บทที่ 12
โดนัทก้าวเท้าตามป๊าเข้าไปในบ้านอย่างกล้าๆ กลัวๆ พี่สาวของเขานั่งอยู่ในโซฟาห้องรับแขกขณะที่ม๊าจัดแจงข้าวของบนโต๊ะกินข้าว ทั้งคู่หันกลับมามองเขากับป๊าในทันทีที่ก้าวเข้าสู่ตัวบ้าน
“มาแล้วเหรอไอ้นัท! ” ม๊าที่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดใดๆ พูดกับเขาอย่างโกรธเกรี้ยว “นึกว่าจะไปนอนกกอยู่กับไอ้เด็กผูู้ชายคนนั้นที่สลอนเข้ามาคืนก่อนแล้ว แกคิดว่าจะปล่อยให้ใครต่อใครเข้าบ้านเราก็ได้อย่างนั้นเหรอฮะ”
โดนัทไม่พูดอะไรตอบ เขามองหญิงสาวที่ตัวเอง ‘พยายาม’ ให้ความเคารพมาตลอดหลายปีนี้ด้วยสีหน้าราบเรียบ เขาเรียนรู้แล้วว่าบางครั้งอะไรๆ ก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ต่อให้เขาจะพยายามแล้วก็ตาม
“ยังจะมาเงียบใส่ฉันอีกเหรอ! ”
“นัทคงโดนไอ้เด็กคนนั้นล้างสมองไปแล้วมั้งคะ ม๊า” คิตตี้พูดยิ้มๆ ขณะก้มลงไถหน้าจอมือถือของตัวเอง โดนัทมองตามคนที่ปูดเรื่องของเขากับปันด้วยสายตาจงเกลียดจงชัง
“วี ตี้ พอได้แล้ว” ชายหนุ่มผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวพูดเสียงเรียบหากแฝงแววเย็นชา ทำเอาทั้งคู่ถึงกับรีบหุบปากฉับเพราะมีความเกรงใจสามีและป๊าอยู่มาก “เรื่องนี้ป๊าจะเคลียร์กับนัทเอง ไปเถอะลูก ขึ้นไปคุยบนห้องกัน”
โดนัทหน้าซีดลงทันทีขณะถามเสียงเบาหวิว “ป๊ารู้เรื่องนี้แล้วเหรอครับ”
ป๊าของเขาไม่ตอบ แต่ม๊าของเขาก็ช่วยตอบแทนให้
“แน่นอนสิ! คิดว่าฉันกับยัยตี้จะบอกป๊าแกเมื่อคืนยังไงล่ะที่แกไม่อยู่บ้านน่ะ โดนลักพาตัวไปเหรอ? ”
“ก็เข้าข่ายลักพาตัวได้อยู่นะ ม๊า อยู่ๆ ตานั่นก็เข้ามาแล้วก็ฉุดเอานัทไปเลย แถมยังมีท่าทีข่มขู่สุดๆ ”
“พี่ปันไม่ได้--”
“พอแล้ว ทั้งสามคนนั่นแหละ” คนเป็นพ่อสั่งเสียงเฉียบและเด็ดขาดกว่ารอบเมื่อกี้ “นัท ขึ้นมาบนบ้าน เดี๋ยวนี้เลย”
“ครับพ่อ” เขาตอบรับเสียงเบา กับแม่เลี้ยงและพี่เลี้ยงน่ะ เด็กหนุ่มไม่ค่อยแคร์หรอกว่าทั้งคู่จะรับเรื่องของเขาได้ไหม แต่ป๊าของเขาต่างออกไป… เขาอยากให้ป๊าเข้าใจเขาและยอมรับตัวตนของเขาได้จริงๆ
“ตายแน่แก” คิตตี้พูดเสียงเบาขณะที่ป๊าเดินนำขึ้นไปก่อนและโดนัทเดินเลี้ยวตรงมุมบันได หันลงมาเห็นพอดี หญิงสาวทำท่าปาดคอตัวเองประกอบไปด้วย โดนัทสงสัยจริงๆ ว่าเขาจะเกลียดใครมากกว่ายัยพี่เลี้ยงตัวแสบของตัวเองได้อีกไหม ไม่นับแม่เลี้ยงเขานะ รายนั้นเขาถือว่าอีกฝ่ายไม่มีตัวตนในชีวิตเขาด้วยซ้ำ
ทันทีที่ปิดประตูลง ล้มตัวนั่งลงบนโซฟาเดี่ยวตัวหนึ่งในห้องนอนฝั่งตรงข้ามกับทีป๊านั่ง ชายหนุ่มก็เอ่ยขึ้นมาด้วยท่าทีเหมือนทุกข์ร้อนอะไร
“ไหนครับ นัท เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นบ้าง เล่าให้ป๊าฟังหน่อยซิ”
โดนัทเล่าเรื่องทั้งหมดแบบรวบรัด แน่นอนว่าเขาเล่าถึงสาเหตุที่ทำให้ม๊าโกรธจัดถึงขนาดนั้นด้วย เพราะถึงยังไงป๊าก็รู้แล้วว่ารสนิยมของเขาไปแล้ว ไม่มีเหตุผลที่จะต้องมาปิดบังอะไรกันอีก
ชายหนุ่มพยักหน้าเงียบๆ หลังจากฟังลูกชายเล่าจบ เขาถามกลับด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนอย่างที่แม้แต่โดนัทยังแปลกใจ
“นัท… นัทชอบพี่ปันงั้นเหรอลูก ชอบแบบผูกพันลึกซึ้งถึงขนาดที่อยากจะเป็นแฟนกับเขาเหรอ? ”
โดนัทอึ้ง ไม่นึกว่าอีกฝ่ายจะตรงไปตรงมาขนาดนั้น เขาพยักหน้ารับอย่างจำยอม มือกำขากางเกงแน่นขึ้นอย่างหวาดกลัว
“ครับ… ป๊า ผมชอบ… ชอบพี่ปัน ชอบแบบ… แบบอยากจะคบกับพี่เขา”
“แล้วพี่เขาล่ะ เขาคิดแบบเดียวกับที่นัทคิดรึเปล่า”
“เขา… เขายังไม่เคยพูดออกมาตรงๆ หรอกครับป๊า แต่ผมก็คิดว่าเขาเองก็รู้สึกแบบเดียวกัน”
“เห็นจากที่เขามาช่วยนัทเมื่อคืนใช่ไหม”
“ป๊า… คือเรื่องม๊ากับพี่ตี้… ผมหมายถึง ม๊าคงไม่ได้ตั้งใจ”
“ป๊าเข้าใจ แต่ป๊าว่าม๊าก็ทำลูกแรงไปหน่อย ยังเจ็บแผลอยู่ไหมครับ”
โดนัทส่ายหน้าเบาๆ ความหวาดกลัวเลือนหายไปหมดแล้วตอนนี้ เขารับรู้ได้ว่าป๊าก็ยังเป็นป๊าคนเดิมที่แสนใจดีของเขา “พี่ปันช่วยทำแผลให้แล้วครับ ผมไม่เป็นไร”
“ป๊าถามได้ไหม พี่ปันคนนี้ของลูก ใช่คนเดียวกับพี่ปันคนที่อยากให้ลูกเล่นเทควันโดรึเปล่า”
โดนัทเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว ก่อนเจ้าตัวจะก้มหน้างุดๆ ใบหน้าร้อนขึ้นเรื่อยๆ ด้วยความอาย ลงท้ายด้วยการพยักหน้ารับแผ่วเบา
“งี้นี่เอง ไม่อยากเชื่อเลยนะว่านัทจะได้เจอพี่เขาอีก บังเอิญจริงๆ ”
“ตอนแรกผมก็ไม่รู้ครับว่าเขาคือคนเดียวกัน” โดนัทยอมรับ “แต่พอไปๆ มาๆ ผมก็มั่นใจว่าใช่เขาแน่ ถึงเขาจะจำผมไม่ได้ก็เถอะ เขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเคยเรียนเทควันโดมาก่อน”
“งั้นเหรอ น่าเสียดายนะ”
เด็กหนุ่มหน้าหวานส่ายหน้ารัวๆ “ไม่หรอกครับ แค่ได้เจอเขาอีกครั้งแบบนี้ผมก็ดีใจแล้ว แถมเรายังสนิทกันมากขนาดนี้อีกต่างหาก”
โดนัทเงยหน้าขึ้นมองป๊าที่พยักหน้าเรียบๆ ให้เขาก่อนจะถามอย่างหวาดๆ
“ป๊า… ไม่โกรธผมเหรอครับ ที่ผมชอบผู้ชาย”
“อืม นั่นสินะ จะว่ายังไงดี น่าจะเรียกว่าตกใจมากกว่า แต่ป๊าไม่โกรธหรอก สมัยนี้คนเขาก็เป็นกันเยอะแยะ ที่ทำงานป๊าก็เป็นกันตั้งหลายคน”
“เอ่อ” โดนัทไหวตัวนิดหนึ่งเมื่ออีกฝ่ายเลื่อนมือมาลูบหัวเขาอย่างเอ็นดู
“ไม่ต้องเสียใจไปหรอกลูก ขอแค่ลูกเป็นคนดีก็พอ ส่วนเรื่องม๊ากับพี่ตี้… พ่อจะพูดให้เอง ตกลงไหมครับคนเก่ง”
“ขอบคุณครับป๊า” โดนัทถลาเข้าไปกอดอีกฝ่ายราวกับเด็กเล็กๆ เหตุผลที่เขายังทนอยู่ในบ้านบ้าๆ หลังนี้ได้ก็เพราะว่ามีป๊านี่แหละ “ขอบคุณจริงๆ ผมรักป๊านะ”
ส่วนเรื่องม๊ากับพี่ตี้… เขาไม่สนหรอกว่าสองคนนั้นจะยอมรับหรือเปล่า ก็เราไม่ได้เป็นครอบครัวเดียวกันจริงๆ สักหน่อยนี่
…
พ่อของเขาทำตัวแปลกๆ ไปช่วงนี้ จากที่ไม่กินเหล้ามาตั้งหลายปี พักหลังนี่เห็นต้องกินตลอดก่อนนอนทุกคืน
“เฮ้ย ไอ้ปัน”
เสียงเรียกจากเพื่อนสนิทข้างตัวปลุกเขาให้ตื่นจากภวังค์ของตัวเอง มองหน้าไอ้เบนซ์ที่ตอนนี้มีผ้าคาดหัวสีม่วงอันเป็นสัญลักษณ์สุดแสนยิ่งใหญ่ของตัวแทนแห่งสวนเพชร… เอ่อ สีม่วงของพวกเขานั่นเอง วันนี้เป็นวันที่สองที่ทางโรงเรียนจัดกิจกรรมกีฬาสีประจำปีมา และไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาได้เป็นตัวแทนของสวนเพชร (ซึ่งก็คือสีม่วงนั่นแหละ เขาก็ไม่เข้าใจว่าทำไมไม่เรียกสีม่วงให้มันง่ายๆ ต้องมานั่งแยกสวนเพชร = สีม่วง สวนทับทิม = สีแดง สวนบุษราคัม = สีเหลือง บลาๆ ๆ ทำไม เรียกยากตายชัก) ลงแข่งในกีฬาหลากชนิดจนตัวเองยังมึนว่าต้องเตรียมไปแข่งอะไรต่อบ้าง
“มึงมัวเหม่อเชี่ยไรอยู่วะ ต่อไปวอลเล่ย์นะมึง วอร์มร่างกายพร้อมยัง”
“กูวอร์มพร้อมตั้งแต่เล่นบาสแมทช์ที่แล้วแล้ว ยังหอบไม่หายเลยสัส”
“หอบเหี้ยไร เหงื่อสักหยดกูยังไม่เห็น ว่าแต่ช่วงนี้มึงกับน้องโดนัทไปถึงไหนแล้วบ้างวะ มีอะไรคืบหน้ายัง”
“อืม…” ตอนนี้ในหัวเขานึกถึงนักกีฬาวอลเล่ย์คู่แข่งที่ตัวเองต้องเจอพร้อมกับคิดถึงเรื่องของโดนัทตามเพื่อตอบคำถามของคนข้างตัวไปด้วย “ก็เรื่อยๆ นะมึง แต่กูตั้งใจว่าจบกีฬาสีนี้กูจะสารภาพรักกับน้อง”
“เฮ้ย!? ” เพื่อนรักของเขาสะดุ้ง “ยังไม่ได้คบกันอีกเหรอ มึงนี่ช้านะไอ้สัส กูว่ากูหย่อนระเบิดไปตั้งนานแล้วนะ”
“ระเบิดเหี้ยไรของมึง”
“ไอ้ปัน! ไอ้เบนซ์! พ่อมึงเป็นหอยทากเหรอ!? รีบมาได้แล้ว! การแข่งจะเริ่มแล้วโว้ย”
นั่นแหละทั้งสองคนถึงได้วงแตก วิ่งไปสมทบเพื่อนคนอื่นๆ ที่อยู่ต่างห้องแต่สีเดียวกันจนได้
“เหนื่อยหน่อยนะครับ พี่ปัน” โดนัทที่มีผ้าสีแดงผูกอยู่ที่ข้อมือยื่นน้ำเย็นขวดหนึ่งส่งให้ขณะที่ทรุดตัวนั่งลงข้างๆ รุ่นพี่ “ผมเห็นพี่วิ่งรอกแข่งอันนู้นเสร็จไปต่ออันนั้นมาตั้งแต่เช้าแล้ว พลังพี่จะเหลือล้นไปไหน”
“เหลือล้นอะไรล่ะ แค่นี้ก็จะลงไปหมอบกับพื้นแล้ว” ปัญญาว่าพร้อมกับรับขวดน้ำมาจากอีกฝ่าย เขามีผ้าขนหนูลายการ์ตูนโปเกม่อนที่ซื้อไว้เมื่อหลายปีก่อน จนถึงตอนนี้ก็ยังเอามาใช้อยู่ ไอ้เบนซ์ล้อเขาเรื่องนี้ไปเรียบร้อยแล้ว แต่ปันก็ไม่เห็นว่าโปเกม่อนจะหนักหัวพ่อมันตรงไหน “ขอบใจนะโด เดี๋ยวพี่จ่ายค่าน้ำคืนให้ทีหลังนะ”
“ห้าบาทเนี่ยนะ ไม่เอาหรอกครับพี่ ผมตั้งใจซื้อมาให้พี่นั่นแหละ แล้วนี่พี่ไม่เช็ดเหงื่อบ้างรึไงครับ ท่วมหน้าเชียว” พูดพร้อมกับจับผ้าลายโปเกม่อนขึ้นซับเหงื่อบนหน้าของปัญญาอย่างอ่อนโยน หน้าของเด็กหนุ่มร้อนขึ้นในทันทีแต่เขาก็ยอมปล่อยให้โดนัทเช็ดหน้าตัวเองอยู่แบบนั้น
แล้วเขาก็นึกถึงสิ่งที่พ่อเคยเตือนได้… ปัญญายกมือขึ้นจับผ้าขนหนูของตัวเองแล้วพูดอึกอัก
“โทดที โด พี่ว่าพี่เช็ดเองดีกว่า ขอบใจมากนะ แต่… เอ่อ แถวนี้คนเยอะ”
โดนัทกะพริบตาปริบๆ มองอีกฝ่ายอย่างแปลกใจ ก่อนจะคลี่ยิ้มมีเลศนัยออกมาขณะโน้มหน้าลงไปกระซิบถามข้างหู
“งั้นถ้าเป็นที่เปลี่ยวๆ ที่มีแค่เราสองคน พี่จะโอเคใช่รึเปล่าครับ”
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าตอนนี้หน้าแดงเถือกไปถึงไหนต่อไหน เขาหันกลับไปมองรุ่นน้องที่ส่งยิ้มหวานแบบไร้เดียงสามาให้แบบไม่อยากจะเชื่อ นี่นับวันรุ่นน้องเขาชักทำตัวร้ายขึ้นๆ หรือเป็นเขาที่ไม่พัฒนาเกมของตัวเองจนโดนอีกฝ่ายวิ่งไล่มาแบบนี้กันเนี่ย?
“ใครสั่งใครสอนให้พูดจาแบบนี้” ปัญญากระซิบเสียงเบา กัดฟันกรอดอย่างเข่นเขี้ยว โดนัทหัวเราะเสียงใสเป็นคำตอบ ก่อนบรรยากาศหวานๆ รอบตัวพวกเขาจะต้องจบลงเมื่อมีเสียงเรียกของเพื่อนหญิงคนหนึ่งของเขาตะโกนมา
“ปัน! บาสเกตบอลรอบสุดท้ายแล้ว รีบมาเตรียมตัวเร็วแก เดี๋ยวไม่ทันโดนตัดสิทธิ์”
“งั้น… พี่ไปก่อนนะ โด เดี๋ยวแข่งบาสเสร็จแล้วก็หมดวันล่ะ ออกไปหาอะไรหน้าโรงเรียนกินด้วยกันนะ”
“ตกลงครับพี่” โดนัทว่าพลางยื่นกำปั้นของตัวเองชนกับของอีกฝ่าย “สู้ๆ นะครับ ขอให้ทีมพี่ชนะนะ”
“เอ่อ แต่พี่แข่งกับสวนทับทิมนะ”
“อ้อ” โดนัทหัวเราะร่วนอีกรอบ เพราะสวนทับทิมที่ว่ามันคือสีแดงของเขานี่เอง “งั้นไม่เชียร์พี่ล่ะ อย่าลืมแพ้กลับมานะพี่”
“เดี๋ยวเถอะไอ้ตัวแสบ รอพี่แข่งจบกันนะ นายโดนดีแน่”
แต่ดูเหมือนปัญญาจะไม่ได้ทำตามที่พูด เพราะหลังจากเริ่มแข่งไปได้ครึ่งทาง เหมือนความอ่อนล้าที่สะสมมาทั้งวันเพิ่งจะสำแดงฤทธิ์ โดนัทลุกขึ้นพรวดจากริมสนามที่เอาไว้นั่งดูทันทีเมื่อเห็นอีกฝ่ายสะดุดขาจากผู้เล่นคนอื่นในสนาม และเพราะจังหวะลงไม่ดีทำเอาปัญญาหน้าคว่ำไปจูบพื้นคอนกรีตด้วยท่าที่สวยไม่มีที่ติถ้านี่เป็นการแข่งจับกบ
“พี่ปัน! ”
“ไอ้ปัน! ตายไหมนั่น หน้าแม่งจ่อมพื้นแล้ว”
“ว้าย พี่ปันคะ เป็นอะไรมากรึเปล่า”
ปัญญาพยายามยันตัวลุกขึ้นจากพื้นพร้อมกับส่ายหน้าเพื่อบอกคนรอบตัวว่าไม่เป็นไร ก็พอดีกับตอนที่เลือดหยดหนึ่งที่ไหลลงมาจากหน้าผากเข้าตาเขาพอดีนั่นแหละ
“กรี๊ด!! พี่ปัน เลือดออก! ”
“เฮ้ย ไปห้องพยาบาลเถอะมึง เดี๋ยวหาคนมาลงแทน”
“เออๆ โทษทีพวก” หันไปบอกคนในทีมขณะที่เดินไปหยิบผ้าขนหนูของตัวเองขึ้นมาซับเลือด รู้สึกเหมือนขาไม่ค่อยเป็นใจ ก้มลงดูถึงได้เห็นแผลที่เขาทั้งสองข้าง เลือดกำลังซิบออกมาเลย โดนัทเข้ามาพร้อมกับรีบว่าด้วยท่าทีร้อนรน
“ผมว่าพี่รีบไปห้องพยาบาลเถอะครับ ผมพาไปนะ พี่ปันเดินไหวรึเปล่า”
“อ๊ะ อื้อ โอเค ขอบใจนะโด” เขาว่า ไม่ทันสังเกตเลยว่าโดนัทเข้ามากัน ‘สาวๆ ’ คนอื่นๆ ที่ตั้งท่าจะมาพาเขาไปห้องพยาบาลเหมือนกัน แล้วใครๆ ต่างก็รู้ดีว่าทั้งสองคนนี้เป็นข่าวกันอยู่…
สงสัย… ข่าวที่ว่ามันคงไม่ใช่แค่ข่าวลือจริงๆ สินะ
“ให้ตายเถอะ พี่ ผมนี่ใจหายวาบเลยตอนพี่ร่วงไปคว่ำหน้าบนพื้นน่ะ” โดนัทว่าพร้อมกับเปิดกล่องปฐมพยาบาลที่หยิบมาด้วยตัวเอง เนื่องจากครูห้องพยาบาลมีเหตุให้ต้องลงไปดูอาการบาดเจ็บของนักเรียนอีกคนในสนามแข่ง อุบัติเหตุมักมาคู่กับวันกีฬาสีเสมอล่ะ
“โทษทีๆ สงสัยวันนี้จะฝืนไปหน่อย” ปัญญายิ้มแหยๆ เมื่อโดนอีกฝ่ายทำหน้าดุใส่ ปกติเห็นแต่โดนัทเวอร์ชันหวานๆ มาเจอเจ้าตัวดุแบบนี้ก็แปลกตาไปอีกแบบ
“ไม่หน่อยหรอกครับ พี่ปัน มากเลยล่ะ เอ้า พี่ หลับตาก่อน เดี๋ยวผมล้างแผลบนหน้าผากให้ก่อน เลือดเข้าตาหมดแล้วนั่น ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าพี่จะไม่ระวังตัวเองได้ขนาดนี้”
“ขอโทษคร้าบ” ทำไมวันนี้มันดุจังง่ะ “วันหลังจะระวังตัวให้มากกว่านี้น้า”
“ไม่ต้องเลย คราวหลังก่อนจะรับปากเพื่อนว่าจะลงแข่งอะไรก็นึกถึงกำลังตัวเองบ้าง ถึงพี่จะโคตรถึกก็เถอะ แต่คนเราก็มีขีดจำกัดกันทั้งนั้น”
“ขอโทษ” เจ้าตัวว่าเสียงอ่อยลงเมื่อรู้สึกถึงน้ำเสียงเครียดๆ ของอีกฝ่าย “นี่โกรธจริงๆ รึเปล่าเนี่ย เริ่มกลัวแล้วนะ”
“พี่ก็รู้ว่าผมเป็นห่วง” น้ำเสียงของโดนัทอ่อนลง หากปัญญาได้ยินเสียงหัวใจในอกเต้นรัวขึ้นเมื่อมืออุ่นของอีกฝ่ายแตะลงที่ผิวแก้มเขาแผ่วเบา “พี่ก็รู้ว่าผมคิดยังไงกับพี่”
“...” หน้าแดงไปถึงหู
เดี๋ยวๆ ๆ ๆ ทำไมไปๆ มาๆ ถึงโยงไปเรื่องนั้น นี่มันใช่เวลามาพูดเรื่องรักๆ ใคร่ๆ กันเหรอ!? ในห้องพยาบาลที่โคตรไร้ซึ่งความโรแมนติกแบบนี้เนี่ยนะ?
แต่… แต่ทำไมเขาใจเต้นตามวะเนี่ย
“พี่ปัน ผมรู้ว่าพี่กำลังรอ… รออะไรบางอย่าง แต่ผมก็ไม่ค่อยเข้าใจหรอกว่าพี่กำลังรออะไร”
“เออ โด… เดี๋ยว” แค่รอให้ถึงวันสุดท้ายของกีฬาสีเท่านั้นเองง่ะ
“แต่ผมไม่อยากรอแล้วครับ” ว่าพร้อมกับบีบมือของคนบนเตียงแน่น นัยน์ตาสีน้ำเข้มสะท้อนความรู้สึกที่มีจนหมดเปลือก “ถ้าพี่ไม่พูด… ผมก็จะพูดเอง”
“เดี๋ยว! เดี๋ยวก่อนๆ ๆ มันยังไม่ถึงเว--” หากเขาพูดได้แค่นั้นเพราะโดนัทโน้มหน้าต่ำลงมา เบียดริมฝีปากเข้ามาแนบชิด ปันเบิกตากว้างขึ้นมาอย่างตกตะลึง เพราะคราวนี้ไม่มีฤทธิ์ของแอลกอฮอล์มาทำให้สติพร่าเลือนอีกแล้ว ทุกอย่างจึงแจ่มชัดมากๆ
ไอ้… ไอ้หมอนี่เพิ่งจะ… จูบเขา?
“อะ…” ปัญญาหน้าร้อนวูบขึ้นมาขณะที่อีกฝ่ายค่อยๆ ผละริมฝีปากออกอย่างอ้อยอิ่ง โดนัทมองหน้าปันนิ่งในขณะที่อีกฝ่ายหลบตาหนีด้วยความขวยเขิน
“พี่ปัน ผมชอบพี่ คบกับผมได้ไหมครับ”
“ดะ… เดี๋ยวก่อนเซ่! ” นั่นมันคำพูดของเขาต่างหาก แล้ว… แล้วไอ้หมอนี่มาพูดอะไรในห้องพยาบาลที่ไร้ความเป็นส่วนตัวขนาดนี้ ถึงตอนนี้จะไม่มีใครอยู่ก็เถอะ
“พี่ปัน” เจ้าตัวเรียกเสียงอ่อน มือประคองใบหน้าของอคกฝ่ายให้หันกลับมามอง นัยน์ตากลมโตสั่นระริกอย่างน่าสงสาร “พี่ปันไม่ได้ชอบผมหรอกเหรอ คราวก่อน ผมพูดไปถึงขนาดนั้นแล้ว พี่ก็ยังปล่อยให้ผมรออีก”
“ก็… นั่นมัน…”
“พี่ไม่ได้ชอบผมจริงๆ ใช่ไหม”
ปัญญากระชากคอเสื้อของคนถามลงมาแล้วกดจูบลงไปอีกรอบ โดนัทลืมหายใจไปชั่วจังหวะหนึ่งก่อนจะปิดเปลือกตาแล้วจูบตอบอีกฝ่ายอย่างอ่อนหวาน มันดีขึ้นทุกครั้งที่พวกเขาจูบกัน เหมือนมันลึกซึ้งขึ้นเรื่อยๆ เขารู้สึกได้ถึงแขนแกร่งที่โอบรอบตัวเขา และมันชวนให้ใจเต้นแรงขึ้นมาอีกครั้ง
“ยังจะพูดแบบนั้นอยู่อีกไหม หืม? โดนัท” ปัญญาว่าหลังจากที่ผละจูบออก ใบหน้าขึ้นสีระเรื่อไม่ต่างจากคนที่โดนขโมยจูบไปอีกรอบ
“ไม่… ไม่พูดแล้วก็ได้ครับ พี่ปัน”
“‘ก็ได้’ เหรอ? ”
“ก็พี่ไม่ทำให้มันชัดเจนสักที”
“ฉันชอบนาย”
ว้าก… อีแบบนี้ก็ชัดไป๊!
“น่ะ พอพูดแล้วก็หน้าแดง เขินจนแดงไปทั้งตัวแล้วนั่น”
“กะ… ก็ต้องเขินไหมพี่ แล้วพี่ไม่เขินหรือไง”
“...” จะเหลือเรอะ
นัยน์ตากลมโตของเจ้าตัวช้อนขึ้นมามองคนตรงหน้า ปัญญาเองก็มองตาอีกฝ่ายตอบตรงๆ เสียงเอะอะโวยวายและเสียงเฮดังมาจากด้านล่างฝั่งสนามบาส ป่านนี้การแข่งระหว่างทั้งสองสีคงรู้ผลแล้ว แต่เสียงพวกนั้นเหมือนมาจากที่ไกลๆ มากกว่า ราวกับว่ารอบตัวพวกเขามีที่ดูดซับเสียงไม่ให้ความวุ่นวายภายนอกรบกวนช่วงเวลาที่ความรู้สึกที่อยู่ในถูกกะเทาะออกมา
ปัญญาเป็นฝ่ายลูบแก้มขาวเนียนที่ติดสีชมพูระเรื่อบนใบหน้าของโดนัทแทนในรอบนี้
“พี่รู้ว่าพี่พูดช้าเอง แต่ขอให้พี่ได้เป็นคนพูดประโยคนั้นเถอะ… คบกับพี่นะ โด พี่สัญญาจะไม่ทำให้โดเสียใจ”
“ครับ” ริมฝีปากคู่สวยยกยิ้ม หัวใจฟูฟ่องเหมือนจะพาตัวเขาลอยได้อยู่แล้ว “ผมชอบพี่นะ พี่ปัน”
“ฮึ่ย แล้วคราวหลังก็ห้ามแย่งพี่พูดในสิ่งที่พี่ควรจะพูดอีกนะ รู้ไหม” พูดด้วยน้ำเสียงเข่นเขี้ยว หากโดนัทหัวเราะร่วนกับคำพูดนั้นเบาๆ
“ก็พี่ชักช้าอ้ะ”
“เขาเรียกว่ารอให้ถึงเวลาที่สมควร”
“อย่างเช่นตอนนี้? ”
“ห่างไกลจากเวลาที่สมควรไปสุดๆ ”
“นั่นสินะครับ ผมว่าผมทำแผลให้พี่ต่อดีกว่า เข่าพี่คงรอนานแล้ว”
“เออสิ ชาไปหมดทั้งแถบ” ที่จริงก็ชาไปหมดทั้งตัวด้วยความตื่นเต้นนี่แหละ โว้…
แต่เหตุการณ์นี้ทำให้ปัญญาได้เรียนรู้อยู่อย่าง คือไอ้บรรยากาศเป็นใจแบบที่เขาวาดภาพไว้ใหญ่โตนั่นน่ะ บางทีมันอาจไม่สำคัญเท่ากับความรู้สึกของคนสองคนก็ได้
…
เป็นวันที่ดีสุดๆ
เด็กหนุ่มนึกครึ้มใจกับสิ่งดีๆ ที่เพิ่งพบเจอมาในวันนี้ กิจกรรมกีฬาสี สีม่วงของเขาก็ได้ขึ้นแท่นเป็นที่สอง แถมยังได้เป็นแฟนกับรุ่นน้องที่เขาตามจีบมาตั้งนานสองนาน ถึงจะผิดแผนไปหน่อยแต่ปันก็รู้สึกว่ามันวิเศษมากอยู่ดี แถมการที่โดนัทเป็นฝ่ายรุกเขา สารภาพกับเขาแบบนั้นเป็นสิ่งที่พิสูจน์ให้เห็นว่าอีกฝ่ายเองก็จริงจังกับเขาเช่นกัน แล้วแบบนี้จะไม่ให้เขาที่ชอบเด็กหนุ่มคนนั้นมาตั้งนานดีใจได้ไง?
โอ๊ย โคตรแฮปปี้ รู้สึกต้องส่งผ่านความสุขนี้ต่อให้คนในบ้านรู้
“พ่อ ผมกลับมาแล้วฮะ โทษทีที่กลับช้า พอดีผมไปกินข้าวกับโดหลังกีฬาสีเลิกน่ะ แล้วนี่พ่อกินอะไรหรือยัง”
“ปัน…” เสียงตอบรับเนือยๆ ดังมาจากคนที่นั่งหันหลังให้เขา ตรงหน้าชายหนุ่มยังมีขวดเหล้ากับกระป๋องเบียร์ตั้งไว้เรียงราย แต่คนที่เพิ่งกลับมาถึงบ้านไม่ทันสังเกตเพราะเอาแต่จัดการวางกระเป๋านักเรียนบนโซฟา ถอดถุงเท้า แถมยังตกอยู่ในภวังค์โลกสวยของตัวเอง
“เออ พ่อ… ผมรู้ว่าพ่ออาจจะ… แบบ ยังไม่ค่อยยอมรับเรื่องพวกนี้เท่าไร แต่ เอ่อ… ผมคบกับโดแล้วนะ แบบ คบเป็นแฟนกันจริงๆ จังๆ น่ะ”
“...”
ไม่มีการตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก นั่นทำเอาปัญญาใจฝ่อลงมาหน่อยเหมือนกัน บางทีเขาอาจจะไม่ควรยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูด
“งั้น… ผมว่าผมขึ้นห้องก่อนดีกว่า จะไปเคลียร์เรื่องเอกสารที่ต้อง-- พ่อ! พ่อกินเหล้าเยอะขนาดนี้เลยเหรอ? นี่มันมากไปหรือเปล่า? งานมันเครียดขนาดนั้นเลยหรือไง”
“แกจะพูดมากอะไรนักหนาวะ ไอ้ปัน ฉันชักหนวกหูแล้วนะ”
ปัญญาสะดุ้งเฮือกเมื่ออีกฝ่ายลุกพรวดขึ้นมา เสียงขาเก้าอี้ที่ครูดไปกับพื้นชวนให้เสียวฟันเหมือนที่มันเคยเป็น แต่ตอนนี้เขาชักเสียวสันหลังมากกว่า เขาไม่เคยเห็นพ่อตัวเองเดือดดาลขนาดนี้มาก่อน
พ่อคงโกรธเรื่องที่เขาคบกับโดนัท…
“พ่อ” เรียกอีกฝ่ายทั้งที่ใจเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ จะว่ากลัวก็กลัว แต่เห็นอีกฝ่ายเซไปมาเหมือนจะล้มแหล่มิล้มแหล่แล้วอดเป็นห่วงไม่ได้ “พ่อเดินไหวรึเปล่า ขึ้นไปนอนพักเถอะ มาครับ ผมช่วยนะ”
เดินเข้าไปใกล้อีกฝ่ายเพราะตั้งใจจะช่วยพยุง แต่แล้วปัญญาก็ต้องชะงักไปเมื่ออีกฝ่ายกระชากคอเสื้อเขาเสียเต็มแรง และยังไม่ทันที่เขาจะได้เอ่ยปากถามอะไร นพดลก็หลุดคำพูดสั้นๆ ออกมาเหมือนคนขาดสติ
“แม่งเอ๊ย”
ผัวะ!
เด็กหนุ่มเบิกตากว้างขึ้นข้นด้วยความตกใจ ใบหน้าหันไปตามแรงกระแทก จากนั้นก็ตามมาด้วยอาการชาที่บริเวณนั้น
พ่อ… ต่อยเขา?
--------------------------------------------------
Talk: ตอนแรกเราก็ว่ามันไม่ดราม่านะ... สรุปว่ามันดราม่าใช่ไหม