█ ▌รักเต็มใจ ➽ HEART IS FULL ▌█
┠ 35 ┨
หลังจากที่ทุกคนยอมเปิดใจเล่าเรื่องของคุณรดาให้ผมฟัง การดำเนินชีวิตของผมก็ยังคงเหมือนเดิม ผมยังคงมีความสุขในครอบครัวที่อบอุ่นเหมือนเช่นทุกวันเพราะผมเลือกที่จะอยู่กับปัจจุบัน เรื่องราวในอดีตก็แค่เก็บมันใส่ไว้ในกล่องความทรงจำเอาไว้ให้หวนคิดถึงบ้างเป็นครั้งคราวไป แต่ก็อย่างเคยบอกไปนั่นแหละครับว่า ยกเว้นเสียว่าจะมีใครบางคนที่พยายามใช้เรื่องในอดีตมาทำร้ายผมและครอบครัว ผมจะไม่มีวันยอมอย่างเด็ดขาด
วันนี้ถือว่าเป็นวันดีเพราะเป็นงานหมั้นของเทมป์กับคุณฮันนี่ซึ่งเลือกจัดที่โรงแรมหรูใจกลางเมือง เทมป์ขับรถมารับผมกับออมด้วยตัวเองตั้งแต่ตี 3
“มองอะไร?”
ตั้งแต่ขึ้นรถมาดวงตาคู่คมก็หันมามองผมหลายต่อหลายรอบ มองแล้วก็อมยิ้มอยู่ได้
“มองคนหล่อ”
คำตอบของเทมป์ทำเอาผมหัวเราะขำ เมื่อวานช่วงบ่ายคุณแม่เรียกช่างทำผมเจ้าประจำมาทำผมให้ที่บ้าน ผมเลยถือโอกาสเปลี่ยนสีผมเสียด้วยเลย จากสีส้มเปลี่ยนเป็นสีบรอนด์เงิน และตัดไถให้สั้นลงเพื่อให้ดูทะมัดทะแมงมากขึ้น
มาถึงโรงแรมเทมป์ก็เจอทีมนักข่าวรออยู่แล้วครับ โดนสาดแสงแฟลชใส่จนแสบตาพร้อมกับยิงคำถามรัวๆ แต่ไม่มีใครตอบคำถามสักคน จะทำก็เพียงแต่โปรยยิ้มให้เท่านั้น
คุณนายวิริยายืนรอลูกชายอยู่หน้าห้องแต่งตัว และทันทีที่เห็นผมกับออมท่านก็แสดงสีหน้าไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด แต่เพราะมีนักข่าวเดินตามพวกเรามาด้วย ดังนั้นเมื่อผมกับออมพนมมือไหว้ คุณนายวิริยาจึงรีบปรับสีหน้าเป็นฉีกยิ้มอย่างฝืดฝืนจนน่าขำ
“มากันแล้วเหรอจ๊ะ.. คุณแม่ก็เป็นห่วงอยู่เลยกลัวจะมากันไม่ทัน เอ้า! กองทัพพาเพื่อนๆ เข้าไปแต่งหน้าเร็วสิลูก”
พูดจาด้วยเสียงหวานเจี๊ยบโดยเน้นย้ำคำว่า
‘เพื่อน’ เสียจนออมกลั้นขำจนหน้าแดง แต่เมื่อเข้ามาในห้องแต่งตัว ใบหน้ายิ้มแย้มของคุณนายวิริยาหน้าเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นบึ้งตึงพร้อมกับตวัดตามองมาที่ผมอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ
“นี่แกไปรับมะ... มาทำไม?”
แม้จะพูดกับลูกชายแต่ก็จงใจจะให้ผมได้ยิน แต่ก็ยังดีครับที่ยั้งสรรพนามระคายหูไว้ได้ทัน.. และผมกับออมแกล้งทำเป็นไม่สนใจโดยการหันไปคุยกับช่างแต่งหน้าทำผม
แม่ลูกต่อปากต่อคำกันอยู่ครู่ใหญ่จนท่าทางคนเป็นแม่จะยอมแพ้จึงได้จบเรื่องเดิมแล้วเริ่มเรื่องใหม่ด้วยระดับน้ำเสียงที่เหมือนจะให้ได้ยินแค่ 2 คน
‘พี่ชายแกหายหัวไปไหนเนี่ย? ติดต่อก็ไม่ได้’ ผมปลายสายตาไปมองแผ่นหลังของคุณนายวิริยาเล็กน้อย ไม่นานนักคุณนายวิริยาก็สะบัดหน้าพรึ่บเดินออกจากห้องไปโดยที่ทิ้งสายตาเกลียดชังไว้ให้ผมเห็นแบบเต็มตา
“ต้องขอโทษด้วยนะครับ”
เทมป์เอ่ยขอโทษพี่ๆ ช่างแต่งหน้าทำผม ซึ่งทุกคนรีบพูดออกมาแทบจะพร้อมกันว่า
‘ไม่เป็นไร’ ฤกษ์ยกน้ำชาและสวมแหวนหมั้นคือ 8.58 น. แต่เนื่องจากจัดพิธีตามแบบธรรมเนียมจีนซึ่งเจ้าภาพในงานหมั้นจะเป็นฝ่ายหญิง ช่วง 6-7 โมงเช้าจะเป็นการเลี้ยงอาหารเช้าให้กับแขกเหรื่อ และเราก็มีเวลาเหลือเฟือสำหรับแต่งหน้าทำผมและแต่งตัว แต่ที่นัดเร็วแบบนี้คงจะเผื่อเวลาให้กับคุณฮันนี่ ผู้หญิงต้องแต่งตัวเยอะกว่าเป็นธรรมดาครับ
เมื่อวานน้าปองเอาชุดของผมกับออมพร้อมแอคเซสเซอรี่ต่างๆ ที่ผมสั่งไว้มาส่งที่โรงแรมและเทมป์ก็ให้คนจัดเตรียมไว้ให้เรียบร้อย ของผมเป็นชุดสูทสีเทาเข้มแบบพอดีตัวและขาเต่อเล็กน้อย ส่วนของออมเป็นเดรสสายเดี่ยวกระโปรงบานสีน้ำเงินสว่าง และของเทมป์เองก็มีชุดที่ทางว่าที่คู่หมั้นเตรียมไว้ให้แล้วแต่เจ้าตัวเลือกที่จะใส่ชุดสูทสีควันบุหรี่ที่ผมเลือกให้แทน ซึ่งทั้งหมดเป็นคอลเลคชั่นล่าสุดของ TJ
“อาเต็มทำผมสีนี้แล้วแต่งตัวแบบนี้ดูเพลย์บอยมากเลยค่ะ”
ออมยื่นมือมาแตะต่างหูแบบห่วงที่ผมใส่อยู่พร้อมกับขยิบตา
“ก็วันนี้อาเป็นตัวร้ายนี่นา”
“ร้ายก็รัก”
คนที่พูดประโยคนี้ไม่ใช่หลานสาวของผมนะครับ แต่เป็นร่างสูงที่ยืนหน้าโหดอยู่ข้างๆ ต่างหาก ทำเอาออมถึงกับเบ้ปากแซ็วเพื่อน
.
.
.
.
.
ปกติผมจะคุ้นชินกับการเป็น
‘เป้าสายตา’ ทว่าครั้งนี้แตกต่างกัน เนื่องจากที่ผ่านมาผมมักจะเจอแต่สายตาที่มีแต่คนมองมาด้วยความชื่นชม ดังนั้นเมื่อได้มาเจอสายตาที่มีแต่ความไม่พอใจและแฝงไปด้วยความรังเกียจที่แสดงออกแบบโจ่งแจ้งบางครั้งจะให้ปั้นหน้ายิ้มก็ยากอยู่เหมือนกัน แต่มันก็ไม่ได้ลำบากเกินความสามารถ ยิ่งมีออมอยู่ตรงนี้ด้วยผมจึงเหมือนมีพลังฮึดสู้ให้เข้มแข็ง
ผมและออมพนมมือไหว้คุณอาดิษฐ์ ท่านรับไหว้ผมด้วยรอยยิ้มบางเบา ส่วนคุณนายวิริยานอกจากไม่รับไหว้แล้วยังดึงตัวลูกชายไปนั่งใกล้ตัวเอง
อีกไม่กี่สิบนาทีก็จะถึงฤกษ์ยกน้ำชา แต่จู่ๆ บานประตูก็ถูกเปิดออก ซึ่งแน่นอนว่าเรียกความสนใจจากทุกคนได้เป็นอย่างดี รวมทั้งผมด้วยที่ต้องแปลกใจเมื่อได้รู้ว่าคนที่เพิ่งเดินเข้ามาและยกมือไหว้เจ้าภาพอยู่นั้นคือ ซัน โบว์ และน้องดักแด้ ผมหันไปมองหน้าออม หลานสาวส่ายหน้าบอกว่าไม่รู้เรื่องแต่ถึงอย่างนั้นออมก็ยิ้มจนแก้มปริที่แฟนตัวเองมาร่วมงานด้วย
เทมป์รีบลุกขึ้นแล้วเดินมาต้อนรับทั้ง 3 คน แล้วพามานั่งใกล้ผมกับออม
“วันนี้แกจะหล่อเหี้ยไปถึงไหนห๊ะอิจี นี่กะจะให้น้องกองทัพของฉันขาดใจตายเลยรึไง?”
เพื่อนสาวมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้าพร้อมกับอมยิ้ม แถมยังเอามือมาหยิกแก้มผมอีกด้วย จนน้องดักแด้ต้องหันมาเตือนให้โบว์พูดเบาๆ หน่อย แต่คนอย่างคุณนายโบรัมจะเงียบได้สักกี่วินาทีกันละครับ
“อีจี.. แกรู้มั๊ยว่าฉันไม่อยากมาเหยียบงานนี้เลยสักนิด”
โบว์จ้องหน้าผมนิ่ง ใบหน้าที่แต่งแต้มสวยงามระบายรอยยิ้มแต่ภายในดวงตาคู่สวยกลับส่องประกายเคืองแค้นจนผมรู้สึกใจหาย
“มันเจ็บปวดนะ.. ที่ฉันจะต้องมานั่งดูตัวเหี้ยลากน้องกองทัพของฉันไปกินในน้ำต่อหน้าต่อตาโดยที่ฉันช่วยอะไรไม่ได้เลย”
“โบว์....”
เท่าที่ผมรู้ โบว์และซันมีนิสัยเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งนั่นคือ มักจะทิ้งอดีตที่ไม่น่าจดจำไว้เบื้องหลัง ทั้งคู่แทบจะไม่เคยปริปากพูดเรื่องเหล่านั้นอีกทั้งยังไม่เคยเอาเรื่องของคนที่เคยทำให้ตัวเองเจ็บช้ำน้ำใจมาพูดต่อให้เสียหาย ยกเว้นเสียว่าคนในอดีตจะกลับมาสะกิดบาดแผลเดิมให้ปวดแสบปวดร้อนขึ้นมาอีกครั้ง คุณฮันนี่คือคนที่ทำให้โบว์กับพี่นายต้องเลิกรากันและยังเป็นคนเดียวกับที่ทำให้ซันปิดตายหัวใจตัวเองอยู่หลายปี และทั้งที่ผมรู้อยู่เต็มอกแต่ผมก็ยังผลักให้คนที่ผมรักเข้าไปหาไฟอย่างเธอ
“แกไม่รู้สึกอะไรจริงๆ เหรออีจี?”
คำถามของโบว์ทำให้ผมเผลอหันไปสบกับดวงตาคู่คม ทำไมผมจะไม่รู้สึก.. เพียงแต่ความรู้สึกของผมมันมีมากเสียจนไม่สามารถจะอธิบายให้ใครฟังได้ต่างหาก แต่ไม่ว่าจะยังไงผมก็มั่นใจว่าผมไม่มีวันสูญเสียคนรักไปด้วยเหตุผลของคุณฮันนี่อย่างแน่นอน แต่ถ้าเป็นเหตุผลอื่นก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน
เสียงใครคนหนึ่งพูดออกไมค์เป็นภาษาจีน ทำให้ผมต้องหยุดความคิดทั้งหมด ห้องทั้งห้องเงียบกริบ ทุกสายตามองไปทางประตูเป็นจุดเดียวเพื่อรอชมความงามของหญิงสาวในชุดกี่เพ้าสีแดงสด ผ่านไปครู่หนึ่งบานประตูก็เปิดออก แต่คนที่ปรากฏกลับเป็นหญิงเชื้อสายจีนเลยวัยกลางคนที่โบว์กระซิบบอกผมว่าเธอคือแม่สื่อ เธอวิ่งเลิ่กลั่กเข้ามาด้วยหน้าตาตื่นตระหนกทำเอาคนในงานเริ่มส่งเสียงฮือฮา
แม่สื่อกระซิบอะไรบางอย่างกับญาติผู้ใหญ่ทางฝั่งคุณฮันนี่ ฝ่ายนั้นแสดงสีหน้าตกใจปนเกรี้ยวกราดแล้วตวาดออกมาเป็นภาษาเกาหลียาวพรึ่ด ซึ่งโบว์แปลให้ฟังแบบสรุปใจความสั้นๆ ด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นว่า
‘ยัยน้ำผึ้งพิษหายตัวไป’ บรรยากาศภายในห้องเริ่มชุลมุนวุ่นวาย ภาษาไทย จีน เกาหลี แข่งกันส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์จนน่าปวดหัว แต่ผมกลับยิ้มขำกับมุกตลกที่สามารถพบเจอได้ในละครน้ำเน่าทั่วไป จนผมแทบจะลุกขึ้นปรบมือให้กับความแนบเนียนสุดน่าขำ
สถานการณ์ดูจะแย่ลงเรื่อยๆ ญาติทางฝั่งคุณฮันนี่พากันออกไปจากห้อง คุณนายวิริยาก็ตามออกไปติดๆ โดยไม่ลืมที่จะลากเอาลูกชายของเธอไปด้วย เทมป์จะหันมาส่งสายตาให้ผมแล้วชี้นิ้วบอกให้ผมไปรอกันด้านนอก ผมพยักหน้ารับก่อนจะหันไปมองคุณอาดิษฐ์ที่ลุกขึ้นเดินออกจากงานเป็นคนสุดท้าย
“คุณนายโบรัมใช้เวลาแต่งตัวสามชั่วโมง ฝ่ารถติดอีกสามชั่วโมง เพื่อมานั่งดูอะไรเหี้ยๆ แค่ไม่กี่สิบนาที.. ชีวิตเริ่ดมากค่ะ”
คำพูดของโบว์ชวนให้เพื่อนๆ พากันหลุดขำ
“ซัน ฝากไปส่งออมที่บ้านด้วยนะ”
ซันพยักหน้ารับด้วยความเต็มใจ ในขณะที่ออมเริ่มงอแง
“อ้าว ทำไมอาเต็มไม่กลับด้วยกันละคะ?”
“อามีธุระต้องจัดการนิดหน่อยหน่ะ”
คำตอบของผมไม่ถูกใจคนถาม คิ้วสวยขมวดแน่น ผมรู้ครับว่าออมเป็นห่วงผมมาก อีกอย่างคุณพ่อคุณแม่คงจะสั่งให้ออมมาคอยดูแลผมแทนพวกท่านด้วย
“น้องออมขา อาเต็มเขาคงอยากจะไปฉลองกับน้องกองทัพละมั้ง”
ข้อสมมติฐานของโบว์ช่วยได้เยอะ หลานสาวมองหน้าผมส่งสายตาเป็นคำถามว่า
‘จริงเหรอคะ?’ ผมก็ได้แต่ใช้รอยยิ้มตอบกลับไปแล้วแต่คนมองจะตีความหมายเอาเอง
“อาดูแลตัวเองด้วยนะคะ”
นี่ผมเป็นอาหรือว่าเป็นหลานกันล่ะครับเนี่ย? ผมหยิกแก้มหลานสาวด้วยความหมั่นเขี้ยว ก่อนจะแตะหัวไหล่ซัน
เมื่อตกลงกันได้ก็แยกย้ายครับ ผมยืนส่งทุกคนครู่หนึ่งก่อนจะหมุนตัวกลับเดินไปอีกทาง ผมผลักบานประตูทางออกฉุกเฉินแล้วเดินขึ้นไปตามขั้นบันไดอีก 5 ชั้นแบบไม่รีบร้อน จากนั้นก็ออกมาต่อลิฟท์ขึ้นไปยังชั้น 37 จุดหมายปลายทางของผมคือห้องสูทระดับ VIP ที่มีผู้เข้าพักจองไว้ในนาม
‘ดิษฐ์ เกียรติไพศาลกิจ’.
.
.
.
“สวัสดีครับ.. คุณอาดิษฐ์”
“น้องเต็ม.. ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”
นี่คือคำทักทายแรกระหว่างผมกับผู้ใหญ่ที่มีความอ่อนโยนฉาบอยู่บนใบหน้าและดวงตาเสมอ เจ้าของห้องเชิญผมให้นั่งบนโซฟาหรู ผมแอบใช้สายตากวาดมองรอบห้องที่ผู้ใหญ่ตรงหน้าวางแผนไว้กับญาติทางฝ่ายว่าที่ลูกสะใภ้ให้ได้ใช้ทำความรู้จักกันอย่างลึกซึ้งหลังงานหมั้น ซึ่งแน่นอนว่าเทมป์ไม่มีวันรู้เรื่องพวกนี้ แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น อีกอย่างแผนก็พังครืนตั้งแต่ยังไม่ทันจะเริ่มราวกับว่ามีใครบางคนตั้งใจจะให้เป็นอย่างนั้น หรือถ้าจะมองในมุมที่คุณฮันนี่เป็นเพียงผู้หญิงธรรมดาที่น่าสงสารมากคนหนึ่งเพราะต้องกลายมาเป็นตัวละครหลอกๆ ตามเกมส์ของพวกผู้ใหญ่โดยที่ตัวเธอเองก็ไม่รู้ตัว
อ่อ.. อีกเรื่องก็คือน่าแปลกนะครับที่วันนี้คุณอาดิษฐ์ไม่มีบอดี้การ์ดคอยดูแล หรือว่าบางทีท่านอาจจะใช้ให้ไปทำงานสำคัญก็เป็นได้
“คุณอาดิษฐ์สบายดีมั๊ยครับ?”
ยังไม่ทันที่ท่านจะได้ตอบ เสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์มือถือของท่านก็ดังขึ้นเสียก่อน คุณอาดิษฐ์ล้วงหยิบเครื่องมือสื่อสารในกระเป๋าเสื้อสูทออกมากดปิดเสียงพร้อมกับระบายรอยยิ้มบางเบา
“น้องเต็มรู้ได้ยังไงว่าอาอยู่ที่นี่?”
คำตอบของผมคือรอยยิ้ม ผมแกล้งกวาดสายตาไปรอบห้องอีกครั้งอย่างจงใจ
“วันนี้ผมไม่เห็นพี่นายพลเลยนะครับ.. ไม่ทราบว่าพี่นายไปไหนเหรอครับ?”
ดวงตาคู่เล็กหรี่มองผมเล็กน้อย แค่เล็กน้อยเท่านั้น
“พี่นายเขาติดธุระหน่ะ”
อืม.. เป็นคำตอบที่ธรรมดา และรอยยิ้มที่ท่านระบายออกมาก็แสนจะธรรมดาเสียจนทำให้ผมยิ้มกว้างกว่าเดิม
“ธุระคงจะสำคัญมากสินะครับ?”
ท่าทางว่าประโยคของผมจะทำให้คนฟังไม่พอใจสักเท่าไหร่ ดวงตาคู่เล็กหรี่ลงอีกครั้ง คิ้วหนาขมวดเล็กน้อย แต่ถึงอย่างนั้นท่านก็ยังควบคุมความอ่อนโยนของรอยยิ้มไว้ได้อย่างดี
“น้องเต็มพูดแบบนี้กับอา.. หมายความว่ายังไง?”
“คุณอา.. น่าจะรู้คำตอบดีกว่าผมไม่ใช่เหรอครับ?”
ผมยังคงยิ้ม ทว่ารอยยิ้มของผู้ใหญ่ตรงหน้าค่อยๆ จางหายไปจนเหลือเพียงความเรียบนิ่ง ความเงียบปกคลุมอยู่นานเกือบนาที
“เต็มใจ.. เธอเป็นใครกันแน่?”
“เต็มใจ ฉัตรรักษ์บริบูรณ์... คือชื่อและนามสกุลของผมครับ”
เสียงหัวเราะ
‘หึ’ ดังขึ้นในลำคอ อีกฝ่ายเริ่มเผยสีหน้าในแบบที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน
“ฉัตรรักษ์บริบูรณ์...”
นามสกุลของผมถูกเอ่ยทวนซ้ำด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นคล้ายเยาะหยัน
“หรือคุณอาดิษฐ์คิดว่าผมควรจะเป็น
‘เต็มใจ เกียรติไพศาลกิจ’ .. ครับ?”
คิ้วหนาขมวดแทบจะทันที ดวงตาคู่เล็กจดจ้องผมอย่างกับผู้มีอำนาจที่ต้องการจะขย้ำเหยื่อ ทว่าผมกลับรู้สึกดีใจที่สามารถล่อเสือร้ายออกจากถ้ำได้อย่างง่ายดายกว่าที่คิดไว้เสียอีก ความเงียบก่อตัวขึ้นอีกครั้ง ฝ่ายตรงข้ามพยายามอ่านความคิดของผมผ่านทางสีหน้าและแววตา แต่คงจะยากสักหน่อยครับ
“เธอต้องการอะไร?”
ผมเหน็บยิ้มมุมปาก
“ผมต่างหากที่ต้องถามว่า.. คุณต้องการอะไร?”
สรรพนามเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ และผมเองก็ไม่ใช่นักธุรกิจที่เก่งเรื่องเจรจาต่อรอง ผมเป็นแค่เด็กเมื่อวานซืนที่รอเวลาเหมาะสมมานาน.. นานจนแทบจะทนไม่ไหว
คำถามของผมทำให้อีกฝ่ายจดจ้องราวกับว่าเราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน
“คุณกลัวผม.. หรือกลัวอดีตของตัวเองกันแน่?”
ในเมื่ออีกฝ่ายยังนิ่งผมจึงเลือกที่จะจี้ลงตรงจุด
“คุณเชื่อคำพูดที่ว่า.. ความลับไม่มีในโลก.. รึเปล่าครับ?”
“พูดออกมาตรงๆ”
“ใช่ครับ นั่นเป็นสิ่งที่ผมต้องการ”
ผมทำท่าผายมือ
‘เชิญพูดก่อนครับ’ ให้คนตรงหน้า ไม่ว่าจะยังไงผมก็ต้องรักษามารยาทโดยการให้เกียรติผู้ใหญ่ก่อนเสมอ
“ใครส่งเธอมา?”
หืม??? ผมมองอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยกับคำถาม
“ลูกชายคุณไปรับผมที่บ้านตอนตีสามเพื่อมาร่วมเป็นหนึ่งในตัวละครของฉากที่คุณจัดขึ้น”
“อย่ามาเล่นลิ้นกับฉัน”
น้ำเสียงกดต่ำแบบนี้แสดงให้รู้ว่าไม่พอใจคำตอบของผมเป็นอย่างมาก ก็แล้วไงล่ะ? ผมหัวเราะขำ
“การที่คุณให้คุณวิชิตไปตามสืบเรื่องของผมอยู่หลายต่อหลายเดือน คุณยังไม่ได้คำตอบอีกเหรอครับ?”
“ไอ้วิชิตมันขี้ขลาด”
“คุณต่างหากที่ขี้ขลาด”
“แก!”
ในที่สุดหน้ากากที่สวมไว้ก็หลุดออกเสียที ผมยกยิ้มด้วยความพอใจแล้วจ้องมองคนตรงหน้า
“คุณต้องการจะให้ผมตอบว่า
‘คุณรดาส่งผมมาครับ’ แบบนี้ใช่มั๊ย? ”
เจอคำถามตรงจุดเข้าไป ดวงตาคู่เล็กถึงกับเบิกกว้าง มือหนากำแน่นราวกับว่าเคืองแค้นผมมาหลายสิบชาติ
“รดาอยู่ไหน? มันส่งแกมาแก้แค้นฉันใช่มั๊ย?”
“ถ้าใช่ล่ะครับ?”
ดวงตาคู่เล็กโกรธจนแดงก่ำ ร่างใหญ่สั่นเทิ้มเล็กน้อยเพราะกำลังควบคุมสติของตัวเอง ผมถอนหายใจออกมาเบาๆ อย่างเบื่อหน่ายก่อนจะเอนหลังพิงพนักโซฟา ยกมือกอดอกและยกขาขึ้นไขว่ห้าง ทำเหมือนว่าไม่ได้สนใจใดๆ ทว่าทุกอิริยาบถของฝ่ายตรงข้ามอยู่ในสายตาของผมตลอดเวลา รับรู้แม้กระทั่งมือใหญ่ที่ค่อยๆ ขยับไปด้านหลังเพื่อล้วงหยิบอะไรบางอย่างที่ซ่อนไว้ตรงบั้นเอว และมันก็เป็นจริงตามที่ผมคิดไว้ วัตถุสีดำถูกนำมาออกมาและจงใจจ่อปลายกระบอกมาตรงหน้าผม
“รดาอยู่ที่ไหน?”
“ที่แท้คุณก็กลัวคุณรดา”
ร่างใหญ่ขยับเข้ามาใกล้เพื่อข่มขู่ ทั้งๆ ที่อีกฝ่ายพร้อมจะลั่นไกได้ทุกเมื่อ แต่เชื่อมั๊ยครับว่าผมไม่รู้สึกกลัวสักนิด เพราะผมมั่นใจว่าตราบใดที่ยังไม่ได้คำตอบเรื่องคุณรดา คนตรงหน้าจะไม่มีทางจะฆ่าผมเด็ดขาด
“ถ้าผมบอกแล้วคุณจะไปตามหาเธอเหรอครับ?”
จ้องเข้าไปในดวงตาที่เต็มไปด้วยความโกรธขึ้งแต่ทว่าก็ยังแอบแฝงความหวาดกลัวไว้ไม่มิด
“พาฉันไปหารดา”
พาไปก็บ้าแล้วล่ะครับ
“คุณได้เจอเธอแน่”
เสียงหัวเราะ
‘หึ’ ดังขึ้นพร้อมรอยยิ้มเหน็บตรงมุมปาก
“ฉันคิดไว้ไม่มีผิดว่าแกต้องเป็นลูกชายของรดา”
“แล้วคุณไม่คิดว่าผมเป็นลูกชายของคุณบ้างเหรอครับ?”
คิ้วหนาขมวดเล็กน้อย เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
“ลองคิดเล่นๆ ก็น่าสนุกดีนะครับ”
คำพูดของผมทำให้อีกฝ่ายมีท่าทีลังเลผสมกับความวิตกและหวาดกลัว
“รดาเล่าอะไรให้แกฟังบ้าง?”
ถ้าขืนคุณรดาเล่าให้ผมฟังจริงๆ ผมก็คงไม่ได้มานั่งอยู่ตรงนี้หรอก ผมอาจจะช็อคตายไปนานแล้วก็เป็นไปได้ ผมส่ายหน้าให้อีกฝ่าย
“เธอไม่ได้เล่าอะไรให้ผมฟังหรอก แต่ผมนี่แหละมีเรื่องจะเล่าให้คุณฟัง”
จังหวะที่อีกฝ่ายเผลอให้สติดำดิ่งไปกับความรู้สึกขุ่นมัวที่แอบซ่อนอยู่ในจิตใจ ผมจึงใช้ความไวจากวิชาป้องกันตัวสับข้อมืออีกฝ่ายจนปืนหล่นลงพื้น จากนั้นก็ใช้เท้าเตะกระบอกปืนลูกโม่ .38 ให้หลุบหายไปใต้ชั้นวางของ ผู้ใหญ่ตรงหน้าลนลานและเกรี้ยวกราดเหมือนคนสติหลุด และก่อนที่ฝ่ายตรงข้ามจะได้คว้าเอาแจกันบนโต๊ะขึ้นเพื่อหวังจะฟาดผมให้จอด ผมก็ใช้ปืนขนาดจิ๋ว Ruger Lcp .380 จ่อกลางหน้าผากของอีกฝ่ายไว้อย่างไว
แจกันในมือหนาหลุดร่วงลงบนพื้นพรม เหงื่อเม็ดเล็กชื้นเต็มหน้าผาก ดวงตาคู่เล็กที่จ้องมองผมราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
“อยากฟังเรื่องเล่าของผมมั๊ยครับ.. คุณอาดิษฐ์?”
เงียบ... ร่างใหญ่ไม่ไหวติง จะมีเพียงแค่ดวงตาเท่านั้นที่ตอบคำถามของผมได้อย่างชัดเจน
“เมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้ว มีเด็กสาวสามคนชื่อ เติมขวัญ วิริยา และรดา.. ทั้งสามเป็นเพื่อนรักกันมาก จนกระทั่งวันหนึ่งเด็กหนุ่มชื่อดิษฐ์.. ได้ปรากฏตัวขึ้น”
ผมส่งยิ้มให้อีกฝ่าย ทว่าสิ่งที่ได้รับกลับมาเป็นสายตาที่น่ากลัวและในเวลาเดียวกันเสียงลมหายใจที่ติดขัดก็ทำให้รู้สึกสงสารอยู่ไม่น้อย ผมขยับปลายประบอกปืนจากกลางหน้าผากเลื่อนลงมาหยุดที่ปลายจมูก
“ดิษฐ์.. เป็นเด็กหนุ่มนักเรียนนอก รูปร่าง หน้าตา ฐานะ การศึกษาเพียบพร้อม.. และด้วยความที่ดิษฐ์เป็นเพื่อนสมัยเด็กของเติมขวัญ จึงทำให้เขาได้รู้จักกับวิริยา และรดา..”
ท่าทางว่าเรื่องเล่าของผมจะทำให้อีกฝ่ายเครียดเพิ่มขึ้น ผมจึงระบายรอยยิ้มกว้างขึ้น
“รดาเป็นคนฉลาดเฉลียว อีกทั้งหน้าตายังสะสวยน่ารัก การที่ดิษฐ์แต่งงานกับรดา นอกจากผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายจะสนับสนุนแล้วก็ยังเป็นที่เชิดหน้าชูตาทางสังคมได้อีกด้วย.. ดิษฐ์แต่งงานกับรดา... และ... แอบลักลอบได้เสียกับวิริยา ซึ่งตอนนั้นวิริยาก็มีคนรักอยู่แล้ว..”
ปลายกระบอกปืนถูกเลื่อนอีกครั้ง ผมลดระดับให้มันอยู่ตรงหน้าอกด้านซ้ายแบบพอดิบพอดี
“หลังจากที่เจ้าสัวยางยกบริษัทให้ลูกชายคนเดียวบริหารงานอย่างเต็มตัวได้ไม่นาน ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของท่านก็ได้บริหารงานผิดพลาดกอร์ปกับเป็นช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ ด้วยกลัวว่าจะทำให้บุพการีผิดหวัง เขาจึงเข้าพึ่งอำนาจทางการเมืองและผู้มีอิทธิพลด้านมืดเพื่อช่วยกู้สถานการณ์ของบริษัท.. และมันก็สำเร็จ.. คุณคิดว่าความสำเร็จที่น่าภาคภูมิใจของเขาแลกมาด้วยอะไรเหรอครับ?”
ท่าทางว่าตอนนี้ขากรรไกรของอีกฝ่ายจะแข็งเกินไป ผมจึงช่วยตอบแทน
“ความสำเร็จที่น่าภาคภูมิใจของเขาแลกมาด้วยการขายภรรยาคนสวยที่เขาบอกใครต่อใครว่ารักเธอมากมายให้นักการเมืองบ้ากาม.. เมื่อพวกนั้นเบื่อก็ส่งเธอไปซ่อง.. อิทธิพลน้ำเงินของคนพวกนี้ทำให้เขาไม่ต้องกลัวว่าใครจะตามตัวเธอเจอไม่ต้องกังวลว่าจะมีใครสาวถึงต้นตอ.. เธอหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ส่วนสามีของเธอก็แค่เล่นละครว่าตรอมใจจนล้มป่วย จำอะไรไม่ได้ แต่งงานใหม่ และใช้ชีวิตต่อไปอย่างมีความสุข ในขณะที่ชีวิตผู้หญิงคนหนึ่งยิ่งกว่าตกนรก มีชีวิตอยู่เหมือนตายทั้งเป็น.. แต่มันก็คุ้มค่าเมื่อเทียบกับผลตอบแทนและความสำเร็จที่เขาได้รับมา.. คุณคิดว่ามันจริงมั๊ยครับ?”
จงใจกดปลายกระบอกปืนลงไปตรงตำแหน่งของหัวใจเพื่อเร่งคำตอบ ร่างใหญ่เกร็งตัวจนดูน่าขำ
“ก.. แก.. รดาส่งแกมาแก้แค้นฉันใช่มั๊ย?”
“ตอบไม่ตรงคำถาม”
รอยยิ้มบนใบหน้าของผมหายไป เหงื่อของอีกฝ่ายหยดลงบนกระบอกปืน
“ผมจะบอกคุณตามตรงก็ได้ว่าคุณรดาคือผู้ให้กำเนิดผม ส่วนพ่อของผมเป็นใครผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ก็คงจะเป็นน้ำเชื้อจากพวกสำส่อนนั่นแหละนะ”
ดวงตาคู่เล็กสั่นระริกด้วยความหวาดกลัวมากเสียกว่ารู้สึกสำนึกผิดเสียอีก
“นอกจากความสัมพันธ์กันทางสายเลือดแล้ว.. ระหว่างคุณรดากับผมก็แทบจะไม่มีความผูกพันใดๆ ต่อกัน เพราะว่าตอนที่คุณหมอช่วยผมออกมาจากท้องของเธอ สภาพของเธอน่าเวทนามาก โดนทำร้ายจนเสียสติ เธอจำไม่ได้แม้กระทั่งว่าตัวเองเป็นใคร และไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีผมอยู่ในท้อง แต่เด็กที่น่าจะตายในท้องแม่ตั้งแต่สามเดือนแรกอย่างผมทำไมถึงได้รอดชีวิตมายืนอยู่หน้าคุณอย่างทุกวันนี้.. คนไทยเรียกเด็กพวกนี้ว่าอะไรนะ?.. เด็กหัวหิน? หัวแข็ง? หัวขน?”
อ่า.. เรื่องสำนวนสุภาษิตไทยนี่ผมไม่ถนัดเอาเสียเลย
v
v
v
v
v
v
v
v
มีต่อด้านล่างนะคะ