มาถึงตอนจบแล้วเย้ๆๆๆๆ ทีแรกว่าจะแบ่งสองตอนแต่ไหนๆก็ไหนๆ ยาวไปหน่อยนะค่ะ

ก็คงจะจบเรื่องเล่าสู่กันฟังตอน "ไปเที่ยวเชียงใหม่กัน" เพียงแค่นี้

ที่จริงแล้วอยากไปเที่ยวให้เยอะกว่านี้แต่ก็ติดที่เวลาค่อนข้างน้อย ถ้าใครอยากไปเที่ยวกันจริงๆ ก็แนะนำให้อยู่อย่างน้อยจังหวัดละ2คืน จะได้เก็บเที่ยวให้ครบ
ยังไงก็ตามก็เหมือนเดิมคือขอบคุณเพื่อนๆพี่ๆน้องๆทุกท่าน

ที่มาลงกี่ครั้งก็ยังมีคนติดตามอ่านกัน
ถึงแม้มันจะเรื่อยเปื่อยไปบ้าง แต่ก็มีความสุขทุกครั้งที่ได้เขียนได้เล่า
ตอนนี้เป็นตอนสุดท้ายแล้วใครที่อ่านอย่างเดียวไม่เคยรีก็ขอเสียงหน่อยนะคะ
แล้วจะกลับมาตอบให้ครบทุกๆคนเลย

ความเดิมตอนที่แล้ว
#1มาอีกรอบ#2เพื่อนร่วมทาง#3ชมวัดร่องขุน#4ขึ้นภู..#5ขึ้นภูชี้ฟ้า#6บนภู#6บนภู(ต่อ)#7วัดพระแก้ว&บ้านดำ#8มฟล.& สปาเก็ตตี้ขี้โมโห #9ชมดอกไม้ที่สวนแม่ฟ้าหลวง & แวะนมัสการพระธาตุดอยตุง #10คืนของสองเรา #10.1คืนของสองเรา #11 เช้าของสองเรา #12ไปไหว้พระกัน#13ไปปายยย#13.1ไปปายยย (ต่อ)#14เที่ยวปายยย##15 นอนที่ปาย+++กำลังคิดจะรวมเล่มหนังสือค่ะ ถ้าใครสนใจก็แจ้งชื่อและอีเมลล์ติดต่อกลับ มาที่PMเลยค่ะ
แล้วมีรายละเอียดยังไงจะแจ้งให้ทราบทีหลังค่ะ+++**********************************
#16 กลับแล้วนะ
เช้าๆอากาศที่ปายเย็นจนหนาวครับ ผมต้องเบียดตัวหาพี่ต่ายเพื่อขอความอบอุ่นจากร่างกายพี่ต่าย ผมค่อยๆเปิดเปลือกตาดูพี่ต่ายยังคงหลับอยู่ มองไปที่กิฟก็นอนหลับอยู่ ยังไม่มีใครตื่นเลยทั้งที่พระอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้าไปแล้ว ผมไม่ได้ดูนาฬิกาว่าตอนนี้กี่โมงแล้ว รู้แต่ว่าอากาศยังคงหนาวอยู่
ผมเอามือไปโอบตัวพี่ต่ายไว้อีกครั้งแอบฟังเสียงหัวใจที่ยังคงเต้นอย่างสม่ำเสมอ ก็นั่นซิเนอะไม่เต้นก็ตายซิ กร๊ากกกกก กรูท่าจะบ้า ผมหอมแก้มพี่ต่ายด้วยความรัก แล้วหลับตาต่ออย่างมีความสุข ไม่กล้ายุกยิกมากให้พี่ต่ายตื่นครับ ช่วงนี้ทำไมพี่ต่ายของผมหื่นเกินปกติผมก็ไม่เข้าใจ เซ็กส์แบบฟาสต์เซ็กส์เมื่อคืนมันก็รวดเร็วดีครับเหมือนสั่งKFCรอไม่ถึง5นาทีก็ได้ แต่พออิ่มแล้วก็เหนื่อยครับ ผมชอบแบบค่อยเป็นค่อยไปมากกว่า
ผมยังคงคิดอะไรเรื่อยเปื่อยแล้วก็ไม่อยากนอนต่อ เลยลุกออกมาชมวิวด้านนอกบ้าน หมาขนสีเทาเงินที่ไหนไม่รู้ครับนอนขดตัวอยู่บนพรมด้านนอก มันคงนอนเฝ้าเราทั้งคืนน่ารักจริงๆ ด้านนอกแสงสีทองของดวงอาทิตย์ยังคงสวยงาม อากาศที่เย็นสบายทำให้ผมมีความรู้สึกปรอดโปร่งใจอย่างบอกไม่ถูก

เห็นหมาตัวนี้แล้วคิดถึงเพื่อนครับ ฮ่าาๆๆ
วันนี้ผมก็ต้องกลับบ้านแล้ว การได้ใช้เวลาในการเดินทางท่องเที่ยวกับคนที่เรารักช่างเป็นความสุขอย่างที่ผมคาดไม่ถึง เราเจอกันเรื่อยๆก็จริงแต่เมื่อเราได้มีโอกาสมาเจอสิ่งแปลกใหม่ด้วยกันมันยิ่งเติมเต็มความรู้สึกที่บางครั้งเราเผลอเฉื่อยชาหรือลืมกันไป พอกลับไปก็คงงานยุ่งจนไม่มีเวลามาดูแลกัน ดังนั้นตอนนี้ผมก็ขอเก็บเกี่ยวความสุขไว้ให้ได้มากที่สุด จะได้เป็นกำลังใจเวลาทำงานหนักๆ
“คิดอะไรอยู่ครับ...ทำไมมานั่งเล่นมิวสิควีดีโอแต่ไม่เรียกพระเอกออกมาด้วยล่ะ หนาวไม๊” ผมส่ายหัวว่าไม่หนาว พี่ต่ายเข้ามากอดผมที่นั่งมองแสงอาทิตย์ยามเช้าอยู่ที่ระเบียงหน้าบ้าน
“ยังไม่อยากกลับเลยพี่ต่าย”ผมนั่งพิงอกพี่ต่าย แล้วดึงเอามือพี่ต่ายมากอดไว้บ้าง “มันสบ๊ายย สบาย อากาศก็ดีจัง”
เสียงพี่ต่ายบอกผมว่า “อืม...พี่ก็เหมือนกัน อยากเที่ยวกับโอมแบบนี้ไปเรื่อยๆๆ” พี่ต่ายเองก็เริ่มเกเรแล้วครับ อยากเบี้ยวงานเหมือนกัน
“ทำไงได้นะพี่ บัญชีก็ยังปิดไม่เสร็จ ยังไงก็ต้องกลับไปสะสางให้เรียบร้อย” พี่ต่ายเอามือมาจับศีรษะผมไว้แล้วจูบที่ขมับ
“ไว้งานพี่เสร็จแล้วจะกลับไปช่วยโอมนะครับ” ผมได้แต่อมยิ้มสบายอีกแล้วเรา หุหุ เข้าทางพอดี
เรานั่งดื่มด่ำกับธรรมชาติกันอยู่พักใหญ่กิฟก็ตื่นครับ เรารีบอาบน้ำกันเพื่อที่จะออกไปเที่ยวต่อ แล้วเช็คเอาท์ออกจากที่พักเก็บของกันเรียบร้อยไปเลยครับ เพราะวันนี้เป็นวันสุดท้ายของทริปเราแล้ว ตอนเช้าเที่ยวปายแล้วบ่ายๆก็คงกลับเชียงใหม่แล้วกลับกรุงเทพฯคืนนี้ ผมอดรู้สึกใจหายไม่ได้ ตอนมาเที่ยววันแรกๆจะรู้สึกว่าเวลาผ่านไปช้าเพราะยังกังวลกับงานที่ทิ้งมาอยู่ แต่พอไปเที่ยวหลายๆวัน ก็ลืมบ้านไปแล้วครับสนุกกับการเที่ยวอย่างเดียว ออกจะใจหายต้องแยกจากน้องกิฟไป ไม่รู้จะได้เจอกันอีกเมื่อไหร่ ส่วนพี่ต่ายก็เฉยๆครับยังไงพี่ต่ายก็ต้องตามติดผมอยู่แล้ว ฮ่าๆๆๆ ของตายในกำมือ
เราออกไปถ่ายรูปที่แม่น้ำกันนิดหน่อยแล้วเราก็ขับรถออกมาหาาข้าวเช้าทานกันครับ เราต้องวนหาที่จอดในตลาดแต่ในที่สุดก็ต้องไปจอดไกลๆออกไปแล้วเดินเข้ามา

ริมแม่น้ำตอนสายๆ น้ำน้อยจริงๆครับแต่ดูเงียบสงบดีจริงๆ
ปายตอนกลางวันกับกลางคืนนี่ผิดกันมากเลยครับ กลางวันค่อนข้างร้อนพวกผมไม่มีแผนว่าจะทานข้าวเช้าที่ไหนกันดีในที่สุดเราก็เลยมาหยุดอยู่ที่เดิม “สี่แยกปายหนาว” ร้านแบล็คแคนยอนเปิดแล้ว สีสันของร้านสวยจนเราอยากเข้าไปนั่งครับ อาหารก็เหมือนกับที่กรุงเทพราคาก็พอๆกัน เราเลยตัดสินใจทานอาหารเช้ากันที่นี่ ระหว่างนั่งรอเราก็ถ่ายรูปกันไปเรื่อย
“ตำรวจจราจรจับคนไม่ใส่หมวกกันน็อคใหญ่เลย พี่ต่ายดูซิ” จากที่นั่งในร้านเราเห็นมีทั้งคนไทยและคนต่างประเทศกำลังโดนแจกใบสั่งครับ กร๊ากกกกก พี่ตำรวจจับกันไม่ปรึกษาเลยครับโดนกันถ้วนทั่วทั้งชาวบ้านเองและนักท่องเที่ยว พวกผมนั่งดูฝรั่งมายืนทำหน้าเจี๋ยมเจี้ยมแล้วก็ขำ เพราะงั้นถ้าเช่ามอเตอร์ไซด์ขี่ที่ปายช่วงเช้าๆสิบโมงกว่าถ้าผ่านไปแถวนั้นอย่าลืมใส่หมวกกันน็อคนะครับเดี๋ยวจะโดนจับเสียเงินกันเปล่าๆ

เราใช้พลังงานไปเยอะนี่แหล่ะคืออาหารของเรา

ชอบดูเวลาคนถูกจับครับ แต่ตัวเองไม่อยากโดน ฮ่าๆๆๆ

มุมสวยๆหน้าร้านนั่งดูคนถูกตำรวจจับ (แอบจิตนิดๆ ฮ่าๆๆ)
อีกมุมหนึ่งสวยๆภายในร้าน

พอเราทานอาหารเช้าเสร็จก็เดินชมถนนในปายที่เมื่อคืนเราเดินกันครับ กลางวันที่นี่เงียบกริบเลยครับ แทบไม่มีผู้คนหรือจะอาจจะเป็นเพราะอากาศร้อนด้วย “ไม่ไหวแล้วพี่กิฟลืมทาซันบล็อคมาด้วย แดดขนาดนี้ตายๆๆดำแน่ๆ”เดินกันไปได้พักนึงเหงื่อหยดครับร้อนจริงๆผิดกับอากาศตอนเช้าเลย

ร้านขายของในตอนเช้าๆ

ร้านนี้ก็โปสการ์ดเยอะเลยครับ

สี่แยกยอดฮิต ใครมาก็ถ่ายรูปตรงนี้
เราเลยตัดสินใจไปเที่ยวกันเลยดีกว่า สถานที่แรกที่เราจะไปก็คือวัดถ้ำน้ำฮู ซึ่งเป็นวัดที่เดินทางจากในเมืองออกมาไม่ไกลเลยครับ
“แผนที่มันว่าต้องผ่านโรงพยาบาลนะพี่”
“แต่นี่มันบอกต้องผ่านเขตทหาร...แล้วมันไปทางไหนเนี่ย” ครับกิฟกับพี่ต่ายเถียงกันเรื่องแผนที่ตามเคย ในที่สุดต้องจอดแล้วแวะถามชาวบ้านดีที่สุด ซึ่งผมก็ว่าจะมาเถียงกันทำไม๊ แต่ไม่ค่อยอยากถามข้างทางกันจริงๆกลัวเสียฟอร์มอยู่ได้ไม่เข้าใจเหมือนกัน เรามาถึงที่วัดจนได้ครับเพราะมันเข้าได้ทั้งสองทางที่เค้าเถียงกันนั่นแหล่ะ
วัดน้ำฮูเป็นวัดเก่าแก่คู่เมืองปาย ตั้งห่างจากอำเภอปายประมาณ 3 กิโลเมตร เมื่อมาถึงปายคุณควรเดินทางมานมัสการสักครั้ง จากตัวเมืองให้ใช้ถนนเส้นชัยสงครามไปทางทิศทางตะวันตก คุณจะพบวัดนี้ตั้งอยู่อย่างโดดเด่น วัดน้ำฮูเป็นสถานที่ประดิษฐานปูชนียวัตถุที่สำคัญ คือ “หลวงพ่ออุ่นเมือง” เป็นพระพุทธรูปสิงห์สาม ปางมารวิชัยหล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ หน้าตักกว้าง 24 นิ้ว 30 นิ้ว เชื่อกันว่าสร้างในรัชสมัยของพระนเรศวรมหาราชแห่งกรุงศรีอยุธยา เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระพี่นางสุพรรณกัลยา อายุของหลวงพ่ออุ่นเมืองถึงปัจจุบันนับได้ประมาณ 500 ปีแล้ว
ความอัศจรรย์ของหลวงพ่ออุ่นเมืองอยู่ที่บริเวณพระเศียร เพราะพระพุทธรูปนี้มีพระโมฬี (มวยผม) กลวง สามารถเปิดออกได้ ภายในมีน้ำขังอยู่ตลอดเวลา ชาวบ้านเชื่อกันว่าเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ นิยมขอจากทางวัดกลับไปเป็นสิริมงคล นอกจากนี้ด้านหลังโบสถ์ยังเป็นที่ตั้งของเจดีย์อนุสรณ์สถานพระนางสุพรรณกัลยาอีกด้วย


ในวัดมีวีดีโอเปิดให้นักท่องเที่ยวดูความมหัศจรรย์ของน้ำที่ออกมาจากเศียรพระ ส่วนด้านนอกมีน้ำมนต์ให้ใครที่ศรัทธาสามารถเอากลับบ้านได้ มีขวดให้พร้อม ผมกับกิฟเลยเอาไปกันคนละขวด
“ดีเหมือนกันนะพี่เวลาผีเข้าจะได้เอามาอาบให้ผีออก ฮ่าๆๆ”กิฟมันคิดได้ครับ สงสัยเพราะมีผีอยู่ในหัวใจ แต่ผมไม่มีนี่ครับ
“แต่ผีไม่เข้าพี่นะ คงไม่คอยได้ใช้ กิฟซิเอาไปอีกขวด เดี๋ยวไม่พอ ท่าทางผีเข้าบ่อย ฮ่าๆๆ” กิฟเลยส่งค้อนมาให้ผมซะ หุหุ
ที่วัดนี้เงียบมากๆครับนักท่องเที่ยวก็น้อย พระก็แทบหาไม่เจอ ด้านหน้าวัดมีร้านขายของที่ระลึกอยู่แต่ก็เงียบเหงา เราเดินอ้อมไปด้านหลังเพื่อชมเจดีย์ อนุสรณ์สถานพระนางสุพรรณกัลยา พอกราบพระเสร็จ ทำบุญแล้วเราก็ไปที่บ้านดินของศูนย์วัฒนธรรมยูนาน


ที่นี่มีอาหารยูนานให้คนที่อยากลิ้มลองชิมกัน แต่พวกผมไม่สามารถแล้วครับทานกันมาจนอิ่มแปล้ เลยได้แต่เดินชมบ้านดินภายในบ้านมีของวางขายมากมายจากชาวจีน เป็นพวกผลไม้อบแห้ง ผลไม้แช่อิ่ม ชาและของใช้ที่เป็นฝีมือคนที่นี่ ครับ ผมเห็นพี่ต่ายแวะเข้าร้านค้าในขณะที่ผมถ่ายรูปอยู่ด้านนอก ซักพักพี่ต่ายเดินถือถุงมาครับ “ซื้ออะไรเหรอพี่”
พี่ต่ายตอบยิ้มๆ “กระจายรายได้หน่อย เห็นร้านเค้าไม่มีคนเลย พี่เลยซื้อบ๊วยหวานมาฝากโอมเอาไว้กินเวลาขับรถมาหาพี่” ผมต้องอมยิ้มกับพี่ต่ายจะช่วยชาวบ้านซื้อของ ยังไม่วายมาหยอดผมอีก เดี๋ยวนี้พี่ต่ายช่างเจ้าคารมคมคายจริงๆ
“สงสัยเราต้องกลับแล้วล่ะโอม เดี๋ยวจะคืนรถไม่ทัน แล้วต้องไปจองตั๋วกลับกรุงเทพฯด้วย”นั่นไง ว่าแล้วว่าต้องมีอะไรมาให้ลุ้นได้อีก เฮ้อ แต่เวลาเดินเที่ยวกันนี่ก็ชิวเหลือเกิน แต่ผมอดเสียดายไม่ได้ว่าเราเที่ยวปายกันน้อยจริงๆ “ทำไมเรามาตั้งไกลเพื่อมาแค่เนี้ย พี่ต่าย เท่าที่รู้ที่นี่มีอีกตั้งหลายที่นี่นา”
“พี่ดูเวลาแล้วเราจะไม่ทันนะโอม เรานัดคืนรถตอนสี่โมงเย็นนี่ก็จะบ่ายโมงแล้วเราต้องเดินทางอีกไกลเลย”พี่ต่ายอธิบายเหตุผลให้ผมอย่างใจเย็น แต่ผมรู้ว่าที่ปายยังมีอีกหลายแห่งที่เรายังไม่ได้ไปเช่น ปางอุ๋ง โป่งน้ำร้อนท่าปาย น้ำตกหมอแปง พระธาตุแม่เย็น สะพานประวัติศาสตร์ วัดกลาง ทั้งที่บางแห่งเราก็สามารถไปได้ ก็มันเสียดายนี่นา พี่ต่ายโอบบ่าผมแล้วบีบไหล่
“ สงสัยเราต้องได้มาใหม่อีกแล้วละมั๊งโอม” พี่ต่ายพยายามปลอบใจผม ซึ่งที่จริงผมก็บ่นไปยังงั้นเองครับ ก็เข้าใจว่าเราตื่นสาย เข้าใจว่าเรากินข้าวเช้ากันช้ามากๆ เข้าใจว่าเราเดินลอยชายกันมากเลยที่ตลาดทั้งที่ไม่มีอะไรเลย ก็สมควรแล้วครับ แต่ก็ไม่ใช่ไม่สนุกนะครับ มันดีกว่ารีบๆๆไปซะหมดทำอะไรตามโปรแกรมมันก็เที่ยวครบถ้วนดี แต่มันไม่สบายใจแบบนี้หรอกครับ ผมพยักหน้าให้พี่ต่ายเบาใจว่าไม่โกรธ
“งั้นก็ไปพี่....กลับกัน เผื่อไปเชียงใหม่เร็วเราจะได้ไปซื้อของฝากกลับบ้านด้วย” กิฟก็พยักหน้าเห็นด้วย เราเลยออกจากปายกันครับ
เมื่อรถขับออกมาในเส้นทางกลับเราก็ผ่านร้านกาแฟชื่อดังครับ แล้วจะไม่แวะได้ยังไง “Coffy in Love” ถ้าใครเคยดูหนังเกาหลีหลายๆเรื่องจะเห็นว่าวิวของร้านกาแฟที่นี่คล้ายๆกันเลยครับ สวยเหมือนฝัน




ร้านสวยอยู่บนเนินเขาดื่มกาแฟไปชมวิวไป ถ้ามากับคนรักคงไม่อยากไปไหนเลย มีมุมให้ถ่ายรูปสวยๆมากมาย
เราใช้เวลากับที่นี่ดื่มกาแฟกัน แล้วก็นั่งเล่น กว่าจะรู้ตัวว่ากินเวลาไปมากก็ตอนที่พี่ต่ายมาเตือนครับ
“ไปกันเถอะโอม กิฟ เดี๋ยวจะไม่ทัน” ครับพอรู้ตัวเราก็รีบออกเดินทางกันต่อ แต่เราก็ไม่ลืมนะครับ แวะที่ด่านตรวจของทหาร
“พี่ๆช่วยกันดูนะว่าคนเดิมไม๊” กิฟคึกคักขึ้นมาทันทีครับ แต่ก็น่าเสียดายที่ไม่ใช่คนเดิมครับ
“ไม่ใช่น่ะพี่ แต่คนนี้ก็โอนะ แล้วอีกคนนึงที่ใส่ผ้าปิดจมูกน่ะตาหวานนะพี่ กิฟเห็น...เค้ามองตามกิฟด้วย” ผมเชื่อแล้วครับว่ากิฟชอบตรวจสอบความหล่อของคนทั่วไป ขนาดซ่อนหน้าไว้ยังไปเห็นตาของพี่ทหารอีก เหอๆๆ
“แต่สรุปได้อย่างนึงนะพี่...แถวนี้ทหารหาญหน้าตาดีจริงๆ เหอๆๆ”นี่คือข้อสรุปของกิฟครับ

เส้นทางคดเคี้ยวไปตลอด
เราขับรถผ่านเส้นทางที่คดเคี้ยวกันต่อครับ แล้วเราก็มาถึงอุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดังครับ กิฟหันมาถามพวกผมว่าจะแวะไม๊ พี่ต่ายเลยบอกให้แวะ “ไหนๆก็มาแล้ว ถึงแม้ว่าน่าจะมาตอนเช้าจะสวยกว่า” เราต้องเสียค่าเข้าครับคนละ20บาท ค่ารถอีก30บาท หลังจากนั้นก็ต้องขับรถขึ้นเขาต่อไปอีก ใช้เวลาไม่นานเราก็ถึงจุดชมวิวครับ ระหว่างทางแทบจะไม่มีรถสวนเลย ก็ใครเค้าจะมากันตอนนี้ล่ะครับตอนบ่ายๆแดดเปรี้ยง
“ร้อนน่ะพี่ต่าย จะมีอะไรดูรึเปล่าก็ไม่รู้”ผมชักเพลียแดด แต่ก็ไหนๆก็ไหนๆอย่างพี่ต่ายว่าครับ แต่พอขึ้นไปถึงที่นั่นจริงๆแดดร้อนตามที่คาดแต่อากาศเย็นสบายครับ สมกับอยู่ที่สูงจริงๆ จากจุดชมวิวที่กิฟบอกผมว่าจุดนี้เป็นที่ชมทะเลหมอก ไม่เห็นอะไรเลยครับ เห้นแต่ต้นไม้ที่ขึ้นมาสูงเต็มไปหมด สรุปว่าวันหลังกลางวันไม่ต้องไปรับ ฮ่าๆๆ แต่ถ้าเช้าๆหนาวๆก็ไปดูทะเลหมอกกัน สามารถไปตั้งเต้นท์ได้ครับแต่ต้องติดต่อทางอุทยานฯก่อน

วิวยามบ่ายที่ห้วยน้ำดัง

กล้วยไม้สวยๆที่ห้วยน้ำดัง
กว่าเราจะออกจากห้วน้ำดังก็เสียเวลาไปมากครับแต่เราก็ยังไปเรื่อยๆ ไม่เหนื่อยไม่เมื่อยไม่อ๊วกเหมือนเดิมทั้งที่ทางคดซะเหลือเกิน กว่าเราจะเข้าเชียงใหม่มาได้ก็สี่โมงกว่าแล้วครับ พี่ต่ายต้องโทรศัพท์ไปบอกว่าจะส่งรถเลท
“กำลังเข้าเชียงใหม่มาแล้วครับ พอดีรถติดไปหน่อย คงไปส่งสายนะครับ” พวกเราเงียบกริบครับทั้งที่ตอนโทรยังหลายกิโลเลยครับกว่าจะถึงเชียงใหม่ แล้วที่สำคัญแม่ผมฝากซื้อของรายการยืดยาวมาด้วย
“กิฟ...แม่พี่อยากได้เค้ก ฝากซื้อมา แล้วก็เห็ดหอม เห็ดหลินจือ ลูกชิด น้ำพริกหนุ่ม ไส้อั่ว แล้วก็หมูทอดทำไงดี”
“อ้าว..แม่ฝากมาตอนไหนโอม”พี่ต่ายยังมาถามผมอีกก็พี่ต่ายเองที่ไปบอกแม่ไว้ “ก็แม่โทรมาซิ...ทำไงพี่ท่าทางไม่ทันนะเนี่ย” ผมชักกังวลใจ
กิฟส่ายหัว “ไม่ทันแน่ๆพี่ ...ให้เลือกได้อย่างเดียว พี่โอมโทรไปถามแม่ดู”
ผมจะทำยังไงด้ต้องโทรกลับไปถามแม่ “ไม่ทันไม่เป็นไรโอม เอาแต่เค้กมา ร้านต้องตา&ตะวันนะ ตามเบอร์โทรที่แม่ให้” เรียบร้อยครับ ในที่สุดกิฟก็พาเราไปซื้อเค้กกัน เป็นเค้กบราวน์นี่รสเข้มข้นห่อฟอยล์สามารถเอากลับได้สบายๆยกเว้นหนักอย่างเดียว แหะๆ อร่อยมากๆครับ แล้วก็แนะนำเค้กส้มรสนุ่มคล้ายๆขนมไข่มีกลิ่นหอมของส้ม จากนั้นเราก็ไปจองรถกลับกันก่อน
“กลับเที่ยวไหนดีครับพี่ๆ” กิฟมาถามเราเพราะมีหลายรอบมากๆครับ ที่จริงรถทัวร์เชียงใหม่กรุงเทพฯมีหลายบริษัทครับแต่กิฟแนะนำนครชัยแอร์เพราะค่อนข้างได้มาตรฐาน เราเลยจองเที่ยวสองทุ่มครึ่งถึงกรุงเทพฯก็ตีห้ากว่า พี่ต่ายกับผมจะได้ไปทำงานต่อได้ทันที “เอาด้านคนขับนะพี่ทีวีชัดดี” น้องกิฟจัดการจองให้เรียบร้อยเลยครับ หลังจากจองรถทัวร์เสร็จเราถึงเอารถไปคืนครับ เอิกซ์ซซซซซ ห้าโมงกว่าแล้วครับ บริษัทรถเช่าโทรมาตามอีก
“รถติดมากเลยพี่ เดี๋ยวไปถึงครับ” เราหายใจไม่ทั่วท้องไม่รู้จะโดนปรับที่เราคืนรถช้าหรือเปล่า แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไงดีนี่ครับ เราต้องไปส่งกิฟที่บ้านเพื่อเปลี่ยนรถก่อนครับ กว่า พี่ต่ายจะขับรถไปคืนก็พอดีห้าโมงครึ่งเค้าเลิกงานพอดี นับว่าที่นี่ใจดีมากครับเหมือนได้ใช้ฟรีๆมาอีกวันนึงเลย
“ใจหายอ่ะพวกพี่ๆจะกลับกันแล้ว เอางี้ไปทานมื้อเย็นที่มช.ดีกว่าที่กาดฝายหิน” กิฟพาเราไปที่กาดของมหาวิทยาลัยที่พวกนักศึกษานิยมมาทานกันมากมายครับ ผมรู้สึกหมือนกลับไปเป็นนักศึกษาอีกครั้ง เห็นน้องๆเดินกันขวักไขว่ เราทานอาหารกันอย่างสบายๆ มองหน้ากิฟแล้วก็อดคิดถึงไม่ได้

อาหารอร่อยทุกอย่างเลยครับที่กาดฝายหิน ราคาไม่แพงด้วย
“พี่จะกลับแล้วนะ ขอบคุณมากนะกิฟที่พาพวกพี่เที่ยว”พี่ต่ายเองก็คงคิดเหมือนกันกับผม
“ใช่พี่สนุกมากนะ ดีใจที่ได้มีน้องเพิ่มมาคนนึง” พอผมพูดจบกิฟทำหน้าม่อยเลยครับ
“พวกพี่อย่าพูดแบบนี้ซิ พอพี่ๆกลับไปกิฟคงเหงาน่าดู กิฟก็สนุกมากเลย”
“เอาน่าประเทศไทยไม่กว้างเกินไป กิฟไปกรุงเทพฯเมื่อไหร่พี่จะพาไปเที่ยวบ้าง” ถึงพี่ต่ายจะพูดแบบนี้ แต่ผมก็อดคิดไม่ได้หนทางของเราคงไม่ได้มาพบกันง่ายๆ สามสี่วันที่เราไปเที่ยวกันมาทำให้ผมรู้สึกผูกพันกับกิฟเหมือนรู้จักกันมาแรมปี มันเป็นโชคชะตาจริงๆที่นำพาเราให้ได้มาเจอกัน
กิฟทำหน้าหงอยๆตอนที่ขับรถพาเราไปส่งที่รถทัวร์ “ไม่อยากให้กลับกันเลย กิฟมีความสุขมากๆเลยนะพี่ ตอนที่เราไปเที่ยวกัน” กิฟทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ ผมเลยพลอยเศร้าไปด้วย “เอาน่าไว้ไปกรุงเทพฯ ไปหาอะไรกินอร่อยๆกัน” ผมตบบ่ากิฟเบาๆดึงตัวมาโอบกอดไว้หลวมๆ แล้วลูบหัวน้อง แทบแย่เลยครับน้องตัวสูงกว่าผม ลูบเสร็จเมื่อยแขนเลย “พี่ดีใจที่เราได้มารู้จักกัน”
พี่ต่ายเองก็เดินเข้ามาแตะไหล่กิฟไว้ “ไปก่อนนะไอ้น้อง แล้วเจอกัน” เราแยกจากกิฟกันมาด้วยรอยยิ้ม กิฟยกมือไหว้พวกเราแล้วโบกมือลา เห็นน้องโบกมือแบบนั้นผมกลับไปนึกถึงนางงาม “พี่ต่ายดูซิ กิฟมันแขนยาวจริงๆ อย่างกับนางงามโบกมืออำลาตำแหน่ง หน้าก็หวานซะ ฮ่าๆๆ” พี่ต่ายหัวเราะกร๊ากกกก บอกผมว่า
“โอมต๊อง..ไม่เลิกจริงๆ”