรื่องเรียนอาจไม่สำคัญเท่าไรแต่เพราะวันนี้มีสอบด้วย นั่นจึงทำให้เขาโดดคลาสไม่ได้

“พรุ่งนี้เหรอ... พี่ไม่ว่างนี่สิ มีเล่นดนตรีที่ผับตอนค่ำ แถมช่วงเช้าก็ต้องพาแม่ไปหาหมอ ตกบ่ายไปเยี่ยมหลานอีก”

“เอายังไงดี”

“เดี๋ยวพี่ไปโรงพยาบาลเอง แกก็อยู่สอบไปก่อน ยังไงตอนเย็นก็ไปงานศพเนตรอยู่แล้วใช่ไหม ไว้ค่อยไปคุยกันตอนนั้นก็ได้ หรือว่าแกไม่สะดวก จะรีบกลับ”

“เอาอย่างนั้นก็ได้ พี่”

“งั้นแยกกันตรงนี้เลยนะ”


----------------------------------------


เมฆแยกย้ายกับตฤณตรงนั้นแล้วมุ่งตรงไปยังโรงพยาบาลที่เนตรเคยพักรักษาตัวอยู่ที่นั่นในทันที เพียงเพราะอยากสืบให้รู้ถึงสิ่งที่กำลังคิดอยู่ในหัวนั้นเป็นความจริงหรือไม่

เมฆไม่ได้มีจิตสัมผัสถึงขั้นที่สามารถสื่อสารกับวิญญาณหรือภูตผีได้ เขาทำได้แค่รับรู้ว่าสิ่งลี้ลับพวกนี้มีอยู่จริง สัมผัสได้แต่มองไม่เห็นเป็นรูปเป็นร่าง ไม่ว่าจะด้วยตานอกหรือตาใน ศาลพระภูมิที่หน้าโรงพยาบาลก็เช่นกัน เขารู้ว่าที่ตรงนั้นมีเจ้าที่เจ้าทาง เทพาอารักษ์สิงสถิตอยู่จริงแต่ทว่าไม่สามารถทำอะไรมากไปกว่านี้ได้

เมฆนึกถึงคำพูดของตฤณที่ว่าเด็กคนนั้นมาโรงพยาบาล ถ้าหากความคิดของเขาไม่ได้ผิดไป ถ้าหากเด็กคนนั้นไม่ใช่มนุษย์อย่างที่ตฤณเข้าใจหรือเป็นอะไรที่อยู่นอกเหนือจากโลกของเรา สิ่งนั้นอาจไม่ปรากฏอยู่ในกล้องวงจรปิดของโรงพยาบาลแน่

การจะเข้าไปขอดูกล้องวงจรปิดจากทางโรงพยาบาลไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ไม่มีทางที่ผู้รักษาความปลอดภัยจะยอมเปิดให้ดูโดยง่าย อย่างน้อยก็ควรพกหมายศาลขอดูกล้องวงจรปิดมาด้วย แต่เด็กมหาวิทยาลัยปีสี่อย่างเมฆไม่ได้มีน้ำยาหรือเส้นสายใหญ่โตที่จะไปอวดเบ่งขอให้ออกมาได้ง่ายๆ โดยไม่มีสาเหตุ และแน่นอนว่าทางเดียวที่เลือกได้คือการติดสินบนเจ้าหน้าที่

เมฆรู้ว่าเรื่องการติดสินบนเจ้าที่หน้ามันเป็นเรื่องไม่ดีแต่ถ้าหากไม่ทำแบบนี้ เขาจะไม่สามารถหาข้อพิสูจน์อะไรได้เลย

“ขอดูหน่อยเดียวเอง”

“ไม่ได้จริงๆ ครับ ถ้าจะดูก็ต้องมีหมายศาลมา”

ถูกผู้รักษาความปลอดภัยพูดแบบนี้แล้วมีทางเดียวทีเมฆจะงัดขึ้นมาใช้ได้เท่านั้น เขาวางธนบัตรสีแดงลงบนโต๊ะ

“คือ... ยังไงก็ไม่ได้หรอกครับ”

ธนบัตรสีแดงถูกวางเพิ่มไปอีกหนึ่งใบ

“อย่าทำให้ผมลำบากใจเลย”

เมฆตัดสินใจวางธนบัตรสีแดงลงบนโต๊ะเพิ่มอีกสามใบ ถ้าฝ่ายนั้นพูดแบบนี้ย่อมแสดงว่ามีความลังเลอยู่ในใจ

“เอ่อ... ให้ได้แค่บางช่วงเท่านั้นนะครับ”     

“ผมก็ไม่ได้จะดูทั้งหมดอยู่แล้ว จะขอดูแค่ช่วงบ่ายของเมื่อวานนี้เท่านั้น”

ผู้รักษาความปลอดภัยคนนั้นหยิบเงินที่วางอยู่บนโต๊ะใส่เข้ากระเป๋าของตัวเองแล้วเปิดภาพของกล้องวงจรปิดในวันเมื่อวานช่วงบ่ายให้ดู มีหลายอยู่หลายมุมตามจุดต่างๆ ของโรงพยาบาล ไล่ตั้งแต่หน้าโรงพยาบาล ทางเข้าและส่วนที่เป็นภายในอาคาร เมฆไม่แน่ใจว่าเป็นบ่ายที่เท่าไรของวัน เขาจึงนั่งดูไปเรื่อยๆ อยู่หลายนาทีกว่าจะพบว่าช่วงเวลาที่ตฤณมาโรงพยาบาลคือบ่ายสามโมง

แค่ผู้ชายคนหนึ่งมาโรงพยาบาล ไม่มีเหตุการณ์ร้ายแรงเกิดขึ้น ไม่มีอุบัติเหตุ ทุกอย่างดูปกติเหมือนเช่นทุกวันแต่สีหน้าของเมฆกลับบ่งบอกได้ถึงว่ามันไม่ปกติที่สุด ในภาพธรรมดาที่ดูเหมือนไม่มีอะไรแต่มันเป็นภาพที่มีอะไรและตอบคำถามในใจเขาได้อย่างดีทีเดียว

“ขอก๊อปไฟล์หน่อยได้ไหม เอาแค่ไม่กี่นาที”

ผู้รักษาความปลอดภัยเงียบไปราวกับกำลังใช้ความคิดอย่างหนักจนกระทั่งธนบัตรสีแดงอีกใบถูกวางลงบนโต๊ะ เขาแสดงท่าทีลังเลใจออกมาอยู่ครู่หนึ่งแล้วเก็บธนบัตรใบนั้นลงใส่กระเป๋าตัวเอง ยอมให้เมฆได้คัดลอกไฟล์บางส่วนออกไป ไฟล์บางส่วนที่อาจทำให้ตฤณเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อจ้าว

“ขอบคุณครับ”

เมฆเดินออกมาจากห้องรักษาความปลอดภัยหลังจากที่เอ่ยขอบคุณที่ยอมให้เขาได้ดูไฟล์พวกนั้น ได้เก็บหลักฐานที่มากพอที่จะทำให้อะไรหลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนแปลงไป เขาหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วกดโทรออกหาตฤณในทันที เวลาที่ใช้ไปกับการเดินทางมาโรงพยาบาล เวลาที่ใช้ไปกับการนั่งดูไฟล์กล้องวงจรปิดพวกนั้นมากพอที่ตฤณน่าจะสอบเสร็จเรียบร้อยแล้ว

[ พี่เมฆ ว่าไงครับ ]

“พี่มีอะไรให้แกดู แล้วแกจะได้หูตาสว่างสักที”

[ เรื่องอะไร พี่ ]

“ไว้เจอกันที่งาน หรือแกจะออกมาเจอกันก่อนแล้วค่อยไปงานพร้อมกัน ยังพอมีเวลาอยู่สักชั่วโมงสองชั่วโมงก่อนงานเริ่ม”

[ เจอกันข้างนอกดีกว่า พี่นัดมาเลย ]

“เจอกันที่ร้านกาแฟใกล้ๆ วัดก็แล้วกัน เดี๋ยวส่งพิกัดไปให้ในไลน์ อีกยี่สิบนาทีน่าจะไปถึงแล้วล่ะ ขอกลับไปเอาโน๊ตบุ๊คก่อน ถ้าแกถึงก่อนก็ไปนั่งรอก่อนก็ได้”

[ โอเคครับ พี่ ]

เมฆวางสายจากตฤณไปแล้วรีบตรงกลับหอพักเพื่อนำโน๊ตบุ๊คออกมา ถ้าไม่มีมันแล้วตฤณจะรู้ความจริงได้ยังไง


----------------------------------

ความจริงที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอโน๊ตบุ๊คทำเอาตฤณนิ่งไปอยู่พักใหญ่ ภาพที่เขาเดินเข้าโรงพยาบาลคนเดียว อยู่ที่นั่นเพียงลำพังทั้งที่จ้าวก็ตามไปด้วยแท้ๆ แต่ภาพที่เห็นกลับมีเพียงแค่เขาเท่านั้นถือเป็นเรื่องไม่น่าเชื่อ

“วันนั้นแกไปกับใคร” เมฆถามย้ำอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ

“จ้าว”

“แล้วแกเห็นเขาในนั้นไหม”

“ไม่”

“ถ้าอย่างนั้นแกเชื่อที่พี่พูดหรือยัง เด็กคนนั้นไม่ใช่คนและบางทีก็อาจเป็นเด็กที่อยู่ในหน้าหนังสือพิมพ์ที่พี่เอาให้ดูเมื่อวันก่อน” 

ในใจตฤณเกิดความลังเล เขาไม่อยากเชื่อว่าเด็กคนนั้นที่จับต้องได้ เด็กที่เขารู้สึกรักทั้งหัวใจจะเป็นสิ่งลี้ลับที่ไม่มีตัวตนจริงบนโลกใบนี้อย่างที่เมฆเคยพูดเตือน เขาพยายามหาเหตุผลทั้งหมดทั้งมวลมาแก้ต่างสิ่งที่เป็นข้อเท็จจริงนี้ “พี่ บางทีมันอาจเกิดอะไรผิดพลาดก็ได้นะ”

“อธิบายคำว่าผิดพลาดให้พี่ฟังที”

“อย่างแบบว่า... ที่ถ่ายไม่ติดอาจจะไม่ใช่แค่จ้าวคนเดียวก็ได้ กล้องมันอาจจะมีปัญหาก็ได้”

“แล้วมันมีปัญหาทุกตัวเลยเหรอ”

คำถามของเมฆทำเอาตฤณนิ่งไปอีกครั้ง เหตุผลต่างๆ นาๆ ที่พยายามยกขึ้นมาปฏิเสธความเป็นจริงที่เกิดขึ้นไม่มากหรือหนักแน่นพอที่จะทำให้เชื่อได้ว่าภาพในกล้องวงจรปิดเป็นเพียงแค่ความผิดพลาดของระบบ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับตัวของจ้าวเลยแม้แต่น้อย

ยิ่งไล่ดูภาพจากกล้องวงจรปิดทุกตัวที่ได้มา ในนั้นมีตฤณอยู่ด้วยตลอดแต่กลับไม่มีคนข้างกาย ตฤณที่ทำท่าเหมือนพูดคุยกับใครบางคนที่มองไม่เห็นตัวตน ตฤณที่กำลังแบกอะไรบางอย่างที่ว่างเปล่า ตฤณที่เปิดประตูห้องผู้ป่วยรอให้ใครเดินเข้าไปก่อนทั้งที่ตรงนั้นไม่มีใคร แต่เขากลับรู้แก่ใจดีว่าความว่างเปล่าเหล่านั้นคืออะไร

“พี่... คือ...”

“พี่อยากให้แกได้ลองคิดทบทวนดูให้ดี ถ้ากล้องวงจรปิดมันจะเสียก็ควรจะเสียตัวเดียว ถ้าระบบของกล้องวงจรปิดมีปัญหามันก็ควรจะรวนทั้งหมดไม่ใช่หายไปแค่คนเดียว แกเคยได้ยินเรื่องถ่ายติดวิญญาณไหมล่ะ สิ่งลี้ลับที่เรามองไม่เห็นด้วยตาเปล่าแต่ปรากฏเป็นเงาจางๆ หรือกลุ่มควันอะไรสักอย่างอยู่ในภาพถ่าย อันนี้ก็คงทำนองเดียวกันแต่แทนที่มันจะติดอยู่ในกล้องแล้วมองไม่เห็นได้ด้วยตาเปล่า”

เมฆพูดไปพลางเปิดให้ดูกล้องวงจรปิดตัวหนึ่งที่อยู่หน้าโรงพยาบาล ตอนนั้นเป็นช่วงที่ตฤณกำลังแบกจ้าวขึ้นหลังเพื่อไปเรียกรถแท็กซี่กลับบ้าน ในขณะที่ขวดน้ำแดงบนโต๊ะตั้งเครื่องเซ่นไหว้บูชาเทพาอารักษ์ล้มลงปรากฏเป็นเงาสีดำแล่นผ่านขวดน้ำนั่นไปอย่างรวดเร็วก่อนที่จะล้มแล้วกลิ้งตกพื้นแตก ถ้าหากไม่สังเกตก็จะไม่ทันได้เห็นความผิดปกติที่เกิดขึ้นนี้เลย

“ดูที่ขวดน้ำแดง แกเห็นเงาดำๆ นั่นไหม”

“อืม”

ตฤณพยายามเพ่งมองและเขาก็ได้เห็นเงาดำที่เมฆกล่าวถึงจริงๆ แต่เป็นเพียงแค่เสี้ยววินาทีสั้นๆ ถ้าแค่กวาดตามองดูรอบๆ ก็จะไม่มีทางได้เห็นมันอย่างแน่นอน

“เงาดำนั่นเอาจริงๆ มันก็คือสิ่งลี้ลับที่กล้องจับได้”

“แล้วมันเกี่ยวกับจ้าวยังไง”

“แกจำได้ไหมที่บอกว่าเด็กคนนั้นให้แกไปขออนุญาตกับเจ้าที่น่ะ”

ตฤณพยักหน้ารับแล้วจากนั้นเมฆจึงพูดต่อ “แกรู้หรือเปล่าว่าดวงวิญญาณหรือสัมภเวสีจะเข้าไปข้างในไม่ได้เลยเพราะมีเจ้าบ้านเจ้าเรือนปกป้องอยู่หรือพูดง่ายๆ ถ้ามีพระภูมิเจ้าที่ก็นั่นล่ะ ถ้าจะเข้าก็ต้องได้รับอนุญาตก่อน แล้วเขาก็บอกให้แกขออนุญาตใช่ไหม พี่คิดว่าถ้าหากแกไม่ไปขออนุญาตให้เขา เขาจะเข้าไปข้างในไม่ได้ด้วยซ้ำ”

“ทำไมพี่ปักใจเชื่อขนาดนั้นว่าจ้าวไม่ใช่คน”

“ตฤณ มันไม่ใช่คำว่าปักใจเชื่อแต่เซ้นท์พี่มันบอกแบบนั้น เด็กคนนั้นไม่ใช่คนจริงๆ”

“หลักฐานแค่นี้มันไม่เพียงพอที่จะไปตัดสินเขาได้นะ มันอาจจะบางสิ่งบางอย่างตามติดจ้าวมาตั้งแต่แรกแล้วก็พยายามบังตาหรือทำให้กล้องวงจรปิดพวกนั้นถ่ายภาพไม่ติดก็ได้”

สิ่งที่ตฤณพูดขึ้นมันอาจเป็นไปได้ แต่การขออนุญาตเจ้าที่เจ้าทางเพื่อเข้าไปข้างในโรงพยาบาลนั่นคือสิ่งที่ปฏิเสธคำพูดของตฤณเกือบทั้งหมด ถ้าหากเป็นคนจริงก็สามารถเข้าไปข้างในนั้นได้โดยไม่จำเป็นต้องไปขออนุญาตใครแต่ทำไมสิ่งลี้ลับที่มองไม่เห็นตนนั้นถึงยังเข้าไปบังตาทำให้กล้องวงจรปิดถ่ายภาพไม่ได้ ถ้าหากจ้าวไม่ได้เป็นสิ่งลี้ลับที่ถูกกล่าวถึงเสียเอง

“ต่อให้มันเป็นสิ่งที่ตามติดเด็กคนนั้นมา ถ้าอยู่คนละภพภูมิยังไงก็เข้าไปข้างในไม่ได้อยู่แล้ว”

“แต่พี่ก็เห็นเขาแล้วไม่ใช่เหรอ ถ้าเป็นวิญญาณจริง เท้าก็ต้องไม่ติดพื้นหรือตัวก็จะต้องโปร่งแสง เห็นเป็นเงาๆ แล้วอีกอย่างตอนที่พี่ไปส่งผมกลับบ้านนั่นก็ยังไม่มืดค่ำ วิญญาณพวกนี้คงไม่ปรากฏตัวตอนพระอาทิตย์ยังไม่ตกหรอก”

เรื่องนี้... เมฆหาข้อโต้แย้งไม่ได้จริงๆ

“นั่นมันก็จริง”

“แล้วถ้ามันเป็นเรื่องจริง พี่ยังคิดว่าเขาไม่ใช่คนอีกเหรอ”

“ตฤณ...”

เมฆหมดคำพูด ทางเดียวที่จะพอพิสูจน์ความจริงได้ก็คือถามเอาจากเจ้าตัว แต่ใครเล่าจะยอมพูดความจริงออกมาในเมื่อสิ่งที่ถูกถามคือสิ่งที่กล่าวหาว่าเป็นสิ่งที่ไม่มีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้

“ถ้าแกลองไปถามเขาดูล่ะ เอาภาพจากกล้องวงจรปิดพวกนี้ไปให้เขาดู”

ตฤณรับแฟลชไดร์มาจากเมฆ เขาเห็นด้วยกับการไปถามเอาจากเจ้าตัวโดยตรงแม้ว่าจะเสี่ยงกับการที่ไม่ได้คำตอบอะไรเลยก็ตาม

“ถ้าเขาไม่ยอมตอบล่ะ พี่”

“อันนี้ก็ไม่รู้เหมือนกัน”

ถ้าเด็กคนนั้นจะไม่ยอมตอบ เมฆเองก็ไม่รู้จะช่วยอย่างไรเหมือนกันแต่สุดท้ายแล้วพวกเขาก็พากันเข้าไปในบริเวณวัด งานศพของเนตรจัดขึ้นวันนี้เป็นวันแรก ผู้คนที่รู้ข่าวก็ยังไม่ค่อยมาก จะมีก็แต่ญาติพี่น้องและเพื่อนสนิทไม่กี่คน ทุกคนล้วนแล้วแต่ใส่ชุดสีดำ ไม่มีใครแย้มยิ้มและยังถกกันเกี่ยวกับการจากไปของเนตรที่ผิดปกติ

ตฤณและเมฆเดินเข้าไปทักทายนางจิตตราที่หน้างาน

“แม่ครับ สวัสดีครับ”

“สวัสดีจ๊ะ จริงๆ รอมาวันเผาเลยก็ได้นะ แม่จัดสวดไม่กี่วันก็จะเผาแล้วล่ะ”

“ไม่เป็นไรครับ แล้ว... แม่เป็นยังไงบ้าง”

นางจิตตรายิ้มเจื่อน ถ้าถามเรื่องจิตใจคงไม่มีใครตอบว่าสบายดี ถ้าถามเรื่องสภาพร่างกายมันก็คงจะป่วยพอๆ กับใจของเธอตอนนี้ ลูกสาวเพียงคนเดียวที่เธอมี ลูกสาวเพียงคนเดียวของครอบครัวจากไปโดยที่ยังไม่ทันได้เอ่ยคำลา ทิ้งเธอไว้กับความหวังที่ไม่มีวันเป็นจริงขึ้นมาได้อีก ลูกสาวที่เป็นดั่งแก้วตาดวงใจไม่อยู่ให้เธอกอด ไม่อยู่ให้เธอได้ห่วงหาอีกตลอดกาล ไม่ว่าใครย่อมเสียใจไม่ต่างกัน

“ก็... ยังทำใจไม่ได้หรอก แต่แม่พยายามจะเข้าใจว่าเขาไปอยู่ในที่สบายแล้ว”

“ครับ เนตรไปสบายแล้ว”

ตฤณไม่สามารถพูดคำอื่นได้อีกนอกจากคำนี้ เนตรไปสบายแล้วจริงเพราะถ้าหากยังมีชีวิตอยู่ คนที่ทุกข์ทรมานจะไม่ได้มีเพียงแค่เธอคนเดียว ยังรวมถึงผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าเขา ยังรวมถึงคนที่รักเธออีกมากมายที่จะต้องเจ็บปวดไม่แพ้กัน เนตรอาจไม่ใช่ผู้หญิงที่แสนเพอร์เฟ็ค เธออาจไม่ใช่ผู้หญิงในอุดมคติของใครหลายคน เธอที่เป็นผู้หญิงเอาแต่ใจและถูกเลี้ยงมาอย่างลูกคุณหนูบ้านรวยแต่เธอไม่ได้มีจิตใจดำมืดจนถึงกับต้องมาพรากชีวิตไป

“งั้นเข้าไปข้างในกันก่อน แต่ถ้าหิวก็กินได้นะ แม่ให้เขาทำก๋วยเตี๋ยวเลี้ยง”

“ครับ งั้นผมเข้าไปข้างในก่อนนะครับ”

ตฤณขอตัวเข้าไปจุดธูปไหว้ศพ บอกกล่าวว่าเขามาแล้วแต่เพียงแค่ก้าวเท้าเข้าไปในศาลาห้องแอร์ก็รู้สึกเหมือนมีลมเย็นไหลวูบมาปะทะเข้าร่างอย่างแรงจนขนลุกไปหมดทั้งร่าง ไม่เพียงแค่ตฤณเท่านั้นที่รู้สึกแต่เมฆเองก็ยังรู้สึกด้วยเช่นกันว่าวิญญาณของเนตรไม่ได้ไปไหนไกล เธอยังคงวนเวียนอยู่ใกล้ร่างของเธอเอง

“พี่รู้สึกไหม”

“อืม”

“แอร์แรงมากเลยนะ ดูดิ่ พี่ ขนผมลุกหมดแล้ว”

ตฤณยกแขนตัวเองให้ดูว่าขนแขนตั้งชันจริงอย่างที่ว่า แต่พอเข้ามาได้สักพักก็ไม่ได้รู้สึกเย็นเหมือนตอนที่เปิดประตูแล้วลมตีหน้า เมฆถึงกับแอบถอนหายใจ รุ่นน้องของเขาช่างไม่รู้อะไรเลยจริงๆ

พวกเขาเดินไปนั่งยังหน้าโลงศพ ก้มลงกราบไหว้พระพุทธรูปที่ประดิษฐานเยื้องออกไปด้านข้างแล้วรับธูปจากพ่อของเนตรที่ยื่นมาให้คนละดอก ตฤณพนมมือแล้วเอ่ยกล่าวในใจถึงเพื่อนผู้จากไป ‘หลับให้สบายนะ เนตร ไม่ต้องกังวลอะไรแล้ว ผมขอขมาและอโหสิกรรมในเรื่องต่างๆ ที่เราเคยทำแก่กันไว้ อย่าผูกเวรจองเวรกันเลยนะ’ 

ทันทีที่ตฤณกล่าวจบในใจ รูปของเนตรก็ล้มลงกับพื้น ทุกคนที่อยู่ในบริเวณนั้นถึงกับมองหน้ากับเลิ่กลั่ก ตฤณกับเมฆประสานสายตากันก่อนจะรีบปักธูปลงบนกระถาง ทำความเคารพศพแล้วถอยหลังออกมา เจอกับลีที่เพิ่งเดินเข้ามาแล้วเห็นเหตุการณ์นั้นเข้าพอดี ยังไม่ทันจะได้พูดทักทายอะไร ทั้งตฤณและเมฆต่างก็ถูกลีลากออกมาข้างนอกด้วยสีหน้าไม่ค่อยจะสู้ดีเท่าไรนัก

“มีอะไรวะ ลี” ตฤณเอ่ยถามด้วยความไม่เข้าใจ แต่ลีกลับไม่ตอบในทันทีและพอเห็นว่าที่บริเวณนั้นไม่ค่อยมีใครก็รีบพูดออกมาอย่างร้อนอกร้อนใจ “เนตร… เห็นรูปที่ตกนั่นไหม”

ตฤณและเมฆต่างตอบรับในลำคอเบาๆ แล้วตั้งใจฟังต่อ “กูว่าเขายังมีเรื่องที่ทำให้ไปไหนไม่ได้ว่ะ มันเหมือนแบบ... ยังมีบางเรื่องที่ติดอยู่ในใจ รูปนั่นถึงได้ตกลงมาแรงเหมือนมีใครผลักแบบนั้น”

“ลีพอจะรู้ไหมว่าอะไรที่ทำให้เนตรไม่ไปไหน”

เมฆรู้อยู่แล้วว่าเนตรยังคงวนเวียนอยู่ใกล้นี้ เขาถึงได้ลองเลียงเคียงถามดูให้กระจ่าง หากตฤณไม่รู้ บางทีเพื่อนอย่างลีอาจจะรู้อะไรบ้างก็ได้

“เอ่อ... ไม่... ไม่แน่ใจนะ แต่น่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับตฤณ” 

“กู?”

“เอ่อ... อืม เนตรเป็นห่วงมึงมากนะ ตอนกูไปเยี่ยมที่โรงพยาบาลก็เอาแต่พูดถึงมึงตลอด บอกให้กูมาบอกมึงด้วยว่าให้ออกมา ที่นั่นมันอันตรายอะไรทำนองนี้แล้วพูดย้ำประโยคเดิมๆ จนกูออกมา กูก็ไม่คิดว่าสุดท้ายแล้วเนตรก็...”

ตฤณสะดุดตรงคำว่า ‘ออกมา’ ไม่ว่าฝ่ายที่รับฟังจะเป็นลีหรือตัวเขาเอง ในประโยคที่พูดออกมาก็ต้องมีชื่อของเขาและคำๆ นี้ด้วยเสมอ นั่นย่อมแสดงว่าที่คฤหาสน์หลังนั้นต้องมีอะไรบางอย่างอยู่จริงและเขาต้องพิสูจน์มันให้ได้เหมือนอย่างที่เมฆต้องการ

“ตฤณ... กูจะไม่บอกให้มึงต้องออกมาหรอกนะ เพราะเรื่องนั้นมึงควรต้องตัดสินใจเอาเอง แต่กูแค่อยากให้มึงเชื่อที่พี่เมฆพูดบ้าง พี่เมฆมีสัมผัสเรื่องพวกนี้มากกว่ากูกับมึงถึงจะมองไม่เห็นเป็นรูปเป็นร่างก็เถอะ”

“กูรู้ๆ เอาเป็นว่าไว้กลับไปที่นั่นแล้วจะลองไปถามเขาดูก็แล้วกันว่าเรื่องมันเป็นมายังไง มีพวกวิญญาณหรือผีร้ายอะไรพวกนี้สิงสถิตอยู่ในคฤหาสน์นั่นหรือเปล่า แล้วเดี๋ยวได้เรื่องยังไงจะมาบอกอีกทีแล้วกัน”

ลีได้แต่พยักหน้ารับ เมื่อตฤณรับปากแล้วว่าจะไปลองถามดูก็ไม่มีเรื่องอะไรน่าให้กังวลสักเท่าไรแล้ว เกรงก็แต่ว่าอีกฝ่ายจะไม่ยอมพูดความจริงออกมาก็เท่านั้น เด็กคนนั้นอาจจะยินดีรับฟังถามและตอบได้แต่จะตอบแค่ในสิ่งที่อยากให้รู้

“งั้นเข้าไปข้างในกันเถอะ เนตรคงได้ยินแล้วสบายใจขึ้นมาหน่อยแล้วล่ะ”

เมฆพูดขึ้นลอยๆ เขาไม่แน่ใจว่าเนตรได้ยินมันแล้วจะสบายใจขึ้นมาไหม แต่เขารู้เพียงแค่ว่าตั้งแต่ที่เข้าไปในศาลาวัด เนตรก็คอยตามตฤณไม่ห่างและตอนนี้ก็อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากกันเท่าไรเหมือนว่าเธอยังคงเป็นห่วงตฤณอยู่ลึกๆ จนแม้กระทั่งว่ากลายเป็นวิญญาณไปแล้วก็ยังไม่ยอมไปไหน

พวกเขาทั้งสามคนเดินกลับเข้าไปในงานศพอีกครั้ง ใกล้ได้เวลาพระเริ่มสวดแล้วแต่ทว่าเมื่อเมฆเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็ราวกับได้ยินเสียงหนึ่งดังเข้ามาในโสตประสาทแผ่วเบาราวกับกระซิบมาจากที่ไกล ‘ฝากตฤณด้วย’





** ติดตามตอนต่อไป **



ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
แคล้วคลาดๆ ทั้ง 3 คนเลยนะ  :amen:

ออฟไลน์ BlueSora

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
::: ตอนที่ 21 :::
เพียงพลิกมือ





ตฤณกลับมาคฤหาสน์ตอนเกือบจะห้าทุ่มแล้ว เขาพบเจอความวังเวงและเปล่าเปลี่ยวราวกับสถานที่แห่งนี้ไม่เคยมีใครอยู่เหมือนเช่นทุกครั้งแต่เมื่อได้พบกับจ้าวที่ยืนรออยู่หน้าประตูคฤหาสน์ ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปราวกับพลิกฝ่ามือ แม้จะไม่ได้อบอุ่นและคลุ้งเคล้าไปด้วยแสงตะวันรุ่งแต่ทว่ามันกลับให้ความรู้สึกประหลาดราวกับสถานที่แห่งนี้อวลไปด้วยความอณูอบอุ่นที่ถูกสร้างขึ้นมาจางๆ

รอยยิ้มที่ประดับอยู่บนใบหน้ากลมมนจะกล่าวว่าเยือกเย็นดั่งน้ำแข็งก็ว่าได้แต่ทว่าพอรับรู้ว่าเป็นรอยยิ้มของจ้าว ตฤณกลับรู้สึกว่านั่นเป็นรอยยิ้มแสนอบอุ่นที่มอบให้เขาแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น

“พี่ตฤณกลับดึกมากเลยนะครับ”

น้ำเสียงตัดพ้อของเด็กชายผู้กอดตุ๊กตาขนปุยตัวปอนเอาไว้แนบอกเรียกรอยยิ้มตรงมุมปากจากตฤณได้เป็นอย่างดี “เป็นห่วงพี่เหรอครับ”

“ครับ จ้าวเป็นห่วงพี่จนนอนไม่หลับแล้ว”

ตฤณเดินเข้าไปหาแล้วเอื้อมมือลูบเส้นผมอ่อนอันอ่อนนุ่มนั้นอย่างเบามือก่อนจะจูงมือเล็กให้เดินเข้าไปข้างในด้วยกัน

“แล้วพี่ต้องทำยังไงให้จ้าวหลับล่ะครับ”

“นอนกอดจ้าวเหมือนทุกคืนได้ไหม หรือไม่ก็... ทำแบบนั้นอีกครั้งก็ได้ครับ”

“จ้าว...”

ตฤณพูดอะไรไม่ออก เขาพยายามไม่ใส่ใจในประโยคสุดท้ายนั่นและจ้าวก็ดูเหมือนจะไม่เซ้าซี้อะไรต่อ เด็กคนนั้นทำท่าปิดปากหาวหวอดๆ พลางขยี้ตาที่ฉ่ำเยิ้มคล้ายว่าคงถ่างตารอให้กลับมานานมากแล้ว

“ง่วงแล้วใช่ไหม ทำไมไม่นอนก่อน”

น้ำเสียงคล้ายว่าจะดุแต่ก็สงสารที่อดตาหลับขับตานอนรอเขากลับมา ตฤณไม่กล้าทำเสียงเข้มไปมากกว่านี้อีกแล้วด้วยเพราะใบหน้ายามง่วงเหงาหาวนอนของคนที่เดินอยู่ข้างๆ นั้นช่างน่ารักน่าชังเสียจนอยากจับมาฟัดให้แก้มช้ำไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด

“ก็... จ้าวคิดถึงพี่ตฤณนี่ครับ”

“พี่ก็คิดถึงจ้าวเหมือนกัน แล้วพี่ก็มีเรื่องอยากถามด้วยเหมือนกันแต่เห็นว่าจ้าวง่วงขนาดนี้แล้ว ไว้พี่ค่อยถามพรุ่งนี้ก็ได้”

“ถามตอนนี้ก็ได้ครับ จ้าวตอบได้”

จ้าวไม่รู้หรอกว่าคำถามที่ตฤณจะถามนั้นเกี่ยวกับเรื่องอะไร แต่ถ้าลองคาดเดาดูแล้วล่ะก็คำถามนั้นคงวกกลับไปเรื่องเดิมๆ อาทิ ปริศนาคำใบ้, ประวัติคฤหาสน์ตระกูลคัลเลน เป็นต้น แต่พอได้ยินสิ่งที่ตฤณถามออกมาจริงๆ เข้ากลับทำเขาชะงักไปเสียดื้อๆ “จ้าวช่วยอธิบายให้พี่ฟังหน่อยได้ไหมว่าทำไมภาพในกล้องวงจรปิดของโรงพยาบาลถึงไม่มีจ้าวอยู่ในนั้นเลย”

“เอ่อ... พี่ตฤณพูดเรื่องอะไรครับ”

“ตามพี่ขึ้นมาบนห้อง เดี๋ยวจะเปิดไฟล์ให้ดู”

จ้าวเดินตามตฤณขึ้นไปบนห้องเงียบๆ คิดหาทางให้ภาพวงจรปิดนั้นมีตัวเขาอยู่ให้ได้แต่มันเป็นไปไม่ได้ เครื่องมืออิเลคทรอนิกส์กับสิ่งลี้ลับมันไปด้วยกันไม่ได้ มีทางเดียวที่พอจะเคลื่อนปัญหานี้ให้ออกไปก่อนได้ นั่นคือ... หาเรื่องเบี่ยงประเด็นซะ!

“พี่ตฤณครับ”

“ครับ”

“ทำไมพี่ตฤณต้องทำเสียงดุใส่จ้าวด้วย จ้าวทำอะไรไม่ดีตรงไหนเหรอครับ”

ดวงตาสีเพลิงเอ่อคลอด้วยหยาดหยดน้ำใสเต็มหน่วยช้อนมองร่างที่อยู่ข้างๆ ความเศร้าสลดที่ฉายออกมาจากดวงตาคู่นั้นทำให้ตฤณชะงักไปชั่วครู่ น้ำเสียงราวกับตัดพ้อน้อยอกน้อยใจ ริมฝีปากรูปกระจับขบกัดกันจนเกิดเป็นรอยแนวฟัน

“เอ่อ...”

“พี่ตฤณไม่รักจ้าวแล้วเหรอครับ”

“คือ... ไม่ใช่แบบนั้นนะ”

ตฤณพยายามอธิบายเหตุผล เขาไม่ได้ใช้น้ำเสียงที่ดุดันอะไรเลย เป็นแค่น้ำเสียงราบเรียบแตกต่างจากทุกครั้งที่ใช้พูดอยู่เพียงเล็กน้อยเท่านั้นแล้วไหงถึงได้ถูกอีกฝ่ายน้อยใจอย่างนั้น               

“เอาเป็นว่าคืนนี้จ้าวจะไปนอนกับพี่เจตนะครับ ฝันดีครับ”

เด็กน้อยหมุนตัวเตรียมเดินหนีจากแต่ทว่ากลับถูกฝ่ามือใหญ่ดึงรั้งเอาไว้ก่อน รอยยิ้มเยียบเย็นราวกับผู้ถือชัยชนะไว้ในมือถึงครึ่งหนึ่งปรากฏอยู่บนใบหน้ากลมมนเพียงเสี้ยววินาทีก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นง้ำงอ เขาเบือนหน้าหนีเล็กน้อยเมื่อถูกมือหนาประคองใบหน้าให้สบสายตา

“โกรธพี่เหรอ”

“เปล่าครับ จ้าวจะไปโกรธพี่ตฤณเรื่องอะไรได้”

“ไม่โกรธแล้วทำไมคืนนี้ถึงไม่ยอมนอนกับพี่อีกล่ะ ไม่ใช่ว่าที่ยืนรออยู่นี่เพราะคิดถึงอ้อมกอดพี่หรอกเหรอ” 

“ไม่อยากนอนกอดพี่ตฤณแล้วครับ”

“แต่พี่อยากนอนกอดจ้าวนี่ครับ”

จ้าวทำหน้ามุ่ย ขยับตัวเล็กน้อยแสดงอาการฮึดฮัดไม่พอใจออกมา เบี่ยงตัวหลบอ้อมกอดอันแข็งแกร่งที่ทำท่าจะเข้ามาโอบกอดร่างเขาเอาไว้

“แล้วพี่ต้องทำยังไงถึงทำให้จ้าวอยากกอดพี่ล่ะ”

“พูดจากับจ้าวด้วยน้ำเสียงเพราะๆ เชื่อในสิ่งที่จ้าวพูด แค่นี้ก็พอแล้วครับ”

ดวงหน้ากลมมนกลับมาประดับด้วยรอยยิ้มได้อีกครั้งเมื่อตฤณพยักหน้าพร้อมกับตอบรับในลำคอเสียงเบา จ้าวไม่ได้ต้องการอะไรมาก แค่เพียงตฤณไม่ระแคะระคายสงสัยในสิ่งที่เขาเป็นเพียงเท่านี้ เขาก็สามารถรับประกันได้ว่าอีกฝ่ายจะอยู่ดีมีสุขอยู่ในคฤหาสน์หลังนี้ได้อย่างปลอดภัย

“แล้วพร้อมที่จะให้พี่นอนกอดหรือยังครับ”

“ยัง พี่ตฤณต้องไปอาบน้ำก่อน เหม็นเหงื่อ”

จ้าวพลิกตัวหันกลับแล้วเดินขึ้นเตียงไปนอนรออยู่ใต้ผ้าห่มโดยที่มือข้างหนึ่งยังคงกอดตุ๊กตาหมีขนปุยแนบอกเอาไว้แน่น เมื่อเห็นว่าเป็นแบบนี้แล้วตฤณก็มีแต่ต้องเดินเข้าห้องน้ำไป ไม่อย่างนั้นคงอดที่จะได้กอดเด็กน้อยตัวนุ่มนิ่มราวกับตุ๊กตาที่พรมน้ำหอมกลิ่นหวานตัวนั้นแน่

จ้าวนอนรออยู่นิ่งๆ บนเตียงจวบจนกระทั่งได้ยินเสียงน้ำไหลออกมาจากฝักบัว เขาจึงก้มหน้าลงแนบชิดกับตุ๊กตาหมีขนปุยตัวเก่าในอ้อมกอดแล้วเอ่ยกระซิบเสียงเบา “จ้าวรู้นะครับว่าพี่เจตมีเรื่องอยากพูด”

‘คิดว่าเขาเริ่มสงสัยแล้วหรือเปล่า’

“ไม่แน่ใจ แต่ถ้าเขาอยากได้คำตอบ จ้าวก็จะตอบ”

‘แล้ว... เริ่มรักเขาบ้างแล้วใช่ไหม’

“พี่เจตพูดเรื่องอะไร จ้าวจะรักใครได้นอกจากตัวเองกับพี่เจต”

‘ไม่ได้รักงั้นเหรอ แล้วที่ทำถึงขนาดนี้เรียกว่าอะไร’

จ้าวตอบไม่ได้ ที่ทำขนาดนี้กับผู้ชายคนหนึ่งเรียกว่าอะไรนั้นเจ้าตัวเองก็ไม่สามารถตอบได้ แต่เขารู้แค่ว่าตั้งแต่ที่พบเจอหน้าครั้งแรกก็รู้สึกถูกชะตาอย่างบอกไม่ถูก แรกเริ่มเดิมทีก็แค่อยากชักชวนให้อยู่ด้วยกันเท่านั้น ไม่ได้คิดอะไรอื่นไกลจนกระทั่งความคิดหนึ่งแล่นผ่านเข้ามาในหัว

“จะเรียกว่าอะไรไม่สำคัญหรอกครับ”

 ‘แต่พี่ก็ยังอยากบอกว่าจ้าวดูเปลี่ยนไปนะ ตอนที่อยู่กับเขา... เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น’


“พี่เจตจะไปไหนก็ไปเถอะครับ”

‘งั้นก็ปล่อยพี่สิ’


จ้าววางตุ๊กตาหมีเอาไว้ข้างหัวเตียง แต่วิญญาณของเจตรินก็ยังไม่ไปไหน ถึงแม้จะบอกให้จ้าวปล่อยแต่เจตรินก็เลือกที่จะอยู่ในตุ๊กตาหมีตัวนั้น

“บอกให้จ้าวปล่อย แล้วทำไมไม่ไปล่ะครับ”

‘เป็นห่วง’

“ไม่ต้องห่วงหรอก จ้าวดูแลตัวเองได้”

ไม่ต้องเป็นห่วง อย่างไรเจตรินก็ยังเป็นห่วงอยู่ดี เขาไม่รู้เลยว่ามีอะไรอยู่ในความคิดของน้องชายบ้าง ถ้าจะบอกว่าจ้าวเป็นเด็กร้ายกาจนั่นก็ใช่แต่ในบางครั้งเด็กคนนั้นก็เป็นเด็กดี มีใจเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ทว่าความดีที่มีอยู่กลับถูกบดบังด้วยสิ่งชั่วร้ายที่ก่อตัวขึ้นในจิตใจ

‘จ้าว... รับปากพี่ได้ไหมว่าจะไม่ทำร้ายตฤณ’

“จ้าวเคยบอกแล้วไม่ใช่เหรอครับว่าพี่ตฤณจะเป็นคนเพียงคนเดียวที่จ้าวจะทำดีด้วย เป็นคนเพียงคนเดียวที่จ้าวคิดจะปกป้องจากทุกสิ่งทุกอย่าง จ้าวไม่ผิดคำพูดของตัวเองแน่นอน พี่เจตมีอะไรจะไปทำก็ไปเถอะครับ จ้าวอยากพักแล้ว”

มือเล็กดึงเอาปลายผ้าห่มมาคลุมจนมิดหัวแล้วทำทีเป็นไม่สนใจเจตรินอีก แต่ทว่าภายในใจกลับยังมีเรื่องราวมากมายให้ต้องคิดทบทวน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่พระภูมิเจ้าที่หน้าโรงพยาบาลได้พูดเอาไว้ หรือแม้แต่สิ่งที่เจตรินพูดกับเขาเมื่อครู่นี้ ยังรวมไปถึงคำตอบที่จะต้องตอบตฤณอีกมากมายเกี่ยวกับข้อสงสัยนั้น

การเอาตัวเองไปยุ่งกับสิ่งที่อยู่คนละภพภูมิไม่ใช่เรื่องดีเลยจริงๆ

แรงยวบบนเตียงนอนทำให้จ้าวรู้ว่าตฤณกลับมาแล้ว เขาแสร้งทำเป็นหลับตาอยู่อย่างนั้นคล้ายว่าทนต่อความง่วงเหงาหาวนอนที่พยายามดึงรั้งให้สติหลุดลอยไปเอาไว้ไม่อยู่ จังหวะลมหายใจแผ่วเบาบอกให้อีกฝ่ายรู้ได้ว่าคนตัวเล็กที่อยู่อีกฝากของเตียงนอนนั้นเข้าสู่ห้วงนิทราไปแล้ว

ตฤณสอดตัวเข้าใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน โอบกอดร่างเล็กเอาไว้อย่างถนุถนอมพลางซุกหน้าลงกับท้ายทอย ปรอยผมนุ่มนิ่มแตะสัมผัสลงบนปลายจมูกส่งกลิ่นหอมชวนให้จิตเตลิดอีกครั้งแต่เขาต้องหักห้ามใจแล้วทำได้เพียงแค่กล่าวกระซิบ “พี่รักจ้าวมากนะ หายโกรธพี่เถอะนะ คนดี”

‘จ้าวไม่ใช่คนดี’ นี่เป็นคำตอบที่จ้าวกล่าวตอบในใจ

เด็กน้อยในอ้อมกอดขยับตัวเล็กน้อยแล้วหันกลับมาเผชิญหน้ากับตฤณ ดวงตาสีเพลิงสะท้อนแววแห่งความตัดพ้อช้อนมองใบหน้าคมคายที่อยู่เหนือขึ้นไป ริมฝีปากรูปกระจับขมุบขมิบเปล่งเสียงออกมาเพียงเล็กน้อยจนจับใจความสำคัญแทบไม่ได้

“บอกพี่ได้ไหมว่าหายโกรธแล้ว”

ดวงตาสีเพลิงเสมองไปทางอื่น น้ำเสียงที่ติดจะแข็งกระด้างอยู่เล็กน้อยผิดกับคำพูดที่ถูกกล่าวออกมา “จ้าวบอกแล้วว่าไม่ได้โกรธ”

“งั้นก็หายงอนพี่เถอะนะครับ”

“จ้าวไม่ได้งอน”

“ถ้าอย่างนั้น... บอกพี่ได้ไหมว่าเรื่องอะไร”       

เด็กน้อยในอ้อมกอดผ่อนลมหายใจออกมาเล็กน้อย ปรับน้ำเสียงให้สั่นเครือคล้ายว่าจะร้องไห้แต่ก็ยังไม่ได้ร้อง “จ้าวไม่ได้โกรธแล้วก็ไม่ได้งอน แต่แค่น้อยใจ พี่ตฤณเอาภาพจากกล้องวงจรปิดมาถามจ้าวว่าทำไมในนั้นถึงไม่มีจ้าวอยู่ แม้ว่าจ้าวจะยังไม่เห็นภาพแต่พี่ตฤณทำแบบนี้ก็เหมือนว่าพี่ตฤณกำลังสงสัยในตัวจ้าว พี่ตฤณพูดมาตรงๆ เลยดีกว่าครับ”

“คือ... พี่ไม่ได้สงสัย แค่แปลกใจเฉยๆ”

“แล้วพี่ตฤณไม่คิดว่ากล้องวงจรปิดนั่นมันจะเสียบ้างเหรอ พี่พูดแบบนี้เหมือนพี่คิดว่าจ้าวไม่มีตัวตนอยู่บนโลกนี้ กล้องวงจรปิดนั่นมันถึงจับภาพไม่ได้ พี่ตฤณไม่คิดบ้างเหรอครับว่าจ้าวได้ยินคำพูดแบบนี้ออกมาจากปากของคนที่รักแล้วมันสะเทือนใจแค่ไหน”   

น้ำตาหลั่งรินออกมาเป็นสายฉับพลันราวกับสั่งได้ นิ้วเรียวเล็กรีบยกขึ้นปาดมันออกจากใต้ขอบตาแล้วซุกหน้าลงกับหน้าอกของอีกฝ่าย 

“พี่ก็คิดว่าระบบกล้องวงจรปิดมันอาจจะมีปัญหา แต่พี่ไม่ได้คิดว่าจ้าวไม่มีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้เลยนะ”

เพียงแค่เห็นน้ำตาของคนตัวเล็กกว่าไหลออกมาไม่หยุด เสียงสะอื้นไห้เพียงเบาๆ หัวใจของตฤณนั้นเจ็บปวดแทบเจียนตาย เพราะเด็กคนนี้เป็นคนที่เขารักและเพราะรักจึงเข้าข้างปกป้องทุกอย่าง ไม่คิดว่าแค่ข้อสงสัยของเมฆจะทำให้เขากับจ้าวต้องมาทะเลาะกันอยู่อย่างนี้

“แล้วถามแบบนั้นมันหมายความว่ายังไง ถ้าไม่ใช่เพราะพี่ตฤณรู้สึกสงสัยในตัวจ้าว”

“เชื่อพี่หรือเปล่าว่าพี่ไม่เคยสงสัยอะไรเลย”

“ไม่เชื่อ! จ้าวไม่เชื่ออะไรทั้งนั้น”

จ้าวขยับตัวหนีไปอีกทาง ดวงตาสีเพลิงฉายแววแห่งชัยชนะที่เหนือกว่าแต่น้ำตากลับหลั่งออกมาไม่หยุด เสียงสะอื้นไห้ยังคงมีให้ได้ยินอย่างต่อเนื่อง ริมฝีปากสีกลีบกุหลาบเอื้อนเอ่ยความน้อยอกน้อยใจที่พรั่งพรูอยู่ในอกราวกับเขื่อนที่เริ่มแตกร้าว “พี่ตฤณใจร้ายกับจ้าวมากเลย จ้าวให้พี่ตฤณอยู่ที่นี่โดยไม่เคยถามหรือสงสัยอะไรในตัวพี่เลยสักอย่าง แล้วดูสิ... ดูสิ่งที่พี่ทำกับจ้าวสิ แค่เรื่องกล้องวงจรปิดไม่จับภาพของจ้าว พี่ก็เอามาตั้งคำถามใส่แล้ว ถ้าไม่ให้คิดว่าพี่ไม่เชื่อในตัวตนของจ้าวแล้วจะให้คิดเป็นอย่างอื่นได้ยังไง”

ตฤณขยับตัวตามแล้วโผเข้ากอดจากทางด้านหลังแล้วซุกจมูกลงบนเรือนผมนุ่มสีน้ำตาล จ้าวไม่ได้แสดงท่าทีขัดขืนแต่อย่างใด เขายอมให้ตฤณนอนกอดอยู่อย่างนั้น

“พี่ขอโทษ”

“ขอโทษเหรอครับ พี่ตฤณทำลายความจริงใจที่จ้าวมีด้วยมือของพี่เอง รู้ตัวหรือเปล่าครับ”     

เป็นตฤณเสียเองที่อยากจะร้องไห้ออกมา ถ้าหากเขาไม่รับปากกับเมฆว่าจะเอาเรื่องนี้มาถามก็คงไม่อยู่ในสภาพแบบนี้ เขาที่ทั้งปวดใจที่เห็นดวงตาสีเพลิงคู่นั้นเต็มไปด้วยหยาดน้ำแห่งความน้อยอกน้อยใจ ริมฝีปากรูปกระจับที่สั่นเครือคล้ายกับพยายามกลั้นความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นเอาไว้ภายใน ทั้งหมดทั้งมวลล้วนเป็นความผิดของเขาทั้งสิ้น

“พี่ขอโทษ”

“พี่ตฤณพูดว่าขอโทษถึงสองครั้ง ถามจริงๆ เถอะ... คำขอโทษที่พูดออกมามันลบคำถามที่อยู่ในใจพี่ไปด้วยหรือเปล่า”

ตฤณชะงักไปเล็กน้อย ถึงแม้จะไม่ได้สงสัยในตัวตนที่แท้จริงของจ้าวแต่คำถามที่เมฆตั้งขึ้นมามันก็ยังคงอยู่

“ถ้ามันลบคำถามตั้งแง่ของพี่ออกไปไม่ได้ มันจะไปต่างอะไรกับคำขอโทษที่พูดออกมาเพื่อหวังความจริงใจกลับคืน”

“จ้าว...”

จ้าวลุกขึ้นจากเตียงนอน ยืนหันหลังให้ด้วยใบหน้าที่แฝงไปด้วยความชั่วร้ายอย่างปิดไม่มิด เกมนี้คนที่จะชนะและดูเหมือนว่าจะถือไพ่เหนือกว่าไม่ใช่ตฤณอีกแล้ว “คืนนี้พี่ตฤณก็นอนไปคนเดียวเถอะครับ จ้าวจะย้ายไปนอนกับพี่เจต”

“จ้าวนอนกับพี่นะ” 

“ไม่ดีกว่าครับ จ้าวไม่อยากนอนกับคนที่ระแวงสงสัยในตัวจ้าวอีกแล้ว”

“จ้าว...”

ตฤณร้องเรียกพร้อมกับคว้าข้อมือเล็กเอาไว้ แต่ฝ่ายนั้นกลับสะบัดทิ้งอย่างไม่ใยดี ไม่หันมองหน้า ไม่มีแม้แต่คำพูดราตรีสวัสดิ์ก่อนเข้านอนเหมือนเช่นทุกครั้ง ไม่มีหน้าผากกลมมนให้จูบ ไม่มีร่างเล็กอยู่ในอ้อมแขน ไม่มีอะไรเหลือให้ตฤณอีกแล้วในห้องนี้ นอกจากความเสียใจที่ค่อยๆ กัดกินหัวใจของตัวเอง


----------------------------------


จ้าวกลับเข้าห้องของตัวเองก็เห็นว่าเจตรินยืนรออยู่ที่ริมหน้าต่างด้วยสีหน้าวิตกกังวล ไม่มีใครหยั่งรู้ความคิดของเด็กคนนี้ได้แม้แต่พี่ชาย นึกอยากจะดีก็ดีเสียจนน่าใจหาย เวลาจะร้ายก็ร้ายเสียจนต้องร้องขอชีวิต

‘ไหนว่าจะดีกับเขา แล้วที่ทำไปนี่มันยังไง’

“ดึงเกม”

เจตรินไม่เข้าใจในสิ่งที่น้องชายได้ทำลงไปเลยจริงๆ วันนี้ทั้งวันตั้งแต่ที่ตฤณกลับเข้ามาก็เจอทั้งโหมดน่าสงสารของน้องชาย โหมดน่ารักจนอยากเข้าไปงับแก้มเบาๆ โหมดร้ายที่ทำร้ายความรู้สึกของอีกฝ่ายได้อย่างเลือดเย็น

“อยากให้เขาอยู่ด้วยตลอดไปก็ต้องทำให้เขารู้ว่าขาดไปไม่ได้”

‘พี่ก็หวังนะว่าเขาจะรู้ ไม่ใช่คนที่รู้จริงๆ จะกลายเป็นคนแถวนี้แทน’

“พี่เจต!!”           

จ้าวตะโกนลั่นด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวแต่เจตรินกลับไม่สนใจ เขายังคงยืนพิงขอบหน้าต่างอย่างใจเย็น

‘ถ้าหากเขารู้ว่าจ้าวเป็นอะไรขึ้นมา จะรับมือยังไง ปล่อยเขาหรือให้เขาอยู่ที่นี่กับเราตลอดกาล’ 

“จ้าวอยากให้พี่เจตลุ้นเอาเอง”

เจตรินจนปัญญาที่จะพูดด้วยจริงๆ ตราบใดที่จ้าวไม่บอกออกมาเองก็จะไม่มีวันได้รู้ เด็กคนนี้จากที่ดีแสนดีสามารถกลายเป็นร้ายเหลือคณานับได้เพียงแค่ชั่วพริบตา ใครดีมาก็ย่อมดีตอบแต่หากใครร้ายมาก็จะร้ายกลับ นั่นคือสิ่งที่เด็กอย่างจ้าวเป็น ไม่ว่าจะตอนนี้หรือเมื่อร้อยกว่าปีก่อนก็ไม่เคยเปลี่ยนไป แต่ทว่าคนที่ทำให้เปลี่ยนไปได้แม้เพียงน้อยนิดกลับเป็นตฤณ ผู้ชายคนนั้นที่บังเอิญผ่านทางมา

‘จ้าว...’

“พี่เจตอยู่เฉยๆ เถอะครับ จ้าวรู้ว่าควรทำยังไง ถ้าเขาสงสัยขึ้นมาจริงๆ คำตอบที่จะให้เขามันก็อยู่ในสิ่งที่จ้าวทำไปทั้งหมดอยู่แล้ว และถ้าเขาคิดได้มันก็คงจะทำให้เขาหมดข้อสงสัยไปเอง พี่เจตว่าจริงไหม”

‘คือ... ยังไง’

“มีวิญญาณที่ไหนจับต้องได้ เห็นเป็นรูปเป็นร่างชัดเจนขนาดนี้ แล้ววิญญาณที่ไหนเขาออกไปไหนต่อไหนตอนกลางวันกัน ใครๆ ก็ต้องรู้อยู่แล้วว่าช่วงเวลากลางวันเป็นของคนเป็น ส่วนช่วงเวลากลางคืนเป็นของคนตาย แล้วพี่เจตเห็นแบบนี้จะยังสงสัยอะไรอยู่อีกไหมล่ะครับ”

เจตรินไม่สงสัยเพราะเขารู้อยู่แล้วว่าน้องชายเป็นอะไร แต่ถ้าเป็นคนที่พยายามหาข้อกังขาได้ทุกเรื่องนั่นย่อมต้องมีคำถามตามมาอีกเป็นพรวนแน่

‘พี่ไม่สงสัยแล้วจ้าวคิดว่าเขาจะไม่สงสัยอะไรเพิ่มอย่างนั้นเหรอ’

“ไม่หรอกมั้งครับ”

‘แล้วถ้าเขาต้องการจะพิสูจน์ขึ้นมาจริงๆ คนที่จะแย่ที่สุดก็คือจ้าวเองนะ ระวังเรื่องนี้เอาไว้ด้วย’

จ้าวนิ่งไปอยู่ชั่วอึดใจ เขาเผลอนึกถึงตอนที่ตฤณชวนเข้าวัดไปงานศพเนตรแล้วรู้สึกใจคอไม่ดี วัดเป็นสถานที่ต้องห้ามสำหรับวิญญาณ สัมภเวสีผีเร่ร่อนอยู่แล้ว แม้ว่าวิญญาณตนนั้นจะมีอำนาจแกร่งกล้ามากเพียงใดแต่ก็ต้องยอมสยบแก่อำนาจคุณพระศรีรัตนตรัยทั้งปวง

“ครับ”

‘ที่พี่พูดมาทั้งหมดก็เพราะว่าเป็นห่วง’

“จ้าวรู้ครับ พี่เจตดีกับจ้าวเสมอ”

ริมฝีปากสีกลีบกุหลาบยกยิ้มน้อยๆ อย่างจริงใจที่สุด แล้วเดินตรงไปยังเตียงนอนที่มีร่างหนึ่งนอนแน่นิ่งอยู่บนนั้น ร่างกายที่เหลือเพียงแค่โครงกระดูกไม่อาจระบุตัวตนได้ว่าเป็นใคร มือเรียวเล็กเอื้อมออกไปลูบไล้โครงหน้านั้นอย่างเบามือ ดวงตาสีเพลิงทอดมองร่างนั้นด้วยความรัก ร่างที่เคยเป็นของเขาแต่บัดนี้ไม่อาจครอบครองมันได้อีก

“ถ้าวันนั้นพี่เจตไม่ทำกับจ้าวแบบนี้ บางทีจ้าวอาจต้องอยู่คนเดียวบนโลกก็ได้”

คำพูดของจ้าวทำเอาเจตรินสะดุ้งเล็กน้อย เขารีบเดินเข้ามาหาแล้วกอดปลอบจากทางด้านหลัง

จู่ๆ ก็รู้สึกถึงรังสีแห่งความอำมหิตไร้ปราณี กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งอบอวลไปทั่วทั้งคฤหาสน์ในคืนวันที่ไร้แสงจันทร์ ค่ำคืนงานเลี้ยงฉลองครบรอบวันเกิดสิบหกปีของจ้าวหรือที่ใครมักเรียกว่าวินเซ้นท์ เพียงแค่ชั่วข้ามคืนคฤหาสน์ที่บอกเล่าถึงความสุขของผู้คนในนั้นก็กลายเป็นที่กล่าวขานถึงความน่ากลัว สถานที่ที่มีแต่ศพคนตายนอนเกลื่อน สถานที่ที่ในที่สุดก็รกร้างไร้ผู้คน

“ถ้าพี่เจตไม่เอาขวานจามคอ...” ราวกับมีก้อนอะไรบางอย่างมาจุกอยู่ที่คอ จ้าวนิ่งไปอยู่ชั่วครู่ก่อนพูดขึ้นต่อ “จ้าวก็คงไม่ต้องมานั่งมองศพตัวเองอย่างนี้”

‘ยังโกรธพี่อยู่เหรอ’

“เรื่องมันผ่านมาตั้งร้อยกว่าปี หายโกรธไปนานแล้ว แต่พอเห็นร่างนี้ทีไรมันก็อดนึกถึงวันนั้นไม่ได้”

เจตรินได้แต่นิ่งเงียบอีกครั้ง เขาพูดอะไรไม่ได้เพราะคนที่ทำให้จ้าวตายก็คือเขา ถ้าเหตุการณ์วันนั้นไม่พาไปจนกระทั่งถึงขั้นต้องลงไม้ลงมือกัน จ้าวอาจไม่ติดอยู่ในคฤหาสน์หลังนี้อย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ก็ได้

‘พี่เสียใจที่ทำแบบนั้น’


“ความเสียใจไม่สามารถทดแทนสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้วได้หรอก คราวหลังจะทำอะไรก็ไตร่ตรองให้ดีก่อนนะครับ”

‘จ้าว...’

“พอเถอะครับ ไม่ต้องโทษตัวเองอีกแล้วเพราะยังไงสิ่งที่เกิดไปแล้วมันก็ไปเปลี่ยนอะไรไม่ได้อีก มีแต่ปัจจุบันที่เราสองคนยังคงต้องอยู่ในคฤหาสน์หลังนี้ไปชั่วนิรันดร์”

ไม่มีอะไรเปลี่ยนสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้วได้ ไม่ว่าจะเป็นความเสียใจหรือความรู้สึกผิด จะกลับไปแก้ไขอดีตก็ไม่ได้อีกแล้ว

‘ทิ้งเขาไว้ในห้องแบบนั้นคนเดียวจะดีเหรอ’

คำพูดของเจตรินเหมือนเสียงระฆังเริ่มยก จ้าวเงยหน้าจากโครงกระดูกบนเตียงนอนแล้วออกไปดูที่ระเบียงทางเดิน ถ้าตฤณไม่ก้าวเท้าออกมาจากห้องก็จะไม่เป็นอะไรแต่มันกลับไม่ใช่อย่างทีหวังเอาไว้ เพียงครู่เดียวที่หมกมุ่นอยู่กับความคิดของตัวเองจึงเผลอทิ้งการรับรู้ตัวตนของตฤณในคฤหาสน์นี้ไป


-----------------------------------


ตฤณออกมาที่ระเบียงทางเดินตามหาจ้าวเพื่อกล่าวขอโทษอีกครั้ง แต่สิ่งที่เขาพบเจอคือความว่างเปล่าที่แสนเงียบเหงาราวกับมันไม่เคยมีใครอยู่ เขาเดินไปตามทางที่มืดมิด มีเพียงแสงจากไฟฉายทางโทรศัพท์ส่องให้เห็นสิ่งที่อยู่ข้างหน้าได้บ้าง “จ้าว!! จ้าว!!”

แค่เพียงเรียกชื่อไม่กี่คำ ขนแขนของเขาก็ตั้งชันราวกับมีแม่เหล็กขนาดใหญ่ดูดมันขึ้นฟ้า ในขณะที่ก้าวเดินไปแต่ละก้าว บ่าข้างซ้ายดูเหมือนจะหนักอึ้งราวกับมีอะไรบางอย่างกดทับจนปวดไปหมด จะขยับเขยื้อนทีก็ยังลำบาก แต่แล้วขาขวาก็คล้ายกับถูกบางสิ่งที่มองไม่เห็นจับเอาไว้ มันเย็นเสียจนสะดุ้งเล็กน้อย ตฤณส่องไฟลงที่เท้าอย่างกล้าๆ กลัวๆ เหงื่อกาฬแตกพลั่กทั้งที่อากาศเย็นจับขั้วหัวใจ ที่ปลายเท้าของเขายังคงไว้ซึ่งความว่างเปล่า

“จ้าว!! อยู่ไหน!! พี่ขอโทษ”

จ้าวเปิดประตูออกมาจากห้องหนึ่งที่อยู่ข้างหน้า ตฤณไม่ทันได้สังเกตว่าห้องนั้นเป็นห้องที่อยู่ในฝั่งที่ห้ามเข้าทุกกรณี เด็กคนนั้นรีบสาวเท้าตรงเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว ดวงตาสีเพลิงคู่นั้นยังคงส่องสว่างในความมืดจนดูคล้ายกับปีศาจตนหนึ่งแต่ตฤณไม่เคยนึกกลัว

เมื่อจ้าวก้าวเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ พลันนั้นมวลอากาศรอบตัวก็ดูจะอบอุ่นขึ้น บ่าซ้ายที่คล้ายว่าจะมีอะไรบางอย่างคอยกดทับเอาไว้ก็หายไป ข้อเท้าที่รู้สึกเหมือนมีบางอย่างที่เย็นเฉียบราวกับน้ำแข็งสัมผัสก็หลงเหลือไว้เพียงแค่ร่องรอยจางๆ

“พี่ตฤณเข้าห้องเดี๋ยวนี้เลยครับ”

“จ้าว... ฟังพี่พูดก่อน”

“เข้าห้องเดี๋ยวนี้!  แล้วค่อยไปคุยกันข้างใน”

ระเบียงทางเดินในคฤหาสน์คือสิ่งต้องห้ามสำหรับมนุษย์เพราะมันเต็มไปด้วยเหล่าวิญญาณที่ตายอยู่ที่นี่ทั้งหมด เช่นเดียวกับในแต่ละห้องที่มีเจ้าของของมัน ต่างแค่เพียงว่าห้องที่ตฤณพักอยู่นั้น เจ้าของเดิมเป็นเด็กผู้หญิงน่าตาน่าเอ็นดูที่มีจิตใจดีคนหนึ่งมันจึงไม่ได้น่ากลัวอะไรมากนัก

ตฤณยอมเดินกลับเข้าห้องไปแต่ยังไม่วายหันหลังกลับมามอง

เมื่อตฤณลับตาไปแล้ว ความน่ากลัวของวิญญาณทั้งตายโหง ทั้งตายเพราะถูกฆาตกรรมก็ฉับพลันหายไปจากหน้าห้องพักของตฤณ เพียงแค่จ้าวใช้อำนาจที่มีอยู่ในมือข่มขู่ ความชั่วร้ายที่แฝงเร้นกายอยู่ในร่างเด็กวัยสิบหกคือหายนะอันใหญ่หลวงของเหล่าดวงวิญญาณพวกนั้นเมื่อคิดจะต่อกรลองดี

“ถ้าคิดจะรบกวนคนของจ้าวอีก จ้าวจะทำให้แม้แต่นรกก็จะไม่ยอมรับวิญญาณของพวกแก”

จ้าวถอนหายใจออกมา คืนนี้ดูเป็นคืนที่ยุ่งยากวุ่นวายจนรู้สึกเหนื่อยทั้งกายและใจไปหมด เขาเปิดประตูห้องเข้าไปก็เห็นว่าตฤณยังคงยืนรออยู่ไม่ห่างจากหน้าประตูเท่าไรจนรู้สึกกลัวว่าตฤณจะได้ยินสิ่งที่พูดอยู่ข้างนอกนั่นทั้งหมด แต่เขาก็ยังแสร้งทำเป็นไม่ได้คิดอะไร ตีสีหน้าเรียบเฉยราวกับว่ายังคงทีท่าของความไม่พอใจเอาไว้

“พี่ตฤณออกมาข้างนอกห้องทำไม ไม่มีใครบอกเหรอว่าห้ามออกจากห้องหลังเที่ยงคืน”

“จ้าว... ข้างนอกห้องนั่นมัน...”

จ้าวแสดงสีหน้าลำบากใจที่เห็นว่าตฤณยังคงตกใจไม่หายกับเหตุการณ์แค่ไม่ถึงนาทีที่เกิดขึ้น เขาแสร้งทำเป็นว่าไม่รู้จะอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นนั้นอย่างไรดี

“ข้างนอก... ข้างนอกมีอะไร”

“พี่ตฤณ จ้าวขอโทษที่ปิดบังพี่มาตลอด จ้าวกลัวว่าถ้าพี่ตฤณรู้ความจริงเข้าแล้วจะไม่อยากอยู่ที่นี่อีกต่อไป... คฤหาสน์หลังนี้มีวิญญาณอยู่จริง เป็นวิญญาณที่ตายมานานแล้วตั้งแต่อดีตแต่ยังไม่ไปผุดไปเกิด”

ตฤณนิ่งงันไปชั่วครู่ ข่าวลือที่เขาลือกันมันคือเรื่องจริง คฤหาสน์หลังนี้มีสิ่งลี้ลับที่มองไม่เห็นได้ด้วยตาอยู่จริง

“ถ้าพี่ตฤณได้ยินแบบนี้แล้วจะไม่อยากอยู่ก็เข้าใจครับ จ้าวไม่ห้ามหรอกถ้าพี่ตฤณจะย้ายออกไป พี่ตฤณจะเก็บของแล้วออกไปตอนนี้เลยก็ได้นะครับ เดี๋ยวจ้าวเดินไปส่งที่หน้าประตูเอง มีจ้าวอยู่ด้วย พี่ตฤณจะปลอดภัยแน่นอนครับ”

“ไม่... พี่จะอยู่”

“ถ้าพี่ตฤณตัดสินใจแน่แล้วว่าจะอยู่ จ้าวก็จะนอนเป็นเพื่อนครับ”     

แม้ว่ามันจะผิดจากที่คาดไปนิดหน่อย แต่ตฤณก็ยังทิ้งจ้าวไม่ลง นั่นนับว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี 

“จ้าวจะไม่ทิ้งพี่ไปอีกใช่ไหม ไม่รู้ว่าเพราะอะไรแต่พี่รักจ้าวมากนะ แค่คิดว่าวันหนึ่งจะไม่ได้นอนกอดจ้าว จะไม่ได้จูบหน้าผากราตรีสวัสดิ์ จะไม่ได้ยินเสียงจ้าวอีก ใจพี่มันก็รู้สึกแปลกๆ เหมือนมีเข็มนับพันทิ่มแทงไปทั่ว มันเจ็บมากเลยนะ”

“จ้าวไม่ทิ้งพี่ตฤณไปหรอกครับ จะกลัวก็แต่ว่าคนที่ถูกทิ้งจริงๆ จะเป็นจ้าวเองมากกว่า”

จ้าวเดินขึ้นไปนอนบนเตียงอย่างว่าง่าย ซุกตัวลงในอ้อมกอดอันแข็งแกร่งของอีกฝ่ายเหมือนเช่นหลายวันที่ผ่านมา เขาได้รับรอยจูบที่หน้าผากเหมือนอย่างที่พูด ได้รับอ้อมกอดอันอบอุ่นของคนตรงหน้าที่หาไม่ได้จากพี่ชาย ได้รับรู้แล้วว่าผู้ชายคนนี้จะยอมในทุกสิ่งที่เขาพูด เพียงเท่านี้... จ้าวก็อิ่มเอมและนอนหลับได้อย่างสบายแล้ว


** ติดตามตอนต่อไป **


ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
อ้าว.... พี่เจตฆ่าจ้าว ไมจ้าวไม่แค้นพี่เจตนะ. :ruready

ออฟไลน์ kun

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +122/-10
ตฤณหลุดไปจ้าวไม่ได้แล้วแน่ๆๆๆ
รอลุ้นต่อ

ออฟไลน์ pharm

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 240
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
 :mew1: :mew2: น้องเจ้าน่ารักแบบโหดๆ :mew5:

ออฟไลน์ Nekosama

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 91
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
คงไม่ใช่ว่าพี่เจตฆ่าคนในครอบครัวแล้วจ้าวพอตายปุ๊บดันเป็นวิญญาณอาฆาตฆ่าเจตทีหลังหรอกนะ เมื่อไหนพี่ตฤณจะตาสว่างซะที T T ลุ้นนานจนเหนื่อยแทนลีกับเมฆแล้วอะ พยายามบอกจะปากเปียกปากแฉะ...

ออฟไลน์ lcortsess

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 173
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-3

ออฟไลน์ BlueSora

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
::: ตอนที่ 22 :::
ความลับไม่มีในโลก







“ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย ในความคุ้นเคยกันอยู่ มันแฝงอะไรบางอย่างที่มากกว่านั้น”

เสียงเพลงคลอเสียงกีต้าร์เบาๆ จากเพื่อนในคณะที่กำลังร้องจีบสาวไม่ได้หวานซึ้งกินใจหรือทำให้หัวใจได้รู้สึกวาบหวามแต่เป็นท่อนหนึ่งของเพลงที่ผู้ชายสามคนต่างเข้าใจมันดีกว่าที่มันเป็นแค่เพลงบอกรัก

“ตฤณ สรุปเรื่องเมื่อวานเป็นยังไง ได้ถามไหม”

“ถามแล้ว แต่เพราะพี่นั่นแหละเกือบทำให้ผมกับจ้าวทะเลาะกัน”

“ยังไงวะ”

“เขาบอกว่าผมสงสัยว่าเขาเป็นสิ่งไม่มีอยู่จริง เขาเสียใจที่ผมคิดแบบนั้น ก็นั่นแหละน้อยอกน้อยใจ ร้องไห้ยกใหญ่ ถ้าไม่เป็นเพราะพี่ให้ไปถาม ผมกับเขาก็ไม่ต้องผิดใจกันหรอก”

เมฆขมวดคิ้วคิดหนัก เด็กคนนั้นท่าทางจะดูร้ายไม่ใช่เล่น ขนาดที่ว่าเขาให้ตฤณไปพูดเรื่องที่จับได้ว่ากล้องวงจรปิดไม่มีภาพปรากฏอยู่ในนั้นทั้งที่ไปด้วยกันแต่ก็ยังทำเป็นกล่าวโทษตฤณกลับมาได้โดยที่ความจริงก็ยังถูกปิดบังอยู่อย่างนั้น

“รับมือยากจริงๆ”

“ถ้าอยากพิสูจน์ให้รู้ชัดไปเลย ทำไมไม่ชวนเขาไปงานศพเนตรล่ะ”

ลีลองเอ่ยถามดู อันที่จริงแล้วก็ไม่ได้เอาตัวเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องแบบนี้เพราะเข้าใจถึงจุดจบของชีวิตที่จะได้รับเป็นอย่างดี มีตัวอย่างให้เห็นถึงสองรายแล้วใครจะกล้าเอาตัวเองไปยืนอยู่ในจุดนั้นทั้งที่รู้ว่าสุดท้ายแล้วปลายทางคืออะไร

“เอ่อ! นั่นสิ ทำไมคิดไม่ได้ตั้งแต่แรกวะ”

“งั้นพี่เมฆไปชวนนะ ผมไม่เอาด้วยหรอก ไม่อยากไปทะเลาะกันอีก”

คราวนั้นตฤณก็เคยชวนจ้าวไปงานศพแล้วครั้งหนึ่งแต่ก็ถูกปฏิเสธกลับมาเพราะร่างกายยังไม่พร้อม และตอนนี้ก็เพิ่งเกือบจะทะเลาะกันไป เขาจึงกลัวว่าถ้าหากทำให้อีกฝ่ายหงุดหงิดหรือไม่พอใจก็จะต้องทะเลาะกันอีกแน่ เขาไม่อยากทะเลาะด้วยเพราะกลัวที่จะเห็นน้ำตา น้ำเสียงที่ตัดพ้อน้อยใจ แววตาที่เต็มไปด้วยความเสียใจ

“พี่? เออๆ งั้นเดี๋ยวก่อนไปงาน พี่จะแวะไปชวนเขาแล้วกัน แกก็ไปด้วยนะ ลี”

“เอ๊า! แล้วทำไมต้องให้ผมไปด้วยเนี่ย เย็นนี้ว่าจะไปงานยุ้ย”

เมฆไม่อยากไปคนเดียว เช่นเดียวกับที่ลีก็ไม่อยากกลับไปที่นั่นอีกครั้ง

“พี่ก็ไปกับผมอยู่แล้วไม่ใช่เหรอไง”

เมฆพยักหน้าแต่เขาไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองได้ไปกับตฤณเลยสักนิดเหมือนวันก่อน ทั้งที่มีรุ่นน้องคนนี้ยืนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล แต่เขากลับรู้สึกได้เพียงแค่ว่า ณ ที่ตรงนั้นมีเพียงเขากับจ้าวอยู่กันแค่เท่านั้น

“แล้วเอาไง จะไปเลยไหม พี่” ตฤณถาม

“แล้วแต่เลย” เมฆตอบแล้วจึงหันไปพูดกับลีต่อ “ฝากบอกแม่ยุ้ยด้วยนะว่าพี่คงไปอีกทีวันงานเผาเลย”

หลังจากที่ลีรับคำว่าจะไปบอกให้ ตฤณกับเมฆก็ลุกออกจากโต๊ะของซุ้มสาขาตรงกลับคฤหาสน์ของตระกูลคัลเลนในทันที   

“จำที่พี่เคยบอกแกเรื่องวิญญาณที่หายไปครึ่งหนึ่งได้ไหม”

เมฆพูดขึ้นในระหว่างทางที่พวกเขามุ่งหน้าตรงกลับคฤหาสน์ เขาไม่ได้สนใจด้วยซ้ำว่าจะได้ยินคำตอบแบบไหน กระดาษแผ่นหนึ่งที่มีตัวอักษรขยุกขยิกคล้ายว่าถูกเขียนด้วยลายมือเพียงลวกๆ ถูกยื่นมาตรงหน้าพร้อมกับคำสำทับ “อ่านดู”

ตฤณกวาดสายตาไล่อ่านตัวอักษรชุ่ยๆ พวกนั้นแล้วพลันสะท้านไปทั้งร่าง ข้อความที่อยู่ในนั้นล้วนแล้วแต่เคยเกิดขึ้นกับเขาทั้งสิ้น

วิธีผูกวิญญาณคนเป็นคนตาย

- เลือดเพียงหนึ่งหยดในอาหารนั้นคือเฝ้าคำนึง

- ใกล้ชิดกายลิ้มชิมรสสีเลือดหมูจากสิ่งคล้ายกายหยาบนั้นคือลุ่มหลง

- ผูกพันแนบชิดร่วมเป็นหนึ่งเดียวสองคราคือผูกพันตราบนิรันดร์


“นี่มัน…”

“แกจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็แล้วแต่ แต่นี่คือวิธีผูกวิญญาณทั้งสองภพเอาไว้ด้วยกัน เป็นวิธีโบราณนานมา แต่ก่อนจะทำสิ่งพวกนี้ก็ต้องท่องคาถาบทสวด ทำพิธีกรรม แต่ตอนนี้ไม่มีใครรู้บทสวดนั่น มันหายสาบสูญไปนานมากแล้ว”

“พี่จะบอกว่าจ้าวเป็นวิญญาณงั้นเหรอ”

เมฆพ่นลมหายใจออกมาพรืดใหญ่ที่เห็นรุ่นน้องทำท่าทางไม่อยากเชื่อว่าเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องจริงราวกับว่าทุกครั้งที่ค้นพบความจริงก็จะพยายามหาข้อโต้งแย้ง เอาหูไปนาเอาตาไปไร่ เห็นทีว่าถ้าเด็กคนนั้นไม่ยอมเปิดปากพูดขึ้นมาเองก็ดูท่าว่าจะไม่ยอมปักใจเชื่อแต่โดยดี

“แกก็เห็นภาพในกล้องวงจรปิดนั่นแล้วไม่เชื่อ พี่ก็ไม่ว่า แต่พี่เอาเรื่องนี้มาบอกก็อยากให้ระวังเอาไว้บ้าง แล้วถ้าวันหนึ่งแกรู้ว่าสิ่งที่พี่พยายามเฝ้าบอกแกมาทั้งหมดเป็นเรื่องจริง…”

“ไม่! มันจะเป็นเรื่องจริงได้ยังไงในเมื่อพี่บอกเองว่าบทสวดอะไรนั่นมันหายไปนานแล้ว”

เมฆแสดงท่าทีอ่อนอกอ่อนใจ เขาแทบจะจนปัญญาที่ทำให้ตฤณเชื่อได้ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบราวกับเริ่มปลงตกแล้ว “ถ้าเด็กคนนั้นอยู่มานานก่อนที่บทสวดนั่นจะหายไปล่ะ”

“เด็กอายุสิบหกจะไปอยู่นานขนาดนั้นได้ยังไง ถ้าอยู่มานานขนาดนั้นป่านนี้คงแก่หงำหรือไม่ก็ลงโลงไปตั้งนานแล้ว”

“ไม่คิดเอ๊ะใจอะไรบ้างเลยเหรอ ถ้าเขาตายตอนอายุสิบหกมาตั้งแต่ร้อยกว่าปีที่แล้วล่ะ หน้าตาละม้ายคล้ายลูกชายบุญธรรมของตระกูลคัลเลนขนาดนั้น ต่อให้เป็นคนหน้าคล้ายจริงก็คงไม่เหมือนถึงขั้นก๊อปวาง แถมวินเซ้นท์คนนั้นก็เสียชีวิตในคฤหาสน์ตอนงานเลี้ยงวันเกิดอายุครบรอบสิบหกปีเหมือนกัน”

ยิ่งพูดเหมือนยิ่งใกล้ความจริงเข้าไปทุกทีจนตฤณแทบจะหาข้อโต้แย้งใดๆ ไม่ได้ ในใจเฝ้าภาวนาขอให้เรื่องพวกนี้เป็นเพียงแค่เรื่องโจ๊กในหมู่วัยรุ่นด้วยเถอะ

“พี่รู้ว่าแม้แกจะพยายามถาม เขาก็จะไม่ยอมรับง่ายๆ มันก็เหมือนพวกทำความผิดที่พอถูกถามตรงๆ ก็จะตอบปฏิเสธว่าไม่ได้ทำ และทางที่จะพิสูจน์ว่าเขาใช่หรือไม่ใช่ก็มีแค่ทางนี้ทางเดียว แล้ว… ถ้าสรุปแล้วว่าเป็นอย่างที่พี่คิดจริงๆ แกจะทำยังไง”

ตฤณไม่เคยคิดว่าจะต้องทำอย่างไรจนแม้กระทั่งตอนนี้ก็ยังเฝ้าค้านสิ่งที่รุ่นพี่พูดอยู่ในใจลึกๆ เสมอ แม้จะเคยเคลือบแคลงสงสัยแต่พอได้ถามและรู้คำตอบนั้นจากปากของจ้าว เขาก็เชื่อมันอย่างเต็มอก

“ไม่รู้ ไม่ได้คิดถึงเรื่องนั้นเลย”

บทสนทนาของทั้งคู่หยุดลงเพียงเท่านี้เมื่อใกล้ถึงคฤหาสน์หลังนั้นที่ใคร่ต่างก็กล่าวขานถึงความน่ากลัว แม้ช่วงกลางวันที่ยังเห็นแสงอาทิตย์สาดส่องลงมาบนผืนดินจะมีชีวิตชีวาไม่แตกต่างไปจากที่อื่นใดบนโลกใบนี้แต่พอตกเย็นเมื่อไร แถวนี้ก็กลับเข้าสู่ความเงียบสงัดในฉับพลัน ยิ่งด่ำดึ่งสู่ความมืดมิดมากเท่าไรก็ยิ่งเปล่าเปลี่ยว วังเวง ราวกับหน้ามือพลิกกลับเป็นหลังมือ แต่ทว่าตอนนี้ยังไม่ถึงช่วงเวลานั้น พระอาทิตย์ยังคงทำงานส่องแสงเจิดจ้าอย่างแข็งขัน

“พี่ตฤณ”

เสียงอันคุ้นเคย ใบหน้ากลมมนที่ประดับด้วยรอยยิ้มอย่างจริงใจไม่แต่งแต้มความโป้ปดใด เพียงแต่เจ้าของเสียงนั้นหยุดอยู่แค่หน้าประตูคฤหาสน์ ไม่ก้าวข้ามผ่านสวนที่รกร้างเข้ามาหา แต่พอได้กวาดตามองให้ดีแล้วก็พบว่ามีใครอีกคนมาด้วย เขาจึงเปลี่ยนทีท่า ก้าวลงบันไดคฤหาสน์ทีละขั้น ร่างกายที่กระทบต้องแสงอาทิตย์คล้ายกับมันจะโปร่งแสงแต่ก็ไม่เสียทีเดียว อาการของเขาไม่ได้ดีขึ้นจนถึงขั้นว่าจะสามารถคงสภาพร่างกายให้ทึบแสงเหมือนเช่นมนุษย์ทั่วไปได้ แต่เขาพยายามมันอย่างสุดความสามารถเพื่อกลบเกลื่อนคำถามบางอย่างที่อาจเกิดขึ้นในใจ

“ไม่บอกจ้าวก่อนล่ะครับว่าจะพาพี่เมฆมาด้วย”

“ตอนแรกพี่กับพี่เมฆจะไปงานศพเนตรด้วยกันเลย แต่พอเห็นว่ามันยังพอมีเวลาอยู่เลยคิดจะมารับจ้าวไปด้วยกัน ไปกับพี่นะ”

จ้าวชะงักค้างไปชั่วครู่ หัวใจเขาเหมือนกับถูกใครสาดน้ำเย็นใส่ มันชาจนเกือบจะไม่รู้สึกก่อนจะแสร้งทำเป็นไม่รู้สึกอะไรแล้วปั้นยิ้มหวาน “จ้าวคงไปด้วยไม่ได้หรอกครับ รู้สึกไม่ค่อยสบายนิดหน่อย คนป่วยไปวัดมันคงไม่ดีหรอกมั้งครับ”

แต่เมฆกลับไม่ได้คิดอย่างนั้น จ้าวเจ้าเล่ห์แสนกล คนที่รักหัวปักหัวปำอย่างตฤณย่อมมองไม่ออกแน่ว่าคำตอบนั้นก็เพียงเพื่อเลี่ยงที่จะเข้าวัด

“ไม่สบายตรงไหน มีไข้เหรอ”

ตฤณยกหลังมือแตะหน้าผาก เขาสะดุ้งเล็กน้อยแต่ก็ยังไม่ยอมชักมือกลับในทันที ไอที่แผ่ออกมาตอนมือสัมผัส… มันควรจะอุ่นจนร้อนไม่ใช่เย็นเฉียบราวกับน้ำแข็ง

“ปวดหัวนิดหน่อยครับ พี่ตฤณพาพี่เมฆเข้ามาคุยกันข้างในดีกว่า”

จ้าวหมุนตัวหันหลังกลับ ใบหน้านั้นไม่มีแม้แต่รอยยิ้ม ไร้ซึ่งความอ่อนน้อมถ่อมตน คงไว้ซึ่งความเย็นชาราวกับไร้ความรู้สึก เขารู้ตัวดีว่าสภาพของตัวเองในตอนนี้เป็นอย่างไร ยังไม่นับว่าเมื่อถึงตอนไปวัด เขาคงวิญญาณแตกดับทั้งที่ยังก้าวไม่พ้นธรณีประตูเข้าไปเสียด้วยซ้ำ

‘กลับมาแล้วเหรอ ตฤณ’

การปรากฏตัวที่เชิงบันไดทางขึ้นของเจตรินทำให้เมฆที่เพิ่งก้าวเดินเข้ามาชะงักเท้าไปจังหวะนึง

“ครับ”

‘พาเพื่อนเข้าไปนั่งรอในนั้นก่อนสิ เดี๋ยวจะไปหาอะไรมาให้ดื่ม’

เจตรินพูดพลางยกยิ้มอย่างเป็นมิตรไปให้กับเมฆที่ยืนอยู่ข้างหลัง สีหน้าของฝ่ายนั้นดูเหมือนจะตกใจอยู่เล็กน้อยแต่เขาไม่ได้ใส่ใจอะไรมากกลับเดินตรงไปหาจ้าวแล้วแสดงท่าทีเป็นห่วงเป็นใยพลางกล่าวเอ็ดเบาๆ ในเรื่องที่น้องชายเพิ่งกุขึ้นมาสดๆ ร้อนๆ ‘พี่บอกแล้วว่าอย่าออกไปเจอแดด เป็นยังไงล่ะ ปวดหัวใช่ไหม’

“ขอโทษครับ”

ไม่พลาดที่จ้าวจะตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จ

‘อ้อ!’ เจตรินร้องเบาๆ คล้ายว่าเพิ่งนึกอะไรขึ้นมาได้ ‘ผมลืมแนะนำตัวไปเลย ผมชื่อเจตรินครับ เป็นพี่ชายของจ้าว จะเรียกว่าเจตเฉยๆ ก็ได้ครับ’

คนๆ นั้นในสายตาของเมฆ แทบทุกกระเบียดนิ้วไม่อาจปฏิเสธได้ว่านี่คือโจเซฟ คัลเลน แต่เขาทำเพียงแค่ยิ้มรับแล้วบอกชื่อตัวเองเบาๆ “เมฆครับ”

จ้าวกระตุกแขนเสื้อของเจตรินสองสามครั้งทำนองว่ามีเรื่องต้องการจะพูดด้วย

‘ทำตัวตามสบายนะครับ เดี๋ยวผมขอพาน้องไปพักก่อน’

เจตรินพาจ้าวเดินเลี่ยงออกมาอีกทางแต่ก็ยังไม่ลืมกำชับลุงมิ่งที่จ้าวเรียกเข้ามาข้างในคฤหาสน์ด้วยจิตของเขาให้หาอะไรมาต้อนรับแขก พวกเขาสองคนหยุดในที่ที่คิดว่าจะไม่มีใครได้ยินบทสนทนาพวกนี้

“พี่เจต จ้าวมาคิดดูแล้ว จ้าวควรไปงานพี่เนตร”

‘อะ… อะไรนะ!’


คนโง่ยังเข้าใจ… สิ่งชั่วร้าย วิญญาณสัมภเวสี ผีเร่ร่อนไม่อาจเข้าวัดได้ แล้วทำไมน้องชายของเขาถึงได้โง่งมขนาดนี้

“ถ้าไม่ทำแบบนี้ พวกเขาได้สรรหาเรื่องมาให้ไม่หยุดแน่ จ้าวขี้เกียจจะไปนั่งอธิบายให้พี่ตฤณฟังแล้ว ถ้าจ้าวยังอยู่ในนั้นได้มันจะเป็นผลดีหลังจากนี้”

‘พี่เคยพูดแล้วว่าสักวันเขาจะทำความเดือดร้อนให้เรา จะเข้าวัดทั้งที่รู้ว่ามีโอกาสที่วิญญาณจะแตกดับอย่างนั้นเหรอ’

น้ำเสียงของเจตรินเครียดขึงขึ้นทันที แววตาไม่มีคำว่าอ่อนข้อ เขาไม่มีวันยอมปล่อยให้จ้าวไปเจออันตรายอย่างนั้น

“พี่เจต…”

‘ห้ามไป! ถ้าเห็นแก่ความเป็นพี่น้องของเรา พี่… พี่ไม่เคยห้ามจ้าวสักอย่าง แต่ขอแค่เรื่องนี้เถอะนะ’

“พี่… บางทีมันก็ไม่มีทางเลือก”

‘ไม่มีทางเลือก? ใครว่าไม่มี บอกความจริงเขาไปแล้วจบกับเขาเพียงแค่นี้’

แค่ประโยคสั้นๆ ของเจตรินกลับสะเทือนถึงขั้วหัวใจ มือเล็กทั้งสองข้างสั่นสะท้านราวกับพยายามควบคุมความรู้สึกของตัวเองในเวลานี้เอาไว้… ไม่รู้ทำไม เขาถึงไม่อยากปล่อยตฤณไป

จ้าวไม่ได้พูดอะไรขึ้นมา เขานิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง หัวสมองขาวโพลนไปหมดอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน พอคิดว่าถ้าตฤณรู้ความจริงทั้งหมดเข้าคงจากที่นี่ไปโดยไม่มีความลังเลใดๆ แน่ แล้วพลันนั้นน้ำตาก็ไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัว

‘น้องพี่ผูกพันกับเขามากขนาดนี้เลยเหรอ’


“….”

‘นั่นยิ่งต้องจบเรื่อง พี่จะไปบอกความจริงทุกอย่าง’

“อย่า จ้าวจะไป”

‘ทำไมดื้อขนาดนี้ ไปที่นั่นก็มีแค่สองทางเลือก ถ้าไม่เจ็บปวดจนคล้ายกับวิญญาณจะแตกดับกลับมาก็คือ… จ้าวจะไม่ได้อยู่ที่ไหน ไม่ว่านรก สวรรค์หรือโลกหลังความตายและพี่ยอมให้น้องที่พี่รักเป็นแบบนั้นไม่ได้’

“ถ้าวิญญาณแตกดับจริง มันคงเป็นจุดจบที่สวยน่าดูเลยนะ พี่ว่าไหม เมื่อถึงตอนนั้นวิญญาณของจ้าวคงกลายเป็นเกล็ดหิมะระยิบระยับที่ร่วงลงมาจากฟ้าแน่”

เจตรินดึงตัวจ้าวเข้ามากอดเอาไว้แน่น วิญญาณที่ทำกรรมชั่วไว้มากไม่มีทางที่จะพบจุดจบที่สวยงามอย่างที่วาดฝันเอาไว้แน่ ดวงหน้าของจ้าวที่ฝังอยู่บนไหล่ไม่ประดับด้วยความรู้สึกใดเว้นเพียงแต่ยอมรับชะตากรรมที่จะเกิดต่อจากนี้ไป

‘ให้พี่ไปแทนเถอะนะ’

“จ้าวไม่ได้จะไปตายสักหน่อย ถ้าโชคดีก็จะได้กลับมา พี่เจตรอจ้าวอยู่ที่นี่ดีกว่า”

‘ถ้าจ้าวไม่กลับมา พี่อยู่ไม่ได้นะ’


“จ้าวรับปากว่าจะกลับมา พี่เจตรอจ้าวนะ”

‘พี่รักจ้าวที่สุด จำไว้ให้ดีนะว่าพี่รักจ้าวที่สุด’

ในที่สุดเจตรินก็ยอมปล่อยแล้วแม้ในใจจะรู้ว่าสุดท้ายแล้วที่เหลืออยู่ในคฤหาสน์แห่งนี้จะมีเพียงแค่เขากับวิญญาณดวงอื่นที่ตายในคืนวันเฉลิมฉลอง


----------------------------------


หลังจากที่จ้าวยอมตกลงไปงานศพเนตรด้วยกัน ตฤณกลับรู้สึกใจคอไม่ดีทั้งที่นี่จะเป็นสิ่งพิสูจน์ทุกข้อกังขาว่าจ้าวไม่ใช่สิ่งลี้ลับหรืออะไรที่อยู่ต่างภพภูมิอย่างที่เมฆเข้าใจ เขาทอดสายตามองร่างเล็กที่นั่งอยู่ข้างๆ บนรถแท๊กซี่คันเดียวกันโดยที่เมฆนั่งอยู่ด้านหน้าข้างคนขับ

“มีอะไรหรือเปล่าครับ พี่ตฤณ”

ตฤณส่ายหน้าเล็กน้อยแล้วไม่ได้พูดอะไรต่อ

ยิ่งเข้าใกล้อาณาเขตวัดมากเท่าไร จ้าวยิ่งรู้สึกร้อนรนแต่ยังแสร้งทำเป็นนิ่งเฉย ไม่ยี่หระกับความรู้สึกนี้ เขาลอบมองร่างที่นั่งอยู่ข้างๆ ผ่านกระจกมองหลัง แม้จะเห็นเงาตัวเองสะท้อนเคียงคู่กันแต่มันกลับว่างเปล่าในสายตาผู้อื่น

รถแท๊กซี่จอดลงตรงข้ามเยื้องๆ กับทางเข้าวัด เพียงแค่นั้นร่างเล็กๆ ก็สั่นสะท้านไปทั่ว ความเรืองรองด้วยอำนาจบริสุทธิ์ขององค์พระพุทธรูปที่ประดิษฐานอยู่ที่นั่นอาบไล้มาจนถึงปลายเท้าของเขา

“พี่ตฤณ ขอ… ขอเวลาจ้าวสักครู่ได้ไหม มันเริ่มปวดหัวอีกแล้ว”

ดวงหน้ากลมมนเผือดสีลง สีหน้าและแววตาดูเคร่งเครียดกว่าทุกครั้ง ตฤณพยักหน้าพร้อมกับเอื้อมมือประคองร่างเล็กเอาไว้ คิดเข้าใจว่าคงเป็นเพราะปวดหัวมากจริง

“ประคองจ้าวแบบนี้ไปจนถึงฝั่งนู้นได้ไหมครับ”

จ้าวกลัวตัวเองจะหมดแรงไปกลางทาง พลังแห่งความบริสุทธิ์สามารถขจัดได้ทุกสิ่งที่ชั่วร้าย ยิ่งเข้าใกล้ยิ่งได้รับรู้ถึงพลังอำนาจนั้นจนปลายเท้าสั่นไหวเล็กน้อยขณะก้าวข้ามถนนแต่ก็ยังฝืนใจกัดฟันอดทนต่อความเจ็บปวดที่กำลังแล่นริ้วผ่านทุกพื้นที่ของร่างกาย ห้วงจังหวะหายใจถี่กระชั้นบ้างขาดหาย เหงื่อกาฬแตกพลั่ก เนื้อตัวเย็นเฉียบเข้าใกล้คำว่าคนตายเข้าไปทุกที แม้แต่ตฤณเองก็ยังรับรู้ถึงความผิดสังเกตนี้ได้

“กลับกันดีไหม ไว้คราวหลังค่อยมา”

“มะ… ไม่เป็นไรครับ”

“แต่หน้าซีดแบบนี้ พี่ว่ากลับเถอะ”

เมฆไม่ได้พูดอะไร เขาทำเพียงแค่ยืนฟังบทสนทนาเป็นห่วงเป็นใยของตฤณอยู่อย่างเงียบๆ

“ไม่เป็นไร จ้าว… ไหว พี่ตฤณปล่อยก่อนเถอะครับ”

จ้าวแกะมือที่กอดประคองออก ขยับตัวเล็กน้อยเว้นระยะห่างระหว่างเขากับตฤณเอาไว้ สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ควบคุมเสียงไม่ให้สั่นเครือก่อนที่พลังในร่างจะหมดจนไม่เหลือไว้คงสภาพร่างกายตัวเองเอาไว้ได้อีกจนสุดท้ายวิญญาณดวงนี้ก็เดินทางถึงจุดจบของมัน

“พี่ตฤณกับพี่เมฆ เข้าไปก่อนเถอะครับ เดี๋ยวจ้าวตามเข้าไป”

ความอบอุ่นของแสงสีทองจากโบสถ์ด้านในฉาบร่างของจ้าวให้เริ่มขาวซีด ถ้าหากความอบอุ่นโอบอ้อมอารีนี้สำหรับผู้อื่นนั้นคือสิ่งดีงาม แต่ทว่าสำหรับเขามันคือเงาของมัจจุราชในคราบเทวทูต แล่เนื้อเชือนใจให้ปวดแสบปวดร้อน ทุรนทุราย

“ทำไมไม่เข้ามาด้วยกันล่ะ ถ้าไม่ไหว พี่ช่วยประคองอีกแรงก็ได้”

เมฆพูดขึ้นอย่างเนิบนาบแสดงความเป็นห่วงแต่ทว่าใจกลับรู้ดี

“ไม่ต้องหรอกครับ พวกพี่เข้าไปก่อนเถอะ”

เมื่อจ้าวยืนกรานแบบนั้นเมฆจึงดึงร่างตฤณในก้าวเข้ามาอยู่ในอาณาเขตวัด

ใบหน้ากลมมนสีซีดชื้นเหงื่อไม่มีความรู้สึกใดปรากฏขึ้นมา เว้นเพียงแค่เสี้ยววินาทีที่รอยยิ้มแห่งความชิงชังกระตุกขึ้นมาเล็กน้อย ร่างกายนี้ใกล้จะถึงขีดจำกัดของมันแล้ว อีกไม่นานตฤณจะได้พบกับความจริงที่แสนโหดร้าย

“ให้พี่ประคองเถอะ”

ตฤณทำท่าจะเดินเข้าไปหาจ้าวแต่กลับถูกเมฆดึงรั้งเอาไว้

“อย่าเลยครับ ขอแค่ฟังจ้าวพูดสักสองสามเรื่องก่อนแล้วจะตามเข้าไป”

จ้าวกัดฟันทนข่มความเจ็บปวดยิ่งกว่าถูกเข็นพันเล่มหมื่นเล่มทิ่มแทงเอาไว้ภายใน เขารู้ดีว่าทุกอย่างเริ่มหลุดจากการควบคุมแล้ว ร่างทั้งร่างสั่นสะท้านไม่หยุด แค่ยังไม่ทันจะก้าวเข้าไปข้างในก็คล้ายกับวิญญาณจะแตกสลายเสียตรงนี้

“ยินดีกับพี่เมฆด้วยนะครับ ความพยายามของพี่สัมฤทธิ์ผลแล้ว”

สีหน้าของเมฆเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาเข้าใจในประโยคนั้นดีแต่ทว่าก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป

“จากนี้ไปจะไม่มีคำว่าจ้าว จะมีก็เพียงแค่…”

จ้าวหันไปยิ้มกับตฤณทั้งน้ำตา รอยยิ้มที่จริงใจที่สุด งดงามที่สุด เขาขืนกายที่สั่นเทาไม่หยุดก้าวเข้าอาณาเขตวัด ความเจ็บปวดแล่นริ้วผ่านกายราวกับถูกจับโยนลงกระทะทองแดงที่กำลังเดือดปุดๆ ร่างนั้นทรุดลงกับพื้น กรีดร้องอย่างบ้าคลั่งด้วยความเจ็บปวด ใบหน้ากลมมนเหยเกแต่กระนั้นก็ยังพยายามฝืนยิ้ม

ตฤณนิ่งค้างไปด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก อยากเข้าไปประคองกอดร่างนั้นให้คลายความเจ็บปวดแต่ส่วนหนึ่งของจิตใจกลับร้องห้าม เขายืนดูจ้าวที่ทุรนทุราย ร่างกายเริ่มโปร่งแสงพร้อมที่จะจางหายไปทีละส่วน

จุดจบชีวิตตัวเองไม่ได้งดงามอย่างที่คาดฝัน ไม่เพียงแค่ตฤณมองเขาด้วยสายตาที่แปลกไปจากทุกที ร่างกายนี้ยังรวดร้าวเข้าไปยังไขกระดูกจนแทบจะฉีกทึ้งออกมาเป็นชิ้นๆ ความเจ็บปวดที่แม้จะกรีดร้องเสียงดังเท่าไรก็ไม่สามารถบรรเทาลงไปได้

จ้าวฝืนยิ้ม มองหน้าตฤณเป็นครั้งสุดท้าย ร่างกายของเขา วิญญาณดวงนี้กำลังสลายไปกับอากาศธาตุ “จ้าว… โง่… เหมือนที่… พี่เจต… พูด”

ร่างที่อยู่ตรงหน้าอันตรธานหายไป เหลือเพียงแค่ละอองเกล็ดหิมะพร่างพรมอยู่ตรงนั้นเป็นนัยว่าก่อนที่มันจะว่างเปล่า เคยมีอะไรอยู่มาก่อน

“จ้าว… นี่มัน…”

หลากหลายความรู้สึกปนเปกันไปหมดจนแยกเยอะไม่ออกว่าอะไรคืออะไร เขามองที่ที่เคยมีคนที่รักสุดหัวใจแต่บัดนี้พบเพียงความว่างเปล่า หัวใจที่เคยเต้นเป็นจังหวะปกติกระตุกวูบอยู่หลายทีราวกับถูกกระแสไฟฟ้าช๊อต ไม่เพียงแค่นั้นความรู้สึกบางอย่างที่อยู่ในใจขับเคลื่อนให้ดวงตาคลอไปด้วยน้ำใสเต็มหน่วย 

หนึ่งสิ่งที่ตฤณสัมผัสได้คือความสูญเสีย

ร่างสูงทรุดตัวลงกับพื้นอย่างหมดแรง เด็กน้อยที่ดีแสนดี เด็กที่เขาหลงรักหมดทั้งใจ เด็กที่เขาพยายามปกป้องจากคำกล่าวหาทุกอย่าง แท้จริงคือดวงวิญญาณดวงหนึ่งที่ทำให้เขาเชื่อได้อย่างสนิทใจว่าเป็นอะไรที่ไม่ต่างจากเรา

ตฤณนั่งอย่างนั้นอยู่นาน เอาแต่จ้องมองไปยังสถานที่ที่เคยมีร่างของเด็กน้อยนามว่าจ้าวอยู่ตรงนั้นด้วยความอาลัยอาวรณ์ แม้จะเป็นเพียงแค่ช่วงเวลาไม่นานที่เคยได้ใช้ไปด้วยกัน จ้าวก็เป็นเด็กดีที่คอยดูแลเขาทุกอย่าง หากตัดความรู้สึกที่ว่าจ้าวไม่ใช่คน สิ่งที่เขากำลังรู้สึกอยู่ตอนนี้คงไม่ต่างอะไรกับการที่ได้สูญเสียคนรักไปอย่างกะทันหัน แต่แล้ว... ร่างนั้นก็ลุกพรวดขึ้นมา

“ไอ้พี่เมฆ!”

ตฤณพุ่งตรงเข้ากระชากคอเสื้อของเมฆ เงื้อหมัดตั้งท่าจะต่อยแต่ก็ชักมือกลับ สบถคำหยาบคายออกมาเสียงดังอยู่หลายคำ ท่าทางหัวฟัดหัวเหวี่ยงคล้ายกับมีบางสิ่งกำลังวิ่งพล่านอยู่ในใจแต่ไม่สามารถอธิบายออกมาได้ว่ามันคืออะไร

“เขาไปแล้ว… เขาไปแล้ว… เพราะพี่คนเดียว”

เมฆไม่อยากเชื่อว่ารุ่นน้องของเขาจะเป็นได้ถึงขนาดนี้ ทั้งที่รู้ความจริงแล้วแต่ดูท่าคล้ายว่าจะตัดไม่ขาด

“อาลัยอาวรณ์เขาขนาดนี้เลยเหรอ ทั้งที่เขาเป็นแค่วิญญาณที่จะเอาชีวิตแกนะ”

ตฤณหันไปมองอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน “พี่ว่าอะไรนะ!”

“สิ่งที่เขาทำกับแกคือพิธีผูกวิญญาณ ถ้ามันสำเร็จ วิญญาณแกกับเขาจะผูกติดกันชั่วนิรันดร์ เขาไปไหนก็จะต้องมีแกไปด้วย ไม่ว่าจุดจบของชีวิตแกคือได้ขึ้นสวรรค์ แต่ถ้าเขาได้ลงนรก แกก็จะต้องลงนรกอย่างเขา”

ตฤณนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่งก่อนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอันเบาหวิว “ยอม”

เมฆถอนหายใจออกมาเบาๆ แม้ความจริงจะเปิดเผยแต่ตฤณยังคงยอมให้มันเป็นอย่างนั้น เขาจนปัญญาที่จะพูดแล้วจริงๆ จึงบอกแค่เพียงสั้นๆ ว่า “เข้าไปข้างในกันเถอะ”



** ติดตามตอนต่อไป **




 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด