รวินท์กลับมานั่งที่โต๊ะเช่นเดิม เขาจ้องมองแก้วใบเดิมของตนที่วางคาอยู่บนโต๊ะ ในนั้นยังมีน้ำเหลืออยู่อีกเกือบค่อนแก้ว หากคำพูดของหญิงสาวทำให้ต้องระแวงคนที่นั่งอยู่ข้างกัน เขาจึงหันไปมองหาพนักงานเสิร์ฟเพื่อขอแก้วใบใหม่
“วิน ดื่มไวน์กัน” เตชิตหันมาชวน พร้อมกับกวักมือเรียกพนักงานเสิร์ฟ
“น้ำเปล่าพอว่ะ พรุ่งนี้ยังต้องทำงานอีกวัน”
“เออ นั่นสินะ งั้นกูก็ไม่ดื่มดีกว่า” เตชิตยิ้มกว้าง แล้วหันไปขอน้ำเปล่าจากพนักงานเสิร์ฟแทน
เวลาผ่านไปครึ่งชั่วโมงกว่า ประธานในพิธีจึงเดินขึ้นเวทีไปกล่าวอะไรเล็กน้อย ต่อจากนั้นการแสดงต่างๆ ก็เริ่มขึ้น
เมื่ออิ่มท้องแล้ว พวกผู้ใหญ่ในงานก็พาลูกหลานเข้ามาที่โต๊ะแพทย์ทั้งหลายเพื่อแนะนำให้รู้จักกัน คราวนี้รวินท์โดนรุมจนแทบขยับตัวไม่ได้เลยทีเดียว แถมยังมีคนมาชวนดื่มด้วยมากมาย เมื่อโดนคะยั้นคะยอมากเข้าก็จำใจต้องดื่มบ้าง พอเขาหันไปทางไอ้เต้ อีกฝ่ายก็ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน
จู่ๆ ก็รู้สึกมึนศีรษะแบบแปลกๆ เหมือนทั้งห้องหมุนไปรอบๆ ตัวเขาอย่างรวดเร็ว รวินท์เซไปเล็กน้อย “ขอโทษนะครับ”
เตชิตหันมาสบสายตากับเพื่อนรัก เขาก้าวฉับๆ เข้ามาประคองอีกฝ่าย “ดูท่าหมอวินจะไม่ค่อยสบาย”
“ไม่เป็นไร อุ๊บ!” พออ้าปากจะพูดก็รู้สึกคล้ายจะอาเจียน เขารีบยกมือขึ้นปิดปาก
“มึนหัวใช่มั้ย สงสัยมึงจะเมาแล้ว” เตชิตรีบหันไปบอกกับทุกคนในโต๊ะ “ผมจะพาวินไปพักก่อน มันอาการไม่ดีเลย”
“ไม่...” รวินท์พยายามปฏิเสธ แต่แข้งขาพาลอ่อนแรง ทำให้เขาเซเข้าไปหาเพื่อนรัก
“อย่าฝืนเลยมึง” เตชิตพยุงอีกฝ่ายออกจากร้านอาหารซึ่งเป็นสถานที่จัดงานเลี้ยง พาเดินไปตามทางเชื่อม ตรงไปยังลิฟต์โดยสารของของโรงแรม
แต่เพราะถ้าจะเดินไปที่จอดรถไม่ต้องขึ้นลิฟต์ รวินท์จึงหันไปถามอย่างระแวง “ไอ้เต้ มึงจะพากูไปไหน”
“มึงไม่สบายกูก็จะพาไปนอนไง”
“กูจะกลับหอ” เขาผลักอีกฝ่ายออกด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี ทว่าตนเองก็ทรุดตัวลงนั่งบนพื้นข้างหน้าลิฟต์โดยสารนั่นล่ะ ขาทั้งสองข้างไร้เรี่ยวแรง ในศีรษะมึนงงไปหมด
“อย่าดื้อสิวะ” เตชิตประคองเพื่อนรักให้ยืนขึ้น “ถ้ามึงหลับอยู่ตรงนี้ กูจะต้องอุ้มมึงขึ้นไปข้างบนนะ มึงเลือกเอา จะเดินไปดีๆ หรือจะให้กูอุ้ม”
“สัส กูไม่ไปไหนกับมึงทั้งนั้น” ถึงจะเถียงไปเช่นนั้น แต่เขาก็ไม่มีแรงขัดขืนอีกฝ่าย จำใจต้องปล่อยให้เตชิตพาเขาเดินลิ่วเข้าไปในลิฟต์โดยสาร
รวินท์รู้สึกง่วงจนแทบจะทนไม่ไหว เขายังฝืนลืมตาไว้ หากแขนขาไม่ขยับอย่างที่ใจคิด
ไม่จริง ไอ้เต้ไม่ทำแบบนี้กับเขาแน่
นัยน์ตาเรียวร้อนผ่าว น้ำตารื้นขึ้นมาเอ่อคลอ “ไม่...”
“มึงจะดื้อทำไมวะ” เตชิตกระชับอ้อมแขนพร้อมกับประคองเพื่อนรักเดินออกจากลิฟต์โดยสารตรงไปยังห้องพักที่เขาจองไว้ทันที จากนั้นจึงวางคนที่ไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงจะขัดขืนลงบนเตียง หากมือของอีกฝ่ายขยุ้มเสื้อเขาไว้แน่น
“ไอ้เต้... มึงไม่ได้วางยากูใช่มั้ย” ใบหน้าของรวินท์เปื้อนทางน้ำตา
เตชิตไม่ตอบ เขานั่งนิ่งประสานสายตากับอีกฝ่าย ก่อนจะเอื้อมมือไปเกลี่ยน้ำตาให้ “วิน... กูรักมึง”
“อย่าทำแบบนี้ มึงเป็นเพื่อนรักคนเดียวของกู” รวินท์กัดริมฝีปาก ไม่ให้เสียงสะอื้นหลุดออกมา สติพร่าเลือนเข้าไปทุกที
คนที่นั่งอยู่ข้างกันหยิบโทรศัพท์มือถือของตนขึ้นมากดดู จากนั้นก็หันรูปภูพิงค์กับหญิงสาวให้อีกฝ่ายดูด้วย “ดูสิ ไอ้พิงค์ของมึงไง อยู่กับแฟนเก่าซะด้วย มึงตัดใจซะทีเหอะว่ะ กูบอกมึงแล้วว่ามึงไม่มีทางสมหวัง”
“กูไม่ได้คิดอะไรกับพิงค์”
“กูเชื่อมึงนี่ก็โง่ฉิบหาย มึงชอบมัน กูรู้จักมึงมาจะสิบปีแล้วนะ มึงคิดว่ากูดูไม่ออกเหรอ อาการของมึง หนักกว่าตอนคบกับขวัญซะอีก กูไม่ควรวางใจ ปล่อยให้มันได้ใกล้ชิดมึงแต่แรกเลยจริงๆ” น้ำเสียงของเตชิตแฝงไว้ด้วยความเศร้า ผิดหวัง และเสียใจ “ไอ้พิงค์มันเป็นผู้ชายที่ชอบผู้หญิง ต่อให้มึงหน้าตาดีแค่ไหน มึงก็เป็นผู้ชาย มันไม่มีทางรักมึงได้หรอก มันเข้ามาใกล้ชิดมึง ก็เพื่อผลประโยชน์ของตัวมัน ของคณะมันเท่านั้น มึงเองก็รู้อยู่แก่ใจ”
แม้ศีรษะจะมึนตื้อมากแค่ไหน หากรวินท์ก็ได้ยินคำพูดเหล่านั้นชัดเจน มันทิ่มแทงลึกเข้ามาในหัวใจ จนความเจ็บปวดกลั่นออกมากับหยดน้ำตา
ใช่... เขารู้
“แต่กูเป็นผู้ชายที่รักมึง รักแบบที่ผู้ชายคนนึงจะรักใครสักคนได้หมดใจ หันมามองกูบ้างสิ วิน” เตชิตดึงมืออีกฝ่ายมากุมไว้
“มึงเป็นเพื่อนรักของกู” รวินท์ตอบเสียงแผ่ว
เตชิตขยับขึ้นไปคร่อมทับคนที่นอนอยู่บนเตียง ถอดเสื้อสูทตัวนอกของคนใต้ร่างออก ตามด้วยปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตตัวใน
รวินท์พยายามจะขัดขืน ทว่าฝืนตัวเองไม่ไหว ร่างกายหนักราวกับมีหินก้อนใหญ่ทับไว้ทุกส่วน
คนบนร่างก้มลงจูบ พยายามสอดลิ้นเข้าไประหว่างกลีบปากสีสด แต่ไม่เป็นผล เขาจึงถอนริมฝีปากออกเล็กน้อยแล้วกระซิบบอก “กูรักมึง วิน รักมานาน กูเฝ้ารอคืนนี้มาตลอดเลยรู้มั้ย กูสัญญาว่าจะไม่มีวันทำให้มึงผิดหวัง”
นัยน์ตาของคนใต้ร่างสั่นไหว “มึงกำลัง...ทำให้กูผิดหวัง”
เตชิตถอดเสื้อของตนเองออกช้าๆ สายตาจับจ้องอยู่ที่ร่างซึ่งท่อนบนเปลือยเปล่า เขาก้มลงพรมจูบ ลากปลายลิ้นไปตามลำคอ แล้วจูบเม้มแรงๆ บนแผ่นอก
“อย่า...”
เตชิตจูบปิดกลีบปากที่เผยอออก สองมือกดเคล้นไปบนผิวเนื้ออุ่น ค่อยๆ เคลื่อนลงไปปลดซิปกางเกงและดึงขอบกางเกงลง
“ไอ้เต้ หยุด...”
คนบนร่างใช้มือสัมผัส กระตุ้นเบาๆ พร้อมกับโน้มใบหน้าเข้าไปหาส่วนที่อ่อนไหวกลางร่างนั้น
“อย่า!” รวินท์ตะโกนเสียงดังที่สุดเท่าที่จะทำได้ ในเวลาเดียวนั้นกันเตชิตก็ใช้ริมฝีปากโอบอุ้มส่วนอ่อนไหวไปแล้ว
รวินท์เกร็งขืนไปทั้งตัว กลัวใจตัวเองเหลือเกิน เขาเองก็เป็นผู้ชายธรรมดาๆ คนหนึ่ง ถ้าถูกกระตุ้นที่ตรงส่วนนั้นก็กลัวว่าจะเผลอไผล ถึงจะไม่ได้เต็มใจและมีอารมณ์ร่วมด้วยก็ตามที “อย่าทำ...”
น้ำตาแห่งความผิดหวังและเสียใจหลั่งไหลออกมาเปียกหมอนที่หนุนนอน รวินท์ขยุ้มผ้าปูที่นอนไว้แน่น ภาพเบื้องหน้ามืดลงทีละน้อย ในที่สุดเขาก็หมดสติไป
เวลาหลายชั่วโมงผ่านไป นัยน์ตาเรียวลืมขึ้นช้าๆ ในความมืดสลัว เขาได้ยินเสียงน้ำดังมาแว่วๆ จึงเอียงหูฟัง จากนั้นจึงค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้น
ทันตแพทย์หนุ่มยกมือขึ้นกุมใบหน้า เขายังมึนศีรษะและอ่อนแรง หากเมื่อทบทวนเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วก็สะดุ้งเฮือก รีบเปิดผ้าห่มดู
ร่างกายของเขาเปลือยเปล่า
รวินท์หันมองไปรอบๆ เสื้อผ้าของเขากองอยู่บนพื้น ปะปนกับเสื้อผ้าของคนที่ตนเองเรียกว่าเพื่อน เขาลุกพรวดออกจากเตียงแล้วหยิบเสื้อผ้าขึ้นมาสวมอย่างลวกๆ ก่อนจะหันขวับไปทางห้องน้ำทันทีเมื่อเสียงน้ำหยุดลง
ไอ้เต้อยู่ในห้องน้ำ เขาต้องรีบออกไปจากที่นี่!
รวินท์เดินเซออกไปจากห้องพัก ระหว่างทางที่เดินไปยังลิฟต์โดยสาร เขาหันรีหันขวางด้วยที่ความกลัวว่าอีกฝ่ายจะตามออกมา เมื่อเข้าไปในลิฟต์ได้ก็หยุดหอบแฮก แล้วหันไปตรวจสภาพตนเองในกระจกลิฟต์
ตรงซอกคอมีรอยช้ำที่เตชิตเป็นคนทำไว้ เขารีบติดกระดุมเสื้อเม็ดบน ขยับเสื้อสูทให้เรียบร้อย แล้วยกมือขึ้นเสยผม ก่อนจะเดินออกจากลิฟต์โดยสารไป
รวินท์เดินตรงไปยังที่จอดรถ พอขึ้นไปนั่งในรถได้ก็ล็อกประตูและหอบหายใจอย่างอ่อนแรง เขานั่งพักอยู่ในรถอีกชั่วครู่ แล้วจึงขับรถออกไป
ทันตแพทย์หนุ่มพยายามขับรถไปให้ไกลจากโรงแรมมากที่สุด ขณะเดียวกันก็คลำหาโทรศัพท์มือถือของตนไปด้วย แต่หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอจึงแวะเข้าปั๊มน้ำมันไปจอดตรงที่สว่างๆ เพื่อหาโทรศัพท์มือถือของตนที่อาจจะตกหล่นอยู่ในรถ
แต่หาเท่าไหร่ก็ไม่พบ
หรือว่าเขาไม่ได้ลืม แต่ไอ้เต้... มันเอาโทรศัพท์ของเขาไปด้วย
“ไอ้สัส!” รวินท์ทิ้งตัวลงนั่ง พลางทุบมือลงบนพวงมาลัยรถหนักๆ ก่อนจะยกมือขึ้นกุมใบหน้า
ทั้งที่คุณออยอุตส่าห์มาเตือนเขาแล้วแท้ๆ เขาก็ยังโง่ปล่อยให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้
“บ้าฉิบ!”
เมื่อลดมือลง สายตาก็เคลื่อนไปเห็นรอยจูบสีแดงจางๆ บนท่อนแขน เขายกมือขึ้นสัมผัสซอกคอตรงที่จำได้ว่ามีรอยจูบเช่นกัน ก่อนจะก้มลงแกะกระดุมเสื้อออกดู บนแผ่นอกของเขาก็มีร่องรอยประปราย
เขารู้จักร่างกายตัวเองดีพอที่จะรู้ว่าเตชิตไม่ได้ทำถึงขั้นสุด แต่ก็ไม่รู้ว่านอกเหนือจากนั้นมันทำอะไรไปกับร่างกายเขาบ้าง
“กูควรจะขอบใจมึงมั้ย ที่มึงยังไม่ถึงกับข่มขืนกู” ทันตแพทย์หนุ่มเอ่ยเสียงแหบพร่า หลังจากควบคุมสติอารมณ์ได้แล้ว เขาก็หันไปมองเวลา
“ตีสามกว่า...” จะขับรถไปหาภูพิงค์ อีกฝ่ายก็มีสอบ เขาไม่อยากไปรบกวนตอนเวลาสำคัญแบบนี้
พอนึกถึงเด็กหนุ่มก็พาลนึกไปถึงรูปที่เตชิตเอาให้ดู เขารู้ว่านั่นเป็นแผนของอีกฝ่าย แต่...
ถึงอย่างไรหัวใจก็เจ็บ เพราะถึงเธอจะเป็นแฟนเก่า หากก็ยังได้ชื่อว่าเคยเป็นแฟน และที่สำคัญ เธอเป็นผู้หญิง
ที่ไอ้เต้พูดมาถูกต้องทุกอย่าง
ภูพิงค์เป็นผู้ชาย ไม่มีทางที่จะมาชอบผู้ชายอย่างเขา และตอนนี้อีกฝ่ายก็เป็นที่รู้จักมากแล้ว อีกไม่นานเขาก็คงหมดประโยชน์กับคณะของเด็กหนุ่ม ซึ่งแต่เดิมตัวเขาก็เป็นแค่คนนอก แล้วเมื่อวันนั้นมาถึง ความสัมพันธ์ของเขากับเด็กหนุ่มก็คงจบกัน
ไม่ช้าก็เร็วมันคงต้องจบ
เจ็บปวดในอก การหลงรักใครสักคนฝ่ายเดียว มันทำให้เจ็บอย่างนี้นี่เอง
รวินท์อยากจะหนีไปจากปัญหาทั้งหมด เขาทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว ชายหนุ่มสตาร์ตรถอีกครั้ง มุ่งตรงไปยังสนามบินเชียงใหม่ เขาตั้งใจจะจอดรถทิ้งไว้ที่นั่น แล้วให้คนที่บ้านมาจัดการทีหลัง
*TBC*กรีสสส เอพริลฟูลมะวานสนุกม้อยค้า ใครถูกหวยบ้างงง 555555 /ถามแบบไม่ดูมู้ดตอนนี้เลยจิมๆ
เอาใหม่ๆ
พี่วินน่าสงสาร ฮือออออ จนตรอกสุดๆ แล้วจริงๆ ค่ะ นี่แหละ เจ็บเยอะๆ จะได้ปรับปรุงตัวให้ดี แล้วพี่วินจะได้มีความรักและเห็นความสำคัญของมันนะ
พี่วินเศร้าขนาดนี้ คงจะง้างปากคนน้องได้มั่งล่ะน้าาา~ ตอนหน้ามาดูกันว่าอาการของน้องพิงค์จะเป็นอย่างไรนะคะ แล้วน้องจะช่วยพี่ได้ยังไง จะได้เป็นแฟนกันสักทีไหม (เอ๊ะ เกี่ยวอะไร 55555)
ขอบคุณคนอ่านทุกคนที่ยังติดตามอ่านนะคะ วันนี้ฮัสกี้เอามาลงให้อ่านยาวๆ เลยน้าาาา
ปล. ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาตอบเมื่อวานมากนะคะ ได้รู้ว่ายังมีหลายๆ คนรออ่านอยู่ ชื่นใจที่สุดเลยค่ะ รักทุกคนเลยน้าาาา