::: ตอนที่ 23 :::
ห้วงแห่งความคิดถึง
ตฤณไม่คาดคิดว่ามันจะมีวันนี้ วันที่ความสงสัยของคนอื่นกลายเป็นความจริง
ตั้งแต่ที่เกิดเรื่องขึ้นก็ผ่านมาแล้วสองวัน เขาไม่ได้กลับไปที่คฤหาสน์หลังนั้นอีกเลย ไม่รู้ว่าถ้ากลับไปแล้วจะพูดกับเจตริน พี่ชายของจ้าวว่าอย่างไรดี ไม่รู้ว่าตัวเองจะทำใจได้ไหมเมื่อกลับไปเห็นสถานที่ที่เคยมีเด็กคนนั้นออกมายืนต้อนรับด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอยู่หน้าประตูคฤหาสน์
เรื่องราวที่เกิดขึ้นวันนั้นรบกวนจิตใจเขาอยู่ตลอดเวลา แม้จะง่วงแค่ไหนแต่ก็ไม่เคยหลับลง จิตใจว้าวุ่นกระสับกระส่าย เวลาเข้าเรียนก็เหมือนจะรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง ตฤณไม่ได้เจอเมฆเลยตลอดสองวันที่ผ่านมา แม้จะเจอแต่ก็ทำเป็นพยายามหลบเลี่ยง เขารู้สภาพจิตใจของตัวเองตอนนี้ดีพอ
ย่างเข้าวันที่สี่ ตฤณตัดสินใจแล้วว่าจะกลับไปที่คฤหาสน์ตระกูลคัลเลนหลังนั้นด้วยเพราะทนต่อแรงที่อยู่ในใจไม่ไหว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หรือแม้แต่อาจถูกเจตรินด่าทอ แสดงความโกรธเคือง เขาก็ยินดีที่จะรับมันเอาไว้
ตอนค่ำของวันนั้น ตฤณจึงมุ่งหน้าไปยังคฤหาสน์คัลเลนตามที่ได้ตั้งใจเอาไว้ แต่เมื่อไปถึงกลับพบว่ามันแปลกกว่าทุกครั้ง บรรยากาศที่รู้สึกน่ากลัวแต่ทว่าอบอุ่นได้จางหายไปหมดแล้ว เหลือเพียงแค่ความน่ากลัวที่นับวันจะยิ่งน่ากลัวมากขึ้นเรื่อยๆ กับความเงียบสงบราวกับสถานที่นี่เป็นที่เก็บรวบรวมคนตายจำนวนมากเอาไว้
ตฤณกัดฟันทนข่มความรู้สึกเอาไว้แล้วเปิดประตูรั้วที่แง้มเอาไว้นิดๆ ออก เห็นเงาตะคุ้มๆ อยู่ใกล้บริเวณต้นไม้ใหญ่ที่ใกล้จะยืนต้นแห้งตายคล้ายว่าจะเป็นลุงมิ่ง แต่ยังไม่ทันที่จะได้เดินเข้าไปเรียก ฝ่ายนั้นก็แสดงตัวให้เห็นก่อน ดวงหน้าของลุงมิ่งหมองคล้ำไม่สู้ดี
'กลับมาอีกทำไม'“เอ่อ... มาหา... เจตครับ” ตฤณละล่ำละลักตอบกลับไป
'กลับไปเถอะ ที่นี่ไม่เหมาะที่จะอยู่นานๆ'ตฤณกลับไปไม่ได้ถ้าไม่ได้พูดกับเจตรินเสียก่อน เขามีเรื่องมากมายที่จะพูด มีสิ่งที่จะสารภาพ มีเรื่องที่อยากขอให้อีกฝ่ายให้อภัย เพียงแค่คิดหาคำตอบที่จะขอให้เขาได้อยู่ก่อน เจตรินก็เดินออกมาจากคฤหาสน์หลังนั้นตรงมาทางนี้ เขาจึงยิ้มออกมาได้บ้างว่าคนที่อยากเจอนั้นมาอยู่ตรงหน้าแล้ว
‘มีธุระอะไรที่นี่’ น้ำเสียงของเจตรินฟังราวกับไม่ใส่ใจถึงตัวตนของตฤณ ถามออกไปห้วนๆ
“คือ... อยากคุยเรื่องจ้าว”
เจตรินโบกมือไล่ให้ลุงมิ่งกลับไปทำงานของตน เมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่ตรงนี้แล้วจึงเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาอย่างรู้ว่าตฤณมาที่นี่ ต้องการจะพูดเรื่องอะไรที่เกี่ยวกับจ้าว ‘สิ่งที่เกิดขึ้นกับจ้าว ผมไม่โกรธ’
“.....”
‘รู้แล้วใช่ไหมว่าจ้าวเป็นวิญญาณ ไม่ใช่คนเหมือนคุณ’ตฤณไม่ตอบอะไร เขาพยักหน้าแค่เล็กน้อย แต่ทว่าในใจกลับรู้สึกปั่นป่วนยังไงชอบกลทั้งที่เรื่องนั้นเป็นเรื่องที่รู้อยู่เต็มอกแล้วแท้ๆ
‘แล้วรู้ใช่ไหมว่าเขาไม่อยู่ที่นี่แล้ว’“ครับ”
‘แล้วมาเพื่ออะไร ต้องการแค่มาย้ำความคิดของตัวเองเหรอ’สิ่งที่เจตรินพูดมา บางทีมันก็อาจใช่แต่ในใจลึกๆ แล้วเขาอยากมาเพื่อได้ยินว่าสิ่งที่เห็นมันเป็นเพียงแค่ความฝันมากกว่า
“จ้าว... ไม่อยู่แล้วจริงๆ เหรอ”
‘อืม’“แล้วทำไมถึงปล่อยให้เขาไปทั้งที่รู้ว่าเขาอาจจะไม่ได้กลับมาอีก”
นั่นสิ! ทำไมเจตรินถึงยังยอมให้น้องชายจากไปแม้จะรู้ว่าสุดท้ายแล้วพวกเขาสองคนอาจไม่ได้อยู่ด้วยกันอีก นั่นก็คงเป็นเพราะเขาตามใจน้องมากเกินไป อยากได้อะไรก็หามาให้ อยากทำอะไรก็ไม่เคยขัดใจ
‘ถ้าไม่มีอะไรแล้วก็กลับไปเถอะ ที่นี่ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว’“ไม่เหมือนเดิม?”
เจตรินถอนพรั่งพรูลมหายใจออกมาอย่างอ่อนอกอ่อนใจ
‘อืม มันไม่เหมือนเดิม แต่ถ้ามีธุระจริง พรุ่งนี้จะให้โอกาสแค่ครั้งเดียว จะมาก็มาตอนที่พระอาทิตย์ขึ้น ห้ามมาหลังพระอาทิตย์ตกดินไปแล้วเป็นอันขาด ตอนนี้ขอให้กลับไปก่อน’ ท่าทางของตฤณดูลังเลใจเหมือนอยากจะเข้าไปแต่เจ้าของที่ยังไม่พร้อมต้อนรับ เขาทำได้แค่ทอดสายตามองไปยังคฤหาสน์ที่อยู่ด้านหลังด้วยความคำนึงถึง ไม่ว่าจ้าวจะเป็นอะไร จะไม่ใช่คนเหมือนอย่างที่เขาเป็น หัวใจก็ยังตอบว่ารักอยู่ดี
‘ออกไปก่อน พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่ ผมปกป้องคุณอย่างที่เขาทำไม่ได้’“ปกป้อง? ปกป้องจากอะไร?”
‘พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน ออกไปก่อน เร็ว’ เจตรินดูรีบร้อน ลุกลี้ลุกลนแต่น้ำเสียงยังคงเรียบเฉย
“ก็ได้ พรุ่งนี้ผมจะมาหาแต่เช้า”
เจตรินรอให้ตฤณเดินออกไปจนแน่ใจแล้วว่าพ้นจากบริเวณคฤหาสน์ แล้วจึงหายไปจากที่ตรงนั้นด้วยเช่นกัน มาปรากฏกายอีกครั้งก็ในห้องของนอน ข้างเตียงที่มีโครงกระดูกของน้องชายอยู่บนนั้นด้วยความอาลัยอาวรณ์ แม้จะทำใจกับการจากไปตลอดกาลของน้องชายแล้วก็ตามแต่ก็ยังทำใจไม่ได้ ยิ่งรับรู้ว่าวิญญาณของจ้าวไม่ได้หายไปไหนแต่ทว่าก็หาไม่เจอนั่นยิ่งทำให้เขารู้สึกเป็นห่วงมากขึ้นกว่าเดิม
‘จ้าว บอกพี่ได้ไหมว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน’โครงกระดูกเด็กวัยสิบหกปีไม่อาจเอื้อนเอ่ยคำตอบใดๆ ได้
‘พี่กลัวนะ ดวงจิตของจ้าวที่ไม่แข็งแรงอาจเจอพวกหมอผีนำไปทำไสยศาสตร์มนต์ดำก็ได้’เจตรินทรุดตัวลงนั่งข้างเตียง เหม่อมองร่างกายที่ไม่เหลือเนื้อหนังมังสาด้วยความคิดถึง หวนนึกถึงคราวนั้นที่ได้พบเจอกันเป็นครั้งแรก จ้าวเป็นเด็กกำพร้าที่ถูกพ่อแม่ที่แท้จริงรังเกียจเดียดฉันท์เพียงเพราะมีดวงตาสีแปลกกว่าผู้อื่น ในวันหนึ่งวันนั้นถ้าไม่เป็นเพราะบิดารับจ้าวเข้ามาเลี้ยงดูเป็นบุตรบุญธรรม เขาคงไม่มีวันได้รู้จักเด็กที่แสนน่ารักอย่างจ้าว
‘จ้าว กลับมาไวๆ นะ พี่คิดถึง’ไม่รู้ว่าความคิดถึงจะส่งไปถึงดวงวิญญาณดวงนั้นไหม ไม่แน่ใจว่าเสียงอันแผ่วเบาของตัวเองจะลอยตามสายลมไปกระทบกับโสตประสาทของเด็กคนนั้นไหม แต่มีเพียงหนึ่งเดียวที่แน่ใจ นั่นคือตฤณยังคงไม่ทิ้งหนีไปไหนเมื่อรับรู้ความจริงว่าแท้จริงแล้วนั้นจ้าวเป็นเพียงแค่วิญญาณดวงหนึ่ง
เจตรินนั่งมองโครงกระดูกที่อยู่บนเตียงเนิ่นนาน ผ่านไปเท่าไรไม่รู้ตั้งแต่ที่ตฤณมาถึงและกลับไป พอรู้ตัวอีกทีก็รับรู้ได้ถึงแสงแดดอุ่นๆ ที่ลอดผ่านผ้าม่านผืนบางเข้ามา แสงอาทิตย์ที่สาดส่องลงมายังร่างของเขาทำให้เกิดละอองสีขาวขึ้นรอบกาย แต่ถ้าหากเปลี่ยนจากเขาเป็นจ้าวคงไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงอะไรเกิดขึ้น
‘พี่อยากให้จ้าวกลับมา รู้หรือเปล่าว่าตั้งแต่ที่จ้าวไม่อยู่ ที่นี่มันก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือไปหมด’“.....”
‘เมื่อวานตฤณทำพี่แปลกใจมากเลยนะ พี่คิดว่าถ้าเขาได้รู้ความจริงแล้วก็คงจะไม่กลับมาที่นี่อีก’เจตรินขยับตัวเล็กน้อย ลุกขึ้นจากข้างเตียงแล้วเดินไปยังตุ๊กตาหมีฝุ่นเขรอะที่แทบจะมองไม่ออกว่าแต่เดิมแล้วตุ๊กตาตัวนี้มีสีอะไรมาก่อน
‘ตุ๊กตาที่พี่ทำให้เป็นของขวัญวันเกิดครบรอบเก้าขวบของจ้าว จ้าวไม่เคยทิ้งมันไว้ห่างกายเลยแม้แต่ครั้งเดียว ทำไมตอนนั้นพี่ถึงได้โง่ถามอะไรแบบนั้นออกไป ทั้งที่คำตอบมันก็อยู่ตรงนี้แล้วแท้ๆ’ เขาฝืนยิ้มออกมาอย่างข่มขื่นก่อนกล่าวต่อ ‘จ้าวจะไม่รักพี่ได้ยังไง จริงไหม’
พระอาทิตย์ยังขึ้นไม่สูงเท่าไร ตฤณก็มาหยุดอยู่ที่หน้าประตูรั้วของคฤหาสน์เสียแล้ว
‘พี่ไปต้อนรับคนที่รักจ้าวสุดหัวใจก่อนนะ’เจตรินมาปรากฏกายอีกทีที่ด้านหลังประตูคฤหาสน์ เขาไม่กล้าเดินออกไปมากกว่านี้เพราะยังไม่แน่ใจว่าตฤณจะรู้หรือเปล่าว่าเขาก็เป็นเหมือนที่จ้าวเป็น เขารอให้ตฤณเดินเข้ามาข้างในเองแล้วจึงเอ่ยทักทาย
‘มาแต่เช้าเลย ได้นอนบ้างหรือเปล่า’“ครับ”
แต่จากสภาพที่เจตรินเห็น คงอดหลับอดนอนมาหลายคืนน่าดู ไม่เพียงแต่ดวงตายังอิดโรย ขอบตาดำคล้ำ ท่าทางเหมือนคนไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรสักอย่าง บอกได้เพียงคำเดียวว่าเขาสงสารที่น้องชายทำให้คนคนหนึ่งเป็นได้ถึงขนาดนี้
‘เข้ามาข้างในก่อน ผมรู้ว่าคุณคงมีเรื่องอยากจะถามอีกเยอะ’ตฤณพยักหน้าแล้วเดินตามเข้าไปด้านใน เจตรินพาไปยังห้องรับแขกซึ่งอยู่อีกฝั่งหนึ่งของคฤหาสน์ เชิญให้ตฤณนั่งลงที่โซฟา โต๊ะกาแฟด้านหน้านั้นมีเพียงความว่างเปล่าและเขาก็ปล่อยให้มันว่างอยู่อย่างนั้น ตฤณคงไม่สนใจอะไรอย่างอื่นนอกเสียจากเรื่องของจ้าว
‘มีอะไรจะถามเกี่ยวกับจ้าวก็ถามมาเถอะครับ’“เอ่อ...” ตฤณไม่รู้จะเริ่มถามยังไง เขาอธิบายความรู้สึกในเวลานี้ไม่ถูก มันมีเรื่องที่ทั้งอยากรู้และอยากได้คำอธิบายในเวลาเดียวกัน
‘ถามเรื่องที่อยากรู้ก่อนก็ได้ครับ’“เมื่อคืนคุณบอกว่าปกป้องผม ปกป้องผมจากอะไร”
เจตรินยิ้มเล็กน้อยก่อนเอ่ยออกมา
‘ถ้าเคยได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับคฤหาสน์หลังนี้มาบ้าง น่าจะเดาได้ไม่ยากนะครับว่ามันเป็นเพราะอะไร ถ้าคุณถามจ้าว เขาต้องตอบคุณแบบนี้แน่ แต่ถ้าถามผม ผมก็จะตอบว่าที่นี่มีวิญญาณของผีหายโหง วิญญาณที่มีความอาฆาตแค้นแต่ตอนที่คุณอยู่ที่นี่แล้วจ้าวยังอยู่ เขาเป็นคนควบคุมทุกอย่าง ปกป้องคุณจากทุกสิ่งที่ชั่วร้ายหรือวิญญาณตนอื่นที่ต้องการเอาชีวิตคุณเพราะอยากได้ตัวตายตัวแทน’ตฤณไม่อยากเชื่อว่าจ้าวจะพยายามปกป้องเขาจากสิ่งพวกนั้นมาโดยตลอดแต่เขากลับทำให้อีกฝ่ายเสียใจด้วยการสงสัยในตัวตนของจ้าวเหมือนที่คนอื่นสงสัย เขานิ่งงันไปเล็กน้อยราวกับกำลังนึกทบทวนถึงเหตุการณ์วันนั้นและหลังจากนั้นไปมาอยู่ในใจ
‘จ้าวอาจไม่ใช่เด็กที่ดีนักในสายตาของคนอื่นแต่เขาก็ทำเพื่อคุณ วันที่คุณชวนเขาเข้าวัดไปงานศพ จริงๆ แล้วเขาจะยืนกรานปฏิเสธก็ได้แต่ไม่ทำทั้งที่รู้ว่าไปแล้วจะเกิดอะไรขึ้น นั่นก็เพราะเป็นคุณที่พูดชวน’ตฤณพูดอะไรไม่ออกเหมือนว่าความผิดที่ทำให้จ้าวหายไปนั้นเกิดขึ้นเพราะเขาคนเดียว
‘เด็กคนนั้นรู้ว่าตรงหน้าคือกองไฟที่จะทำให้วิญญาณของตัวเองมอดไหม้ก็ยังกระโดดเข้าไปเพราะเห็นแก่คุณ แต่เขากลับไม่นึกโทษว่าเป็นความผิดของคุณ ผมเองก็ไม่โทษว่าเป็นเพราะคุณถึงทำให้เขาหายไป’“เขา... เขาอยู่ไหน”
‘ตอนนี้ไม่มีใครรู้ว่าจ้าวอยู่ไหน แต่ถ้าเมื่อไรที่ดวงวิญญาณแตกดับ มันจะไม่มีที่ไหนให้เขาได้ยืน ไม่ว่าจะเป็นที่นี่หรือโลกหลังความตาย จ้าวจะกลายเป็นสิ่งที่ไม่มีตัวตนอยู่และจะถูกกล่าวถึงแค่ในนาม’คำพูดของเจตรินในเวลานี้เหมือนกับกำลังบอกเขากลายๆ ว่าอาจไม่ได้เจอจ้าวอีกชั่วนิรันดร์ ไม่รู้ทำไมความเสียใจถึงได้พรั่งพรูออกมาราวกับน้ำป่าไหลหลาก ไหลออกมาไม่หยุดและไม่รู้ว่าจุดสิ้นสุดอยู่ตรงไหนตราบเท่าที่ฝนยังไม่หยุดตกในใจ
“จะ... จะไม่มีโอกาสได้เจอเขาอีกใช่ไหม”
‘ผมตอบไม่ได้ว่าจะได้เจออีกไหม’ตฤณพยักหน้ารับอย่างเชื่องช้า
‘ทำไมคุณถึงกลับมาที่นี่อีกทั้งที่ก็น่าจะรู้แล้วว่าเขาเป็นอะไร’“คงเพราะผมรักเขาล่ะมั้ง ตอนที่รู้ว่าจริงๆ แล้วเขาเป็นแค่วิญญาณมันสับสนไปหมด ทั้งรัก ทั้งไม่อยากเชื่อ หลายสิ่งหลายอย่างมาปนเปอยู่ในความคิด ผมนอนไม่หลับอยู่หลายคืน เอาแต่คิดถามตัวเองว่าทำไมมันถึงเป็นแบบนี้แต่จนแล้วจนรอด ผมก็ไม่ได้คำตอบอะไรนอกจากรู้ทั้งรู้แต่ก็ยังรัก”
ความจริงใจที่สื่อผ่านคำพูดทุกคำ เจตรินเข้าใจทั้งหมด เพียงแต่ว่าถ้าจ้าวยังอยู่ตรงนี้ด้วยกัน เด็กคนนั้นจะพยายามทำความเข้าใจมันหรือเปล่า
‘มีไม่กี่คนที่รู้ว่าจ้าวเป็นอะไรแล้วยังรัก’“ทำไมถึงไม่บอกผมเลย”
‘ถ้าผมบอกคุณตั้งแต่แรก คุณจะยังอยู่ที่นี่อีกไหม’ตฤณตอบไม่ได้ว่าถ้าตัวเองล่วงรู้ตั้งแต่แรกที่เหยียบย่างเข้ามาในคฤหาสน์หลังนี้ว่าจ้าวเป็นสิ่งที่อยู่ในอีกภพภูมิหนึ่งแล้วเขาจะทำอย่างไร บางทีอาจจะตอบปฏิเสธข้อแลกเปลี่ยนของจ้าวตั้งแต่ตอนนั้นแล้วจากไปโดยไม่หวนกลับมาอีก แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่าจ้าวเป็นดวงวิญญาณดวงหนึ่งและเขาก็ยังยอมรับมันได้
‘บอกตอนนี้กับบอกตอนนั้นมันไม่เหมือนกันหรอกนะครับ ถ้าคุณรู้ตั้งแต่แรกก็อาจจะจากไปโดยไม่เสียเวลาคิดด้วยซ้ำ แต่บอกตอนนี้ในขณะที่คุณได้รู้จักเขาในระดับหนึ่งแล้ว อะไรหลายๆ อย่างมันย่อมต้องเปลี่ยนไปรวมทั้งความคิดของคุณเองด้วย’“อืม มันก็อาจจะใช่”
‘คุณรู้แบบนี้แล้วยังยืนยันที่จะรักเขาอยู่อีกไหม’“รัก”
‘ถ้าหากว่าเขาเคยทำสิ่งที่เลวร้ายกับคุณ คุณจะยังรักเขาอยู่อีกไหม ขอให้ตอบมาตรงๆ เพราะมันสำคัญมาก ผมอยากรู้ว่าถ้าเขาไม่ใช่เด็กดีที่น่ารัก คุณจะโกรธ จะเกลียดเขาหรือเปล่า จะให้อภัยในสิ่งที่เขาทำลงไปได้ไหม ผมรักน้องของผมมากนะ และตอนนี้ผมกำลังทำหน้าที่พี่ที่ดี ปกป้องน้องจากทุกสิ่งทุกอย่าง’
ตฤณนิ่งเงียบอย่างใช้ความคิด แต่แล้วก็ตัดสินใจพูดออกมา “ผมรักเขาแค่นั้นมันก็น่าจะเพียงพอแล้วไม่ใช่เหรอ”
‘ผมไม่รีบร้อนขอคำตอบจากคุณ กลับไปคิดให้ดีอีกรอบก็ได้’ตฤณตอบรับในลำคอเพียงสั้นๆ “แล้วผมจะกลับมาที่นี่อีกได้ไหม”
‘ได้ อยากมาก็มาได้ แต่อย่ามาหลังจากพระอาทิตย์ตกดินไปแล้วก็แล้วกัน ถ้าเกิดอะไรขึ้นมา ตอนนั้นถึงจะเรียกให้ใครช่วยก็คงช่วยไม่ได้แล้ว’ตฤณพยักหน้าอย่างเข้าใจ
‘จะขึ้นไปเอาของไหม’“ครับ”
ตฤณเดินตามเจตรินขึ้นไปข้างบน ความรู้สึกที่คฤหาสน์หลังนี้ไม่มีจ้าวอยู่แล้วมันช่างแตกต่างจนรับรู้ได้เป็นอย่างดี ทั้งวังเวงและเงียบเหงาในเวลาเดียวกัน พอเดินใกล้จะถึงห้องที่เคยอยู่แม้จะเป็นเพียงไม่กี่วัน ใจมันสั่นแปลกๆ ราวกับว่าลึกๆ แล้วยังคงว่าเมื่อเปิดประตูเข้าไปจะเจอร่างอันคุ้นตาส่งยิ้มทักทายแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอันไพเราะว่ากลับมาแล้วเหรอครับ
‘เข้าไปเก็บของเถอะ เดี๋ยวผมรออยู่ข้างนอก’เจตรินอยากให้ตฤณได้ใช้เวลาอยู่ในห้องนั้นเพียงลำพังสักพัก เพราะเขาเองก็ไม่แน่ใจว่าเมื่อไรน้องชายจะกลับมาหรือบางทีอาจจะหายไปตลอดกาล
ตฤณเดินเข้าไปข้างในห้อง พอได้เห็นเตียงนอนที่เคยได้ให้คนตัวเล็กได้ซุกไออุ่นแล้วใจกระตุกวูบ อยากจะร้องไห้แต่กลับร้องไม่ออก อยากจะเอ่ยขอโทษแต่เจ้าตัวก็ไม่อยู่ฟัง เขาทำได้เพียงแค่ลูบไล้ไปตามผืนผ้าปูเตียงที่เคยมีร่างของคนที่รักอยู่ตรงนั้น
“จ้าว... พี่ขอโทษ”
ตฤณนึกคำที่ดีกว่านี้ไม่ออกแล้ว นอกจากคำว่าขอโทษก็ไม่มีอะไรที่สื่อความรู้สึกของเขาในเวลานี้ได้ เขาเดินไปเก็บข้าวของของตัวเองรวมถึงบางสิ่งบางอย่างใส่กระเป๋าเป้ที่ถือมาด้วยครั้งแรก บางอย่างที่ไม่มีตัวตนแต่สัมผัสได้ นั่นคือ... ทุกสิ่งทุกอย่างที่จ้าวทำให้ภายในคฤหาสน์หลังนี้ ทั้งความหวังดี ทั้งความเป็นห่วงและเอาใจใส่
“จ้าว พี่ขอโทษนะ” ตฤณเอ่ยย้ำคำขอโทษอีกครั้ง
แม้จะอาลัยอาวรณ์มากเท่าไรแต่เขาก็ไม่กล้าที่จะอยู่ในห้องนั้นนานเกินไป เขามองไปรอบห้องเพื่อเก็บเกี่ยวความทรงจำที่เคยมีจ้าวเอาไว้ให้ได้มากที่สุด ไม่รู้เมื่อไรที่เด็กคนนั้นจะได้กลับมาอีกครั้ง หรือบางทีมันอาจจะไม่มีโอกาสนั้นอีกแล้ว
ตฤณเก็บข้าวของของตัวเองเป็นที่เรียบร้อยแล้วจึงเดินออกมาจากห้อง
“งั้นผมไปก่อนนะ แล้วจะมาใหม่”
‘ให้ผมไปส่งที่หน้าประตูนะ’
ตฤณพยักหน้า ทั้งคู่เดินลงไปข้างล่างพร้อมกัน เจตรินหยุดยืนส่งแค่ที่หน้าประตูคฤหาสน์อย่างที่บอกแต่ยังมิวายกำชับเรื่องการแวะมาที่นี่อีกครั้งด้วยความเป็นห่วง ‘ถ้าจะมาก็อย่ามาหลังพระอาทิตย์ตกดินไปแล้วนะ’
เจตรินรอให้ตฤณเดินจากไปจนลับสายตา ประตูคฤหาสน์หลังนี้จึงกลับมาปิดตายอีกครั้ง เขายืนอยู่ตรงนั้นที่เดิม ถ้าหากวันนั้นคำพูดของเขามันหนักแน่นมากกว่านี้ ถ้าเขาไม่ใช่คนใจอ่อนที่ยอมน้องชายอยู่เสมอ บางทีวันนี้จ้าวอาจจะยังยืนอยู่ข้างกัน
คฤหาสน์หลังนี้เปลี่ยนไปตั้งแต่ที่จ้าวไม่อยู่ จากหน้ามือกลายเป็นหลังมือ วิญญาณผีตายโหงและพวกสัมภเวสีที่มีความอาฆาตแค้นคล้ายจะลุกฮือขึ้นมาก่อกบฏ ช่วงชิงอำนาจปกครองไป ในเวลากลางคืนหลังจากพระอาทิตย์ตกดินไปแล้วมันจึงไม่มีอะไรยืนยันได้ว่าจะไม่เกินเรื่องราวเลวร้ายมากขึ้นกว่าเดิม วิญญาณพวกนั้นถ้าไม่ต้องการเพียงแค่เล่นสนุกก็มักจะอยากได้ตัวตายตัวแทน ผู้ที่จะมาติดอยู่ที่นี่แล้วตนจะได้หลุดพ้นไปผุดไปเกิดใหม่
‘พี่รอจ้าวอยู่นะ ทุกคนก็กำลังรอจ้าวอยู่ ตฤณก็รออยู่ด้วยนะ ได้ยินไหม’-----------------------------------
หลังจากที่ตฤณออกจากคฤหาสน์ของตระกูลคัลเลนมาแล้วก็มุ่งหน้าไปมหาวิทยาลัยทันที เขาคอยหลบเลี่ยงไม่เจอหน้าเมฆมาตลอดหลายวันแต่วันนี้เห็นทีคงไม่ได้เสียแล้ว
“ตฤณ”
ตฤณไม่ตอบแต่ทว่าหูก็ยังตั้งใจฟังในสิ่งที่เมฆจะพูดถึง
“พี่ขอคุยด้วยหน่อยสิ”
ตฤณเงียบ ยังไม่ยอมพูดอะไรด้วยอีก
“ตฤณ พี่ขอคุยเรื่องเด็กคนนั้นหน่อย ถ้าเห็นว่าเขาเป็นคนสำคัญก็ฟังพี่พูดบ้าง”
“ผมฟังพี่มาเยอะแล้ว”
“ตฤณ เรื่องนี้อาจจะสำคัญกับแกนะ ถ้าแกรักเขา”
“งั้นพี่ก็พูดมา”
ตฤณยังคงยืนอยู่ตรงนั้น สายตาจับจ้องไปยังใบหน้าของรุ่นพี่ที่ไม่มีแม้แต่ความล้อเล่น นั่นหมายถึงว่าสิ่งที่เมฆจะพูดนั้นคงเป็นเรื่องที่สำคัญจริงๆ ดั่งว่า แต่เมฆกลับยังไม่ยอมพูดอะไรออกไป เขามองซ้ายมองขวาคล้ายว่าอยากต้องการที่ที่สงบเงียบกว่านี้
“พี่เมฆ”
“ไปคุยกันที่อื่นได้ไหม”
“ผมมีเวลาไม่นานนะ”
เมฆพยักหน้า เขาเองก็มีเรื่องที่จะพูดไม่นานเช่นกัน ทั้งคู่เดินออกจากซุ้มคณะตรงไปยังซอกมุมหนึ่งใกล้ลานจอดรถของคณะ ที่นี่ไม่ค่อยมีผู้คนเดินผ่านมากนักและค่อนข้างเงียบสงบ ถึงจะมีคนอยู่บ้างก็แค่เดินผ่านมาและผ่านไป ไม่มีใครสนใจฟังเรื่องที่พวกเขาสองคนพูดคุยกันอยู่แล้ว
“พี่เมฆจะพูดอะไร”
“ขอพี่ถามสักสองสามเรื่องก่อนได้ไหม”
ตฤณพยักหน้า เมื่อเห็นเช่นนั้น เมฆจึงคิดถามย้ำเรื่องราวเดิมๆ อีกครั้ง “แกคิดอะไรกับเด็กคนนั้นใช่ไหม”
เสียงตอบรับในลำคอแม้จะไม่ได้ดังแต่มันก็หนักแน่นทำให้เมฆผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ แรกเริ่มเดิมทีเขาก็คิดว่าถ้าหากรุ่นน้องคนนี้ได้รับรู้ความจริงว่าจ้าวเป็นผู้อยู่ต่างภพต่างภูมิกันแล้วจะตัดใจจากได้ แต่ทว่ากลับไม่ยอมปล่อยมือแม้แต่น้อย
“พี่ไม่รู้นะว่าตอนนี้เขาเป็นยังไงบ้าง แต่ที่แน่ๆ วิญญาณอีกครึ่งของแกยังไม่กลับมา”
ตฤณชะงักค้างไปครู่หนึ่ง เขารู้ว่าจ้าวยังอยู่ เพียงแต่ไม่มีใครหาพบแม้กระทั่งพี่ชายก็ยังไม่รู้ว่าตอนนี้ดวงวิญญาณนั้นหายไปอยู่ที่ไหน แต่ไหนแต่ไรเขาก็ไม่ได้เชื่อเรื่องที่เมฆพูดเกี่ยวกับจ้าวสักครั้งแต่ทว่าครั้งนี้หัวใจกลับเชื่อมันอย่างไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ วิญญาณของเขาอีกครึ่งยังอยู่ที่จ้าวนั่นนับว่าเป็นเรื่องที่ดีเพราะอย่างน้อยก็ยังมั่นใจได้ว่าวิญญาณดวงนั้นยังไม่แตกดับไป เพียงแค่อ่อนแรงจนไม่สามารถปรากฏร่างให้ใครเห็นได้
“รู้ใช่ไหมว่ามันหมายความว่ายังไง ถ้าเมื่อไรที่วิญญาณอีกครึ่งของแกกลับมาอยู่ที่ร่างก็มั่นใจได้เลยว่าเขาจากไปอย่างถาวรแล้ว”
“อืม รู้”
“แล้ว... เขาเป็นยังไงบ้าง”
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ตฤณตอบไม่ได้ ไม่ว่าใครก็ให้คำตอบไม่ได้ทั้งนั้น เขาส่ายหน้าอย่างจนใจ
“ถ้าอยากเจอเขา มันก็พอมีวิธี แค่ตามหาวิญญาณอีกครึ่งของแกพบก็จะได้พบเขาเอง”
พลันนั้นหัวใจของตฤณก็พองโตขึ้นมาเล็กน้อย ขอเพียงแค่ได้พบหน้าจ้าว ต่อให้ต้องตกนรกหมกไหม้ ไม่ได้ผุดได้เกิดชั่วกัปชั่วกัลป์ก็ยอม
“แล้วต้องทำยังไง”
“ไม่รู้เหมือนกัน แต่เคยได้ยินว่ามันมีวิธีนี้อยู่ มันเป็นวิธีโบราณที่พี่ไม่แน่ใจว่าปัจจุบันมันสาบสูญไปแล้วหรือยัง ให้อย่างมากวิญญาณคนเราออกจากร่างก็ต้องออกไปทั้งดวง ไม่ใช่ออกไปครึ่งๆ กลางๆ แบบนี้”
เพียงเสี้ยววินาที หัวใจของตฤณก็กลับมาห่อเหี่ยวอีกครั้ง รู้ว่ามีวิธีแต่ไม่อาจนำมาใช้การได้จะต่างอะไรกับการที่ไม่รู้เลยสักอย่าง เขาถอนหายใจออกมาเบาๆ การจะได้พบเจอกับจ้าวอีกครั้งทำไมถึงได้เป็นเรื่องยากขนาดนี้ ถ้าเขาสามารถล่วงรู้อนาคตว่าสักวันหนึ่งเด็กคนนั้นจะหายไปจากวงจรชีวิต เขาจะโอบกอดเอาไว้ให้แน่นจนกว่าจะหมดแรง
“ถ้ามันไม่รู้จะทำยังไงก็คงต้องรอให้เขากลับมาเอง”
คำพูดนี้ไม่ใช่ของเมฆแต่เป็นคำพูดที่ออกมาจากปากของตฤณ ในเมื่อตามหาไม่ได้ก็ทำได้เพียงแค่รอเขาอยู่ตรงที่เดิม รอจนกว่าเขาจะวนกลับมาเจอกับเราอีกครั้ง
“ตฤณ หายโกรธพี่ได้ไหม”
ตฤณไม่รู้จะตอบอย่างไร เขาก็ไม่ได้ถึงขั้นโกรธเคืองอะไรเมฆเลย แค่รู้สึกว่าถ้าไม่ใช่เพราะเมฆต้องการพิสูจน์ความจริงที่เขาพยายามไม่เชื่อ จ้าวก็คงไม่หายไปอย่างนี้ แต่คงโทษเมฆทั้งหมดไม่ได้ อย่างน้อยครึ่งหนึ่งของความผิดนั้นก็เกิดจากตัวเขาด้วยเช่นกัน
“ไม่ได้โกรธอะไรพี่ขนาดนั้น”
“แล้วทำไมถึงไม่คุยด้วย”
“พี่คิดว่าเกิดเรื่องแบบนั้นแล้วมันจะทำตัวเป็นปกติได้เหรอ”
เมฆเข้าใจว่ามันเป็นเรื่องไม่คาดฝันและยิ่งไปกว่านั้นก็ยังเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับคนที่รัก ไม่ว่าใครก็คงไม่มีใครทำใจยอมรับกันได้ง่ายๆ เขาจึงเงียบและไม่พูดอะไรขึ้นมาอีก
“พี่เมฆว่างกลับไปที่คฤหาสน์หลังนั้นกับผมไหม”
“ห๊ะ!”
ไม่ว่าใครก็คงไม่อยากเหยียบย่างเข้าไป เจ้าของคฤหาสน์อย่างจ้าวไม่อยู่ก็ใช่ว่ามันจะสงบสุขเสียเมื่อไรและเขาไม่อยากพบเจออะไรที่อาจจะเป็นการนำเอาชีวิตของตัวเองไปเสี่ยงกับสิ่งลี้ลับที่มองไม่เห็น
“ไปคฤหาสน์หลังนั้นกับผมนะ”
“เหอๆ... วันอื่นนะ ไม่ใช่วันนี้”
“อีกห้าวัน เราไปที่นั่นกัน”
เมฆพยักหน้ารับคำอย่างเลี่ยงไม่ได้จริงๆ เขาทำผิดกับเด็กคนนั้นเอาไว้ บางทีก็ควรจะต้องไปขอโทษบ้าง
** ติดตามตอนต่อไป **