✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 26 **END** [27/06/2561]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ✤† Đemon’s Ħouse †✤ คฤหาสน์หลอนซ่อนวิญญาณ - ตอนที่ 26 **END** [27/06/2561]  (อ่าน 18246 ครั้ง)

ออฟไลน์ lcortsess

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 173
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-3

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
จ้าวจะไปง่ายๆ แบบนี้หรือ ไม่ใช่มัง  :hao4:

ออฟไลน์ kun

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +122/-10
จ้าวไม่น่าจะไปง่ายๆ น่ะ

ออฟไลน์ lcortsess

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 173
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-3
รอออ จ้าววว  กลับ มา    :katai5:

ออฟไลน์ BlueSora

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
::: ตอนที่ 23 :::
ห้วงแห่งความคิดถึง








ตฤณไม่คาดคิดว่ามันจะมีวันนี้ วันที่ความสงสัยของคนอื่นกลายเป็นความจริง

ตั้งแต่ที่เกิดเรื่องขึ้นก็ผ่านมาแล้วสองวัน เขาไม่ได้กลับไปที่คฤหาสน์หลังนั้นอีกเลย ไม่รู้ว่าถ้ากลับไปแล้วจะพูดกับเจตริน พี่ชายของจ้าวว่าอย่างไรดี ไม่รู้ว่าตัวเองจะทำใจได้ไหมเมื่อกลับไปเห็นสถานที่ที่เคยมีเด็กคนนั้นออกมายืนต้อนรับด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอยู่หน้าประตูคฤหาสน์

เรื่องราวที่เกิดขึ้นวันนั้นรบกวนจิตใจเขาอยู่ตลอดเวลา แม้จะง่วงแค่ไหนแต่ก็ไม่เคยหลับลง จิตใจว้าวุ่นกระสับกระส่าย เวลาเข้าเรียนก็เหมือนจะรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง ตฤณไม่ได้เจอเมฆเลยตลอดสองวันที่ผ่านมา แม้จะเจอแต่ก็ทำเป็นพยายามหลบเลี่ยง เขารู้สภาพจิตใจของตัวเองตอนนี้ดีพอ

ย่างเข้าวันที่สี่ ตฤณตัดสินใจแล้วว่าจะกลับไปที่คฤหาสน์ตระกูลคัลเลนหลังนั้นด้วยเพราะทนต่อแรงที่อยู่ในใจไม่ไหว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หรือแม้แต่อาจถูกเจตรินด่าทอ แสดงความโกรธเคือง เขาก็ยินดีที่จะรับมันเอาไว้

ตอนค่ำของวันนั้น ตฤณจึงมุ่งหน้าไปยังคฤหาสน์คัลเลนตามที่ได้ตั้งใจเอาไว้ แต่เมื่อไปถึงกลับพบว่ามันแปลกกว่าทุกครั้ง บรรยากาศที่รู้สึกน่ากลัวแต่ทว่าอบอุ่นได้จางหายไปหมดแล้ว เหลือเพียงแค่ความน่ากลัวที่นับวันจะยิ่งน่ากลัวมากขึ้นเรื่อยๆ กับความเงียบสงบราวกับสถานที่นี่เป็นที่เก็บรวบรวมคนตายจำนวนมากเอาไว้

ตฤณกัดฟันทนข่มความรู้สึกเอาไว้แล้วเปิดประตูรั้วที่แง้มเอาไว้นิดๆ ออก เห็นเงาตะคุ้มๆ อยู่ใกล้บริเวณต้นไม้ใหญ่ที่ใกล้จะยืนต้นแห้งตายคล้ายว่าจะเป็นลุงมิ่ง แต่ยังไม่ทันที่จะได้เดินเข้าไปเรียก ฝ่ายนั้นก็แสดงตัวให้เห็นก่อน ดวงหน้าของลุงมิ่งหมองคล้ำไม่สู้ดี

'กลับมาอีกทำไม'


“เอ่อ... มาหา... เจตครับ” ตฤณละล่ำละลักตอบกลับไป

'กลับไปเถอะ ที่นี่ไม่เหมาะที่จะอยู่นานๆ'

ตฤณกลับไปไม่ได้ถ้าไม่ได้พูดกับเจตรินเสียก่อน เขามีเรื่องมากมายที่จะพูด มีสิ่งที่จะสารภาพ มีเรื่องที่อยากขอให้อีกฝ่ายให้อภัย เพียงแค่คิดหาคำตอบที่จะขอให้เขาได้อยู่ก่อน เจตรินก็เดินออกมาจากคฤหาสน์หลังนั้นตรงมาทางนี้ เขาจึงยิ้มออกมาได้บ้างว่าคนที่อยากเจอนั้นมาอยู่ตรงหน้าแล้ว

‘มีธุระอะไรที่นี่’ น้ำเสียงของเจตรินฟังราวกับไม่ใส่ใจถึงตัวตนของตฤณ ถามออกไปห้วนๆ   

“คือ... อยากคุยเรื่องจ้าว”

เจตรินโบกมือไล่ให้ลุงมิ่งกลับไปทำงานของตน เมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่ตรงนี้แล้วจึงเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาอย่างรู้ว่าตฤณมาที่นี่ ต้องการจะพูดเรื่องอะไรที่เกี่ยวกับจ้าว ‘สิ่งที่เกิดขึ้นกับจ้าว ผมไม่โกรธ’

“.....”

‘รู้แล้วใช่ไหมว่าจ้าวเป็นวิญญาณ ไม่ใช่คนเหมือนคุณ’

ตฤณไม่ตอบอะไร เขาพยักหน้าแค่เล็กน้อย แต่ทว่าในใจกลับรู้สึกปั่นป่วนยังไงชอบกลทั้งที่เรื่องนั้นเป็นเรื่องที่รู้อยู่เต็มอกแล้วแท้ๆ

‘แล้วรู้ใช่ไหมว่าเขาไม่อยู่ที่นี่แล้ว’


“ครับ”

‘แล้วมาเพื่ออะไร ต้องการแค่มาย้ำความคิดของตัวเองเหรอ’

สิ่งที่เจตรินพูดมา บางทีมันก็อาจใช่แต่ในใจลึกๆ แล้วเขาอยากมาเพื่อได้ยินว่าสิ่งที่เห็นมันเป็นเพียงแค่ความฝันมากกว่า

“จ้าว... ไม่อยู่แล้วจริงๆ เหรอ”

‘อืม’

“แล้วทำไมถึงปล่อยให้เขาไปทั้งที่รู้ว่าเขาอาจจะไม่ได้กลับมาอีก”

นั่นสิ! ทำไมเจตรินถึงยังยอมให้น้องชายจากไปแม้จะรู้ว่าสุดท้ายแล้วพวกเขาสองคนอาจไม่ได้อยู่ด้วยกันอีก นั่นก็คงเป็นเพราะเขาตามใจน้องมากเกินไป อยากได้อะไรก็หามาให้ อยากทำอะไรก็ไม่เคยขัดใจ

‘ถ้าไม่มีอะไรแล้วก็กลับไปเถอะ ที่นี่ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว’


“ไม่เหมือนเดิม?”

เจตรินถอนพรั่งพรูลมหายใจออกมาอย่างอ่อนอกอ่อนใจ ‘อืม มันไม่เหมือนเดิม แต่ถ้ามีธุระจริง พรุ่งนี้จะให้โอกาสแค่ครั้งเดียว จะมาก็มาตอนที่พระอาทิตย์ขึ้น ห้ามมาหลังพระอาทิตย์ตกดินไปแล้วเป็นอันขาด ตอนนี้ขอให้กลับไปก่อน’   

ท่าทางของตฤณดูลังเลใจเหมือนอยากจะเข้าไปแต่เจ้าของที่ยังไม่พร้อมต้อนรับ เขาทำได้แค่ทอดสายตามองไปยังคฤหาสน์ที่อยู่ด้านหลังด้วยความคำนึงถึง ไม่ว่าจ้าวจะเป็นอะไร จะไม่ใช่คนเหมือนอย่างที่เขาเป็น หัวใจก็ยังตอบว่ารักอยู่ดี

‘ออกไปก่อน พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่ ผมปกป้องคุณอย่างที่เขาทำไม่ได้’

“ปกป้อง? ปกป้องจากอะไร?”

‘พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน ออกไปก่อน เร็ว’ เจตรินดูรีบร้อน ลุกลี้ลุกลนแต่น้ำเสียงยังคงเรียบเฉย

“ก็ได้ พรุ่งนี้ผมจะมาหาแต่เช้า”

เจตรินรอให้ตฤณเดินออกไปจนแน่ใจแล้วว่าพ้นจากบริเวณคฤหาสน์ แล้วจึงหายไปจากที่ตรงนั้นด้วยเช่นกัน มาปรากฏกายอีกครั้งก็ในห้องของนอน ข้างเตียงที่มีโครงกระดูกของน้องชายอยู่บนนั้นด้วยความอาลัยอาวรณ์ แม้จะทำใจกับการจากไปตลอดกาลของน้องชายแล้วก็ตามแต่ก็ยังทำใจไม่ได้ ยิ่งรับรู้ว่าวิญญาณของจ้าวไม่ได้หายไปไหนแต่ทว่าก็หาไม่เจอนั่นยิ่งทำให้เขารู้สึกเป็นห่วงมากขึ้นกว่าเดิม

‘จ้าว บอกพี่ได้ไหมว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน’

โครงกระดูกเด็กวัยสิบหกปีไม่อาจเอื้อนเอ่ยคำตอบใดๆ ได้

‘พี่กลัวนะ ดวงจิตของจ้าวที่ไม่แข็งแรงอาจเจอพวกหมอผีนำไปทำไสยศาสตร์มนต์ดำก็ได้’

เจตรินทรุดตัวลงนั่งข้างเตียง เหม่อมองร่างกายที่ไม่เหลือเนื้อหนังมังสาด้วยความคิดถึง หวนนึกถึงคราวนั้นที่ได้พบเจอกันเป็นครั้งแรก จ้าวเป็นเด็กกำพร้าที่ถูกพ่อแม่ที่แท้จริงรังเกียจเดียดฉันท์เพียงเพราะมีดวงตาสีแปลกกว่าผู้อื่น ในวันหนึ่งวันนั้นถ้าไม่เป็นเพราะบิดารับจ้าวเข้ามาเลี้ยงดูเป็นบุตรบุญธรรม เขาคงไม่มีวันได้รู้จักเด็กที่แสนน่ารักอย่างจ้าว

‘จ้าว กลับมาไวๆ นะ พี่คิดถึง’

ไม่รู้ว่าความคิดถึงจะส่งไปถึงดวงวิญญาณดวงนั้นไหม ไม่แน่ใจว่าเสียงอันแผ่วเบาของตัวเองจะลอยตามสายลมไปกระทบกับโสตประสาทของเด็กคนนั้นไหม แต่มีเพียงหนึ่งเดียวที่แน่ใจ นั่นคือตฤณยังคงไม่ทิ้งหนีไปไหนเมื่อรับรู้ความจริงว่าแท้จริงแล้วนั้นจ้าวเป็นเพียงแค่วิญญาณดวงหนึ่ง

เจตรินนั่งมองโครงกระดูกที่อยู่บนเตียงเนิ่นนาน ผ่านไปเท่าไรไม่รู้ตั้งแต่ที่ตฤณมาถึงและกลับไป พอรู้ตัวอีกทีก็รับรู้ได้ถึงแสงแดดอุ่นๆ ที่ลอดผ่านผ้าม่านผืนบางเข้ามา แสงอาทิตย์ที่สาดส่องลงมายังร่างของเขาทำให้เกิดละอองสีขาวขึ้นรอบกาย แต่ถ้าหากเปลี่ยนจากเขาเป็นจ้าวคงไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงอะไรเกิดขึ้น

‘พี่อยากให้จ้าวกลับมา รู้หรือเปล่าว่าตั้งแต่ที่จ้าวไม่อยู่ ที่นี่มันก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือไปหมด’


“.....”

‘เมื่อวานตฤณทำพี่แปลกใจมากเลยนะ พี่คิดว่าถ้าเขาได้รู้ความจริงแล้วก็คงจะไม่กลับมาที่นี่อีก’


เจตรินขยับตัวเล็กน้อย ลุกขึ้นจากข้างเตียงแล้วเดินไปยังตุ๊กตาหมีฝุ่นเขรอะที่แทบจะมองไม่ออกว่าแต่เดิมแล้วตุ๊กตาตัวนี้มีสีอะไรมาก่อน ‘ตุ๊กตาที่พี่ทำให้เป็นของขวัญวันเกิดครบรอบเก้าขวบของจ้าว จ้าวไม่เคยทิ้งมันไว้ห่างกายเลยแม้แต่ครั้งเดียว ทำไมตอนนั้นพี่ถึงได้โง่ถามอะไรแบบนั้นออกไป ทั้งที่คำตอบมันก็อยู่ตรงนี้แล้วแท้ๆ’ เขาฝืนยิ้มออกมาอย่างข่มขื่นก่อนกล่าวต่อ ‘จ้าวจะไม่รักพี่ได้ยังไง จริงไหม’

พระอาทิตย์ยังขึ้นไม่สูงเท่าไร ตฤณก็มาหยุดอยู่ที่หน้าประตูรั้วของคฤหาสน์เสียแล้ว

‘พี่ไปต้อนรับคนที่รักจ้าวสุดหัวใจก่อนนะ’


เจตรินมาปรากฏกายอีกทีที่ด้านหลังประตูคฤหาสน์ เขาไม่กล้าเดินออกไปมากกว่านี้เพราะยังไม่แน่ใจว่าตฤณจะรู้หรือเปล่าว่าเขาก็เป็นเหมือนที่จ้าวเป็น เขารอให้ตฤณเดินเข้ามาข้างในเองแล้วจึงเอ่ยทักทาย

‘มาแต่เช้าเลย ได้นอนบ้างหรือเปล่า’

“ครับ”

แต่จากสภาพที่เจตรินเห็น คงอดหลับอดนอนมาหลายคืนน่าดู ไม่เพียงแต่ดวงตายังอิดโรย ขอบตาดำคล้ำ ท่าทางเหมือนคนไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรสักอย่าง บอกได้เพียงคำเดียวว่าเขาสงสารที่น้องชายทำให้คนคนหนึ่งเป็นได้ถึงขนาดนี้

‘เข้ามาข้างในก่อน ผมรู้ว่าคุณคงมีเรื่องอยากจะถามอีกเยอะ’


ตฤณพยักหน้าแล้วเดินตามเข้าไปด้านใน เจตรินพาไปยังห้องรับแขกซึ่งอยู่อีกฝั่งหนึ่งของคฤหาสน์ เชิญให้ตฤณนั่งลงที่โซฟา โต๊ะกาแฟด้านหน้านั้นมีเพียงความว่างเปล่าและเขาก็ปล่อยให้มันว่างอยู่อย่างนั้น ตฤณคงไม่สนใจอะไรอย่างอื่นนอกเสียจากเรื่องของจ้าว

‘มีอะไรจะถามเกี่ยวกับจ้าวก็ถามมาเถอะครับ’


“เอ่อ...” ตฤณไม่รู้จะเริ่มถามยังไง เขาอธิบายความรู้สึกในเวลานี้ไม่ถูก มันมีเรื่องที่ทั้งอยากรู้และอยากได้คำอธิบายในเวลาเดียวกัน

‘ถามเรื่องที่อยากรู้ก่อนก็ได้ครับ’

“เมื่อคืนคุณบอกว่าปกป้องผม ปกป้องผมจากอะไร”

เจตรินยิ้มเล็กน้อยก่อนเอ่ยออกมา ‘ถ้าเคยได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับคฤหาสน์หลังนี้มาบ้าง น่าจะเดาได้ไม่ยากนะครับว่ามันเป็นเพราะอะไร ถ้าคุณถามจ้าว เขาต้องตอบคุณแบบนี้แน่ แต่ถ้าถามผม ผมก็จะตอบว่าที่นี่มีวิญญาณของผีหายโหง วิญญาณที่มีความอาฆาตแค้นแต่ตอนที่คุณอยู่ที่นี่แล้วจ้าวยังอยู่ เขาเป็นคนควบคุมทุกอย่าง ปกป้องคุณจากทุกสิ่งที่ชั่วร้ายหรือวิญญาณตนอื่นที่ต้องการเอาชีวิตคุณเพราะอยากได้ตัวตายตัวแทน’

ตฤณไม่อยากเชื่อว่าจ้าวจะพยายามปกป้องเขาจากสิ่งพวกนั้นมาโดยตลอดแต่เขากลับทำให้อีกฝ่ายเสียใจด้วยการสงสัยในตัวตนของจ้าวเหมือนที่คนอื่นสงสัย เขานิ่งงันไปเล็กน้อยราวกับกำลังนึกทบทวนถึงเหตุการณ์วันนั้นและหลังจากนั้นไปมาอยู่ในใจ

‘จ้าวอาจไม่ใช่เด็กที่ดีนักในสายตาของคนอื่นแต่เขาก็ทำเพื่อคุณ วันที่คุณชวนเขาเข้าวัดไปงานศพ จริงๆ แล้วเขาจะยืนกรานปฏิเสธก็ได้แต่ไม่ทำทั้งที่รู้ว่าไปแล้วจะเกิดอะไรขึ้น นั่นก็เพราะเป็นคุณที่พูดชวน’

ตฤณพูดอะไรไม่ออกเหมือนว่าความผิดที่ทำให้จ้าวหายไปนั้นเกิดขึ้นเพราะเขาคนเดียว

‘เด็กคนนั้นรู้ว่าตรงหน้าคือกองไฟที่จะทำให้วิญญาณของตัวเองมอดไหม้ก็ยังกระโดดเข้าไปเพราะเห็นแก่คุณ แต่เขากลับไม่นึกโทษว่าเป็นความผิดของคุณ ผมเองก็ไม่โทษว่าเป็นเพราะคุณถึงทำให้เขาหายไป’

“เขา... เขาอยู่ไหน”

‘ตอนนี้ไม่มีใครรู้ว่าจ้าวอยู่ไหน แต่ถ้าเมื่อไรที่ดวงวิญญาณแตกดับ มันจะไม่มีที่ไหนให้เขาได้ยืน ไม่ว่าจะเป็นที่นี่หรือโลกหลังความตาย จ้าวจะกลายเป็นสิ่งที่ไม่มีตัวตนอยู่และจะถูกกล่าวถึงแค่ในนาม’

คำพูดของเจตรินในเวลานี้เหมือนกับกำลังบอกเขากลายๆ ว่าอาจไม่ได้เจอจ้าวอีกชั่วนิรันดร์ ไม่รู้ทำไมความเสียใจถึงได้พรั่งพรูออกมาราวกับน้ำป่าไหลหลาก ไหลออกมาไม่หยุดและไม่รู้ว่าจุดสิ้นสุดอยู่ตรงไหนตราบเท่าที่ฝนยังไม่หยุดตกในใจ

“จะ... จะไม่มีโอกาสได้เจอเขาอีกใช่ไหม”

‘ผมตอบไม่ได้ว่าจะได้เจออีกไหม’

ตฤณพยักหน้ารับอย่างเชื่องช้า

‘ทำไมคุณถึงกลับมาที่นี่อีกทั้งที่ก็น่าจะรู้แล้วว่าเขาเป็นอะไร’

“คงเพราะผมรักเขาล่ะมั้ง ตอนที่รู้ว่าจริงๆ แล้วเขาเป็นแค่วิญญาณมันสับสนไปหมด ทั้งรัก ทั้งไม่อยากเชื่อ หลายสิ่งหลายอย่างมาปนเปอยู่ในความคิด ผมนอนไม่หลับอยู่หลายคืน เอาแต่คิดถามตัวเองว่าทำไมมันถึงเป็นแบบนี้แต่จนแล้วจนรอด ผมก็ไม่ได้คำตอบอะไรนอกจากรู้ทั้งรู้แต่ก็ยังรัก”

ความจริงใจที่สื่อผ่านคำพูดทุกคำ เจตรินเข้าใจทั้งหมด เพียงแต่ว่าถ้าจ้าวยังอยู่ตรงนี้ด้วยกัน เด็กคนนั้นจะพยายามทำความเข้าใจมันหรือเปล่า

‘มีไม่กี่คนที่รู้ว่าจ้าวเป็นอะไรแล้วยังรัก’


“ทำไมถึงไม่บอกผมเลย”

‘ถ้าผมบอกคุณตั้งแต่แรก คุณจะยังอยู่ที่นี่อีกไหม’


ตฤณตอบไม่ได้ว่าถ้าตัวเองล่วงรู้ตั้งแต่แรกที่เหยียบย่างเข้ามาในคฤหาสน์หลังนี้ว่าจ้าวเป็นสิ่งที่อยู่ในอีกภพภูมิหนึ่งแล้วเขาจะทำอย่างไร บางทีอาจจะตอบปฏิเสธข้อแลกเปลี่ยนของจ้าวตั้งแต่ตอนนั้นแล้วจากไปโดยไม่หวนกลับมาอีก แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่าจ้าวเป็นดวงวิญญาณดวงหนึ่งและเขาก็ยังยอมรับมันได้

‘บอกตอนนี้กับบอกตอนนั้นมันไม่เหมือนกันหรอกนะครับ ถ้าคุณรู้ตั้งแต่แรกก็อาจจะจากไปโดยไม่เสียเวลาคิดด้วยซ้ำ แต่บอกตอนนี้ในขณะที่คุณได้รู้จักเขาในระดับหนึ่งแล้ว อะไรหลายๆ อย่างมันย่อมต้องเปลี่ยนไปรวมทั้งความคิดของคุณเองด้วย’


“อืม มันก็อาจจะใช่”

‘คุณรู้แบบนี้แล้วยังยืนยันที่จะรักเขาอยู่อีกไหม’

“รัก”

‘ถ้าหากว่าเขาเคยทำสิ่งที่เลวร้ายกับคุณ คุณจะยังรักเขาอยู่อีกไหม ขอให้ตอบมาตรงๆ เพราะมันสำคัญมาก ผมอยากรู้ว่าถ้าเขาไม่ใช่เด็กดีที่น่ารัก คุณจะโกรธ จะเกลียดเขาหรือเปล่า จะให้อภัยในสิ่งที่เขาทำลงไปได้ไหม ผมรักน้องของผมมากนะ และตอนนี้ผมกำลังทำหน้าที่พี่ที่ดี ปกป้องน้องจากทุกสิ่งทุกอย่าง’

ตฤณนิ่งเงียบอย่างใช้ความคิด แต่แล้วก็ตัดสินใจพูดออกมา “ผมรักเขาแค่นั้นมันก็น่าจะเพียงพอแล้วไม่ใช่เหรอ”

‘ผมไม่รีบร้อนขอคำตอบจากคุณ กลับไปคิดให้ดีอีกรอบก็ได้’

ตฤณตอบรับในลำคอเพียงสั้นๆ “แล้วผมจะกลับมาที่นี่อีกได้ไหม”

‘ได้ อยากมาก็มาได้ แต่อย่ามาหลังจากพระอาทิตย์ตกดินไปแล้วก็แล้วกัน ถ้าเกิดอะไรขึ้นมา ตอนนั้นถึงจะเรียกให้ใครช่วยก็คงช่วยไม่ได้แล้ว’

ตฤณพยักหน้าอย่างเข้าใจ

‘จะขึ้นไปเอาของไหม’

“ครับ”

ตฤณเดินตามเจตรินขึ้นไปข้างบน ความรู้สึกที่คฤหาสน์หลังนี้ไม่มีจ้าวอยู่แล้วมันช่างแตกต่างจนรับรู้ได้เป็นอย่างดี ทั้งวังเวงและเงียบเหงาในเวลาเดียวกัน พอเดินใกล้จะถึงห้องที่เคยอยู่แม้จะเป็นเพียงไม่กี่วัน ใจมันสั่นแปลกๆ ราวกับว่าลึกๆ แล้วยังคงว่าเมื่อเปิดประตูเข้าไปจะเจอร่างอันคุ้นตาส่งยิ้มทักทายแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอันไพเราะว่ากลับมาแล้วเหรอครับ

‘เข้าไปเก็บของเถอะ เดี๋ยวผมรออยู่ข้างนอก’

เจตรินอยากให้ตฤณได้ใช้เวลาอยู่ในห้องนั้นเพียงลำพังสักพัก เพราะเขาเองก็ไม่แน่ใจว่าเมื่อไรน้องชายจะกลับมาหรือบางทีอาจจะหายไปตลอดกาล

ตฤณเดินเข้าไปข้างในห้อง พอได้เห็นเตียงนอนที่เคยได้ให้คนตัวเล็กได้ซุกไออุ่นแล้วใจกระตุกวูบ อยากจะร้องไห้แต่กลับร้องไม่ออก อยากจะเอ่ยขอโทษแต่เจ้าตัวก็ไม่อยู่ฟัง เขาทำได้เพียงแค่ลูบไล้ไปตามผืนผ้าปูเตียงที่เคยมีร่างของคนที่รักอยู่ตรงนั้น

“จ้าว... พี่ขอโทษ”

ตฤณนึกคำที่ดีกว่านี้ไม่ออกแล้ว นอกจากคำว่าขอโทษก็ไม่มีอะไรที่สื่อความรู้สึกของเขาในเวลานี้ได้ เขาเดินไปเก็บข้าวของของตัวเองรวมถึงบางสิ่งบางอย่างใส่กระเป๋าเป้ที่ถือมาด้วยครั้งแรก บางอย่างที่ไม่มีตัวตนแต่สัมผัสได้ นั่นคือ... ทุกสิ่งทุกอย่างที่จ้าวทำให้ภายในคฤหาสน์หลังนี้ ทั้งความหวังดี ทั้งความเป็นห่วงและเอาใจใส่

“จ้าว พี่ขอโทษนะ” ตฤณเอ่ยย้ำคำขอโทษอีกครั้ง

แม้จะอาลัยอาวรณ์มากเท่าไรแต่เขาก็ไม่กล้าที่จะอยู่ในห้องนั้นนานเกินไป เขามองไปรอบห้องเพื่อเก็บเกี่ยวความทรงจำที่เคยมีจ้าวเอาไว้ให้ได้มากที่สุด ไม่รู้เมื่อไรที่เด็กคนนั้นจะได้กลับมาอีกครั้ง หรือบางทีมันอาจจะไม่มีโอกาสนั้นอีกแล้ว

ตฤณเก็บข้าวของของตัวเองเป็นที่เรียบร้อยแล้วจึงเดินออกมาจากห้อง

“งั้นผมไปก่อนนะ แล้วจะมาใหม่”

‘ให้ผมไปส่งที่หน้าประตูนะ’

ตฤณพยักหน้า ทั้งคู่เดินลงไปข้างล่างพร้อมกัน เจตรินหยุดยืนส่งแค่ที่หน้าประตูคฤหาสน์อย่างที่บอกแต่ยังมิวายกำชับเรื่องการแวะมาที่นี่อีกครั้งด้วยความเป็นห่วง ‘ถ้าจะมาก็อย่ามาหลังพระอาทิตย์ตกดินไปแล้วนะ’

เจตรินรอให้ตฤณเดินจากไปจนลับสายตา ประตูคฤหาสน์หลังนี้จึงกลับมาปิดตายอีกครั้ง เขายืนอยู่ตรงนั้นที่เดิม ถ้าหากวันนั้นคำพูดของเขามันหนักแน่นมากกว่านี้ ถ้าเขาไม่ใช่คนใจอ่อนที่ยอมน้องชายอยู่เสมอ บางทีวันนี้จ้าวอาจจะยังยืนอยู่ข้างกัน

คฤหาสน์หลังนี้เปลี่ยนไปตั้งแต่ที่จ้าวไม่อยู่ จากหน้ามือกลายเป็นหลังมือ วิญญาณผีตายโหงและพวกสัมภเวสีที่มีความอาฆาตแค้นคล้ายจะลุกฮือขึ้นมาก่อกบฏ ช่วงชิงอำนาจปกครองไป ในเวลากลางคืนหลังจากพระอาทิตย์ตกดินไปแล้วมันจึงไม่มีอะไรยืนยันได้ว่าจะไม่เกินเรื่องราวเลวร้ายมากขึ้นกว่าเดิม วิญญาณพวกนั้นถ้าไม่ต้องการเพียงแค่เล่นสนุกก็มักจะอยากได้ตัวตายตัวแทน ผู้ที่จะมาติดอยู่ที่นี่แล้วตนจะได้หลุดพ้นไปผุดไปเกิดใหม่

‘พี่รอจ้าวอยู่นะ ทุกคนก็กำลังรอจ้าวอยู่ ตฤณก็รออยู่ด้วยนะ ได้ยินไหม’


-----------------------------------


หลังจากที่ตฤณออกจากคฤหาสน์ของตระกูลคัลเลนมาแล้วก็มุ่งหน้าไปมหาวิทยาลัยทันที เขาคอยหลบเลี่ยงไม่เจอหน้าเมฆมาตลอดหลายวันแต่วันนี้เห็นทีคงไม่ได้เสียแล้ว

“ตฤณ”

ตฤณไม่ตอบแต่ทว่าหูก็ยังตั้งใจฟังในสิ่งที่เมฆจะพูดถึง

“พี่ขอคุยด้วยหน่อยสิ”

ตฤณเงียบ ยังไม่ยอมพูดอะไรด้วยอีก

“ตฤณ พี่ขอคุยเรื่องเด็กคนนั้นหน่อย ถ้าเห็นว่าเขาเป็นคนสำคัญก็ฟังพี่พูดบ้าง”

“ผมฟังพี่มาเยอะแล้ว”

“ตฤณ เรื่องนี้อาจจะสำคัญกับแกนะ ถ้าแกรักเขา”

“งั้นพี่ก็พูดมา”

ตฤณยังคงยืนอยู่ตรงนั้น สายตาจับจ้องไปยังใบหน้าของรุ่นพี่ที่ไม่มีแม้แต่ความล้อเล่น นั่นหมายถึงว่าสิ่งที่เมฆจะพูดนั้นคงเป็นเรื่องที่สำคัญจริงๆ ดั่งว่า แต่เมฆกลับยังไม่ยอมพูดอะไรออกไป เขามองซ้ายมองขวาคล้ายว่าอยากต้องการที่ที่สงบเงียบกว่านี้

“พี่เมฆ”

“ไปคุยกันที่อื่นได้ไหม”

“ผมมีเวลาไม่นานนะ”

เมฆพยักหน้า เขาเองก็มีเรื่องที่จะพูดไม่นานเช่นกัน ทั้งคู่เดินออกจากซุ้มคณะตรงไปยังซอกมุมหนึ่งใกล้ลานจอดรถของคณะ ที่นี่ไม่ค่อยมีผู้คนเดินผ่านมากนักและค่อนข้างเงียบสงบ ถึงจะมีคนอยู่บ้างก็แค่เดินผ่านมาและผ่านไป ไม่มีใครสนใจฟังเรื่องที่พวกเขาสองคนพูดคุยกันอยู่แล้ว

“พี่เมฆจะพูดอะไร”

“ขอพี่ถามสักสองสามเรื่องก่อนได้ไหม”

ตฤณพยักหน้า เมื่อเห็นเช่นนั้น เมฆจึงคิดถามย้ำเรื่องราวเดิมๆ อีกครั้ง “แกคิดอะไรกับเด็กคนนั้นใช่ไหม”

เสียงตอบรับในลำคอแม้จะไม่ได้ดังแต่มันก็หนักแน่นทำให้เมฆผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ แรกเริ่มเดิมทีเขาก็คิดว่าถ้าหากรุ่นน้องคนนี้ได้รับรู้ความจริงว่าจ้าวเป็นผู้อยู่ต่างภพต่างภูมิกันแล้วจะตัดใจจากได้ แต่ทว่ากลับไม่ยอมปล่อยมือแม้แต่น้อย

“พี่ไม่รู้นะว่าตอนนี้เขาเป็นยังไงบ้าง แต่ที่แน่ๆ วิญญาณอีกครึ่งของแกยังไม่กลับมา”

ตฤณชะงักค้างไปครู่หนึ่ง เขารู้ว่าจ้าวยังอยู่ เพียงแต่ไม่มีใครหาพบแม้กระทั่งพี่ชายก็ยังไม่รู้ว่าตอนนี้ดวงวิญญาณนั้นหายไปอยู่ที่ไหน แต่ไหนแต่ไรเขาก็ไม่ได้เชื่อเรื่องที่เมฆพูดเกี่ยวกับจ้าวสักครั้งแต่ทว่าครั้งนี้หัวใจกลับเชื่อมันอย่างไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ วิญญาณของเขาอีกครึ่งยังอยู่ที่จ้าวนั่นนับว่าเป็นเรื่องที่ดีเพราะอย่างน้อยก็ยังมั่นใจได้ว่าวิญญาณดวงนั้นยังไม่แตกดับไป เพียงแค่อ่อนแรงจนไม่สามารถปรากฏร่างให้ใครเห็นได้

“รู้ใช่ไหมว่ามันหมายความว่ายังไง ถ้าเมื่อไรที่วิญญาณอีกครึ่งของแกกลับมาอยู่ที่ร่างก็มั่นใจได้เลยว่าเขาจากไปอย่างถาวรแล้ว”

“อืม รู้”

“แล้ว... เขาเป็นยังไงบ้าง”

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ตฤณตอบไม่ได้ ไม่ว่าใครก็ให้คำตอบไม่ได้ทั้งนั้น เขาส่ายหน้าอย่างจนใจ

“ถ้าอยากเจอเขา มันก็พอมีวิธี แค่ตามหาวิญญาณอีกครึ่งของแกพบก็จะได้พบเขาเอง”

พลันนั้นหัวใจของตฤณก็พองโตขึ้นมาเล็กน้อย ขอเพียงแค่ได้พบหน้าจ้าว ต่อให้ต้องตกนรกหมกไหม้ ไม่ได้ผุดได้เกิดชั่วกัปชั่วกัลป์ก็ยอม

“แล้วต้องทำยังไง”

“ไม่รู้เหมือนกัน แต่เคยได้ยินว่ามันมีวิธีนี้อยู่ มันเป็นวิธีโบราณที่พี่ไม่แน่ใจว่าปัจจุบันมันสาบสูญไปแล้วหรือยัง ให้อย่างมากวิญญาณคนเราออกจากร่างก็ต้องออกไปทั้งดวง ไม่ใช่ออกไปครึ่งๆ กลางๆ แบบนี้”

เพียงเสี้ยววินาที หัวใจของตฤณก็กลับมาห่อเหี่ยวอีกครั้ง รู้ว่ามีวิธีแต่ไม่อาจนำมาใช้การได้จะต่างอะไรกับการที่ไม่รู้เลยสักอย่าง เขาถอนหายใจออกมาเบาๆ การจะได้พบเจอกับจ้าวอีกครั้งทำไมถึงได้เป็นเรื่องยากขนาดนี้ ถ้าเขาสามารถล่วงรู้อนาคตว่าสักวันหนึ่งเด็กคนนั้นจะหายไปจากวงจรชีวิต เขาจะโอบกอดเอาไว้ให้แน่นจนกว่าจะหมดแรง

“ถ้ามันไม่รู้จะทำยังไงก็คงต้องรอให้เขากลับมาเอง”

คำพูดนี้ไม่ใช่ของเมฆแต่เป็นคำพูดที่ออกมาจากปากของตฤณ ในเมื่อตามหาไม่ได้ก็ทำได้เพียงแค่รอเขาอยู่ตรงที่เดิม รอจนกว่าเขาจะวนกลับมาเจอกับเราอีกครั้ง

“ตฤณ หายโกรธพี่ได้ไหม”

ตฤณไม่รู้จะตอบอย่างไร เขาก็ไม่ได้ถึงขั้นโกรธเคืองอะไรเมฆเลย แค่รู้สึกว่าถ้าไม่ใช่เพราะเมฆต้องการพิสูจน์ความจริงที่เขาพยายามไม่เชื่อ จ้าวก็คงไม่หายไปอย่างนี้ แต่คงโทษเมฆทั้งหมดไม่ได้ อย่างน้อยครึ่งหนึ่งของความผิดนั้นก็เกิดจากตัวเขาด้วยเช่นกัน

“ไม่ได้โกรธอะไรพี่ขนาดนั้น”

“แล้วทำไมถึงไม่คุยด้วย”

“พี่คิดว่าเกิดเรื่องแบบนั้นแล้วมันจะทำตัวเป็นปกติได้เหรอ”

เมฆเข้าใจว่ามันเป็นเรื่องไม่คาดฝันและยิ่งไปกว่านั้นก็ยังเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับคนที่รัก ไม่ว่าใครก็คงไม่มีใครทำใจยอมรับกันได้ง่ายๆ เขาจึงเงียบและไม่พูดอะไรขึ้นมาอีก

“พี่เมฆว่างกลับไปที่คฤหาสน์หลังนั้นกับผมไหม”

“ห๊ะ!”

ไม่ว่าใครก็คงไม่อยากเหยียบย่างเข้าไป เจ้าของคฤหาสน์อย่างจ้าวไม่อยู่ก็ใช่ว่ามันจะสงบสุขเสียเมื่อไรและเขาไม่อยากพบเจออะไรที่อาจจะเป็นการนำเอาชีวิตของตัวเองไปเสี่ยงกับสิ่งลี้ลับที่มองไม่เห็น

“ไปคฤหาสน์หลังนั้นกับผมนะ”

“เหอๆ... วันอื่นนะ ไม่ใช่วันนี้”

“อีกห้าวัน เราไปที่นั่นกัน”

เมฆพยักหน้ารับคำอย่างเลี่ยงไม่ได้จริงๆ เขาทำผิดกับเด็กคนนั้นเอาไว้ บางทีก็ควรจะต้องไปขอโทษบ้าง



** ติดตามตอนต่อไป **


ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
จ้าว  ไปอยู่ที่ไหนหว่า  :hao4:

ออฟไลน์ kun

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +122/-10
พี่เฆมคือตัวช่วย หรือ พี่เฆมจะกลายเป็นเหยื่อ
ลุ้นอย่างเดียว รออออออ

ออฟไลน์ lcortsess

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 173
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-3
รอจร้าาาาาาาา

ออฟไลน์ BlueSora

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
::: ตอนที่ 24 :::
หมอผีผู้นั้น (1)






กว่าตฤณจะกลับมาที่คฤหาสน์หลังนั้นอีกครั้งก็ผ่านไปห้าวันอย่างที่เคยได้เอ่ยชวนเมฆและครั้งนี้เมฆเองก็ตามมาด้วย แต่ทว่าบรรยากาศของคฤหาสน์กลับเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงแม้ว่าตอนนี้พระอาทิตย์จะยังไม่ลาลับขอบฟ้าไปเสียทีเดียว ความปลอดภัยที่เจตรินเคยพูดถึงเมื่อก่อนหน้านี้นั้นเขาไม่สามารถสัมผัสถึงมันได้อีกแล้วราวกับว่าไม่ว่าจะเป็นเมื่อไร ความน่ากลัวของคฤหาสน์ก็ไม่ต่างกันนัก

“ตฤณ พี่ว่าอย่าเพิ่งเข้าเถอะ”

“มี... มีอะไรเหรอ พี่”

เมฆมองลอดผ่านรั้วเข้าไป แม้จะเป็นเพียงความว่างเปล่าที่รกร้างแต่เขากลับสัมผัสถึงบางสิ่งบางอย่างที่อาฆาตมุ่งร้ายรออยู่เบื้องหน้า ถ้าหากเหยียบย่ำเข้าไปยังอาณาเขตนั้นก็ไม่อาจแน่ใจได้ว่าหลังจากนี้จะได้เจอกับอะไร

“พี่รู้สึกไม่ดีเลย มันแย่กว่าตอนที่เจอเด็กคนนั้นอีก”

ตฤณเองก็รู้สึกไม่ดีเช่นกัน แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกเหมือนว่าถ้าจากไปแล้วจะมีเรื่องราวเลวร้ายเกิดขึ้นที่คฤหาสน์หลังนี้และนั่นจะนำพาให้เขาไม่ได้พบเจอกับจ้าวอีกเลยชั่วชีวิต เขาจึงค่อนข้างลังเลไม่น้อยที่จะเดินจากมาทั้งที่ตอนนี้ก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าประตูรั้วแล้ว

“ผมสังหรณ์ใจแปลกๆ ว่ามันต้องมีอะไรเกิดขึ้นแน่ ผม... ไม่อยากกลับไปเลย”

“เอ๊า! เข้าก็เข้า แต่ถ้าเข้าไปแล้วพี่รู้สึกว่าเราควรจะต้องออกก็ต้องออกมานะ เข้าใจที่พูดใช่ไหม”

ตฤณแค่ตอบรับในลำคอเบาๆ ยื่นมืออกไปผลักประตูรั้วให้เปิดออกเล็กน้อย เพียงแค่ส่วนหนึ่งของแขนเข้าไปอยู่ภายใต้อาณาเขตของคฤหาสน์ก็รับรู้ได้ถึงความเย็นเฉียบที่แผ่พุ่งตรงเข้ามาแต่แขนส่วนอื่นที่ไม่ได้ย่างเข้าไปในเขตพื้นที่กลับไม่รู้สึกอะไรเลย

“พี่เมฆ มันแย่กว่าวันนั้นที่ผมมาอีก”

ตฤณรีบชักมือกลับ

“เดี๋ยวค่อยกลับมาดีกว่า ให้พี่ไปเตรียมของบางอย่างก่อน เข้าไปทั้งอย่างนี้ถ้าไม่กลายเป็นผีก็ไม่รู้จะพูดยังไงแล้ว วันนี้พี่รู้สึกไม่ดีกับที่นี่จริงๆ”

“ของอะไรวะ พี่”

“พระไง จะให้เตรียมอะไร”

“ไม่ต้องเตรียมเลย เข้าไปทั้งอย่างนี้แหละ”

ตฤณลากเมฆให้เข้าไปทั้งอย่างนั้น กลั้นใจเดินผ่านสวนร้าง ต้นไม้ใบหญ้าแห้งเหี่ยวไร้การเหลียวแลหน้าคฤหาสน์ที่ชวนให้ขนแขนพร้อมใจกันลุกเกรียวมากกว่าครั้งไหนๆ ทั้งที่พระอาทิตย์ยังไม่ตกดินแท้ๆ แม้แต่เมฆยังรู้สึกถึงความผิดสังเกตนี้ได้ เขาจับสัมผัสถึงเหล่าดวงวิญญาณอาฆาตแค้นที่ยืนอยู่บริเวณสวนร้าง

“พี่นึกว่าเขาจะทำอะไรเราแต่มันไม่ใช่ เหมือนวิญญาณพวกนั้นกำลังรออะไร”

เมื่อได้ยินรุ่นพี่พูดขึ้นมาอย่างนั้น ตฤณพลันนึกถึงจ้าวขึ้นมา “เป็นไปได้ไหมว่ารอจ้าว”

เมฆส่ายหน้า เขาไม่รู้ว่าวิญญาณพวกนั้นกำลังรออะไร รู้แค่ว่าแรงอาฆาตมาดร้ายรุนแรงมากถึงขนาดฆ่าคนตายได้โดยไม่ต้องทำอะไร เพียงแต่เป้าหมายของพวกนั้นกลับไม่ใช่พวกเขาสองคนเท่านั้น

ประตูคฤหาสน์ด้านหน้าเปิดออกราวกับล่วงรู้ว่าพวกเขาจะมาเยือน เจตรินยืนรออยู่ข้างในเพียงลำพังโดยไม่มีจ้าวยืนรออยู่ด้วยพาให้หัวใจของตฤณสั่นไหวแปลกๆ คล้ายว่าจะบอกเป็นนัยว่าสุดท้ายแล้วจ้าวจะจากพวกเขาไป เขาไม่กล้าก้าวเท้าเข้าไปใกล้มากกว่านี้เพียงเพราะกลัวว่าสิ่งที่คิดจะเป็นจริงขึ้นมา

‘มาทำอะไรกันวันนี้’ 

ยังไม่ทันที่ทั้งสองคนจะก้าวเยียบบันไดหน้าคฤหาสน์ เจตรินก็ถามขึ้นมาเสียก่อนทำให้พวกเขาหยุดชะงักไปเล็กน้อยด้วยความไม่เข้าใจในบางสิ่ง โดยเฉพาะตฤณที่จำได้เป็นมั่นเป็นเหมาะว่าอีกฝ่ายเป็นคนบอกเองให้มาก่อนพระอาทิตย์จะลาลับขอบฟ้าไป

“จ้าวอยู่หรือเปล่า”

เจตรินเลือกที่จะไม่ตอบคำถามของตฤณแต่กลับพูดในสิ่งที่ควรต้องพูดในเวลานี้ออกไปแทน ‘กลับไปก่อนเถอะ วันนี้เป็นวันไม่ดี ไม่ควรอยู่นาน’

ตฤณก้าวเข้าไปหาเจตรินโดยมีเมฆเดินตามหลังมา “อยากถามเรื่องจ้าวหน่อยได้ไหม”

‘ถ้าจะถามก็ขอเป็นวันอื่นได้ไหมที่ไม่ใช่วันนี้ ขอร้องล่ะ ออกไปเถอะ เขาจะมาแล้ว’

“ใครจะมา”

‘หมอผี เมื่อสองวันก่อนมันส่งโหงพรายมาสอดแนมที่นี่ วิญญาณที่อยู่หน้าคฤหาสน์ถึงได้เฝ้าไม่วางตาเพราะถ้าหมอผีนั่นมาที่นี่ วิญญาณทุกตนในนี้เดือดร้อนแน่’


“แล้วจ้าวล่ะ”

เจตรินยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยเมื่อได้ยินตฤณถามถึงน้องชายของเขาซ้ำแล้วซ้ำอีก ‘ไม่เป็นอะไรหรอก ไม่ต้องห่วง กลับออกไปก่อนที่เขาจะมาถึงเถอะ ไม่อยากให้ต้องมาโดนร่างแหไปด้วย’

ตฤณหันไปมองหน้าเมฆราวกับอยากจะถามว่าควรทำอย่างไรดีในตอนนี้ จะออกจากคฤหาสน์หลังนี้ไปตามที่เจตรินบอกแล้วปล่อยให้พวกเขาต้องเจอกับหมอผีคนนั้นเพียงลำพังหรือจะอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนดี เรื่องแบบนี้เขาไม่สามารถตัดสินใจได้ด้วยตัวเองเพราะไม่รู้ถึงความร้ายกาจของหมอผีคนนั้น ไม่รู้ว่าเมื่อหมอผีมาแล้วจะลงมือทำอะไรบ้าง

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวพวกเราจะอยู่เป็นเพื่อน”

เจตรินพูดอะไรไม่ออก ทั้งที่เขาพยายามไล่ให้ออกไปอย่างสุภาพแล้วแท้ๆ แต่ทำไมถึงยังยืนกรานที่จะอยู่ที่นี่ต่อ แต่ทว่าเขากลับไม่มีเวลามานึกถามหาเหตุผลนานเท่าไรนักก็สัมผัสได้ถึงบางสิ่งบางอย่างมุ่งตรงมายังคฤหาสน์หลังนี้อย่างรวดเร็วในขณะที่พระอาทิตย์กำลังฉายแสงสุดท้าย

‘เขามาแล้ว ตามผมมา’

ตฤณกับเมฆยังคงยืนนิ่งอยู่กับที่จนเจตรินต้องเรียกซ้ำอีกครั้ง พวกเขาถึงได้ตามไป เจตรินพาขึ้นไปยังชั้นสองของคฤหาสน์ เลี้ยวไปทางฝั่งต้องห้ามสำหรับทุกคนที่อยู่ที่นี่แต่ตฤณไม่มีเวลาคิดจึงไม่ได้ถามอะไรออกไป ประตูห้องบานหนึ่งถูกเปิดออกโดยที่เจตรินยังไม่ทันได้สัมผัสกับลูกบิดประตู

‘เข้าไปที่ห้องนั้นแล้วอย่าออกมาจนกว่าผมจะมาตาม’

“แล้วคุณจะไปไหน”

‘วิญญาณพวกนั้นรับมือกับหมอผีไม่ไหวแน่’


เจตรินตอบคำถามของเมฆเพียงเท่านั้นแล้ววิ่งหายไป เหลือทิ้งไว้แค่ตฤณกับเมฆและประตูที่เปิดค้างไว้บานนั้น พวกเขามองหน้ากันอีกครั้งก่อนจะตัดสินใจก้าวเข้าไปในห้องที่มีเพียงแค่แสงริบหรี่ของดวงอาทิตย์ที่ใกล้จะลาลับขอบฟ้าเต็มทีเท่านั้น

เมื่อยามที่เท้าข้างแรกสัมผัสพื้นส่วนหนึ่งของห้อง ตฤณกลับพบว่ามันอบอุ่นอย่างน่าประหลาดเหมือนตอนที่มีจ้าวอยู่ด้วยไม่มีผิด แล้วพลันนั้นก็เผลอนึกถึงเด็กคนนั้นขึ้นมาอีกครั้ง เด็กที่เขาบอกกับตัวเองว่าไม่ว่าจะดีหรือร้ายอย่างไรก็จะยังรัก

“ตฤณ... นั่น”

เมฆพยักพเยิดให้ดูอะไรบางอย่างบนเตียงนอนและเพื่อความแน่ใจว่าสิ่งที่จะเห็นหลังจากนี้คืออะไรกันแน่ เขาจึงเปิดไฟฉายที่ติดมากับโทรศัพท์มือถือส่องไปยังเตียงนอนหลังเก่า เห็นเพียงแค่ผ้าห่มสีน้ำตาลเปลือกไม้ที่ถูกฝุ่นจับหนาเป็นนิ้วห่มคลุมบางสิ่งบางอย่างที่อยู่บนเตียงนอนนั่นที่มีรูปร่างคล้ายคน

ตฤณก้าวเท้าอย่างเชื่องช้าด้วยความระแวดระวังตรงเข้าไปดูว่าสิ่งที่เมฆเรียกให้ดูนั้นเป็นอะไรกันแน่ แต่แล้วก็ต้องผงะไปเมื่อเห็นว่าสิ่งที่อยู่บนเตียงนอนหลังเก่าคือโครงกระดูกของเด็กวัยรุ่นคนหนึ่ง หัวใจของเขาหล่นวูบไปถึงตาตุ่มแล้วจมหายไปกับพื้นดิน “จ้าว”

“ร่างนี้ใช่เขาแน่เหรอ”   

ตฤณไม่แน่ใจว่าใช่หรือไม่ เขาถึงได้เงียบไปอย่างใช้ความคิด

“ถ้าเด็กคนนั้นเพิ่งตายได้ไม่กี่ปี ศพนี้ก็น่าจะไม่เหลือแต่โครงกระดูกแบบนี้หรอก” เมฆพูดขึ้นต่อจากนั้นราวกับว่าเขาต้องการย้ำว่าความจริงแล้วจ้าวก็คือวินเซ้นท์ เด็กผู้ชายที่เจ้าของคฤหาสน์หลังนี้เก็บมาเลี้ยงดู แต่ดูเหมือนตฤณจะยังไม่เข้าใจ เขาจึงพูดย้ำสำทับความคิดเห็นของตัวเองเพิ่มเติม “ดูหยากไย่พวกนี้ก่อน จับกันเป็นก้อนขนาดนี้ มันต้องอยู่มานานกี่สิบปีกัน”

ตฤณพูดอะไรไม่ออก ถ้านั่นเป็นความจริงจะเท่ากับว่าข่าวที่อยู่บนหน้าหนังสือพิมพ์เมื่อนานมาแล้วก็จะกลายเป็นเรื่องจริงด้วยเช่นกัน เรียวคิ้วขมวดเข้าหากันอย่างครุ่นคิด ถ้าหากนั่นเป็นเรื่องจริงขึ้นมา เขาไม่แน่ใจว่าจะรับได้อีกมากเท่าไรกัน

“พี่รู้ว่ามันเป็นเรื่องที่ทำใจยาก มนุษย์กับวิญญาณสุดท้ายแล้วก็ไม่ใช่สิ่งที่คู่กันอยู่ดี สิ่งที่อยู่ต่างภพต่างภูมิต่อให้มองเห็นซึ่งกันและกันได้ สัมผัสกันได้แต่มันก็มีเส้นบางๆ ที่แบ่งแยกมันออกจากกัน นั่นคือเส้นที่เรียกว่าความจริง”

“พี่เจต!!”

เสียงของใครบางคนลอยมากระทบเข้าหูแต่มันช่างคุ้นเคยเหมือนเสียงที่ห่างหายไปหลายวันก่อน... เสียงของจ้าว ร่างของตฤณนิ่งชะงักไปเหมือนตายแล้วได้เกิดใหม่ แม้จะมีแค่เสียงแต่ไม่เห็นร่าง เพียงเท่านั้นหัวใจพลันกลับมาสูบฉีดเลือดตามปกติ

“จ้าว...”

ตฤณพยายามส่องไฟจากมือถือไปทุกที่รอบตัวอยู่หลายครั้งแต่ก็ยังไม่พบใคร บางทีอาจเป็นเขาที่หูฟาดไปเองมากกว่าแต่แล้วก็รู้สึกเย็บวูบที่ด้านหลังจึงหันแสงไฟส่องกลับไป เป็นเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่มีใบหน้าซีดเผือด ไม่ยิ้มแย้มใดๆ ร่างนั้นโปร่งแสงเล็กน้อยจนมองทะลุถึงกำแพงที่อยู่ข้างหลัง เขาทำท่าจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็เงียบไปจนกระทั่งทั้งหมดตกอยู่ภายใต้ความเงียบที่น่าอึดอัด

“อยู่แต่ในห้องนี้ ห้ามออกไปข้างนอกเด็ดขาดนะครับ พี่ตฤณ”

“จ้าว หมอผีนั่น...”

วิญญาณโปร่งแสงท่าทางอิดโรยราวกับยังฟื้นฟูพลังของตัวเองกลับมาได้ยังไม่ครบจ้องเขม็งไปยังใบหน้าของตฤณคล้ายว่ากำลังหงุดหงิดใจที่อีกฝ่ายเอาแต่ซักไซ้ก่อนจะผ่อนลมหายใจออกมา “เพราะหมอผีนั่นเป็นศัตรูเก่าและจ้าวอาจเผลอทำตัวร้ายกาจออกไป พี่ตฤณกับพี่เมฆช่วยอยู่ที่นี่ก่อนจนกว่าพี่เจตจะมาเถอะครับ”

วิญญาณโปร่งแสงของจ้าวเดินทะลุผ่านประตูห้องออกไป เขาไม่จำเป็นต้องปิดบังสถานะของตัวเองอีกต่อไปแล้ว

เมื่อเห็นจ้าวออกจากห้องไปแล้วตฤณก็รีบเปิดประตูออกไปในทันทีแม้ว่าเมฆพยายามห้ามปรามแล้วแต่กลับไม่ฟัง เขาจึงจำต้องวิ่งตามออกไปอีกคน แอบมองดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นข้างล่างอยู่ตรงมุมหนึ่งใกล้กับบันไดชั้นสอง

“กล้ามากทีเดียวนะที่มาวางวงสายสิญจน์ในคฤหาสน์หลังนี้”





// ต่อข้างล่าง //

ออฟไลน์ BlueSora

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
หมอผีเฒ่าหัวเราะหึๆ อยู่ในวงสายสิญจน์ที่วางเอาไว้กลางโถงใหญ่ ดวงตาสีดอกเลาจ้องมองเด็กผู้ชายที่หน้าตาไม่เคยเปลี่ยนแม้เวลาจะผ่านมานานกว่าสิบปีด้วยแววอาฆาตมาดร้าย

จ้าวก้าวลงบันไดมาอย่างเชื่องช้าด้วยสภาพที่ใครต่อใครก็คงคาดเดาได้ไม่ยอมว่าเด็กคนนี้ไม่ใช่มนุษย์ ไม่ใช่สิ่งที่จะรับมือได้อย่างง่ายดาย คราวที่แล้วหมอผีเฒ่าก็พ่ายแพ้ให้กับพลังอำนาจอันร้ายกาจของเด็กคนนี้จนตนต้องสูญเสียลูกชายอันเป็นที่รักไปต่อหน้าต่อตา

“เพราะแก! ทำให้ลูกชายฉันตาย!”

“ไม่ได้เป็นเพราะรนหาที่ตายเองหรอกเหรอ ตอนนั้นจ้าวก็แค่ช่วยสงเคราะห์ให้ไปพบยมบาลเร็วขึ้นเท่านั้น ไม่คิดจะขอบคุณแล้วยังจะมากล่าวโทษกันอีก”

หมอผีเฒ่าไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไรให้ยืดยาวเสียเวลา เขากวักมือเรียกลูกศิษย์ให้หยิบหุ่นปั้นควายธนูออกมาจากกระเป๋าย่าม พึมพำท่องคาถาอยู่ครู่หนึ่งแล้วปล่อยให้ควายธนูตัวนั้นวิ่งพุ่งเข้าทำร้ายดวงวิญญาณของจ้าว มันวิ่งมาอย่างเร็วรี่ ดวงตาสีแดงก่ำของมันเต็มไปด้วยความโกรธแต่จ้าวกลับใช้มือเพียงข้างเดียวปัดออกก่อนที่จะมาถึงตัว ร่างของควายธนูเปลี่ยนทิศทาง ชนเข้ากับกำแงปูนแล้วแตกออกเป็นผุยผงจางหายไปพร้อมกับฝุ่นที่คละคลุ้งไปทั่ว   

“แก!!” หมอผีเฒ่าไม่ยอมลดราวาศอก สบถออกมาอย่างเคียดแค้นชิงชัง

จ้าวเดินลงมาถึงชั้นล่าง ยืนอยู่เคียงข้างกับเจตรินรอดูเชิงอีกฝ่ายที่กำลังขบคิดอะไรบางอย่างอยู่ในใจ สายสิญจน์นั่นแม้จะไม่ได้มีพลังแรงกล้าเหมือนเช่นอาณาเขตวัดที่จ้าวได้ประสบพบเจอมาแต่ก็ประมาทไม่ได้อย่างเด็ดขาด

‘ปล่อยพวกเราไปได้ไหม’

เจตรินไม่อยากมีเรื่องราวแต่ถ้าเป็นเมื่อก่อน เขาอาจปล่อยให้ทำตามอำเภอใจแต่ทว่าจ้าวในตอนนี้น่าเป็นห่วงกว่ากันมาก ดวงวิญญาณที่ยังไม่แข็งแรงดีย่อมมีพลังอำนาจไม่มากพอที่จะต่อกรกับหมอผีคู่แค้นคนนั้นได้อย่างมั่นอกมั่นใจว่าตนจะเป็นฝ่ายชนะ

“ปล่อย? ตอนนั้นฉันขอร้องอ้อนวอนน้องแกแทบเป็นแทบตายให้ปล่อยลูกชายฉันไป แกปล่อยไหม”

ย้อนนึกถึงช่วงเวลาเมื่อสิบกว่าปีก่อน ตอนนั้นคฤหาสน์หลังนี้ก็ขึ้นชื่อว่าเป็นคฤหาสน์ผีดุ ใครเข้ามาหลบหลู่ลองดีมักจะไม่รอดทุกรายไป หมอผีเฒ่าในสมัยที่ยังไม่แก่ชราเหมือนในตอนนี้ได้พาลูกศิษย์กับลูกชายเข้ามาทำการปราบผี ส่งวิญญาณร้ายให้กลับสู่ที่เดิมของมัน หมอผีในวัยกลางคนยังร่ำเรียนวิชามาไม่มากพอจึงทานทนต่อฤทธิ์ของวิญญาณชั่วร้ายในที่นี้ไม่ได้ ซมซานกลับไปพร้อมกับหอบเอาความแค้นที่ฆ่าลูกชายตนไปด้วย เวลาผ่านพ้นไปเป็นสิบปี หมอผีผู้นั้นกลับมาแก้แค้น

‘แล้วรู้หรือเปล่าว่าถ้าเข้ามาที่นี่จะพบกับอะไร’

“รู้ วิญญาณของพวกแกที่รอให้ฉันส่งไปขอโทษลูกชายฉันไง!”

‘แบบนั้นเรียกว่าไม่รู้อะไรเลยต่างหาก...’


เจตรินเงียบลงเมื่อถูกจ้าวห้ามปรามไม่ยอมให้พูดต่อ ใบหน้าของเจตรินจึงเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจแต่แล้วก็รู้ว่าต่อให้ตนเองอธิบายจนน้ำลายแตกฟอง หมอผีคนนั้นก็ไม่มีวันละทิ้งความแค้นที่ฝังอยู่ในใจไปได้ เพียงจ้าวกวักมือเรียก วิญญาณสิบกว่าตนก็โผล่มายืนขนาบข้าง

“กับคนประเภทนี้ พี่เจตอย่าเสียเวลาพูดให้เหนื่อยเลยครับ เขามาที่นี่ก็ไม่ได้ต้องการมาเจรจาด้วยแต่แรกอยู่แล้ว”

จะจัดการหมอผีที่อยู่ในวงล้อมสายสิญจน์ที่พวกภูตผีวิญญาณไม่สามารถย่างกรายเข้าไปได้นั้นท่าทางจะยากเอาเรื่อง ยิ่งจ้าวอยู่ในช่วงฟื้นฟูพลังของตนยิ่งต้องคิดหาทางให้มากและแยบยลขึ้น ไม่อาจต่อสู้ด้วยการปะทะตรงๆ ซึ่งๆ หน้าได้

“หึ! แก!”

หมอผีเฒ่าหยิบข้าวสารที่ถูกร่ายคาถาปาใส่ร่างของจ้าว เขาแอบขยับกายเล็กน้อยบังร่างของพี่ชายเอาไว้แล้วปล่อยให้ตัวเองกลายเป็นโล่กำบัง หนึ่งเพื่อต้องการปกป้องพี่ชาย สองเพื่อนต้องการปกป้องความจริงจากตฤณกับเมฆที่กำลังแอบมองอยู่ข้างบน แม้ร่างกายจะปวดแสบปวดร้อนด้วยอาคมแต่จ้าวก็ยังตีสีหน้านิ่งหยิ่งยโส เก็บความรู้สึกของตัวเองเอาไว้ภายใน

“ฝีมือยังไม่พัฒนาขึ้นจากเดิมเลยนะ เวลาที่ผ่านไปมันไม่ได้ช่วยอะไรเลยหรือยังไงครับ”

หมอผีเฒ่ากัดฟันกรอดที่สิ่งที่ตนมีไม่อาจทำให้วิญญาณตนนี้ระคายเคืองได้เลยจึงสั่งเรียกลูกศิษย์ให้หยิบของชิ้นสำคัญออกมาจากกระเป๋าย่าม ในขณะที่ดวงวิญญาณที่จ้าวเรียกมาก็พร้อมสู้เช่นกัน ไม่ใช่เพื่อผู้เรียกแต่เพื่อตนเอง หาไม่แล้วก็คงได้กลายเป็นวิญญาณรับใช้หมอผีเฒ่าคนนั้นแน่

จ้าวเดินถอยหลังออกมาพร้อมเจตริน ปล่อยให้วิญญาณชั่วร้ายพวกนั้นที่หวังต้องการตัวตายตัวแทนได้อยู่เป็นทัพหน้าคอยจัดการ จะบอกว่าเขาเห็นแก่ตัวก็ไม่ผิดแต่เขากำลังเก็บไพ่ใบสุดท้ายเอาไว้อยู่ในมือ ไพ่ของเดวิลที่พร้อมมอบความตายให้กับทุกคน

จ้าวเดินตรงไปหาตฤณและเมฆที่แอบอยู่หลังกำแพงปูน

“พี่เมฆ พี่ตฤณ จ้าวขอความร่วมมืออะไรสักอย่างได้ไหมครับ”

เมฆหันไปมองหน้าตฤณด้วยความลังเลใจแต่ในสายตาของรุ่นน้องที่เขาเห็นนั้นมีแต่ความยินดีที่จะทำตามคำขอร้อง เขาถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะพยักหน้าอย่างจำยอม

“ลงไปข้างล่างด้วยกันหน่อยสิครับ แล้วอยู่เฉยๆ ยังไม่ต้องทำอะไร”

“ไม่ต้องทำอะไรคือ...”

จ้าวไม่ยอมตอบ เมฆจึงหันไปถามหาคำตอบจากเจตรินแต่ก็ยังไม่ได้อะไรกลับมาเช่นกัน เขาไม่รู้ความคิดของน้องชาย ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ ไม่รู้ว่าแผนการที่วางเอาไว้คืออะไร สรุปอย่างง่ายๆ คือเขาไม่รู้อะไรเลยสักอย่างเดียว

“ตกลงรับคำขอของจ้าวไหมครับ”

ตฤณพยักหน้ารับคำแล้วเอื้อมมือออกไปเพื่อกอบกุมมือเล็กนั้นเอาไว้แต่กลับคว้าได้เพียงแค่อากาศ มือของเขาทะลุมือของจ้าวลงไป ไม่ว่าเขาจะพยายามอีกกี่ครั้งร่างกายนั้นก็ได้กลายเป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้ไปแล้ว พลันนั้นถึงได้รู้สึกสั่นสะท้านไปทั้งร่าง หัวใจของเขาราวกับใครสาดน้ำเย็นเฉียบเข้าใส่ แม้จะรับรู้ความจริงแล้วแต่เมื่อมาเจอกับตัวเองถึงได้รู้ว่ามันยากที่จะยอมรับง่ายๆ

“มันเป็นเรื่องปกติที่วิญญาณทั่วไปจะจับต้องไม่ได้อยู่แล้ว ยกเว้นพวกที่มีพลังกล้าแข็ง”

จ้าวหันหลังกลับ ก้าวลงบันไดไปเผชิญหน้ากับหมอผีเฒ่าคนนั้นหลังรับรู้แล้วว่าวิญญาณชั่วร้ายพวกนั้นไม่รอดพ้นเงื้อมมือหมอผีคนนั้นไปได้

หมอผีเฒ่ายืนรออยู่ในวงสายสิญจน์อยู่นานแล้ว พอเห็นว่าศัตรูคู่แค้นเดินมาก็ไม่รอช้าที่จะขว้างสายสิญจน์ที่ลงอาคมแล้วไปข้างหน้า ครอบร่างวิญญาณของจ้าวเอาไว้แล้วท่องบทสวดคาถาอาคมทำให้ร่างที่อยู่ในนั้นร้อนรุ่มทรมานกายดั่งถูกเปลวเพลิงแผดเผาทุกส่วนของร่างกายคล้ายว่าถูกลากลงนรกกระทะทองแดงให้ตายทั้งเป็น

‘จ้าว!’

“พี่เจต!! อย่า!!” จ้าวรีบร้องห้ามเมื่อเห็นว่าเจตรินกำลังจะทำอะไรโง่ๆ อย่างเช่นกระชากสายสิญจน์ให้ขาดออกจากกัน

ตฤณกำลังจะเอื้อมมือเข้าไปช่วยแกะสายสิญจน์นั้นออกแต่ร่างของจ้าวกลับถูกดึงกระชากให้เข้าไปใกล้กับหมอผีเฒ่าผู้นั้น จ้าวยังคงนิ่งเฉย ทำเป็นไม่รู้สึกอะไรแต่ภายในกับปวดร้าวจนเกินจะทานทน เขากัดฟันแน่น อดทนต่อความเจ็บปวดที่เพิ่มเท่าทวีคูณเมื่อหมอผีเฒ่าท่องบทสวดคาถา ตฤณรีบวิ่งเข้าไปใกล้กับร่างของจ้าวแล้วลงมือดึงกระชากสายสิญจน์ที่พันร่างของคนที่รักเอาไว้แต่มันเหนียวเสียจนเขาเกือบหมดแรง

“ไม่คิดว่าจะมีใครทำอะไรโง่ๆ สายสิญจน์นั่นจะขาดได้ก็ต้องใช้อาคม!”

เจตรินที่กำลังมองดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ตรงเชิงบันไดเพิ่งจะฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้จึงหันไปกระซิบกระซาบเชิงขอร้องกับเมฆที่พยายามไม่เอาตัวเองเข้าไปข้องเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นแต่ถึงอย่างนั้นก็ยังถูกลากเข้าไปร่วมด้วยอยู่ดี

เมฆเดินเข้าไปใกล้กับวงล้อมสายสิญจน์ของหมอผีเฒ่าด้วยท่าทางหวาดผวาต่อสิ่งที่พบเห็น “พ่อหมอ! ผม... ผมกลัว... ขอผมเข้าไปอยู่ด้วยได้ไหม” 

หมอผีเฒ่าตอบรับอย่างไม่เต็มเสียงนักคล้ายว่ากำลังรู้สึกรำคาญที่ถูกขัดจังหวะ “จะเข้าก็เข้ามา ก้าวระวังด้วยล่ะ อย่าสะดุดสายสิญจน์”

เมฆพยักหน้าพร้อมกับก้าวเข้าไปในวงล้อมสายสิญจน์อย่างระมัดระวังที่สุด

“พี่เมฆ!!” ตฤณตะโกนขึ้นมาอย่างไม่อยากเชื่อสายตาว่ารุ่นพี่ของเขาจะปอดแหก คิดย้ายฝั่งไปอยู่ข้างเดียวกับหมอผีเฒ่าคนนั้นที่พร้อมจะเอาวิญญาณของจ้าวได้ทุกเมื่อ

“หยิบกริซออกมา”

กริซที่ลูกศิษย์คนหนึ่งหยิบออกมาจากกระเป๋าย่ามตามคำสั่งมีฤทธานุภาพค่อนข้างร้ายกาจ สามารถทำให้ดวงวิญญาณที่ไม่กล้าแข็งนั้นแตกสลายได้และมันอาจจะคร่าเอาวิญญาณของจ้าวที่ยังไม่แข็งแรงดีในเวลานี้ไปได้ด้วยเช่นกัน หน้าที่ของเมฆก็มีเพียงแค่แฝงตัวเข้าไปแล้วทำให้พิธีกรรมล่ม เพียงแต่ยังหาจังหวะโอกาสที่เหมาะสมไม่ได้

หมอผีเฒ่ารับกริซเล่มนั้นมาจากลูกศิษย์ ท่องบทสวดคาถาอาคมใส่กริซที่อยู่ในมือ ร่างวิญญาณของจ้าวที่อยู่ใต้อาณัติของเขากำลังจะเดินทางมาถึงจุดจบแล้วแต่ทว่ากลับไม่เป็นไปตามที่คาดหวังเอาไว้เมื่อเมฆเดินเข้าไปใกล้แล้วเสนอสิ่งที่ดีกว่ากริซเล่มนั้นให้ “พ่อหมอ ผมมีอะไรจะเสนอ อานุภาพมันร้ายแรงกว่ากริซที่พ่อหมอมีอีกนะ”

ไม่มีสิ่งใดที่มีอานุภาพร้ายแรงกว่ากริซเล่มนี้ หรือต่อให้มีก็คงไม่ตกอยู่ในมือคนธรรมดาที่แม้แต่วิธีใช้งานยังไม่รู้ หมอผีเฒ่าอยากแก้แค้นให้ลูกชายจนลืมนึกถึงความจริงในข้อนี้ไป เขาพยักหน้าแล้วกวักมือเรียกให้เมฆเดินเข้าไปหา

“ไหนล่ะ ของที่ว่า”

“ไม่มีหรอก”

ในขณะที่เมฆตอบคำถามของหมอผีเฒ่าก็ยกเท้ายันหิ้งบูชาเล็กๆ เบาๆ ก่อนจะทำเป็นตกใจแต่ใครก็มองออกว่านั่นเป็นความจงใจมากกว่า ลูกศิษย์คนหนึ่งที่มองเห็นเหตุการณ์ทำท่าจะพุ่งเข้าไปชกให้เลือดกบปากแต่ถูกหมอผีเฒ่าปรามเอาไว้เสียก่อน

ถ้าพิธีกรรมถูกทำลาย อาณาเขตภายในสายสิญจน์ย่อมไม่มีความหมาย หมอผีเฒ่าเริ่มรู้ถึงชะตากรรมของตัวเอง ขืนยังปล่อยให้เมฆยังอยู่ในนี้ ชีวิตของเขาจะยิ่งเข้าใกล้ปรโลกมากขึ้นทุกทีแต่ก็ยังไม่อยากทำตัวใจไม้ไส้ระกำ ผลักไสออกไปนอกเขตสายสิญจน์

“พี่ตฤณอย่าพยายามเลยครับ”

จ้าวรับรู้ถึงความอยากช่วยของตฤณแต่มันไม่เกิดผลอะไร สิ่งที่ถูกลงอาคมเอาไว้ถ้าไม่แก้ด้วยอาคมก็อาจต้องแก้ด้วยของต่ำ แต่สายสิญจน์ที่พันร่างอยู่นั้นจะให้ยกเท้าขึ้นมาเหยียบก็คงลำบากพอดู ความเจ็บแสบจากฤทธิ์คาถาอาคมแม้จะเทียบเท่ากับเมื่อครั้งที่เจอความบริสุทธิ์ของวัดไม่ได้แต่ใช่ว่าจะไม่สามารถทำร้ายเขาได้เลย

จ้าวพยายามครุ่นคิดหาทางออกในขณะที่ยังพอมีเวลาเหลือ ถ้าเขาพ่ายแพ้ให้กับหมอผีเฒ่าผู้นี้ วิญญาณดวงอื่นที่อาศัยอยู่ในคฤหาสน์หลังนี้ก็คงไม่รอดพ้นด้วยเช่นกัน

“กริซเล่มนั้นของแกคงไม่ได้ร้ายกาจอะไรเลยสินะ ถึงได้เชื่อคำพูดที่ว่ามีของที่มีอานุภาพมากกว่านี้”

หมอผีเฒ่าชะงักไปเล็กน้อย ถ้าบอกว่ากริซที่เขามีอยู่นั้นก็นับว่าดีแต่ไม่ที่สุด เป็นแค่กริซลงอาคมใหม่เมื่อหลายปีก่อน ไม่ใช่ของเก่าแก่หายากอะไร

“หึ!”

จ้าวยกยิ้มมุมปากอย่างหยิ่งผยอง ถึงจะตกอยู่ในสภาพที่ทำอะไรไมได้แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าเขาถือไพ่เหนือกว่าไปแล้ว มีเมฆอยู่ข้างหมอผีเฒ่านับว่าดี มีเจตรินอยู่ข้างหลังคอยมองสถานการณ์ มีตฤณอยู่ข้างกาย ผู้คนรายล้อม

“อาคมของแกไม่ได้แข็งแกร่งอะไรเลยจริงๆ ผ่านไปเป็นสิบปีดูเหมือนจะพัฒนาไปได้แค่นิดเดียวเองนะ”

ถ้อยคำดูถูกดูแคลนของจ้าวได้ผลชะงักนัก หมอผีเฒ่าเรียกให้ลูกศิษย์หยิบกริซที่ถูกพูดถึงมาให้ ยิ่งเข้าทางของจ้าวพอดิบพอดี เพียงแค่จ้าวออกแรงขยับตัวมากหน่อย สายสิญจน์ที่พันธนาการร่างเอาไว้ก็ขาดออกจากกัน หมอผีเฒ่าตื่นตระหนกตกใจด้วยคาดไม่ถึงว่าวิญญาณตนนี้แม้จะถูกฤทธิ์บริสุทธิ์ทำร้ายไปแล้วยังเหลือพลังในร่างกายมากพอที่จะทำให้สายสิญจน์ที่ลงคาถาอาคมเอาไว้ขาดออกจากกันได้

“จ้าวรู้ว่าแกคงแปลกใจ” จ้าวปัดเนื้อปัดตัวราวกับกำลังไล่เอาความเจ็บแปลบบนร่างกายให้ออกไปแล้วจึงพูดต่อโดยไม่ขยับไปไหน “คงได้ยินข่าวมาบ้างสินะว่าจ้าวเอาตัวเข้าไปต่อกรกับอำนาจบริสุทธิ์ในวัดมาจนวิญญาณอาจจะแตกดับไปแล้ว ก็จริง... มันเกือบไปแล้ว ดีที่ออกมาได้ทันเวลา แต่ถือว่าบาดเจ็บสาหัสเลยทีเดียว แต่นั่นคงไม่สำคัญเท่ากับว่าทำไมเวลาแค่ไม่กี่วันถึงได้กลับมาในสภาพเกือบสมบูรณ์ใช่ไหมล่ะ”   

หมอผีเฒ่าคาดไม่ถึงจริงๆ ว่าเวลาเพียงไม่กี่วัน วิญญาณคู่อริแค้นเก่าดวงนี้จะสามารถกลับมายืนหยัดได้อย่างสง่างามและผ่าเผย ไม่มีความหวาดกลัวใดๆ หลงเหลืออยู่ในดวงตาสีแดงฉานคู่นั้นเลยแม้แต่น้อย

“จ้าวก็มีคนของจ้าว คนที่พอรู้ว่าจ้าวเดือดร้อนก็จะยื่นมือเข้ามาช่วยโดยไม่ต้องพูดอะไร”

รอยยิ้มจริงใจไม่โป้ปดบนใบหน้ากลมมนนั้นตอบได้อย่างดีว่าสิ่งที่จ้าวพูดออกไปทึกอย่างนั้นคือเรื่องจริง

“สายสิญจน์กับบทสวดนั่นทำเอาเจ็บแทบตายแต่พอแกหยุดสวด สายสิญจน์ของแกมันก็แค่ได้แค่รู้สึกแสบๆ คันๆ... อย่าลืมว่าจ้าวเป็นอะไร ของแค่นี้ทำอะไรจ้าวได้ไม่มากนักหรอก”

จ้าวเดินเข้าไปใกล้ ใบหน้าของหมอผีเฒ่าที่มั่นใจในความสามารถของตัวเองนักหนาว่าจะจัดการวิญญาณคู่แค้นของตนได้นั้นเผือดซีดเป็นหน้ากระดาษขาว แต่ทว่าลืมไปว่าไม่ใช่มีแค่ตัวเองที่พัฒนาฝีมือ จ้าวเองก็พัฒนาอำนาจของตัวเองขึ้นมาด้วยเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นคงไม่สามารถควบคุมทุกอย่างเอาไว้ในมือได้ทั้งหมด

ดวงตาสีแดงเพลิงดิ่งเปลวไฟในนรกโลกันต์พร้อมแผดเผาทุกสิ่งให้มอดไหม้กลายเป็นเถ้าถ่าน แม้แต่ดวงวิญญาณก็จะไม่เหลือไว้ให้กลับร่างได้อีก เมฆที่ยืนอยู่เยื้องไปข้างหลังหมอผีเฒ่าคนนั้นเห็นชัดเต็มสองตา ความโหดร้ายไร้ซึ่งความปราณีผิดกับเวลาที่สายตาคู่นั้นใช้มองตฤณซึ่งมันเต็มไปด้วยความอบอุ่นและอ่อนโยนทำให้เขาตระหนักแล้วว่าต่อให้เด็กคนนี้จะร้ายกาจมากแค่ไหนแต่สำหรับรุ่นน้องของเขานั้นถือเป็นข้อยกเว้น

“ถ้ามั่นใจว่ากริซนั่นทำอะไรจ้าวได้ก็ลองดู”

หมอผีเฒ่ายื่นมือออกไปรับกริซที่ลูกศิษย์ส่งมาให้แต่เมฆกลับแกล้งชนมือที่ยื่นมาด้านข้างเขาในขณะที่กริซเล่มนั้นกำลังจะเปลี่ยนมือจนมันกระเด็นหลุดออกไปนอกวงล้อมสายสิญจน์ ไม่ได้ไกลมากนักแต่หมอผีเฒ่ามัวแต่ตกใจจึงไม่ทันได้คว้าเอาไว้ ตฤณเห็นแบบนี้จึงรีบฉกฉวยโอกาสนี้หยิบกริซมาถือเอาไว้ในมือเสียเอง

หมอผีเฒ่าถึงกับเหงื่อซึม กริซของเขาตกอยู่ในมือของผู้ที่เข้าข้างวิญญาณดวงนั้น “เอามา... เอามาให้ฉัน”

ตฤณไม่ลังเลใจที่จะไม่ยื่นคืนไปให้ ถ้ากริซเล่มนี้ตกไปอยู่ในมือของหมอผีนั่นจะเป็นการยื่นความตามให้กับคนที่รัก อีกทั้งเมฆยังช่วยทำให้กริซเล่มนี้กระดอนหลุดมือออกมานอกวงสายสิญจน์ เขาจะทำให้ใครผิดหวังไม่ได้ 

“พี่ตฤณ ถ้าอยากช่วยจ้าวก็ทำลายอาคมในกริซนั่นซะ”

ต่อให้นี่ไม่ใช่คำขอจากปากของจ้าว ตฤณก็ยินดีที่จะช่วยเต็มที่อยู่แล้ว เขาทิ้งกริซเล่มนั้นลงพื้นโดยมีระยะห่างจากวงล้อมสายสิญจน์อยู่พอสมควรเพื่อไม่ให้ใครเอื้อมมือมาหยิบมันกลับไปได้

“อย่า!! อย่าทำแบบนั้น!!”

คำตะโกนร้องอย่างหวั่นวิตกของหมอผีเฒ่าเพิ่มความมั่นใจให้กับตฤณว่าสิ่งที่เขากำลังจะทำต่อไปนี้เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว เขายกขาข้างหนึ่งขึ้นเตรียมพร้อมจะเหยียบมันลงไปบนกริซเล่มนั้น หมอผีเฒ่ายิ่งรนลานมากเป็นพิเศษ เขาไม่รอช้า... เหยียบย่ำลงไปเต็มที่ คาถาอาคมที่ถูกลงไว้เสื่อมสลายไปในพริบตาเดียวพร้อมกับเสียงร้องอย่างบ้าคลั่งของหมอผีเฒ่า

จ้าวยกยิ้มอย่างผู้มีชัยเหนือกว่าหลายขุม

“ม่ายยยย ม่ายยย!!”

หมอผีเฒ่าหันไปกระชากเสื้อตัวต้นเหตุอย่างเมฆด้วยความเดือดดาล ชกเข้าไปบนใบหน้าอันหล่อเหลาของเมฆเสียเต็มแรงจนร่างนั้นเซถอยหลังไปหลายก้าว ในจังหวะเพียงเสี้ยววินาทีนั้นเขาแสร้งทำเป็นล้มลงเพราะแรงชกแล้วลุกขึ้นยืน จับมุมปากที่รู้สึกปวดเล็กน้อย ยกเท้าเกี่ยววงสายสิญจน์จนมันพังไม่เป็นท่า และเขาไม่แน่ใจว่าการกระทำแบบนี้จะทำให้พิธีกรรมล่มได้หรือไม่แต่ที่เห็นอยู่ตรงหน้าคือความโกรธเคืองที่ปะทุออกมาเป็นลาวาภูเขาไฟของหมอผีเฒ่า

เมฆรีบวิ่งออกมาจากวงล้อมสายสิญจน์ก่อนที่จะถูกประเคนเข้าอีกหมัด เขาไม่ได้วิ่งไปข้างหลังแต่กลับวิ่งชนโต๊ะทำพิธีตัวเตี้ยๆ ทำล้มระเนระนาดพังไม่เป็นท่า หมอผีเฒ่าถึงกับผงะไปชั่วขณะ เหงื่อกาฬแตกพลั่ก เริ่มรับรู้ชาตะของตัวเองได้ลางๆ

“พี่เจต”

ทันทีที่ได้ยินเสียงเรียกของจ้าว เจตรินก็รู้หน้าที่ของตัวเอง เขาเดินเข้าไปหาเมฆกับตฤณแล้วชวนให้ไปนั่งเล่น จิบน้ำชารอที่ห้องพักรับรองแต่ตฤณกับเมฆต่างปฏิเสธ อีกทั้งยังไม่วางใจที่จะจากไป ใจของเมฆไม่ได้อยากจะช่วยนักแต่ถ้ารุ่นน้องของเขาไม่ไปไหน เขาเองก็คงไปไม่ได้

หมอผีเฒ่ายกมือพนม ท่องคาถาเรียกโหงพรายออกมาให้จัดการกับวิญญาณของจ้าวให้สิ้นซากไป แต่ฤทธิ์ของโหงพรายไหนเลยจะทำอะไรวิญญาณของผู้ที่เป็นเจ้าของพื้นที่นี้ได้

“โหงพรายเหรอ ไม่อยากจะบอกหรอกนะว่าเราก็พอจะรู้จักกัน”   

หมอผีเฒ่าชะงักไปครู่หนึ่ง คาดไม่ถึงว่าวิญญาณที่นำมาทำเป็นโหงพรายจะรู้จักกับจ้าวมาก่อน พลันนั้นร่างกายอันแก่ชราของเขาก็สั่นสะท้านไปทั่ว เผลอนึกไปว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นนั้นอยู่ภายใต้การควบคุมของเด็กคนนี้ตั้งแต่แรกแล้ว

“แก! ไอ้เด็กปีศาจ! ปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม”

จ้าวหัวเราะร่วน เขาไม่เคยหัวเราะได้อย่างเต็มเสียงและสะใจเท่านี้มาก่อน “ใครๆ ก็มักกล่าวหาว่าจ้าวเป็นปีศาจ ก็เป็นเหมือนที่อยากให้เป็นแล้วทำไมยังต้องโกรธขนาดนั้นด้วยล่ะ”

“แกรู้จักโหงพรายตนนี้ของฉันได้ยังไง!!”

“หึ! จำได้ไหม คราวก่อนนู้นที่จ้าวเผลอทำร้ายโหงพรายตนเก่าของแกจนบาดเจ็บสาหัสถึงขั้นดวงวิญญาณแตกสลาย” จ้าวเว้นช่วงเล็กน้อย หันไปมองหน้าโหงพรายตนนั้นครู่หนึ่ง “ไม่ยากเลย แค่ผูกสัมพันธ์เล็กๆ น้อยๆ เธอก็ยอมช่วยเหลือ คิดดูสิ โหงพรายที่ร้ายกาจยอมช่วยเหลือ จ้าวจะต้องใช้วิธีการแบบไหนนะ”

จ้าวก้มลงหยิบกริซที่ไร้พิษสงบนพื้นขึ้นมาหมุนเล่นก่อนจะพูดต่อไปอย่างเนิบนาบ “เวลาที่แกส่งโหงพรายมาดูลาดเลา เราก็ทักทายกันนิดหน่อยตามประสาคนรู้จักกัน ได้เลือดกลับไปบ้างเล็กน้อยให้แกตายใจว่าโหงพรายที่แกส่งมาตั้งตนเป็นศัตรูกับจ้าวตั้งแต่แรก”

หมอผีเฒ่าพูดอะไรไม่ออก นอกจากกัดฟันกรอดด้วยความโมโห คาดไม่ถึงว่าทุกอย่างจะเป็นจ้าววางแผนเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว

“พี่เจต ฝากด้วย”

เจตรินพยักหน้า เขารู้ว่าหลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น

‘ไปกันเถอะ ไม่ต้องเป็นห่วงจ้าวหรอกครับ’ 

หมอผีเฒ่าเห็นทางสว่างรำไร ออกคำสั่งโหงพรายให้ไปจัดการกับเจตรินแทนศัตรูคู่แค้น “จัดการเด็กนั่นซะ!”

“ไม่!! อย่าทำพี่เจต!!” จ้าวร้องลั่น พยายามพุ่งตัวเข้าไปหาร่างของพี่ชายแต่ช้ากว่าโหงพรายตนนั้น

เจตรินขยับตัวเบี่ยงหลบการโจมตีแต่ก็ยังดูเหมือนว่าจะช้าเกินไป ร่างนั้นกระเด็นลอยทะลุผ่านเมฆและตฤณที่อยู่ข้างไปจนเกือบชนเข้ากับกำแพง สร้างความเดือดดาลให้กับจ้าวเป็นอย่างมาก เขาพุ่งตัวเข้าหาโหงพราย แม้จะพอรู้จักกันบ้างแต่ก็ไม่อาจให้อภัยผู้ที่ทำร้ายพี่ชายได้ ซัดมือเข้าเต็มแรงโกรธแล้วรีบเข้าไปประคองร่างของเจตรินให้ลุกขึ้นยืน

จ้าวไม่อยากเอาความแต่ก็ปล่อยให้หมอผีเฒ่าบงการโหงพรายต่อไปไม่ได้ ไม่อย่างนั้นเจตรินอาจต้องเจ็บตัวอีก เขาหายตัวไปปรากฏอยู่ต่อหน้าหมอผีเฒ่าคนนั้น แสยะยิ้มอย่างเลือดเย็นขนาดนี้หมอผีเฒ่ายังไม่เคยเห็นความน่ากลัวที่แอบแฝงมากกับร้อยยิ้มแบบนี้มาก่อน

“คาเรน!”

ร่างของเด็กผู้หญิงวัยแปดขวบพลันมาปรากฏอยู่ข้างกาย ผมสีบลอนทองถูกทักเป็นเปียสองข้างยาวถึงกลางหลัง

“ยังอยากได้เพื่อนเล่นอยู่ไหม”

“ค่ะ”

“พี่ยกสองคนนั้นให้ เล่นได้ตามสบายแล้วก็ไปชวนคนอื่นมาเล่นด้วยกันนะ”

“ขอบคุณค่ะ พี่วินเซ้นท์”

คนเรียกชื่อของเด็กผู้หญิงคนนั้นพาให้ใจของตฤณชาวาบ สิ่งที่เมฆพยายามพูดกรอกหูเขาคือเรื่องจริง ถ้าจ้าวเป็นวินเซ้นท์ คัลเลน นั่นก็หมายความว่าเจตรินที่เป็นวิญญาณก็คือโจเซฟ คัลเลน สองพี่น้องตระกูลคัลเลนที่ถูกกล่าวถึงในโศกอนาถกรรมเมื่อเกือบร้อยปีก่อน

คาเรนพุ่งเข้าหาลูกศิษย์ทั้งสองคนของหมอผีเฒ่า ดึงให้เหลือจ้าวกับหมอผีเฒ่าเพียงแค่สองคนในบริเวณนั้น แม้จ้าวจะรู้จักโหงพรายอยู่บ้างแต่ใช่ว่าจะทำลายคาถาอาคมที่คอยควบคุมวิญญาณผีตายโหงตนนั้นได้ เธอเข้าทำร้ายเจตรินอีกเป็นครั้งที่สอง ความโกรธแค้นเริ่มสุมเป็นไฟกองโตอยู่ในใจ

“แก!!”

จ้าวพุ่งตัวเข้าหา ยึดร่างหมอผีเฒ่าที่ไม่ทันระวังตัวติดกับผนังแล้วจึงยกยิ้มแสนชั่วร้าย “รู้อะไรไหม จ้าวน่ะเป็นเด็กดีนะ เชื่อฟังทุกอย่างเลย ใครบอกว่าจ้าวเป็นปีศาจก็เป็นให้แล้ว น่าจะพอใจแล้วนะ หรือยังอยากให้จ้าวร้ายกว่านี้ ส่งให้แกไปเจอกับลูกชายในนรกด้วยดีไหม”

ในแววตาที่สะท้อนมาตรงหน้ามีแต่ความจริง เด็กคนนี้ไม่ได้โกหก ถ้าหากหมอผีเฒ่าพลั้งพลาดไปคงจะได้ลงนรกไปพบลูกชายเร็วๆ นี้แน่ ร่างกายก็สั่นสะท้านไปทั่วด้วยเพราะรู้ฝีมือของตัวเองดีว่าหลายปีที่ผ่านมานี้ต่อให้ฝึกปรือวิชามนต์ดำมานานแค่ไหน ความร้ายกาจของเด็กคนนี้ก็เป็นสิ่งที่รับมือยาก

‘จ้าว! อย่าฆ่าใครอีกเลยนะ พี่ขอร้อง’

เสียงตะโกนของเจตรินในขณะที่กำลังต่อสู้กับโหงพรายแทบจะไม่เข้าหูของจ้าวเลยแม้แต่น้อย ความโกรธแค้นที่สุมอยู่ในอกทำให้จ้าวหูหนวกตาบอด เขาหมุนกริซที่อยู่ในมือเล่นไปมาอีกครั้ง

‘จ้าว!! อย่าทำอีกเลยนะ’


เจตรินร้องบอกก่อนที่จะหายไปจากห้องโถงกลางของคฤหาสน์ หลบหนีโหงพรายที่ตามเอาชีวิตเขา

“ตฤณ! อยู่นี่นะ พี่จะตามเขาไป”

เมฆพูดจบก็ใช้จิตสัมผัสเรื่องภูติ ผี วิญญาณรับรู้การมีอยู่ของพลังงายอันเกรี้ยวกราดของโหงพรายตนนั้นโดยปล่อยรุ่นน้องทิ้งไว้กับจ้าวที่กำลังเตรียมลงมือจัดการกับหมอผีผู้นั้น

ตฤณรู้ตัวว่าคำพูดของตนเองคงไม่สามารถหยุดยั้งการกระทำของจ้าวได้ แม้กระทั่งเจตรินยังไม่สามารถหยุดเด็กคนนี้ได้ แล้วนับประสาอะไรกับตัวเขาที่ไม่รู้ว่าอยู่ในสถานะอะไรสำหรับจ้าวกันแน่ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังอยากจะลองเสี่ยงดูสักครั้ง ถ้ามันทำให้จ้าวไม่ต้องฆ่าใครได้ก็นับว่าเป็นเรื่องดี

“จ้าว!”

จ้าวหันไปตามเสียงเรียก และจังหวะนั้นเองหมอผีเฒ่าก็รีบใช้ช่วงเวลานี้ร่าคาถาอาคมที่ร่ำเรียนมาใส่ร่างที่อยู่ตรงหน้าจนมือเล็กที่ยึดร่างเขาเอาไว้คลายออก ร่างเล็กกระเด็นออกไปราวหนึ่งเมตร สีหน้าเจ็บปวดเล็กน้อยกับสิ่งที่หมอผีเฒ่าทำกับร่างกายของตน และในขณะที่จ้าวไม่ทันระวัง หมอผีเฒ่าจึงถือโอกาสนี้วิ่งออกมาโดยไม่สนใจลูกศิษย์อีกสองคนว่าจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร

“จ้าวไม่เคยคิดจะฆ่าใครก่อน มีแต่คนพวกนั้นที่เดินเข้ามาหาความตายเอง”

“แต่...”

“พี่ตฤณอย่าห้ามเลยครับ ถ้าวันนี้จ้าวไม่ทำอะไรสักอย่าง วันหนึ่งหมอผีนั่นก็ต้องกลับมาเอาคืนอยู่ดี”

จ้าวรีบตามหมอผีออกไป แม้ร่างกายจะปวดแสบปวดร้อนแต่คงไม่เท่ากับหัวใจของเขาในเวลานี้




** ติดตามตอนต่อไป **


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ lcortsess

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 173
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-3
รอลุ้นๆๆๆๆๆ :ling1:

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ห่วงพี่เจตจังเลย จะเป็นอะไรมากไหมเนี่ย  :ling1:

ออฟไลน์ BlueSora

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
::: ตอนที่ 25 :::
หมอผีผู้นั้น (2)






เมฆตามกระแสจิตอาฆาตชั่วร้ายของโหงพรายออกไปทางด้านหลังคฤหาสน์ เขาอาศัยแสงไฟจากโทรศัพท์มือถือ ก้าวเดินอย่างระมัดระวังเพราะกลัวจะไปสะดุดอะไรเข้า ด้านหลังคฤหาสน์ช่างเงียบสงัดและวังเวง บรรยากาศรอบข้างเย็นยะเยือกซึมลึกเข้าถึงไขสันหลังราวกับตนเองกำลังอยู่ท่ามกลางสุสานคนตายจำนวนมาก หากไม่มีเรื่องจำเป็นอะไรก็ไม่ควรเหยียบย่างมาสถานที่แห่งนี้เพียงลำพังอย่างเด็ดขาดเพราะไม่แน่ว่าอาจจะไม่ได้กลับออกไปแม้กระทั่งวิญญาณ

เมฆเดินเข้ามาลึกประมาณหนึ่งและเขารับรู้แล้วว่าสถานที่แห่งนี้มีอันตรายบางอย่างซ่อนเร้นอยู่ เขารู้สึกถึงดวงตาหลายคู่กำลังจับจ้องอย่างไม่วางตา ไม่ว่าจะก้าวไปซ้ายหรือเอี้ยวไปขวาก็ยังรับรู้ว่าตนถูกจับตามองอยู่ตลอดเวลาจนไม่กล้าก้าวขาเข้าไปลึกมากกว่านี้อีกแล้วแต่จะกลับก็กลับไม่ได้ คล้ายว่าขาทั้งสองข้างของเขากำลังถูกบางสิ่งบางอย่างยึดครองอยู่ เพียงแค่ชั่วอึดใจที่ตัดสินใจส่องไฟ ก้มลงดูปลายเท้าของตัวเองก็เหมือนว่าระบบการทำงานของร่างกายจะหยุดทำงานไปชั่วขณะเสียดื้อๆ

โครงกระดูกที่ไร้เนื้อหนังมังสากำลังยึดข้อเท้าของเมฆไว้มั่นจนแค่เพียงขยับเท้าเล็กน้อยก็รู้สึกเจ็บแปลบไปหมด เขาไม่ใช่คนที่ขวัญอ่อนกับเรื่องแบบนี้มากนัก สติจึงยังอยู่กับตัวเกือบครบถ้วนสมบูรณ์ ไม่ได้กรีดร้องโวยวายจนบ้าคลั่ง ขาดก็แต่เขาไม่รู้วิธีรับมือกับโครงกระดูกที่เอาแต่ยึดตรึงร่างเขาเอาไว้ให้อยู่กับที่

พอยกโทรศัพท์ขึ้นมาดู ตั้งใจว่าจะโทรไปขอความช่วยเหลือจากใครสักคน เมฆคงทำบุญมาน้อยนัก เจ้ากรรมนายเวรถึงได้ดลบันดาลให้ไร้สัญญาณโทรศัพท์แม้แต่ขีดเดียว

“บ้าเอ๊ย!”

เมฆนึกหาคำสบถที่ดีกว่านี้ไม่ออกแล้ว เขายืนหัวเสียกับตัวเองได้ไม่นานก็รับรู้ถึงแรงดึงที่ข้อเท้าแล้วพลันนั้นร่างของเขาก็ล้มหงายหลังลงกับพื้นที่เต็มไปด้วยเศษใบไม้แห้งจนมันกระจายฟ่อน ร่างของเขาถูกลากไปตามเส้นทางที่มืดมิด แม้แต่แสงไฟจากโทรศัพท์มือถือก็ไม่เป็นใจให้เขาเห็นอะไรนอกจากปลายเท้าของตัวเอง เสียงใบไม้แห้งกรอบแตก บ้างเสียดสีกันดังสนั่นท่ามกลางความเงียบสงัดจนเขาไม่ได้ยินแม้แต่เสียงหัวใจของตัวเองที่เต้นระรัวเป็นกลอง

“ปล่อย! ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ!”

เสียงของชายวัยกลางคนที่เมฆไม่คุ้นหูดังมาจากที่ไกลๆ เขาจึงรีบส่องไฟไปรอบทิศแต่กลับไม่พบใครและดูท่าว่ามือโครงกระดูกจะยังไม่ยอมหยุดลากง่ายๆ

“หนูจ้าวบอกให้ปล่อย! จะทำร้ายคนๆ นี้ไม่ได้!”

มือโครงกระดูกที่ลากขาของเมฆอยู่หยุดชะงักกึกแล้วคลายนิ้วทั้งห้าออก ปล่อยให้ข้อเท้าของเขาได้เป็นอิสระแต่ยังไม่ทันได้ลุกขึ้นยืนตรงตัวให้ดีก็เห็นชายวัยกลางคน หนวดเคราดกเฟิ้ม ผมสีดอกเลายืนอยู่ห่างจากเขาไปแค่ไม่ถึงเมตร

“ออกไปจากตรงนี้”

“แล้วเจตล่ะ ผมกำลังตามหาเจตอยู่”

เมฆลุกขึ้นปัดเนื้อปัดตัว รู้สึกเจ็บข้อเท้าอยู่นิดหน่อย เป็นไปได้ว่ามันอาจระบมเพราะแรงลากนั้นไม่ได้เบาเลยแม้แต่นิดเดียว เขาเลิกขากางเกงขึ้นแล้วส่องไฟดูก็พบว่ามันมีรอยแดงเถือกอยู่รอบข้อเท้า ยังไม่นับรอยบาดเล็กๆ น้อยๆ ตามเนื้อตัวอีก

“ไม่ต้องเป็นห่วง หนูเจตไม่เป็นอะไร เป็นห่วงตัวเองก่อนดีกว่า”

“แล้วมือนั่นมัน...” เมฆยังไม่วายถามถึงมือปริศนาที่ลากเขาเข้ามาข้างในจนไม่รู้ว่าอยู่ห่างจากตัวคฤหาสน์มากเท่าไร

“มือของคนสวน เขาหวงที่นี่มาก ไม่ชอบให้คนแปลกหน้าเข้ามายุ่งย่าม โชคดีที่ได้วิญญาณตนอื่นเอาเรื่องไปรายงานหนูจ้าว ไม่อย่างนั้นคุณคงได้กลายเป็นคนเฝ้าสวนอีกคนแน่”

อีกคน... หมายความว่ายังไงที่ว่าอีกคน แต่ยังไม่ทันที่เมฆจะได้เอ่ยปากถามอะไร เขาก็เข้าใจคำว่าอีกคนที่ลุงมิ่งพูดแล้ว ร่างที่อยู่ข้างกันอันตรธานหายไปต่อหน้าต่อตา ถึงจะเป็นคนที่สัมผัสสิ่งลี้ลับได้แต่ใช่ว่าจะเคยพบเจอการหายตัวไปซึ่งๆ หน้าแบบนี้มาก่อน ร่างของเขาชาวาบคล้ายกับจะไร้เรี่ยวแรงทรงตัว สองตาทอดมองความว่างเปล่าที่อยู่ตรงหน้าชั่วขณะหนึ่ง

กว่าเมฆจะได้สติกลับมาอยู่กับตัวจริงๆ ก็ผ่านไปหลายนาที เขาออกตามหาร่างของเจตรินทันทีที่ได้สติ ไม่ใช่ว่าเป็นห่วงเป็นใย ไม่ใช่ว่ารู้สึกอะไรเกินเลยแต่เขากลัวว่าถ้าเจตรินเป็นอะไรไปแล้วจะส่งผลให้จ้าวคลุ้มคลั่ง มันคงเป็นเรื่องไม่ดีแน่ถ้าการคลุ้มคลั่งนั้นจะลามมาถึงรุ่นน้องของเขาด้วย

ถึงแม้ร่างกายจะบาดเจ็บอยู่บ้างแต่ความสามารถของเมฆไม่ได้หายไปไหน ความชั่วร้ายของโหงพรายตนนั้นเคลื่อนที่ไปมา ไม่อยู่ที่ใดที่หนึ่งนานเกินไป พอเมฆจับสัมผัสนั้นได้และกำลังจะมุ่งไปหา โหงพรายตนนั้นก็หลอกล่อให้เจตรินย้ายที่ราวกับรู้ว่ากำลังถูกติดตาม

เมื่อเมฆมาถึงบริเวณลานกว้างรกร้างหน้าคฤหาสน์ ใช่ว่าจะเจอแต่เจตรินกับโหงพรายเพียงเท่านั้น ทุกคนต่างก็พร้อมใจกันอยู่ตรงนี้ ไม่ว่าจะเป็นจ้าว ตฤณ หรือแม้แต่หมอผีเฒ่าคนนั้นก็ด้วยราวกับว่าสถานที่ตรงนี้จะเป็นตอนจบของเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในค่ำคืนนี้

ตฤณ จ้าวและหมอผีเฒ่าอยู่ฝั่งหนึ่ง ส่วนเมฆ เจตรินและโหงพรายอยู่อีกฝั่งหนึ่ง หากมีใครสักคนกำลังดูอยู่ตอนนี้คงคิดว่าหลังจากนี้เรื่องราวที่เกิดขึ้นจะต้องน่าสนุกแน่นอนแต่กลับไม่คาดคิดว่าเรื่องสนุกพวกนี้จะเกิดขึ้นเพียงไม่นาน

ฝั่งจ้าวที่กำลังยืนดักหน้าหมอผีเฒ่ายื่นกริซที่ไร้พิษสงใดๆ ไปตรงหน้าคล้ายกับว่ากำลังชี้หน้าด้วยอาวุธที่เคยมีอานุภาพ “นี่! รับไปสิ ของแกไม่ใช่เหรอ”

จู่ๆ น้ำเสียงของจ้าวก็แปรเปลี่ยนเป็นสุภาพนอบน้อมขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย ดูเป็นมิตรจนหมอผีเฒ่าหวาดระแวงจึงก้าวถอยไปข้างหลังหนึ่งก้าว การทำดีแบบนี้ย่อมต้องหวังผลแต่เขาไม่รู้ว่าในใจของเด็กคนนี้ต้องการอะไร ไม่ใช่เวลาที่จะมานั่งคิดหรือสนทนาแต่เขาควรออกจากพื้นที่คฤหาสน์หลังนี้ให้ไวที่สุด .... ‘แก้แค้น สิบปียังไม่สาย’

“คืนให้แล้วทำไมไม่รับล่ะ”

“ต้อง... ต้องการอะไรกันแน่”

จ้าวไม่ตอบ ยังคงยื่นด้านปลายแหมของกริซเล่มนั้นไปตรงหน้าเป็นเชิงให้รับคืนกลับไปแต่หมอผีเฒ่ายังคงนิ่งเฉย ไม่รู้ว่าเด็กคนนี้จะมาไม้ไหนกันแน่ เขายังไม่กล้าร่ายคาถาอาคมอะไรใส่

“รับไว้สิครับ หรือว่าจ้าวหันผิดด้าน”

จ้าวส่งยิ้มไปให้อย่างจริงใจที่สุดแต่หมอผีเฒ่าคิดว่ามันเป็นเพียงคำหลอกลวง ถอยหลังไปอีกหลายก้าวจนมั่นใจว่าตนจะไม่โดนกริซของตัวเองทำร้ายได้ เตรียมพร้อมอยู่ในท่าที่จะร่ายอาคมใส่ทันทีที่จ้าวก้าวเข้ามาอีกเพียงก้าวเดียว

เมฆลบสงบ ทะเลไร้คลื่นลมฉันท์ใด พายุย่อมพัดโหมกระหน่ำฉันท์นั้น

ตฤณที่อยู่ข้างๆ เห็นว่าไม่มีอะไรให้น่าเป็นห่วง คนรักของเขาน่าจะคิดได้แล้วจึงพยายามหาทางปรองดองด้วยอยู่แต่ทว่าเพียงแค่เขาวางใจยังไม่ทันจะครบนาที หมอผีเฒ่าก็แอบร่ายคาถาอาคมใส่ร่างของจ้าว พอให้ได้รู้สึกเจ็บจี๊ดตามเนื้อตัวเล็กน้อยก่อนที่จะร่ายคาถาอีกชุดใส่ร่างของเด็กผู้ชายตัวเล็กวัยสิบหกปีคนนั้นอีกครั้ง นอกจากมันจะทำให้ปวดแสบปวดร้อนตามร่างกายแล้วยังสร้างรอยแผลจางๆ เอาไว้ด้วย เพียงเพื่อต้องการป้องกันตัวเขาเองเอาไว้ก่อน

ร่างของจ้าวทรุดลงเล็กน้อย สองแขนโอบรอบร่างกายตัวเองเอาไว้คล้ายกับจะพยุงร่างกายนี้ แต่บนใบหน้ากลมมนที่แสนน่ารักนั่นยังคงไว้ซึ่งรอยยิ้มแห่งความเหี้ยมโหด ที่เขาทำลงไปทั้งหมดก็เพื่อรอเวลานี้ เวลาที่หมอผีเฒ่าหวาดระแวงและชิงลงมือก่อน

“ทำไมทำกับจ้าวแบบนี้ อึก!”

“แกควรต้องโดนมากกว่านี้! แกสมควรลงนรกไปขอโทษลูกชายฉันซะ!”

หมอผีเฒ่าตะโกนเสียงดังลั่นด้วยอารมณ์เกรี้ยวกราด พร้อมลงมือกับดวงวิญญาณร้ายตนนี้ได้ทุกขณะ พร้อมกันนั้นยังตั้งท่าเตรียมต่อสู้หากแม้จ้าวขยับกายมุ่งตรงมาแม้เพียงก้าวเดียว เขาในตอนนี้ทั้งหวาดระแวง ทั้งรนลานอยู่บ้างเล็กน้อยที่ไม่อาจล่วงรู้ความคิดว่าเด็กคนนั้นต้องการทำอะไรต่อไปกันแน่

“จ้าว... ฮึก! จ้าวสำนึกผิดแล้ว จ้าวเป็นเด็กที่ไม่รู้ประสา อย่าได้ทำร้ายกันอีกเลยนะ”

สองมือยกขึ้นแนบใบหน้า ร่ำไห้จนน้ำตาจะกลายเป็นสายเลือดแต่รอยยิ้มมุมปากก็ยังคงแฝงไปด้วยความชั่วร้ายที่เจ้าตัวพยายามปกปิดเอาไว้

“อย่ามาโกหก! อย่างแกน่ะเหรอจะรู้สึกผิด!”

จ้าวช้อนตามองร่างของหมอผีเฒ่า ไม่ได้คิดว่าหมอผีนั่นจะเชื่อในคำพูดตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงแสร้งบีบน้ำตาสำนึกผิดในสิ่งที่ตนเคยได้กระทำลงไปซึ่งมันเรียกความน่าสงสารและเห็นใจจากตฤณได้อยู่มากทีเดียว

“เขารับผิดแล้ว จะให้อภัยไม่ได้เลยเหรอ”

หมอผีเฒ่าเข่นยิ้มหัวเราะ การยอมรับผิดของจ้าวไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ขอแค่เพียงเอาชีวิตหรือดวงจิตวิญญาณที่ยังมีอยู่ของจ้าวไปกล่าวขอโทษ ขอขมาลูกชายตนได้ แค่นั้นก็พึงพอใจแล้ว

“ถ้ามีคนมาฆ่าแม่แกตาย แกจะให้อภัยไหมล่ะ!”

ตฤณชะงักไปเล็กน้อย เรื่องแบบนี้ไม่ว่าใครก็คงให้อภัยกันไม่ได้ง่ายๆ

หมอผีเฒ่าก้าวถอยหลังออกไปอีกหลายก้าว แววตาเคียดแค้นชิงชังจ้องเขม็งไปยังร่างของเด็กผู้ตลบตะแลง เมื่อมาถึงตรงนี้แล้วเขาไม่มีทางปล่อยให้ความโกรธแค้นที่สุมอยู่ในอกกลายเป็นเปลวเพลิงที่ไม่มีวันมอดไหม้ หมอผีเฒ่าร่ายเวทย์คาถาดึงโหงพรายกลับมาอยู่ข้างกายตนแล้วสั่งให้โจมตีจ้าวในทันที

ในขณะที่จ้าวไม่ทันได้ระวังจึงโดนโหงพรายโจมตีเข้าที่หน้าอกจนเกือบจะอาเจียนออกมาเป็นเลือด ร่างวิญญาณนี้ไม่ได้ทานทนต่อทุกความเจ็บปวด ไม่ได้รักษาบาดแผลให้หายได้ภายในชั่วพริบตา ทันทีที่ถูกแรงกระแทก ร่างเล็กจึงลอยถลาไปไกล

‘จ้าว!’

เจตรินพุ่งเข้าใส่ร่างของโหงพรายที่ทำร้ายน้องชายตนให้บาดเจ็บ

การต่อสู้เกิดขึ้นพลันวัน หมอผีเฒ่าจึงใช้โอกาสนี้ออกคำสั่งให้โหงพรายจัดการกับเจตรินให้สิ้นซาก

ตฤณรีบเข้าไปประคองร่างของจ้าวเอาไว้ด้วยสองมือของตนแต่กลับลืมไปว่าร่างนี้ไม่สามารถสัมผัสคนรักได้อีกแล้ว มือทั้งสองข้างขึงลอดผ่านร่างวิญญาณของจ้าวไปเสียเฉยๆ ใบหน้าคมคายตื่นตระหนกไม่น้อยเมื่อพบว่าร่างกานนั้นโปร่งแสงจนเกือบจะโปร่งใสและพร้อมหายไปได้ในพริบตา

“จ้าว นี่มัน...”

“พี่ตฤณไม่ต้องเป็นห่วงหรอกครับ จ้าวยังอยู่ดี”

แรงฤทธิ์ของโหงพรายตนนั้นหนักไม่ใช่เล่น ทำเอาจ้าวสั่นไปชั่ววูบ เขายันกายลุกขึ้นมาก่อนลอบยิ้มมุมปาก บางทีตอนนี้อาจถึงเวลาชำระแค้นกันจริงๆ เสียที กริซของหมอผีเฒ่ายังอยู่ในมือของเขา กริซที่สิ้นฤทธานุภาพแต่น่าจะมีฤทธิ์กับมนุษย์ด้วยกันเอง

จ้าวหายตัวไปยืนอยู่ต่อหน้าหมอผีเฒ่าในระยะประชิดตัว จ้องมองดวงตาสีดอกเลาอย่างไร้ซึ่งความหวาดหวั่น ไม่กลัวแม้กระทั่งว่าหมอผีเฒ่าจะร่ายอาคมอะไรใส่ตนอีก ยกยิ้มให้อย่างเป็นมิตรที่สุด มิตรภาพลวงหลอกที่เขาสร้างมันขึ้นมา

มือเล็กยกกริซขึ้นเตรียมปักเข้าบนเส้นเลือดแดงที่อยู่ตรงลำคอแต่กลับถูกหมอผีเฒ่ายกมือขึ้นปัดป้องเอาไว้ก่อนที่มันจะได้เข้าไปสำรวจพื้นที่ภายในร่างกาย จ้าวจิ๊ปากเล็กน้อยแล้วถอยออกมา

เจตรินพยายามจะเข้าไปช่วยจ้าวแต่ยังติดโหงพรายตนนั้นอยู่ เหลือเพียงแค่ตฤณ เมฆที่ยังพอยื่นมือเข้าไปช่วยได้บ้างแต่พวกเขาเป็นเพียงแค่คนธรรมดา จะไปต่อกรอะไรกับผู้มีวิชาอาคมอย่างหมอผีเฒ่านั่นได้ ทั้งหวังพึ่งได้สุดท้ายก็ไม่พ้นตัวเอง

“พี่เจตไม่ต้องหรอกครับ ตรงนี้จ้าวจัดการได้”

‘แต่...’

“ไม่เชื่อมือจ้าวหรือยังไงครับ”

จ้าวหมุนกริซในมือเล่นไปมาแล้วถอยหลังออกไปอีกหลายก้าวคล้ายว่าจะยอมถอย ใช่! เขายอมถอยแต่ไม่ใช่ถอยที่หมายความว่าตนพร้อมยกธงขาว แค่ถอยเพียงเพื่อรอบางอย่างที่กำลังจะมาตามคำสั่งที่เอ่ยเรียกไปในใจ “จ้าว... ยอมแพ้แล้วก็ได้ ฝีมือหมอผีอย่างแกนี่รับมือไม่ไหวจริงๆ”

กริซที่อยู่ในมือถูกปล่อยให้ร่วงลงสู่พื้นดิน นั่นคงหมายถึงว่าเด็กคนนี้คงไม่คิดต่อสู้และยอมรับชะตากรรมของตนแต่โดยดีแล้ว ไม่อย่างนั้นคงบุกเข้ามาหมายมั่นเอาชีวิตหมอผีเฒ่าคนนี้ไปตามเป้าหมายเดิมตั้งแต่แรก

“แกยอมจริงๆ งั้นเหรอ! ไม่ใช่หลอกให้ตายใจแล้วชิงลงมือเอาวิญญาณฉันเหรอ!”

จ้าวพยักหน้ารับ เขายอมแพ้แล้วจริงๆ ถึงได้ทิ้งกริซเล่มนั้นลงกับพื้นต่อหน้าต่อตา

“งั้นแกก็เตรียมตัวลงนรกไปรับใช้กรรมที่ฆ่าลูกชายฉันได้เลย”

หมอผีเฒ่าหยิบของบางอย่างในกระเป๋าย่ามออกมาทำพิธีกรรมเล็กๆ ในขณะที่จ้าวยืนเฉยเป็นหุ่นนิ่ง รอให้จับไปต้นยำทำแกงอะไรสารพัดตามแต่ใจอยาก ตฤณพุ่งตัวเข้ามาข้างหน้าขวางกั้นระหว่างคนรักกับผู้ที่กำลังเตรียมพิธีพรากวิญญาณ

“อย่าทำอะไรเขา! จะทำก็ทำผมนี่! ผมยอมรับผิดทุกอย่างแทนเขา!”

หมอผีเฒ่าหัวเราะเย้ยหยัน ดูถูกดูแคลน มีอย่างที่ไหน! มนุษย์ยื่นมือเข้ามาช่วยสิ่งที่อยู่ต่างภพต่างภูมิแถมยังมีแต่ความชั่วร้ายซึ่งนั่นไม่คุ้มค่าเลยที่จะเอาชีวิตของตัวเองมาเสี่ยงกับวิญญาณที่ไร้ลมหายใจไปนานแล้ว

“ตฤณ! อย่าทำอะไรบ้าๆ นะ!” เมฆตะโกนห้าม

“อย่าทำแบบนี้เลยครับ พี่ตฤณ ชีวิตของพี่ไม่ควรจะเอามาเสี่ยงเพื่อจ้าว”

ตฤณยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหน ใช่ว่าเขาจะฟังในสิ่งที่จ้าวพูดไม่เข้าใจ ใช่ว่าเขาไม่รู้ว่าการทำแบบนี้มีแต่ไม่เป็นผลดีกับใครทั้งสิ้น แต่ทว่าถ้าเขาไม่ทำแล้วใครจะทำ ต่อให้จ้าวเป็นแค่เพียงสิ่งที่ไม่ได้อยู่ในภพเดียวกันแต่จ้าวก็เป็นเด็กดีในสายตาของเขาเสมอ

“ฮ่าๆ มีแต่คนโง่ๆ เท่านั้นล่ะที่คิดจะทำแบบนี้ อยากให้ฉันช่วยสงเคราะห์ให้แกตายตกตามกันไปกับเด็กคนนั้นหรือยังไง”

หมอผีเฒ่าอยากจะหัวเราะจนถึงรุ่งสางแต่น่าเสียดายที่เวลาของตอนจบของเรื่องใกล้มาถึงแล้ว มือข้างหนึ่งที่กำผงกระดูกคนตายร้อยศพเอาไว้กำลังจะกางออกก่อนที่จะร่ายคาถาอาคม แต่แล้วความเจ็บปวดก็แล่นริ้วมากจากกลางหลัง เจ็บปวดเสียจนร่างกายทรุดลงกันพื้น เลือดสีแดงฉานไหลออกมาจากบาดแผลที่ถูกของมีคมปักจนเกือบทะลุออกมาข้างหน้า เผยให้เห็นร่างของเด็กผู้หญิงวัยแปดขวบ

“ดีมาก คาเรน ขอบใจนะ” จ้าวขยับตัวออกมายืนอยู่ข้างๆ ตฤณที่แข็งค้างคล้ายวิญยาณจะหลุดออกจากร่างไปแล้ว

“ค่ะ พี่วินเซ้นท์ หนูทำทุกอย่างตามคำสั่งของพี่เสมอ”

“แก! แก!”

หมอผีเฒ่าแทบกระอักเลือดตาย มีดที่ปักลงมานั้นลึกพอดู พอขยับตัวทีความเจ็บปวดก็แล่นริ้วไปทุกส่วนของร่างกาย แม้กระทั่งหายใจยังทรมาน เขาพยายามควบคุมสติของตัวเองให้มั่นแต่ดูเหมือนว่าความเจ็บปวดนั้นจะทำให้เห็นภาพหลอน เขาเห็นลูกชายที่ตายจากไปนานแล้วยืนอยู่ตรงหน้ากำลังยื่นมือมาหาราวกับจะบอกเป็นนัยให้ละทิ้งทุกอย่างเอาไว้เบื้องหลังแล้วไปอยู่ด้วยกัน

แม้จ้าวจะยืมมือคาเรนฆ่าคนแต่นั่นก็เป็นคำสั่งของเองจึงรับรู้ได้ในทันทีว่าหลังจากนี้ไปความสัมพันธ์ระหว่างเขากับตฤณจะไม่มีวันกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อีกต่อไป ตฤณคงเกลียดเขาที่ฆ่าคนโดยไม่เลือกวิธีไปแล้ว

“มีแต่คนโง่ๆ เท่านั้นล่ะที่หลงเชื่อในคำพูดของจ้าว... จริงไหม”

จ้าวสาวเท้าเข้าไปยืนประจันหน้ากับหมอผีเฒ่าที่เริ่มไม่มีแรงขยับปากตอบคำถามแล้วนั่งยองๆ ลงตรงหน้าดวงตาสีเพลิงฉายแววของสิ่งที่เรียกว่าปีศาจ ความชั่วร้ายในแววตาคู่นั้นดูไร้ซึ่งความปราณีใดๆ หมอผีเฒ่าถึงได้เข้าใจชะตากรรมของตัวเอง

“ถ้าแกไม่กลับมาเหยียบที่นี่อีก ชีวิตก็คงจะยืนยาวมากกว่านี้นะ”

เสียงพูดอันแผ่วเบาของเด็กชายวัยสิบหกปีราวกับต้องการกระซิบกระซาบให้หมอผีเฒ่าได้ยินเท่านั้น

“แก... แกจะทำอะไร”

ไม่ต้องอธิบายอะไรมาก หมอผีเฒ่าก็พอจะเข้าใจการกระทำของเด็กคนนี้ได้อยู่บ้างแต่ถึงอย่างนั้นก็อยากจะถาม เผื่อว่าความคิดของเขาอาจผิดไป

“จ้าวจะให้เวลาบอกลาชีวิตตัวเองอีกสักหน่อยก็แล้วกันนะครับ”

“แก…” หมอผีเฒ่ากัดฟันกรอด เขาอยากจะทำอะไรมากกว่าแต่มีดที่ปักอยู่กลางหลังทำให้ขยับตัวได้อย่างยากลำบาก แค่พูดแค่นี้ก็รู้สึกเหมือนความคมของใบมีดจะบาดลึกเข้าไปในเนื้ออีกจนไม่รู้ว่าตอนนี้ระหว่างความโกรธแค้นที่อยู่ในอกกับความเจ็บที่ร่างกายได้รับ อะไรจะมากกว่ากัน

“ทำไมครับ”

“แก! แกมันปีศาจร้าย แกมันฆ่าได้แม้กระทั่งคนไม่มีทางสู้!”

พูดได้แค่นี้ หมอผีเฒ่าก็อาเจียนออกมาเป็นเลือด จ้าวไม่สนใจคำพูดนั้น ไม่สนใจแม้กระทั่งความเป็นความตายของหมอผีเฒ่า เขาเดินจากมาด้วยใบหน้าเรียบเฉยไร้คำยินดี ไร้ซึ่งความสงสาร “พูดมาได้นะว่าไม่มีทางสู้”

แต่แล้วจู่ๆ หมอผีเฒ่าก็อาเจียนออกมาเป็นเลือดอีกระลอกแต่คราวนี้สีเดลือดกลับกลายเป็นสีดำ ข้นเหนียวราวกับว่าที่ออกมาจากปากไม่ใช่เลือดจริงแต่เป็นคุณไสยที่หมอผีเคยเล่นทุกชนิด หลังจากนั้นจึงมีควันสีดำพวยพุ่งตามออกมา หมอผีเฒ่าล้มลงกับพื้น ดวงตาเบิกกว้างโปนจนเกือบถลนออกมาจากเบ้าตา ร่างกายแข็งเกร็งกระตุกอยู่สองสามครั้ง

“นี่ต่างหากที่เรียกว่าไม่มีทางสู้ ฝากสวัสดีลูกชายแกด้วยนะ”

โหงพรายที่กำลังต่อสู้กับเจตรินหยุดชะงักลง เป็นสัญญาบอกให้รู้ว่าพันธะสัญญาระหว่างหมอผีเฒ่าได้สิ้นสุดลงไปแล้ว หมอผีเฒ่าได้ตายจากโลกนี้ไปแล้ว แต่วิญญาณที่ถูกกักขังอยู่ในโหลแก้วซึ่งอยู่ในกระเป๋าย่ามยังไม่ถูกปลดปล่อยออกมาด้วย






// ต่อข้างล่าง //

ออฟไลน์ BlueSora

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
“พี่ตฤณ พี่เมฆ”

คำพูดของจ้าวแทบจะไม่เข้าหูคนทั้งคู่ เรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นตรงหน้าไม่ใช่เรื่องที่จะยอมรับกันได้ง่ายๆ การฆ่าคนตายอย่างไรมันก็ไม่ควรเกิดขึ้น ความรู้สึกของตฤณในเวลานี้เหมือนหลุดไปอยู่ในดินแดนที่เขาไม่เคยรู้จัก เด็กที่อยู่ต่อหน้าก็ไม่ใช่เด็กที่เขาเคยรู้จัก

จ้าวก้าวเดินเข้าไปหาแต่กลายเป็นว่าตฤณชักเท้าถอยกลับ เขาจึงนิ่งไปก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ อย่างสมเพชตัวเอง “เข้าใจแล้วครับ ถ้าอย่างนั้นก็ออกไปจากที่นี่ก่อนไม่มีโอกาส แต่รบกวนช่วยหยิบโหลลงยันต์ในกระเป๋าย่ามของหมอผีออกไปทำลายด้วยนะครับ”

จ้าวไม่สนใจว่าตฤณจะทำตามหรือไม่แต่ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นก็ทำให้รู้แล้วว่าทุกอย่างไม่ได้เป็นเหมือนเคยอีกต่อไป ตฤณคงเกลียดเขาเข้ากระดูกดำไปแล้ว แม้ว่าจะเดินเข้าไปใกล้ ผ่ายนั้นยังถอยห่างราวกับว่าเขาเป็นคนแปลกหน้าที่ไม่รู้จักกัน

“เดี๋ยว!” เมฆเรียกเอาไว้ก่อนที่จ้าวจะเดินเข้าคฤหาสน์ไป

เด็กชายเอี้ยวตัวกลับมามองหน้ากึ่งตั้งคำถาม

“วิญญาณอีกครึ่งของตฤณ ช่วยคืนมาด้วย”

จ้าวนิ่งชะงักไป แววตาสีเพลิงดูตื่นตกใจอยู่เล็กน้อยด้วยคาดไม่ถึงว่าจะมีใครรู้เรื่องวิญญาณอีกครึ่งที่หายไปของตฤณ หากเมฆเป็นหมอผีหรือผู้ที่เดินมายังเส้นทางประเภทนี้ เขาจะไม่มีวันแปลกใจเลยแม้แต่น้อย แต่เมฆเป็นแค่คนที่มีสัมผัสพิเศษ อาจแค่สัมผัสได้แต่ไม่ได้รู้ลึกรู้จริงอะไร

“พูดเรื่องอะไรเหรอครับ วิญญาณอีกครึ่งของพี่ตฤณ จ้าวจะเอาไปทำอะไรครับ”

“เอาไปทำอะไร พี่ไม่รู้หรอกนะ แต่วิญญาณตฤณหายไปครึ่งหนึ่ง ถ้าไม่ใช่จ้าวเอาไปแล้วจะเป็นใคร”

จ้าวหันหน้ากลับไปแล้วหายเข้าไปในคฤหาสน์

“พี่พูดอะไรของพี่!”

ตฤณหันไปโวยวายใส่เมฆแต่กลับถูกฝ่ายนั้นทำหน้าปั้นปึ่งใส่แล้ววิ่งหายเข้าไปในคฤหาสน์ตามจ้าวไป จนตฤณต้องตามเข้าไปอีกคนด้วยความรู้สึกบางอย่างที่เรียกว่าความห่วงใย

เมื่อก้าวเข้าไปภายในคฤหาสน์ ทั้งตฤณและเมฆก็ไม่เห็นใคร เป็นเพียงห้องโถงกว้างที่เต็มไปด้วยหยากไย่และความสกปรก ช่างดูแตกต่างกับตอนที่เข้ามาเป็นครั้งแรกราวกับเพียงแค่พลิกฝ่ามือ หรือบางทีนี่อาจเป็นสถานที่จริงแต่แรกเริ่มและพวกเขาถูกภาพหลอนลวงตา แต่แล้วก็ปรากฏร่างของจ้าวตรงเชิงบันไดที่ขึ้นไปยังชั้นบน

“รับไป แล้วไม่ต้องกลับมาที่นี่อีก”

ตุ๊กตาดินปั้นสองหัวถูกยื่นไปตรงหน้า มันเป็นตุ๊กตาที่คล้ายตุ๊กตาที่พวกหมอผีชอบนำมาทำคุณไสยแต่ต่างกันตรงที่ว่านี่ไม่ใช่ตุ๊กตาดินปั้นสองตัวชายหญิงหันหน้าชนกันแล้วพันด้วยสายสิญจน์ ดูเป็นตุ๊กตาดินปั้นธรรมดาที่ไม่น่าจะเป็นหนึ่งในพิธีกรรมช่วงชิงดวงวิญญาณไปได้

“เอามันไปทำลายแล้วห่อด้วยผ้าขาวที่อบกลิ่นดอกลั่นทม มัดด้วยเชือกป่านที่พรมน้ำมนต์เก้าวัด จากนั้นจะเอาฝังดินหรือถ่วงทิ้งแม้น้ำก็ได้”

ทั้งเมฆและตฤณยังคงนิ่งอยู่

“รับไปสิครับ อยากให้คืนก็คืนให้แล้ว”

เมฆก้าวออกไปรับตุ๊กตาดินปั้นตัวนั้นคืนแทนตฤณที่ดูคล้ายว่าจะยังตกใจ คาดไม่ถึงว่าสิ่งที่เมฆพูดให้เขาฟังนั้นจะกลายเป็นเรื่องจริงขึ้นมา เมื่อสิ่งที่ถูกขอส่งถึงมือผู้ขอเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จ้าวจึงหายไปจากที่ตรงนั้นในทันที

“กลับกันเถอะ ตฤณ เราไม่มีเรื่องอะไรที่ต้องมาที่นี่อีกแล้ว”

ตฤณยังยืนนิ่งคล้ายว่าวิญญาณจะหลุดออกจากร่างไปแล้ว แต่เขาเพียงแค่กำลังสับสนระหว่างความจริงที่ได้เห็นได้รับรู้ด้วยตัวเองกับความรู้สึกในตอนนี้ที่มีต่อเด็กคนนั้น แม้จะหวาดกลัว แม้จะไม่อยากเชื่อว่าเด็กตัวน้อยจะลงมือฆ่าใครได้แต่ทำไมใจเขาถึงยังบอกว่ารัก

“ตฤณ กลับกันได้แล้ว”

“.....”

“ตฤณ”

“อืม”

อยู่ไป... เจ้าของคฤหาสน์ก็คงไม่ต้อนรับแล้วและเขาก็ไม่มีเรื่องอะไรที่ต้องเอาตัวเองมาผูกพันกับสถานที่ที่มีคนตายนับสิบอีกแล้ว ตฤณจึงหันกลับไปมองดูเบื้องหลังของสถานที่ที่เขาเคยได้ใช้ชีวิตอยู่พร้อมกับกล่าวคำอาลาในใจ ล่ำลาดวงวิญญาณที่รัก ล่ำลาสถานที่ที่เขาเคยคิดจะใช้ชีวิตอยู่ในอนาคตเป็นครั้งสุดท้าย

จ้าวกลับเข้ามาอยู่ในห้องของตัวเอง มองลอดผ่านช่องว่างของหน้าต่างกับผืนผ้าม่านออกไป เขาเห็นภาพตฤณเดินห่างออกไปช้าๆ จนกระทั่งพ้นรั้วของคฤหาสน์ไปแล้วถึงได้เข้าใจในสิ่งที่เจตรินเฝ้าเตือนมาตลอด ถ้าหากวันใดวันหนึ่งตฤณรับรู้ความจริงที่ว่าพวกเขาสองคนมีชีวิตอยู่กันคนละภพภูมิ จุดจบของเรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร

“พี่เจต...”

‘ถ้าอยากร้องไห้ก็ร้องออกมาเถอะ’   

“ใครจะร้อง จ้าวก็แค่อยากจะบอกว่าสุดท้ายแล้วเราก็จะได้อยู่อย่างสงบสักที วิญญาณตายโหงที่เข้ามาลองดีที่นี่ก็ถูกหมอผีนั่นจับไปแล้ว ที่นี่ก็จะกลับไปเป็นเหมือนเดิมในอีกไม่นานแล้ว”

เจตรินปรากฏกายขึ้นข้างๆ น้องชาย เขาทอดสายตามองร่างที่น่ารักน่าเอ็นดูแต่กลับรู้สึกว่ามันเปลี่ยนแปลงไป ไม่ใช่รูปลักษณ์ภายนอก หากแต่เป็นจิตใจที่ดูจะโตขึ้นมาอีกก้าว ในความเศร้าเสียใจที่เกิดขึ้นมีสิ่งที่เรียกว่าความเข้มแข็งแอบแฝงอยู่ในนั้น

‘จ้าวไม่เคยเป็นแบบนี้ ไม่ว่ากับใครที่ผ่านเข้ามาในชีวิตก็ไม่คิดจะผูกพันแต่กับตฤณ... พี่รู้ว่ามันไม่ใช่แบบนั้น แต่เอาเถอะ ต่อให้น้องชายของพี่รู้สึกยังไงก็หนีความจริงไปไม่พ้น ผู้ที่อยู่ต่างภพต่างภูมิไม่มีวันเดินทางมาบรรจบกันได้ เขาเป็นมนุษย์ที่มีโอกาสตามหาคู่ชีวิตของตัวเองในโลกอันกว้างใหญ่ ได้อยู่ในโลกที่ผู้มีลมหายใจอยู่ ต่างกับเราที่ติดอยู่ที่นี่ ไม่มีใครปลดปล่อยเราได้แม้แต่ตัวเราเอง ไม่มีสิทธิ์ทำอะไรทั้งนั้นนอกเหนือจากชดใช้กรรมของตัวเองจนกว่าจะหมดเวรหมดกรรมกันไป’


เป็นครั้งแรกตั้งแต่ที่เกิดมาจนถึงตอนนี้ ครั้งนี้เป็นครั้งที่เจตรินพูดเยอะที่สุดและเขาก็รู้ตัวดีว่าคงพูดอะไรมากเกินไป

“พี่นกมาแล้ว ฝากพี่เจตไปบอกให้ด้วยว่าช่วยเก็บกวาดเหมือนเดิมด้วยแล้วก็ขอบคุณที่ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ มันช่วยจ้าวในยามขับขันได้มากเลย”

‘ไม่ลงไปพูดเองเลยล่ะ หรือให้พี่ชายตามขึ้นมาก็ได้’

จ้าวส่ายหน้า ตอนนี้เขาไม่มีอารมณ์จะไปพูดอะไรกับใครทั้งนั้น

‘ตามใจนะ พี่ไม่บังคับ’

“เดี๋ยวจ้าวไปเองก็ได้”

เจตรินถึงกับยิ้มออกมา เขาไม่อยากให้น้องชายจมปลักอยู่กับความคิดของตัวเองเพียงลำพังในห้องเพราะไม่ว่าจะทำยังไง ตฤณคงไม่มีทางกลับมาเหยียบที่นี่อีกเป็นครั้งที่สองแน่

‘ดีแล้ว จะขอบคุณใครก็ควรจะไปพูดด้วยตัวเอง’


“งั้นจ้าวไปนะ”

จ้าวหายออกไปจากห้อง จึงเหลือเพียงแค่เจตรินเท่านั้นที่ยังอยู่ในนี้ เขาไม่รู้ว่าหลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่เขารู้เพียงแค่ว่ามันจะไม่มีวันกลับไปเป็นเหมือนเก่าได้อีก ความเงียบสงบที่กำลังย่างกรายมายังคฤหาสน์หลังนี้แบกเอาความโศกเศร้า เจ็บปวดและโหยหามาพร้อมกัน


------------------------------------------

จ้าวปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งที่ยืนรออยู่แค่หน้าประตูคฤหาสน์ เธอคนนี้ชื่อนกเป็นหนึ่งในคนรับใช้ของคฤหาสน์ที่ยังมีชีวิตอยู่ ด้วยเพราะต้นตระกูลของเธอเคยลั่นคำสัญญาว่าจะอยู่รับใช้ตราบชั่วลูกชั่วหลาน ไม่ว่าจะผ่านมากี่ยุคกี่สมัยก็ตาม ตระกูลของเธอทุกรุ่นจะคอยตามรับใช้เรื่อยไป

“พี่นก”

“ให้พี่เริ่มจัดการตรงไหนก่อนดีคะ”

“ศพที่อยู่ข้างหน้าก่อนก็ได้ครับ แล้วค่อยเข้ามาเก็บกวาดในคฤหาสน์ จากนี้ไปพี่นกก็ไม่ต้องมาที่นี่อีกแล้วนะครับ จ้าวขอยุติพันธะสัญญาระหว่างเราเอาไว้แค่ตรงนี้”

“อะ... อะไรนะคะ!”

นกไม่คาดคิดว่าสุกท้ายแล้วตัวเองจะถูกบอกเลิกพันธะสัญญาที่มีมาแต่อดีตกาลลงในวันนี้ ใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยของการใช้ชีวิตมาครึ่งหนึ่งดูตื่นตระหนกด้วยเพราะคาดไม่ถึงมาก่อน

“พี่นกไม่ต้องมาที่นี่อีกแล้ว”

“แต่ว่า... คุณวินเซ้นท์คะ คือ...”

“ไม่มีคุณวินเซ้นท์อีกแล้ว จะมีก็แค่จ้าว เด็กผู้ชายที่ถูกพ่อแม่รังเกียจ กล่าวหาว่าเป็นปีศาจเพราะสีตาแปลกๆ เด็กที่ถูกใครต่อใครทำเหมือนเป็นตัวประหลาด คุณวินเซ้นท์อะไรนั่นได้ตายไปตั้งแต่เหตุฆาตกรรมครั้งนั้นแล้ว”

จ้าวพูดจริง ไม่ได้โป้ปดแม้แต่น้อย วินเซ้นท์ก็เป็นเพียงแค่ชื่อใหม่ที่ครอบครัวนี้ตั้งให้เพราะอยากให้ได้ใช้ชีวิตใหม่แต่ไม่ว่ายังไงสีตาที่ไม่เปลี่ยนไปก็ยังคงทำให้เขาถูกมองว่าเป็นลูกของปีศาจที่เกิดมาจ้องแต่จะทำลายล้างผลาญทุกชีวิตรอบกายให้ดับสิ้น

“คุณจ้าวคะ ทำไมถึงได้พูดแบบนั้นออกมาทั้งที่ตระกูลเราสาบานไว้แล้วว่าจะอยู่รับใช้จนกว่าตระกูลจะสิ้น”

“หลังจากนี้จ้าวคิดว่ามันคงไม่มีอะไรให้ต้องเก็บกวาดอีกแล้ว จ้าวจะปิดตายคฤหาสน์หลังนี้ ไม่ว่าใครที่เข้ามาลองดีก็จะอยู่ได้แค่ที่หน้าประตูรั้ว ถึงตอนนั้นถ้าพี่นกยังอยากทำหน้าที่ของตัวเองอยู่ก็ยังทำได้ แต่จ้าวคงไม่ให้ใครเข้ามาเหยียบที่นี่อีกแล้ว”

“พี่รู้นะคะว่าไม่มีสิทธิ์เอ่ยถามอะไรหรือแม้แต่บอกว่าคุณจ้าวควรทำอะไร แต่ตัดสินใจดีแน่แล้วเหรอคะเรื่องปิดคฤหาสน์ ถึงคุณจ้าวจะปิดคฤหาสน์ไปแต่คนที่อยากลองของมันไม่ได้หมดไปนะคะ ยังไงก็คงเข้ามาสร้างความรบกวนให้อยู่ดี”

เพราะรู้ดีว่าคนที่ชอบลองของ ท้าทายสิ่งที่จับต้องไม่ได้บนโลกใบนี้ยังมีอยู่อีกมาก ฉะนั้นนี่จึงเป็นหนทางที่จะแสดงให้เห็นว่าการชอบลองดีกับสิ่งที่ไม่มีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้จะต้องพบเจอกับจุดจบเช่นไรกันแน่

“จ้าวรู้ เรื่องนี้... พี่นกไม่ต้องสนใจหรอกครับ แค่ช่วยเก็บกวาดให้จ้าวก็พอแล้ว และก็ขอบคุณนะครับที่ช่วยอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลไปให้ได้ทันเวลาพอดี ไม่อย่างนั้นจ้าวคงแย่แน่แต่ไม่ต้องทำมาให้บ่อยนะ จ้าวรับแค่เท่าที่จำเป็นเท่านั้นแล้วก็ไม่อยากไปเบียดเบียนใครด้วย”

“คุณจ้าวไม่ได้เบียดเบียนอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว ตั้งแต่ที่พี่คอยรับใช้คุณจ้าวกับคุณโจเซฟมาก็ผ่านมาเกือบครึ่งชีวิตแล้ว คุณจ้าวเป็นเด็กนิสัยดีเหมือนที่ใครหลายคนที่นี่บอกและคุณจ้าวจะร้ายแค่กับคนสามประเภทเท่านั้น หนึ่งคือพวกชอบท้าทาย สองคือพวกที่ชอบบุกรุกพื้นที่ส่วนตัวและสามคือพวกที่มาร้าย พี่แค่อยากช่วยให้หลุดพ้นจากสถานที่นี้แล้วได้ไปเกิดใหม่”

จ้าวเข่นยิ้มอย่างสมเพชเวทนาตัวเอง ไม่มีวิญญาณดวงไหนที่ไม่อยากไปผุดไปเกิดใหม่แต่ทุกดวงวิญญาณที่อยู่ที่นี่เป็นเพราะความแค้นในอดีตของตนเองที่สาปแช่งให้พวกเขาคิดอยู่ที่นี่ชั่วกัปชั่วกัลป์ แม้แต่เจตรินก็ยังเป็นหนึ่งในดวงวิญญาณที่คำสาปแช่งของเขาส่งไปถึง

“เวรกรรมที่ทำมามันลบล้างกันไม่ได้ง่ายๆ หรอกครับ จ้าวคงต้องอยู่ชดใช้กรรมที่นี่ไปอีกนาน”

“คุณจ้าว...”

“พี่นกไปจัดการเก็บกวาดให้เรียบร้อยเถอะ อีกไม่กี่ชั่วโมงพระอาทิตย์ก็จะขึ้นแล้ว”

ดูเหมือนว่านกมีเรื่องอยากจะพูดต่อแต่จ้าวไม่อยู่รับฟัง เธอจึงจำใจเดินออกไปเก็บกวาดซากศพคนตายที่นอนอยู่กลางลานกว้างที่รกร้าง จัดการทำความสะอาดคราบเลือดที่เปรอะพื้นทางเดิน ทำหน้าที่ของคนรับใช้ของคฤหาสน์หลังนี้ให้ดีที่สุดก่อนทุกอย่างจะสิ้นสุดลง




** ติดตามตอนต่อไป **

ออฟไลน์ lcortsess

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 173
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-3
ยาวสมกับเวลาที่รอ  อิอิอิอิอิิ
กฤต รีบกลับมาหาจ้าวววนะ

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
แล้วจะได้เจอกันอีกไหมเนี่ย  :katai1:

ออฟไลน์ kun

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +122/-10
เห็นใจจ้าวจัง

ออฟไลน์ BlueSora

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
::: ตอนที่ 26  [[ END ]] :::
การกลับมา






ถ้าพูดถึงซากศพ สภาพของตฤณในเวลานี้ก็แทบจะไม่ต่างกันมากนัก

“ตฤณ ทำไมสภาพมึงแย่ขนาดนี้วะ ไปทำอะไรมา”

ตฤณไม่ได้ตอบคำถามที่ลีถามแต่เขาเลือกที่จะนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามแล้วคว้าเอากระเป๋าเป้มาหนุนหัวแทนหมอน เหลือบสายตามองอีกฝ่ายก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาราวกับว่าอยากจะให้มันช่วยนำพาความรู้สึกสับสนวุ่นวายที่ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรบ้างแล้วออกไปให้ไกลๆ

“ระหว่างความรักกับความถูกต้อง มึงจะเลือกอะไรวะ ลี”

“ถ้ากูเป็นตำรวจก็คงเลือกความถูกต้องมาก่อน แต่ถ้ากูเป็นแค่คนธรรมดาก็อาจจะเลือกความรัก เอาเข้าจริงๆ มันก็เลือกยากอยู่นะ ถ้าสิ่งที่มึงรักมันไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง มึงจะยอมรับผลที่ตามมาได้ไหม ถ้ายอมรับได้ก็เลือกความรัก แต่ถ้ามึงยังเห็นแก่ความถูกต้อง ยังแคร์สังคมรอบข้างก็ควรปล่อยความรักที่ผิดๆ นั้นไป”

ตฤณพยักหน้าเป็นเชิงว่าเข้าใจแล้วแต่ยังคงนอนแบ๊บอยู่บนกระเป๋าตัวเองอย่างนั้น

“กูรักเขาแต่ก็ก็ยังมีบางเรื่องในตัวเขาที่รับไม่ได้”

“ตฤณ เรื่องนี้กูก็คงช่วยมึงไม่ได้ มึงต้องเป็นคนตัดสินใจเอง แต่กูจะพูดอะไรให้ฟังนิดหน่อยนะว่าถ้าความรักของมึงมีคำว่าแต่หรือเงื่อนไขอื่นๆ เต็มไปหมด ถ้ามึงพูดว่าชอบเขาแต่ รักเขานะแต่... อนาคตความรักของมึงคงจบลงสักวัน มึงเคยได้ยินไหมว่าการรักใครโดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ ยอมรับในสิ่งที่เขาเป็นได้มันคือความสุขที่สุดสำหรับคนทั้งคู่เลยนะ”

ใช่ว่าตฤณจะไม่รู้แต่เขาไม่รู้จะทำอย่างไรในเมื่อจ้าวปิดประตูคฤหาสน์ใส่หน้า ยื่นคำขาดไม่ต้อนรับใครหน้าไหนอีกแล้วทั้งสิ้น

“เฮ้อ~”

“มึงกำลังพูดถึงจ้าวอยู่ใช่ไหมวะ”

ตฤณผงกหัวขึ้นลงช้าๆ เป็นเชิงตอบคำถามของเพื่อน

“เฮ้อ~ ตฤณเอ๋ยตฤณ ความรักของมึงมันเป็นไปไม่ได้ตั้งแต่เริ่มคิดแล้วว่ะ อย่าพยายามดันทุกรังกับสิ่งที่รู้ว่ามันอยู่ด้วยกันไม่ได้อีกเลย มึงตัดใจจากเขาตอนนี้ยังทันนะ”

พูดจบ ลีถึงได้รู้ตัวว่าพูดอะไรที่ไม่ควรพูดออกไป ถ้าหากจ้าวรู้ว่าเขาพูดในสิ่งที่ถูกห้ามมาตลอด ชีวิตที่เหลืออยู่คงถูกริบไปเหมือนอย่างที่เนตรกับยุ้ยได้พบเจอแน่ เขาจึงทำท่าคล้ายจะบอกว่าอย่าได้ใส่ใจในคำพูดนั้นเลย

“ตัดใจทั้งที่ยังรักนี่ต้องทำยังไงวะ”

“กูก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ถ้ามึงลองคิดว่ามึงกับเขาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันไม่ได้ ไม่ใช่เพราะไม่รักแต่อยู่ด้วยกันไม่ได้ สักวันก็คงจะเลิกรักหรือมึงอาจรักเขามากจนตัดใจไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นก็คงต้องหาใครสักคนมาดามหัวใจให้แล้วล่ะ”

“ที่มึงพูด กูทำไม่ได้สักอย่าง”

ลีทำเป็นหัวเราะกลบเกลื่อนแต่แล้วเขาก็เห็นเมฆเดินตรงเข้ามายังที่ที่พวกเขานั่งกันอยู่จึงถือโอกาสนี้เปลี่ยนเรื่องคุยเสียเลย “พี่เมฆมาพอดี”

“มีเรื่องอะไรกัน”

“จะตัดใจทั้งที่ยังรักต้องทำยังไง”

“มาถามอะไรกับคนไม่มีแฟนอย่างกูวะ”

ลีได้แต่หัวเราะแห้งๆ กลบเกลื่อนอีกครั้ง ที่เขาถามก็ไม่ใช่เพราะอยากรู้แต่เห็นสภาพเพื่อนเข้าใกล้คำว่าซอมบี้เข้าไปทุกทีก็อดเป็นห่วงไม่ได้ เขาเสียเพื่อนอย่างเนตรและยุ้ยไปในเวลาไล่เลี่ยกันแล้วจึงไม่อยากเสียตฤณไปด้วยอีกคน

เมฆทิ้งตัวลงนั่งข้างตฤณ เอื้อมมือออกไปแตะไหล่เบาๆ “แกใกล้ได้วิญญาณอีกครั้งกลับมาแล้วนะ”

“วิญญาณอีกครึ่งอะไรวะ พี่”

“เด็กคนนั้นเอาวิญญาณอีกครึ่งของตฤณไปและเพิ่งได้คืนมาเมื่อวานนี้แต่มันยังไม่สมบูรณ์ดี”

ลีชะงักไปเล็กน้อย เขากำลังพยายามรวบรวมปะติดปะต่อเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในคฤหาสน์หลอนหลังนั้นแต่จนแล้วจนรอดก็ยังตอบไม่ได้ว่าเมื่อไรกันที่วิญญาณของเพื่อนถูกฉกชิงไปครึ่งหนึ่งและเขาก็ไม่พบความผิดปกติใดๆ เกิดขึ้นกับร่างกายที่วิญญาณอยู่ไม่ครบจำนวน

“เรื่องฉกชิงวิญญาณถือว่าไม่ได้ทำกันง่ายๆ นะ”

ลีนิ่งไปอีกครั้งกับคำพูดของเมฆ ถ้าหากพิธีกรรมนี้ทำกันไม่ได้ง่ายๆ แล้วเด็กคนนั้นต้องเก่งกาจถึงขนาดไหนถึงช่วงชิงวิญญาณของผู้อื่นไปเป็นของตนเองได้ พูดไปแล้วก็น่ากลัวไม่น้อยและดูเหมือนว่าลีจะโชคดีอยู่บ้างที่เด็กคนนั้นยังปล่อยให้เขาได้เป็นอิสระ

“ถ้ามันไม่ง่าย...”

“มันมีพิธีกรรมที่เราไม่รู้มากมายบนโลกใบนี้ แล้วยิ่งเกี่ยวกับดวงวิญญาณสองดวงผูกกัน ยังไงมันก็ต้องเป็นพิธีกรรมขั้นสูงที่ไม่ใช่ว่าใครก็ทำได้”

ลีแอบเหลือบมองหน้าเพื่อนที่ทำท่าทางราวกับกำลังถูกภรรยาขอหย่าแต่ตัวเองไม่ยินยอมแล้วได้แต่ถอนหายใจออกมาเบาๆ “ไม่อยากเห็นมึงเป็นแบบนี้เลยว่ะ ตฤณ ลองกลับไปเคลียร์กับเขาดูอีกทีดีไหม ยังไงเขาคงเปิดประตูต้อนรับมึงเป็นกรณีพิเศษอยู่แล้ว”

“กูคงกลับไปไม่ได้แล้ว เขาเพิ่งปิดประตูใส่หน้า ใส่กูกับพี่เมฆออกมา”

“พี่เมฆช่วยพูดอะไรหน่อยสิ”

เมฆเองก็จนปัญญา ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรออกมาเช่นกัน เขาเห็นเด็กคนนั้นพูดจาให้ตฤณออกมาจากคฤหาสน์หลังนั้นอย่างไร้เยื่อใยแต่สิ่งที่ปรากฏอยู่ในดวงสีสีเพลงนั้นกลับเต็มไปด้วยความเจ็บปวด แม้น้ำเสียงที่ใช้พูดในขณะนั้นจะราบเรียบแค่ไหนก็ตาม

“ตฤณ...”

“ขอกูอยู่เงียบๆ คนเดียวสักพักนะ ลี”

สุดท้ายแล้วลีก็จำต้องเงียบลง เขาได้แต่มองร่างของเพื่อนที่นอนฟุบหน้าอยู่กับกระเป๋าของตัวเองแล้วอดเป็นห่วงไม่ได้จริงๆ ถ้าหากความสัมพันธ์ยังดูคลุมเครืออยู่อย่างนี้ เหมือนว่าจะไปต่อแต่ก็ไปไม่ได้ราวกับว่าเห็นทางข้างหน้าแต่ไม่รู้วิธีก้าวเดิน

“ตฤณ คืนนี้ช่วยไปคฤหาสน์หลังนั้นกับพี่ได้ไหม พี่มีธุระนิดหน่อย”

“อืม”

เสียงตอบรับในลำคอดังออกมาเบาๆ จากร่างที่กำลังนอนก้มหน้าอยู่ แค่นั้นก็พอที่จะทำให้ลีเบาใจและนึกขอบคุณรุ่นพี่อยู่ในใจลึกๆ ที่ช่วยออกตัวเป็นทัพหน้าพาเพื่อนที่พร้อมจะกลายเป็นซากศพได้กลับไปจัดการกับปัญหาหัวใจและความรู้สึกของตัวเอง


-----------------------------------------


ตกดึกของวันนี้ ทั้งเมฆ ตฤณและลีก็พากันเดินทางไปยังคฤหาสน์ของตระกูลคัลเลน ธุระของเมฆที่มีในตอนนี้ก็เป็นเรื่องของตฤณทั้งสิ้น ไม่มีส่วนไหนที่เป็นเรื่องของตัวเขาเลย พอมาหยุดอยู่ที่หน้าประตูรั้วของคฤหาสน์ พวกเขาทั้งสามคนก็สัมผัสได้ถึงบางอย่างที่เปลี่ยนไป

“ไม่เหมือนวันนั้นเลย คราวนี้มันสงบเงียบจนไม่คิดว่ามันเป็นคฤหาสน์ที่เขาเล่าลือกัน”

ตฤณนิ่งเฉยกับคำพูดของเมฆแต่ทว่าในใจยังคงคิดตาม อาจเป็นไปได้ว่าจ้าวพร้อมตัดขาดจากเขา ตัดขาดจากโลกใบนี้ไปแล้ว มันถึงได้ไม่รู้สึกอะไรเลย ไม่มีแม้กระทั่งความอบอุ่นอันคุ้นเคยที่ได้รับจากเด็กคนนั้นเมื่อเขาก้าวเข้ามาถึง

‘มาที่นี่ทำไมอีกครับ’

เสียงของใครบางคนดังมาตามสายลมที่พัดเอื่อยแต่ไม่เห็นตัวตนของเจ้าของเสียง

“มีธุระ อยากคุยกับจ้าวนิดหน่อย” เมฆเปิดฉากตอบคำถาม บอกจุดประสงค์ในการมาครั้งนี้ของพวกเขา พลันนั้นร่างของเจตรินก็ปรากฏขึ้นอย่างชัดเจนตรงหน้าจนทั้งสองเกือบจะร้องเสียงหลง

‘ธุระเรื่องอะไรครับ’


“เปิดให้เราเข้าไปได้ไหม”

‘ขอโทษด้วย ถ้าจ้าวไม่อนุญาตก็คงเปิดให้เข้าไปข้างในไม่ได้’

ประตูทางออกที่อยู่ตรงปลายทางถูกปิดลงดังฉับพร้อมกับใส่กลอนไว้อย่างแน่นหนา โอกาสที่ตฤณจะจัดการปัญหาของตัวเองไม่ใช่แค่ว่ามันริบหรี่แค่ไหนแต่มันไม่เหลือให้ได้คาดหวังอีกแล้ว แต่เมฆกลับไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค์ใดๆ เพราะเขาก็เป็นอีกคนที่ทนเห็นรุ่นน้องอยู่ในสภาพตายทั้งเป็นแบบนี้ไม่ไหว

“ผมไม่อยากเห็นเขาเป็นแบบนี้”

‘นั่นมันก็เรื่องของเขา น้องชายผมคืนสิ่งที่เอาจากเขาไปแล้ว จากนี้ก็ไม่มีอะไรต้องข้องเกี่ยวกันอีก และน้องชายผมก็ไม่ต้อนรับใครแล้ว เราปิดตายคฤหาสน์หลังนี้ไปเรียบร้อยแล้ว หวังว่าคงเข้าใจนะครับ คำว่าปิดตายหมายความว่าอะไร’

ปิดตายคฤหาสน์ เมฆเข้าใจว่าหมายความว่าอย่างไรแต่จะไม่ยกเว้นตฤณไว้สักคนเลยหรือ

“พี่เมฆกลับเถอะ ถ้าเขาไม่อยากเจอ เราก็ไม่ควรมา”

ตฤณยอมแพ้แล้ว เขากระตุกแขนเมฆเป็นเชิงบอกให้หยุดแต่ยังไม่ทันไร ประตูรั้วของคฤหาสน์ก็ถูกปลดล็อคแล้วแง้มออกเพียงเล็กน้อยคล้ายกับว่าเจ้าของพื้นที่ยอมให้ใครบางคนเข้าไปข้างในได้แล้ว เจตรินมองดูสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าแล้วถอนหายใจออกมาเล็กน้อย

‘ให้เข้าไปได้แค่คนเดียวเท่านั้น คนที่เหลือให้รออยู่ข้างนอกรั้ว ถ้าตกลงตามนี้ได้ก็จะยอมให้เข้าไปพบจ้าวได้’


เมฆพยักพเยิดให้ตฤณเดินเข้าไปข้างใน ส่วนตัวเขาจะอยู่รอข้างนอกกับลี

“ไปเถอะ เดี๋ยวพี่จะอยู่นี่กับลีเอง แกไปเคลียร์อะไรให้เรียบร้อย นานเท่าไรพี่ก็รอได้”

เมฆดีกับตฤณขนาดนี้ เขาไม่รู้จะตอบแทนกลับอย่างไรดี เขาหันไปมองหน้าพร้อมกับส่งสายตาเป็นการบอกกลายๆ ว่าไม่จำเป็นต้องเป็นห่วง เขาจะจัดการปัญหาที่เกิดขึ้นกับตัวเองให้เรียบร้อยแล้วจึงผลักประตูที่เปิดแง้มอยู่เพียงเล็กน้อยออกกว้างพอให้เดินผ่านเข้าไปข้างในได้อย่างสบาย

บรรยากาศรอบข้างเงียบสงบ ดูรกร้าง ต้นไม้ใหญ่ยืนต้นตายอยู่กลางสวนที่ไม่ได้รับการดูแลรักษาเหมือนเช่นทุกครั้งที่เขามาเยือนแต่ทำไมในครั้งนี้ถึงได้รู้สึกต่างออกไป มันสงบจนน่าใจหาย เงียบเสียจนได้ยินเสียงลมหายใจอันแผ่วเบาของตัวเองดังเป็นจังหวะหรือแม้แต่เสียงของรองเท้าที่สัมผัสลงไปบนใบไม้แห้งกรอบสีน้ำตาลที่เตรียมพร้อมย่อยสลายลงสู่พื้นดิน

ตฤณไม่รู้ว่าการเจอหน้าจ้าวในครั้งนี้ เขาจะพูดอะไรดีแต่หลายสิ่งหลายอย่างระหว่างกันมันไม่ชัดเจนตั้งแต่แรก คำบอกรักก็เป็นเขาฝ่ายเดียวที่พูดมันออกมา อย่างน้อยๆ ในวันนี้มันควรจะจบลงหรือบางทีอาจเป็นการได้เริ่มต้นใหม่ สุดท้ายแล้วก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของจ้าวทั้งหมด

มือแกร่งผลักบานประตูคฤหาสน์ให้เปิดออก มันส่งเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดจนนกที่อาศัยอยู่ในละแวกนั้นกระพือปีกบินหนีไปด้วยความตกใจ เขาสะบัดมือผ่านหน้าตัวเองสองสามครั้งคล้ายว่ากำลังไล่ฝุ่นที่ฟุ้งกระจายอยู่ตรงหน้าไปให้พ้นทางก่อนที่จะสูดเข้าไปจนพวกมันเข้ามาอยู่เต็มปอด

“จ้าว...”

คำแรกที่ตฤณพูดคือชื่อของคนรัก เด็กคนนั้นยืนนิ่งสงบอยู่ตรงโถงกว้างของคฤหาสน์ แววตาไม่ปรากฏความยินดีหรือรังเกียจแม้แต่น้อย ใบหน้ากลมมนที่แสนน่ารักนั่นนิ่งเฉยจนเขารู้สึกเหมือนว่ามันออกจะเย็นชานิดๆ ด้วยซ้ำ

“พี่ตฤณมาทำไมครับ หรือว่าต้องการคำอธิบาย”

“พี่อยากได้คำตอบสักสองสามเรื่อง”

“ได้ จ้าวจะตอบให้แล้วหลังจากที่พี่ตฤณได้คำตอบไปแล้วก็ไม่ต้องกลับมาที่นี่อีก”

ตฤณก้าวเข้าไปใกล้ร่างเล็กขึ้นอีกเล็กน้อยโดยที่ฝ่ายนั้นก็ไม่ได้ขยับหนีหรือแสดงท่าทีรังเกียจในการเข้าใกล้ที่มากขึ้นของเขาแต่กลับยืนนิ่ง รอฟังในสิ่งที่เขาจะถาม

“ทำไมจ้าวต้องฆ่าคนด้วย”

แววตาสีเพลิงดูเปลี่ยนไปทันทีที่ตฤณถามว่าทำไม มันดูเย็นชา เกลียดชังและไร้ความเป็นมิตร

“มีคนสามประเภทที่จ้าวเกลียด พวกชอบท้าทายลองของ พวกที่บุกรุกพื้นที่ของคนอื่นโดยไม่ขออนุญาตและสุดท้ายก็คือพวกที่เข้ามารนหาที่ตายเอง หมอผีนั่นเป็นประเภทสุดท้าย เมื่ออยากได้ จ้าวก็ให้ เมื่อเสนอมา จ้าวก็สนองกลับไป จะให้จ้าวอยู่เฉยๆ ทั้งที่รู้ว่าตัวเองทำอะไรได้แล้วยอมให้ถูกจับไปเป็นข้าทาสบริวารอย่างนั้นเหรอ ถ้าพี่ตฤณรู้ว่าทางรอดเดียวที่มีอยู่คือต้องลุกขึ้นสู้ พี่ตฤณยังจะนิ่งเฉยแล้วปล่อยให้ตัวเองตายไป ไม่รู้สึกเสียดายชีวิตที่เหลือของตัวเองบ้างเหรอครับ”

ที่จ้าวพูดมานั้นถูกต้อง ไม่ว่าใครต่างก็ย่อมต้องรักชีวิตของตัวเองด้วยกันทั้งนั้น หมอผีเฒ่าคนนั้นก็เช่นกัน แต่เขาเพียงแค่ไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองว่าเด็กคนหนึ่งที่ดูใสซื่อบริสุทธิ์จะจับอาวุธฆ่าใครได้ก็เท่านั้น แต่ก่อนที่ตฤณจะได้ถามต่อไป จ้าวก็พูดขึ้นมาเสียเอง “พี่ตฤณ... จ้าวไม่ใช่เด็กดีของพี่อีกต่อไปแล้ว เป็นเพียงแค่วิญญาณร้ายกาจที่รอชดใช้กรรมอยู่ในคฤหาสน์หลังนี้เท่านั้น จ้าวรู้ว่าที่พี่มาวันนี้ต้องการอะไรแต่จ้าวให้พี่ไม่ได้ สิ่งที่อยู่กันคนละภพภูมิไม่ควรผูกพันกันตั้งแต่แรกแล้วเพราะมันคือสิ่งที่เป็นไปไม่ได้และไม่มีวันเป็นไปได้”

“ตอบพี่แค่คำถามเดียว จ้าวรักพี่ไหม”

จ้าวดูจะชะงักไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำถามนี้ของตฤณแต่เขาก็กลับมาทำสีหน้าเป็นปกติราวกับว่าก่อนหน้านี้เพียงไม่กี่วินาทีนั้นไม่ได้เกิดอะไรขึ้นกับความรู้สึกของเขา

“มันไม่สำคัญหรอกครับว่าจ้าวจะรักพี่ตฤณไหม แต่มันสำคัญที่ว่าเราสองไม่อาจอยู่ร่วมกันได้ต่างหาก”

“พี่อยากรู้แค่ว่าที่ผ่านมาจ้าวรักพี่บ้างไหม”

คำถามนี้ไม่ใช่คำถามที่ตอบยากสำหรับจ้าวเลยสักนิดแต่เขากลับตอบมันออกไปไม่ได้ ไม่ได้ติดที่ตัวเขาเองหรืออีกฝ่ายแต่มันกลับเป็นตรงที่สุดท้ายแล้วเขาก็ค้นพบว่าความรักระหว่างพวกเขาไม่มีทางเป็นจริงขึ้นมาได้ รักระหว่างสองภพเป็นเรื่องต้องห้ามที่ไม่ควรปล่อยให้มันเกิดขึ้นตั้งแต่แรก

“จ้าวขอไม่ตอบครับ พี่ตฤณกลับไปเถอะ”

คำตอบของจ้าวช่างทำร้ายจิตใจตฤณมาก คำตอบว่าไม่รักยังดีเสียกว่าการไม่ตอบเพราะเขาไม่อาจรู้ได้เลยว่าแท้จริงแล้วอีกฝ่ายคิดยังไงกับตัวเอง แต่เขาไม่ทิ้งความหวังเอาไว้เพียงเพราะการไม่ยอมตอบคำถามแบบนี้แน่

“จ้าว...”


// ต่อข้างล่าง //

ออฟไลน์ BlueSora

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 59
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-0
“พี่ตฤณอย่าบังคับให้จ้าวตอบอะไรเลยครับ สิ่งที่จ้าวได้ทำกับพี่ตฤณเอาไว้มันไม่น่าให้อภัย จ้าวฆ่าคน จ้าวร้ายกาจกับคนอื่น จ้าวช่วงชิงดวงวิญญาณของพี่มาเป็นของจ้าว จ้าวไม่คู่ควรให้พี่ได้รักด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นแล้วได้โปรดกลับไปอยู่ในที่ของพี่ ส่วนจ้าวจะอยู่ในที่ของตัวเองตรงนี้ ไม่ข้องเกี่ยวกับใคร ไม่ทำร้ายใครถ้าคนพวกนั้นไม่ได้เดินเข้ามาหาเอง”

ตฤณเดินเข้าไปใกล้อีกหลายก้าว คำพูดหลายประโยคของจ้าวแทบจะไม่เข้าหูเลยสักนิด หัวสมองของเขาหมุนคว้างราวกับเกลียวคลื่นในมหาสมุทร มันกำลังควานหาคำตอบที่ควรจะได้รับมันกลับไม่เจอแม้แต่คำเดียว

“จ้าว พี่...”

“จ้าวขอร้องนะ พี่ตฤณ” 

ดวงตาสีเพลิงคล้ายว่าจะปริ่มน้ำ น้ำเสียงที่ตฤณได้ยินเริ่มสั่นเครือราวกับเจ้าตัวกำลังเก็บงำบางสิ่งบางอย่างเอาไว้ในใจ ตฤณตัดสินใจก้าวเข้าไปยืนอยู่ตรงหน้าจนร่างทั้งสองห่างกันเพียงแค่หนึ่งท่อนแขน สองมือเอื้อมประคองใบหน้าเล็กแต่เขากลับสัมผัสมันไม่ได้เลย เขาชะงักค้างอยู่ในท่านั้นโดยมีรอยยิ้มที่แสนเจ็บปวดของคนตัวเล็กอยู่ตรงหน้า

“ทีนี้พี่ตฤณเข้าใจหรือยังครับ คำตอบของจ้าวมันไม่ได้สำคัญเท่ากับความจริง”

“ความจริงคือพี่รักจ้าว”

ดวงหน้ากลมก้มต่ำเล็กน้อย ริมฝีปากสีกลีบกุหลาบถูกเม้มแน่น เรียวขาเล็กถอยหลังออกไปอีกหนึ่งก้าวเพื่อให้รอดพ้นจากระยะที่มือของตฤณจะเอื้อมมาถึง “แต่ความจริงของจ้าวคือจ้าวไม่ได้รักพี่ ไม่เคยรักเลย ที่ทำไปก็แค่หลอกใช้ความเชื่อใจของพี่เท่านั้น ทุกสิ่งที่จ้าวเคยพูดกับพี่มันคือคำโกหกที่พี่ตฤณไม่ควรเชื่อตั้งแต่แรก”

“งั้นเหรอ”

จ้าวบอกไม่ถูกว่าคำว่าเหรอที่ตฤณพูดออกมานั้นพูดด้วยความรู้สึกไหนกันแน่ สีหน้าที่ไม่บ่งบอกความรู้สึกใดระหว่างเชื่อในคำพูดของเขาหรือไม่เชื่อนั่นยิ่งทำให้จ้าววิตกกังวล แต่เพียงไม่นานเขาก็ปรับสีหน้าให้เป็นปกติ ปิดซ่อนความรู้สึกของตัวเองทั้งหมดเอาไว้ภายใน

“ครับ จะถามจ้าวอีกพันครั้ง จ้าวก็จะตอบว่าจ้าวไม่เคยรักพี่ตฤณเลย”

“อย่างนั้นสินะ”

“ครับ ถ้าอย่างนั้นจ้าวจะบอกความจริงอะไรบางอย่าง มันคงทำให้พี่ตฤณตัดใจจากจ้าวได้ง่ายๆ”

จ้าวยกยิ้มอย่างขมขื่น นี่อาจเป็นวิธีการเดียวที่ทำให้ตฤณตัดใจจากเขาได้แม้จะรู้ว่าสุดท้ายแล้วสิ่งที่ได้รับอาจเป็นความเกลียดชังที่ไม่มีวันให้อภัย แต่ในวันนั้นทำให้เขาได้ตระหนักแล้วว่าอะไรที่ไม่ใช่ของคู่กัน ต่อให้มาอยู่ใกล้กันแค่เอื้อมก็ไม่สามารถคู่กันได้อยู่ดี

“ถ้าจ้าวบอกว่าการตายของพี่เนตรกับพี่ยุ้ยเป็นฝีมือของจ้าวเอง พี่ตฤณจะเชื่อไหม”

ตฤณดูจะอึ้งไปพักใหญ่กับคำพูดนี้ ในหัวของเขาไม่เคยคิดว่าการตายของเพื่อนทั้งสองคนจะเป็นฝีมือของวิญญาณตัวน้อยที่แสนน่ารักอย่างจ้าว และมันดูไม่มีเหตุผลอะไรเลยด้วยซ้ำที่ถึงขั้นต้องมาพรากเอาชีวิตไป เมื่อประมวลผลเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นแล้วนั้นเขาก็สรุปได้ว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้

“เป็นไปไม่ได้”

“มันเป็นไปแล้ว”

“มันไม่มีเหตุผลอะไรเลย”

จ้าวหัวเราะเบาๆ อย่างเสแสร้ง เขาแค่พูดความจริงในบางเรื่องและโกหกในบางเรื่องเพื่อตัดขาดจากตฤณอย่างถาวร “มีเหตุผลสิ เพราะจ้าวเกลียดพี่เนตรและพี่ยุ้ยก็แค่ดวงซวยโดนลูกหลงไปด้วยเท่านั้น ใครใช้ให้พวกเขาทำตัวติดกันล่ะ อีกอย่าง... คนที่ไม่ทำตามกฎของที่นี่ จ้าวก็ไม่รับรองความปลอดภัยอยู่แล้ว ถ้าเขาจะตาย ครึ่งหนึ่งก็ต้องโทษตัวเอง ได้ยินแบบนี้แล้วพี่ตฤณยังจะบอกว่ารักจ้าวอยู่อีกไหม”

ตฤณตอบไม่ได้ เขาไม่ยอมรับว่าการตายของเนตรและยุ้ยจะเป็นฝีมือของจ้าวเอง เขาไม่เชื่อว่าเด็กคนนี้ทำลงไปเพราะความเกลียดชัง มันอาจเป็นเพียงข้ออ้างเพื่อให้เขาตัดใจจากไปก็ได้

“กลับไปเถอะครับ เราสองคนไม่มีอะไรที่คู่ควรกัน พี่ตฤณเป็นคนดียังมีโอกาสได้พบเจอคนอีกมากมายและหนึ่งในคนเหล่านั้นอาจเป็นเนื้อคู่ของพี่ก็ได้ อย่าได้เอาชีวิตที่เหลือของพี่มาผูกติดกับวิญญาณอย่างจ้าวเลยครับ มันไม่คุ้มกันหรอก”

จ้าวเอ่ยปากไล่อย่างสุภาพที่สุดแล้วแต่ตฤณกลับยังคงยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น สุดท้ายแล้วก็เป็นจ้าวเองที่จนปัญญาจะทำให้ตฤณยอมจากไปแต่โดยดี เห็นทีว่างานนี้เขาคงต้องยกธงขาวยอมแพ้แล้ว

“พี่กำลังคิดว่าถ้าจ้าวฆ่าเนตรกับยุ้ยจริง ทำไมถึงไม่ฆ่าพี่ไปด้วย”

“.....”

“นั่นก็เพราะว่าจ้าวรักพี่เลยฆ่าทิ้งไม่ลงหรือเป็นเพราะว่าจริงๆ แล้วจ้าวไม่ได้ทำให้เนตรกับยุ้ยตายแต่เป็นฝีมือของวิญญาณตนอื่นที่อยู่ที่นี่”

จ้าวไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ให้กับชะตาชีวิตของตัวเองดี เขาได้แต่เม้มปากแน่นแล้วมองดูร่างของผู้ชายที่ไม่สะดุ้งสะเทือนใดๆ กับความจริงที่เขาได้พูดออกไป

“พี่ตฤณ... ยังไม่เข้าใจอีกเหรอ”

“ให้พี่เข้าใจอะไร”

จู่ๆ จ้าวก็อยากจะร้องไห้ออกมาเสียเดี๋ยวนี้แต่เขาก็ต้องใจเย็นแล้วฝืนยิ้มออกไป

“เข้าใจว่าเราไปด้วยกันไม่ได้ ชีวิตของเราไม่ได้ถูกกำหนดมาให้คู่กัน”

ตฤณเงียบไปเล็กน้อยก่อนที่จะพูดขึ้นมา “พี่อยากรู้แค่ว่าจ้าวรักพี่ไหม ขอความจริง ไม่ใช่คำโกหก”

น้ำเสียงและสีหน้าของตฤณในตอนนี้ดูจริงจังมากจนจ้าวไม่กล้าพูดโกหกอีก แต่เขาก็ไม่ได้ตอบมันออกไปในทันที ทำทีเป็นลังเลที่จะตอบมัน ในขณะนั้นก็คอยลอบมองปฏิกิริยาของตฤณไปด้วย แต่พอเห็นว่ามันไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากตอนก่อนถาม เขาถึงได้ถอนหายใจออกมา

“จ้าวรักพี่ตฤณครับ”

จ้าวคิดว่าแค่ตอบก็คงจบเรื่องแต่กลับกลายเป็นว่าตฤณพุ่งเข้าหาเขาด้วยความเร็วแสงจนเขาตกใจ ถอยหลังไปหลายกาวแล้วสะดุดขาตัวเองล้มลง ก้นกระแทกพื้น

“จ้าว! พี่ขอโทษ เจ็บตรงไหนหรือเปล่า”

ตฤณรีบเข้าไปประคองร่างเล็กแต่มือของเขากลับผ่านร่างนั้นไปได้อย่างง่ายดาย รู้ทั้งรู้ว่าจ้าวเป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้ ทำไมถึงไม่ชินเลยสักที เขารีบชักมือกลับแต่ยังไม่หนีไปไหน

“ไม่เป็นไรครับ พี่ตฤณได้คำตอบแล้วก็กลับไปเถอะครับ”

“พี่ไม่ไปไหนทั้งนั้น ต่อให้จ้าวเป็นวิญญาณที่พี่จับต้องไม่ได้อีก ต่อให้จ้าวฆ่าคนมาเป็นร้อยเป็นพัน ต่อให้จ้าวจะร้ายกาจแค่ไหน พี่จะอยู่ตรงนี้ จะเอ่ยปากไล่พี่ พี่ก็ไม่ไป”

จ้าวอยากจะบอกว่าตฤณเป็นคนดื้อด้านเสียเหลือเกินแต่เขาก็พูดอะไรไม่ออก ได้แต่นั่งมองอย่างมึนงง หัวสมองตื้อตึงไปหมด สิ่งที่เขาพูดมาทั้งหมดนั้นมันไม่ผ่านเข้าหูของตฤณเลยหรือว่าฝ่ายนั้นไม่ยอมรับฟังกันแน่ถึงได้ทึกทักเอาเองอย่างนี้

“เอ่อ... ถ้า... ถ้าพี่ตฤณไม่ไป งั้น... งั้นจ้าวไปเอง”

จ้าวลุกขึ้นยืน ปัดตามเนื้อตัวแล้วหันหลังกลับ ก้าวไปได้สองสามก้าวก็ชะงักไปเหมือนว่าตัวเองเพิ่งจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้แล้วใบหน้าของเขาก็แดงซ่าน ขึ้นสีเลือดด้วยความเขินอาย เขาหายตัวไปจากตรงนี้ย่อมได้อยู่แล้วแต่การเดินจากไปเหมือนตัวเองเป็นมนุษย์คนหนึ่งต่อหน้าตฤณ ไม่เท่ากับว่าเขากำลังรอให้ตฤณได้มาง้ออย่างนั้นหรือ

“จ้าว อย่าทิ้งพี่ไปได้ไหม”

คิดว่าคำพูดแค่นี้ของตฤณจะทำให้จ้าวใจอ่อนอย่างนั้นหรือ แน่นอน! อย่างน้อยก็ครึ่งหนึ่งของความรู้สึก

“ใครกันแน่ที่คิดจะทิ้ง ไม่ใช่พี่ตฤณหรอกเหรอครับ โอกาสที่พี่จะได้เจอคนอื่นๆ ผู้หญิงสวยๆ มันมากกว่าจ้าวที่อยู่ได้แค่ในนี้อยู่แล้ว”

“ถ้าพี่ทิ้งจ้าวแล้วพี่จะกลับมาอีกทำไม... หันหน้ามาพูดกันสิ”

ใครจะกล้าหัน! ป่านนี้ใบหน้าของจ้าวคงแดงเถือกไปหมด บางทีมันอาจจะลุกลามไปถึงใบหูแล้วก็ได้และตฤณก็คงสังเกตเห็นถึงได้ให้เขาหันหน้ากลับไปพูดด้วย

“พี่ตฤณก็แค่กลับมาดูว่าจ้าวร้ายกาจแค่ไหน”

ตฤณอยากจะหัวเราะทั้งน้ำตา ที่เขากินไม่ได้นอนไม่หลับ ทำตัวซังกะตายเหมือนวิญญาณพร้อมหลุดออกจากร่างได้ทุกเมื่อในหลายวันที่ผ่านนั้นเป็นเพราะเขาแค่อยากกลับมาดูให้แน่ใจอย่างนั้นเหรอว่าจ้าวเป็นวิญญาณที่ชั่วร้ายมากแค่ไหน

“ไม่ใช่เลย พี่กลับมาเพื่อจะบอกว่าพี่รักจ้าว ไม่ว่าจ้าวจะเป็นอะไร จะเป็นวิญญาณที่ดีหรือไม่ พี่ก็รักจ้าว”

จ้าวหันกลับมาเผชิญหน้า แม้จะปรับสีหน้าให้เป็นปกติแล้วแต่ยังไม่สามารถปิดบังสีแดงระเรื่อที่อยู่บนใบหน้าได้ “ถ้าอย่างนั้นพี่ตฤณควรรอให้ได้วิญญาณอีกครึ่งกลับมาให้ครบก่อนแล้วมาบอกว่ารักจ้าวมันก็ยังไม่สายนะครับ”

“พี่ไม่รอ”

“......”

จ้าวถึงกับไปต่อไม่ถูก เขายืนนิ่งงันอยู่อย่างนั้นด้วยเพราะสรรหาคำที่จะพูดขึ้นมาไม่ได้แม้แต่คำเดียว

“ถ้าพี่กลับมาอีกครั้งแล้วจ้าวไม่เปิดประตูต้อนรับพี่ล่ะ ต่อให้พี่จะได้วิญญาณอีกครึ่งกลับมาหรือไม่ พี่ก็รักจ้าว รักในสิ่งที่จ้าวเป็น รักตัวตนจริงๆ ของจ้าว รักความอ่อนโยนและเอาใจใส่ ความรู้สึกของพี่ทั้งหมดมีให้แค่จ้าวเท่านั้น แล้วยังจะไล่ให้พี่ไปจากจ้าวอีกเหรอ”

ถ้าตฤณจะพูดกับเขาถึงขนาดนี้ ไม่เปิดทางให้จ้าวได้ตอบปฏิเสธเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งสายตาที่ใช้มองมานั้นช่างเต็มไปด้วยความจริงใจที่ไม่โป้ปด ไม่ใช่เสแสร้งโกหกเพียงเพื่อให้เขายอมรับหรืออะไรก็ตามแต่ที่ทำให้เขาตายใจ

“พี่ตฤณ...”

“จะให้พี่ง้ออีกกี่รอบก็ได้ ถ้ามันทำให้จ้าวใจอ่อนบ้าง”

“พี่ตฤณ...”

“นะครับ”

“คือ... พี่ตฤณ จ้าวใจอ่อนตั้งนานแล้วครับ”

จ้าวขยับตัวเข้าไปใกล้ตฤณอีกนิดในขณะที่พูด เขารวบรวมพลังทั้งหมดของตัวเองที่มีอยู่ทำให้ร่างกายกลับมาจับต้องได้อีกครั้งเพื่อตฤณ เพื่อคนที่ยอมรับในสิ่งที่เขาเป็นไม่ว่ามันจะดีหรือร้ายอย่างไร แล้วเดินเข้าไปหาในระยะที่มือเอื้อมถึง สีหน้าของตฤณในตอนนี้มันช่างดูตลกมากจนเขาเกือบจะหลุดหัวเราะออกมาแล้ว

“จ้าว...”

จ้าวจับมือข้างหนึ่งของตฤณขึ้นมากุมเอาไว้ ส่งยิ้มอ่อนโยนและหวานหยดไปให้ “จ้าวแค่ไม่อยากให้พี่ตฤณต้องมาจนปลักอยู่ที่นี่กับจ้าว จ้าวเป็นเด็กนิสัยไม่ดีที่ไม่มีค่าพอให้พี่ตฤณได้รักด้วยซ้ำ ขอบคุณนะครับที่ยังรักจ้าว”

ตฤณไม่รู้จะตอบคำขอบคุณนั้นยังไงดีเพราะในตอนนี้เขารู้สึกมากกว่านั้นไปไกลแล้ว มือที่จับสัมผัสอยู่แม้ว่ามันจะไม่อบอุ่นเท่ากับมือของมนุษย์ทั่วไปแต่มันกลับทำให้ดอกไม้เบ่งบานขึ้นในใจของเขาได้ เขาอยากจะดึงร่างเล็กเข้ามากอดเอาไว้เสียได้ด้วยซ้ำแต่กลัวว่าเมื่อกอดไปแล้วจะคว้าได้เพียงแค่อากาศ

“พี่ตฤณอยากกอดจ้าวก็กอดสิครับ”

ตฤณรีบดึงร่างเล็กเข้ามากอดเอาไว้แนบแน่นทันที ร่างเล็กๆ ที่เขาโหยหามาตลอดหลายวันที่ผ่านมา กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่หมุนวนอยู่รอบกายทำให้เขารู้สึกเหมือนได้เกิดใหม่

“พี่ตฤณกอดจ้าวแน่นเกินไปแล้วนะครับ เดี๋ยวจ้าวก็ให้กอดแค่อากาศซะเลยดีไหมครับ”

“อย่าทำแบบนั้นนะ”

“ถ้าไม่อยากให้ทำ พี่ตฤณไปตามพี่เมฆ พี่ลีเข้ามาข้างในดีกว่าไหมครับ ข้างนอกอากาศเย็นแล้วเดี๋ยวจะไม่สบายไปซะก่อน”

“ให้พี่ได้จูบจ้าวสักครั้งก่อนได้ไหมล่ะ”

จ้าวหัวเราะน้อยๆ ก่อนจะดันร่างของตฤณให้ห่างออกไปเล็กน้อย ท่าทางของเขาดูเขินอายเวลาที่ตฤณพูดคำว่าจูบเพราะในหัวสมองมันปรากฏเหตุการณ์หนึ่งขึ้นมาในทันที “พี่ตฤณ~”

“แค่จูบเอง จูบเท่านั้น”

ยิ่งตฤณพูดย้ำซ้ำๆ ในคำว่าจูบ ใบหน้าของจ้าวก็เริ่มร้อนผ่าว เขาหันซ้ายหันขวาเพื่อต้องการหลบซ่อนใบหน้าที่น่าอายนี้ให้พ้นจากสายตาอันเร่าร้อนแกมหยอกล้อของตฤณ แต่ยิ่งหันหนีเท่าไรก็ยิ่งรับรู้ถึงสายตาที่จ้องมองมายังเขาอย่างไม่วางตา

“ไปชวนพี่เมฆกับพี่ลีเข้ามาก่อนเลยครับ”

“พวกเขารอได้”

“แต่จ้าวรอไม่ได้นี่ครับ ถ้าพี่ตฤณไม่ไป จ้าวบอกให้พี่เจตเชิญเข้ามาเองก็ได้”

“ถ้าอย่างนั้นทำไมถึงให้พี่เดินไปชวนพี่เมฆกับลีเข้ามาล่ะครับ”

จ้าวทำเพียงแค่ยิ้มแหยๆ แล้วเดินเลี่ยงไปที่หน้าประตู ยืนอยู่ตรงนั้นอย่าใจจดใจจ่ออยู่เพียงไม่นานก็เห็นเจตรินเดินนำเมฆและลีตรงเข้ามา เขาจึงเดินไปหาแล้วส่งยิ้มทักทายตามมารยาท “จ้าวว่ามันดึกแล้ว พี่เมฆกับพี่ลีพักที่นี่สักคืนดีไหมครับ”

ใครจะอยากไปพัก! เมฆและลีต่างพร้อมใจกับปฏิเสธเป็นเสียงเดียว

“ถ้าอย่างนั้นพี่ตฤณคงต้องพักอยู่ที่นี่คนเดียวซะแล้วล่ะมั้ง”

สิ้นคำพูดของจ้าวดูเหมือนว่าเมฆจะอยากได้คำอธิบายเอาเสียมากๆ พอเขาขยับปากจะพูดอะไรบางอย่างออกไป จ้าวก็ชิงพูดขึ้นมาแทนเสียก่อน “ดูเหมือนพี่เมฆมีเรื่องอยากจะคุยกับพี่ตฤณนะครับ ถ้าอย่างนั้นฝากพี่เจตช่วยไปจัดการเรื่องห้องให้ที จ้าวเองก็มีเรื่องอยากจะพูดกับพี่ลีเหมือนกันครับ เราไปหาที่คุยกันสักหน่อยดีไหม”

ถึงลีจะไม่อยากไปแต่เขาปฏิเสธไม่ได้

“ขอบคุณนะครับ พี่ลี” จ้าวพูดขึ้นในขณะที่เดินนำไปยังมุมหนึ่งของห้องโถงและเขามั่นใจว่าตรงนี้จะไม่มีใครได้ยินเสียงพูดคุยกัน

“เรื่องอะไร”

“ขอบคุณที่พี่ลีทำตามสัญญาของเรา แต่จากนี้ไปพี่ลีจะหลุดเรื่องพี่เนตรกับพี่ยุ้ย หรือจะเป็นเรื่องที่พี่ลีพบเจอในคฤหาสน์หลังนี้ให้พี่ตฤณฟัง จ้าวก็จะไม่โกรธเลยสักนิด... จ้าวพูดจริงนะครับ”

ลีไม่รู้เลยว่าเด็กคนนี้มาไม้ไหนกันแน่ ดวงหน้าที่เรียบเฉยประดับด้วยรอยยิ้มน้อยๆ ดูคล้ายจะเป็นสิ่งที่เสแสร้งขึ้นมาแต่มันก็ไม่ใช่ เขาไม่แน่ใจอะไรในตัวเด็กคนนี้เลยแม้แต่อย่างเดียว

“ต้องการอะไรกันแน่”

จ้าวหัวเราะในลำคอเบาๆ ก่อนที่จะพูดขึ้นมา “ถ้าเป็นเมื่อก่อนนั้นพี่ลีไม่มีสิทธิ์ถามด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้จ้าวจะบอกให้ก็ได้ว่าต้องการอะไร จ้าวไม่ได้ต้องการอะไรเลยเพราะจ้าวได้มันมาแล้ว ความรักจากพี่ตฤณ ความเอ็นดูของพี่ตฤณ มันเลยไม่มีอะไรที่จ้าวอยากได้อีกแล้วนอกจากความสงบสุข จ้าวเองก็เบื่อที่จะฆ่าใครแล้วเหมือนกัน”

สิ่งที่จ้าวพูดออกมาทำให้ลีพูดอะไรไม่ออก ได้แต่อ้าปากค้างคล้ายว่ามีสิ่งที่อยากจะพูดแต่เรียบเรียงออกมาเป็นคำไม่ได้ ความร้ายกาจของจ้าวยังคงตามหลอกหลอนเขาอยู่แต่มาตอนนี้จ้าวกลับกลายเป็นเพียงแค่วิญญาณเด็กธรรมดาที่ไม่มีพิษสงอะไรเลย

“พี่ลีแปลกใจเหรอครับ”

“.....”

“ไม่ต้องแปลกใจไปหรอกครับ”

“แล้วพี่...”

“จะพักอยู่กับพี่ตฤณสักคืนก็ได้นะครับ จ้าวไม่เล่นแรงเหมือนคราวนั้นหรอกครับ วางใจได้ แต่ถ้าพี่ลียังอยากสนุกแบบตอนนั้นอีกก็บอกได้นะครับ จ้าวจะได้จัดหนักจัดเต็มให้แบบไม่เกรงใจเลย”

ดวงตาสีเพลิงฉายแววขี้เล่น มุมปากรูปกระจับกระตุกยิ้มเล็กน้อยก่อนที่เจ้าของร่างจะหายไปจากที่ตรงนั้นต่อหน้าต่อตาลีแล้วไปปรากฏอยู่ข้างกายตฤณ ทิ้งลีที่วิญญาณเกือบหลุดออกจากร่างเอาไว้เพียงลำพัง เขาไม่รู้จะทำยังไงต่อไปเกี่ยวกับเรื่องของเพื่อนดีแต่ดูท่าว่ามันจบได้สวยและกำลังไปได้ด้วยดี แม้ทั้งคู่จะอยู่ต่างภพต่างภูมิกันก็ตาม อีกทั้งเมฆก็ไม่ได้มีท่าทีต่อต้านอะไรให้เห็น นั่นคงหมายความได้ว่าไม่ว่าจะเป็นรุ่นพี่หรือเพื่อนต่างก็เริ่มยอมรับในตัวจ้าวหรือยอมปล่อยให้เรื่องนี้ดำเนินต่อไปได้แล้วแม้เพียงเล็กน้อย




***** END *****


​ขอบคุณทุกคนมากนะคะที่อ่านกันมาจนถึงตอนจบ ​ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นท์มากค่ะ
อาจมีบางช่วงบางตอนที่เขียนได้ไม่ต่อกันหรือเขียนภาษาไทยผิด ตกๆ หล่นๆ ก็ต้องขอโทษด้วยนะคะ




ออฟไลน์ naruxiah

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 913
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-2
จบแล้วดีมากๆเลยค่ะ​  เราลุ้นตลอดเลยตอนอ่านเรื่องนี้​ ลุ้นๆหลอนๆควบคู่​กัน​ไป :katai2-1: จบแบบใ่ห้เราคิดต่อเอาเองว่าตัวละครจะเป็นไงต่อไปขอบคุณ​มากๆนะคะ o13

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ pharm

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 240
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
คิดว่าจะมีฉากสวีทกว่านี้ :hao6:

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ให้ความรู้สึกว่าเหมือนจะไม่จบ แต่จบจริง ๆ รอเรื่องต่อไปเด้อ  :กอด1:

ออฟไลน์ naezapril

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 120
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
สนุกกก ชอบเรื่องแหวกแนวดี
รอคู่พี่ จะมีไหมน้าาาา
ขอบคุณครับ

ออฟไลน์ naezapril

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 120
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
สนุกกก ชอบเรื่องแหวกแนวดี
รอคู่พี่ จะมีไหมน้าาาา
ขอบคุณครับ

ออฟไลน์ abcee

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 234
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
จะมีตอนพิเศษหวานอีกนิดมั่ยนะ ขอบคุณนะครับ ลุ้นตอนจบแทบแย่ กลัวจบแบบเศร้าๆ จบแบบนี้ดีแล้วครับ มีความสุขกันดี

ออฟไลน์ aoihimeko

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3132
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +155/-9
 :pig4:

จะมีพิเศษไหมนะ?

ออฟไลน์ Janemera

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 152
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
เอ็นดูน้องงงงหน่อยยยนะะะ น้องก็แค่เด็กคนนึงเอ้งงงงงง :hao7: :hao7:

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ kawisara

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1583
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-7
รอคู่พี่เจต

สนุกมากตื่นเต้นตลอด

ออฟไลน์ lovenine

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 250
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
สนุก ตื่นเต้นๆ ขอบคุณ ผู้แต่ง จร้า

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด