บทที่ 10
‘เมื่อไหร่พี่ปัน… จะบอกชอบผมเหรอครับ’
เสียงนั้นดังสะท้อนอยู่ในหัวเขาเป็นรอบที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้ มันมาพร้อมกับภาพของเด็กหนุ่มรุ่นน้องคนนั้นของเขาในหัว นัยน์ตาสีน้ำตาลกลมโตที่มองมาที่เขาอย่างตัดพ้อและมีความหวัง แปลกดีที่เขาคิดถึงอีกฝ่ายได้มากขนาดนี้ทั้งที่ก็เจอกันอยู่ทุกวัน
‘คนเราเนี่ยนะ ถ้ารักกันมันก็รักกันปะวะ รักกันก็คบกัน ก็แค่นั้นเอง อย่างน้อยก็ได้ลองพยายามแล้ว จะไปรอดหรือไม่รอดก็จะได้รู้กันไป ดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย’
นี่เสียงไอ้ห่าเบนซ์ที่ตอกย้ำลงมาทำให้เขาสับสนกับสิ่งที่ตัวเองยึดมั่นมาตลอด ทั้งที่เขาเชื่อว่าคนเรารักกัน มีความรู้สึกดีๆ ให้กัน ไม่จำเป็นจะต้องคบกันเพื่อป่าวประกาศให้โลกรู้ก็ได้แท้ๆ แต่ไอ้เบนซ์กลับพูดออกมาได้ง่ายๆ เลยว่ารักกันก็คบกัน… ทั้งที่ความจริงแล้วมันไม่ง่ายแบบนั้นสักหน่อย ไหนจะเรื่องที่พวกเขาเป็นผู้ชายกันทั้งคู่ เรื่องพ่อเขาที่ยังยอมรับตรงจุดนี้ไม่ได้ แล้วก็ เอ่อ คอมเม้นท์เชิงลบพวกนั้นที่จริงๆ ก็ไม่ค่อยเกี่ยวเท่าไร แต่ปันก็อดไม่เก็บเอามาคิดมากไม่ได้อยู่ดี
สรุปก็คือ… สำหรับเบนซ์แล้วเรื่องคบกันมันฟังดูง่าย แต่สำหรับเขามันยากยิ่งกว่าแก้โจทย์เลขคณิตศาสตร์ระดับมหาลัยเสียอีก พอล่ะ ไม่อยากคิด เอาไว้ค่อยๆ ปล่อยให้มันเป็นไปตามที่มันควรจะเป็น---
“พี่ปัน หวัดดีครับ ขอโทษที่ให้รอนาน”
ปัญญาสะดุ้งเพราะเสียงหวานๆ กับรอยยิ้มสดใสบนใบหน้าของคนที่ก้าวเข้ามาหาเขาที่นั่งอยู่บนม้านั่งใต้ต้นไม้ของโรงเรียน โดนัทถือกระเป๋านักเรียนสีดำแบนๆ ไว้ในมือข้างหนึ่ง บนบ่าสะพายกระเป๋ากีฬาที่มีเครื่องแบบและชุดสำหรับเปลี่ยนเสร็จสรรพ วันนี้ปัญญานัดกับอีกฝ่ายไว้ว่าจะไปดูการฝึกซ้อม เขาลุกพรวดขึ้นจากม้านั่งพร้อมกับคว้ากระเป๋านักเรียนขึ้นมาอย่างร้อนรน
“เอ่อ เปล่า ไม่ได้รอนานอะไรหรอก แล้วนี่เราจะไปยังไงกันดีล่ะ วันนี้พ่อโดไม่สะดวกมารับไม่ใช่เหรอ”
“ผมโทรไปเรียกแท็กซี่ไว้แล้วล่ะครับ เราไปรอที่หน้าศาลากัน” เจ้าตัวว่ายิ้มๆ ขณะเริ่มออกเดินนำ
ปัญญาเดินตามรุ่นน้องไปอย่างว่าง่าย ตั้งแต่วันที่โดนัทมาบอกกับเขาว่าจะรอ… อีกฝ่ายก็ไม่เคยเร่งเร้าหรือมีท่าทีตัดพ้อเหมือนตอนนั้นอีกเลย เด็กหนุ่มยังคงทำตัวเหมือนเดิมราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ปันก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายยังคงรอเขาอยู่ บางทีเขาน่าจะยกประเด็นเรื่องนี้ขึ้นมาพูดแล้วเคลียร์กับเจ้าตัวให้รู้เรื่องว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาสองคนควรจะดำเนินไปในทิศทางไหน
หรือว่าบางที… เขาอาจจะแค่ขออีกฝ่ายคบให้เป็นเรื่องเป็นราวไปเลยดี?
ภายในโรงยิมที่เต็มไปด้วยการฝึกซ้อมของอีกหลายๆ คน ปัญญาหยิบเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการยื่นเรื่องขอวีซ่าขึ้นมาจัดการต่อ เอกสารดังกล่าวกระจายไปทั่วทั้งโต๊ะ จากนั้นก็มีหนังสืออีกเล่มที่เขาพกไว้อ่านสอบเตรียมเข้ามหาลัยอีก เรียกได้ว่าต้องทำอะไรพร้อมกันหลายอย่างจนหัวหมุน
แต่เขาก็รู้สึกว่าการได้ทำตัวยุ่งตลอดเวลาแบบนี้สนุกดีเหมือนกันแหละนะ
ปัญญาจมอยู่กับเรื่องของตัวเองอยู่อีกครู่ใหญ่ เขาเงยหน้าขึ้นมองโดนัทที่กำลังตั้งใจฝึกอย่างจริงจังเป็นระยะๆ แววตามุ่งมั่นกับท่าทางหนักแน่นของเพื่อนรุ่นน้องเขามันเปล่งประกายออกมาชัดเจนจริงๆ และมันทำให้รู้สึกภาคภูมิใจอย่างบอกไม่ถูก
เขาไม่แปลกใจเลยว่าทำไมอีกฝ่ายถึงไปได้ถึงระดับประเทศ แต่เขาแปลกใจว่าทำไมโดนัทถึงยอมเลือกเขา ถึงแม้เขาจะเป็นคนมีชื่อเสียงในโรงเรียน เรียนเก่ง แต่ก็ไม่ได้มีอะไรโดดเด่นแบบที่ไปถึงระดับโลกแบบเจ้าตัว และยิ่งคิดแบบนั้น ปัญญาก็ยิ่งใจเต้นด้วยความดีใจ เพราะผลสุดท้ายแล้วคนที่โดนัทเลือกก็คือเขาอยู่ดี แล้วตัวเขาล่ะ? เขาจะปล่อยให้อีกฝ่ายรอไปอีกนานแค่ไหน?
ในที่สุดเด็กหนุ่มที่แวะไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าเขาพร้อมกับรอยยิ้มกว้างขวาง
“เสร็จแล้วครับ พี่ปัน ผมขอโทษที่ให้พี่รอนานนะ ให้พี่มารอผมซ้อมแบบนี้คงเบื่อแย่”
“ไม่หรอก” ปัญญาว่าขณะยีผ้าสีขาวที่อยู่บนเส้นผมเปียกปอนของอีกฝ่าย หมอนี่สระผมแล้วชอบปล่อยไว้ทุกที เดี๋ยวก็ไม่สบายกันพอดี “แล้วทำไมไม่เช็ดผมให้แห้ง มานี่มา ขยับมาใกล้ๆ นี่ เดี๋ยวเช็ดให้ แล้วขากลับนี่จะเอายังไง”
“อืม… ก็...” พวงแก้มของเด็กหนุ่มแดงขึ้นนิดหนึ่งโดยที่ปันไม่ทันสังเกต “เดี๋ยวคงเรียกแท็กซี่กลับมั้งครับ แล้วพี่ปันจะเอายังไง ขอโทษนะครับที่ป๊าผม--”
“เฮ้ จะขอโทษทำไมเนี่ย เอางี้ เดี๋ยวให้แท็กซี่วนไปส่งโดก่อนแล้วค่อยไปส่งพี่ที่บ้าน โอเคไหม แล้วเราหารค่าแท็กซี่กันคนละครึ่ง”
“ตกลงครับ” เจ้าตัวว่าพร้อมกับยิ้มสดใส รอยยิ้มที่เห็นทีไรก็ชวนให้ใจเต้น… โอเค เขาว่าเขาเริ่มอาการหนักขึ้นเรื่อยๆ ล่ะ “งั้นเราเตรียมกลับกันเลยดีกว่า ช้ามากเดี๋ยวพี่ปันจะกลับบ้านดึกอีก ผมไม่อยากให้น้าดลพลอยโกรธผมไปด้วย”
“พ่อพี่ไม่ใช่คนแบบนั้นหรอกน่า” เจ้าตัวพูดพลางหัวเราะร่วน
ปัญญาพยายามหาเรื่องชวนอีกฝ่ายคุยไปตลอดทางระหว่างที่อยู่ในรถโดยสาร เขาชั่งใจว่าจะพูดเรื่องของพวกเขาสองคนหลายรอบ แต่เนื่องจากสถานที่ที่พวกเขาอยู่มันก็ไม่ได้เป็นส่วนตัวขนาดนั้น (คือคนขับแท็กซี่นั่นแหละ) จนแล้วจนรอดปัญญาเลยไม่กล้าพูดอะไรออกมาสักคำ เขาสงสัยว่าโดนัทจะรู้ความกระอักกระอ่วนนี้ของเขาหรือเปล่า
ในที่สุดตัวรถก็มาจอดที่หน้าบ้านของอีกฝ่าย โดนัทหันมายกมือไหว้รุ่นพี่ก่อนจะโบกมือลาพร้อมรอยยิ้มตามเคย
“งั้นผมไปก่อนนะฮะ ขอบคุณที่มาส่งถึงนี่นะครับ แล้วเดี๋ยวไลน์ไปหานะ พี่ปัน”
“อื้ม” ปัญญายกยิ้มฝืดๆ สิ่งที่ตกค้างอยู่ในใจยังหนักอึ้ง “งั้นเดี๋ยวคุยกัน นอนเร็วๆ ล่ะวันนี้ อย่าเอาแต่เล่นเกม รู้ไหม”
“รู้แล้วน่าพี่ ฝันดีครับ” แล้วเจ้าตัวก็ปิดประตูรถ
…
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมาระหว่างที่นพดลนั่งอยู่บนโต๊ะอาหาร ตรงหน้ามีสมุดเล่มเก่ามากมายของนภัสสรที่เขารวบรวมมา เขารู้ดีว่าตัวเองกำลังทำอะไรโง่ๆ อย่างการเทียบลายมือลงกับแผ่นกระดาษปริศนานั้น แต่ไม่ว่าเขาจะทำยังไงก็หาร่องรอยอะไรไม่ได้เลยอยู่ดี
“ฮัลโหลครับ” ชายหนุ่มกรอกเสียงลงไปขณะที่มืออีกข้างลูบไล้กระดาษเก่าๆ แผ่นนั้นอย่างเบามือ
‘เราหนีไปด้วยกันเถอะ’
ไอ้ข้อความที่เหมือนจะชวนหนีตามกันไปที่ไหนสักแห่งแบบนี้มันอะไรกัน มิ้นต์ได้มันมาจากใคร ภรรยาของเขาแอบมีคนอื่นโดยที่เขาไม่รู้อย่างนั้นเหรอ? แต่ยิ่งคิดมากเท่าไรก็ไม่ได้ช่วยให้เขาหลุดพ้นออกไปจากกรอบความทุกข์ที่ปรากฏขึ้นมาในช่วงหลายวันนี้เลย
เสียงของเกรซดังขึ้นมาตามสาย คงจะโทรมารายงานเรื่องที่เขาขอให้ไปสืบ
“หวัดดีดล โทดทีนะที่รอบนี้ติดต่อมาช้า พอดีคุณสนเขายุ่งๆ กับอีกคดีหนึ่งที่มันใหญ่หน่อย ของนายเลยอาจจะตามหลังบ้าง”
“ช่างมันเถอะ เกรซ คราวนี้ได้อะไรมาเพิ่มเหรอ” เขาถามกลับอย่างเหนื่อยอ่อน ในใจน่ะแอบคิดไปแล้วว่าช่างแม่งเรื่องทุน เขาอยากให้อีกฝ่ายตามสืบว่าชู้ของเมียเขาเมื่อสิบกว่าปีที่แล้วเป็นใครมากกว่า ไม่อยากเชื่อว่าเขาจะรู้สึกเป็นเดือดเป็นร้อนขนาดนี้ทั้งที่หญิงสาวก็ตายจากไปนานแล้ว
“อือ คราวก่อนฉันบอกนายแล้วใช่ไหมว่าไม่เคยมีใครได้ทุนนี่นอกจากที่ปันได้ ทุนนี่มันไม่เคยมีอยู่อย่างเป็นทางการจริงๆ จากที่ลองเช็คจากหลายๆ ทางนะ แต่ทีนี้บัญชีที่นายได้เงินมา… ฉันลองตามสืบย้อนกลับไปดูแล้วว่าใครเป็นเจ้าของบัญชีตัวที่ส่งเงินให้นาย น่าแปลกมากที่เป็นแค่ชื่อบัญชีของพนักงานทำความสะอาดคนหนึ่งที่ทำงานอยู่ในตึกช่องละครโทรทัศน์”
“เฮ้ๆๆ เดี๋ยวสิ” เขารีบเบรกก่อนที่เพื่อนตัวเองจะอินไปกับบทบาทสืบสวน นี่คิดว่าตัวเองเป็นโคนันเหรอ หรือยังไง “ทำไมอยู่ๆ เรื่องมันถึงได้ลุกลามไปใหญ่โตปานนั้น นี่ฉันต้องจ่ายเธอเพิ่มรึเปล่า”
“ยี้ ขี้งกแม้แต่กับเพื่อนกับฝูงเหรอยะ แต่ช่างเถอะ ฉันอาจจะคิดเพิ่มในส่วนของค่าเดินทางนิดหน่อย แต่ไม่ได้กะเอาเงินจากนายมากมายอยู่แล้ว… อีกอย่าง สืบเรื่องลูกนายก็สนุกดี ฉันพูดเรื่องที่สืบมาได้ต่อได้รึยัง?”
“ยัง บอกฉันก่อนว่าเธอไปสืบสาวเรื่องบัญชีย้อนกลับที่ว่านั่นมาได้ไง นี่คิดว่าตัวเองเป็นเจมส์ บอนด์เหรอ”
“โอ๊ย ขอทีเถอะน่าพ่อคนธรรมดา ไม่ได้อยู่วงการนี้ก็หุบปากไป ฉันมีเส้นสายของฉันย่ะ แล้วเจมส์ บอนด์ก็ไม่ทำงานต๊อกต๊อยแบบนี้ด้วยจะบอกให้”
เออ เอาไงก็เอาเหอะ
“แต่… อืม ฉันว่าบางทีนายอาจจะคิดว่าฉันจุ้นจ้านมากไป” เสียงของปลายสายแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดขึ้นมากะทันหัน นั่นทำเอานพดลนิ่งเงียบ ตั้งใจฟังขึ้นมาทันที “คือว่า… อันที่จริงแล้วฉันไปสืบหามาได้เรียบร้อยแล้วล่ะว่าคนที่จ่ายทุนให้น้องปันมาตลอดน่ะเป็นใคร จริงๆ แล้วเรื่องนั้นน่ะ พอสืบดูจริงๆ มันได้คำตอบไม่ยากหรอก แต่ไอ้เหตุผลนี่ที่มันไม่ลงล็อก ฉันก็เลย แบบว่า… เอ่อ ไปสืบหาเหตุผลตรงนั้นมาด้วย”
ชายหนุ่มปิดเปลือกตาทั้งสองข้างลง พิงหลังลงกับพนักเก้าอี้อย่างเหนื่อยอ่อน เดาได้แล้วว่าเพื่อนสาวกำลังจะพูดอะไร
“ว่าต่อสิ”
“คืออย่างนี้ ฉันไปสืบมาจากแม่บ้านคนนั้นก่อน แล้วก็ได้เรื่องมาว่าหล่อนได้เงินมาจากคุณองอาจ คนที่ดูแลทุนน้องปันนั่นแหละ ตอนแรกฉันก็เลยฟันธงว่ามันเป็นเงินจากคุณองอาจนี่แหละ แต่ทีนี้ก็มาถึงคำถามที่ว่า แล้วทำไมเขาต้องให้เงินน้องปันด้วย ฉันก็เลยตามสืบเรื่องของเขาต่ออีกนิด”
นพดลรู้สึกว่าเลือดสูบฉีดที่หัวใจเขาหนักขึ้นเรื่อยๆ “แล้วยังไงต่อ”
“นายต้องไม่เชื่อแน่ว่าเบื้องหลังแล้วเขาทำงานให้ใคร บดิศร สว่างวงศ์ที่เป็นดาราใหญ่ไงแก เขาเป็นคนวางแผนพวกการเงินอะไรๆ ให้หมดเลย ไม่ใช่เลขานะ แต่เหมือนเป็นผู้ปรึกษาส่วนตัวไรงี้”
เขาไม่สนใจเรื่องตำแหน่งขององอาจ แต่ชื่อของบดิศรทำให้เขานึกอยากครางออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน เขาจำได้ว่ามิ้นต์เคยพูดถึงดาราคนนี้ตั้งแต่สมัยเมื่อตอนนั้น ตอนที่หล่อนยังมีชีวิตอยู่ แต่นั่นมันก็แค่บทสนทนาธรรมดาๆ ที่ไม่ได้ทำให้นึกเอะใจอะไร ก็ใครจะไปคิดล่ะว่าคนธรรมดาจะเข้าถึงตัวซูเปอร์สตาร์แบบนั้นได้
แต่เขาคงลืมนึกไป… ว่าภรรยาของเขาเป็นผู้หญิงที่มีเสน่ห์ดึงดูดแค่ไหน และคงเพราะความไว้ใจที่เขามีต่อหล่อน
“ก็… เอ่อ สรุปง่ายๆ ก็คือ ทุนน้องปันก็มาจากเงินเขานั่นแหละ”
รู้สึกเหมือนโดนขวานจามลงบนอกข้างซ้าย ถ้าหัวใจเขาเป็นรูปเป็นร่างให้เห็นด้วยตาเปล่าได้ ป่านนี้มันคงแหลกละเอียดเป็นผุยผงยิ่งกว่าเม็ดทรายในทะเลทรายซาฮาร่าแล้ว
เกรซได้ยินเสียงถอนหายใจหนักหน่วงเหมือนคนรู้ตัวว่าตัวเองกำลังจะตายในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าของเพื่อน หล่อนจึงเลือกที่จะเงียบเพื่อให้นพดลซึมซับข้อมูลและความผิดหวังเหล่านั้นด้วยตัวเอง หล่อนรู้ดีว่าอีกฝ่ายปะติดปะต่ออะไรเองได้แล้วหลังจากนี้ ดลไม่ใช่คนไม่มีหัวคิด
“มิ้นต์ทำแบบนี้ได้ยังไง”
“ดล…”
“ยัยนั่นทำกับฉันแบบนี้ได้ยังไง” เสียงของเขาสั่นเครือมาตามสาย เกรซรู้สึกว่าตัวเองคิดผิดมากที่โทรมาบอกเขาเรื่องนี้ผ่านทางโทรศัพท์ หล่อนน่าจะนัดเจอเขาจะได้พูดปลอบและให้กำลังใจได้อย่างเต็มที่ ไม่ใช่ผ่านทางเสียงสัญญาณแบบนี้
“ดล ตั้งสติก่อน ใจเย็นๆ เอาไว้ บางทีนี่อาจเป็นเรื่องเข้าใจผิด…”
“เธอตามสืบมาได้ขนาดนี้แล้วยังจะพูดอีกเหรอว่านี่เป็นเรื่องเข้าใจผิด”
“เอ่อ ฉันหมายถึง… บางทีคุณบดิศร… เขา เอ่อ อาจจะเข้าใจผิดว่าปันเป็น…” หล่อนพูดต่อไม่ออก อันที่จริงทุกอย่างมันก็ชัดเจนมากแล้ว ยิ่งถ้าลองได้เทียบรูปถ่ายของปัญญาที่หล่อนขอให้นพดลส่งมาให้ดู… เทียบปันกับดารารุ่นใหญ่คนนั้น ทุกอย่างก็ลงล็อกไปหมด
และเหมือนนพดลเองก็คิดแบบนั้นเช่นกัน เขาส่ายหัวไปมาทั้งที่รู้ดีว่าอีกฝ่ายมองไม่เห็น
“ฉันมันโง่จริงๆ เกรซ โง่จริงๆ ฉันไม่เคยนึกสงสัยหรือเอะใจอะไรเลย ฉันเชื่อใจมิ้นต์มาตลอด ขอบคุณเขามาตลอดที่ส่งของขวัญที่แสนวิเศษมาให้ แต่นี่---”
“ปัญญาก็ยังเป็นของขวัญที่แสนวิเศษของนายอยู่นะ ดล”
เขาส่ายหน้า รู้สึกถึงน้ำตาหยดหนึ่งที่ไหลลงมาอาบแก้ม หัวตื้อไปหมด คิดอะไรไม่ออก
“ดล ตั้งสติหน่อย ตอนนี้ปันอยู่บ้านหรือเปล่า นายออกมาเจอฉันหน่อยไหม แวะเข้าเมืองมาแล้วก็หาอะไรกิน--”
“ฉันขอโทษ เกรซ” น้ำเสียงอ่อนระโหยเหมือนคนหมดแรง “ฉัน… ฉันอยากคิดอะไรเงียบๆ คนเดียวหน่อย ขอบคุณมากจริงๆ ที่ช่วยตามสืบถึงขนาดนี้ ฉันจะโอนเงินอีกครึ่งไปให้…”
“ดล นายแน่ใจนะว่าจะไม่ออกมากินข้าวด้วยกันจริงๆ” น้ำเสียงเจ้าหล่อนเป็นห่วงเขาอย่างจริงใจ มันทำให้นพดลหน้าชาขึ้นมา นึกสงสัยว่ามิ้นต์… ผู้หญิงที่เขารักอย่างสุดหัวใจคนนั้นเคยห่วงเขาให้ได้สักครึ่งอย่างที่เกรซห่วงเขาบ้างไหม
“ไม่… ฉันไม่เป็นไร แค่… แค่ต้องการเวลา”
“งั้นนายก็จะได้อย่างที่ต้องการ อย่าทำอะไรบ้าๆ นะ ดล ตั้งสติดีๆ แล้วคิดดีๆ ว่าจะทำยังไงต่อจากนี้ โอเคไหม แล้วฉันจะติดต่อไปใหม่”
“ขอบคุณ” เขาพูดเพียงเท่านั้นแล้วกดวางสาย แหงนหน้าขึ้นมองเพดานแล้วยกแขนขึ้นมาพาดปิดตาทั้งสองข้าง ได้ยินเสียงสะอื้นแผ่วเบาเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปาก
ใครก็ได้ช่วยบอกเขาทีว่าทุกอย่างนี่มันแค่เรื่องโกหก…
…
“ขอโทษครับ ช่วยจอดตรงนี้หน่อยได้ไหม” ปัญญาพูดขึ้นหลังจากที่ลังเลแล้วลังเลอีกเป็นเวลาหลายสิบนาที คนขับแท็กซี่ร้องอุทานอย่างงงๆ แต่ก็ยอมทำตามที่ผู้โดยสารบอกอย่างว่าง่าย
ปัญญาจ่ายเงินค่าโดยสารเสร็จแล้วก็ลงมาอยู่ที่ทางเท้า บรรยากาศรอบตัวเขาโอบล้อมไปด้วยความมืดของยามค่ำคืน
จุดที่เขาอยู่เลยบ้านของโดนัทมาไกลพอสมควร แต่ก็ไม่ไกลเกินความสามารถเขาที่จะเดินให้ถึงภายในสามสิบนาทีแน่
พอกันทีกับการลังเลอะไรไร้สาระ… เขาควรจะต้องบอกโดนัทเรื่องความรู้สึกของตัวเองกับสิ่งที่เขาคิดและจะทำต่อจากนี้
ขาเรียวยาวของเจ้าตัวเริ่มออกวิ่ง ปัญญาก็รู้สึกเหมือนกันว่าตัวเองทำอะไรบ้าๆ ตัดสินใจกะทันหันแล้วก็ตั้งใจจะบอกกะทันหัน… ทั้งที่จริงๆ แล้วเขาจะเก็บไว้บอกในวันรุ่งขึ้นก็ได้แท้ๆ แต่มันคงเป็นอะไรบางอย่างที่อยู่ในตัววัยรุ่นแบบเขาล่ะมั้ง อะไรบางอย่างที่มันบ้าระห่ำแล้วก็เอาแต่ใจ ไร้เหตุผล แถมยังงี่เง่าแล้วก็ทำให้ตัวเองลำบาก
เหงื่อที่ไหลซึมลงมาทั่วทั้งร่างทำให้ร่างกายเขาเย็นเพราะลมที่ปะทะเข้ามา ให้ความรู้สึกดีแบบแปลกๆ อยู่เหมือนกัน
เขาพาตัวเองมาอยู่ที่หน้าบ้านของโดนัทอีกครั้งจนได้ แต่ครั้งนี้มาพร้อมกับความมั่นใจเปี่ยมล้น ปัญญาตระหนักได้แล้วว่ามันไม่ยุติธรรมเลยที่จะให้อีกฝ่ายรอเขาอย่างเดียว เขาควรจะเปิดใจพูดคุยกับหมอนั่นให้รู้เรื่อง ความสัมพันธ์ของพวกเขามันเลยจุดที่พอจะกล้อมแกล้ม เรียกได้ว่าเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องมานานแล้ว แถมเขายังเป็นฝ่ายขโมยจูบเจ้าตัวในวันนั้นอีก…
เอาล่ะ ต้องทำให้มันชัดเจน ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นยังไงก็ช่าง แต่เขาต้องคุยกับโดนัทให้รู้เรื่อง!
คิดแบบนั้นแล้วนิ้วเรียวก็เตรียมเลื่อนไปจะกดกริ่ง เป็นจังหวะเดียวกับที่เสียงอะไรบางอย่างเหมือนเสียงฟาดดังลงมาให้ได้ยินจากในตัวบ้าน จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงก่นด่าสาปแช่งของผู้หญิงอีกคนหนึ่ง สลับมากับเสียงโวยวายของใครอีกคนที่เกรี้ยวกราดไม่แพ้กัน
ปัญญาคิดว่าเขาได้ยินเสียงจานหรือแก้วแตกดังเพล้งจากในตัวบ้าน จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงเอ็ดตะโรที่ดังลั่นอย่างต่อเนื่อง เขาถือวิสาสะมองเข้าไปด้านในตัวบ้านที่ติดกระจกใสจนมองเห็นทุกอย่าง และเขาก็เห็นว่าหญิงสาวคนหนึ่งกำลังเงื้อด้ามไม้กวาดในมือฟาดลงบนแผ่นหลังของรุ่นน้องเขาอย่างแรง
ปัญญาอ้าปากค้างอย่างตกใจ เขาเคยโดนพ่อฟาดมาหลายครั้งเหมือนกันในชีวิต แต่ไม่เคยเจออะไรที่ดูรุนแรงขนาดนั้นมาก่อน จะลงโทษลูกตัวเองนี่ต้องทำกันหนักขนาดนั้นเลยเหรอ?
“พี่ตี้!! ไอ้พี่บ้า ไหนพี่สัญญาว่าจะไม่บอกป๊ากับม๊า!” โดนัทพูดอย่างโกรธจัด น้ำใสคลออยู่ในตาแต่เขาก็ไม่ได้ปล่อยให้มันไหลลงมา เขาไม่ได้อยากให้น้ำตาคลอด้วยซ้ำ แต่ความเจ็บปวดทางกายมันมากเกินกว่าที่เขาจะกลั้นมันไหว แรงจิกที่บ่าจากหญิงสาวอีกคนที่เป็นแม่เลี้ยงของเขาทำให้เด็กหนุ่มสะดุ้ง แขนยกมือขึ้นมากันตัวอย่างรู้ดีว่าความเจ็บปวดระลอกต่อไปกำลังจะมา
“แกอย่าไปโทษพี่! ไอ้เด็กทุเรศ! รอให้ฉันเอาเรื่องนี้ไปบอกพ่อแกก่อนเถอะ เขาไม่เอาแกไว้แน่ ไม่อายชื่อเสียงวงศ์ตระกูลบ้างเลยรึไง!”
“ม๊า! พ่อแล้ว ไอ้นัทมันเลือดออกแล้ว” คิตตี้พูดอย่างกล้าๆ กลัวๆ เพราะหล่อนไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะโกรธหนักเรื่องที่โดนัทชอบผู้ชายขนาดนี้ ที่สำคัญ… หล่อนรู้ดีว่าจบงานนี้ไปน้องชายต่างสายเลือดต้องมาเล่นงานหล่อนหนักแน่ เพราะงั้นตอนนี้ต้องพยายามหนักให้เป็นเบาไว้ก่อน
“แกก็ไม่ต้องเข้าข้างมัน! มันไม่ใช่น้องแท้ๆ ของแกด้วยซ้ำ แกจะไปแคร์ทำไม!”
“ปล่อยผมได้แล้ว เรื่องนี้มัน… โอ๊ย! ม๊า อย่า ผมขอโทษ พอแล้ว ผมเจ็บ” เขาพยายามกลั้นเสียงสะอื้นไม่ให้เล็ดลอดออกมาจากลำคอ รู้ดีว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาก็ไม่ได้รู้สึกผูกพันกับแม่เลี้ยงหรือพี่เลี้ยงของตัวเองมากก็จริง และต่อให้ความเป็นจริงแล้วเขาถ้าเขาเลือกจะสู้ เขาก็เอาชนะคนทั้งคู่ได้อย่างไม่ยากเย็นอะไร แต่เขาให้เกียรติป๊าของเขามากเกินกว่าจะทำแบบนั้น
ถ้าเกิดทั้งสองคนนี้จะให้เกียรติเขาบ้าง...
“พอได้แล้วครับ”
ด้ามไม้กวาดที่ถูกเงื้อขึ้นกลางอากาศอีกรอบหยุดชะงักลงเพราะมือของใครบางคนที่ยึดเอาไว้ บุคคลทั้งสามที่อยู่ในบ้านหันไปมองผู้มาใหม่ด้วยสายตาตะลึงงัน โดยเฉพาะโดนัทที่ตอนนี้อ้าปากค้างไปแล้วด้วยความคาดไม่ถึง นี่พี่ปันมาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่!?
“แกเป็นใคร!? แล้วนี่เข้ามาในบ้านฉันได้ยังไง!”
“คือ…เอ่อ ประตูบ้านไม่ได้ล็อกครับ แล้วก็… อืม ผมไม่แน่ใจนะว่าคุณน้ากำลังลงโทษโดเรื่องอะไร” ปัญญาพูดด้วยสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ปกติแล้วเขาไม่ใช่คนทำอะไรบุ่มบ่ามแบบนี้ แต่พอเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังจะฟาดโดนัทด้วยไม้กวาดอีกรอบแล้ว… เหมือนเส้นความอดทนของเขาขาดผึงลง “แต่ผมว่าแบบนี้มันเกินเหตุไปหน่อยนะครับ”
“แก… อ้อ อย่าบอกนะว่าแกเป็นคู่ขาของไอ้เด็กบ้านี่!”
ปัญญาสะดุ้งเบาๆ กับคำนั้นในขณะที่โดนัทที่ยอมลงมาตลอดกลับเป็นฝ่ายโกรธขึ้นมาเสียเอง เขาลุกขึ้นพร้อมกับตรงไปยืนตรงหน้ารุ่นพี่ราวกับตั้งใจจะปกป้อง ทั้งๆ ที่ เอ่อ มันควรจะสลับกัน
“เลิกกล่าวหาคนอื่นได้แล้ว คุณ จะตีผมสักกี่ทีผมก็ไม่ว่าหรอกนะ แต่ลองมาทำตัวแย่ๆ ใส่พี่ปันสิ ผมไม่ยอมง่ายๆ แน่”
“นี่แกขู่ฉันเหรอ!?”
“ขู่เหรอ?” นัยน์ตาสีน้ำตาลกลมโตวาวโรจน์ “ก็ลองพิสูจน์ดูสิ แล้วจะได้รู้ว่าผมพูดจริงหรือแค่ขู่”
คิตตี้เดินเข้าไปกอดแขนแม่เป็นเชิงบอกให้อีกฝ่ายยอมถอย ฝ่ายโดนัทเองปัญญาก็เอื้อมมือมาแตะบ่าให้คนเป็นรุ่นน้องสงบลงเหมือนกัน
“โด ใจเย็นๆ ก่อนนะ มีอะไรค่อยๆ คุยกัน”
น้ำเสียงนุ่มนวลของอีกฝ่ายทำให้โดนัทดึงสติกลับมาได้อีกครั้ง เขาหันกลับไปมองอีกฝ่ายนิดหนึ่งอย่างขอบคุณก่อนจะหันกลับมาพูดกับทั้งคู่ต่อ
“ถ้าอยากจะบอกป๊าเรื่องผมชอบผู้ชายนักก็เชิญ ผมไม่สนหรอก”
“แกมันไอ้เด็กทุเรศ! ชอบเพศเดียวกันเนี่ยนะ? ทำตัวน่ารังเกียจแล้วก็น่าขยะแขยงเป็นบ้า!”
อื้อหือ พูดแบบนี้จุกกันไปหลายคนนะครับ
“แล้วที่คุณทำตัวแบบนี้มันน่าสรรเสริญนักเหรอ” คำพูดนั้นมาจากปากของปันที่เคยเคารพแล้วก็อ่อนน้อมกับผู้ใหญ่ทุกคน โดนัทหันกลับไปมองอีกฝ่ายที่จ้องหน้าแม่เลี้ยงเขาอย่างตรงไปตรงมาอึ้งๆ ไม่นึกว่าปันจะออกหน้าให้เขาขนาดนั้น “ผมว่าคำพูดคุณมันก็ย้อนกลับไปหาตัวเองหมดนั่นแหละ ถ้าจะทำตัวใจแคบขนาดนั้นแล้วก็ทำร้ายลูกของตัวเองขนาดนี้”
“มันไม่ใช่ลูกฉัน!”
อ้อ แหม เขาก็ลืมไปเนอะ
“ไม่ใช่ลูกคุณ แต่โดก็เป็นลูกของคนที่คุณรักไม่ใช่เหรอครับ? คุณรักพ่อของโดไม่ใช่เหรอถึงได้แต่งงานกับเขา แล้วคุณจะรักแค่เขา ไม่รักลูกของเขาหรือไง?”
“พี่ปัน” โดนัทแตะแขนของอีกฝ่ายแผ่วเบา “พอเถอะครับ ผมว่าเราไปจากที่นี่กันเถอะ”
“โด…”
“จะไปไหนก็ไป! ลูกทรพีอย่างแก ฉันว่าป๊าก็ไม่อยากเอาไว้หรอก!”
“นี่คุณ--” ปัญญาทำท่าจะแทรกขึ้นมาอีกรอบอย่างเหลืออด แต่โดนัทส่ายหน้า
“เถียงไปก็เท่านั้นครับ ตอนนี้อารมณ์มันร้อน พูดไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้นหรอก”
“นายแน่ใจนะ”
“ช่วยพาผมไปที” เด็กหนุ่มก้มหน้าลงต่ำ พูดเหมือนกระซิบ “พาผมไปที่ไกลๆ กับพี่… ที่ไหนผมก็ไป”
เท่านั้นเองปัญญาถึงได้ฉุดแขนรุ่นน้องออกจากบ้านไปทั้งๆ แบบนั้น
เขาจะไม่ปล่อยให้โดนัทต้องทุกข์ใจกับเรื่องนักหนาพวกนี้คนเดียวอีกแล้ว!
-------------------------------------------------
Talk: สวัสดีค่ะทุกคน วันนี้เราทำงานมาล่ะ เหนื่อยมากเลยค่ะ อาทิตย์นี้ทำงานตั้งหกวัน ฮืออออ//ขอบ่นหน่อยเถอะ ไม่ไหวแย้วววว
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านกันนะคะ! อย่าลืมคอมเม้นท์เป็นกำลังใจให้กันด้วยนะคะ ^^