Internal Love
ตอนที่19
Wait for the person that would do anything to be your everything.
“หยุด!...บอกให้หยุดไง”
เมืองแมนพูดดังลั่น ถลาเข้าไปยึดแขนล่ำสันของรูมเมทเอาไว้ อีกฝ่ายทำท่าจะสะบัดออกแต่ยั้งเอาไว้ทัน หันมามองหน้าเขาด้วยดวงตาวาวโรจน์แบบมีเมืองแมนไม่เคยเห็นมาก่อน
“ปล่อยกู” เพลิงกัลป์พูดเสียงต่ำ
“จะทำอะไรเค้า เป็นบ้าไปแล้วเหรอ” เมืองแมนไม่ยอมปล่อยมือจากแขนของอีกฝ่าย ขณะที่เพื่อนสนิทของเขายังนอนอยู่ที่พื้นพลางสะบัดหัวอย่างมึนงง
“เกิดอะ..ราย ขึ้น..โอ้ย” เจมส์อุทานเพราะถูกแขกไม่ได้รับเชิญกระชากคอเสื้อขึ้นมา
“เพลิง ...ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ บอกให้ปล่อยไง” เมืองแมนตวาดเสียงสั่น ขอบตาร้อนผ่าว....เขาทั้งโกรธทั้งไม่เข้าใจจนอยากจะร้องไห้ออกมาดังๆ “ปล่อยเจมส์ จะทำอะไร อย่าทำเค้า..”
อาจเป็นเพราะเสียงสั่นเครือกับดวงตากลมคลอด้วยหยาดน้ำตาสองข้างกระมังที่ทำให้เพลิงกัลป์ได้สติ ชายหนุ่มปล่อยมือจากคอเสื้อของเพื่อนสนิทรูมเมท ถอยไปยืนห่างหลายก้าว หัวใจเต้นเร็วแรงด้วยความรู้สึกที่ยังพลุ่งพล่านอยู่ข้างใน
“เกิดอะไรขึ้นครับคุณ เกิดอะไรขึ้นครับ” ผู้จัดการร้านวิ่งมาถึงถามกระหืดหระหอบ แขกคนอื่นในร้านพากันเหลือบมองมาอย่างสนใจ บ้างก็ซุบซิบพร้อมกับหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายเอาไว้
“ไม่มีอะไรครับ เข้าใจผิดกันนิดหน่อย” เป็นเพลิงกัลป์ที่ตอบกลับไปเป็นคนแรก ชายหนุ่มเดินไปหิ้วปีกเจมส์ให้ลุกขึ้นจากพื้นแล้วพยุงเอาไว้ “เพื่อนผมมันเมาครับ ผมจะพาเพื่อนกลับแล้ว ไม่ทราบว่าทั้งหมดเท่าไหร่ครับ”
บริกรรีบส่งบิลมาให้
“ไม่เป็น เดี๋ยวเราจัดการเอง” เมืองแมนพูดขึ้นบ้าง หางเสียงยังสั่นอยู่แบบควบคุมไม่ได้ รีบล้วงมือหยิบกระเป๋าสตางค์ขึ้นมาเปิด “พาเจมส์ไปที่รถเถอะ...ไม่เอาดีกว่า เดี๋ยวไปด้วย” เมืองแมนยังไม่มั่นใจว่าถ้าปล่อยให้เพลิงกัลป์พาเพื่อนของเขาออกไปจะเกิดอะไรขึ้นอีก เขาไม่อยากเป็นกรรมการห้ามมวยหรอกนะ ถึงจะยังไม่รู้สาเหตุว่าอะไรขึ้นก็เถอะ
เมืองแมนจ่ายเงินเสร็จก็รีบเดินตามหลังเพื่อนทั้งสองคนออกมา เพลิงกัลป์กึ่งพยุงกึ่งลากเจมส์เดินดุ่มๆไปที่รถโดยไม่รอเขา จัดการดันตัวเพื่อนของเขาเข้าไปในที่นั่งตอนหลังสำเร็จ ชายหนุ่มก็ปิดประตูรถดังปัง
“...................” ผู้ชายสองคนยืนมองหน้ากันในความมืดสลัวของที่จอดรถ
“ไปขึ้นรถ” เจ้าของรถพูดเสียงห้วน
“กูจะขับรถเจมส์กลับ”
“ช่างหัวรถมันเถอะ”
“เดี๋ยว...มาคุยกันให้รู้เรื่องก่อน” เมืองแมนคว้าแขนเสื้อของอีกฝ่ายเอาไว้ “มึงจะต่อยเจมส์ทำไม” เมืองแมนถามตรงเผง เขายังตกใจไม่หายที่จู่ๆเพื่อนสนิทที่กอดปลอบกันอยู่ก็ตัวลอยละลิ่วไปอยู่ข้างใต้ร่างสูงใหญ่ของรูมเมทของเขาเอง แถมฝ่ายนั้นยังกำมือเงื้อหมัดเต็มที่ด้วยหน้าตาถมึงทึงเหมือนไปโกรธใครมาสิบชาติ
“แล้วมึงกอดกันทำไม”
“เพื่อนกัน ทำไมจะกอดกันไม่ได้” เมืองแมนย้อนเสียงห้วนไม่แพ้กัน “แล้วกูจะกอดกับใครมันไปหนักหัวมึงตรงไหน ที่มึงไปกับสาวกูยังไม่ว่าอะไรสักคำ”
คนฟังอ้าปากแล้วก็หุบลง จากนั้นก็อ้าอีกแล้วก็หุบ สีหน้าของเพลิงกัลป์ดูเหมือนปลากำลังสะลักน้ำ มันมีทั้งความโกรธเกรี้ยวประหลาดใจตามมาด้วยความตกใจ ชายหนุ่มมองหน้าเมืองแมนเหมือนเห็นผี
“อะไร?”
“เออ....จบเรื่องนี้ไปเถอะ” อีกฝ่ายตัดจบแถมทำท่าจะเดินหนีซะงั้น เมืองแมนไม่ยอมดึงแขนเสื้อเอาไว้ไม่ยอมปล่อย
“เดี๋ยวสิ มึงจะไม่มีคำอธิบายให้กับเรื่องนี้หรือไง ถ้ากูห้ามไม่ทันมึงก็คงต่อยเพื่อนกูงั้นสิ”
“เป็นห่วงกันมากก็ไปดูแลกันเองเลย” เพลิงกัลป์ตวัดเสียง
“งั้นก็ถอยไป กูจะพาเจมส์กลับเอง”
“อย่าทำเป็นเก่งเลยน่า ไปขึ้นรถ กูง่วงแล้ว...เหนื่อย” มือแข็งๆคว้าที่ต้นแขนของเมืองแมนแล้วลากไปที่ตอนหน้าของรถ เพลิงกัลป์เปิดประตูรถออกแล้วรุนหลังอีกฝ่ายให้เข้าไปนั่ง “คาดเข็มขัดด้วยล่ะ”
เป็นประโยคที่โคตรไม่เกี่ยวกันชะมัด...เมืองแมนคิดในใจอย่างโกรธกรุ่นขณะที่เอื้อมมือไปดึงเข็มขัดนิรภัยมาคาดเอว คนขับขึ้นมานั่งข้างๆแล้วสตาร์ทรถ ได้ยินเสียงกรนคร่อกมาจากด้านหลัง เพื่อนสนิทของเขาคงหลับสนิทไปแล้วเรียบร้อย
นั่งคอแข็งมาจนเกือบครึ่งทางถึงเพิ่งสังเกตว่าอีกฝ่ายเลี้ยวรถไปยังทางที่ไม่คุ้นเคย
“จะไปไหน”
“..............” เพลิงกัลป์ไม่ตอบ ชายหนุ่มขับรถไปเรื่อยๆ เข้าซอยนั้นทะลุออกซอยนี้ เลี้ยวเข้าถนนเล็กออกถนนใหญ่วนขึ้นสะพานเหมือนไม่มีจุดหมาย คิ้วเข้มขมวดมุ่นราวกับเจ้าตัวกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก
“จอดเดี๋ยวนี้”
“เป็นเจ้านายเหรอมาสั่ง” เสียงห้าวๆรวนกลับมา
เมืองแมนเม้มปากแน่น อยากจะเถียงกลับ ความโมโหแกมน้อยใจที่อีกฝ่ายทำร้ายเพื่อนตัวเองยังคงอยู่ แต่ประสาทที่ตึงเขม็งกลับสวนทางกับหนังตาที่เริ่มหนักขึ้นอย่างไม่มีสาเหตุ
ชายหนุ่มใช้มือดันเปลือกตาตัวเอง ฝืนถ่างตาเอาไว้ ทว่าแอร์เย็นๆที่เป่าอยู่ก็ชวนให้ง่วงนอนเหลือเกิน ความเหน็ดเหนื่อยที่สะสมมาตลอดทั้งวันทำให้ร่างกายของเขาล้าเต็มที
อยากจะพูด อยากจะเคลียร์กับคนข้างๆให้รู้เรื่องกันไป แต่ว่า...
เสียงลมหายใจสม่ำเสมอดังมาจากคนที่นั่งข้างๆ คนขับเหลือบมองผ่านกระจกแลเลยไปยังข้างหลังที่มีร่างของเพื่อนสนิทเมืองแมนนอนอยู่ นายแพทย์หนุ่มถอนหายใจเฮือก เลี้ยวรถเข้าข้างทางจอดที่ริมแม่น้ำสายหลักที่ไหลผ่านใจกลางจังหวัด เปิดกระจกลงให้ลมจากด้านนอกพัดเข้ามา หวังว่าลมเย็นๆจะช่วยดับอารมณ์ร้อนของเขาได้บ้าง
...เป็นบ้าไปแล้วเหรอ?.... คำถามที่เมืองแมนถามเขาดังก้องอยู่ในหูราวกับมีคนมากรอเทปซ้ำ ช่างเป็นคำถามที่แทงใจเขาเหลือเกิน เป็นบ้าไปแล้วเหรอ เพลิงกัลป์ เป็นอะไรกันแน่
แค่เห็นคนสองคนกอดกัน ทำไมเขาจะต้องร้อนไปทั้งตัวขนาดนี้ ร้อนชนิดที่อยากจะเผาทำลายทุกอย่างตรงหน้าให้วอดวายกลายเป็นขี้เถ้า ยิ่งเห็นเมืองแมนปกป้องเพื่อนจนออกนอกหน้าเขาก็ยิ่งโกรธ
นี่เขาเป็นอะไรไป...
มึงรู้คำตอบอยู่แล้ว เพียงแต่ไม่กล้ายอมรับมันเท่านั้น...เสียงเล็กแหลมดังขึ้นจากซอกหลืบในหัวใจของเขา เพลิงกัลป์ขมวดคิ้วแล้วคลายออก ทอดสายตามองกระแสน้ำที่ไหลเอื่อยอยู่เบื้องล่าง
ไม่...เขาไม่รู้
ไม่รู้แน่เหรอ...เจ้าเสียงนั้นยังดังขึ้นมาอีก
ไม่...แน่ใจ
เสียงยืนยันหนักแน่นของเขากลับอ่อนลงอย่างประหลาด
ไม่....เขาไม่ใช่พวกรักร่วมเพศ เขาชอบผู้หญิงมาตลอดชีวิต ถึงจะเกิดพลาดพลั้งทำผู้ชายคนหนึ่งท้องเข้า แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะชอบผู้ชายอยู่ดี แค่นึกถึงกล้ามเนื้ออก หลังไหล่บึกบึน กล้ามขากล้ามท้อง ไหนจะหนวดอีก....เขาก็อยากจะอ้วกแล้ว มันไม่เหมือนร่างอรชรอ้อนแอ้นของหญิงสาวที่มีส่วนเว้าส่วนโค้งเร้าใจเอาเสียเลย ไหนจะผิวละเอียดขาวผ่อง แขนขาเรียวบาง ริมฝีปากสีสดสีเดียวกับยอดทรวงสองจุดบนแผ่นอกเรียบเนียน...
อกเรียบเนียน...เดี๋ยวนะ ต้องอกตู้มๆหน่อยสิ ถึงจะสเป็คของเขา ให้ตายเถอะ ภาพของรูมเมทคอยแต่จะแทรกเข้ามารบกวนกันอยู่เรื่อย
ถ้าสมมุติว่า...แค่สมมุตินะ ว่าเขาเกิดชอบผู้ชายขึ้นมา
แล้วมันจะยังไงต่อวะ
ถ้าบังเอิญว่าผู้ชายคนนั้นเกิดตั้งท้องลูกของเขาด้วย
โลกต้องแตกแน่ๆไอ้เพลิงกัลป์ พ่อแม่จะต้องด่าแหลก เพื่อนฝูงคงจะยอมรับไม่ได้ ต้องมีคนเก็บไปล้อกันเป็นที่สนุกสนาน....ถึงจะบอกว่ายุคนี้เป็นยุคที่เปิดกว้างแต่ก็ต้องยอมรับว่ายังมีคนอีกมากที่ยังเห็นเรื่องรักร่วมเพศเป็นเรื่องน่ารังเกียจ อย่างน้อยก็เขาคนหนึ่งล่ะ อาจไม่ถึงกับรังเกียจแต่ก็ไม่ได้ชอบ
จะทำยังไงในเมื่อมัน...ชอบ...ไปแล้ว
ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือก
ในที่สุดเขาก็จำต้องยอมรับกับตัวเองหลังจากเฝ้าเพียรปฏิเสธตัวเองมาพักใหญ่นับตั้งแต่เริ่มมีความรู้สึกกังวลแปลกๆกับเมืองแมนตลอดเวลา ถึงจะพยายามปัดออก พยายามไม่ใส่ใจแต่สุดท้าย...ดูเหมือนจะหนีไม่พ้น
เขาคงปฏิเสธตัวเองต่อไปไม่ไหวอีกแล้วว่าอาการที่แสดงออกมาทั้งหมดเมื่อกี้ไม่ได้เกิดจากความหึงหวง จะอ้างต่อว่าหน้ามืดขาดสติเพราะเป็นห่วงเด็กในท้องของเมืองแมน มันก็ดูเป็นคำแก้ตัวที่ไม่เข้าท่าเอาเสียเลย
เลิกโกหกตัวเองได้แล้วเพลิงกัลป์....มึงชอบเมืองแมน รูมเมทของมึง...คนที่อุ้มท้องลูกของมึงอยู่นั่นแหละ แต่จะชอบเมื่อไหร่ ชอบได้ยังไง ก็ไม่รู้เหมือนกัน
ไม่รู้จะไปหาคำตอบยังไงด้วย ปลุกเมืองแมนขึ้นมาถามก็คงจะไม่ได้คำตอบ มีหวังอีกฝ่ายคงหาว่าเขาเพี้ยนไปแล้ว ไม่ก็อาจจะหัวเราะก๊ากพร้อมกับสมน้ำหน้าเขา
หรือว่าเจ้าตัวจะยิ้มจนตาหยีแล้วตอบกลับมาว่าชอบเขาเหมือนกัน
ตื่นเถอะไอ้เพลิงกัลป์ ชักจะเลอะเทอะไปกันใหญ่แล้ว...
เมืองแมนขยับตัวแล้วลืมตาขึ้น เขากระพริบตามองภาพข้างหน้าผ่านกระจกรถครู่หนึ่งอย่างงงๆ รถจอดสนิทแต่ไม่ใช่หน้าแฟลตหรือหน้าโรงแรมอย่างที่ต้องการ แต่กลับเป็นริมแม่น้ำสายยาวที่มีเพียงแสงไฟข้างทางมืดๆประกอบฉากเท่านั้น
“ที่ไหนเนี่ย” เขาอุทาน หันไปมองหน้าคนขับที่ซ่อนอยู่ในเงามืด เห็นเพียงปลายคางรกครึ้มด้วยหนวดเคราเขียว
“รถเสียเลยจอดพักนิดนึง” เสียงห้าวๆตอบกลับมา
“อ้าว ต้องเรียกช่างมั้ย แล้วจะกลับยังไงล่ะ” เมืองแมนตื่นเต็มตาแล้วก็เริ่มกังวล “ดึกป่านนี้คงไม่มีช่างมาดูให้แล้วมั้ง” เขาเปิดกระเป๋าควานหานามบัตรของช่างที่เคยเก็บเอาไว้ทว่ามือใหญ่ของอีกคนกลับยึดเอาไว้แน่น มือของเพลิงกัลป์อุ่นจนเกือบร้อนทีเดียว
“มีอะไร?” เมืองแมนพยายามจะดึงมือออก
“ขอโทษนะ”
“หืม?” ตอนแรกก็ตามไม่ทันเพราะมัวแต่คิดเรื่องรถเสีย ครั้นพอเห็นแววตาคมเข้มที่มองมา เมืองแมนก็กลับรู้สึกว่าความร้อนจากมือข้างนั้นดูจะแผ่ซ่านขึ้นมายังใบหน้าอย่างรวดเร็ว
“กู...ขาดสติไปหน่อย”
“ขาดไปมากเลยแหละ โมโหหิวหรือไง” เมืองแมนพยายามเบนประเด็น ดึงมือออกจากมืออีกฝ่ายได้สำเร็จ “ เดี๋ยวกูหานามบัตรช่าง...”
“ไม่ต้องหรอก...เดี๋ยวก็สตาร์ทติดแล้ว” พูดไม่ทันขาดคำ เสียงเครื่องยนต์ก็ดังกระหึ่ม “ให้ไปส่งเพื่อนของมึงที่โรงแรมก่อนมั้ย”
“ที่โรงแรมไม่มีใครอยู่เลย แล้วเจมส์ก็เมามาก กูกลัวว่าไปอยู่โรงแรมคนเดียวเดี๋ยวจะแย่เอา” หลังหลับไปตื่นหนึ่ง อารมณ์ที่ขุ่นมัวในตอนแรกก็ดีขึ้นมาก ไม่รู้ว่าสัมพันธ์กับสัมผัสอุ่นจัดกับคำขอโทษเมื่อครู่หรือเปล่า
“เพื่อนมึงเป็นผู้ชายนะครับเผื่อลืม เมาเละยังไงก็ไม่เป็นอะไรหรอก”
“ได้ไง สมัยนี้จะผู้ชายหรือผู้หญิงก็ไว้ใจไม่ได้ทั้งนั้น ดูอย่างกูสิ...มานั่งอุ้มท้องอยู่นี่ไม่ใช่เพราะเมาเละเรอะ” เมืองแมนพูดแกมหัวเราะด้วยน้ำเสียงขมขื่น
เพลิงกัลป์อึ้งไป
“งั้นก็พากลับไปค้างที่แฟลตของเราแล้วกัน เช้าค่อยพาไปส่ง” เขาตัดสินใจ
ขับรถมาจนถึงแฟลต เพลิงกัลป์หิ้วปีกพาเจมส์เข้าไปในห้องพัก เขายืนยันจะให้แขกนอนที่ห้องของตัวเองแม้ว่าเมืองแมนจะค้านอย่างไรก็ตาม
“ห้องกูใหญ่กว่าห้องมึง ให้เพื่อนมึงนอนนี่แหละ”
“เดี๋ยวนอนห้องกูเอง”
“ไม่ต้องเถียงแล้ว ไปอาบน้ำแล้วก็เข้านอนซะ มันกี่โมงกี่ยามเข้าไปแล้ว” เพลิงกัลป์พูดเหมือนคนแก่ดุลูกหลานที่เพิ่งกลับจากเที่ยวเล่น “พรุ่งนี้ก็ต้องตื่นเช้าไปทำงานอีก”
“แต่..”
“ไม่มีแต่ ไปอาบน้ำหรือจะให้อาบให้?” เพลิงกัลป์พูดเสียงแข็ง
พออีกฝ่ายแข็งเข้า เมืองแมนเลยต้องจำยอมโดยปริยาย ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมตัวเองจะต้องทำตามที่อีกฝ่ายสั่งด้วย
“ขอเช็ดตัวให้มันก่อน” เจมส์ยังอยู่ในชุดเดิมพร้อมกับกลิ่นเหล้าคลุ้ง
“ไม่ต้อง เดี๋ยวกูจัดการเอง” เพลิงกัลป์ตัดบท
เมืองแมนเข้าไปอาบน้ำแล้ว เจ้าของห้องอีกคนถึงได้หันมาดูแขกไม่ได้รับเชิญที่นอนหมดสภาพอยู่ที่พื้นตรงหน้า ...เมาเหมือนหมา น่าจะปล่อยทิ้งเอาไว้ตรงสะพานชะมัด
เมืองแมนกลับออกมาจากห้องน้ำ เจอรูมเมทกำลังนั่งหน้าเคร่งอยู่ตรงโต๊ะกินข้าว ท่าทางเพลิงกัลป์เหมือนคนกำลังตกอยู่ในห้วงความคิดหนัก
“ไปอาบน้ำสิ” เมืองแมนพูด อีกฝ่ายเพียงแต่เหลือบตามอง
“อืม ไปแต่งตัวเถอะ” ฝ่ายนั้นพูด
“ตกลงมึงจะบอกกูได้หรือยังว่าวันนี้มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่” เมืองแมนถาม แว่วเสียงอีกฝ่ายถอนหายใจเบาบาง “มึงมีปัญหาอะไรกับเจมส์ เคลียร์กันสิไม่ใช่มาใช้กำลังแบบนี้”
“กู...แค่เข้าใจผิดนิดหน่อย” เพลิงกัลป์ตอบกลับไป “ไม่มีอะไรหรอก เข้าห้องไปได้แล้ว” เขาไล่ซ้ำอีกรอบ
“เข้าใจผิด? เกือบต่อยหน้าเพื่อนกูเพราะเข้าใจผิดเนี่ยนะ เข้าใจผิดว่าอะไร” แมนพยายามควบคุมอารมณ์ เขาอยากคุยกันด้วยเหตุผลมากกว่า
“จะถามให้ได้อะไรขึ้นมา”
“พวกมึงเป็นเพื่อนกูทั้งคู่ กูก็ไม่อยากให้มึงมีปัญหากัน” เมืองแมนตอบกลับ เดินเข้าไปใกล้อีกฝ่ายมากขึ้น มองหน้าฝ่ายนั้นอย่างค้นหาทว่าอีกฝ่ายกลับไม่สบตาเขา “มีอะไรก็พูดกันตรงๆดิ ไอ้เจมส์มันเป็นคนใจกว้างนะ คุยกันตรงๆได้”
“คำก็เจมส์สองคำก็เจมส์” เพลิงกัลป์ตอบ ปิดบังหางเสียงเยาะเอาไว้ไม่มิด “มันเป็นเพื่อนสนิทมึงหรือเป็นมากกว่านั้นกันแน่”
“หมายความว่าอะไร”
“ต้องให้แปลด้วยเหรอ มึงน่าจะรู้อยู่แก่ใจ”
“กูรู้แค่มันเป็นเพื่อนสนิทที่กูรักมาก...แค่นั้น” เมืองแมนตอบเสียงห้วนจัด “มีแต่คนคิดอกุศลเท่านั้นแหละที่คิดเป็นอย่างอื่น”
“อกุศล?” คนฟังทวนคำแล้วหัวเราะออกมา “รู้หรือเปล่าว่าอกุศลแปลว่าอะไร”
“แปลว่าคนที่มีความคิดอย่างมึงไง” เมืองแมนตวัดเสียง ไม่ทันสังเกตถึงสายตาของอีกฝ่ายที่มองตรงมาที่ส่วนบนของเขาที่ปราศจากเสื้อผ้า
ผิวขาวเนียนที่เห็นในระยะใกล้ทำให้หัวใจของเพลิงกัลป์เต้นเร็วขึ้นโดยไม่รู้ตัว หยดน้ำยังเกาะอยู่ตามผิวให้เห็น รูปร่างผอมบางที่เริ่มมีหน้าท้องปรากฏคาดทับด้วยผ้าเช็ดตัวที่เอว ดูเหมือนเจ้าตัวจะยังไม่รู้สึกเลยว่าความคิดของเขาห่างไกลจากเรื่องที่กำลังโต้เถียงมากขึ้นทุกที
มันวนเวียนอยู่กับแอ่งชีพจรตรงลำคอเนียนผ่องที่เต้นตุบๆให้เห็น ไล่เลยลงมายังแผ่นอกและรอยบุ๋มตรงสะดือ เพลิงกัลป์กลืนน้ำลายลงคอฝืดๆ
“...นี่ ฟังกันอยู่หรือเปล่า กูตั้งใจจะถามดีๆ ทำไมต้องโยกโย้ด้วย”
“ไป...เปลี่ยนเสื้อผ้า” เขาพูด พยายามเบนหน้าหนีไปทางอื่น กำมือแน่น
“พรุ่งนี้กูจะไปส่งเพื่อนเอง ไม่ต้องลำบากมึงหรอกนะ” เมืองแมนตบท้าย หมุนตัวเดินกลับเข้าไปในห้อง พอประตูห้องปิดสนิทลง คนที่นั่งเกร็งอยู่ก็ถอนหายใจเฮือก
บางทีเขาอาจจะคิดอกุศลอยู่จริงๆ
.....................................................................................