█ ▌รักเต็มใจ ➽ HEART IS FULL ▌█
┠ 23 ┨
ตื่นเช้าขึ้นมาก็รู้ตัวว่าช่วงล่างของตัวเองกับอีกฝ่ายยังเชื่อมต่อกันอยู่ ด้วยความที่เพิ่งตื่นแล้วต้องมาเจออะไรที่อึดอัดร่างกายจึงเกร็งและเผลอขยับสะโพกอัตโนมัติ ทำให้สิ่งที่นอนหลับนิ่งอยู่ในช่องทางด้านหลังของผมตื่นตัวขึ้นมาแทบจะทันที
“อ่ะ...”
เมื่อวานเราออกจากบริษัทฯ แล้วมาถึงโรงแรมช่วงบ่าย นัดออม โบว์ ซัน มาฉลองกันชุดใหญ่ ผมเองก็ดื่มไปเยอะ ทั้งอิ่มทั้งเมาและด้วยความเหนื่อยที่สะสมติดต่อกันมาหลายสัปดาห์จึงทำให้หลับยาว ตื่นมาอีกทีในช่วงสายของวันใหม่บนเตียงในห้องของโรงแรมด้วยสภาพเปลือยเปล่า ข้างกายมีร่างสูงใหญ่ที่ผมรู้จักเป็นอย่างดีนอนอยู่ในสภาพไม่ต่างกัน จากนั้นเราก็กกกอดกันครั้งแล้วครั้งเล่า ผมหมดสติไปในยกที่ 4 แต่ก็ถูกปลุกมาสานต่อกิจกรรมในช่วงเย็นอีกหลายรอบ จนสติของผมดับวูบไปอีกรอบและก็จำไม่ได้ว่าผมหลับไปทั้งที่ยังคากันอยู่แบบนี้รึเปล่า?
“ซี๊ดดด.. ปลุกแบบนี้ก็ไม่ไหวสิครับคุณเมีย อืมมม”
อดทนกัดริมฝีปากล่างไว้แล้วออกแรงตีต้นแขนใหญ่ไปดัง
‘เผี๊ยะ!’ ด้วยความหมั่นไส้ แต่คนอย่างเทมป์หนังหนายังกับอะไร นอกจากไม่รู้สึกรู้สาแล้วยังจัดท่าจัดทางพร้อมรุกใส่โดยไม่รีรอ ส่วนผมนะเหรอ? จะทำอะไรได้ครับนอกจากให้ความร่วมมือเตรียมพร้อมตั้งรับการถูกจู่โจมอย่างเต็มที่
เราอยู่ในท่านอนตะแคงด้วยกันทั้งคู่ แผ่นหลังของผมชนกับแผ่นอกกว้าง แขนแข็งแรงสอดเข้าใต้ข้อพับเข่าของผมไว้ข้างหนึ่ง ผมเอี้ยวใบหน้ารับจุมพิตแสนดูดดื่มพร้อมกับการขับเคลื่อนของสะโพกที่ขยับประสานจังหวะกันอย่างลงตัว การร่วมรักท่านี้ทำให้ผมรับรู้ได้ถึงความอบอุ่นและอ่อนโยน อีกทั้งยังสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายพยายามอย่างหนักเพื่อควบคุมพละกำลังและความต้องการของตัวเองไม่ให้รุนแรงกับร่างกายของผมมากเกินไป
“อ่ะ อะ”
ความใหญ่โตที่รุกล้ำสอดใส่ความรักอย่างทะนุถนอม ริมฝีปากบางโลมเลียทั่วใบหน้า มือใหญ่หยอกล้อ ลูบไล้เนินอกและแก่นกลางลำตัวของผม เจอแบบนี้ในตอนเช้าก็ทำเอาสติสตางค์ของผมกระเจิดกระเจิงไปเลยทีเดียว และด้วยอีกฝ่ายมีความชำนาญและรู้จักสรีระของผมดีกว่าใครจึงสามารถนำพาเราทั้งคู่ให้ถึงจุดหมายปลายทางแห่งความสุขได้พร้อมเพรียงกัน
เรานอนกอดก่ายกันอยู่บนเตียงอย่างเกียจคร้าน ฟังเสียงจังหวะการเต้นของหัวใจของกันและกันจนผล็อยหลับกันไปอีกรอบ แล้วตื่นขึ้นมาในช่วงเที่ยงก็ได้เวลาเช็คเอ๊าท์กลับสู่โลกความเป็นจริงกันแล้วล่ะครับ
.
.
.
.
เทมป์มาส่งผมที่บ้านในช่วงบ่ายและอยู่คุยกับคุณพ่อคุณแม่ที่ห้องนั่งเล่นอีกครู่ใหญ่ก่อนจะขอตัวกลับ ในขณะที่ผมขอตัวขึ้นห้องไปอาบน้ำให้สบายตัวอีกรอบ
ภายในห้องนั่งเล่นที่ตกแต่งให้โล่งโปร่งสบายแสงแดดในช่วงบ่ายของวันอาทิตย์ส่งความร้อนเข้ามาสู้กับไอความเย็นจากเครื่องปรับอากาศ แมวน้อยสีส้มที่ผมขอเจ้าของพากลับมาดูแลเองที่บ้านชั่วคราวนอนหงายท้องหลับปุ๋ยอยู่บนโซฟาข้างคุณแม่ครับ
“น้องเต็มมากินแก้วมังกรสิคะลูก เจ้าสัวยางกับคุณนายจูให้คนส่งมาให้สดจากสวนเชียวนะ อากาศร้อนๆ แบบนี้ทานแล้วหวานอร่อยชื่นใจดีนะคะ”
คุณแม่กวักมือเรียกผมด้วยรอยยิ้ม ผมพนมมือไหว้ท่านทั้งสองก่อนจะนั่งลงข้างๆ ท่าน แมวน้อยสีส้มลืมตาขึ้นมองเมื่อเห็นว่าเป็นผมจึงร้อง
‘เมี๊ยว’ เบาๆ แล้วเอาหัวมาถูไถคลอเคลีย ผมจึงอุ้มสีส้มขึ้นมาวางบนตัก จากนั้นก็รับแก้วมังกรมาชิม อืม.. หวานอร่อยจริงๆ ด้วยครับ
“ถ้าชอบก็ทานเยอะๆ เลยลูก”
“ครับ”
จากนั้นคุณแม่ก็ถามเกี่ยวกับเรื่องงานของเทมป์ ในขณะคุณพ่อแอบหรี่ตามองร่องรอยที่โผล่โชว์อยู่นอกคอเสื้ออย่างตำหนิ แม้ท่านจะไม่เอ่ยออกมาแต่ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีก็ถาโถมกลางใจผมอย่างจัง การกระทำของผมทำให้กระจกบางๆ ที่กั้นกลางความเป็นพ่อความเป็นลูกระหว่างท่านกับผมแจ่มชัดขึ้น
“ผมขอโทษครับ”
รู้ดีแก่ใจว่าคุณพ่อท่านไม่ได้ต้องการคำขอโทษใดๆ จากผม แต่จิตสำนึกมันบอกให้ผมพูดออกไปแบบนั้น คุณแม่ที่ตามความคิดระหว่างผมกับคุณพ่อไม่ทันร้อ
ง ‘หืม.. อะไรกันหรือคะ?’ แล้วมองหน้าผมกับคุณพ่อสลับกันไปมาด้วยความงุนงงอยู่พักใหญ่ คุณพ่อจึงหันไปมองหน้าคุณแม่ก่อนจะมาหยุดที่ผม
“อย่าไปยุ่งเรื่องในบริษัทเขาให้มากนัก”
คำถามว่า
‘ทำไมล่ะครับ?’ ผุดขึ้นในหัวของผม และคุณพ่อท่านก็คงจะอ่านความหมายนั้นออก
“เต็มใจ.. พ่อรู้ว่าลูกเป็นคนเฉลียวฉลาด มีพรสวรรค์ในหลายๆ ด้าน แต่กับเรื่องบางเรื่องและกับคนบางคนลูกก็ไม่ควรจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวให้มากนัก”
ผมเหลือบมองคุณแม่นิดหนึ่ง ท่านหน้าเจื่อนและหลบสายตาของผม นั่นหมายความว่าท่านเห็นด้วยในสิ่งที่คุณพ่อพูด ผมจึงเลือกที่จะถามออกไปตรงๆ
“คุณพ่ออยากจะบอกให้ผมอยู่ห่างจากคนในครอบครัวเกียรติไพศาลกิจเหรอครับ?”
ผู้เป็นแม่แสดงสีหน้าตกอกตกใจกับคำถามของผมอย่างเห็นได้ชัด แตกต่างจากผู้เป็นพ่อที่ยังคงมีสีหน้านิ่งเรียบแต่ทว่าแฝงไปด้วยความกดดัน
“ใช่”
“ต่อให้ผมถามเหตุผลว่าทำไม? คุณพ่อก็คงจะไม่ตอบผม ถ้าอย่างนั้นผมขอถามคุณพ่อสักหนึ่งคำถามได้มั๊ยครับ?”
ท่านจ้องหน้าผมและเงียบไปครู่หนึ่งอย่างใช้ความคิดก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงมั่นคงว่า
‘ได้’ ซึ่งชายชาติทหารอย่างคุณพ่อเป็นคนที่พูดคนไหนคำนั้น ผมจึงมั่นใจว่าคุณพ่อจะตอบผมอย่างตรงไปตรงมาทุกคำถามอย่างแน่นอน
“คุณรดา.. ภรรยาคนแรกของคุณอาดิษฐ์ ท่านเคยอาศัยอยู่ที่บ้านหลังนี้ใช่มั๊ยครับ?”
คิ้วเข้มขมวดดวงตาคมลึกจ้องมองผมราวกับกำลังจะอ่านความคิด ในขณะที่คุณแม่เบิกตาโตและยกมือทาบอกมองหน้าผมอย่างกับไม่เชื่อสิ่งที่ได้ยิน ความเงียบเข้าปกคลุมนานเกือบนาทีจนสุดท้ายคุณพ่อก็ผ่อนลมหายใจออกมา
“รดาเป็นลูกสาวของยายพวง คนเก่าคนแก่ของบ้านหลังนี้ หลังจากยายพวงตายไปพ่อกับแม่ก็เลยรับรดามาอุปการะดูแลให้การศึกษา”
ดวงตาคมเข้มที่ผ่านประสบการณ์มาหลายสิบปีปิดลงชั่วขณะคล้ายว่ากำลังหวนรำลึกความทรงจำเมื่อในอดีต
“รดาเป็นเด็กน่ารัก อ่อนน้อมถ่อมตน และรู้กตัญญู อีกทั้งยังเป็นเพื่อนรักของพี่ขวัญ.. เรียกได้ว่าแทบจะเป็นฝาแฝดของพี่ขวัญเลยล่ะ ตัวติดกันยังกับเป็นเงา”
คุณแม่กุมมือคุณพ่อไว้เพื่อแบ่งปันความรู้สึกและมอบกำลังใจให้กันและกัน ภาพตรงหน้าสะท้อนความรู้สึกมากมายพาให้หัวใจที่คิดว่าแข็งแกร่งของตัวเองอ่อนยวบลงไปแทบทันที คุณแม่ลูบหัวผมอย่างอ่อนโยน
“เต็มใจ.. ทำไมลูกถึงได้ถามเรื่องนี้ขึ้นมาจ๊ะ?”
“ไม่มีอะไรหรอกครับ พอดีเมื่อครั้งก่อนที่ได้ไปบ้านท่านเจ้าสัวยางบังเอิญผมเจอรูปคุณรดาแล้วก็มีรูปที่ถ่ายคู่กับพี่ขวัญอยู่ด้วย ถ้าจำไม่ผิดเหมือนจะถ่ายกันตรงศาลากลางสวนหลังบ้านนี่แหละครับ”
เสียงตอบรับ
‘อ่อ’ ดังขึ้นพร้อมกัน ท่านทั้งสองคนเหลือบมองหน้ากันครู่หนึ่ง ผมจึงซบหน้าลงบนหน้าตักของคุณแม่ ความอ่อนโยนจากฝ่ามือที่โอบอุ้มผมมาตั้งแต่ลืมตาดูโลกทำให้ผมรู้สึกอุ่นซ่านไปทั้งหัวใจ และจังหวะที่ผมหลับตาลงผมก็ได้ยินเสียงลมหายใจของคุณพ่อที่ผ่อนออกมาหนักๆ อย่างกับว่าค่อยโล่งใจ
.
.
.
.
เช้าวันจันทร์ซึ่งเป็นวันหยุดชดเชยนักขัตฤกษ์ ครอบครัวของเราทั้ง 4 คน พากันไปทำบุญถวายสังฆทานที่วัด และเป็นครั้งแรกที่ผมได้มาไหว้โกศของคุณรดา คุณพ่อคุณแม่ไม่ได้อธิบายเกี่ยวกับเรื่องคุณรดาให้ผมกับออมฟังมากไปกว่าเรื่องที่บอกผมเมื่อวาน คุณรดาเป็นเด็กในบ้าน เป็นเหมือนลูกสาวของพวกท่านคนหนึ่ง อีกทั้งยังเป็นเพื่อนสนิทของพี่ขวัญ
ผมมองรูป อ่านชื่อ วันชาตะ และวันมรณะที่ระบุหน้าโกศ ซึ่งวันมรณะเป็นวันเดือนปีเดียวกับวันเกิดของผม ผมรู้ว่าไม่ใช่แค่ผมที่สงสัยแต่ออมเองก็คงจะนึกสงสัยอยู่ไม่น้อยแต่เราก็เลือกที่จะไม่ถามหรือเซ้าซี้อะไรอีก
ขากลับจากวัดพวกเราแวะเดินเที่ยวตลาดน้ำกันต่อ นานๆ จะได้ออกมาเที่ยวกันแบบนี้ คุณพ่อคุณแม่จึงแทบจะเหมาของหมดทั้งตลาดเลยล่ะครับ
“เดี๋ยวน้องเต็มเอาของพวกนี้ไปฝากเจ้าสัวยางกับคุณนายจูด้วยตัวเองนะลูก”
“อ่อ.. ได้ครับ”
“น้องออม หนูจะเอามะพร้าวน้ำหอมอีกมั๊ยลูก?”
“พอแล้วค่ะคุณย่า แค่นี้ก็เต็มรถแล้วค่ะ”
คุณแม่เลิกคิ้วแล้วรีบหันไปมองของในรถตู้ซึ่งตอนนี้เต็มแน่นไปด้วยสารพัดสารเพของกินทั้งผลไม้และของคาวหวาน คุณพ่อหัวเราะขำ คุณแม่จึงแจกค้อนให้คุณพ่อไปวงใหญ่ แต่พอขึ้นรถได้ตากแอร์เย็นฉ่ำเท่านั้นทุกคนก็สามัคคีกันเหมือนเดิม
กลับมาถึงบ้านยังไม่ทันจะได้หายเหนื่อยคุณแม่ก็จัดแจงให้น้าปองขนของขึ้นรถอีกคันแล้วก็มอบหมายหน้าที่ให้ผมเป็นคนส่งของไปให้เจ้าสัวยางกับคุณนายจู ซึ่งแค่ออกจากบ้านมาได้ไม่เท่าไหร่ด้วยความเหนื่อยและความร้อนของอากาศ จึงทำให้ผมผล็อยหลับไป มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ได้ยินเสียงทุ้มแสนคุ้นเคยเรียกปลุก
“เต็ม..”
ครางรับในลำคอ
‘อืม..’ แต่ก็อยากจะขอนอนต่ออีกสักหน่อย
“ถ้าเรียกแล้วไม่ตื่น.. เทมป์จะปลุกด้วยวิธีอื่นแล้วนะ”
มีแฟนหื่นมันก็จะรำคาญใจหน่อยๆ แบบนี้แหละครับ ผมจึงจำใจต้องลืมตาตื่น จากนั้นก็หันมองรอบๆ และค่อยๆ ดึงสติกลับมา นี่ผมหลับไปจนคิดว่าตัวเองนอนอยู่ที่หอพักเหรอเนี่ย??
“แหม.. เทมป์กะจะลองกันในรถซะหน่อย”
ทำเสียงและหน้าตาเสียดายซะจนน่าหมั่นไส้ พอสติมาครบผมก็ดีดหน้าผากสวยๆ ไปหนึ่งที เจ้าของหน้าผากโอดโอยสำออยอย่างที่สุด ผมลงจากรถแล้วไม่ลืมที่จะสั่งให้หลานชายเจ้าของบ้านที่ยืนสำออยอยู่ขนของจากกระโปรงหลังรถตามขึ้นบ้านมาด้วย จากนั้นก็เดินไปบอกน้าปองที่ยืนส่งยิ้มอยู่ไกลๆ ว่าให้กลับไปก่อนได้เลยเดี๋ยวจะให้คนบ้านนี้ขับรถไปส่งเอง
“สวัสดีครับคุณปู่ คุณย่า”
ตั้งแต่หมั้นหมายกับหลานชายบ้านนี้สรรพนามที่ผมใช้เรียกพวกท่านก็เปลี่ยนไป ผมพนมมือไหว้เจ้าของบ้านที่ออกมายืนรอรับอยู่ตรงหน้าประตู โดยเฉพาะคุณย่าเห็นหน้าผมปุ๊ปก็รีบเข้ามากอดและหอมแก้มเลยครับ
“แล้วนั่นกองทัพขนอะไรมาเยอะแยะหน่ะลูก?”
“คุณพ่อกับคุณแม่ซื้อของจากตลาดน้ำฝากมาให้คุณปู่กับคุณย่าครับ”
“ลำบากลำบนคุณท่านกับคุณหญิงเสียจริง แต่ก็ฝากขอบคุณท่านไปด้วยนะลูก”
ท่าทางของที่คุณแม่เลือกซื้อมาให้จะถูกอกถูกใจคุณย่าเอามากๆ ท่านยิ้มกว้างจนดวงตายิบหยีแล้วรีบเรียกให้คนมารับของจากหลานชายไปเก็บแล้วเดินตามไปดูความเรียบร้อยด้วยตัวเองอีก คุณปู่เดินนำผมไปทางห้องรับแขกริมระเบียง แต่ท่านคงจะสังเกตเห็นรอยแดงบนหน้าผากของหลานชายเสียก่อนจึงได้หยุดถาม
“อ้าว แล้วนั่นหน้าผากไปโดนอะไรมา?”
“แมลงเมียต่อยเอาหน่ะครับคุณปู่”
“เออ.. โหกาย”
เสียงหัวเราะของเจ้าสัวยางทำเอาผมขำตามไปด้วย และขำหนักกว่าเดิมเมื่อได้รู้ความหมายของคำว่า
‘โหกาย’ ที่ท่านเจ้าสัวพูดใส่หน้าหลานชายตอนท้ายแปลได้ว่า
‘สมน้ำหน้า’ระหว่างนั้นสาวน้อยหน้าหมวยก็เดินถือถาดเครื่องดื่มและของว่างมายืนรอเสิรฟ เทมป์จึงหันหน้ามามองผม
“อยากล้างหน้าล้างตาหน่อยมั๊ย?”
“ก็ดีเหมือนกัน”
เทมป์บอกคุณปู่ว่าขอพาผมไปล้างหน้าก่อน คุณปู่ผู้รู้ใจหลานรักจึงรีบสั่งให้น้องหมวยคนเดิมเดินถือถาดเครื่องดื่มตามไปเสิร์ฟถึงในห้องนอนของหลานซะเลย
ห้องนอนของเทมป์เป็นการตกแต่งผสมผสานของเฟอร์นิเจอร์ระหว่างยุคเก่ากับยุคใหม่ได้อย่างลงตัว ยกตัวอย่างง่ายๆ อย่างประตูห้องน้ำทำจากไม้แต่พอเปิดไปด้านในเห็นอ่างจากุชชี่สะดุดตาเชียว พาลให้อยากนอนแช่น้ำแทนล้างหน้าเสียจริง
“เดี๋ยวเทมป์ออกไปหาของว่างให้ด้วยดีกว่า”
พยักหน้ารับอีกฝ่าย และเมื่อได้ล้างหน้าจึงรู้สึกสดชื่นเสียหน่อย เสร็จแล้วก็ออกมาดื่มน้ำตะไคร้ใบเตยหอมหวานเย็นชื่นใจจนเกือบหมดแก้ว ผมเดินดูรอบๆ ห้อง เห็นของเล่นแมว ที่นอน และกะบะทรายที่วางแอบอยู่ตรงมุมห้องทำให้รู้ว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเทมป์ยังรอสีส้มอยู่เสมอ และตอนนี้สีส้มก็กลับมาแล้วเพียงแต่ให้อยู่กับผมก่อนจนกว่าจะทำวัคซีนครบเท่านั้นเอง
แอร์เย็นๆ ทำให้ผมรู้สึกสบายตัวขึ้นเยอะ ผมล้มตัวลงนอนบนเตียงนุ่มตั้งท่าจะหลับตาสักหน่อยแต่เสียงจากทีวีที่จู่ๆ ก็ดังขึ้นทำให้ผมต้องหันไปมอง ไม่ต้องตกใจครับ ผมนอนทับรีโมททีวีก็เท่านั้นเอง แต่ที่น่าตกใจมากกว่าคงจะเป็นภาพและที่กำลังฉายอยู่ก็ต้องทำให้ผมเลิกคิ้วและร้อง
‘หืม’ อยู่ในใจเสียงดัง
“เฮ้ยยย!”
เจ้าของห้องเปิดประตูเข้ามาเห็นว่าผมนอนดูอะไรอยู่ก็ร้องตกใจเสียงหลง รีบเดินมากดปิดรีโมททันที หน้าเน่อหูเหอแดงไปหมดแล้วล่ะครับ
“ไม่ต้องมามองเทมป์แบบนั้นเลย”
อ้าว.. หรี่ตามองก็ไม่ได้ ผมเลยเปลี่ยนเป็นเอียงคอมองแล้วทำตาใสๆ แทน
“อย่ามายั่ว”
เอ่อ.. แบบนั้นก็ไม่ได้ แบบนี้ก็หาว่ายั่ว ผมเลยได้แต่อมยิ้มแล้วจ้องหน้าอีกฝ่ายนิ่งๆ แทน
“มานี่”
ผมกระดิกนิ้วเรียกอีกฝ่าย เจ้าตัวก็ยอมเดินมานั่งข้างๆ อย่างว่างง่าย ผมมองหูสีแดงจัดแล้วก็ได้แต่กลั้นขำ ไม่ใช่อะไรหรอกครับ ภาพในจอทีวีเมื่อครู่เป็นฉากโจ่งครึ่มของชายหญิงคู่หนึ่ง อันที่จริงเรื่องดูหนังผู้ใหญ่มันเป็นเรื่องปกติสำหรับผม แต่ก็แค่อยากจะแกล้งเท่านั้นเอง
“เต็มรู้จักนางเอกเอวีเรื่องนี้นะ มีเบอร์โทรกับไลน์ด้วย ถ้าสนใจจะติดต่อให้”
พูดจริงนะครับไม่ได้โม้ แต่ถ้าจะให้บอกถึงขนาดว่าเคยมีอะไรกันมาก่อนแล้วด้วยมันก็คงจะไม่ดีสักเท่าไหร่ เอาเป็นว่าเธอเคยเป็นคนหนึ่งที่ผมพึงพอใจจะมีเซ็กส์ด้วย เธอชอบส่วนผมก็โอเค เราแฟร์กันทั้งคู่และจบมันด้วยดีไม่มีพันธะใดๆ ก็เท่านั้น
ดวงตาคู่คมตวัดมองผม รู้เลยครับว่ากำลังไม่พอใจ ผมจึงฉีกยิ้มให้กว้างขึ้นแล้วโน้มตัวเข้าไปงับติ่งหูสีจัดนั่นด้วยความหมั่นเขี้ยว เจ้าของหูตกใจเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้ถอยหนี ตรงกันข้ามยังยกแขนมาเกี่ยวเอวผมไว้แล้วผลักให้ผมล้มลงนอนหงายโดยมีตัวเองนอนคร่อมทับ จากนั้นก็ประกบริมฝีปากส่งลิ้นเข้ามากวาดต้อนอย่างหิวกระหาย จนเมื่อผมจะขาดใจนั่นแหละครับอีกฝ่ายจึงยอมปล่อยให้เป็นอิสระ แต่ใบหน้าคมก็ยังโลมเลียอยู่ไม่ห่าง
“ลบทิ้งให้หมด”
เสียงทุ้มกระซิบแผ่วเบาแต่จริงจัง เป็นที่รู้กันว่ากำลัง
‘หึง’ อยู่ครับ กับแค่เบอร์โทรสาวๆ ในอดีตก็ไม่ยอมให้มีไว้ในลิสรายชื่อจะขี้หึงไปไหนเนี่ย
“อืม”
อมยิ้มแล้วตอบรับ เดี๋ยวกลับบ้านไปจะนั่งไล่ลบเบอร์ติดต่อทีละคนเลยล่ะครับ ผมตบแผ่นหลังกว้างเบาๆ เพื่อให้อีกฝ่ายใจเย็นลงจากนั้นก็ใช้มือประคองใบหน้าคมให้สบตากัน
“ดูบ่อยเหรอ?”
“ก็แค่อยากทดสอบ”
“หืม?”
ดูหนังผู้ใหญ่เพื่อทดสอบ? ผมเลิกคิ้วมองเข้าไปในดวงตาคู่คมอย่างไม่เข้าใจว่าจะทดสอบเรื่องอะไร แต่แล้วจู่ๆ แก้มขาวๆ ก็ขึ้นสีแดงระเรื่อ ใบหูที่สีจางลงไปแล้วก็แดงจัดขึ้นอีก อ่อ.... ผมคิดว่าผมเข้าใจแล้วล่ะครับ
“นายมันปิศาจ”
เสียงทุ้มฟังดูดุดันแต่ผมกลับฟังแล้วดูน่ารักน่าเอ็นดูจนผมเผลอหัวเราะออกมา
“อะไรเล่า?”
ไม่ใช่ความผิดของผมซักหน่อย
“รับผิดชอบให้ไหวล่ะ”
“นี่พูดเรื่องจริงรึเปล่า?”
“เออดิวะ”
หลายคนกำลังงงและสงสัยกันอยู่ใช่มั๊ยครับ อันที่จริงเรื่องแบบนี้สำหรับลูกผู้ชายมันก็น่าอายอยู่หรอกนะ แต่ผมจะบอกความลับนี้ให้ก็ได้ นั่นก็คือ แฟนของผมหน่ะ คงจะสรรหาหนังผู้ใหญ่หรือหนังโป๊แบบคัดเฉพาะนางเอกเอวีเด็ดๆ มาดูหลายเรื่อง แต่ไม่ว่าจะกี่เรื่องเจ้าน้องชายตัวโตก็ไม่ผงาดลุกขึ้นมานั่งดูกับพี่ชายเลยสักนิด อ่า.. แฟนผมน่าเอ็นดูมากเลยใช่มั๊ยครับ ว่าแล้วก็เอาจมูกขยี้แก้มอีกฝ่ายแล้วกระซิบที่หูเบาๆ
“ก็แล้วเคยขัดใจรึไง?”
จัดหนัก จัดเบา จะท่าไหนยังไงผมก็สนองรับตลอดเพราะผมเองก็มีความสุขมากเหมือนกัน คำตอบของผมทำให้ได้ยินเสียงหัวเราะ
‘หึ’ จากอีกฝ่ายแสดงว่าอารมณ์ดีขึ้นแล้วล่ะครับ
“แต่ตอนนี้เต็มคงต้องขอขัดใจก่อนนะ”
ส่งยิ้มหวานให้คนที่ทำเสียงฟึดฟัด ก็คุณปู่กับคุณย่ารออยู่นี่นา ยังไงซะเราต้องรักษามารยาทและรู้จักกาลเทศะกันซักหน่อย
ออกมาจากห้องคุณปู่คุณย่าก็รออยู่จริงๆ ครับ ผมรีบเดินเข้าไปหาพวกท่าน ร่วมสนทนากันอย่างออกรส เห็นพวกท่านอายุเลยวัยเกษียณมาหลายปีขนาดนี้แต่รู้ทันเทคโนโลยีดีกว่าผมซะอีก นี่แหละครับเสือซ่อนเล็บแห่งวงการโฆษณาตัวจริง
“เดี๋ยวน้องเต็มอยู่ทานมื้อเย็นด้วยกันนะคะ”
“ครับ”
“อ่อ ว่าแต่วันนี้ท่านกับคุณหญิงไปเที่ยวไหนกันมาเหรอถึงได้ซื้อของฝากมาเยอะแยะเลย”
ผู้อาวุโสสูงสุดของบ้านเอ่ยถามเรื่องของฝาก
“ช่วงเช้าไปทำบุญที่วัดมาครับ เสร็จแล้วจึงแวะไปตลาดน้ำใกล้ๆ”
ท่านทั้งสองพยักหน้ารับ ผมจึงยกแก้วน้ำขึ้นดื่มเว้นจังหวะนิดนึงแล้วจึงค่อยพูดต่อ
“คุณพ่อกับคุณแม่พาผมไปไหว้โกศของคุณรดามาด้วยครับ”
คิ้วของผู้อาวุโสทั้งคู่เลิกสูงแทบจะพร้อมกัน
“รดาหน่ะเหรอ?”
“ครับ คุณรดาเคยเป็นลูกสะใภ้บ้านนี้ใช่มั๊ยครับ?”
“ใช่ค่ะ เป็นลูกสะใภ้ที่น่ารักมาก และปู่กับย่าก็รักมากด้วย”
ใบหน้าอิ่มสุขของคุณนายใหญ่ระบายรอยยิ้ม
“คุณอาดิษฐ์คงจะรักคุณรดามากสินะครับ”
“อืม.. รักกันมาตั้งแต่สมัยเรียนด้วยกันแล้วล่ะ ก็ได้หนูขวัญนั่นแหละเป็นแม่สื่อแม่ชัก”
อ่า พี่ขวัญของผมเป็นแม่สื่อให้นี่เอง
“น่าเสียดายนะครับที่ท่านไม่มีลูกด้วยกัน”
ประโยคนี้ของผมทำให้ผู้ใหญ่ตรงหน้ามีแววตาวูบไหว
“ว่าแต่... คุณรดาเสียชีวิตยังไงเหรอครับ?”
“ไม่มีใครรู้หรอกค่ะ รดาหายตัวไปเป็นตายร้ายดียังไงก็ไม่มีใครรู้.. จนถึงตอนนี้”
“แต่วันนี้คุณพ่อกับคุณแม่พาผมไปไหว้โกศคุณรดามานี่ครับ”
ไม่เสียชีวิตแล้วจะมีโกศได้ยังไง? แถมยังระบุวันเสียชีวิตไว้ด้วย เจ้าสัวยางและคุณนายจูมองหน้าผมด้วยรอยยิ้ม
“อ่อ.. นั่นนะ ท่านกับคุณหญิงสร้างโกศขึ้นเพื่อต่ออายุให้รดาค่ะ”
“ความเชื่อของคนไทยหน่ะลูก”
เอ๋??..... เครื่องหมายคำถามของผมยังลอยเต็มอยู่ในสมอง แต่สุดท้ายแล้วผมก็เลือกที่จะไม่พูดเรื่องนี้อีก และผมเพิ่งรู้ตัวครัวว่าเทมป์หายไป ผมหันมองไปรอบๆ แต่ก็ไม่เห็นวี่แวว
“ถ้าจะหาหลานชายตัวดีของย่า โน่นเลยค่ะ แย่งครัวย่าไปเรียบร้อยแล้ว”
หืม?.. เทมป์เนี่ยนะแย่งครัวคุณย่า? แต่ดูจากท่าทางงอนเหมือนเด็กสาวของคุณย่าแล้วก็คงจะเป็นเรื่องจริง คุณปู่ยังหัวเราะขำเลยครับ
“ย่าเขาหวงครัวยิ่งกว่าอะไร ส่วนหลานชายก็อยากจะอวดฝีมือให้แฟนได้ชิม มันก็จะงอนๆ กันหน่อยแบบนี้ละนะ”
อ่อ มันเป็นแบบนี้นี่เอง แต่จะให้ผมหัวเราะตามคุณปู่ไปด้วยก็เกรงใจคุณย่าท่าน ผมจึงได้แค่นั่งอมยิ้ม นั่งคุยกันต่ออีกสักพักใหญ่ เด็กรับใช้ก็เริ่มเดินมาจัดโต๊ะอาหาร จากนั้นไม่นานอาหารก็เริ่มทยอยออกมาวางเรียงกันบนโต๊ะ โดยมีพ่อครัวใหญ่เป็นคนยกจานสุดท้ายออกมาวางด้วยตัวเอง
“เชิญทานข้าวเย็นกันได้แล้วครับโผ้มมม”
พ่อครัวสุดหล่อใจดีเลื่อนเก้าอี้ให้คุณปู่คุณย่าและผมนั่ง ส่วนตัวเองก็นั่งลงข้างผมเป็นคนสุดท้าย ผมมองเมนูบนโต๊ะก็ได้แต่ยิ้ม นอกจากต้มจืดตำลึงแบบใช้เนื้อสะโพกไก่มามัดด้วยต้นหอมแล้วสอดไส้ด้วยแครอท ที่เหลือเป็นเมนูสไตล์จีนครับ อย่างเมนูที่ชื่อว่าเป็ดร่อนเทมป์บอกว่าใช้เป็ดเชอรี่ตุ๋นจนนุ่มเปื่อย นำไปพักในตู้เย็นจนเป็ดเซ็ตตัวดีก่อนแล้วจึงค่อยเอามาทอดให้หนังกรอบแต่เนื้อด้านในนุ่ม หรือจะเป็นปลาเก๋าผัดเต้าซี่ มีกับข้าวแค่ 3 อย่างสำหรับ 4 คน ผมว่ามันก็โอเคอยู่นะครับ แต่ติดตรงที่แต่ละจานนั้นใหญ่มากอย่างกับนั่งกินอาหารในภัตตาคารจีนไม่มีผิด
เทมป์ตักกับข้าวมาใส่จานผมแล้วนั่งรอให้ผมตักเข้าปาก ตอนแรกก็กะจะแกล้งสักหน่อยแต่เมื่อเห็นสายตาที่ลุ้นแบบสุดๆ ผมก็แกล้งไม่ลง และที่สำคัญกว่านั้นก็คือมันอร่อยจริงๆ ครับ
“อร่อย”
ชมว่าอร่อยแค่เนี้ยะอีกฝ่ายถึงกับฉีกยิ้มกว้างจนจะถึงหูเลยล่ะครับ กินไปยิ้มไปจนคุณปู่ถึงกับส่ายหน้าและคุณย่าถึงกับถอนหายใจเฮือกใหญ่ แบบนี้ผมก็เขินเป็นนะครับ
.
.
.
.
.
TBC.....