█ ▌รักเต็มใจ ➽ HEART IS FULL ▌█
┠ 21 ┨
กลับมาจากฮ่องกง นอกจากผมต้องลุยเรื่องเรียนแล้วยังมีงานที่ต้องทำอย่างเต็มที่ เพราะนี่เป็นงานแรกที่คุณพ่อมอบหมายให้ผมรับผิดชอบแบบเต็มตัว แม้ค่อนข้างจะแปลกใจสักหน่อยที่งานไม่ได้มีปัญหาอย่างที่คิดไว้ ตรงกันข้ามทุกอย่างก็ดูจะราบรื่นดีไม่มีสะดุด ถ้าจะให้คิดว่าลูกค้าไม่ชอบพี่นายก็คงจะเป็นไปไม่ได้ คนอย่างพี่นายพลมีใครไม่ชอบบ้างครับ? หล่อ เก่ง อัธยาศัยดี เฟรนด์ลี่กับทุกคน
“กองทัพ! เป็นอะไรรึเปล่าเนี่ย? เหม่อเชียว”
ออมตีแขนผมไม่หนักไม่เบาเพื่อเรียกสติ 2-3 ครั้ง ผมจึงเพิ่งได้รู้สึกตัวว่าตัวเองนั่งเหม่ออย่างที่เพื่อนว่าจริงๆ
ตั้งแต่พวกเราแยกสาขาเรียนตามที่ตัวเองถนัด ผมกับออมก็ไม่ค่อยจะได้เจอกันสักเท่าไหร่ เราต่างมีเพื่อนกลุ่มใหม่ของตัวเอง แต่ถึงอย่างนั้นออมก็เป็นเพื่อนผู้หญิงคนเดียวที่ผมสนิทใจและไว้วางใจมากด้วยที่สุด วันไหนว่างตรงกันก็จะนัดทานข้าว นั่งคุยหรืออ่านหนังสือด้วยกันบ้าง อ่อ ตอนนี้ออมกำลังคบหาดูใจอยู่กับพี่ซันแล้วนะครับ แม้จะไม่ค่อยได้เจอหรือสวีทหวานกันเหมือนคู่อื่นๆ เพราะพี่ซันก็เรียนหนักและออมเองเรียนเสร็จก็ต้องรีบกลับบ้าน แต่ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่จะไปได้ดีทีเดียว
“คิดเรื่องงานหน่ะ”
ตอบตามตรงครับ กับออมผมไม่มีเรื่องอะไรต้องปิดบังอยู่แล้ว
“มีอะไรให้ช่วยมั๊ยล่ะ?”
“อาจจะมีนิดหน่อย ไว้จะบอก”
“แล้วทำไมไม่ให้อาเต็มช่วยล่ะ อาเต็มเก่งจะตาย แถมยังเป็นแฟชั่นนิสต้าตัวท็อปเลยนะ”
“อยากจะให้ช่วยอยู่ แต่ทำใจไม่ได้เรื่องพรีเซนเตอร์นี่แหละ”
“อ่อ.. หึงล่ะสิ”
เพื่อนสาวหัวเราะร่วนเหมือนเป็นเรื่องตลก แต่ผมไม่ตลกเลยสักนิดนะครับ จะให้เมียสุดที่รักไปจัดการเสื้อผ้าหน้าผมให้แฟนเก่าเ
“งั้นก็ได้ เดี๋ยวออมจะไปช่วยเอง แต่ออมก็ต้องให้อาเต็มเป็นที่ปรึกษานะ โอเคปะล่ะ?”
ถ้าแค่เป็นที่ปรึกษามันก็พอจะได้อยู่หรอกนะ
“อืม”
ผมพยักหน้ารับ ออมก็หัวเราะอีกรอบ ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าแค่ผมหึงเมียเนี่ยมันน่าขำตรงไหน???
.
.
.
.
วันนี้ผมเลิกเรียนเร็ว จึงปั่นจักรยานไปหาหนังสือในห้องสมุดก่อนจะกลับมารอรับคนรักที่คณะสัตวแพทย์ ซึ่งทุกก้าวย่างผมรู้ว่ามีสายตามากมายคอยจับจ้องอยู่ ดังนั้นด้วยนิสัยที่ผมเป็นคนไม่ชอบเป็นเป้าสายตาของใคร ผมจึงต้องปรับตัวเองให้ยอมรับเรื่องพวกนี้ให้มากยิ่งขึ้น จะทำยังไงได้ล่ะครับ ก็เมียของผมออกจะฮอตปานนั้น แต่ก็น่าแปลกนะครับ อีกฝ่ายไม่ใช่เดือนคณะหรือเดือนมหาลัยฯ อีกทั้งไม่ใช่ดารานักแสดง เต็มเป็นเพียงแค่พรีเซนเตอร์หลักของเสื้อผ้าแบรนด์ TJ ซึ่งไม่เคยรับงานนอกเหนือจากงานที่พี่ขวัญมอบให้ แต่เต็มกลับเป็นที่รู้จักและชื่นชอบของทุกคน แถมยังมีการรวมกลุ่มจัดตั้งเป็นกลุ่มแฟนคลับอีกด้วย โดยเฉพาะในมหาวิทยาลัยแห่งนี้แทบจะเรียกได้ว่าเป็นผู้ทรงอิทธิพลคนหนึ่งเลยทีเดียว
จอดจักรยานและล็อคโซ่เรียบร้อยก็เดินไปหาที่นั่งใต้คณะ จะว่าไปเด็กคณะนี้ก็ไม่ค่อยจะสนใจผมสักเท่าไหร่หรอกครับ ช่วงแรกๆ อาจจะมีหันมามองบ้างแต่พักหลังมานี้แทบจะมองผ่านผมไปเลย เลือกที่นั่งได้ก็เปิดแล็บท็อปทำงานที่จะต้องส่งอาจารย์ในวันมะรืนนี้ให้เสร็จก่อนวันนัดประชุมเตรียมงานของบริษัท
“สวัสดีครับ คุณกองทัพ”
ขณะที่ผมกำลังเช็ครายละเอียดของธีมงาน ก็มีเสียงของใครคนหนึ่งร้องทักขึ้นมา ผมหันไปมองเจ้าของเสียง ก็เจอรอยยิ้มซื่อๆ ของผู้ชายรูปร่างสูงโปร่งแบบบาง คิ้วเข้ม ดวงตาเรียวเฉี่ยวแบบตี๋อินเตอร์ ซึ่งไม่คุ้นหน้าเลยสักนิด ฝ่ายตรงข้ามคงอ่านความสงสัยในแววตาของผมออกจึงได้รีบรายงานตัว
“ผมชื่อณดล หรือจะเรียกว่าดลก็ได้ ปีสอง คณะสัตวแพทย์”
อ่อ รุ่นน้องของเต็มนี่เองมิน่าผมจึงไม่รู้สึกคุ้นหน้าค่าตามาก่อน
“อ่อ.. สวัสดีครับ”
“รบกวนฝากถุงนี่ให้พี่เต็มด้วยนะครับ มันเป็นของพี่เต็มครับ”
ยังกับว่ากลัวจะเสียเวลา อีกฝ่ายรีบบอกเจตจำนงของตัวเองด้วยการยื่นถุงกระดาษในมือมาตรงหน้าผมทันที ผมมองรับถุงกระดาษสีหวานมาถือไว้ แล้วเปิดดูข้างในโดยไม่คิดว่ามันจะเป็นการเสียมารยาท ซึ่งเพียงแค่เห็นของที่อยู่ในถุงผมก็ยื่นส่งกลับคืน พร้อมระบายรอยยิ้มเล็กน้อยอย่างเป็นมิตร
“ผมคิดว่าคงจะเข้าใจผิดแน่นอน ถุงนี้คงไม่ใช่ของเต็มหรอกครับ”
คนตรงหน้าเลิกคิ้วเล็กน้อย ผมจึงต้องอธิบายเพิ่มอีกนิด
“เต็มไม่ทานของหวานครับ โดยเฉพาะจำพวกช็อคโกแลต แทบจะไม่แตะเลย”
นี่ผมพูดเรื่องจริงนะครับไม่ได้คิดจะหักหน้าหรือทำให้รู้สึกอาย ทำไมผมจะไม่รู้ว่าเมียชอบหรือไม่ชอบอะไรบ้าง
“อ่อ.. งั้นเหรอครับ”
อีกฝ่ายยอมรับถุงกระดาษกลับไป ผมจึงหันกลับมาทำงานต่อ แต่ดวงตาเหมือนเหยี่ยวที่ยังคงมองผมอยู่บวกกับรอยยิ้มซื่อๆ ทำให้ผมต้องมองอีกฝ่ายกลับด้วยคำถามทางสายตาว่ามีอะไรอีกมั๊ยครับ? แน่นอนว่าคนตรงหน้าอ่านคำถามจากสายตาของผมออก ริมฝีปากได้รูปจึงขยับกว้างขึ้นอีกเล็กน้อย
“คุณแม่ของคุณกองทัพสบายดีมั๊ยครับ?”
หืม??? นี่รู้จักคุณแม่ของผมด้วยเหรอ?
“ก็.. สบายดีนะครับ ไม่ทราบว่ามีอะไรรึเปล่าครับ?”
“ไม่มีอะไรหรอกครับ แค่เมื่ออาทิตย์ก่อนผมเจอท่านที่วัด.. ก็เท่านั้นเอง”
“วัด?”
“ครับ พอดีผมไปเคารพโกศครบรอบวันตายของคุณอาของผม.. และบังเอิญได้เจอคุณแม่ของคุณกองทัพ และบังเอิญยิ่งกว่าก็คือท่านก็ไปเคารพโกศคุณอาของผมด้วย แต่ในวันนั้นดูท่าทางคุณวิริยาจะมีสีหน้าไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่”
“เรื่องนี้ผมไม่ทราบจริงๆ ครับ”
คุณแม่ท่านมีเพื่อนมากมาย และท่านก็ชอบออกงานสังคมยิ่งกว่าอะไร ในแต่ละวันท่านจะไปไหนมาไหนก็ไม่เคยบอกผมให้รู้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร เพราะฉะนั้นเรื่องที่อีกฝ่ายพูดอยู่ผมจึงไม่รู้จริงๆ
“งั้นเหรอครับ”
ในน้ำเสียงแฝงความผิดหวังเอาไว้อย่างชัดเจน ดังนั้นผมจึงต้องขอบคุณตามมารยาททางสังคมสักหน่อย
“ยังไงก็ต้องขอบคุณคุณณดลมากนะครับที่เป็นห่วงคุณแม่ของผม”
“อ่า.. ครับ”
เสียงริงโทนไอโฟนของผมแผดเสียงขึ้นพอดี ผมจึงส่งสายตาขอโทษอีกฝ่ายเล็กน้อยแต่อีกฝ่ายกลับดูเหมือนจะไม่ยอมปล่อยผมไปง่ายๆ
“แล้วคุณกองทัพไม่อยากทราบเหรอครับว่าคุณอาของผมเป็นใคร?”
คำถามนั้นดังขึ้นพร้อมกับที่ผมกดรับสายของคุณย่าพอดี ผมจึงต้องส่งสายตาขอโทษอีกครั้ง แต่เจ้าตัวกลับขยับเข้ามาใกล้ผมแล้วพูดด้วยน้ำเสียงในระดับที่จะทำให้คนในสายได้ยินประโยคนั้นด้วย และมันก็ทำให้คิ้วของผมกระตุก
“คุณอาของผมชื่อ รดา สุภสินทร์ ครับ อ่อ.. ไม่ใช่สิ.. ต้องเป็น รดา เกียรติไพศาลกิจ.. สินะครับถึงจะถูก”
ผมรีบบอกขอโทษคุณย่าก่อนจะตัดสายในทันที จากนั้นจึงลุกขึ้นประจันหน้ากับฝ่ายตรงข้ามแบบตรงๆ
“คุณต้องการอะไร?”
ถามออกไปอย่างตรงไปตรงมาแบบลูกผู้ชาย ถ้าบอกว่าผมเกลียดรอยยิ้มใสซื่อที่ดูไม่มีพิษมีภัยนี่ชะมัดและอยากจะต่อยไอ้หมอนี่ไปสักหมัดมันจะดูเกินกว่าเหตุไปมั๊ยครับ?
“ถุงนี้.. มันเป็นของพี่เต็มครับ”
ตอบไม่ตรงคำถาม แถมยังยื่นถุงสีเลี่ยนนั่นมาให้ผมอีกรอบ แบบนี้มันกวนตีนกันนี่หว่า ผมกำหมัดแล้วหายใจเข้าออกลึกๆ เพื่อสะกดกลั้นอารมณ์ แต่อย่างว่าแหละครับพระเอกอย่างผมสวรรค์ย่อมส่งอัศวินมาได้ทันเวลาเสมอ
“อะไรเป็นของผมเหรอครับ?”
ใบหน้าน่ารักเอียงเล็กน้อย คิ้วสวยเลิกขึ้นด้วยความสงสัย ให้ตายเถอะ! บอกตั้งไม่รู้กี่ครั้งแล้วว่าอย่าทำท่าทางแบบนี้ต่อหน้าคนอื่นเด็ดขาด หงุดหงิดซะจนต้องหรี่ตาดุใส่ แต่มีเหรอที่อีกฝ่ายจะกลัว แถมยังถลึงตาดุกลับมาอีก
ยืนรออยู่นาน เต็มก็ยังไม่ได้รับคำตอบสักที เจ้าตัวจึงเดินเข้ามายืนใกล้ๆ ผม มองหน้าบุคคลที่สามอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะชี้ไปที่ถุงกระดาษในมือของฝ่ายนั้น
“ถุงนี้นะเหรอ?”
คนถูกถามยังคงเงียบและทำเพียงระบายรอยยิ้มแบบที่ผมเกลียดเข้ากระดูกดำ
“ให้ผมใช่มั๊ย?”
มือบางยื่นออกไปรับถุงกระดาษเจ้าปัญหาใบนั้นมาถือไว้และยกยิ้มบางๆ
“ถ้างั้นน้องก็คือน้องณดล หลานรหัสของผมสินะ”
“ใช่ครับ”
“อ่า.. ขอโทษด้วยนะ ผมจำหน้าคนไม่เก่ง”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ”
“ถ้าอย่างนั้นวันนี้...พี่..จะรับของไว้ และก็ขอบคุณมาก แต่วันหลังไม่ต้องก็ได้นะ พี่ไม่ชอบพวกของหวานหน่ะ”
พูดจบก็หันมามองผมพร้อมกับส่งถุงในมือให้ผมถือไว้แทน ก่อนจะหันกลับไปส่งยิ้มให้อีกฝ่าย โคตรร้ายเลยมั๊ยละครับ พูดนิ่งๆ หลอกด่าด้วยท่าทางสุภาพ และโปรยรอยยิ้มหวาน นี่แหละครับฆาตกรผู้กุมหัวใจของใครต่อใครไว้ในกำมือ
“ถ้าอย่างนั้นพี่เต็มชอบอะไรล่ะครับ? ผมจะได้ซื้อมาให้”
คนถูกถามยิ้มกว้างขึ้น ในขณะที่ผมแทบจะบ้าเสียให้ได้
“ขอบคุณมาก แต่พี่ไม่รบกวนจะดีกว่า เพราะว่า.. แฟนพี่เขามีและให้ได้ทุกอย่างแล้วล่ะครับ”
อ้าวเฮ้ย! แล้วผมต้องทำหน้ายังไง เมียมาแบบนี้ปรับอารมณ์ไม่ทันนะครับ
“อ่อ.. เมื่อกี้เหมือนผมจะได้ยิน คุณพูดถึงคนที่ชื่อ รดา... เกียรติไพศาลกิจ”
“ใช่ครับ.. พี่เต็มรู้จักด้วยเหรอครับ?”
“พี่รู้ทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคนที่พี่รักทั้งหมดนั่นแหละครับ”
“รู้ทุกเรื่อง.. อย่างนั้นเหรอครับ?”
คู่สนทนาจุดยิ้มมุมปาก แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมองไม่เห็นถึงแววร้ายกาจเลยสักนิด ในขณะที่คนรักของผมวาดริมฝีปากกว้างขึ้นกว่าเดิมจนดวงตาตีโค้ง เห็นแล้วช่างสดใสจนผมอดเผลอใจยิ้มตามด้วยไม่ได้
“พี่คิดว่า.. น้องณดลอย่ารู้มากไปกว่านี้เลยจะดีกว่านะครับ”
เต็มเอียงคอเล็กน้อย ก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ ทำเอาผมเย็นวาบทั่วแผ่นหลังกับสัมผัสความน่ากลัวที่เคลือบแฝงไว้ในรอยยิ้มแสนน่ารักนั่น นี่สินะที่เขาเรียกว่าน้ำผึ้งเคลือบยาพิษ และผมคิดก็คิดว่าคู่สนทนาก็คงจะรู้สึกไม่ต่างจากผมเหมือนกัน ฝ่ายนั้นหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย แต่แค่เพียงแว่บเดียวก่อนจะเปลี่ยนกลับเป็นรอยยิ้มเช่นเดิม ทว่าแววตากลับแข็งกระด้างแตกต่างจากเดิม
“ถ้าอย่างนั้นผมก็ขอให้พี่เต็มใจ.. มีความสุขมากๆ นะครับ”
“ขอบคุณนะ.. น้องดล”
ทั้งคู่ยืนส่งยิ้มและจ้องตากันอยู่เงียบๆ ราวกับกำลังจะอ่านจิตใจของกันและกัน จนอีกฝ่ายยอมเดินจากไป บรรยากาศมาคุจึงผ่อนคลายลง ผมเองก็หายใจหายคอได้คล่องขึ้น ผมหันไปมองคนรักและก็พอดีกับฝ่ายนั้นก็หันมามองผมเหมือนกัน เราสบตากันนิ่งๆ อยู่ครู่หนึ่ง ผมจึงยกมือขึ้นบีบปลายจมูกรั้นด้วยความหมั่นเขี้ยว
“ร้ายชะมัด”
ร้ายซะจนต่อจากนี้ไปผมไม่กล้าหือด้วยแน่ๆ ฝ่ายนั้นยักไหล่แล้วหัวเราะ
“ไม่ทำงานต่อเหรอ?”
“อ่อ.. ทำสิ”
หันไปมองแล็ปท็อปที่เปิดทิ้งไว้ แล้วก็หันกลับมามองคนตรงหน้าอีกครั้ง ดวงตาคู่เรียวเบนสายตาไปด้านหลัง จึงได้รู้ว่าพี่ซันกับพี่โบว์นั่งรออยู่ตรงโต๊ะไม่ไกลจากที่ผมนั่งมากนัก ผมยกมือไหว้ทั้งคู่ก่อนจะนั่งลงเตรียมทำงานของตัวเอง ในขณะที่เต็มก็หันหลังเดินไปทำงานกลุ่มของเจ้าตัวเช่นกัน ผมมองแผ่นหลังบางเดินไปหาพี่ซันและพี่โบว์จนถึงโต๊ะแล้วจึงหันกลับมานั่งทำงานของตัวเองต่อ แต่สายตาก็เหลือบไปเห็นถุงกระดาษเจ้าปัญหาที่วางอยู่บนโต๊ะ ความรู้สึกกลัวบางอย่างได้ก่อตัวขึ้นมาภายในใจ หรือไม่บางทีผมอาจจะคิดมากไปเองก็เป็นไปได้เหมือนกัน ..
.
.
.
.
วันประชุมก่อนเตรียมงานมาถึงไวกว่าที่คิด ผมนัดประชุมในช่วงบ่ายของวันพฤหัสบดีเพราะเป็นวันที่ผมเลิกเรียนเร็วที่สุด หลายคนคงกำลังคิดว่าทำไมผู้บริหารระดับสูงถึงต้องลงคุมงานด้วยตัวเอง แต่อย่าลืมสิครับว่าคนที่จะบริหารคนอื่นได้จะต้องรู้จักงานของตัวเองเสียก่อน เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นรุ่นคุณปู่ หรือคุณพ่อ ล้วนต้องเคยนั่งตำแหน่งโปรดิวเซอร์มาก่อนทั้งนั้น คุณปู่และคุณพ่อท่านสอนให้เราลงมือทำด้วยตัวเอง ลุยไปกับลูกน้อง คิดและทำงานเป็นทีม ไม่ใช่แค่ออกคำสั่งอย่างเดียว แม้แต่ทายาทอันดับหนึ่งอย่างพี่นายก็ยังต้องเป็นโปรดิวเซอร์ให้งานของเอง
หลายคนอาจจะสงสัยว่าโปรดิวเซอร์คืออะไร คำตอบก็คือผู้ควบคุมตั้งแต่ขั้นตอนของการเตรียมงานก่อนที่จะผลิตรายการจริง ขั้นตอนของการผลิตรายการ และยาวไปจนถึงขั้นตอนสุดท้ายนั่นก็คือการตัดต่อก่อนที่จะนำไปเผยแพร่ ซึ่งหนังโฆษณาแต่ละเรื่องก็ใช้โปรดักชั่นแตกต่างกันไป เอาเป็นว่าผมจะอธิบายสั้นๆ ถึงขั้นตอนที่ผมกำลังทำอยู่ในตอนนี้ หรือที่เรียกว่า พรีโปรดักชั่น คือ การเตรียมงานก่อนถ่ายทำ นั่นเอง
ลูกค้ากำหนดงานปลายเดือนนี้ ผมจึงมีเวลาแค่ 3 สัปดาห์ ในการเตรียมงาน ทีมผู้กำกับก็เป็นพนักงานของบริษัททั้งหมด ในส่วนนี้จึงสามารถช่วยลดภาระและเวลาตรงนี้ไปได้เยอะ คราวนี้เราต้องนัดประชุมเพื่อมาตีโจทย์ที่ลูกค้าให้ไว้ครับ นั่นคือจะทำยังไงให้โฆษณาเครื่องใช้ในครัวไม่ซ้ำซากจำเจ เข้ายุคเข้าสมัย ตลอดจนสามารถตีตลาดคนยุคใหม่ได้ ด้วยเหตุนี้จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการนัดประชุมก่อนการถ่ายทำ เพราะนี่จะเป็นโอกาสเดียวเท่านั้นที่ทีมงานทุกคนของผมจะมาพูดคุยกันได้ ผู้เข้าร่วมประชุมในวันนี้นอกจากผมที่นั่งตำแหน่งผู้บริหารและโปรดิวเซอร์แล้วก็จะมี ก็อปปี้ไดรเตอร์ อาร์ตไดเรคเตอร์ ผู้กำกับฯ ตัวแทนจากบริษัทว๊องกรุ๊ป และแอคเคาท์แอคคิวทีพ พวกเราทั้งหมดจะมาตกลงกันตั้งแต่เรื่องผู้แสดง เสื้อผ้า แบบฉาก โลเคชั่น อุปกรณ์ประกอบฉาก การจัดไฟหรือเทคนิคภาพ และอีกสารพัดเรื่องตามความต้องการของลูกค้าครับ
มาถึงก่อนเวลานัดประชุมเกือบครึ่งชั่วโมง มันก็ค่อนข้างจะกดดันอยู่ไม่น้อยเพราะผมเองก็เป็นแค่นักศึกษาปี 2 ยิ่งกว่านั้นก็แทบจะไม่มีประสบการณ์เลยสักนิด จึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่าแค่ผมปรากฏตัวในห้องประชุมทุกสายตาที่มองมาหาผมเป็นจุดเดียวกันนั้นบ่งบอกถึงความรู้สึกที่ว่าอย่าคิดว่าเป็นลูกชายของเจ้าของบริษัทแล้วจะมาอวดเก่งได้นะครับ
“สวัสดีครับ มิสเตอร์แดเนียล”
เดินเข้าไปทักทายตัวแทนจากบริษัทว๊องกรุ๊ปเป็นอันดับแรก แล้วจึงเดินไปนั่งหัวโต๊ะ จากนั้นก็ทักทายทุกคนอย่างเป็นทางการก่อนจะเริ่มประชุมอย่างจริงจัง
เมื่อผมพูดว่าเราจะถ่ายแม่บ้านในครัว แต่ละคนก็จะวาดภาพกันไปแต่ละอย่าง เป็นแม่บ้านที่ไม่เหมือนกัน ภาพของครัวที่หน้าตาไม่เหมือนกัน ครัวของคนหนึ่งอาจเป็นสีฟ้า อีกคนอาจจะสีเหลือง คนหนึ่งเห็นแม่บ้านสาว อีกคนเห็นแม่บ้านแก่ แต่เรากำลังจะถ่ายหนังเรื่องเดียวเท่านั้น และพรีเซนเตอร์ผู้ที่จะมาเป็นแม่บ้านของเราก็เป็นนางแบบสาวดาวรุ่ง ดังนั้นทุกคนในที่ประชุมจึงต้องยึดตัวพรีเซนเตอร์เป็นหลักแล้วมองให้ไปในแนวทางเดียวกัน ดูเหมือนว่ามันจะง่ายใช่มั๊ยครับ แต่ไม่เลยมันทั้งยาก น่าหงุดหงิด และชวนปวดหัวอย่างที่สุด
การประชุมกินเวลากว่า 3 ชั่วโมงก็ยังหาข้อสรุปไม่ได้ และดูท่าว่าทีมงานหลายคนจะไม่ค่อยพอใจในตัวผม ไม่ว่าผมจะแสดงความเห็นอะไรออกไปล้วนถูกผลักตกถังขยะไปเสียหมด
‘คุณจะไปรู้เรื่องอะไร เงียบไปก่อนเลยดีกว่า’นี่เป็นประโยคเด็ดประจำวันนี้ครับ ขนาดที่ตัวแทนของลูกค้าถึงกับหน้าเหวอใส่ผมกันเลยทีเดียว
ตึง ตึง ตึงผมเคาะโต๊ะประชุมเพื่อเรียกความสนใจจากทุกคน มันก็ได้ผลอยู่หรอกนะครับเพียงแต่มีของแถมมาเป็นคำประณามทางสายตาด้วยก็เท่านั้น
“ฟังผมให้ดีอีกครั้งนะครับ พรีเซนเตอร์ของเราเป็นนางแบบที่อายุยังน้อยและมีชื่อเสียงในระดับเอเชีย และทางลูกค้าเองก็ต้องการงานโฆษณาที่ไม่ใช่ยืนอยู่ในสตูดิโอที่จัดฉากให้เป็นครัวแล้วบรรยายสรรพคุณสินค้าเหมือนโฆษณารุ่นเก่า เพราะฉะนั้นสิ่งแรกที่ต้องตัดออกไปก็คือเราไม่ถ่ายโฆษณานี้ในสตูดิโอของบริษัทอย่างแน่นอน”
“พูดมันง่ายสิครับ มีเวลาจำกัดแค่นี้จะไปวิ่งหาโลเคชั่นที่ไหนทัน”
นั่นไง อย่าให้ผมได้พูดออกความเห็นอะไรเลยครับ เป็นต้องมีตัวเถียงตัวขัดขึ้นมาทันที
“ทันครับ คุณต้องทำให้มันทันให้ได้”
“คุณจ......”
“ทุกวันนี้พวกคุณทานข้าวเที่ยงกันยังไงครับ?”
ไม่รอให้ใครมาเถียงครับ ผมพูดต่อแบบดักหน้าดักคอไปเลย และคำถามของผมก็ออกจะง่ายแสนง่าย แต่ไม่มีใครตอบผมเลยสักคน เอาแต่นั่งมองผมอย่างกับว่ากำลังฟังเด็กน้อยอมมือพูดเล่นอยู่อย่างนั้น
“นี่ไม่มีใครทานมื้อเที่ยงกันเลยเหรอครับ ดีจังเลยนะครับ.. ถ้าอย่างนั้นผมจะขอพูดแบบทั่วไปละกันนะครับว่าโดยทั่วไปแล้วมนุษย์เงินเดือนตื่นเช้ามาทำงาน เที่ยงก็ฝากท้องไว้กันร้านอาหารตามสั่ง หรือถ้าเป็นครอบครัวที่ต้องไปส่งลูกตอนเช้ามากๆ ก็จะเน้นความสะดวกเป็นหลักมากกว่าหลักโภชนาการที่ถูกต้อง”
เงียบ... แต่ไม่เป็นไรครับ แบบนี้ก็ดี ผมจะได้พูดต่อ
“ในช่วงที่ทุกคนกำลังให้ความสำคัญกับการใช้ชีวิตอย่างพอเพียงซึ่งขัดแย้งกับสังคมที่วุ่นวายและเร่งรีบ แล้วถ้าเราเอาความขัดแย้งตรงนี้มาผนวกเข้าด้วยกันละครับมันจะเป็นไปได้มั๊ย อย่างเช่น ตื่นเช้าอีกนิดเพื่อมาทำกับข้าวง่ายๆ กินเอง แล้วยังเหลือเอาใส่กล่องมากินที่ทำงานเป็นมื้อเที่ยง มันจะเป็นไปได้มั๊ยครับ?”
ยังคงเงียบเหมือนเดิม แต่เพิ่มเติมตรงที่คุณแดเนียลพยักหน้าหงึกหงักตามที่ผมพูด
“ผมต้องการที่จะให้พรีเซนเตอร์เป็นพนักงานออฟฟิศเหมือนพวกเรานี่แหละ กล่องใส่อาหาร ถ้วย แก้วน้ำ จาน ช้อน ทุกอย่างตรงตามสินค้าที่ตามคอลเลคชั่นที่ลูกค้าวางเอาไว้ เอาแบบง่ายๆ ใกล้ตัวแบบนี้.. ผมคิดว่าถ้าพวกคุณตั้งใจที่จะทำงานให้ออกมาดี มันก็จะเสร็จทันแน่นอนครับ”
หลายคนก็เริ่มหันหน้ามองตากันไปมา นับว่าถือเป็นสัญญาณที่ดีครับ ผมจึงอธิบายและพยายามดึงความคิดเห็นจากที่ถกเถียงกันไปคนละทิศคนละทางกลับเข้ามารวมกันเป็นจุดเดียว เล่นเอาคอแห้งเหมือนกัน
“มีคำถามมั๊ยครับ?”
เห็นทุกคนนั่งฟังเงียบๆ ผมก็ลองถามขึ้นบ้าง แต่ก็เงียบอีกเช่นเคย และก็มีแค่คุณแดเนียลคนเดิมอีกนั่นแหละที่ฉีกยิ้มอย่างพอใจ ซึ่งถ้าลูกค้าพอใจก็ถือว่ามาถูกทางแล้วล่ะครับ
“ถ้าไม่มีคำถาม.. ผมก็จะถือว่าทุกคนรู้จุดหลักและมองภาพของโฆษณาตัวนี้ออกแล้วนะครับ เพราะฉะนั้นเชิญผู้กำกับฯ ต่อเลยครับ”
โยนหน้าที่ต่อให้ผู้กำกับการแสดง ผู้ซึ่งมีความรับผิดชอบสูงสุดในการควบคุมงานโฆษณาตัวนี้ให้ถ่ายทอดออกมาให้ดีที่สุด
2 ทุ่มเศษ คือเวลาเลิกประชุม แม้จะใช้เวลานานจนรู้สึกอ่อนเพลียแต่ก็ถือว่าได้ผลสรุปเป็นที่น่าพอใจ และพรุ่งนี้แต่ละฝ่ายก็จะเริ่มทำงานในส่วนที่ตัวเองรับผิดชอบทันที ผมเดินมาส่งคุณแดเนียลที่รถ จากนั้นก็โทรหาคุณปู่เพื่อสรุปการประชุมงานในวันนี้ให้ท่านฟัง ส่วนคุณพ่อนั้นไม่ต้องห่วงครับ ท่านส่งเลขาเข้ามาร่วมประชุมด้วยเพราะฉะนั้นคงจะรู้สถานการณ์แบบช็อตต่อช็อตตั้งแต่เริ่มจนจบอย่างแน่นอน
ส่งข้อความบอกเต็มว่ากำลังจะกลับ คุณพ่อสั่งให้รถบริษัทไปส่งผมที่หอพัก ซึ่งแค่ผมนั่งลงบนเบาะก็แทบจะหลับเสียให้ได้ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่านั่งประชุมนานๆ มันเหนื่อยและเพลียมากกว่านั่งอ่านหนังสือเรียนเสียอีก ผมพิงหัวกับกรอบหน้าต่างรถมองแสงไฟในยามราตรีของเมืองหลวงไปเรื่อยๆ จวบจนสายตาได้ปะทะกับแสงเล็กๆ คู่หนึ่งตรงซอกรอยแยกของบังเกอร์ขอบทางด่วน แค่เสี้ยววินาทีที่รถแล่นผ่านแต่มันทำเอาหัวใจของผมแทบจะหยุดเต้น
“จอดครับ ช่วยจอดหน่อยครับ”
“นี่มันบนทางด่วนนะครับ”
“จอด! ผมบอกให้จอดเดี๋ยวนี้ครับ”
คุณน้าคนขับรถตีหน้ายุ่ง แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังเปิดไฟฉุกเฉินขอทางจอดรถตามคำสั่งของผม รถบนทางด่วนในช่วงเวลาใกล้จะ 3 ทุ่ม แม้จะไม่แน่นขนัดเหมือนช่วงหัวค่ำแต่รถทุกคันก็เร่งความเร็วอย่างน่ากลัว ผมมองซ้ายมองขวาจนแน่ใจว่าปลอดภัยจึงเปิดประตูรถแล้ววิ่งย้อนกลับไปเกือบ 20 เมตร กว่าจะได้เจอกับเจ้าของดวงตาคู่หนึ่งที่อ่อนระโหยโรยแรงและตื่นตระหนกในเวลาเดียวกัน
ไม่ต้องใช้เวลาไตร่ตรองให้มากความ ผมตัดสินใจในทันทีที่จะยื่นมือเข้าไปจับก้อนกลมๆ เล็กๆ ที่มีชีวิตนั่นออกมาจากซอกบังเกอร์ จากนั้นก็รีบวิ่งพามันกลับมาที่รถแล้วสั่งให้คุณน้าคนขับขับรถไปโรงพยาบาลสัตว์ที่ใกล้ที่สุดทันที และก็โชคดีที่มีโรงพยาบาลสัตว์ที่เปิดให้บริการ 24 ชั่วโมงอยู่ตรงทางลงทางด่วนพอดี
หลังจากฟังคุณหมอตรวจเช็ค ทำการรักษา อธิบายอาการและการให้ยาบำรุง และจ่ายเงินเสร็จ ผมก็เอาเจ้าตัวเล็กที่นอนขดตัวหลับปุ๋ยเพราะฤทธิ์ยาใส่ตะกร้าที่ซื้อจากโรงพยาบาลสัตว์นั่นแหละพาขึ้นรถกลับหอพักด้วย ระหว่างนั้นก็กดโทรศัพท์หาคนที่กำลังรอผมอยู่
“เต็ม...”
[
อืม.. อยู่ไหนแล้วหน่ะ?]
“เพิ่งออกจากโรงพยาบาลสัตว์”
[
หืม?]
ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมต้องยิ้มเพียงแค่นึกว่าหน้าตาของคนที่อยู่ในสายตอนนี้คงกำลังเลิกคิ้วและกระพริบตาปริบๆ ด้วยความสงสัยอยู่แน่ๆ ผมเงียบไปครู่หนึ่งในขณะที่อีกฝ่ายก็เงียบเหมือนกัน แต่ไม่นานนักฝ่ายนั้นก็เอ่ยขึ้นก่อนด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
[
สีส้มหาทางกลับมาได้แล้วใช่มั๊ย?]
คำถามจากปลายสายทำให้ผมยิ้มกว้างกว่าเดิม ผมมองสิ่งมีชีวิตตัวจ้อยผอมจนเหลือแต่หนังหุ้มติดกระดูก อายุไม่น่าจะเกิน 2 เดือน มันนอนหลับอยู่ในตะกร้าด้วยลมหายใจผะแผ่วผ่อนคลาย สิ่งมีชีวิตนี้ผมเรียกมันว่า
‘แมว’ และแม้ในความเป็นจริงมันจะไม่ใช่สีส้มตัวเดิมที่จากไปอย่างไม่มีวันกลับ ความรู้สึกของผมมันบอกว่านี่แหละคือสีส้มที่หาทางกลับมาหาผมจนเจอ
“อืม”
ผมตอบรับในความคิดที่ตรงกัน
[
มาสคอตสินะ]
“มาสคอต?”
เสียงหัวเราะจากปลายสายดูมีความสุขซะจนผมรู้สึกหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง
[
พาสีส้มกลับมาให้ทันหอปิดล่ะ]
“รับทราบครับผม”
วางสายไปแล้วแต่ผมก็ยังไม่สามารถจะหุบยิ้มได้ ยิ่งเมื่อคิดถึงคำว่า
‘มาสคอต’ ผมเผลอหัวเราะออกมา ความจริงแล้วสำหรับผมนั้นสีส้มคือคิวปิคตัวน้อย ส่วนอีกฝ่ายนั่นแหละคือมาสคอตผู้นำความสุขมาให้ผมต่างหาก..
.
.
.
.
.
TBC....