บทที่ 14
“เฮ้ย ไอ้ปัน มึงจะเอาไงวะ วันนี้ จะมานอนบ้านกูอีกไหม แต่แม่กูชักสงสัยแล้วนะว่าเราทำรายงานหรือทำวิทยานิพนธ์อะไร ทำไมถึงได้ใช้เวลาขนาดนี้ ถึงเขาจะไม่ว่าอะไรที่มึงจะมานอนก็เถอะ”
ปัญญาเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนรักที่จัดการเก็บของยัดใส่กระเป๋าเรียบร้อย เตรียมกลับบ้านตั้งแต่ออดชั่วโมงสุดท้ายยังไม่ดังแล้วถอนหายใจเฮือก รู้ดีว่าเขาจะอยู่บ้านไอ้เบนซ์ไปตลอดไม่ได้ และเขาก็จะหนีหน้าพ่อไปตลอดก็ไม่ได้เช่นกัน
“มึง… งั้นกูว่ากูกลับบ้านดีกว่าวันนี้ รบกวนมึงกับน้าแหม่มมาเยอะล่ะ”
“จริงๆ กูกับที่บ้านกูก็ไม่ว่าอะไรหรอกนะถ้ามึงอยากจะมานอน” เบนซ์ถอนหายใจเบาๆ เห็นใจเพื่อนก็เห็นใจเพื่อนหรอก แต่… “แต่กูแค่คิดว่ายิ่งมึงหนีหน้าเขาแบบนี้มันก็ยิ่งแก้ปัญหายากเปล่าวะ แถมพ่อมึงก็โทรหาตั้งหลายครั้งแล้วไม่ใช่เหรอ มึงก็ไม่ยอมรับสาย เปิดโอกาสให้เขาได้ขอโทษ ได้อธิบายมึงบ้าง ยังไงเขาก็พ่อมึงนะ เขาคงไม่สบายใจหรอกที่ต่อยหน้าลูกตัวเองแบบนั้น แถมมึงยังหลบหน้าเขาแบบนี้”
“เออๆ กูรู้แล้วน่า ก็กำลังจะกลับบ้านแล้วนี่ไง”
“พี่ปัน” เสียงเรียกที่แสนคุ้นเคยทำให้ทั้งปันกับเบนซ์หันกลับไปมอง โดนัทวิ่งเข้ามาหาพวกเขาด้วยสีหน้าตื่นเต้นแปลกๆ “พี่ปัน เพื่อนผมบอกว่าเห็นดารามาที่โรงเรียนล่ะ”
“ดารา?” เบนซ์กับปันประสานเสียงแทบจะพร้อมเพรียงกัน
“ศิษย์เก่ารึเปล่า” เบนซ์เลิกคิ้วขึ้นข้าง
“หรือว่าจะมารับใคร แบบ ญาติเขาไรงี้”
“แล้วดาราคนไหน”
“ผมเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันครับ แต่เห็นเพื่อนบอกน่าจะบูม บดิศร”
“บูมที่หน้าคล้ายๆ พี่น่ะนะ?” เรื่องหลงตัวเองนี่ขอให้บอก ไอ้เบนซ์เลยตบกะโหลกไอ้คนปากดีไปหนึ่งทีด้วยความหมั่นไส้ “โอ๊ย เบนซ์ ตบหัวกูทำไม”
“หมั่นไส้ว่ะ อย่างเอ็งเนี่ยนะหน้าเหมือนบูม? ให้ขำตายเหอะ”
“ปัน!” เสียงเรียกคราวนี้มาจากจูน ท่าทีตื่นเต้นของเจ้าตัวมากกว่าของโดนัทตอนที่โผล่เข้ามาประมาณสามเท่าได้ “มีคน… เอ่อ ฉันหมายถึง คุณบูมเขาอยากจะพบนาย”
เท่านั้นแหละทั้งสามคนที่กำลังติดพันกันในวงสนทนาถึงกับต้องเบิกตากว้างขึ้นอย่างตกตะลึง ยังไม่ทันได้หันไปมองหน้าเพื่อขอความเห็นกัน ร่างสูงของดาราใหญ่ที่นักเรียนหญิงหลายๆ คนกำลังกรี๊ดกร๊าดกันที่หน้าห้องก็ก้าวเข้ามา แว่นกันแดดสีชาไม่ได้ช่วยปกปิดตัวตนของเขาได้ก็จริง แต่ก็ช่วยทำให้ดูเหมือนดาราดี
ถ้าเปรียบความหล่อเหลาเป็นแสงเลเซอร์ตอนนี้มันคงแทงทะลุสายตาทุกคนที่อยู่ในรัศมีที่จะมองเห็นชายหนุ่มคนนี้ได้ ปัญญาเข้าใจแล้วว่าทำไมเบนซ์ถึงกล้าแขวะเขาว่าไม่อาจเทียบอีกฝ่ายได้สักนิด เพราะออร่าที่ว่านี่ยังไงล่ะ เขาเคยได้ยินคนพูดมาเหมือนกัน บางครั้งคุณอาจจะหน้าตาดี แต่ถ้าไม่มีออร่าที่ว่าก็เป็นพวกดารานักแสดงไม่ได้เหมือนกัน
แหม… แต่ก็ใช่ว่าเขาจะอยากเป็นอยู่แล้วนี่นะ
“ปัน… น้องปันใช่ไหมครับ”
“เอ่อ ครับ ใช่” ปัญญายกนิ้วชี้ตัวเองงงๆ “คุณบูมมีธุระอะไรกับผมรึเปล่าครับ”
“พอดีนพดล… พ่อน้องปันน่ะ เขาขอให้ผมมารับคุณกลับบ้านวันนี้”
หา!?
เป็นหลายเสียงที่อยู่ในใจใครหลายคนแน่นอน แต่ปัญญาคิดว่าของเขาคงดังที่สุดแน่
“พะ… พ่อน่ะเหรอครับ? ทำไมล่ะ?”
“พอดีเขาไม่สบายนิดหน่อยน่ะ แล้วก็ไม่อยากให้ปันไปนอนบ้านเพื่อนด้วย ถ้าไม่เชื่อจะลองโทรไปถามดูก็ได้นะ เพราะถึงยังไงมันคงไม่ดีที่จะตามคนแปลกหน้ากลับบ้านใช่ไหม”
เออ ใช่ คือถ้าเขาอายุน้อยกว่านี้สักสิบปีละโดนชวนกลับบ้านแบบนี้ ปันก็คิดว่าเขาคงโดนหลอกไปขายแบบที่พ่อชอบขู่เขาตอนเด็กๆ แน่ แต่คือ… นี่เขาโตเกินกว่าจะโดนหลอกล่อด้วยอมยิ้มแล้วไง
ว่าแล้วปันก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรหาพ่อตามที่อีกฝ่ายว่า ปลายสายรับเร็วทันใจ แม้เสียงที่ตอบกลับมาจะดูอาลัยตายอยากแบบแปลกๆ ก็ตาม
“พ่อ… เอ่อ มีคนบอกว่าพ่อฝากให้มารับผมน่ะ”
“บูม บดิศรใช่ไหม”
“เออ ครับ ใช่” นี่พ่อเขาไปรู้จักดารารุ่นบิ๊กเบิ้มขนาดนี้ตอนไหนวะ ทำไมไม่เห็นเคยบอก
“มากับเขานั่นแหละ พ่อรออยู่บ้านนะ”
“รออยู่บ้าน… พ่อไม่ได้ไปทำงานเหรอครับวันนี้?”
“อืม”
“พ่อ… พ่อเป็นอะไรรึเปล่า ไม่สบายเหรอ เสียงดูไม่ค่อยดีเลย”
“ไว้ค่อยมาคุยกันที่บ้านนะ” จากนั้นเจ้าตัวก็กดวางสายไป ปัญญามองโทรศัพท์ในมือ เป็นห่วงคนที่รออยู่บ้านขึ้นมาจับใจ เขาไม่รู้เลยว่าพ่อไม่สบาย อาจจะตั้งแต่วันที่เขาหนีออกมา
ปัญญาร่ำลาเพื่อนและแฟนหนุ่มของตัวเองก่อนจะขอให้อีกฝ่ายรีบพาเขามาส่งที่บ้านแม้จะยังงงๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
ตลอดทาง เด็กหนุ่มรู้สึกได้เลยว่าบูมพยายามชวนเขาคุยเรื่องนู่นนี่เยอะจนเกินเหตุ เรื่องเรียน เรื่องเพื่อน เรื่องอาจารย์ อาหารการกิน เส้นทางที่วางไว้ในอนาคต คือแม้แต่พ่อเขายังไม่พูดเรื่องจุกจิกน่าเบื่อแบบนี้ด้วยเลย แล้วหมอนี่ต้องการอะไรจากเขากันเนี่ย แล้วทำไมพ่อเขาถึงยอมให้คนอื่นมารับเขากลับบ้านแบบนี้ล่ะ
“คุณรู้รึเปล่าว่าคนที่ให้ทุนคุณจริงๆ แล้วเป็นใคร”
คำถามนั้นทำให้ปัญญาหันหน้าขวับมามองอีกฝ่ายด้วยสายตาเปลี่ยนไปทันที จากตอนแรกที่ค่อนข้างวางตัว เหินห่างแต่ว่าสุภาพ ตอนนี้เด็กหนุ่มมองชายหนุ่มที่นั่งข้างๆ (เพราะเขามีคนขับรถ) บนเบาะหลังด้วยสายตาตื่นตะลึงระคนสงสัยอยู่ในที ปัญญาตอบกลับอย่างไม่ค่อยแน่ใจ
“เอ่อ คือ คุณลุงอาจบอกว่ามันเป็นทุนของบริษัทพิทักษ์สุข ที่เป็นบ. เล็กๆ ด้านการเงิน”
“เหรอ อืม จะตกใจไหมถ้าผมบอกว่าบริษัทนั้นมันไม่มีอยู่จริง”
“หา?” ปัญญาอุทานอย่างงงๆ หากอีกฝ่ายยังคงยิ้มๆ ด้วยท่าทีไม่รู้ไม่ชี้ “หมายความว่ายังไงครับ ก็บ. นั่นมัน…”
“ใช่ เรื่องบริษัทนั่นฉันเป็นคนกุขึ้นมาเองแหละ”
นัยน์ตาของเด็กหนุ่มเบิกกว้างขึ้นอย่างตกตะลึง เขารู้สึกสังหรณ์ไม่ดีอะไรขึ้นมาบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้ เหมือนมีอะไรตงิดๆ อยู่ แต่เขายังนึกไม่ออกว่ามันคืออะไร
“คุณ… เป็นคนให้ทุนผมเหรอครับ”
รอยยิ้มของดาราใหญ่ข้างตัวเขาดูสลดลงนิดหนึ่ง “ใช่แล้ว”
เขาเงียบไปอย่างครุ่นคิด ถึงเขาจะโง่ในหลายๆ เรื่องแต่ปัญญาก็มั่นใจว่าตัวเองฉลาดในหลายๆ เรื่องเหมือนกัน
แต่ตอนนี้… เขานึกอยากให้ตัวเองโง่มากกว่าแล้ว
“แล้ว… แล้วทุนที่คุณให้… คุณได้ให้คนอื่น---”
“ไม่มีแล้ว ปัน มีแค่คุณเท่านั้น”
เขาไม่ชอบเรื่องนี้เอามากๆ เลยล่ะ
ทันทีที่รถจอดที่หน้าบ้าน ปัญญาก็แทบจะวิ่งเข้าไปด้านในด้วยความร้อนรน ใจชื้นขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าพ่อของเขานั่งอยู่บนโซฟา แต่แล้วเจ้าตัวก็รู้สึกเหมือนใจกระตุกเมื่อเห็นสภาพที่เหมือนคนถูกซ้อมมาของอีกฝ่าย คือถ้าเขามีร่องรอยโดนต่อยที่แก้มก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกไงเพราะเขาโดนพ่อต่อย แต่การที่พ่อเขาโดนต่อยนี่มันไม่ใช่ล่ะ อย่าบอกนะว่าพ่อเขาเมาแล้วไปมีเรื่องอาละวาดกับใครที่ไหน? ไม่อะ ปัญญาไม่คิดว่ามันเรียบง่ายแบบนั้น
“พ่อ!” เขาถลาเข้าไปสำรวจบาดแผลของชายหนุ่มทันที “พ่อ ใครทำพ่อเนี่ย แล้วนี่มันเรื่องอะไร…”
“ผมเป็นคนทำเอง” บูมเดินกลับเข้ามาพร้อมกับคนขับรถของเขา ปัญญาหันกลับไปมองอีกฝ่ายด้วยท่าทีเดือดดาลก่อนจะถามเสียงเหี้ยม
“คุณทำแบบนี้ทำไม!”
“ปัน” ดลรั้งแขนของอีกฝ่ายไว้เพราะกลัวใจว่าเจ้าตัวจะทำอะไรบุ่มบ่าม “ไม่เป็นไรหรอก”
“ไม่เป็นไรได้ไง! ก็เขาทำพ่อ--”
“แต่เขาต่อยเธอไม่ใช่เหรอ”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับคุณ!?” ปันตะโกนอย่างหัวเสีย ตอนแรกก็โกรธๆ ระคนน้อยใจพ่อเขาอยู่หรอกที่มาต่อยเขาแบบนั้น แต่พอเห็นว่ามีใครคนอื่นทำร้ายพ่อเขาแทนตัวเองเด็กหนุ่มกลับฉุนเฉียวขึ้นมา “นี่มันเรื่องในครอบครัว! เป็นแค่คนนอกก็อย่าเข้ามายุ่ง!”
บูมมองเขาด้วยสายตาอย่างหนึ่งที่ทำให้ปัญญาต้องหุบปากเงียบ เด็กหนุ่มหันกลับไปมองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเหมือนขอตัวช่วย แต่พ่อเขาก็ยังคงนิ่งเงียบแบบชวนให้ใจสั่นเหมือนกัน เอาล่ะ เขารู้แล้วว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากล แต่เหมือนมันติดอยู่แค่ตรงปลายเท่านั้น หรือไม่บางทีเขาก็ไม่อยากให้ตัวเองรับรู้มัน
“ฉันไม่ใช่คนนอกของเธอหรอก ปัน” สุ้มเสียงของดาราหนุ่มอ่อนลง แววตาก็เจือร่องรอยอ่อนโยนมากขึ้น แต่นั่นกลับยิ่งทำให้ปัญญารู้สึกกลัว เขาบีบมือนพดลแน่น
“พ่อ… นี่มันเรื่องอะไรกันครับ คุณบูมอะไรเป็นกับพวกเรากันแน่”
นพดลเม้มริมฝีปากแน่น เขาไม่อยากให้ปันรู้เรื่องนี้เลยแม้แต่นิดเดียว
“พ่อ” เด็กหนุ่มเร่งเร้าอย่างร้อนรน “พ่อเคยสัญญากับผมแล้วไม่ใช่เหรอว่าเราจะไม่มีอะไรปิดบังกันน่ะ แล้วทำไมตอนนี้พ่อถึงไม่พูดอะไรเลย…”
“เขาไม่ใช่พ่อของเธอ”
ปัญญาหันขวับไปมองหน้าคนพูดด้วยสายตาไม่เป็นมิตรทันที “พูดบ้าอะไรของคุณ”
“ฉันพูดความจริง”
“พ่อ นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน นี่เขากำลังพูดเรื่องอะไร”
“ปัน…” นพดลพูดเสียงเบาราวเสียงกระซิบ “เขาพูดเรื่องจริง”
ความเงียบเข้าปกคลุมบรรยากาศระหว่างพวกเขาทั้งหมดทันที ปัญญาหน้าซีดเผือด เด็กหนุ่มขยับตัวไปล้มลงนั่งข้างๆ นพดลอย่างหมดแรง ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำตอนที่บดิศรล้มตัวลงนั่งบนโซฟาเดี่ยวอีกตัวแล้วหันไปสั่งลูกน้องให้ไปซื้อน้ำจากหน้าปากซอยมาให้พวกเขา หรือก็คือขอเวลาให้พวกเขาทั้งหมดอยู่กันตามลำพังนั่นเอง
ปัญญานิ่งเงียบ ในหัวพยายามประมวลผลถึงสิ่งที่เพิ่งได้ยินมาอย่างรวดเร็ว
เขาไม่ใช่ลูกชายของดล… และก็ไม่จำเป็นต้องวิ่งหาคำตอบอีกแล้วว่าตัวเองเป็นลูกของใครในเมื่อคำตอบมันแล่นมาให้เห็นอยู่ตรงหน้า
“นี่มัน… บ้าบอที่สุด” เด็กหนุ่มพูดออกมาทั้งๆ ที่ไม่รู้ตัว สายตาเหม่อมองไปที่หน้าจอ แต่เขาไม่ได้กำลังมองมันอยู่จริงๆ “นี่มันเหลวไหลชะมัด”
“ปัน” ดลพูดด้วยน้ำเสียงติดจะดุเล็กน้อย “พูดดีๆ หน่อย”
“พ่อ… เจ็บแผลมากรึเปล่า” เขาเปลี่ยนเรื่องเพื่อให้หัวหันไปโฟกัสเรื่องอื่น นพดลส่ายหน้าราวกับรู้ทันความคิดอีกฝ่าย
“พ่อไม่เป็นไรหรอก ปันสิ เจ็บมากหรือเปล่าลูก” ชายหนุ่มถามพร้อมกับแตะแก้มเจ้าตัวบริเวณที่เขาต่อยเมื่อครั้งก่อน “พ่อขอโทษนะ”
ปัญญาส่ายหน้าระรัวทันที
“ผมไม่เจ็บแล้ว แต่คุณ…” เด็กหนุ่มหันกลับไปมองผู้มาใหม่ด้วยสายตาโกรธแค้นอย่างเห็นได้ชัด “ทำเกินไปแล้ว ผมแจ้งตำรวจได้เลยนะเรื่องนี้”
“ช่างมันเถอะปัน”
“พ่อ…”
“ผมต่างหากที่เป็นพ่อแท้ๆ ของคุณ”
คำพูดขวานผ่าซากของบดิศรทำเอาคนที่สงบลงไปได้รอบหนึ่งแล้วเดือดดาลขึ้นมาอีก ปัญญามองเขาด้วยสายตาเย็นชาทิ่มแทง
“แล้วยังไงครับ เพราะว่าผมมีเลือดเนื้อเชื้อไขของคุณ คุณถึงจะทำอะไรกับคนที่เลี้ยงผมมาตลอด 17 ปีนี้ก็ได้งั้นเหรอ”
“ปัน…” ดลเรียกชื่ออีกฝ่ายอย่างคาดไม่ถึง เขาคิดว่าเด็กหนุ่มอาจจะโกรธ… ถึงขั้นเกลียดเขาด้วยซ้ำที่ลงไม้ลงมือไป แต่เจ้าตัวกลับช่วยพูดจาปกป้องเขาแบบนี้
“แน่นอนว่าฉันซึ้งใจมากเรื่องที่เขาดูแลเธอมา” สายตาของคนพูดดื้อดึงไม่ต่างอะไรกับลูกชายร่วมสายเลือดของตัวเองเลยแม้แต่น้อย “แต่มันก็ไม่ถูกอยู่ดีที่เขาใช้กำลังกับเธอ”
“ผมอยากให้คุณขอโทษพ่อผม”
“ปัน ไม่เอาน่ะ” ดลเอ่ยเรียกเด็กหนุ่มเป็นเชิงปราม ถึงเขาจะไม่อยากยอมรับ แต่ถึงยังไงอีกฝ่ายก็เป็นพ่อผู้ให้กำเนิดเจ้าตัว แล้วไปพูดจาแบบนั้นใส่…
“เขาทำพ่อเจ็บ เขาก็ต้องขอโทษสิฮะ” ปันว่าอย่างไม่ยอมแพ้ “ทีพ่อยังขอโทษผมแล้วเลย”
บดิศรเม้มปากขึ้นนิดหนึ่ง เงียบไปครู่ใหญ่ นพดลคิดว่าอีกฝ่ายคงไม่พูดอะไรออกมาแล้วจนกระทั่งมีน้ำเสียงแผ่วหลุดออกมาจากลำคอ
“...ฉันขอโทษ”
อื้อหือ สุดยอดของการกัดฟันพูด
ปัญญาพยักหน้ารับนิดๆ เหมือนไม่พอใจ แต่ก็ไม่คิดเรียกร้องอะไรจากอีกฝ่ายต่อ เงียบกันไปอีกครู่ใหญ่ ในที่สุดบดิศรก็ถอนหายใจเฮือกออกมาอย่างหมดความอดทน ไอ้บรรยากาศกดดันโดยไร้ความจำเป็นนี่มันอะไรกัน ถึงการได้รับรู้ความจริงจะเป็นเรื่องที่หนักหนา แต่ก็ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายอะไรขนาดนั้นเสียหน่อย
“เอาล่ะ ในเมื่อปันรู้ความจริงแล้ว ฉันว่าเราน่าจะมาพูดเรื่องต่อไปกันได้”
“เรื่องต่อไปอะไรครับ” ปัญญาถามอย่างงุนงง แค่ข้อมูลที่เพิ่งได้มาก็ยังทำสมองเขาแฮงค์อยู่เลย ยังจะมาเรื่องต่อไปอะไรอีก
“ฉันอยากให้เธอไปอยู่กับฉัน แค่สักพักก็ได้”
นี่ถ้าเปรียบว่าปันกำลังเดินอยู่ดีๆ ความรู้สึกของเขาคงเหมือนตกหลุมที่ถูกอำพรางไว้พรวดลงไปจนก้นจ้ำเบ้า นี่ตั้งแต่เรื่องที่เขาเพิ่งรู้ว่านพดลไม่ใช่พ่อแท้ๆ ของตัวเองแล้วนะ แล้วไอ้คำพูดเมื่อกี้เหมือนทำให้เขาตกหลุมลงไปอีกต่อ คือนี่ใจคอจะไม่ให้เขาพักหายใจกันเลยใช่ไหม
“แล้วทำไมผมต้องไปอยู่กับคุณด้วย”
บดิศรยักไหล่ทีหนึ่ง ตอบด้วยท่าทีอ้อมแอ้ม “ก็… เราจะได้คุยอะไรกันหลายๆ อย่างไง ตลอดที่ผ่านมานี่ฉันก็นึกอยากรู้จักเธอ พูดคุยกับเธอมาตลอด แต่ไม่มีโอกาสสักที”
“แล้วทำไมที่ผ่านมาคุณถึงไม่แสดงตัวล่ะครับ? หรือเพราะเป็นดาราใหญ่ที่ต้องรักษาชื่อเสียงไม่งั้นจะกลายเป็นข่าวคาวเลยไม่อยากมายุ่งเรื่องของลูกชายตัวเองมาก”
“ปัน” ดลพูดด้วยน้ำเสียงดุขึ้นมาอีกรอบ บทที่หมอนี่จะดื้อก็หัวรั้นอย่างน่าใจหาย แถมพูดอะไรไม่ค่อยคิด ถึงยังไงอีกฝ่ายก็นับได้ว่าเป็นผู้ใหญ่คนหนึ่ง “เลิกพูดประชดประชันแล้วคุยกันดีๆ เถอะ”
“แต่ผมพูดเรื่องจริงนี่”
“อันที่จริงนะ ถ้าไม่ใช่เพราะนพดลพยายามไปสืบหาเรื่องของฉันแล้วก็ทุนนั่น ป่านนี้เธอก็คงยังไม่รู้ความจริงเรื่องนี้หรอก”
นพดลส่ายหน้า เขาพยายามจะพาเรื่องทั้งหมดนี่ไปข้างหน้า แต่สองพ่อลูกร่วมสายเลือดนี่ก็พยายามดึงมันกลับสู่จุดเดิม
“พอได้แล้วครับ รีบๆ เข้าเรื่องเถอะ ปัน ลูกจะเอายังไง อยากจะลองไปอยู่บ้านเดียวกับคุณบูมดูไหม ถึงยังไงเขาก็เป็นพ่อของลูกนะ”
“พ่ออยากให้ผมไปอยู่กับเขาเหรอ?” เด็กหนุ่มถามเสียงสูงอย่างตกใจ สำหรับเขาแล้ว ที่นี่ก็คือบ้าน และพ่อของเขาก็มีเพียงคนเดียว “ไม่เอาหรอก ผมไม่อยากไป”
“ปัน” คราวนี้คนที่เรียกเด็กหนุ่มเสียงอ่อยกลับเป็นบูมเสียเอง “พ่ออยากให้ปันเปิดใจให้พ่อสักหน่อย ถึงยังไงเราก็มีสายเลือดเดียวกัน แล้วพ่อก็คอยดูแลหนูอยู่ห่างๆ มาตลอด”
“แต่คุณเพิ่งจะทำร้ายพ่อผมไปหมาดๆ เองนะ”
“ปัน พอแล้ว” ในที่สุดดลก็พูดขึ้นมาอย่างเหลืออด น้ำเสียงเด็ดขาดนั่นทำให้ปัญญานิ่งเงียบลงไปทันที “เลิกพูดเรื่องที่เขาทำร้ายพ่อได้แล้ว และอย่าลืมว่านั่นก็พ่อของลูก… พ่อจริงๆ ที่ทำให้ปันมาอยู่ตรงนี้ และเรื่องที่เขาอยากให้ปันลองไปอยู่กับเขา พ่อ… พ่อก็คิดว่าปันควรไป”
“พ่อ!” ปัญญาลุกขึ้นจากโซฟาพรวด ใบหน้าแดงก่ำขึ้นด้วยความโกรธระคนเสียใจ “พ่ออยากให้ผมไปจริงๆ เหรอ? พ่อไม่อยากให้ผมอยู่เป็นภาระพ่อแล้วใช่ไหม!?”
“ปัน!”
“ถ้าพ่ออยากให้ผมไปนักผมก็จะไป” พูดแล้วไอ้ตัวแสบก็วิ่งพรวดขึ้นไปบนบ้านทั้งๆ อย่างนั้น “น้าบูม รอแป๊บหนึ่งนะครับ ผมจะเก็บกระเป๋า ผมเองก็ไม่อยากอยู่บ้านนี้แล้วเหมือนกันนั่นแหละ!”
ทำไมไปๆ มาๆ มันกลายเป็นแบบนี้ไปได้วะเนี่ย
…
ปัญญาออกมาจากบ้านทั้งๆ ที่ยังมึนตึงกับนพดลอยู่แบบนั้น เขาเองก็รู้สึกเหมือนกันว่าอีกฝ่ายเองก็มีอะไรอยากจะพูดกับเขา แต่เหมือนไม่รู้จะพูดยังไง และเขาก็ไม่มีแก่จิตแก่ใจจะมารับฟัง
“ปัน เย็นนี้อยากกินอะไรลูก จะกินที่บ้านหรือออกไปกินนอกบ้านกันดี พ่อจะได้บอกแม่บ้านถูก”
“เอ่อ กินในบ้านก็ได้ครับ อะไรก็ได้ ผมกินได้หมดแหละ” เขาส่งยิ้มชืดๆ ให้ชายหนุ่มที่ยังยอมรับได้ไม่สนิทใจว่าอีกฝ่ายเป็นพ่อของเขา
ทันทีที่รถขับผ่านประตูรั้ว ตรงดิ่งเข้ามาในที่จอดของตัวบ้าน ปัญญาก็เริ่มรู้สึกว่าปากของเขาอ้ากว้างขึ้นเรื่อยด้วยความตื่นตะลึงและตระการตา
เขาเคยดูละครผ่านทางโทรทัศน์มาอยู่บ้าน… บ้านที่หลังใหญ่ที่สมควรจะใช้คำว่า ‘คฤหาสน์’ มากกว่า เขาเคยคิดว่าใครมันจะบ้าไปอยู่บ้านหลังใหญ่ขนาดนั้น แต่ตอนนี้คนข้างตัวแสดงให้เห็นแล้วว่ามีคนอาศัยอยู่ในบ้านที่เหมือนปราสาทขนาดย่อมแบบนั้นจริงๆ
พื้นทั้งหมดของตัวบ้านถูกปูด้วยกระเบื้องหินอ่อนดูมีราคา เครื่องเรือนเข้าชุดที่น่าจะไปประดับอยู่ในฉากหนังมากกว่า คนใช้ที่ออกมาต้อนรับพ่อกับเขาด้วยท่าทีอ่อนน้อมพร้อมกับยกกระเป๋าลงมาให้ หญิงสาวคนหนึ่งถึงกับเข้ามาทักเขาว่าต้องการเครื่องดื่มอะไรไหมด้วยซ้ำ
เดี๋ยวนะ นี่เราอยู่ในโลกเดียวกันจริงๆ ใช่ไหม ไม่สิ นี่เขายังอยู่ในโลกเดิมหรือเปล่า หรือว่าหลงมิติข้ามพิภพอะไรมา อยู่ๆ ก็ให้ความรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเจ้าชายขึ้นมาอย่างไรอย่างนั้น
“เอ้อ ปรางค์ วันนี้ผมกับปันจะกินข้าวที่บ้านนะ ยังไงฝากเตรียมไว้ให้ด้วย แล้วห้องที่ผมโทรมาบอกว่าให้จัดการน่ะ เรียบร้อยหรือยัง”
“ค่ะ คุณบูม เดี๋ยวดิฉันให้เด็กยกกระเป๋าขึ้นไปให้ แล้วนี่ข้าวของหนูปันมีแค่นี้เองเหรอคะ”
“เดี๋ยวไว้ผมพาไปซื้อวันหลัง ปัน อยากได้อะไรก็บอกป้าปรางค์ได้เลยนะ เขาคอยดูแลทุกอย่างในบ้านนี้”
“เอ่อ ครับ” ปัญญาส่งยิ้มจืดๆ ไปให้หญิงสาวร่างท้วมท่าทางใจดี อีกฝ่ายยิ้มตอบกลับให้เขาจนตาหยี จากนั้นจึงขอตัวผละไปอย่างสุภาพ
...นี่มันอะไรกัน… นี่เขายังอยู่ในโลกเดิมของตัวเองรึเปล่า
คือปกติเวลาเขาไปเที่ยวบ้านเบนซ์ เขาก็รู้สึกมาตลอดว่าบ้านหมอนั่นใหญ่ แถมยังมีพี่เลี้ยงคนหนึ่งที่คอยช่วยน้าแหม่มทำงานบ้านนู่นนี่ คือแค่นั้นเขาก็คิดว่าบ้านเบนซ์แม่งโคตรรวยจนน่าอิจฉาแล้วนะ แต่ไอ้ระดับบ้านดารานี่มันอะไรกัน… คือแม่งคนละชั้นจริงๆ
ปันขึ้นไปที่ห้องใหม่ของตัวเองแล้วก็ต้องตะลึงกับความกว้างขวางและความหรูหราแบบเรียบง่ายของมัน มันให้ความรู้สึกเหมือนเขามาอยู่ในห้องของโรงแรมระดับห้าดาวอย่างไรอย่างนั้น (ถึงจะไม่เคยไปนอนโรงแรมห้าดาวจริงๆ ก็เถอะ) มีห้องน้ำในตัว เฟอร์นิเจอร์ครบครัน เตียงที่ใหญ่เกินกว่าสำหรับหนึ่งคนนอน
โอ๊ย ตาย ห้องนี้มันโคตรดีงาม คือเขาเคยใฝ่ฝันว่าจะได้ใช้ชีวิตอยู่เยี่ยงพระราชาแบบนี้เหมือนกัน แต่ไม่นึกว่าจะได้มาใช้จริงๆ ไง
“คุณปันคะ คุณผู้ชายเรียกให้ไปทานข้าวค่ะ”
แถมยังมีคนมาคอยเคาะห้องเรียกลงไปตามแบบสุภาพอ่อนน้อมแบบนี้อีกต่างหาก คือถ้าเป็นที่บ้านเขาจะเป็นไงน่ะเหรอ พ่อเขาคงเคาะประตูโครมๆ หรือไม่ก็ตะโกนขึ้นมาให้ลงไปกินข้าวนั่นแหละ
ปัญญาลงไปรับประทานอาหารกับพ่อร่วมสายเลือดของเขาสองต่อสอง แม้จะยังเกร็งๆ ในช่วงแรกไปบ้าง แต่เนื่องจากชายหนุ่มขอให้เด็กรับใช้ทุกคนปล่อยให้พวกเขาอยู่กันตามลำพัง และบูมเองก็เป็นคนที่คุยสนุกกว่าที่เขาคิดเอาไว้ บรรยากาศจึงไม่แย่เกินไปนัก อันที่จริง เขารู้สึกได้เลยว่าอีกฝ่ายรักและคิดถึงเขาตามที่พูดก่อนหน้านี้จริงๆ มันก็ให้ความรู้สึกแปลกดีที่ได้มารับรู้ว่าคนแปลกหน้าที่เหมือนอยู่คนละโลกกับเรา แท้จริงแล้วเป็นผู้ให้กำเนิดตัวจริง
หลังจากที่กินข้าวเย็นเสร็จและเดินดูรอบบ้านตามคำชวนของเจ้าของบ้านเรียบร้อย ปัญญาก็กลับมานอนแอ้งแม้งอยู่บนเตียงนุ่มของตัวเองอย่างเหนื่อยอ่อน วันนี้เขาเจอเรื่องมากมายจริงๆ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังอยู่ตรงนี้ ใช้ชีวิตต่อไปเช่นเดียวกับที่โลกยังหมุนอยู่
เขาไถโทรศัพท์ มีข้อความในไลน์จากเบนซ์แล้วก็โดนัท เขากดเข้าไปในกล่องข้อความแชทของคนหลังก่อน จากนั้นจึงกดโทรออกอย่างไม่รีรอใดๆ
โดนัทกดรับวิดีโอคอลของปัญญาในไม่กี่วินาทีต่อมา ราวกับเด็กหนุ่มกำลังรอการติดต่อจากคนรักอยู่อย่างไรอย่างนั้น
“พี่ปัน”
“โด” เขาส่งยิ้มฝืดๆ ให้อีกฝ่าย อยู่ๆ ความอ่อนล้าทุกอย่างที่เขาพยายามกดอัดไว้ก็ทะลักออกมา เหมือนร่างกายมันหมดแรงลงดื้อๆ “คิดถึงจัง… แยกจากโดมาแค่ไม่กี่ชั่วโมง แต่เหมือนผ่านมาเป็นเดือนๆ เลย”
“เกิดอะไรขึ้นครับ สีหน้าพี่ดูไม่ดีเลย แล้วนี่อยู่ไหน ไม่ได้กลับบ้านแล้วเหรอ”
บ้าน…
เขานึกถึงนพดล ผู้ชายคนที่คิดว่าตัวเองเป็นพ่อมาโดยตลอด นึกถึงสภาพที่โดนซ้อมมาของชายหนุ่มคนนั้น นึกถึงตอนที่เขาขึ้นเสียงใส่อีกฝ่ายแล้วผละจากมาโดยไม่คิดจะฟังคำอธิบายใดๆ เขาไม่น่าจากอีกฝ่ายมาทั้งๆ แบบนั้นเลย และตอนนี้เขารู้สึกแย่มาก เขาอยากกลับไปหาพ่อของเขา จากนั้นก็บอกขอโทษที่ทำตัวแย่ๆ ใส่
แต่อีกใจหนึ่ง… เขาก็นึกกลัว กลัวว่าอีกฝ่ายไม่ได้อยากได้เขาเป็นลูกแล้ว
“โด… วันนี้มันมีแต่เรื่องว่ะ พี่… พี่ไม่ไหวแล้ว” จากนั้นเขาก็ปล่อยให้ตัวเองร้องไห้ต่อหน้าแฟนหมาดๆ ของตัวเองอย่างไม่อาย ร้องไห้ราวกับว่าตัวเองเป็นเด็กเล็กๆ ที่อยากให้พ่อกับแม่มาปลอบ
เขารู้สึกว่าตัวเองโชคดีมากที่ปลายสายพูดปลอบเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน และโดนัทคงไม่คิดว่าเขาน่าสมเพชเหมือนแบบที่เขาคิดว่าตัวเองเป็น
อย่างน้อยก็ขอให้เขาได้มีเรื่องดีๆ ในเรื่องบ้าบอทั้งหมดที่เจอมาทั้งหมดนี่บ้างก็พอแล้ว
-----------------------------------------------
Tip1 เรื่องเกี่ยวกับนิยายเรื่องนี้ที่ไม่ต้องรู้ก็ได้: ปกติเราไม่ค่อยเขียนนิยายที่ตลค. เป็นคนไทยค่ะ เน้นไปทางชื่อฝรั่งมากกว่า แต่พอเขียนทีก็จะพยายามใช้ชื่อคนที่รู้จักหรือเคยได้ยินผ่านหูมา
อย่างปัญญานี่ก็คนที่ชอบสมัยประถม ดลนี่จากสมัยม.ต้น (ตอนนั้นเรียกเขาดลเฉยๆ ไม่เคยรู้ชื่อจริงเขาเลย นพดลนี่งอกออกมาเอง) โดนัทนี่มาจากเพื่อนที่เป็นเกย์ (เราขอโทษนะนาย แต่เรารู้ว่านายคงไม่ได้มาอ่าน) บูมนี่มาจากแฟนของรุ่นพี่คนดังที่ม. (คือเห็นเขาหล่อดี ถถถถ)
แค่นั้นแหละค่ะ เล่าให้ัฟังเฉยๆ เผื่อว่าทุกคนจะผ่อนคลายกับเนื้อเรื่องหนักๆ นี่ได้บ้าง ช่วยไหม? ไม่เหรอ? ถถถถถถถ