มาคุยกับมิตรรักนักอ่านกันนิดนึงก่อนดีกว่า
kakoku_kin อ่านทีไรก็มีแรงฮิ้วๆๆๆๆ>>หวังว่าจะมีแรงอ่านไปจนจบนะคะ ได้ข่าวว่าจะยาวและอาจมีดอง
kungyung ยังงัยคุณฟางก็มาต่อภาคต่อให้จบนะคร้าบบบบบบ >> นั่นแหล่ะคือปัญหาค่ะ เอิกซ์ซซซซซ
@BUA@ แต่มีแถมฉากเบื้องหลังด้วย >> อาจจะมีอีกหลายเบื้องหลังเลยคะน้องบัว รอดูนะคะ
pongsj เย้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆตอนพิเศษ >>อยากเรียกว่าตอนพล่ามเพ้อมากกว่าค่ะ ดีใจที่ตามมาค่ะ
tawada_j ขอบคุณพี่ฟางค่ะ >> ไว้เราไปเดินคู่กันมั่งดีไม๊ค่ะ
maabbdo เพิ่งเห็นว่าพี่ฟางมาลงพี่ต่ายกะโอม >>แอบมาลงค่ะต้นอ้อ แต่พี่ก็แอบไปอ่านที่ต้นอ้อไปลงให้อาร์ด้วยนะ
nartch ดีๆๆๆ เข้ามาเก็บข้อมูล จะบินไปเชียงฮายบ้างงงงง >>เอ่อคือแบบว่า...ทริปเราเอาสาระไม่ได้ ควรให้ผู้ปกครองชี้แนะนะคะพี่นารท
nOn†ღ ช่ายยยเลยยย เห็นด้วยอย่างยิ่ง >> เชื่อคนง่ายนะเนี่ย คอนเฟิร์ม!!!
aa_mm น้องกิ๊ฟน่ารักเหมือนกันนะเนี่ย>>สิ่งที่คุณเห็นอาจจะไม่เป็นอย่างที่คุณคิดก็ได้นะคะ แต่ยังไงก็ฝากน้องกิฟไว้ในอ้อมใจของแฟนๆด้วยค่ะ
GajonG อบอุ่นดีโนะ >> พยายามไม่ให้อุ่นจนร้อนเกินไปค่ะ
โน๊อา อย่างกะอ่านรีวิว พาเที่ยวเหนือแหน่ะ >> อ่านพอเพลินๆนะคะ ไปเที่ยวด้วยกัน
ขอบคุณทุกๆท่านที่ติดตามอ่านอีกครั้งค่ะ ขอออกตัวก่อนว่าเรื่องนี้เป็นเสมือนบันทึกการเดินทาง อาจจะมีรายละเอียดของสถานที่ท่องเที่ยวเยอะบ้างเพราะอยากให้ได้ทราบที่มาที่ไปของแต่ละสถานที่ๆไปมาพอสังเขป เพื่อรณรงค์ให้คนไปเที่ยวไทยทั่วไทยแบบที่พี่เบิร์ดกำลังทำอยู่ อิอิ จะพยายามไม่ลงยาวมากเพราะอาจจะตาลายกับรายละเอียด แต่ส่วนไหนที่มีรูปก็จะหามาให้ชมกันค่ะ เชิญอ่านกันต่อเลยค่ะ
ความเดิมตอนที่แล้ว
#1มาอีกรอบ#2เพื่อนร่วมทาง#3ชมวัดร่องขุน#4ขึ้นภู..๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑
“กิฟกลับรถเถอะ สงสัยเราขึ้นภูไม่ได้แล้ว ข้างบนเค้าจัดงานคนเยอะมาก คงไม่มีที่นอน และที่สำคัญเราจะขึ้นไปไม่ได้นะซิ”#5 ขึ้นภูชี้ฟ้า
“อ้าว..เหรอ โอเช ไม่มีปัญหาพี่”
กิฟกลับรถแล้วออกมาตามทางเดิมทันที เราขับรถมาอีกฝั่งที่ป้ายบอกว่าไปภูชี้ฟ้าเหมือนกัน เส้นทางนี้แทบจะไม่มีรถคันอื่นวิ่งอยู่เลย ผมดูนาฬิกาก็เกือบสี่โมงแล้วถึงแม้ผาตั้งจะอยู่ห่างจากภูชี้ฟ้าไม่มาก แต่ดูจากเส้นทางที่ผ่านมาคงไปด้วยความยากลำบากถ้าจะต้องขับรถต่อไป ผมเริ่มเป็นห่วงว่าเราอาจจะต้องขับรถกลับไปนอนในเมืองเชียงราย
“พี่ต่ายว่าเราจะไปไหวเหรอพี่ ดูไม่มีอนาคตยังไงไม่รู้”ในที่สุดผมก็ถามพี่ต่ายขึ้นมา พี่ต่ายหันมาหาผมแล้วบอกว่า
“ก็ลองไปทางนี้ดู ยังไงเราก็ต้องหาที่นอนจนได้ละน่าโอม อย่ากลัวไปเลย”
“พี่ๆนี่ป้ายนี้เค้าชี้ว่าภูชี้ฟ้า ลองเลี้ยวขึ้นไปไม๊”กิฟชี้ให้เราดูป้ายบอกทางให้เลี้ยวขวาขึ้นไป เราเหมือนกำลังพบเส้นทางใหม่ที่ไม่มีใครรู้ น่าตื่นเต้นดีครับ(ถ้าไม่หลงนะ แหะๆ)
“ไปเลย เลี้ยวไปลองดูกิฟ” อย่างน้อยก็ดีกว่าไม่ลอง เราลุ้นกันมากครับ ถนนที่ขึ้นเป็นทางชั้นขึ้นเขา สองข้างทางมีบ้านที่เป็นรีสอร์ทให้เช่าอยู่เรียงรายลดหลั่นกันไปเป็นระดับ มองเห็นวิวยามเย็นในเวลาพระอาทิตย์ใกล้จะตกดินของบรรยากาศแบบภูเขา ตอนนี้กิฟเปิดกระจกหน้าต่างรถแล้ว อากาศเย็นๆภายนอกพัดผ่านเข้าสู่ภายใน เป็นอากาศที่สดชื่นและใสสะอาด เหมือนกับเรากำลังมาทำดีท๊อกซ์ปอดกันอยู่เลยครับ
“เราจะแวะถามบ้านพักเลยไม๊พี่ต่าย หรือว่าลองขึ้นไปดูก่อน”ผมกลัวว่าถ้าเราลงมาจะไม่มีที่พักแล้วซิครับ
“ลองขึ้นไปดูดีกว่าพี่ เผื่อข้างบนๆมีที่พักอีก”กิฟเสนอแนะให้ขับขึ้นเขากันต่อไป
ไม่มีรถคันอื่นเลยครับ สภาพถนนดีมากราดยางมะตอยอย่างดีไปตลอดทาง เราขับรถไต่เขาขึ้นไปเรื่อยๆ ผมว่าระดับมันเริ่มชันสูงไปทีละนิด แต่ประสิทธิภาพของแจ๊ซยังคงดีเยี่ยม ไม่มีอาการท้อแท้ให้เราเห็น สองข้างทางเริ่มถูกแทนที่ด้วยแนวต้นไม้สูงใหญ่ ผ่านพ้นช่วงที่เป็นรีสอร์ทไปแล้ว เหมือนกับเป็นอุทยานแห่งชาติแล้วครับ เราขับรถผ่านนักท่องเที่ยวที่กางเต็นท์อยู่ระหว่างทาง พวกเขาชี้ชวนให้ดูรถคันเล็กๆที่ไม่รู้ว่ามาจากไหน แต่ดันทุรังขับขึ้นมาอย่างไม่เจียม
พอขับพ้นช่วงที่มีคนกางเต็นท์และบ้านพักของอุทยานขึ้นมาระยะหนึ่ง ถนนเริ่มเป็นดินครับทางเริ่มชันมากขึ้น ในที่สุดแจ๊ซก็ยอมถอย แต่ถอยก็ไม่บอกครับไสลด์ถอยหลังลงมาพอให้เราตกใจว่าจะมาตายหมู่อยู่ที่นี่หรือเปล่าผมเริ่มคลำพระที่คอกะว่าจะยกขึ้นมาสวดมนต์ขอพรให้ท่านคุ้มครอง แล้วก็พบว่าผมเลิกใส่พระมาหลายปีแล้วตั้งแต่สร้อยขาดไป ผมเลยต้องหันมาพึ่งพี่ต่ายแทนถึงแม้จะต่างกับพระที่ยังไม่ได้ปลุกเสก แต่พี่ต่ายก็ทำให้ผมอุ่นใจเสมอ ผมเอื้อมมือไปจับมือพี่ต่ายที่นั่งอยู่เบาะด้านหน้า มือพี่ต่ายเย็นกว่าผมอีกครับ เวรแล้วซิ เหอๆๆ ผมว่าพี่ต่ายหน้าซีดด้วย ฝุ่นดินฟุ้งกระจายจนเราต้องรีบปิดหน้าต่างไม่ให้สำลักฝุ่นไปก่อน
กิฟหันมามองพวกผมแล้วยิ้มๆ“พวกพี่เป็นอะไรกัน ผมแค่ถอยหลังนิดหน่อยเอง”ผมค้านในใจว่าเมิงอย่ามาโกหกกู กูรู้ว่ามึงขึ้นไปไม่รอด รถมันไหลลงมาเอง ไม่ต้องมาหลอกเลยไอ้น้องกิฟ
แต่ในที่สุดเราก็ต้องถอยมาตั้งหลักแล้วยอมลงจากภูครับ ขึ้นไม่ได้แน่นอนรถแรงไม่ถึง เราผ่านลงมาทางเก่าอีกครั้งผ่านนักท่องเที่ยวกลุ่มเดิมซึ่งคงรอดูพวกเราอยู่ว่าจะรอดกลับมาไม๊ พวกเขาคงไม่รู้หรอกว่าเราพยายามเต็มที่แล้วแต่น้องแจ๊ซกลับยอมแพ้ เฮ้อ...... ไม่ใช่เราเลยนะที่ไม่สู้
“กิฟจอดตรงนี้ก่อนแวะถามบ้านพักดู”พี่ต่ายบอกให้กิฟจอดรถ เราลงไปเดินถามบ้านที่อยู่ข้างทาง เจ้าของบ้านเดินผ่านมาพอดี
“มีที่พักเหลือไม๊ครับ เราจะอยากจะค้างคืนนี้”
“น้องโชคดีมากเลยนะ มีบ้านเหลือหลังหนึ่งพอดีมากันกี่คนคะ”ผมต้องสะกดใจไม่ร้องออกมาดังๆ เยสๆๆๆ ผมดีใจมากเลยครับ มีที่ซุกหัวนอนแล้วคืนนี้นึกว่าต้องเร่ร่อนไปต่อซะแล้ว แอบคิดนิดหน่อยว่าพี่เค้าคงบอกทุกคนแบบนี้แหล่ะว่าเหลือหลังสุดท้าย
บริเวณบ้านพัก เฮือนดอกเสี้ยว
พี่เค้าคิดเราราคาต่อหัว250บาท ไม่รวมอาหารเย็น มีทีวี น้ำอุ่นให้ด้วย เราเดินเข้าไปดูสภาพในบ้านพักมีสองชั้น มีสองห้องน้ำ ห้องนอนด้านบนเป็นโถงโล่งปูเป็นฟูกนอนได้ห้าหกคนเลยครับ ด้านล่างก็มีห้องนอนอีกห้องหนึ่งต่างหาก เสียก็แต่บันไดขึ้นชั้นสองแคบมากครับวางฝ่าเท้าได้ครึ่งเดียวต้องเป็นผู้ดีตะแคงตีนเดิน ไม่อย่างนั้นเป็นได้ตกบันไดกันแน่นอน ในที่สุดเราตกลงนอนที่บ้านนี้(เพราะขี้เกียจหาแล้ว ฮ่าๆๆๆ) กว่าจะตกลงกันได้ก็เย็นมากแล้วครับเกือบห้าโมงเย็น อากาศเริ่มหนาวแต่เวลาแบบนี้กลางป่าเขาลำเนาไพร จะให้นอนเลยก็เบื่อแย่ครับ
“ไปเดินเที่ยวกันพี่โอม เราเดินขึ้นไปทางที่รถขึ้นไม่ได้มะกี้ดีไม๊”น้องกิฟมาดึงมือผมให้ไปเดินเล่น ถ่ายรูปกัน ในขณะที่พี่ต่ายขนกระเป๋าเข้าบ้านไป ข้างๆบ้านมีต้นไม้สูงดอกสีขาวบานกระจายไปทั่วเต็มต้นเลยครับ ถามพี่เจ้าของบ้านก็เลยรู้ว่านี่เองคือดอกเสี้ยวที่เค้าจัดงานขึ้นมา มิน่าตลอดทางจึงเห็นต้นไม้แบบนี้อยู่มากมายตามไหล่เขาเห็นดอกสีขาวบานสะพรั่งอยู่ทั่วไปหมด ถ้ามาวันที่บานมากกว่านี้คงจะสวยน่าชมทีเดียว
รูปดอกเสี้ยว
น้องกิฟยังคงมีความสุขจากการถ่ายรูปถึงแม้ว่าแสงอาทิตย์จะเริ่มลดน้อยลงไปทุกที เห็นเพียงแสงสีส้มเรืองๆอยู่ที่ริมขอบฟ้าตัดกับวิวภูเขาและหลังคาบ้านของชาวบ้านที่อาศัยอยู่บริเวณนี้ อากาศที่เริ่มเย็นลงทำให้บรรยากาศชวนเหงามากขึ้นไปอีก ริมถนนที่เราเดินเล่นมีต้นไม้ออกดอกสวยงามอยู่มากมายทั้งดอกเสี้ยว ดอกคริสมาสต์สีแดงสด ดอกลำโพง และอีกมากที่ผมไม่รู้จักชื่อ ผมเริ่มหนาวจนต้องเดินกอดอก
ดอกลำโพง
น้องกิฟวิ่งเล่นไปไหนไม่รู้แล้วครับผมค่อยๆเดินเล่นไปอย่างช้าๆสูดอากาศบริสุทธ์ที่ธรรมชาติสร้างมาให้เรา พอได้กลิ่นอากาศสะอาดๆแบบนี้ผมก็แอบคิดถึงอากาศที่เขาใหญ่ ก็ไม่แพ้ที่ภูชี้ฟ้านะครับ คิดถึงบ้านขึ้นมาตะหงิดๆไม่รู้ว่าแม่จะว่ายังไงที่ผมทิ้งงานมาดื้อๆ “คิดอะไรอยู่ครับโอม” เสื้อแจคเก็ตของพี่ต่ายคลุมลงมาบนไหล่ผมพร้อมกับอ้อมแขนของพี่ต่ายที่โอบเอวผมไว้หลวมๆ
“ก็คิดว่าที่บ้านจะว่าไงที่ผมมาเที่ยวยาวแบบนี้”
“ไม่ต้องห่วงหรอกโอมพี่บอกที่บ้านแล้ว ว่าขอเที่ยวก่อนที่จะต้องลุยงานหนัก แม่ไม่ว่าอะไรนี่บอกให้มาเลย”
“เหรอแล้วแม่เงียบเลยไม่บอกผมซักคำ บอกแต่ว่าเอาเสื้อหนาวไปด้วยก็ยังงงๆว่าร้อนจะตายเอามาทำไม”
“หึหึ นานๆได้มาเที่ยวไกลๆแบบนี้มั่งก็ดีนะโอม ได้ใช้เวลากันในที่แปลกๆบ้าง เราไม่ได้ไปไหนแบบนี้นานแล้วนะ”
“ช่าย อือ ผมว่าจะถามพี่ต่ายพี่ไปรู้จักกิฟได้ยังไงน่ะ ดูสนิทสนมกันจัง”ไม่ได้คาดคั้นนะครับ แค่อยากรู้ที่มาที่ไปแค่นั้นเอง ไม่ได้หึง สาบานได้จะไปหึงทำไมแค่เด็กๆ
“ก็กิฟเค้าเป็นเพื่อนของน้องที่ทำงาน ไม่ใช่ซิน้องของเพื่อนที่ทำงาน พี่ก็งงเอง” พี่ต่ายหัวเราะ ผมก็เริ่มงงด้วย
“แล้วเคยเจอกันเหรอ” พี่ต่ายส่ายหัว แล้วขำๆ
“ไม่เคยเจอเลยเชื่อไม๊ เคยคุยโทรศัพท์ไม่กี่ครั้งเอง ตอนที่พี่จะมาแล้วเพื่อนบอกให้คุยกะน้องเค้า พี่ก็ยังมึนๆนะเนี่ย” น่านซิน้องกิฟช่างเข้ากับคนง่ายขนาดนี้ น่าจะไปเป็นประชาสัมพันธ์ให้จังหวัดเลยนะเนี่ย
“พี่ๆครับมาถ่ายรูปกัน”เสียงกิฟตะโกนเรียกให้พวกผมไปถ่ายรูปกับป้ายยินดีต้อนรับสู่ภูชี้ฟ้า เราใช้เวลาถ่ายรูปกันพักใหญ่ แล้วก็ลงมาทานข้าวกันก็เป็นร้านของชาวบ้านแถวๆนั้นที่พอฤดูกาลท่องเที่ยวก็จะขึ้นมาทำอาหารขาย พอหมดเทศกาลก็ลงไปอยู่ข้างล่างครับ อาหารมื้อนี้อร่อยกว่าที่เราคิด เป็นอาหารง่ายๆเช่นไข่เจียว ต้มยำไก่ ผัดผักรวม ผมเลยเอาขาหมูที่เหลือเมื่อกลางวันมาให้ป้าแกช่วยอุ่นให้ ก็กินกันเต็มที่ครับหมดไปไม่ถึง2ร้อย แถมป้ายังไงใจดีทำลาบไข่ปลามาแถมให้จานใหญ่แต่พวกผมลองทานแล้วมันเผ็ดและไม่ถูกปากพวกเราครับเลยได้แต่ขอบคุณป้าในความมีน้ำใจของแกไป
ดอกเสี้ยวข้างๆบ้านในยามพระอาทิตย์กำลังจะตก
เราตกลงกับเจ้าของบ้านว่าพรุ่งนี้ให้เอารถมารับเราขึ้นไปดูพระอาทิตย์ขึ้นตอนเช้า ตกลงพรุ่งนี้ต้องตื่นตี5ครับ เอิกซ์ซซซ ผมจะตื่นไหวไม๊เนี่ย
อากาศหนาวจัดๆ ท้องฟ้ามืดสนิท ผมลืมไปเลยว่าวันนี้เป็นวันวาเลนไทน์ แต่อะไรๆก็ดูไม่สำคัญสำหรับผมแล้ว ยังไงพี่ต่ายก็อยู่กับผม คิดไปคิดมาก็ไม่น่าเชื่อนะครับว่าตั้งแต่คบกันมาเราไม่เคยได้อยู่ด้วยกันในวันวาเลนไทน์เลย
เพราะต่างคนก็ต่างทำงานกัน แต่วันนี้เราได้อยู่ด้วยกันในอากาศหนาวๆ ท่ามกลางขุนเขา บ้านกลางป่า
และ น้องกิฟ !!$@$^%*&(TUF%#@!%^
อยากจะเอาหัวโหม่งพื้น จะกำจัดน้องออกไปชั่วคราวได้ยังไง ผมเริ่มคิดถึงละครทีวีที่แม่ชอบดู นางร้ายจะจัดการกับนางเอกที่มากีดขวางทางรักได้ยังไง หน้าตาใสซื่อของกิฟลอยเข้ามาในภวังค์ของผม เราสามคนกำลังเดินกลับบ้านกันอย่างสบายๆ
“กิฟสบายดีไม๊ครับ อิ่มไม๊ ขับรถมาเหนื่อยไม๊ ง่วงรึยัง” เริ่มแล้วครับลองเกริ่นๆดูก่อน หึหึ ลองสวมบทพี่ชายที่แสนดีดูสักหน่อย
“เหนื่อยมากเลยพี่โอม อิ่มมากด้วย”เข้าแผนเราแล้วซิ สงสัยไม่ต้องทำอะไรหรอก เด็กวัยกำลังกินกำลังนอน เดี๋ยวก็หลับคร่อก ฮ่าๆๆ
“แต่...ตาสว่างมากเลยพี่โอมไม่ง่วงเลย”เวรแล้ว....กินอิ่มต้องง่วงซิ ตาสว่างได้ยังไง
“แต่พี่ว่ากิฟไปนอนเถอะถึงไม่ง่วงก็เหอะ วันนี้ขับรถมาทั้งวัน พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้าอีก เดี๋ยวจะลุกไม่ไหว”
“อึอื๋อ...ตอนนี้นะพี่3ทุ่มกว่าเอง นอนไม่หลับหรอก ดูทีวีดีกว่าเนอะ”กิฟวิ่งนำไปก่อนเลยครับ แล้วคงนึกขึ้นมาได้ว่าบ้านล็อคเลยตะโกนถามมาว่า “กุญแจอยู่ไหนพี่??”
“อยู่กับพี่”พี่ต่ายตะโกนตอบ กิฟวิ่งกลับมาเอากุญแจอีกครั้ง แต่ “ไปเร็วๆซิพี่ต่ายเดินเป็นลุงอยู่ได้ เร้ววว”ฉุดพี่ต่ายไปแล้วครับ ลากพี่ต่ายของผมไปเลย ฉกกันต่อหน้าต่อตา ผมอยากจะบอกว่าเฮ้ย....เอาไปแต่กุญแจซิ ต้องเอาคนไขกุญแจด้วยรึไงว่ะ
พอเริ่มเอ็นดูน้องทีไร มันก็ชอบมาทำให้เราระแวงอีกจนได้ ความระแวงนี่มันไม่ดีเลยนะครับ หรือว่านี่เองที่เรียกว่าหึงหวง ผมเพิ่งรู้ว่าผมก็เป็นนะ แล้วเป็นมากซะด้วย ก็อย่างที่บอก น้องกิฟมันขาวสวยหมวยเซ็กส์ขนาดนี้แล้วผมขาวตี๋ตี่แห้งกร๋อยจะเอาอะไรไปสู้ ผมได้แต่เดินคอตกคิดไม่ออก ทำใจให้ไม่คิดก็ยากจริงๆครับ
พอเข้าบ้านไปปรากฏว่ากิฟกำลังอาบน้ำอยู่ห้องข่างล่างครับได้ยินเสียงบ่นว่าน้ำไม่ร้อนเลยพี่โวยวายออกมา พี่ต่ายคงจะอยู่ข้างบนผมเลยเดินขึ้นไปข้างบน กระเป๋าเรากองอยู่ห้องข้างล่างหมด เพราะถ้าขนขึ้นไปคงจะได้ตกลงมากันก่อน แค่ประคองตัวเองให้เดินขึ้นยังยากลำบาก
“พี่ต่ายนอนทำไรอยู่ครับ”ถามไปแล้วก็โง่ได้อีก ก็เห็นอยู่ว่าพี่ต่ายนอนพังพาบอยู่บนฟูกเปิดดูเลือกทีวีอย่างเพลิดเพลิน
“โอมมานี่ซิ จะดูอะไรดีล่ะ ปกติพี่ไม่ค่อยได้ดูทีวีเลย”ผมเข้าไปนอนคางเกยหมอนข้างๆพี่ต่าย แอบเอาตัวไปกระแซะข้างๆพี่ต่ายขอความอบอุ่นหน่อย พี่ต่ายกดเปลี่ยนช่องไปเรื่อยๆครับยังคงให้สมาธิกับรายการทีวี เหมือนเพิ่งเคยมีทีวีเป็นครั้งแรกในชีวิต ผมก็ไม่ค่อยได้ดูทีวีเหมือนกันเลยไม่รู้ว่าจะดูอะไรดี แต่มีโฆษณาบิ๊กซีนีม่าวันนี้ฉายเรื่องBrokeback mountain ซึ่งผมไม่เคยดูครับ
“เรื่องนี้นะดีมากเลยนะโอมดูรึยัง”
“ผมยังไม่เคยดูเลยพี่ มันเป็นยังไงเหรอ”ตอบไม่ทันครับ ไอ้น้องกิฟอาบน้ำเสร็จแล้วตัวหอมกรุ่น ขาวจั๊วะมาเชียวทำหน้าใสเอาผ้าเช็ดผมที่เปียกๆอยู่
“กิฟอยากดูม๊ากกกเลยพี่ต่าย เล่าให้ฟังคร่าวๆหน่อยซิ”ขโมยซีนอ้อนของผมไปได้อีก ไอ้น้องแสบ
“ผมก็ไม่เคยดูพี่ แต่ผมว่าเราไปอาบน้ำกันก่อนดีกว่าพี่ เดี๋ยวยิ่งดึกยิ่งหนาว”ผมไม่ควรเปิดโอกาสครับถึงแม้ว่าพี่ต่ายดูไม่คิดอะไร กิฟก็ดูไม่คิดอะไร แต่ผมซิคิดอะไรๆ คิดไปมากมายก่ายกอง นึกแล้วก็ทั้งขำทั้งสมเพชตัวเองจริงๆ ท่าจะบ้าไปแล้ว
พี่ต่ายก็ไม่ว่าอะไรครับตามผมมาอาบน้ำแต่โดยดี
ได้ยินแต่เสียงกิฟตะโกนมา “พี่โอมน้ำไม่อุ่นเลยพี่ อุ่นตอนเปิดแป๊ปเดียวเอง ไม่มีราวแขวนผ้าด้วย พี่โอมเอาถุงไปใส่เสื้อด้วยนะคร๊าบบบ”น้องมันน่ารักนะครับ แล้วทำไมผมถึงคิดเลวๆไปได้อีก อาบน้ำเสร็จผมจะล้างความคิดไม่ดีออกไปเกี่ยวกับกิฟให้หมดดีกว่า ผมควรมองโลกในแง่ดี
เราแยกกันอาบคนละห้องใช้เวลาไม่นานก็อาบเสร็จตามๆกันครับ จะอาบนานๆได้ยังไงหนาวขนาดนี้
“ในห้องพี่เหม็นกลิ่นแก๊สมากเลย น้ำก็เย็นเฉียบไม่ได้อุ่นเลย หนาวน่าดูเลย บรื๋ออออ”พี่ต่ายปากซีดมากเลยครับคงจะหนาวจริงๆ ตอนที่เราขึ้นไปข้างบนน้องกิฟนอนเล่นโทรศัพท์กับเปิดดูรูปในกล้องอยู่ครับ
“พี่ต่ายมาเล่าเรื่องBrokebackก่อน กิฟรออยู่นะ” กิฟตบฟูกตรงข้างๆตัวให้พี่ต่ายไปนอน พี่ต่ายก็ไปครับเห็นเด็กเรียกแล้วไปเลยครับ ลืมผมไปเลย ผมก็ได้แต่คลานตามไปเงียบๆ ตกลงพี่ต่ายจะนอนกลางระหว่างผมกับกิฟใช่ไหมเนี่ย ตะเภาแก้วตะเภาทองซ้ายขวาเลยนะพี่ เหอๆๆ พี่ต่ายนั่งพิงเสาตั้งใจเล่าเรื่องให้กิฟฟัง กิฟก็นอนฟังตาแป๋ว ผมเลยนอนฟังตาแป๋วมั่ง ประมาณว่าเด็กๆรอฟังพี่เล่านิทาน
“ก็เรื่องนี้มันเป็นเรื่องของคนงานที่เค้าจ้างไปเฝ้าแกะในหุบเขาไง แล้วเฝ้าไปเฝ้ามาเค้าหลงรักกัน แต่ตอนหลังต่างคนก็ต่างต้องแยกจากกันไปแต่งงาน”
“แล้วมีบทอย่างว่าไม๊พี่ต่าย”กิฟถามครับผมไม่ได้ถาม ผมหื่นแต่ไม่แสดงออก(ไม๊)
“มีนิดเดียวนะ แต่ในทีวีมันคงตัดนะ”
“ว้า...”ผมกับกิฟร้องขึ้นมาพร้อมๆกันเลยครับ
“งั้นรอดูก่อน ว่าจะตัดไม๊ เนอะพี่โอมเนอะ”ผมพยักหน้ากับกิฟนี่คง เป็นครั้งแรกที่ผมคิดตรงกับกิฟอย่างบริสุทธิใจ
ผมเริ่มง่วงแล้วครับหนังที่คิดว่าจะดู ก็เริ่มฉายแล้วแต่ตาก็ปรือจะหลับเสียให้ได้ ปรากฎว่ามีพี่ต่ายที่ดูแล้วแต่ยังคงนั่งดูอีกครั้ง ส่วนน้องกิฟเลื้อยนอนไปแล้วครับ
“นี่ไงฉากนี้ที่หลบฝนเข้าไปในเต็นท์ เอ๊ยยย ทำไมมันเช้าแล้วละ”เสียงพี่ต่ายปลุกผมสองคนให้ตื่นมาอีกครั้ง
กิฟรีบสลัดหัวลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ผมก็งัวๆเงียๆลืมตาดู “ไหนๆๆไม่เห็นมีอะไรเลย ไหนล่ะ”ฉากนี้ที่รอคอย
“ก็มันคงตัดไง นี่ไงใส่กางเกงแล้ว แสดงว่าตัดไปหมดแล้วล่ะ”ผมกับกิฟเลยทิ้งตัวลงนอนต่อเหมือนเดิม
“งั้นก็ไม่ดูแล้วนอนดีกว่า สู้เพื่อนกรูรักมึงก็ไม่ได้”กิฟบ่นๆแล้วทำท่าให้ดู ผมได้แต่ขำท่าทางของกิฟที่โยกตัวหัวสั่นหัวคลอน เพราะผมก็ไม่ได้ดูเรื่องนั้น พี่ต่ายกับผมหัวเราะกับความบ้าของน้อง ผมว่าผมไม่รู้จะไปหึงน้องทำไม แกล้งน้องยังจะน่าสนุกกว่าอีก
“ผมนอนแล้วนะครับพี่ ง่วงนอนเหมือนโดนยาสั่ง ”กิฟปิดปากหาวก่อนที่จะลาไปนอนก่อน โดยที่พี่ต่ายยังคงนั่งดูหนังต่อเพียงลำพัง ผมก็ไม่ไหวแล้ว
“พี่ต่ายผมนอนแล้วนะครับ”ผมก็จะลานอนไปตามน้อง แอบคิดนิดเดียวจริงๆ วันนี้วันวาเลนไทน์ไม่ใช่เหรอ ทำไมมันเหมือนวันอื่นๆเลยล่ะ ไม่มีอะไรแตกต่างให้หัวใจมันกระชุ่มกระชวยเลย กำลังจะเลื้อยตัวไปนอนหลับให้สบาย พี่ต่ายก็ดึงแขนผมไว้ “โอมมานอนนี่มา” พี่ต่ายตบที่ต้นขาพี่ต่ายแล้วพยักหน้าเรียกผมอีกครั้ง เป็นทำนองว่าให้มานอนที่ตักของแก ผมส่ายหัวยื้อดึงแขนตัวเองกลับขืนตัวเองไว้
“เดี๋ยวพี่เมื่อยขา จะดูหนังก็ดูไปซิ จะไปทรมานเมื่อยทำไม”
พี่ต่ายก็ยังจับมือผมไว้ไม่ปล่อย ทำส่งสายตาอ้อนวอนมาให้ผม “อยากอยู่ใกล้ๆ วันนี้ก็นั่งห่างกันทั้งวัน มานอนบนตักให้พี่ได้มองหน้าหน่อยนะครับโอม” อ้อนกันขนาดนี้ไม่ตามใจก็ใจแข็งไปแล้วครับ เหลียวไปดูกิฟ ก็นอนหลับคร่อกไปแล้วเป็นใจเปิดทางดีมากน้อง ให้พี่ได้อยู่กันสองคนมั่งเถอะ ผมขยับศรีษะดึงผ้าห่มมาห่มแล้ววางหัวบนขาพี่ต่าย เงยหน้าขึ้นไปมองพี่ต่ายยิ้มส่งมาให้
“กู๊ดไนท์ครับโอม รักนะ”แล้วก้มลงมาจูบผมที่ริมฝีปากผมเบาๆ แค่นี้ผมก็อิ่มใจแล้วครับ ต่อให้วันนี้จะเป็นวันอะไรมันก็ไม่มีความหมายอีกต่อไป มือพี่ต่ายลูบหัวผมเบาๆแล้วใช้เวลาไม่นานผมก็หลับไปอย่างง่ายดาย
******************************************************************************
ว่าจะลงไม่ยาวไหงยาวได้หว่า
ปลล.รูปที่ลงมาจากฝีมือของหลายๆคนทั้งน้องเบ็ตตี้ นนท์ กิฟ ขอขอบคุณล่วงหน้าค่ะ
แถมรูปเบื้องหลังอีกรูปค่ะ กำลังคิดไม่ตกกันหมดทุกคน อิอิ