TWINS บทที่ 43 เราสามคนตลอดไป ผมยังคงยืนอึกอักอยู่ที่เดิม ไม่กล้าพูดอะไรออกไป ผมไม่น่ารับสายเลยให้ตาย แบบนี้เคียวซังจะเป็นไรไหมนะ
" เอ่อ.. " แต่ผมที่อ้ำอึ้งๆ อยู่สักพัก ก็ถูกเคียวซังแย่งโทรศัพท์ออกไปจากมืออย่างรวดเร็ว
" ครับคุณพ่อ " เคียวซังที่กำลังพูดกับคุณพ่อนั้น สายตาก็ยังคงจ้องมองผมตลอดเวลา และก้มลงจุ๊ฟผม และทำมือให้ผมเดินไปหาธัชในห้อง หนอย ฟังด้วยไม่ได้เหรอ ชิ
ผมทำหน้างอนและเดินสะบัดบ๊อปออกมาจากตรงนั้น เดินไปหาธัช และพุ่งเข้าใส่ธัชที่กำลังเขย่งตัวเอื้อมมือพยายามสอยดาวบนเพดานอยู่
" ฮ่าๆ อะไรของพี่เนี่ย " ผมจี๋เอวน้องเป็นของแถมจนธัชหัวเราะดิ้นไปดิ้นมา ผมชอบเล่นกับน้องแบบนี้ ถึงจะโตแล้วแต่พวกเราก็ยังเด็กเสมอในสายตากันและกัน และคงเป็นสายตาเคียวซังด้วย
" งานเข้าแน่เลยอ่ะ " ผมกอดธัชที่ขำจนหอบหายใจเหนื่อย
" มีอะไรเหรอครับ "
" คุณพ่อเคียวซังโทรมา แล้วพี่เอ่อ ไปรับสายเข้าน่ะสิ "
" ดีสิครับ ผมอยากไปไหว้คุณพ่อเคียวซัง " ธัชพูดอย่างตื่นเต้น
ผมบีบจมูกน้องชายผู้ซึ่งมองโลกในแง่ดีเกินไป
" อาจโดนดุก็ได้ " ผมทำหน้าหงอย
" ถ้าเคียวซังอยู่ด้วยผมก็ไม่กลัวครับ " ธัชพูดพลางยิ้มแป้น
" นั่นสินะ " ผมยิ้มให้น้อง และจุ๊ฟปากเบาๆ อย่างหมั่นเขี้ยว
และวันรุ่งขึ้นนั้นก็เป็นไปอย่างที่คาด หลังเลิกเรียนเคียวซังพาผมและน้องกลับไปที่บ้านใหญ่ ที่ซึ่งคุณพ่อของเคียวซังนั้นอาศัยอยู่ แต่จะว่าไป แล้วคุณแม่ล่ะ
" แล้วคุณแม่ของเคียวซังละครับ " ผมถามออกไปด้วยความสงสัย เคียวซังยิ้มเศร้าๆ ขณะที่กำลังขับรถอยู่
" ท่านเสียหลังจากคานะจากไป " ผมคิดในใจว่าผมไม่ควรถามออกไปเลย
" ผมเสียใจด้วยนะครับ " ผมและน้องพูดพร้อมกัน
" ถ้าเสียใจจริงๆ ก็ห้ามทิ้งฉันนะ " เคียวซังพูดและส่งยิ้มให้ผมกับน้อง
" ไม่มีวันหรอกครับ " ผมประสานเสียงกับน้องอีกครั้ง และส่งยิ้มให้กัน
ไม่นานพวกเราก็มาถึงบ้านหลังใหญ่ที่ตกแต่งแบบญี่ปุ่นโบราณ และผมชอบมาก มันสวยจริงๆ ผมชอบระเบียงยาวๆ ที่เหมือนทางเดิน และสวนทรายที่จัดไว้อย่างปราณีตสวยงาม
ชายชราที่เหมือนเป็นผู้ดูแล มองผมและน้องแปลกๆ และทำมือเชิญให้เราเข้าไป ผมมองหน้าน้องและจับมือน้องไหว พลางเดินตามเคียวซังที่เดินนำหน้าเราไป วันนี้เคียวซังใส่สูทสีดำสวมทับ ดูเป็นทางการและหล่อเหลาสุดๆ เลยทีเดียว ส่วนผมและน้องแค่ใส่ชุดนักศึกษาเท่านั้น ไม่ได้ใส่ช็อปมาครับเพราะผมว่ามันดูไม่ค่อยเรียบร้อย
" สวัสดีครับคุณพ่อ " ผมมองเคียวซังที่ก้มหัวให้ผู้ชายที่กำลังยืนอยู่ที่สระเลี้ยงปลาคาร์ฟตัวโตๆ สวยๆ กำลังแหวกว่ายแย่งอาหารที่ถูกโยนให้ คุณพ่อของเคียวซังนั้นดูหล่อเหลาและดูเหมือนพวกมาเฟีย คาบไปป์ไว้ที่ปากและพ่นควันจนผมแสบตาไปหมด
" เป็นไง ได้ข่าวว่าเลี้ยงเด็ก "
ผมกระชับมือน้องแน่นขึ้นเพราะคุณพ่อเคียวซัง กำลังหันมามองผมกับน้องและพ่นควันใส่ ช่างเหมือนกันไม่มีผิดพ่อกับลูกเนี่ย และทุกคำพูดของคุณพ่อเคียวซังนั้น พูดด้วยภาษาญี่ปุ่นครับ ซึ่งผมกับน้องเข้าใจทั้งหมด
" เอ่อ สวัสดีครับ ผมธิชา น้องของผมธัชชา ผมเป็น.. "
" ทั้งสองคนเป็นแฟนของผมครับ " ผมที่ยังคงพูดไม่จบก็ถูกเคียวซังแย่งพูดทันที ผมตาโตมองเคียวซังที่พูดออกไปแบบนั้น ผมคิดว่าเคียวซังจะบอกคุณพ่อว่าพวกเราเป็นลูกบุญธรรมซะอีก
ผมกลืนน้ำลายพลางก้มมองพื้น ไม่กล้าสู้หน้าคุณพ่อของเคียวซังที่บัดนี้หักไปป์ที่สูบอยู่แตกคามือ ก็แหง๋สิ ลูกชายคนเดียวแต่กลับพาผู้ชายเข้าบ้านและที่เด็ดกว่านั้นคือ ผู้ชายสองคน
" แกว่าไงนะ ห๊า " ผมกับน้องสะดุ้งสุดตัว และเริ่มกุมมือกันไว้แน่นกว่าเดิมด้วยความหวาดหวั่น แต่เคียวซังนั้นกลับแค่ก้มหัวค้างไว้เหมือนเดิมด้วยสีหน้าเรียบเฉย
" แก ไปเอานั่นมา " คุณพ่อของเคียวซังพูดเสียงดังกับคนรับใช้ ทำให้ผมกับน้องเริ่มตัวสั่นและเดินไปเกาะแขนทั้งสองข้างของเคียวซัง เพราะกลัวว่าเคียวซังจะถูกตีหรือถูกทำโทษ แต่เคียวซังแค่จับมือพวกเราเอาไว้และยิ้มน้อยๆ อย่างอ่อนโยน
ไม่นานคนรับใช้ก็เดินมาอย่างรีบร้อนพลางยื่นโทรศัพท์มือถือให้คุณพ่อของเคียวซัง ผมมองเหตุการข้างหน้าแบบงงๆ นี่คุณพ่อจะโทรให้ใครมาจัดการพวกเรางั้นเหรอ
" เอ้อ ลูกชายพาสะใภ้มาบ้าน ฉลองๆ ฮ่าๆๆๆ " ผมถึงกับแคะหูพลางเงี่ยหูฟังอีกครั้งด้วยความฉงน นี่ผมฟังผิดไปใช่ไหม
" เอ้อ สองคนเลยนะ เจ๋งใช่ไหม ร้ายกว่าพ่อมันเยอะ " เคียวซังหันมายิ้มขำมองผมกับน้อง หนอยยย นี่รู้อยู่แล้วใช่ไหม ทำไมไม่บอกว่าคุณพ่อเป็นคนแบบนี้ตั้งแต่ทีแรก นี่กลัวจนฉี่จะราดอยู่แล้ว ผมกัดปากและฟาดที่หลังเคียวซังอย่างหมั่นไส้ ไอ้คนขี้แกล้ง
หลังจากนั้นคุณพ่อเคียวซังก็เข้ามากอดผมและน้องพลางถามนั่นถามนี่ชวนคุยอย่างออกรส พอผมเล่าเรื่องอดีตให้ฟัง คุณพ่อของเคียวซังถึงกับร้องไห้ร้องห่มสงสารพวกผมใจจะขาด และยังโทรหาลุงของเคียวซังและต่อว่าเรื่องธัชอีกด้วย ซึ่งผมเลยต้องรีบแย่งโทรศัพท์เพราะกลัวว่าเดี๋ยวจะทะเลาะกันตายซะก่อน แต่คุณพ่อก็ยังหัวเราะขำและบอกว่าผมนั้นเป็นเด็กเข้มแข็งมาก อยากฝากตัวเข้าแก๊งของคุณลุง ซึ่งผมส่ายหัวจนคอแทบหัก ผมไม่อยากเป็นยากุซ่าคร๊าบ
งานฉลองยังคงดำเนินต่อไป ในห้องโถงที่เอาไว้ใช้รับรองแขกของตระกูล มีผู้คนมากมายที่น่าจะเป็นเพื่อนของคุณพ่อมาร่วมยินดีและดื่มกินกันอย่างสนุกสนาน ผมที่กินมากจนรู้สึกปวดฉี่จึงขอตัวออกมา และบอกไม่ให้น้องและเคียวซังออกมาเป็นเพื่อน เพราะอยากให้อยู่กับแขกที่มามากกว่า
แต่ผมที่เดินออกมาหาห้องน้ำก็ต้องมึนมาก เพราะที่นี่กว้างใหญ่เหลือเกิน กว่าจะหาห้องน้ำเจอเรียกว่าเหงื่อตกเลยทีเดียว และพอผมออกมาจากห้องน้ำ ผมก็ต้องชะงักเกร็งอีกครั้ง เพราะว่าคุณพ่อของเคียวซังก็เดินสวนมาพอดี ผมรีบก้มตัวต่ำและทำท่าจะรีบเดินไปทันที
" เอ่อ ไอ้หนูเอ้ย " ผมรีบเบรกและหันกลับมามองคุณพ่อเคียวซังและก้มหัวอย่างนอบน้อม
" สนุกไหมเราน่ะ มีอะไรถามได้เลยนะ ฮ่าๆ "
ผมมองคุณพ่อเคียวซังที่กำลังหัวเราะเสียงดัง และผมก็นึกขึ้นได้ว่า ผมมีเรื่องที่สงสัยมาตลอด ผมอยากจะลองถามดู
" ผมขอถามข้อนึงครับ " ผมพูดและก้มหัวลง
" ว่ามาเลย พ่อบอกได้ทุกเรื่อง " คุณพ่อเคียวซังลูบหัวผมอย่างใจดี
" ทำไมถึงไม่อยากให้เคียวซังเป็นหมอเหรอครับ " คุณพ่อเคียวซังหุบยิ้มลงและเปลี่ยนเป็นยิ้มเศร้าๆ แทน
" เรารู้หรือเปล่าว่าเคียวเฮเรียนหมอเพราะอะไร "
" ผมไม่ค่อยแน่ใจครับ " ผมพูดเสียงเบาๆ แบบไม่มั่นใจ
" จริงๆ แล้วพ่อก็แค่ไม่อยากให้เคียวเฮยึดติดกับอดีตเก่าๆ เท่านั้น เด็กคนนั้นโทษตัวเองอย่างหนักที่ไม่สามารถทำอะไรได้ในอดีต และคิดว่ามันคือหน้าที่ความรับผิดชอบ แบกรับอะไรที่ไม่ใช่ความผิดของตัวเองเลย พ่ออยากให้เขาปล่อยวาง อยากให้เขายิ้มได้จริงๆ สักที ช่วยเคียวเฮด้วยนะ เคียวเฮเป็นคนดี ช่วยดูแลเขาด้วย "
แบบนี้เองสินะ เคียวซังก็ต้องทนทุกข์ไม่ต่างจากผมกับน้องเช่นกัน แต่ต่อไปนี้มันจะไม่มีอีกแล้ว ผมจะทำให้คนที่ผมรักทั้งสองคน ยิ้มแย้มอยู่ข้างๆ ผม ตลอดไป
" ขอบคุณครับ พวกเราสัญญาว่าจะอยู่ข้างๆ เคียวซังครับ " ผมมองน้องที่พูดและเดินเข้ามาจับมือผมไว้ พวกเรายิ้มกว้างให้คุณพ่อของเคียวซัง
" ฮ่าๆๆ ดีมาก " ผมและน้องมองดูคุณพ่อของเคียวซังที่หัวเราะอร่อยเหลือเกิน เป็นคนอารมณ์ดีจังเลยนะ
" งั้นผมกับน้องขอตัวก่อนนะครับ " ถึงจะดูใจดีแค่ไหน แต่ผมกับน้องก็ไม่ค่อยชินกับพวกผู้ใหญ่นัก ผมจับมือน้องและตั้งท่าจะเดินหนีไปอีกครั้ง ฟู่วว คงไม่มีอะไรแล้วมั้ง
" เดี๋ยวก่อน " ผมกับบ้องสะดุ้งน้อยๆ และหันกลับไปหาคุณพ่อของเคียวซังที่เอ่อ อะไรฟะนั่น
" เด็กๆ ลองใส่นี่ดูไหม เคียวเฮน่าจะชอบนะ ฮ่าๆๆๆ " คุณพ่อเคียวซังชูถุงน่องลายตาข่ายขึ้นมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ความน่าเคารพของตาแก่นี่เริ่มหายไป เคียวซังครับ ผมต่อยพ่อพี่ได้ไหม ฮึ่มมม
ตกค่ำ พวกเราตัดสินใจที่จะพักค้างคืนที่นี่ เพราะคุณพ่อของเคียวซังนั้นชอบพวกเราเหลือเกิน พอจะบอกลาเพื่อกลับคอนโดก็ทำท่าน้อยใจใหญ่ ตาแก่มารยาเอ้ย
ผมกับน้องลงแช่ออนเซ็นที่ถูกจัดแต่งแบบธรรมชาติ นี่มันบ้านหรือโรงแรม 5 ดาวฟะเนี่ย ผมมองเคียวซังที่นุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเล็กไว้ที่เอว และเดินตามเข้ามา
" อุ่นกำลังดีใช่ไหม " เคียวซังถอดผ้าและเดินลงมานั่งข้างๆ ผมกับน้อง ทั้งๆ ที่เห็นกันจนชิน ผมก็ยังไม่เลิกเขินสักทีสิน่า
" หน้าแดงอีกแล้ว น่ารักจัง " ธัชรวบตัวผมเข้ามากอดไว้และหอมแก้มผมเสียงดัง
" เดี๋ยวเถอะ เดี๋ยวมีใครเห็นจะทำยังไง "
" ไม่เป็นไรหรอก จะทำมากกว่านี้ยังได้เลย " เคียวซังพูดพลางทำหน้านิ่งๆ แต่มือกลับกำลังกอดเอวผมในใต้น้ำ โอ้ย หยุดหื่นกันสักวันได้ไหมเนี่ย
" ไม่เอาหรอกครับ กลางแจ้งแบบนี้ถ้าเสียงหลุดไปก็แย่สิ " ผมงึมงัมเบาๆ พลางขยับตัวหนีทั้งสองคนนี้ไปด้วย ทั้งสองคนหัวเราะเบาๆ และไม่ได้ตามผมมา ค่อยยังชั่วหน่อย
ผมมองคนสองคนที่กำลังคุยกันและหัวเราะเบาๆ อย่างมีความสุข คืนนี้พระจันทร์สวยมาก มันสะท้อนกับผืนน้ำและสั่นไหวเบาๆ ตามคลื่น
" เคียวซังผมอยากสักบ้างจัง " ผมมองธัชที่กำลังลูบแผ่นหลังเคียวซังตรงที่มีรอยสักขนาดใหญ่ และมันเท่มากครับ
" ไม่ได้หรอก เพราะว่าถ้าธัชสักธิชาก็ต้องสักด้วย ฉันไม่อยากให้ตัวพวกเธอมีรอย " เคียวซังพูดพลางลูบหัวธัชน้อยๆ
ผมมองแผ่นหลังกว้างที่มีรอยสักนั้นด้วยความรู้สึกแปลกๆ บ้าเอ้ย อย่านะเฟ้ย
แต่สุดท้าย ผมเลื่อนตัวไปช้าๆ เข้าไปหาคนทั้งสองด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ
" คือว่า..ทำกันไหม " ผมพูดเบาๆ และดึงคอทั้งสองคนเข้ามาจูบแลกลิ้นสลับกันไป
สุดท้ายแล้ว กว่าพวกเราจะได้นอน ก็ตัวเปื่อยและเกือบเช้าพอดี
ในตอนเช้าที่แสนเหนื่อยล้า ผมลืมตาตื่นขึ้นมาและพบว่ามีแค่ธัชที่นอนขดตัวกอดผมอยู่ ผมยกแขนธัชออกเบาๆ และฟัดแก้มน้องอีกสักพักด้วยความหมั่นเขี้ยว พลางลุกขึ้นบิดขี้เกียจ และเดินไปตามระเบียงเพื่อเข้าห้องน้ำ
ผมเดินไปตามระเบียงที่ทอดยาวพลางมองเหล่าพ่อบ้านแม่บ้านในชุดแบบญี่ปุ่นที่กำลังจัดสวนและทำงานบ้าน ที่นี่อากาศดีจริงๆ เพราะมีต้นไม้ปลูกตกแต่งอยู่ทั่ว ผมเดินชมธรรมชาติและรู้สึกว่าชุดยูกาตะบนตัวผมนั้นมันหลุดลุ่ยเล็กน้อย ผมหยุดเดินและจัดการชุดของตัวเอง ผมไม่ได้ใส่อะไรแบบนี้มานานแล้วทำเอาเสียเวลาไปมากพอดูเลยทีเดียว
แต่ผมที่กำลังยุงกับชุดอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงแว่วๆ ออกมาจากห้องๆ หนึ่งใกล้ๆ ซึ่งผมจำได้ดีว่าเป็นเสียงใคร เคียวซังนั้นกำลังคุยกับคุณพ่อ ด้วยน้ำเสียงที่เคร่งเครียด
" ผมกลัว แต่ก็คงต้องทำ เพื่อสองคนนั้น " เสียงเคียวซังฟังดูเป็นกังวล และอ่อนแรง
" มันเป็นสิ่งที่ดีแล้วเคียวเฮ ลูกทำถูกต้องแล้ว "
" พ่อจะเตรียมเครื่องบินให้ ไปญี่ปุ่นก็ระวังตัวด้วย แวะไปหาคุณลุงด้วยนะ "
ผมขมวดคิ้วแอบฟัง และมองเห็นเคียวซังที่ทำท่าจะลุกขึ้น ผมรีบวิ่งเบาๆ กลับมาที่ห้องด้วยหัวใจที่สั่นไหว ญี่ปุ่นเหรอ ทำไมกัน ผมไม่อยากไป ผมนั่งลงที่ฟูกนอนและจับมือธัชไว้ ทำให้ธัชลืมตาตื่นขึ้นด้วยใบหน้างัวเงีย
" พี่มีอะไรหรือเปล่าครับ " ธัชคงสังเกตได้ว่าผมเงียบไปแปลกๆ จึงถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง
" ธัช ธัชอยากกลับไปที่ญี่ปุ่นหรือเปล่า " ธัชตาโตและขมวดคิ้วด้วยแววตาสั่นระริก เหมือนกันเลยนะ พวกเราน่ะ
" พี่ครับ ทำไมเหรอ ทำไมถึงถามละครับ " ธัชดูไม่สบายใจและจับมือผมไว้
ผมไม่คิดหรอกว่าเคียวซังจะทิ้งพวกเรา เพราะผมเชื่อมั่นในเคียวซังมากกว่าสิ่งไหน แต่ที่ผมไม่อยากไป ก็เพราะว่าที่นั่น มันเป็นสถานที่แห่งความปวดร้าวของพวกเรา เป็นที่ที่ทำให้ผมกับน้อง รู้สึกเหมือนตกนรกทั้งเป็น มันเป็นเมืองแห่งฝันร้ายสำหรับพวกเรา
" ไปญี่ปุ่นกับฉันนะ " เคียวซังพูดขึ้นตอนมื้ออาหารเช้าของวันนั้น ซึ่งผมและน้องรู้อยู่แล้ว
" ผมไม่อยากไป " ผมมองธัชที่ปฏิเสธ และผมก็คิดว่านี่น่ะปกติแล้วล่ะ
" มีเหตุผลอะไรมากกว่านี้หรือเปล่าครับ " ผมถามเคียวซังด้วยสีหน้าหมองเศร้า
" พวกเธอไม่เชื่อใจฉันเหรอ " ผมและน้องส่ายหน้าช้าๆ
" เคยสัญญากันแล้วไม่ใช่เหรอ ฉันไม่มีวันทอดทิ้งพวกเธอ หรอกนะ " ผมเข้าใจครับ แต่ว่ามันก็ยากอยู่ดี
สุดท้ายผมและน้องก็ตัดสินใจที่จะไป จะต้องกลัวอะไรอีก ในเมื่อคนที่พาพวกเราไปก็คือคนที่พวกเรารักที่สุด ผมจับมือธัชไว้แน่นตลอดการเดินทาง เคียวซังมองดูและพูดคุยกับธัชตลอดเวลา เพราะว่าธัชนั้นเริ่มดูแปลกๆ ผมสงสารน้อง ธัชนั่นมีอาการเกร็งและตื่นกลัว ผมเข้าใจน้องดีว่าน้องรู้สึกอย่างไร
ผมกับน้องถูกจับแต่งกายด้วยชุดสูทสีดำที่ดูเป็นทางการ และเคียวซังก็ยังคงไม่ยอมบอกผม ว่ากำลังจะพาพวกเราไปที่ไหน เพื่ออะไร จนในที่สุด เครื่องบินส่วนตัวก็ร่อนลงจอดในลานของสนามบินที่กว้างใหญ่ ผมมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยความหม่นหมอง ตอนนี้อากาศของที่นี่คงหนาวจัด เพราะเป็นช่วงปลายปี
ผมกระชับมือธัชแน่นขึ้นและมืออีกข้างหนึ่งของธัชก็ถูกเคียวซังจับไว้และโอบไหล่ธัชตลอดเวลา
" ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ขอบอกอีกครั้งว่าฉันรักพวกเธอ ฉันดีใจที่ได้เจอพวกเธอ " เคียวซังพูดและก้มลงจูบเบาๆ ที่หน้าผากของเราสองคนและยิ้มอย่างมีความสุข พวกเรายิ้มตามน้อยๆ และเดินตามเคียวซังที่เดินนำหน้าเราไป
ผมและน้องเดินลงตามขั้นบันได และมองดูเคียวซังที่กำลังจับมือกับชายและหญิงคู่หนึ่งที่แต่งตัวภูมิฐานและผู้หญิงคนนั้นกำลังมองมาทางผมกับน้องและร้องไห้อย่างหนัก
" ธิชา ธัชชา " ผมกับน้องตกใจมาก เพราะว่าผู้ชายและผู้หญิงคู่นั้นอยู่ดีๆ ก็วิ่งเข้ามาหาพวกเราและกอดพวกเราเอาไว้แน่น พลางร้องไห้เหมือนกับได้พบเจอคนที่พวกเขาคิดถึงสุดหัวใจ
ผมมองดูคนทั้งสองที่เรียกชื่อผมด้วยคิ้วที่ขมวดมุ่นอย่างไม่เข้าใจ เคียวซังจะยกพวกผมให้เขาเหรอ แต่เคียวซังเป็นผู้อุปการะผมนี่นา ผมน้ำตาไหลมองเคียวซังที่ยืนมองผมกับน้องอยู่ห่างๆ และเดินเข้ามาหาพวกเราช้าๆ
" ทักทายคุณพ่อคุณแม่สิ พวกท่านมารอตั้งแต่เมื่อคืนเลยนะ " ผมมองคนสองคนนี้อีกครั้งด้วยสีหน้าตกใจ นี่เป็นความจริงงั้นเหรอ พวกท่านคือผู้ให้กำเนิดพวกเรา ผมไม่ได้ฝั้นไปใช่ไหม
จากนั้น ผมก็ได้รู้ว่าทั้งสองคนคือพ่อแม่ของผมจริงๆ ท่านเล่าให้ฟังว่าตอนพวกเราเกิด พวกเรานั้นได้ถูกลักพาตัวไปโดยแพทย์คนหนึ่ง ซึ่งพวกท่านก็ออกตามหาพวกผมอย่างไม่ลดละตลอดเวลายาวนาน จนในที่สุดก็ตามจับแพทย์คนนั้นได้ แต่แพทย์คนนั้นก็โกหกว่าพวกเรานั้นได้ถูกฆ่าตายไปแล้ว และมีหลักฐานเป็นโครงกระดูกเด็กแฝดคู่หนึ่งซึ่งทำกันเป็นกระบวนการและมีความชำนาญ
พวกท่านที่เสียใจมากก็ได้ย้ายไปอยู่ที่เมืองอื่น เพื่อลืมเรื่องราวของพวกเรา แต่แล้วเมื่อเร็วๆ นี้ก็มีผู้สืบหา และตามตัวพวกท่านจนเจอ พวกท่านจึงรีบมาหาพวกเราที่นี่ ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่ใครอื่น เคียวซัง และคุณลุงที่มีอิทธิพลของที่นี่นั่นเอง
ผมนั้นจะว่าดีใจก็ดีใจ แต่ว่าพวกเราที่ไม่เคยถูกเลี้ยงดูโดยทั้งสองคนนั้น เลยจำเป็นต้องขอเวลาที่พวกเราจะต้องปรับตัว คุณพ่อของผมนั้นคือท่านฑูตชาวไทยที่ประจำอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่น และคุณแม่ชาวญี่ปุ่นที่มีใบหน้างดงาม พวกเรานั้นทั้งผิวพรรณและหน้าตาออกไปทางคุณแม่กันหมด และคุณพ่อก็ยังดูไม่แก่มากและมีใบหน้าหล่อเหลาเช่นกัน
ผมมองดูเคียวซังที่ส่งยิ้มเศร้าๆ ให้พวกเรา นี่ใช่ไหมครับที่เคียวซังบอกว่ากลัว คุณกลัวพวกเราจะต้องห่างกันใช่ไหม
" คุณพ่อคุณแม่ครับ พวกเรารักเคียวซังครับ " ผมพูดออกไปด้วยความหนักแน่น ผมอาจจะทำให้พวกท่านผิดหวัง แต่ว่าพวกเราน่ะ ไม่อาจแยกจากกันได้ ขอบคุณที่ทำให้พวกผมเกิดมา ทำให้พวกเราได้พบกับเคียวซัง
" ใช้ชีวิตในแบบของลูกเถอะ แค่ได้รู้ว่าพวกลูกยังมีชีวิตอยู่ พวกเราก็ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว " ผมกราบลาคุณพ่อและคุณแม่ และบอกท่านว่าพวกผมมีชีวิตตอนนี้เป็นอย่างไร พวกเรามีความสุขมากแค่ไหน และสัญญากับพวกท่านว่าพวกเราจะมาหาพวกท่านบ่อยๆ และพวกท่านเองก็บอกว่าจะไปเยี่ยมพวกเราที่ประเทศไทยบ่อยๆ ด้วยเช่นกัน
และในช่วงบ่ายวันนั้น ผมก็ได้มายืนอยู่ที่โบสถ์เล็กๆ เป็นที่ที่ดีที่สุดที่ผมและน้องได้ใช้ชีวิตอยู่ในประเทศญี่ปุ่นนี้ และเป็นที่ที่ผมและน้องต้องแยกจากกันเป็นครั้งแรก มันจึงเป็นสถานที่แห่งความทรงจำที่เป็นเหมือนศูนย์รวมความรู้สึกของพวกเรา ที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ ผมก็อยากจะกลับมาที่นี่อีกสักครั้ง
แต่ว่าทั้งสองคนหายไปไหนกันนะ เพราะว่าตอนเดินทางมาที่นี่ พวกเรานั้นได้นั่งรถยนต์ส่วนตัวมาซึ่งเคียวซังนั้นเป็นผู้ขับ และผมก็หลับมาตลอดทางด้วยความเหนื่อยอ่อน และตื่นขึ้นมา ก็พบว่าผมนั้นถูกทิ้งไว้บนรถโดยลำพัง หนอย อย่าให้เจอนะน่าดู
" ธิช " ผมหันมองตามเสียงเรียกและก็ต้องยิ้มหน้าบาน เพราะว่าซิสเตอร์ที่คอยดูแลผมนั้น กำลังเดินมาอ้าแขนออกกว้างสวมกอดผมเอาไว้แน่น พลางร้องไห้ออกมาอย่างหนัก ผมกอดซิสเตอร์ไว้และร้องไห้ออกมาเช่นกัน
" ขอบคุณที่ดูแลผมกับน้องเสมอมานะครับ " ผมพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้มถึงแม้ว่าน้ำตาจะไหลออกมา
" ดีใจจริงๆ ที่เธอทั้งสองคนได้มีชีวิตที่ดี " ซิสเตอร์พูดพลางซับน้ำตาไปด้วย
" ไปกันเถอะ พวกเขากำลังรออยู่ " ผมขมวดคิ้วน้อยๆ แต่ก็เดินไปกับซิสเตอร์ที่กำลังควงแขนผมเอาไว้ ผมมองไปตามทางเดิน มองไปตามต้นไม้ต้นใหญ่ ทุ่งหญ้า ทุกๆ อย่างนั้นทำให้ผมรู้สึกสงบชื่นใจ ถึงจะผ่านมานานหลายปีแล้ว แต่ที่นี่ก็ไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก
จนในที่สุดผมและซิสเตอร์ก็มายืนอยู่ที่หน้าโบสถ์เล็กๆ ที่พวกเราเอาไว้ใช้ทำพิธีสำคัญๆ เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ และทำให้ผมยิ้มทุกครั้งที่ได้เข้ามา ซิสเตอร์ได้เปิดประตูบานใหญ่ออก และผละออกจากแขนของผม ไปยืนอยู่ที่ข้างๆ ประตูนั่น พลางส่งยิ้มให้ผมและปาดน้ำตาที่ไหลออกมา
ผมมองไปข้างหน้า และก็ต้องฉีกยิ้มกว้างสุดๆ เพราะว่าเบื้องหน้าของผมนั้น คือชายสองคนที่ผมรักที่สุดในชีวิต กำลังยืนอยู่ด้วยใบหน้าที่ยิ้มกว้างเช่นกัน ผมขยับชุดสูทและเดินเข้าไปช้าๆ เข้าไปหาคนทั้งสองที่กำลังมองผมด้วยแววตาแห่งความรัก บนเสื้อสูทของทั้งสองคนนั้นมีดอกไม้ช่อเล็กๆ ติดไว้ ซึ่งเป็นฝีมือของพวกเด็กๆ ที่นั่งกันอยู่ที่เก้าอี้ เป็นเหมือนพยานรักของพวกเรา
เด็กตัวน้อยๆ คนหนึ่ง เดินเข้ามาจับมือผม และพยายามจะติดดอกไม้ให้ผมเช่นกัน ผมจึงนั่่งย่อตัวลงและให้หนูน้อยคนนั้นติดดอกไม้ให้ผมด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน เมื่อติดดอกไม้เรียบร้อยแล้ว ผมจึงเดินเข้าไปหาสองคนนั่นอีกครั้ง ในมือของทั้งสองมีแหวนสองวงวางอยู่ และมีเด็กชายตัวเล็กๆ วิ่งถือกล่องใส่แหวนที่มีแหวนสองวงอยู่บนนั้นมาหาผมเช่นกัน
" ขอบคุณนะครับ ทั้งสองคน " ผมพูดด้วยรอยยิ้มที่ผมไม่สามารถหุบมันลงได้เลย มันเป็นวันที่วิเศษที่สุดในชีวิตของผม ชีวิตของพวกเรา
" ขอบคุณนะครับพี่ เคียวซัง " ธัชพูดขึ้นมาเช่นกันและมองผมกับเคียวซังด้วยรอยยิ้มที่แสนสดใส
" ขอบคุณพวกเธอเช่นกันนะ " เคียวซังพูดและยิ้มอย่างอ่อนโยน พลางสวมแหวนให้ผมและน้อง ซึ่งธัชนั้นก็ทำตามเช่นกัน สวมให้ผมและเคียวซัง และสุดท้ายก็คือผม ที่สวมให้ธัช และเคียวซัง เท่ากับว่าพวกเรานั้นมีแหวนคนละสองวงนั่นเอง
" ต่อไปนี้ก็ฝากตัวด้วยนะครับ " พวกเราสามคนพูดและก้มลงโค้งคำนับพร้อมกันจนหัวโขกกันเองเสียงดัง อะไรจะใจตรงกันขนาดนี้ ฮ่าๆ
พวกเราสามคนกอดกันพลางหัวเราะด้วยกันอย่างมีความสุข ท่ามกลางเสียงปรบมือของเด็กๆ ที่วิ่งโปรยดอกไม้กันอย่างร่าเริง
ต่อจากนี้ มันก็จะมีเพียงแค่เรา รักกัน สามคนตลอดไป
THE END
**********************************************************************************
*** ขอบคุณทุกคนที่ติดตามอ่านมาจนถึงบทสุดท้ายนะคะ ทุกคอมเม้นนั้นมีความหมายและเป็นกำลังใจให้ไรท์ค่ะ อาจมีจุดบกพร่องหรือไม่ได้ดั่งใจบ้างต้องขออภัยผู้อ่านทุกท่านนะคะ ในตัวรูปเล่มนั้นมีแน่นอนค่ะ คอยติดตามได้ที่หน้าแฟนเพจ Gloomy Sunday Tk. นะคะ ขอบพระคุณมากๆ เลยจ้า ***