█ ▌รักเต็มใจ ➽ HEART IS FULL ▌█
┠ 36 ┨
แม้จะผ่านมาแล้ว 1 สัปดาห์กับเหตุการณ์ที่ผมไม่เคยคาดคิดว่าจะเกิดขึ้นมาก่อนในชีวิต แต่คำถาม ‘
มันเกิดอะไรขึ้น?’ ก็ยังคงวนเวียนอยู่ในหัวของผมซ้ำไปซ้ำมา
ในสมองมึนตื้อไปหมด ผมคิดอะไรไม่ออก จับต้นชนปลายไม่ถูก ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนผมตามไม่ทัน ผมพยายามทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นเริ่มตั้งแต่มีคนมาแจ้งว่าว่าที่คู่หมั้นของผมหายตัวไป คุณแม่จึงให้ผมตามไปดูให้เห็นกับตาว่าเธอหายตัวไปจริงๆ ก่อนจะออกจากห้องจัดงานผมส่งสัญญาณบอกเต็มใจว่าให้รอผมที่ด้านนอกล็อบบี้ ฝ่ายนั้นพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม....
เมื่อผมและคุณแม่ตามมาจนเจอกับญาติผู้ใหญ่ของฮันนี่ก็พบว่าเธอไม่ได้หายไปไหน สาเหตุที่เธอไม่สามารถเข้าพิธีหมั้นได้ก็เพราะว่าเธอเมาหัวราน้ำอยู่ในผับด้านล่างของโรงแรมต่างหาก พ่อแม่พี่น้องและญาติท่างฝ่ายนั้นจึงขอยกเลิกงานหมั้นเสียเองและให้ข่าวกับนักข่าวไปว่าเธอเป็นลมหมดสติ ระหว่างนั้นคุณแม่ก็โทรหาคุณพ่อเพื่อจะให้ท่านไปคุยและตกลงกับทางญาติผู้ใหญ่ของอีกฝ่ายให้เรียบร้อย แต่ดูเหมือนว่าคุณแม่จะยังคุยไม่ทันจะรู้เรื่องคุณพ่อก็ตัดสายโทรศัพท์ของคุณแม่เสียก่อน ด้วยความเป็นห่วงและร้อนใจคุณแม่จึงชวนให้ผมไปหาคุณพ่อที่ชั้น 37 ด้วยกัน
ภาพทุกภาพยังติดตา พี่นายอยู่ในอารมณ์ที่โกรธมากและกำลังถือปืนขู่คุณพ่อ ในขณะที่คุณพ่อเองอยู่ในสภาพเหมือนคนที่กับว่าท่านไม่ใช่คุณพ่อที่ผมเคยรู้จักมาก่อน
พี่นาย คุณพ่อ และคุณแม่ คุยโต้ตอบกันในเรื่องที่ผมไม่เข้าใจ และโดยที่ไม่มีใครได้ทันตั้งตัว คุณพ่อเอาปืนมาจากไหนไม่รู้แค่เพียงเสี้ยววินาทีเสียงปืนที่ดังขึ้นก็ทำให้พี่นายล้มลงไปต่อหน้าต่อตาของผมและคุณแม่ เสียงกรีดร้องของคุณแม่เตือนสติให้ผมพุ่งตัวเข้าประคองพี่ชายเพียงคนเดียวที่นอนหายใจผะแผ่วอยู่กลางกองเลือดสีเข้ม ผมพยายามจะบอกพี่ชายว่า
‘อย่าเป็นอะไรนะครับ อดทนไว้นะ ผมจะเรียกรถพยายาลเดี๋ยวนี้’ ใบหน้าซีดเซียวส่ายเบาๆ ดวงตาคู่เล็กกระพริบช้าๆ หยดน้ำไหลรินเป็นสายจากหางตาด้วยความเจ็บปวด
ไม่.. พี่นายจะต้องไม่เป็นอะไรทั้งนั้น.. ผมพยายามเขย่าเรียกพี่ชายให้ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ในขณะที่คุณแม่กรีดร้องเรียกพี่นายราวกับว่ากำลังจะขาดใจ และจังหวะที่ผมกำลังหลอกตัวเองว่าเหตุการณ์ในตอนนี้เป็นเพียงแค่ฝันร้าย เสียงปืนก็ดังขึ้นอีกครั้ง คุณแม่ใช้ปืนของพี่นายยิงใส่คุณพ่อทีเดียว 3 นัดรวด ก่อนจะระเบิดหัวเราะออกมาเสียงดังลั่นราวกับคนขาดแล้วเบนปลายกระบอกปืนจ่อตรงหน้าอกด้านซ้ายของตัวเอง ผมจำได้ว่าผมตะโกนเรียกคุณแม่จนสุดเสียงเพื่อเรียกสติท่าน ใบหน้าที่นองด้วยน้ำตาหันมาสบตากับผม ท่านระบายรอยยิ้มและบอกผมว่า ‘
แม่รักลูกนะกองทัพ.. แม่รักลูกมาก.. แม่ขอโทษ’ มันเป็นคำที่ผมเฝ้ารอฟังมาตั้งแต่เด็ก เป็นประโยคที่ผมโหยหามาเนิ่นนาน แต่เพียงแค่พริบตาเดียวเท่านั้นโลกของผมทั้งใบก็ดับมือดอ้างว้าง เหมือนกับว่าจู่ๆ ผมก็ถูกผลักลงจากหน้าผาสูง เจ็บแต่ไม่ตาย ทรมานแต่ยังมีลมหายใจ มันเป็นความรู้สึกเหมือนกับว่าทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของผมได้สูญสิ้นลงแล้ว...
“กองทัพ”
น้ำเสียงที่พยายามควบคุมให้มั่นคงเอ่ยเรียกชื่อผมพร้อมกับวางมือลงบนหัวไหล่และบีบเบาๆ ผมมองใบหน้าอ่อนแรงและดวงตาที่เหนื่อยล้าแล้วก็ได้แต่เตือนตัวเองว่าต้องทำตัวให้เข้มแข็งขึ้นกว่าเดิม ตั้งแต่นี้ต่อไปผมจะกลับไปเป็นเด็กที่คอยให้คุณปู่คุณย่าคอยสปอยอยู่ตลอดเหมือนอย่างเดิมไม่ได้อีกแล้ว
“ครับคุณปู่”
ตอบรับคุณปู่พร้อมกับลุกขึ้นยืนแล้วเลื่อนเก้าอี้ให้คุณปู่นั่งพัก จากนั้นก็รินน้ำใส่แก้ว
ตั้งแต่เกิดเรื่องผมต้องเทียวไปเทียวมาระหว่างสถานีตำรวจกับโรงพยาบาลจนแทบจะไม่ได้ไปร่วมงานศพของบุพการี ซึ่งงานศพของพวกท่านคุณปู่คุณย่าเลือกที่จะจัดตามประเพณีไทยโดยได้นายพลกิตติและคุณหญิงหยดคอยช่วยเหลือดูแลทุกอย่างตั้งแต่วันแรกจนถึงงานฌาปณกิจ แถมเมื่อเช้ายังมาร่วมลอยอังคารอีกด้วย แต่ถึงอย่างนั้นคนที่เหนื่อยที่สุดคงจะไม่พ้นคุณปู่คุณย่า
“คุณย่าละครับ?”
ส่งแก้วน้ำให้คุณปู่ ท่านดื่มน้ำจนหมดแก้วก่อนจะเอ่ยตอบผม
“อยู่กับคุณหญิงหยดและอาขวัญ แวะไปคุยเรื่องอาการของพี่นายกับคุณหมอหน่ะ”
อ่อ.. ผมพยักหน้ารับแล้วย่อตัวลงนั่งคุกเข่าข้างๆ ท่าน ดวงตาอ่อนล้าของคุณปู่มองคนที่นอนอยู่บนเตียงมีสายระโยงระยางมากมายด้วยความเป็นห่วง ในวันนั้นคุณพ่อจงใจจะยิงพี่นายเพื่อเอาชีวิต แม้กระสุนจะโดนจุดสำคัญแต่ดวงชะตาของพี่นายยังไม่ถึงคาด แต่ถึงอย่างนั้นผลกระทบจากวิถีกระสุนก็ส่งผลให้ระบบประสาทของร่างกายหลายจุด ทำให้พี่นายอาจจะเดินไม่ได้อีกตลอดชีวิต
พี่นายพ้นขีดอันตรายและเพิ่งรู้สึกตัวเมื่อคืนก่อน ซึ่งทันทีรู้สึกตัวพี่นายก็ถามหาคุณแม่ และ... ณดล.. แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นสภาพร่างกายของพี่นายก็ยังไม่สามารถสื่อสารหรือให้ข้อมูลใดๆ แก่ตำรวจได้
ฝ่ามือใหญ่ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลายสิบปีลูบหัวหลานชายคนโตอย่างอ่อนโยนโดยไม่มีคำพูดใดๆ ภายในห้องเงียบจนได้ยินเสียงเครื่องปรับอากาศ ผ่านไปครู่ใหญ่คุณปู่จึงค่อยผ่อนลมหายใจออกมา
“ทางตำรวจว่ายังไงบ้าง?”
“ยังไม่มีหลักฐานอื่นที่เป็นข้อบ่งชี้มูลเหตุ ทางตำรวจจึงมุ่งประเด็นเป็นเรื่องปัญหาในครอบครัวครับ ยังไงคงต้องรอให้พี่นายฟื้นก่อนครับ”
ตอบคุณปู่ตามผลการสอบสวนเบื้องต้นของทางตำรวจ ทว่าในความเป็นจริงนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้างผมไม่อาจจะบอกคุณปู่หรือใครต่อใครได้ ภาพในกล้องวงจรปิดเล่าเรื่องได้แทบทุกอย่าง แต่ยังดีที่ไม่มีเสียงให้ได้ยินผมจึงให้การกับตำรวจไปว่าเป็นเรื่องทะเลาะกันเกี่ยวกับปัญหาในครอบครัว อีกทั้งในที่เกิดเหตุก็ไม่มีใครอื่นนอกจากพวกเราทั้ง 4 คน....
สาเหตุที่ผมต้องโกหกก็เพื่อจะปกป้องพี่นายและรักษาความรู้สึกของคุณปู่คุณย่า ไม่ใช่ว่าผมไม่เสียใจกับการจากไปของบุพการี แต่สิ่งเดียวที่สติสัปชัญญะและมโนสำนึกของผมมีนั้นก็คือผมไม่อาจยื้อชีวิตของคุณพ่อและคุณแม่กลับมาได้ เพราะฉะนั้นผมจึงต้องทำเพื่อคนที่ยังมีชีวิตอยู่ นั่นก็คือคุณปู่ คุณย่า และพี่ชายเพียงคนเดียวของผม แม้จะสงสัย แปลกใจและไม่เข้าใจว่าในวันนั้น
‘เต็มใจ’ อยู่ที่นั่นด้วยได้ยังไง? เจ้าตัวหายตัวไปตั้งแต่เมื่อไหร่? ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือทั้งก่อนและหลังเหตุการณ์ทั้งหมดกล้องวงจรปิดทุกตัวของโรงแรมไม่สามารถจับภาพของอีกฝ่ายไว้ได้เลย ภาพสุดท้ายที่ถูกบันทึกไว้คือร่างบางเดินหายไปพร้อมกับกลุ่มแขกเหรื่อบริเวณหน้าห้องจัดเลี้ยงโดยไม่มีพิรุธใดๆ
ผมมีโอกาสเจอหน้าอีกฝ่ายในงานศพของบุพการีหลายครั้ง ผมรู้ว่าเจ้าตัวคงอยากจะคุยกับผม แต่ผมยังไม่พร้อม.. หรือถ้าให้ถูกคงจะเรียกว่าผมกลัวที่จะคุยกับอีกฝ่าย กลัวกับความคิดและความสงสัยของตัวเอง ผมเป็นเพียงผู้ชายธรรมดาที่รักใครมากก็จะหวั่นไหวกับเรื่องของคนที่รักมากกว่าคนทั่วไปหลายเท่าตัว ผมรักบุพการีและผมก็รักเต็มมาก ทุกคนล้วนเป็นคนที่ผมรักทั้งสิ้น การสูญเสียครั้งนี้ยิ่งใหญ่เสียจนผมไม่ทันได้ตั้งตัวและไม่ทันจะรับมือกับทุกสิ่ง ดังนั้นผมจึงขอให้เวลากับตัวเองเพื่อเรียกสติและคิดทบทวนเรื่องทั้งหมดเพียงลำพังให้ถี่ถ้วนกว่านี้อีกสักหน่อย
“นี่ยังไม่ได้กินอะไรใช่มั๊ย?”
เพราะมัวแต่คิดเรื่องมากมายอยู่ในหัว จึงไม่ทันได้ฟังคำถามของคุณปู่ ท่านมองหน้าผมนิ่งๆ แล้วใช้นิ้วโป้งคลึงตรงระหว่างคิ้วให้ผม
“ชีวิตคนเรามันก็มีอยู่แค่นี้ อย่ามัวแต่ตั้งคำถามกับตัวเองว่าทำไม? อย่าใช้เวลาที่มีอยู่ไปโทษใครต่อใคร พ่อกับแม่เราเขาไปสบายแล้ว พวกเขาเลือกทางขอตัวเองและเลือกที่จะเก็บเหตุผลและความลับทั้งหมดไว้กับตัวเอง เพราะฉะนั้นเราก็อย่าไปรื้อหาคำตอบจากคนที่ตายไปแล้วอีกเลย”
เสียงผ่อนลมหายใจเบาๆ ดังขึ้นอย่างกับว่าคุณปู่ท่านปลงในเรื่องทั้งหมด ผมก็ได้แต่พยักหน้าเห็นด้วยตามท่านทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงผมไม่สามารถหยุดคิดเรื่องทั้งหมดได้เลย
“นี่ยังไม่ได้กินอะไรใช่มั๊ย?”
“ผมยังไม่หิวเลยครับคุณปู่”
“ไม่หิวก็ต้องกิน ออกไปหาอะไรกินด้านล่างโรงพยาบาลก็ได้จะได้ไปเดินเล่นผ่อนคลายซะบ้าง”
มือใหญ่ตบลงบนแผ่นหลังของผมไม่หนักไม่เบาพร้อมกับพูดคำภาษาจีนที่ผมไม่ได้ยินมานานมาก นานเสียจนผมไม่คิดว่าคุณปู่จะใช้คำนี้กับหลานชายที่อายุเลยวัยเบญจเพศมาแล้วตั้ง 2 ปี คำนั้นคือ
‘เถียวผี’ ที่แปลว่า
‘ไม่ดื้อสิ’ คุณปู่ไล่ผมออกมาจากห้องได้สำเร็จ คุณปู่บอกว่าจะอยู่เฝ้าพี่นายแทนผมเองและจะได้ถือโอกาสนอนเอนหลังบนโซฟาด้วยเสียเลย ผมจึงยอมเดินออกมาทั้งๆ ที่ยังไม่รู้สึกหิวสักนิดเพื่อจะได้ให้คุณปู่ได้พักผ่อน และขณะที่กำลังจะเดินไปที่ลิฟท์ ก็เจอคุณย่า คุณหญิงหยด และคุณอาขวัญที่ออกมาจากห้องคุณหมอพอดี ผมยกมือไหว้ทุกท่าน
“จะไปไหนเหรอลูก?”
คุณย่ายกมือข้างขวาขึ้นแนบบนแก้มของผม แม้ใบหน้าและแววตาจะเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าและโศกเศร้าแต่ท่านก็ยังพยายามปั้นรอยยิ้มส่งให้ผม
“คุณปู่ไล่ให้ไปเดินเล่นหน่ะครับ”
จับมือของคุณย่าที่แนบอยู่บนแก้มมากุมไว้ ท่านพยายามยิ้มกว้างกว่าเดิมแต่ทว่าในแววตากลับคลอหน่วยด้วยหยาดน้ำ ‘
ฉีฟานลี่หม่า?’ คุณย่าเอ่ยประโยคภาษาจีนที่แปลได้ว่า
‘ทานข้าวรึยัง?’ ออกมาแผ่วเบา ผมจึงได้แต่ขยับริมฝีปากตอบกลับไปว่า
‘กำลังจะไปหาข้าวทานครับ’ “ให้พี่ขวัญไปเป็นเพื่อนมั๊ยคะ?”
พี่ขวัญส่งรอยยิ้มมาให้
“นั่นสิ ให้พี่ขวัญไปด้วยดีกว่านะคะ”
คุณหญิงหยดช่วยเสริม แล้วจะมีใครกล้าปฏิเสธล่ะครับ
ภายในลิฟท์ลงสู่ชั้นล่าง ผมกับพี่ขวัญไม่ได้มีบทสนทนาใดๆ ผมรู้ว่าพี่ขวัญเองก็คงจะเหนื่อยอยู่ไม่น้อย เพราะทันทีที่รู้ข่าวท่านก็บินตรงกลับมาไทย คอยอยู่ช่วยงานศพและช่วยดูแลคุณปู่คุณย่าเป็นอย่างดี
เมื่อประตูลิฟท์เปิดออก ผมบอกพี่ขวัญว่าขอหาอะไรกินที่ศูนย์อาหารของโรงพยาบาลจะดีกว่า ท่านก็พยักหน้าตามใจ พี่ขวัญซื้อน้ำเปล่ามาดื่มเองและเผื่อผมอีก 1 ขวด มันเป็นน้ำแร่ยี่ห้อที่เต็มดื่มประจำ และเมื่อมองอาหารที่ผมเลือกกินก็ยังเป็นแบบที่เต็มชอบนั่นคือต้มจืดกับข้าวสวย ยอมรับครับว่าผมคิดถึงอีกฝ่ายมาก อยากจะให้มาอยู่ใกล้ๆ ตลอดเวลา แต่ในอีกเสี้ยวของความรู้สึกผมยังคงขลาดกลัวกับความจริงอันแสนโหดร้ายที่ได้พรากบุพการีไปจากผมพร้อมกันในคราเดียว
ระหว่างที่ผมนั่งทานข้าว พี่ขวัญก็คุยโทรศัพท์ทางไกลเรื่องงาน เราจึงไม่ได้คุยอะไรกัน จนเมื่อผมทานข้าวเสร็จ พี่ขวัญจึงวางสายแล้วมองหน้าผมนิ่งๆ
“ทะเลาะอะไรกับน้องเต็มรึเปล่า?”
“เปล่าครับ?”
เราไม่ได้ทะเลาะกัน มันคือความจริง พี่ขวัญอมยิ้มน้อยๆ
“เมื่อก่อนอามีเพื่อนสนิทอยู่สองคน.. รดา และวิริยา พวกเรารักกันมากทั้งๆ ที่เราทั้งสามคนนิสัยไม่เหมือนกันเลยสักนิด”
จู่ๆ พี่ขวัญก็พูดเรื่องในอดีตและแน่นอนว่าหนึ่งในเพื่อนสนิทของผู้ใหญ่ตรงหน้าก็คือคุณแม่ของผม
“อาเป็นคนดื้อ ไม่ค่อยจะยอมใคร รักสวยรักงามชอบอะไรสมัยใหม่ตามแฟชั่น ในขณะที่รดาเป็นคนง่ายๆ กินอยู่ง่าย เป็นหนอนหนังสือ เก่ง ฉลาด และมองโลกในแง่ดี ส่วนวิริยาเป็นประเภทหัวอ่อน ไม่ค่อยจะทันคน ปากร้ายแต่ใจดี”
เอาตามตรง ผมไม่เคยรู้มาก่อนว่าคุณแม่ของผมเป็นอย่างที่คนตรงหน้าพูด แต่ถึงอย่างนั้นผมก็เลือกที่จะนั่งฟังเงียบๆ
“ดิษฐ์.. เรารู้จักกันตั้งแต่เด็ก แต่เพราะดิษฐ์ไปเรียนเมืองนอกเราจึงไม่ค่อยได้ติดต่อกันจนกระทั่งดิษฐ์กลับมาเมืองไทยและได้เจอกับรดา ดิษฐ์บอกกับอาและใครต่อใครว่าชอบรดามาก อาเองก็เชียร์เพื่อนจนทั้งคู่ได้แต่งงานกัน แต่หลังจากนั้นอาก็ได้รู้ว่าดิษฐ์แอบลักลอบอยู่กินกับวิริยามาก่อนที่จะแต่งงานกับรดาเสียอีก.. ซึ่งตอนนั้นวิริยาเองก็มีสามีอยู่แล้ว”
ลมหายใจของผมสะดุดแทบจะทันที พี่ขวัญคงจะเดาความรู้สึกของผมออก ท่านจึงระบายรอยยิ้มอ่อนโยน
“วิริยารักและเทิดทูนดิษฐ์มาก เชื่อดิษฐ์ทุกอย่าง ถึงขนาดที่ยอมตัดขาดความเป็นเพื่อนกับอาและรดา ยอมเลิกกับสามีของตัวเอง นั่นเพราะวิริยาคิดว่าดิษฐ์รักเธอจริง.. ความรัก.. ถ้าไม่ฉลาดที่จะรักหรือให้คุณค่าของความรักในทางที่ผิด มันก็เหมือนเรื่องโง่ๆ เรื่องหนึ่งนั่นแหละ.... จริงมั๊ยคะ?”
ไม่มีคำตอบเป็นคำพูด ทว่าในใจของผมเลือกที่จะตอบว่า
‘จริงครับ’“รดาหายตัวไปอย่างลึกลับ... ดิษฐ์ไม่สบาย วิริยาตั้งท้องและใช้ชีวิตอยู่อย่างยากลำบาก”
“คุณแม่ท้องพี่นายก่อนที่จะแต่งงานกับคุณพ่ออย่างนั้นเหรอครับ?”
ขอขัดจังหวะถามขึ้นมาบ้าง แต่ผู้ใหญ่ตรงหน้าไม่ตอบในทันที ดวงตาคู่สวยมองหน้าผมนิ่งๆ อย่างประเมินความคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“นายพล, ฮู อิท ฮี แอนด์ ว๊อท อิส ฮี ทู ยู?”
พี่ขวัญถามคำถามที่ว่า Who is he and What is he to you? พี่นายพลเป็นใครและเขาเป็นอะไรสำหรับผม?
“พี่นายคือพี่ชายของผมครับ”
แม้จะไม่เข้าใจในเจตนาของคนถาม แต่คำตอบของผมก็มีเพียงคำตอบเดียวนั่นก็คือ พี่นายพล เป็นพี่ชายแท้ๆ เพียงคนเดียวของผมบนโลกใบนี้ พี่ขวัญอมยิ้ม
“ใช่.. นายพลคือพี่ชายของเธอ เขาเป็นลูกชายของวิริยาเหมือนกับเธอ รู้ไว้แค่นี้ก็พอแล้วสำหรับความเป็นพี่เป็นน้อง”
ผมพยักหน้ารับตามประโยคของพี่ขวัญเพราะมันเป็นจริงตามนั้นทุกอย่าง
“รดาและวิริยาเป็นเพื่อนที่น่าสงสาร….”
คนเล่าหยุดไปอีกรอบ และมันก็ทำให้ผมเริ่มฉุกคิดถึงประโยคโต้ตอบระหว่างพี่นายกับคุณพ่อก่อนจะเกิดโศกนาฏกรรมได้บ้าง
“วิริยาไม่ใช่คนฉลาดและแทบจะไม่มีความเฉลียว เธอเป็นผู้หญิงธรรมดามีรัก โลภ โกรธ หลง ตามประสาทั่วไป แต่สิ่งที่อารู้และมั่นใจก็คือเธอรักครอบครัวและรักลูกชายทั้งสองคนของเธอมาก แม้การแสดงออกจะดูขัดแย้ง แต่อาเชื่อว่าวิริยารักลูกเท่ากันเพียงแต่คงมีเหตุผลบางอย่างที่ทำให้เธอต้องแสดงออกมาแบบนั้น”
“ครับ..”
คำตอบของผมแผ่วเบาคล้ายต้องการเพียงแค่จะให้เรื่องพวกนี้มันผ่านพ้นไป เสียงของคุณแม่ที่เอ่ยบอกผมเป็นครั้งสุดท้ายยังฝังจิตประทับอยู่ในห้วงความทรงจำ รอยรั่วมากมายที่ถูกแอบซ่อนไว้ในหัวใจ บัดนี้มันค่อยๆ เผยเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น ถูกต้องแล้วล่ะครับ รอยรั่วทั้งหมดเกิดจากความน้อยใจในความรักของผู้เป็นแม่ แม้ผมจะไม่เคยพูดหรือแสดงออกให้ท่านเห็น แต่ผมก็แอบคิดมาตลอดว่าคุณแม่รักพี่นายมากกว่าผม และไม่ว่าคุณแม่ของผมจะเป็นคนยังไงผมก็ยังคงรักท่าน และผมก็รู้แล้วว่าท่านเองก็รักผมเช่นกัน
เสียงถอนหายใจเบาๆ ดังนั้นขึ้น ผมมองใบหน้าสวยที่ดูอ่อนเพลียของพี่ขวัญ
“สิ่งที่เป็นหนามตำใจของวิริยามาตลอดคือคิดว่าดิษฐ์รักรดามากกว่าตัวเอง แต่ความจริงแล้วดิษฐ์ไม่เคยรักรดาเลยสักนิด.. หรืออาจจะไม่เคยรักใครมากไปกว่าตัวเองเลยก็ได้”
หืม??? มันจะเป็นไปได้ยังไงล่ะครับ?
“ที่จริงแล้วอาก็ไม่ได้รู้เรื่องครอบครัวของเธอมากเท่าไหร่หรอกนะ เรื่องบางเรื่องเราก็ไม่ควรที่จะรับรู้ให้มาก คนตายไปแล้วก็ให้เรื่องมันตายไปด้วย เราควรจะใส่ใจคนที่ยังมีชีวิตอยู่มากกว่า.. พี่พูดถูกมั๊ยจ๊ะ?”
มันคงจะจริงอย่างที่พี่ขวัญพูด เพราะคุณปู่ก็เพิ่งบอกผมในเรื่องนี้เหมือนกัน
“ครับ”
“แต่ถ้ากองทัพอยากรู้เรื่องอะไรที่มากกว่านี้จริงๆ พี่แนะนำให้ไปตามน้องเต็มเอาเองจะดีกว่านะ”
ริมฝีปากสีสวยระบายรอยยิ้ม
“จำตอนงานประเพณีของมหาลัยได้มั๊ย? คำถามที่พี่ขวัญถามกองทัพถึงเหตุผลและสาเหตุที่จะทำให้กองทัพตัดใจเลิกรากับน้องเต็ม”
อ่อ.. ตอนนั้น
“จำได้ครับ”
ผู้ใหญ่ตรงหน้ามองตาผมนิ่งๆ
“น้องเต็มไม่ได้นอกใจ.. และไม่เคยโกหกกองทัพ”
เรื่องนี้ผมรู้ดี ผมรู้จักนิสัยของอีกฝ่ายดีพอ แต่ผมกลัวความรู้สึกของตัวเองต่างหาก
“อีกสองอาทิตย์น้องเต็มก็จะกลับไปอังกฤษแล้วนะ”
เรื่องนี้ผมรู้ดี ฝ่ายนั้นจะกลับไปอังกฤษ.. กลับไปแบบถาวร...
“น้องเต็มหน่ะ รักครอบครัวมาก เรื่องอื่นสามารถอดทนได้ แต่ถ้าเรื่องที่ใครมาทำร้ายคนในครอบครัวน้องเต็มจะไม่มีวันยอมเด็ดขาด เด็กคนนี้นิสัยเหมือนคุณพ่อมากๆ ยังกับถอดพิมพ์กันมา เหมือนจนน่ากลัวเลยล่ะ”
พูดถึงน้องชายแล้วเจ้าตัวก็หัวเราะขำออกมาเบาๆ
“
เห็นน้องเต็มบอกว่านัดจะไปเที่ยวทะเลกันไม่ใช่รึไง? ก็ถือซะว่าเอาความทุกข์ไปทิ้งไว้ในทะเลเสียด้วยเลยสิคะ”
ส่งยิ้มคืนให้พี่ขวัญพร้อมตอบว่า
‘ครับ’ เบาๆ ...
.
.
.
.
.
สัปดาห์ต่อมาพี่นายอาการดีขึ้น ผลกระทบจากกระสุนปืนตัดเส้นประสาททำให้ขาทั้ง 2 ข้างเป็นอัมพาต พี่นายเองคงจะตกใจสภาพร่างกายของตัวเองจึงได้เอาแต่เงียบไม่พูดไม่จา และผมก็แอบเห็นคุณย่าร้องไห้อยู่เงียบๆ คนเดียวหลายครั้ง
พรุ่งนี้คุณหมออนุญาตให้คุณตำรวจเข้ามาสอบปากคำจากพี่นายเพิ่มได้ ผมนั่งมองพี่ชายที่นอนหลับไปด้วยฤทธิ์ยา ในสมองของผมว่างเปล่า ผมง่วงแต่นอนไม่หลับ ผมหิวแต่กินไม่ได้ ผมคิดถึงเต็ม.. แต่ผมก็ยังขี้ขลาด ที่ทำได้ดีที่สุดก็คือส่งสีส้มไปเป็นตัวแทนของผมให้อีกฝ่ายช่วยดูแล
จนเมื่อตะวันคล้อยต่ำได้สาดแสงสีส้มผ่านผ้าม่านแพขนตาสีดำขลับจึงเริ่มขยับ ผมนั่งมองนิ่งๆ จนกระทั่งพี่นายลืมตาตื่น ผมจึงลุกขึ้นเตรียมกดเรียกคุณพยาบาล
“อย่าเพิ่ง”
เสียงแหบแห้งร้องห้าม ผมชะงักมือจากปุ่มกดแล้วมองหน้าพี่นาย
“คุยกันก่อนสิ”
อ่อ ผมระบายยิ้มออกมาก่อนจะช่วยปรับเอนที่นอนให้พี่นายอยู่ในท่าที่สบายขึ้น จากนั้นก็รินน้ำอุ่นให้พี่ชายดื่มจนหมดแก้ว เสียงแหบแห้งจึงค่อยกลับมาดีขึ้นกว่าเดิม
“พี่นายมีอะไรจะคุยกับผมเหรอครับ?”
คนเป็นพี่มองหน้าผมอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะหลบก้มมองขาของตัวเองที่อยู่ใต้ผ้าห่ม
“ฉันไม่ใช่ลูกของคุณพ่อ.. ฉันเป็นลูกติดของคุณแม่กับสามีเก่าของท่าน”
นี่พี่นายความจำเสื่อมหรือสติเลอะเลือนไปแล้วรึยังไงครับเนี่ย? ผมหัวเราะออกมาแห้งๆ เพราะคิดว่าพี่นายคงกำลังเล่นมุกอะไรสักอย่าง แต่ทว่าแววตาของพี่นายบอกอย่างชัดเจนว่าสิ่งที่พูดเป็นเรื่องจริง
“คุณแม่เล่าให้ฟังว่าพ่อแท้ๆ ของพี่เป็นคนขับรถแท็กซี่ คุณแม่เลิกกับเขาตอนที่ท่านตั้งท้องพี่ได้แค่สองเดือนแล้วมาแต่งงานใหม่กับคุณพ่อ.. คุณดิษฐ์.. ซึ่งท่านเคยรักกันมาก่อนที่จะแต่งงานกับคุณรดา ท่านรับเด็กในท้องไว้โดยบอกทุกคนว่าเป็นลูกของท่าน”
ในลำคอของผมแห้งผาก ผมพูดอะไรไม่ออกและไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรจะพูดอะไรออกไปรึเปล่า
“คุณดิษฐ์.. คนที่พี่เรียกว่าพ่อ ท่านไม่เคยรักคุณแม่ ไม่เคยรักคุณรดา ไม่เคยรักใครนอกจากตัวเอง ท่านไม่ใช่คนดีอย่างที่ใครๆ คิด ที่ทุกคนเห็นเป็นเพียงหน้ากากที่ใส่ไว้เท่านั้น”
“พี่นายรู้ได้ยังไงครับ?”
บอกตามตรงว่าผมไม่มีวันเชื่อ มันจะเป็นไปได้ยังไง คนอย่างคุณพ่อที่อ่อนโยนและใจดีขนาดนั้นจะเป็นอย่างที่พี่นายพูดได้ยังไง ท่าทางสมองของพี่ชายคงได้รับการกระทบกระเทือนไปด้วยแน่ๆ
ดูจากสายตาพี่นายคงจะรู้ว่าผมไม่มีทางเชื่อเรื่องที่เจ้าตัวกำลังพูดอยู่ ริมฝีปากแห้งฝากระบายยิ้มออกมาแต่เป็นรอยยิ้มที่ผมคิดว่าทั้งเศร้าและเหงาในเวลาเดียวกัน
“คุณแม่รักนายมากนะ….”
ประโยคสั้นๆ ที่เอ่ยออกมาจากปากของพี่ชายทำให้หัวใจของผมสะดุดกึก
“ที่ท่านทิ้งนายไปดูแลพี่เพราะท่านคิดแค่ว่าถ้าหากคุณแม่พานายไปอยู่กับพี่ด้วย คุณปู่คุณย่าก็จะพลอยเกลียดนายไปด้วยอีกคน ท่านจึงจำใจต้องทิ้งนายไว้ให้อยู่กับคุณปู่คุณย่า เพราะไม่ว่าจะยังไงตระกูลเกียรติไพศาลกิจก็ไม่มีวันทอดทิ้งนายเด็ดขาด”
พี่นายหลบสายตาด้วยการก้มหน้าแต่ผมก็ยังเห็นหยดน้ำหยดหนึ่งร่วงจากดวงตาคู่เล็กที่ถอดแบบมาจากคุณพ่อได้อย่างชัดเจน
“คุณแม่เป็นผู้หญิงธรรมดามากๆ คุณแม่เป็นเด็กกำพร้า ไม่มีญาติพี่น้องที่สนิท ไม่ได้สะสวย มารยาททางสังคมติดลบ พูดเพราะๆ ไม่ค่อยเป็น ท่านเป็นคนขี้บ่น และโง่มาก.... แต่ถึงอย่างนั้นท่านก็รักคุณพ่อและนายมาก”
ประโยคบอกรักครั้งเดียวและครั้งสุดท้ายของคุณแม่ดังก้องขึ้นอีกครั้ง ภายในหัวใจของผมรู้สึกเจ็บจนจุก เท่าที่จำความได้ผมเรียกร้องและโหยหาความรักจากผู้ให้กำเนิดมาโดยตลอด ผมไม่เคยรู้จักว่าคุณแม่ของตัวเองเลยสักนิด รู้แค่ว่าท่านรักพี่นายมาก ท่านชอบทำเรื่องให้ผมและคุณปู่คุณย่ารู้สึกแย่ ทั้งหมดไม่ใช่เพราะว่าท่านเป็นคนไม่ดี แต่ท่านไม่รู้วิธีที่จะพูดและแสดงออกหรอกเหรอ??
พี่ชายเพียงคนเดียวของผมใช้หลังมือปาดน้ำตาของตัวเองแบบลวกๆ ก่อนจะหยุดสบตากับผมตรงๆ
“คุณแม่ไม่ได้แย่งคุณพ่อมาจากคุณรดาอย่างที่ใครๆ เข้าใจ และคุณแม่ก็ไม่ได้คิดจะจับคุณพ่ออย่างที่คุณปู่คุณย่าคิด แต่เป็นคุณพ่อต่างหากที่ใช้คำว่ารักหลอกให้คุณแม่ติดกับ.. คุณแม่รู้สึกผิดต่อคุณรดามาโดยตลอด ใจจริงท่านก็เอ็นดูเต็มใจอยู่ไม่น้อยแต่เพราะท่านโดนคุณพ่อเป่าหูทุกวันว่าเต็มใจคือลูกชายของรดา ท่านจึงคิดว่าเต็มใจจะหลอกใช้นายเป็นเครื่องมือแก้แค้นพวกท่าน”
จากสายตาของพี่นายบอกให้รู้ว่าเรื่องทั้งหมดไม่ใช่เรื่องโกหกอย่างที่ผมคิด ผมพูดอะไรไม่ออก จุกแน่นไปหมด แม้แต่รอยหยักในสมองก็ยังลีบฝ่อ
คนเป็นพี่เงียบไปชั่วขณะ ดวงตาคู่เล็กยังคงจับจ้องมองผม มันเป็นสายตาที่พี่ชายคนหนึ่งส่งผ่านความห่วงใยให้น้องชาย เมื่อก่อนเพราะพี่นายถูกส่งไปเรียนเมืองนอกตั้งแต่เด็กเราจึงมีโอกาสเจอกันแค่ปีละครั้ง เมื่อไหร่ที่คุณแม่พาพี่นายกลับมาไทย ผมจึงกลายเป็นเด็กที่ติดพี่ชายและคุณแม่มาก และไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เรื่องราวของพวกเรากลายเป็นเพียงความทรงจำสีจางโดยมีความห่างเหินเข้ามาแทนที่
จู่ๆ เสียงของคุณแม่ที่ชอบบ่นไม่พอใจในทุกเรื่องที่ผมทำก็ลอยแว่วเข้ามาในจิตสำนึก ผมเพิ่งรู้ว่าไม่ใช่เพราะว่าท่านลำเอียงไม่รักผม แต่เพราะท่านไม่ค่อยจะมีเวลาได้อยู่กับผม ดังนั้นทุกครั้งที่เจอหน้าท่านจึงมักจะบ่นโน่นนี่นั่นเสมอ เพราะรอยรั่วที่ฝังแน่นอยู่ในจิตใจถูกเปิดออก ผมจึงไม่อาจจะกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้อีกต่อไป
นานพอดูที่ผมปล่อยให้ความอ่อนแอที่ปิดซ่อนไว้ได้ระบายออกมา จนกระทั่งฝ่ามือใหญ่วางลงบนหัวไหล่และบีบมันเบาๆ ราวกับจะส่งผ่านกำลังใจ
“ที่ผ่านมาไม่มีใครคิดจะทำร้ายนาย.. เพียงแต่คุณพ่อเลือกที่จะใช้นายเป็นหมากในเกมส์ของท่าน และคุณแม่บอกกับพี่เสมอว่าให้ทำตามที่คุณพ่อสั่งทุกอย่างเพราะคุณพ่อคือผู้มีพระคุณ”
“หมากในเกมส์?”
“นายจะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่.. การที่คุณรดาหายตัวไปเป็นฝีมือของคุณพ่อ.. เพื่อที่จะให้คุณปู่คุณย่ายอมรับในความสามารถ คุณพ่อจึงใช้คุณรดาเป็นบันไดเหยียบขึ้นสู่ความสำเร็จของธุรกิจ ท่านไม่ได้ป่วย ท่านแค่แสดงละคร และเพราะเหตุนี้ทำให้ท่านใช้ชีวิตอยู่อย่างเป็นทุกข์ หวาดระแวงตลอดเวลาว่าคุณรดาจะกลับมาแก้แค้น”
“ผมไม่เข้าใจ”
แม้น้ำเสียง สายตา และทุกอย่างของพี่นายจะบอกชัดเจนว่าสิ่งที่กำลังพูดเป็นเรื่องจริง แต่ผมก็ยังไม่คิดอยากจะเชื่อ
“ท่านขายคุณรดาให้นักการเมือง คุณรดาถูกนำตัวไปค้าประเวณี... ไม่มีใครรู้เรื่องนี้หรอกแม้แต่คุณแม่เอง หลักฐานทุกอย่างถูกทำลายไปนานแล้ว”
นี่มันเป็นเรื่องใหญ่มากนะครับ จะพูดเล่นๆ ไม่ได้เด็ดขาด
“ล แล้วพี่นายรู้ได้ยังไงครับ?”
“คุณวิชิตลูกน้องคนสนิทของคุณพ่อเล่าให้พี่ฟัง”
เคยได้ยินชื่อคุณวิชิตและพอรู้มาบ้างว่าคุณพ่อมักจะไว้ใจมอบหมายงานสำคัญให้คนๆ นี้ทำ แต่ไม่เคยรู้จักหน้าค่าตามาก่อน พี่นายมองหน้าผมนิ่งๆ คงจะรอให้ผมพร้อมและทำใจเปิดรับกับความจริงทุกอย่าง แต่ในเมื่อเรื่องมันมาถึงขนาดนี้คงไม่ต้องรอคำว่าพร้อมแล้วล่ะครับ แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ให้ทุกอย่างมันจบลงไปในคราวเดียว อย่างที่คุณปู่คุณย่าเคยสอนว่าถ้าวันหนึ่งเรารู้สึกท้อแท้ราวกับว่าชีวิตได้สูญสิ้นทุกอย่าง จงเสียใจให้สุด ยอมรับทุกอย่างให้ได้ แล้วลุกขึ้นยืนเพื่อก้าวต่อไป
“แล้วทำไมคุณพ่อถึงคิดจะฆ่าพี่นายล่ะครับ?”
“คุณวิชิตคือคนที่รู้ความลับของคุณพ่อมากที่สุด แต่เพราะคุณวิชิตคิดจะวางมือจากเรื่องทั้งหมดจึงมาขอให้พี่ช่วยพูดกับคุณพ่อ ทำให้ท่านระแวงว่าคุณวิชิตกับพี่จะหักหลังท่าน”
สูดลมหายใจเข้าเต็มปอด แล้วมองหน้าพี่นายกลับ จากสายตาของพี่นายบ่งบอกชัดว่ามีเรื่องที่สำคัญกว่าเรื่องของคุณวิชิต คนตรงหน้าเผยรอยยิ้มบางเบาคล้ายให้กำลังใจและรอจนผมพร้อม พี่นายจึงค่อยเอ่ยขึ้นอย่างระมัดระวัง
V
V
V
V
V
V
มีต่อด้านล่างนะคะ