สวัสดีค่ะ ขออภัยที่มาช้านะคะ เมื่อวานติดงานค่ะ วันหยุดของคนอื่นแต่คือวันทำงานของเราค่ะ วันนี้เลยรีบมาแต่เช้าเลย ช่วงนี้มีหยุดยาวคงไปเที่ยวและก็พักผ่อนกันสินะคะ ยังไงก็ขอให้ Enjoy กับวันหยุดและเดินทางปลอดภัยกันด้วยนะคะ เช่นเคยค่ะ หากมีคำผิดหรือข้อผิดพลาดประการใดก็ขออภัยก่อนเลยค่ะ ขอบคุณทุกกำลังใจ ไว้เจอกันตอนหน้าค่ะ
+++++++++++++++
Holler…เรียกฉันสิที่รัก
ตอนที่ 42 We did.
Looks like we made it
ดูเหมือนว่าเราทำมันได้นะ
Look how far we've come, my baby
ดูสิว่าเรามากันไกลแค่ไหนแล้ว ที่รักของฉัน
We might took the long way
เราอาจจะใช้เวลาที่ยาวนาน
We knew we'd get there someday
แต่เราก็รู้ดีว่าจะถึงที่นั่นในสักวัน
ชีวิตผ่านไปเรื่อยๆเป็นเวลาหลายเดือนแล้วหลังจากวันนั้น ไคและเก้าก็กลับเข้าสู่ภาวะปกติ คือการเป็นคู่กัดที่มีออร่าสีชมพูนิดๆจากการสังเกตของพระพาย แม้จะเคยถามเก้าถึงสถานะแต่เก้าก็บอกยังไม่ใช่แฟนอย่างที่คิด ถึงจะไม่คืบหน้าไปมากกว่านี้แต่ก็เป็นสัญญาณที่ดีว่าสองคนนั้นจะต้องลงเอยกันในไม่ช้าอย่างแน่นอน
พระพายใช้ชีวิตทุกวันอย่างปกติ มีความสุขเรื่อยๆในทุกๆวัน การอยู่ร่วมกับพิธานเริ่มเข้าที่เข้าทางจนตอนนี้เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตแล้ว พิธานที่ทำงานยุ่งแต่ก็ไม่เคยปล่อยให้พระพายห่างกายไกลกว่าที่จะควรเป็น ยังคงตัวติดกันเสมอแม้จะอยู่ด้วยกันทุกวันก็ตามที
สิ่งหนึ่งที่พระพายสังเกตตั้งแต่มาอยู่ด้วยกันคือพิธานดูแลเขามาตลอด ไม่ว่าจะเรื่องอาหารการกินหรือเรื่องต่างๆ พิธานเป็นคนละเอียดอ่อนกว่าภาพลักษณ์ที่แสดงออกมามาก ทำหน้าที่คนรักได้อย่างสมบูรณ์แบบจนบางครั้งพระพายก็รู้สึกว่าตัวเองดูด้อยไปเลยทีเดียว
วันนี้เป็นวันอาทิตย์ วันหยุดที่เรียบง่ายของพระพายตั้งแต่ตื่นมาก็นั่งเล่นนอนเล่นจนเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเอางานกลับมาทำด้วย ตอนนี้จึงนั่งทำงานอยู่ในขณะที่พิธานเองก็นั่งอ่านเอกสารอยู่เช่นกัน
“คุณพิธาน วันนี้จะออกไปข้างนอกรึเปล่า?”
“วันนี้ว่าจะไปหาพี่เพลง” พิธานบอกเช่นนั้น
“ให้ผมไปด้วยรึเปล่า?”
“จะไม่ไปเหรอ?” พิธานถามกลับ
“ไปสิ”
“งานใกล้เสร็จรึยังล่ะ?”
“อีกนิดเดียว”
“เดี๋ยวก็เที่ยงพอดี จะได้ไปทานข้าวกันที่นั่นเลย”
เมื่อได้ยินอย่างนั้นพระพายจึงรีบทำงานต่อ โดยที่พิธานก็ทำงานของตัวเองไป จนในที่สุดก็ถึงเวลาที่พิธานจะไปร้านอาหารของเพลงขวัญ ทั้งสองเปลี่ยนเสื้อผ้าและเดินทางไปยังร้านอาหารของเพลงขวัญ
ใช้เวลาไม่นานนักก็มาถึง เพราะวันนี้เป็นวันหยุด ร้านของเพลงขวัญจึงเต็มไปด้วยผู้คนซึ่งเป็นลูกค้าที่มาทานอาหารกันเยอะแยะ อีกทั้งมีคนกลุ่มหนึ่งซึ่งถือกล้องเหมือนกำลังถ่ายอะไรสักอย่าง
“พิธาน...พระพาย” เพลงขวัญเรียกทันทีที่เห็นทั้งสองคนเดินเข้ามาในร้าน พระพายยกมือไหว้เพลงขวัญทันที
“ทำไมดูวุ่นๆ?” พิธานถาม
“พอดีมีคนมาสัมภาษณ์เรื่องร้านอาหาร ตอนนี้เสร็จแล้ว”
“มีโต๊ะว่างรึเปล่า?”
“รอหน่อยนะ จะมาทำไมไม่บอกกันก่อน” เพลงขวัญบ่นนิดหน่อย
“ไม่คิดว่าคนจะเยอะขนาดนี้” พิธานว่า
“ไปนั่งรอที่ห้องข้างในก่อน เดี๋ยวจะจองโต๊ะไว้ให้”
“ยังยุ่งอยู่รึเปล่า?” พิธานถาม
“ใกล้เสร็จแล้ว ขอไปส่งทีมงานก่อน เดี๋ยวจะเข้าไปหา” เพลงขวัญว่า พิธานและพระพายจึงเข้าไปนั่งรอซึ่งเป็นห้องเล็กๆที่คาดว่าน่าจะเป็นห้องทำงานของเพลงขวัญ
พระพายมองไปรอบๆห้อง พิธานนั้นหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูข่าวสารเพียงครู่หนึ่งจากนั้นก็หันมาพูดคุยกับพระพายที่นั่งอยู่ข้างๆจนเวลาผ่านไปนานพอสมควร
“หิวยัง?” พิธานถามขึ้นหลังจากที่เวลาผ่านเกือบชั่วโมงแล้ว
“รอได้” พระพายว่า พิธานที่ได้ยินดังนั้นก็ขยับตัวเข้าไปใกล้ๆก่อนที่จะโอบไหล่พระพายไว้
“ไม่นานหรอก”
“คุณหิวแล้วใช่ไหม?” พระพายถามพลางยิ้ม
“รู้ดี” พิธานว่าก่อนที่จะก้มเอาหน้าผากไปแตะหน้าผากพระพาย
“อะไรกัน นั่งสวีทไม่อายมดแมลงกันเลยนะ” เพลงขวัญที่เปิดประตูเข้ามาเห็นเข้าพอดีได้ทีแซวอย่างรวดเร็ว
“โต๊ะว่างรึยัง?”
“ว่างแล้วค่ะน้องชาย เชิญค่ะ”
ทั้งสามคนเดินไปยังโต๊ะที่ตั้งป้ายเล็กๆบนโต๊ะว่าจองแล้ว ตอนนี้ภายในร้านไม่ได้วุ่นวายเหมือนตอนแรกที่มา แต่ลูกค้าก็ยังคงเข้ามาต่อเนื่อง เพลงขวัญปล่อยให้พนักงานจัดการตามหน้าที่ ส่วนตัวเองนั้นเลือกที่จะมานั่งคุยกับพิธานและพระพายแทน
“พระพาย เป็นไงบ้าง สบายดีรึเปล่า?” เพลงขวัญทักทายด้วยรอยยิ้ม
“สบายดีครับ คุณเพลงขวัญเป็นไงบ้าง?”
“เรียกพี่เพลงก็พอ...ไหนๆก็แฟนน้องชายนี่หน่า จะเรียกให้ห่างเหินทำไม?” เพลงขวัญยิ้มร่า พระพายได้แต่ยิ้มอย่างอายๆ
“รู้ได้ไง ยังไม่ได้บอกเลย” พิธานว่า
“แกคิดว่าพี่เป็นใคร นี่พี่สาวแกนะอย่าลืมสิ”
“แล้วนี่ใครรู้บ้าง?” พิธานถาม
“ก็....ยังมีอีก” เพลงขวัญมองพิธานด้วยสายตาพิจารณา
“ใคร?”
เพลงขวัญไม่ทันจะได้พูดอะไร กลับมีผู้หญิงคนหนึ่งเปิดประตูร้านเข้ามา เธอเป็นสาววัยกลางคนที่แต่งตัวได้เปรี้ยวเฉี่ยวบวกกับการแต่งหน้าจัดเต็ม ทรงผมตัดสั้นซอยยกสูงยิ่งเพิ่มความเปรี้ยวเข็ดฟันเข้าไปอีก พิธานที่หันไปเห็นผู้มาเยือนถึงกับถอนหายใจออกมาแรงมากจนพระพายถึงกับต้องจ้องมองเพราะไม่เคยเห็นพิธานแสดงท่าทีหน่ายใจได้ขนาดนี้
“เด็กๆ” เสียงเธอสดใสกระชากวัยสุดๆ เพลงขวัญยิ้มค้างก่อนที่จะหันมาพูดกับพิธาน
“คนนี้แหละที่รู้” เธอนั่งลงข้างๆเพลงขวัญ ยกขานั่งไขว่ห้างอย่างมีจริตก่อนที่จะส่งยิ้มให้ทุกคนในโต๊ะ
“เป็นอะไรกันเด็กๆ ตกใจในความสวยของแม่เหรอจ๊ะ?” พระพายถึงกับอ้าปากค้าง
“มะ...แม่” พระพายหลุดพูดออกมาอย่างตกใจ เธอเรียกตัวเองว่าแม่นั่นแปลว่า...
“คุณแม่ ทำไมมาไวจังคะ?” เพลงขวัญถาม พิธานจ้องพี่สาวตัวเองตาเขม็ง
“ก็คุณแม่โทรมาพอดี เลยบอกว่าพิธานก็อยู่นี่” เพลงขวัญยิ้มแห้งๆพลางแก้ตัว พิธานส่ายหน้าที่พี่สาวดันบอกแม่ให้รู้ว่าเขาก็อยู่นี่
“แม่อยู่ใกล้ๆแถวนี้พอดี อีกอย่างไม่ได้เจอพ่อลูกชายตัวดีนานแล้ว สบายดีใช่ไหมพ่อลูกชาย” เธอยิ้มพลางเหล่มอง พิธานกลับมามาดนิ่งเหมือนเดิม
“สบายดีครับ”
“คุณแม่ทานอะไรมารึยังคะ ทานกับพวกเราไหม?” เพลงขวัญถามขึ้น
“แน่นอนสิจ๊ะเพลง มาร้านลูกทั้งทีแม่ก็ต้องมาทานข้าวอยู่แล้ว”
เพลงขวัญจึงเรียกพนักงานมาสั่งอาหารหลายอย่างมาก การทานอาหารร่วมกันระหว่างแม่และพิธานนั้นไม่ได้มีบ่อยนัก จึงใช้โอกาสนี้สั่งอาหารด้วยความรวดเร็ว
“ว่าแต่...นี่ใครเอ่ย?” เธอถามขึ้นพลางยิ้มให้พระพายที่ไม่รู้จะวางตัวอย่างไรดี
“เอ่อ....ผม..” พระพายรู้สึกพูดไม่ออกเมื่อเห็นหน้าแม่ของพิธาน
“เขาเป็นใครจ๊ะพิธาน?” เธอหันไปถามพิธานที่หน้าตาบึ้งตึงขึ้น
“รู้อยู่แล้วนี่ครับ ยังจะถาม” พิธานว่า
“แต่แม่อยากฟังจากปากพิธานนี่” เธอยืนยันเช่นนั้น
“นี่แฟนผมครับ คุณแม่พัชชา” พิธานเรียกเสียเต็มยศ พระพายจึงได้รู้ว่าแม่ของพิธานชื่อพัชชา
“ชื่นใจจังเวลาเรียกแม่แบบนี้” พัชชายิ้มกว้างก่อนจะหันมามองพระพาย
“ชื่ออะไรจ๊ะ?” พระพายรู้สึกประหม่า เป็นการเจอหน้าของแม่แฟนที่กะทันหันอีกทั้งตัวเองก็เป็นผู้ชายทั้งแท่งไม่ใช่หญิงสาวแต่งอย่างใด ทำเอาใจร่วงหล่นไปอยู่ตรงเท้า
“สวัสดีครับ ผม...พระพาย..ครับ” พระพายยกมือไหว้อย่างนอบน้อมที่สุดเท่าที่จะทำได้
“พระพาย ชื่อจริง นามสกุลอะไรจ๊ะ?” พัชชาถาม เพลงขวัญมองพระพายที่เริ่มมีเหงื่อไหลซึมออกมาตรงไรผม
“ชื่อพระพาย วีรสกุลครับ”
“อยู่คนเดียวหรืออยู่กับพ่อแม่เอ่ย?” พัชชาถามด้วยรอยยิ้ม
“เอ่อ...อยู่คนเดียวครับ”
“แล้วพ่อแม่ล่ะ อยู่ที่ไหน?” การซักถามยังดำเนินไปเรื่อยจนพิธานเริ่มขมวดคิ้วมากขึ้น
“พ่อแม่...เสียหมดแล้วครับ” พระพายตอบเสียงเบาขึ้น
“เอ๊ะ...อย่างนั้นเหรอ? แล้วนี่มีญาติหรืออะไรทำนองนั้นไหม?” พัชชาถามต่อไปโดยไม่สนใจท่าทีของลูกชายตัวเองที่เริ่มไม่ชอบใจ
“มีป้าเป็นญาติเพียงคนเดียวที่เลี้ยงผมมา...แต่เสียไปแล้วครับ” พระพายตอบ พัชชาเลิกตาขึ้นเล็กน้อย
“คงลำบากมากสินะ...แล้วนี่ทำงานอะไร?” พัชชาถาม แต่พิธานกลับแตะมือของพระพายไม่ให้พูดตอบ
“คุณแม่คะ ถามเยอะเกินไปแล้ว” เพลงขวัญรีบห้ามทันทีเพราะยิ่งเห็นสีหน้าของพิธานที่น่ากลัวขึ้นทุกทีๆ
“จะหวงแฟนกับแม่ไม่ได้นะพิธาน แม่ก็ต้องถามความเป็นมาเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว” พัชชาว่าเช่นนั้น
“แล้วคุณแม่จะถามเยอะแยะทำไม เขาอึดอัด” พิธานพูด แม้จะสีหน้าบึ้งตึงแต่ก็ยังคงความสุภาพในคำพูดนั้น
“พิธานรู้ใช่ไหม ว่าคุณพ่อไม่ปลื้มเรื่องแบบนี้ แม่เลยต้องมาเช็คด้วยตัวเองก่อนไงล่ะ”
“ผมไม่สนคุณพ่อ” พิธานพูดด้วยสีหน้านิ่งเฉย บ่งบอกว่าที่พูดนั้นคือความจริง
“ลูกยังโกรธคุณพ่ออยู่เหรอ เรื่องมันก็นานมาแล้วนะ” พัชชาถาม สีหน้าดูอ่อนลง คงมีเรื่องอะไรสักอย่างเกิดขึ้นระหว่างพิธานและพ่อ พิธานเงียบไม่ยอมปริปากพูดใดๆออกมา
“เอาเถอะ แม่แค่อยากเห็นหน้าแฟนของพิธานเท่านั้น ไม่ได้ตั้งใจจะกดดันอะไรหรอก”
“ครับ” พิธานพูดเท่านั้น
“ว่าแต่เป็นยังไงกันบ้าง ไม่ติดต่อแม่กันมาบ้างเลย”
“เพลงยุ่งมากเลยค่ะคุณแม่” เพลงขวัญว่า
“พิธานล่ะ?” พัชชาถามลูกชายคนเล็กบ้าง
“ยุ่งเหมือนกันครับ”
“นั่นสิ เพราะทุกครั้งที่คุณพ่อไปโรงแรม คุณพ่อไปกี่ครั้งๆก็ไม่เจอสักที” พัชชาเหล่มองทางทีของพิธานที่นิ่งไป
“งานเยอะครับคุณแม่”
“แล้วทำไมจะคุยอะไรก็ต้องผ่านเลขาตลอดเลยล่ะ?” พัชชาถามราวกับจะจับผิดกลายๆ
“ผมสะดวกแบบนี้ครับ” พิธานพูดเพียงเท่านั้น พัชชาส่ายหน้าในความดื้อของพิธาน
“พระพาย...อยู่ด้วยกันพิธานเอาแต่ใจมากเกินไปรึเปล่า?” พัชชาหันไปถามพระพายที่ได้แต่นั่งฟังเรื่องในครอบครัวที่ชวนงงของพิธาน
“ก็มีบ้างครับ” พระพายตอบ พัชชาพยักหน้าพลางคิดอะไรบางอย่าง
“อาหารมาแล้วค่ะ” เพลงขวัญบอกเมื่อพนักงานกำลังนำอาหารมายืนรอเสิร์ฟให้
ทั้งสี่คนจึงทานอาหารร่วมกันอย่างที่เพลงขวัญตั้งใจอยากให้เป็น พิธานนั้นไม่ได้สนใจใครทั้งสิ้นนอกจากพระพายที่พยายามนั่งตัวลีบๆแบนๆเพราะแอบหวั่นสายตาของพัชชา แม่ของพิธานที่มองมาเป็นระยะๆ
เพลงขวัญสั่งอาหารที่เป็นของโปรดทั้งแม่และน้องชาย หวังจะให้การทานอาหารร่วมกันในวันนี้ทำให้ทั้งสองผ่อนคลายลงบ้าง แต่ที่น่าเป็นห่วงคือพระพายที่ต้องมานั่งตกเป็นเป้าสายตาของพัชชา พิธานนั้นตักอาหารให้พระพายเป็นระยะๆ การเอาใจใส่นั้นอยู่ในสายตาของพัชชาโดยตลอด
พระพายนั่งทานอาหารเงียบๆ โดยที่ทานอาหารที่พิธานตักมาให้ตลอด และอาหารจานสุดท้ายที่เอามาเสิร์ฟเป็นเมนูใหม่ที่เพลงขวัญเพิ่งเพิ่มเติมเข้าไปในเมนู เพลงขวัญอยากให้ทุกคนร่วมวิจารณ์อาหารจานนี้
พิธานมองจานนั้นอย่างลังเลเล็กน้อย พระพายจึงตักมันขึ้นมาใส่ในจานของตัวเอง ก่อนที่จะเขี่ยต้นหอมออกและตักส่วนที่ไม่เหลือต้นหอมแล้วให้พิธาน
“กินสิ ไม่มีต้นหอมแล้ว” พระพายว่า พิธานจึงตักมันเข้าปาก พัชชามองพิธานที่กำลังทานอาหารที่พระพายตักให้
“ที่จริงจะให้ช่วยชิมว่าอร่อยรึเปล่า แต่ลืมไปเลย ว่าพิธานไม่ชอบต้นหอม” เพลงขวัญที่เพิ่งนึกขึ้นได้ก็เมื่อเห็นพระพายเขี่ยต้นหอมให้พิธาน
“ไม่เป็นไรครับ อร่อยกำลังดี รสมันพอดีๆเหมาะกับทานพร้อมข้าว” พระพายช่วยติชมเท่าที่ตัวเองจะอธิบายได้
“อย่างนั้นเหรอพระพาย ขอบใจนะ แล้วคุณแม่ละคะ ชอบไหม?”
“อร่อยดี ถือว่าผ่าน” พัชชาว่าเช่นนั้น
“เดี๋ยวมีของหวานอีกนิดหน่อยนะคะ พิธานถ้าหวานเกินก็ไม่ต้องกินนะ” เพลงขวัญว่า เรื่องนี้เท่านั้นที่จำได้ขึ้นใจว่าพิธานไม่ชอบ
หลังจากทานอาหารจนอิ่มแล้ว พนักงานจัดการเก็บจานเสร็จสรรพและนำของหวานมาให้ตามที่เพลงขวัญสั่งไว้ ขนมหวานแบบไทยๆถูกนำมาวางตรงหน้าทุกคน
พระพายตาลุกวาวเพราะมันดูน่าทานจนรู้สึกว่าจะปล่อยให้ช้าไปกว่านี้ไม่ได้ พระพายจัดการตักมันเข้าปากพร้อมรอยยิ้มนิดๆอย่างรู้สึกถูกใจในรสชาติ แน่นอนว่าพิธานผู้ซึ่งไม่ชื่นชอบของหวานใดๆนั้นก็ดันถ้วยให้พระพายทันที
“ไม่ต้องรีบ ยังมีอีก”
พิธานบอกเท่านั้น เป็นอีกครั้งที่พัชชานั่งมองลูกชายของตัวเอง ที่ดูละมุนละไมอย่างไม่คาดคิดว่าจะได้เห็น เพลงขวัญเหล่มองพัชชา รู้ดีว่าพิธานในมุมนี้นั้นยากที่จะเห็น คงมีเพียงพระพายคนเดียวเท่านั้นที่ทำให้พิธานเป็นเช่นนี้ได้
“เดี๋ยวมานะคะ”
เพลงขวัญที่จู่ๆก็ขอตัวเพราะดูเหมือนลูกค้ากำลังต้องการสอบถามอะไรสักอย่างจากพนักงานที่ไม่สะดวกจะช่วยเหลือ พัชชาหันมองเพลงขวัญที่ลุกออกไปแล้วก่อนที่จะหันไปพูดกับพิธาน
“พิธาน...แม่ไหว้วานอะไรหน่อยได้ไหม?” พัชชาถามขึ้น
“ช่วยไปหยิบถุงสีขาวในรถให้แม่หน่อยได้ไหม?” พิธานพยักหน้ารับนิดๆจากนั้นก็รับกุญแจรถของพัชชามา ในขณะเดียวกันก็มีโทรศัพท์ดังขึ้นมาซึ่งเป็นของพิธาน
“เลขาโทรมา เดี๋ยวฉันมานะ...คุณแม่ ขอเวลาสักครู่ครับ”
พิธานใช้โอกาสนี้คุยโทรศัพท์แล้วเดินออกจากร้านไปยังลานจอดรถเพื่อจะไปเอาของให้พัชชาพร้อมๆกัน ตอนนี้จึงเหลือเพียงพระพายและพัชชาเท่านั้น เมื่อรู้สึกตัวได้ว่าขณะนี้เหลือเพียงเขาและพัชชาเท่านั้น พระพายจึงเริ่มรู้สึกเกร็งขึ้นมาอีกครั้ง
“พระพาย” พัชชาเอ่ยเรียกในขณะที่พระพายรีบวางช้อนขนมลงทันที
“ครับ” พระพายขานรับด้วยความรวดเร็วแม้จะหวั่นๆแต่ก็ต้องนอบน้อมต้องผู้ใหญ่
“ไปเจอกันได้ยังไงเหรอ?” พัชชาถาม พระพายรีบประมวลผลทันทีและยากที่จะตอบถึงการเจอกันครั้งแรกเหลือเกิน
“ไปเที่ยวครับ เลยเจอกัน” พระพายตอบเพียงเสี้ยวของความจริง
“แค่ครั้งแรกพิธานก็ชอบเราเลยเหรอ?” พัชชาถามอีกครั้ง สายตานั้นมองพระพายอย่างถี่ถ้วน
“คือ..มันมีเหตุนิดหน่อยทำให้เราต้องเจอกันบ่อยขึ้นครับ จากนั้นเราเลยได้คุยกันมากขึ้น”
“เวลาอยู่ด้วยกัน พิธานเป็นยังไงบ้าง?” พระพายที่ได้ยินก็เงียบไปอึดใจก่อนตอบ
“ก็..ปกติดีครับ นิ่งๆแล้วก็เงียบๆไปบ้างแบบนี้ล่ะครับ”
“แล้วยิ่งเงียบๆแบบนี้จะคุยกันรู้เรื่องเหรอ?” พัชชาไม่ค่อยเชื่อนักว่าพิธานจะสามารถใช้ชีวิตร่วมกับคนอื่นได้ เพราะที่ผ่านมาพิธานปิดกั้นตัวเองและไม่เปิดรับใครเข้าไปในชีวิตได้ง่ายๆ
พระพายเงียบไปอีกครั้ง ในขณะที่เพลงขวัญเดินเข้ามานั่งลงพอดีและรู้สึกได้ว่าตอนนี้บรรยากาศการสนทนานั้นดูแปลกๆ
“คุณแม่...คุยอะไรกันอยู่คะ?” เพลงขวัญถาม
“แม่กำลังถามพระพายว่าอยู่กับพิธานแล้วเป็นยังไงบ้าง บอกหน่อยสิจ๊ะพระพาย”
พัชชาถาม เพลงขวัญหันมองพระพาย แม้จะเอ็นดูพระพายที่ต้องมาโดนซักถามแต่อีกใจหนึ่งก็อยากรู้ว่าพิธานเป็นอย่างไรบ้างยามที่อยู่กับแฟน พระพายก้มหน้าลงก่อนที่จะพูดถึงความรู้สึกที่ได้สัมผัสทุกครั้งที่อยู่กับพิธานว่าเป็นอย่างไร
“ถึงจะเงียบและนิ่งแต่ก็ไม่ใช่ทุกครั้งครับ หากเขาต้องการอะไรก็จะพูดตรงๆ แต่หากตอนไหนนิ่งเขาก็จะใช้สายตามองมา แววตาของเขาจะบอกผมได้เสมอว่าเขาต้องการอะไร ผมอ่านท่าทีของเขาได้มากกว่าเวลาเขาพูดเสียอีกครับ”
พระพายตอบแบบอายๆ เพลงขวัญมองพระพายพลางอมยิ้ม ถึงแม้พระพายจะดูแตกต่างและไม่น่าจะเข้ากันได้กับพิธาน แต่กลับมีความรู้สึกที่เชื่อมโยงและรู้ใจกันซึ่งกันและกันได้ คนเป็นพี่สาวที่ได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกดีใจไม่น้อยที่น้องชายได้เจอคนรักที่เข้าใจได้ถึงขนาดนี้
“เรานี่น่าสนใจจังนะ”
พัชชาพูดเท่านั้นพลางยิ้มกราย มีไม่กี่คนที่จะเข้าใจพิธานได้อย่างถ่องแท้นอกจากคนที่ตัวเองไว้ใจและให้ความสนิทใจเท่านั้น ซึ่งไม่ใช่ทุกคนที่จะได้มันไป แม้กระทั่งคนเป็นแม่ที่เลี้ยงดูมายังยากที่จะเข้าถึงแต่พระพายกลับเข้าถึงได้ง่ายดายจนรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย
“ยังไงก็ฝากพิธานด้วยนะจ๊ะ ถึงดูนิ่งๆเท่ๆแบบนั้นแต่พอโมโหเลือดขึ้นหน้าก็จะงุ่มง่ามน่ากลัว อาจจะลำบากใจไปบ้าง แต่เชื่อเถอะพิธานเขาต้องการให้พระพายอยู่ข้างๆเขา” พัชชาว่า
“เอาจริงๆ...คุณพิธานดูแลผมเสียมากกว่าด้วยซ้ำ จนบางครั้งผมก็ละอายใจนิดๆที่ไม่ดูแลเขาเท่าที่เขาดูแลผมได้” พระพายยิ้มเก้อๆ
“อย่างนั้นเหรอ? อย่างเช่นอะไรล่ะ?” เพลงขวัญถามบ้าง
“ก็..ถ้าเขาว่างเขาจะทำกับข้าวให้ผมกิน ตอนเช้าก่อนไปทำงานถ้ามีเวลาสักหน่อยเขาจะชงกาแฟไว้ให้ แล้วก็...จริงๆมันมีอีกเยอะครับ” พระพายนั่งนึกไปพูดไปแต่เมื่อเห็นสีหน้าของเพลงขวัญและพัชชาที่ออกจะสนอกสนใจถึงเรื่องที่เล่า พระพายจึงรีบหยุดพูดทันที
“น่ารักเหลือเกินน้องชายฉัน” เพลงขวัญหัวเราะนิดๆพัชชาก็เป็นไปกับเพลงขวัญด้วย
“พระพาย..ยังไงก็ฝากพิธานด้วย และก็..ถ้าเป็นไปได้ ลากเขากลับบ้านไปหาคุณพ่อให้ได้ล่ะ” พัชชาว่า
“เอ่อ...ผมไม่มั่นใจครับว่าจะทำได้ไหม แต่ผมจะลองดูครับ” พระพายไม่กล้าจะรับปากเสียทีเดียว
“ลองดูนะ แล้วก็บอกเบอร์โทรศัพท์มา มีอะไรจะได้ติดต่อไป” พัชชาว่า พระพายจึงบอกเบอร์ไปอย่างเลี่ยงไม่ได้
“ไม่ต้องกลัวหรอกพระพาย คุณแม่ดูเปรี้ยวๆอย่างนี้แต่ใจดีนะ” เพลงขวัญสำทับเพราะเห็นท่าทีของพระพายดูขลาดๆกลัวๆ
“แม่พอเข้าใจแล้วล่ะเพลง ว่าทำไมพิธานถึงชอบพระพาย...ก็ดูน่ารังแกขนาดนี้” พัชชาว่าเพลงขวัญหัวเราะอย่างถูกใจ พระพาย
ได้แต่ก้มหน้ารับชะตากรรม คนในบ้านนี้ไม่ได้แตกต่างกันเลยจริงๆ
พิธานที่คุยงานเสร็จก็เดินกลับพร้อมกับถุงของพัชชาที่หยิบมาให้ เข้ามาก็พบว่าทั้งแม่และพี่สาวนั่งหัวเราะโดยที่พระพายกลับแห้งเหี่ยวดูตรงกันข้ามได้อย่างชัดเจน
“แกล้งพระพายเหรอ?” พิธานถามพลางมองเพลงขวัญ
“ไม่ๆ แค่คุยกันนิดหน่อยเอง” พระพายรีบแก้ไขความเข้าใจผิดทันที พัชชารับถุงนั้นมาและยื่นให้พระพาย
“ให้จ๊ะ รับไป” พัชชาว่า พระพายหันไปมองพิธานซึ่งพยักหน้านิดๆว่าให้รับได้
“ขอบคุณครับ” พระพายยกมือไหว้ขอบคุณ
ทั้งหมดออกกันมายืนอยู่หน้าร้าน เพลงขวัญหอมแก้มพัชชาเป็นการบอกลา โดยที่พิธานได้แต่ยกมือไหว้ พัชชาไม่รับไหว้แต่กลับเดินเข้าไปกอดพิธานที่ยืนนิ่งเป็นต้นไม้แทน
“เอาล่ะ แม่จะกลับแล้ว ไว้เจอกันนะจ๊ะเด็กๆ” พัชชาว่า พระพายยกมือไหว้อีกครั้ง
“จะกลับเลยไหมทั้งสองคน?” เพลงขวัญถาม เมื่อพัชชาขับรถออกไปแล้ว
“คงต้องกลับเลย” พิธานบอกแบบนั้น
“กลับกันดีๆนะ” เพลงขวัญว่าก่อนที่จะกอดน้องชายแน่นๆและกอดพระพายด้วยอีกคน
“ไปนะครับ” พระพายยกมือไหว้และขึ้นรถไปกับพิธาน
“คุณแม่คุณนี่เปรี้ยวจี๊ดเลย” พระพายว่าเมื่อรถขับออกมาจากร้านอาหารแล้ว
“อึดอัดรึเปล่า ถ้าไม่ชอบก็บอก” พิธานว่า
“ไม่นะ แต่ผมไม่คิดเลยนะว่าจะมีวันที่ผมได้มาเจอแม่คุณ” พระพายพูดขึ้นมา
“ทำไม?”
“ก็..การเจอแม่แฟน..มันดูลึกซึ้งขึ้น” พระพายว่าพลางรู้สึกจั๊กกะจี้ในคำพูดของตัวเอง
“ยังไงล่ะ?”
“คือ..เราคบกันมาถึงขั้นที่ผู้ใหญ่ต้องมารับรู้แล้ว...เรามาไกลมากเลย” พระพายว่า
“นายคิดว่าเราจะไปไม่ได้ไกลเหรอ?” พิธานขมวดคิ้วหน้ายุ่งทันที
“ไม่ใช่...แค่ไม่คิดว่าจะมาไกลถึงขนาดนี้ มันมากขึ้นกว่าที่คิดไว้” รีบแก้ไขทันทีก่อนที่พิธานจะเข้าใจผิด
“เราจะไปไกลกว่าที่นายคิดอีกเยอะ”
“เรา....จะทำได้ใช่ไหม?” พระพายหันไปมองพิธานด้วยสายตาที่อยากจะฟังคำตอบชัดๆ
“เชื่อใจฉันสิ”
พิธานพูดเท่านั้นก่อนที่จะละมือจากพวงมาลัยรถมาขยี้ผมพระพาย ได้ยินแบบนี้พระพายก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา ในเวลานี้การจะเชื่อใจใครสักคนมันไม่ใช่เรื่องง่ายแต่หากเป็นพิธาน...พระพายก็อยากจะลองดู...
Lyrics: You’re still the one by Shania Twain.