มีคนบอกว่าหื่นเกินไปรับไม่ได้
เพราะงั้นจะลดระดับลงแล้วกันนะ เดี๋ยวเด็กๆก็จะเสียเด็ก ที่ไม่เด็กก็จะเสียคน
+++++++++++++++++++++++++
พรุ่งนี้พี่ต่ายจะกลับกรุงเทพฯแล้วครับเราก็เลยไปค้างที่บ้านริมเขากัน ช่วงนี้ก็อากาศร้อนครับแต่บางวันก็มีฝนบ้างก็พอทำให้เย็นขึ้นมาบ้าง แล้วถ้าเข้าไปในเขาใหญ่ให้อากาศภายในเมืองร้อนมากๆยังไง ต้นไม้ก็ช่วยทำให้เย็นขึ้นได้ครับ พี่ต่ายถึงชอบมาเขาใหญ่เกือบทุกอาทิตย์ถ้าไม่ติดงาน ผมไม่กล้าคิดว่าพี่ต่ายมาหาผมหรอกครับจะดูเข้าข้างตัวเองเกินไป
ผมนอนเล่นมองฝนตกอยู่ด้านนอกเพลินๆก็คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ถึงแม้ว่าผมกับพี่ต่ายจะคบกันมาหลายปีแต่ความสัมพันธ์ของเราก็เรื่อยๆครับไม่มีรักมากที่สุดหรือรักน้อยที่สุด แต่อันนี้สำหรับความคิดผมคนเดียวน่ะครับแต่พี่ต่ายจะคิดยังไงผมไม่รู้
ผมรู้แต่ว่าไอ้ช่วงที่เศร้าที่สุดมันก็คงผ่านไปแล้ว ถ้าผมเจอมากกว่านี้ผมก็คงทำใจรับกับมันได้ ก็ได้แต่หวังว่ามันจะเป็นอยู่แบบนี้ไปก็แล้วกันโลดโผนนักผมคงไม่ไหว แล้วผมก็เผลอหลับไปครับ :t3:อาจจะเป็นเพราะช่วงที่ผ่านมาหลายๆเดือนสมองใช้งานมากไป เลยสั่งให้พักเสียบ้างนอนหลับไปง่ายๆอย่างนั้นเอง มารู้สึกตัวอีกทีก็พี่ต่ายมาปลุกครับ ผมขยี้ตามองออกไปด้านนอกฝนหยุดตกแล้วครับแต่ความมืดเข้ามาเยือนแทน
“โอนนอนหลับสนิทไม๊ ที่จริงพี่ไม่อยากปลุกนะเห็นเหนื่อยมาหลายวันแต่เห็นว่าทุ่มกว่าแล้ว เลยเรียกมากินข้าวกันดีกว่า”
“หูย....ทุ่มนึงแล้วเหรอพี่ นี่ผมนอนไปนานมากเลยเนอะตั้งแต่ 4โมงเย็น ไม่รู้หลับไปได้ไงแต่พอฝนตกแล้วมันเย็นดีน่ะ”
ผมลุกขึ้นบิดขี้เกียจแล้วเดินไปที่โต๊ะอาหารที่พี่ต่ายจัดเตรียมไว้แล้ว ผมอยากสารภาพว่าผมไม่เคยช่วยพี่ต่ายทำอะไรเลยครับ ยังคงทำตัวเป็นคุณชายได้คงเส้นคงวา คือให้พี่ต่ายบริการตลอด แอบเหล่ตามองพี่ต่ายนี่เริ่มเบื่อกรูรึยังหว่า แต่พี่เค้าก็ดูหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใสดีนี่นา สงสัยยังไม่ทันรู้ตัว เหอๆๆหลายปีแล้วนา งั้นก็จงอย่ารู้ตัวเลยผมกำลังสบายยยย
กับข้าววันนี้เป็นแกงจืดมะระยัดไส้หมูครับ แต่ก่อนผมก็ไม่ทานของขมๆแต่พอมาอยู่กับพี่ต่ายเลือกมากไม่ได้ครับไม่งั้นอดกิน แกบอกว่า
หวานเป็นลมขมเป็นขม ให้กินไปอย่าเลือกกินมาก คนอื่นไม่มีกินเยอะแยะ ผมก็เลยต้องก้มหน้ากินไปจนตอนนี้ผมชอบแล้วครับเอิกซ์์ซซซซ
อีกจานหนึ่งเป็นยำปลาทูครับเอาปลาทูทอดที่เราทานนี่แหล่ะครับฉีกเป็นชิ้นเล็กๆแล้วซอยตะไคร้ใส่มีพริก หอมแดง ใส่ถั่วลิสงคั่วด้วย แล้วปรุงรสมะนาวน้ำปลาตามชอบครับ ผมชอบครับพี่ต่ายก็ทำอร่อยด้วย อีกจานนึงเป็นผัดผักบุ้งไฟแดงครับพี่ต่ายชอบทำมากไม่รู้จะกัดผมเรื่องบุ้งหรือว่าแกชอบทานเองอันนี้ผมก็ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ แต่สูตรของพี่ต่ายต้องกระเทียมโปะเยอะๆครับ ไม่รู้แกกะจะโด๊ปตัวเองรึเปล่าผมก็ไม่รู้หรือว่าจะโด๊ปผม ผมก็ไม่แน่ใจ
เราก็นั่งทานข้าวกันเงียบๆน่ะครับ พี่ต่ายดูเหมือนคิดอะไรอยู่ แล้วก็พูดขึ้นมาว่า“โอมจะไปงานเพื่อนวันอาทิตย์ใช่ไม๊ งั้นวันเสาร์โอมขึ้นไปกรุงเทพฯก่อนนะเราไปเที่ยวกันก่อนดีกว่า”ผมเลิกคิ้วขึ้นมองหน้าพี่ต่าย ไปเที่ยวเนี่ยนะ
“ไปไหนพี่ แต่ผมกลัวมางานไม่ทัน ถ้าเราไปพัทยา หรือระยองมันก็ไกลไปขับรถเหนื่อยเปล่าๆ กว่าจะขับกลับมาอีก น้ำมันยิ่งแพงๆอยู่ เสียดายค่าน้ำมันน่ะ” เศรษฐกิจไม่ดีก็ต้องช่วยๆกันประหยัดครับ ผมสังเกตว่าตั้งแต่น้ำมันใกล้จะ40บาท คนหายกันไปหมดครับจะใช้อะไรก็คิดมากขึ้น ถึงแม้จะลงมาเยอะแล้วก็ตามแต่จะออกไปไหนก็ต้องให้คุ้มกับค่าเดินทาง คิดแล้วก็กลุ้มใจ
“ไปไหนล่ะพี่ต่าย”ผมมองหน้าถามพี่ต่ายอีกที พี่ต่ายยิ้มๆไม่ตอบผม ผมเลยต้องเขย่าแขนพี่ต่ายแรงๆ “พี่ต่ายชอบทำลับลมคมใน ยังไงล่ะพี่”
“ก็ค่อยไปบอกวันเสาร์ไง พี่ไม่พาโอมไปขายหรอกน่า หรือถึงขายก็คงไม่ได้ราคา คงต้องประกาศเลหลังหลายวันหน่อย เอ....หรือจะทำเป็นคูปองลดราคา....อืม....”
ผมเห็นว่าพี่ต่ายจะไปกันใหญ่ ผมเลยลุกขึ้นมาชักเคืองๆครับ หมดกันจะเอาผมไปขายได้ซะล่ะ
“พอๆๆๆเลยพี่....ไม่รักกันก็ไม่ต้องมาเซลส์ ผมไปตามทางของผมเองก็ได้ ไม่ต้องลำบากพี่หรอก”
นี่ผมงอนแล้วนะ เก่าๆมันก็หมดความหมาย ผมคงเป็นเพียงของตกรุ่นต้องเอาไปขายที่Outlet ขายตามห้างราคาเต็มๆยังไม่ได้เลย โธ่ชีวิต!!! ผมเดินคอตกขึ้นห้องนอนไป ยังได้ยินเสียงพี่ต่ายหัวเราะหึๆไล่หลังมา แต่ที่จริงก็แอบมีแผนครับ ขี้เกียจเก็บล้างถ้วยชาม แบบนี้จะได้ดูไม่น่าเกลียด หึหึ ทำเนียนๆงอนนี่แหล่ะครับทำบ่อยทำเรื่อยๆจนเป็นนิสัย แต่้เป็นนิสัยที่ไม่ดีนะครับผู้ปกครองควรชี้แนะ
ผมเตรียมตัวอาบน้ำเข้านอนรอพี่ต่ายขึ้นมา วันนี้อากาศเย็นสบายจริงๆครับฝนตกทำให้อากาศน่านอนเป็นที่สุด ปรกติผมก็ง่วงนอนตลอดทั้งวันอยู่แล้ว แต่กลางวันก็ไม่เคยได้นอนซักทีเพราะต้องทำงาน ช่วงนี้เป็นช่วงที่ปลอดโปร่งโล่งใจมากๆเพราะไม่มีงานมารุมเร้าเหมือนช่วงก่อนๆ รู้สึกว่าผ่อนคลายความเครียดไปมากทีเดียว ผมไม่รู้ว่าผมหลับไปอีกครั้งเมื่อไหร่ แต่มาเคลิ้มเหมือนมีอ้อมแขนของคนคุนเคยมาโอบกอดไว้ ได้ยินเสียงกระซิบเบาๆที่ข้างหู
“หนาวเหรอครับโอมนอนขดตัวเชียว....มาให้พี่กอดนะครับ”
ผมงัวๆเงียๆตอบไปแบบง่วงๆง่า “คร๊าบบบบ...พี่ต่าย” แล้วผมก็ได้รับสัมผัสอบอุ่นนั้นจากพี่ต่ายครับ เพียงแค่อ้อมกอดนี้ก็ทำให้ผมหลับได้อย่างเป็นสุขแล้วครับ เสียดายล่ะซิที่ไม่ีอะไรไปมากกว่านั้น หึหึ บางทีแค่นอนกอดกันก็พอแล้วครับสำหรับเราสองคน
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันนี้วันเสาร์ผมเข้ากรุงเทพตอนสายๆเพราะวันอาทิตย์ผมต้องไปงานแต่งงานนนนี่ ในที่สุดผมก็คงให้พี่ต่ายไปด้วย ก็ยังแอบกังวลใจเหมือนกันถ้าพี่ต่ายเจอกับเบ็ตตี้จะเป็นยังไงกัน แต่ในเมื่อผมคิดที่จะรักกับพี่ต่ายผมก็ไม่อยากจะปิดบังอะไรอีกต่อไป
กว่าผมจะถึงบ้านพี่ต่ายก็เกือบเที่ยงแล้วครับ พอผมขับรถเข้าไปที่บ้านพี่ต่าย พี่ต่ายคงรออยู่แล้วครับ เดินออกมาพร้อมถือกระเป๋าใบย่อมๆมาด้วย เอ....แกจะไปไหนล่ะนั่น ผมยังนั่งงงอยู่ในรถจนพี่ต่ายมาเปิดประตูฝั่งคนขับดึงแขนให้ผมลงจากรถ
“มาโอมพี่ขับรถเอง....”แล้วพี่ต่ายก็ดึงตัวผมมาหอมแก้มครับ ผมยกมือลูบแก้มแล้วลงจากรถเดินไปนั่งอีกข้างหนึ่งของรถอย่างเบลอๆ
“พี่ต่ายตกลงไปไหนน่ะพี่ ผมไม่ได้เตรียมเสื้อผ้าอะไรมาเลยนะพี่ ไปไหนอ่ะงงนะเนี่ย”
“ไปตลาดน้ำอัมพวากัน ไปพักผ่อน นอนเล่นกันนะโอม เสื้อผ้าพี่เตรียมมาเผื่อโอมแล้ว”พี่ต่ายหันมายิ้มหวานให้ผม เอื้อมมือมาขยี้ผมผมเบาๆ ผมยังนั่งทำหน้าเอ๋ออยู่
“มันอยู่ที่ไหนน่ะพี่ต่าย ผมเคยได้ยินแต่ชื่อแต่ไม่รู้เลยว่ามันอยู่ตรงไหน”
“อยู่ที่จังหวัดสมุทรสงคราม เดี๋ยวเราไปหาอะไรอร่อยๆทานกันก่อน เพราะตลาดน้ำที่นี่เค้ามีตอนเย็นๆ พอดีลูกน้องพี่ที่ทำงานเค้าไปกันมาเค้าบอกว่าสนุกดี พี่เลยอยากไปกับโอมบ้าง”ท่าทางพี่ต่ายมีความสุขมากครับ เหมือนกับผมตอนนี้เลย เพราะเราอยู่ด้วยกันก็จริงแต่น้อยครั้งมากที่เราจะได้ไปเที่ยวต่างจังหวัดด้วยกันสองคน ไม่นับที่พี่ต่ายไปพักที่บ้านริมเขานะครับเพราะอันนั้นมันเหมือนอยู่บ้านเราเองมากกว่า
จากเส้นทางถนนพระรามสอง จาก กทม. ข้ามสะพานลอยเข้าสมุทรสงคราม เจอสามแยกตัวทีเลี้ยวซ้ายไป 3 กม. มีป้ายไปตลอดทางชื่อร้านแดง พี่ต่ายเลี้ยวซ้ายเข้าไปก็พบร้านที่หมายที่พี่ต่ายบอกว่าเพื่อนๆมาทานกันแล้วติดใจเป็นอาหารทะเลครับ ร้านก็เรียบๆธรรมดาไม่ได้หรูหราอะไร แต่มีคนมารอคิวกันอยู่บ้างแต่คนก็เยอะจริงๆครับ
พวกผมรอซักครู่ก็ได้โต๊ะอาหารมื้อนี้พี่ต่ายเป็นคนสั่งตามเคยครับ เริ่มจานแรกคือหอยหลอดผัดฉ่า รสชาดจัดจ้านดีครับถูกใจคนชอบทานอาหารเผ็ดๆแบบผม จานต่อมาเป็นกุ้งอบเกลือครับตัวใหญ่ไม่มากก็จริงแต่ขอบอกสดมากๆเนื้อหวานสุดๆ ก็ตามเคยครับพี่ต่ายแกะให้ผม ผมเหรอจะทำเอง มีแฟนดีก็ต้องให้บริการซิครับ
“ผมแกะเองก็ได้พี่ต่ายมือเลอะเปล่าๆนะ”ผมแกล้งทำท่าแข็งขันจะทำเองแต่พี่ต่ายก็บอกผมว่า
“ก็ให้พี่มือเลอะคนเดียวก็พอแล้ว พี่แกะให้โอมเองดีกว่า”แล้วผมก็เสวยสุขเป็นคุณชายโอมเหมือนเดิมครับ มีแฟนดีก็สบายไปสิบอย่าง ไม่ซิผมว่าเกินสิบอย่าง อิอิ
จานต่อไปเป็นปูทะเลนึ่งครับ ใส่น้ำจิ้มซีฟู๊ดส์เข้าไปผมแทบลืมน้ำพริกปลาร้าแมงดากะปิของผมไปเลย อยากกินอย่างนี้ทุกวัน มันอร่อยไปหมดเลยครับ ผมเจริญอาหารมากๆ พี่ต่ายเองก็ทานได้มากกว่าปรกติ ที่จริงปลานึ่งเต๋าเต้ยของที่นี่ก็มีชื่อมากว่าสดไม่แพ้กัน แต่ผมสองคนก็ทานไม่ไหวแล้วครับ แค่นี้ก็อิ่มไปจนถึงมื้อเย็น อาจเป็นเพราะเรามาทานกันแค่สองคนเลย แล้วอาหารแต่ละจานก็ใหญ่ๆทั้งนั้น ทานได้ไม่กี่อย่างก็อิ่มแล้วครับ
“อิ่มไม๊ครับโอม ชอบไม๊”พี่ต่ายมองผมเจริญอาหารขนาดนี้ ถ้าผมยังบอกว่าไม่อิ่มพี่จะเลี้ยงผมไหวเหรอ
“อิ่มสุดๆไปเลยพี่ ไว้วันหลังเรามากันอีกนะผมชอบ อิอิ”ก็กินฟรีแล้วอร่อยขนาดนี้ผมก็ต้องชอบซิ ผมนั่งผึ่งพุงเอามือลูบท้องแล้วถามพี่ต่าย “แล้วเราไปไหนต่อดีพี่ต่ายยังอีกตั้งนานไม่ใช่เหรอครับ”
“ไปไหว้พระกันดีกว่าโอมนะ” ผมพยักหน้าให้พี่ต่ายอยากบอกว่าพี่พาไปไหนผมก็ไม่รู้หรอกพี่ ไปนรกสวรรค์ผมก็ไปแล้วล่ะ
วัดที่เราไปกันชื่อ
วัดบางกุ้ง ครับสร้างขึ้นโดยภรรยาเศรษฐีตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนปลาย ที่นี่มีสิ่งหนึ่งที่ใครหลายต่อหลายคนต้องตกตะลึงกับความมหัศจรรย์ของธรรมชาติ นั่นก็เป็นเพราะโบสถ์ทรงเรือสำเภา ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปหลวงพ่อนิลมณีอยู่นั้น ถูกโอบล้อมด้วยต้นไม้มงคล 4 ชนิด คือ ต้นโพธิ์ ต้นไทร ต้นไกร และต้นกร่าง ขึ้นปกคลุมโบสถ์ และรากของต้นไม้ทั้ง 4 ชนิดยังแผ่หยั่งลึกอุ้มตัวโบสถ์เอาไว้ โดยมิได้ทำอันตรายใดๆ กับตัวโบสถ์เลย นับได้ว่าต้นไม้ทั้ง 4 เป็นสิ่งที่ช่วยปกป้องศาสนสถานแห่งนี้ให้คงอยู่มาถึงปัจจุบันได้
ผมไปเห็นแล้วก็อดทึ่งไม่ได้ครับก็ต้นไม้ปกคลุมโบสถ์ครึ้มไปหมดเลยครับ พอเดินเข้าไปนั่งกราบพระในโบสถ์มันเย็นมากๆครับ เย็นกายเย็นใจ สบายใจอย่างบอกไม่ถูก มีนักท่องเที่ยวและชาวบ้าน เข้ามาไหว้พระกันมากมาย พี่ต่ายนั่งไหว้พระปิดทองคำเปลวไปกับผม ตอนที่เราไหว้พระพร้อมกันผมเหลือบมองพี่ต่ายเห็นหลับตานิ่งไม่รู้อธิษฐานอะไรซิ แต่ผมนะขอแค่ให้ทุกวันของผมเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆผมก็พอใจแล้ว
เรานั่งกันเงียบๆในโบสถ์ลมเย็นๆพักผ่านเบาๆ มองหน้ากันแล้วยิ้มๆ
“สบายจังเลยนะพี่ต่าย ผมชอบมากๆเลย แปลกดีด้วย”
“อืม...พี่ก็ชอบสงบมากๆเลย เห็นว่าวัดนี้เป็นหนึ่งใน UnseenThailandด้วยนะโอม”
“ก็แปลกจริงๆนะพี่ ว่าอยู่มาได้ยังไงตั้งนานๆขนาดนี้ แต่ผมเห็นข้างนอกเค้าเอาแป๊ปเหล็กมายันเอาไว้ คงกลัวว่ามันจะทรุดลงไปน่ะพี่”
“ก็คงต้องช่วยกันทะนุบำรุงรักษาให้อยู่นานๆน่ะโอม น่าเลื่อมใสออก”
เรานั่งกันอยู่ครู่ใหญ่จนนักท่องเที่ยวเริ่มมามาก จนไม่มีที่ให้เรานั่งได้สงบๆ เราก็เลยชวนกันออกมา เดินชมไปทั่วบริเวณวัดจนเมื่อเราเดินไปที่ท่าน้ำ มีปลาที่อยู่ในเขตอภัยทานมากมายตัวใหญ่ๆ ผมดูก็ไม่รู้จักว่าเป็นปลาอะไร มีนักท่องเที่ยวยืนให้อาหารปลากันอยู่ พี่ต่ายเลยไปซื้ออาหารปลามาให้ ดูพวกมันแย่งอาหารกันน่าสนุก
“ปลาพวกนี้มีความสุขจังเลยนะพี่ต่าย อยู่สงบอยู่ดีกินดี ไม่มีใครมาเบียดเบียน ดูซิตัวเบ้อเริ่มเลย”ผมดูปลาแล้วก็อดอิจฉามันไม่ได้
“ทำไมล่ะตอนนี้โอมไม่มีความสุขเหรอ”พี่ต่ายหันมาถามผม ตัวผมเองที่พูดอะไรไปแบบไม่คิด ก็เลยอดมาคิดไม่ได้
“นั่นนะซิ ผมก็มีความสุขดีออก ก็แค่พูดไปงั้นเองพี่ ผมมีความสุขดี”ถ้าได้อยู่กับพี่ต่ายทุกวันคงยิ่งสุขสุดๆ
“แล้วพี่ต่ายล่ะครับมีความสุขไม๊” ผมก็อดขำนะครับอยู่ดีๆมาพูดกันเรื่องอะไรไม่รู้
พี่ต่ายยังให้อาหารปลาไปยิ้มไป แล้วตอบโดยไม่ได้หันมามองผม ลมพัดเย็นๆเสียงของสายน้ำมันทำให้บรรยากาศมันดีจริงๆครับ
“พี่ว่าพี่มีความสุขมากๆ มีโอมที่รัก มีงานที่ชอบทำ มีเพื่อนร่วมงานที่ดี สุขภาพก็แข็งแรงดี มีครอบครัวของโอมที่พี่รัก ความสุขของพี่มันมีมาก มากจนพี่กลัวซะด้วยซ้ำไป”
“พี่ต่ายกลัวอะไรเหรอครับ ในเมื่อมันดีก็ดีแล้วนี่พี่”ผมแอบเอามือไปกุมมือพี่ต่ายที่เกาะอยู่บนราวสะพาน พี่ต่ายหันมายิ้มให้ผม ส่งแววตาสวยๆมาให้ผม
“พี่กลัวว่าพี่จะเหลิงไปกับความสุขเหล่านั้น พี่กลัวว่าพี่จะเสพติดมัน จนขาดมันไม่ได้ ก็พระท่านพูดอยู่เสมอ ว่าทุกๆสิ่งล้วนไม่แน่นอน”
“พี่ต่ายพูดไม่สมกับเป็นพี่ต่ายเลย ผมก็ไม่รู้นะพี่ว่าอะไรที่มันไม่แน่นอน แต่สิ่งหนึ่งที่แน่นอนมากๆสำหรับผมก็คือผมรักพี่”พี่ต่ายพลิกฝ่ามือที่กำราวสะพานอยู่หงายขึ้นแล้วเอานิ้วสอดประสานกับผม พี่ต่ายกำมือผมแน่น “ขอบคุณครับโอม....ขอบคุณที่รักกัน”
ผมรู้สึกเหมือนรอบกายเราไม่มีใครอยู่ เด็กๆที่วิ่งเล่นกัน นักท่องเที่ยวที่ให้อาหารปลา พระสงฆ์ที่ขายอาหารปลา เรือหางยาวที่วิ่งผ่านไปมาก็ดูเงียบไป มีเพียงความรู้สึกดีๆที่อบอวลอยู่ในใจของเรา เรามองตากันอยู่นานไม่มีคำพูดใดๆอีกจากเราทั้งสองคน สักพักนึงพี่ต่ายคงนึกได้ว่าเรายังอยู่ในบริเวณวัด อาจจะไม่เหมะสมสักเท่าไหร่ แล้วผมก็เริ่มร้อนๆแล้วด้วย ก็คนอย่างผมคงอยู่วัดนานๆไม่ได้มันร้อน 55555+
“ไปกันเถอะโอม.....”พี่ต่ายจูงมือผมเดินกลับจากท่าน้ำ ผมเห็นคนมองเราสองคนอยู่บ้างผมเลยอดเขินไม่ได้ หน้าร้อนผ่าวด้วยความเขินอาย แต่ผมก็ไม่ปล่อยมือนี้ และไม่คิดที่จะปล่อยด้วย
ออกจากวัดมาแล้วพี่ต่ายขับรถลัดเลาะไปตามถนนเล็กๆที่สองข้างทางเต็มไปด้วยสวนครึ้มจนถึงบริเวณตลาดน้ำอัมพวา
ตลาดน้ำยามเย็นอัมพวา เกิดขึ้นด้วยความร่วมมือร่วมใจกันของเทศบาลตำบลอัมพวา และชาวบ้านในพื้นที่ ฟื้นฟูตลาดน้ำอัมพวาขึ้นมาอีกครั้ง ให้นักท่องเที่ยวได้ชื่นชมบรรยากาศตลาดน้ำเฉพาะในวันศุกร์ เสาร์ และอาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 16.00 น. เป็นต้นไป และจะไปวายเอาในเวลาพลบค่ำ
เราไปถึงกันประมาณ4โมงเย็นตลาดเพิ่งจะเริ่มๆเปิดคนยังเดินกันไม่มาก พี่ต่ายติดต่อบ้านพักไว้แล้วเราเลยตกลงที่จะเข้าไปพักโฮมเสตย์ที่จองไว้ก่อน จากปากทางเข้าเดินไปตามทางเดินสองข้างทางเป็นร้านค้า มีของกินคาวหวานขายอยู่เรียงรายหลากหลายละลานตาไปหมด ขนาดว่าผมอิ่มๆมาแล้วจากมื้อกลางวัน ยังอดใจแทบไม่ไหวอยากทานไปหมด ดีที่พี่ต่ายกึ่งจูงกึ่งลากผม เลยเดินไปได้
“พี่ต่ายผมอยากกินทอดมันน่ะ...ลูกชุบก็น่ากิน...พี่ต่ายๆ ขายปลาทูเต็มเลยอยากซื้อไปฝากแม่ เห็นเค้าเรียกันว่าหน้างอคอหัก ตลกดีเนอะเรียกซะเห็นภาพเลย”เป็นคำที่เค้าเรียกปลาทูที่นี่กันครับเพราะมันพร้อมใจกันหน้างอคอหักนอนเรียงกันเป็นตับอยู่ในเข่งรอให้คนมาซื้อ
“เดี๋ยวค่อยมาซื้อนะโอม.....เอาของไปเก็บก่อน ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วย”
แล้วพี่ต่ายก็ลากผมไปเลยครับ ผมเลยได้แต่เล็งๆไว้ก่อนว่าจะกลับมาซื้ออะไรดี ถ้าใครไปตลาดน้ำวันนั้นคงเห็นผู้ชายหน้าตาดีสองคนกึงเดินกึ่งลากกัน ก็ไม่ต้องสงสัยครับผมสองคนเอง ถึงแม้คนถูกลากจะหล่อน้อยกว่าแต่ก็ดูน่ารักครับ อิอิ
TBC
**********************************************
วันนี้มาชวนไปเที่ยวกันนะค่ะ นึกซะว่าไปด้วยกันก็ได้
ส่วนเจ้าสาว เจ้าบ่าว แฟนเก่า รอไปก่อนนะ