█ ▌รักเต็มใจ ➽ HEART IS FULL ▌█
┠ 19 ┨
ทริปเที่ยวฮ่องกง 4 วัน 3 คืน ของพวกเราจบลงด้วยความสุข โดยเฉพาะสาวๆ ช้อปปิ้งกันกระหน่ำราวกับว่าเก็บกดกันมานานเล่นเอาขากลับน้ำหนักกระเป๋าเกินไปเกือบสิบกิโล แต่ยังโชคดีที่พวกผู้ชายยังมีน้ำหนักกระเป๋าเหลือให้สาวๆ ได้แบ่งปันเฉลี่ยน้ำหนักกันไป
กลับมาก็ได้พักอยู่บ้านแค่วันเดียวเราทุกคนก็ต้องกลับไปทำหน้าที่ของตัวเองกันก่อนเปิดเทอมและผมเองถ้าวันไหนว่างก็จะชวนโบว์กับซันเข้าไปเรียนรู้งานที่โรงพยาบาลสัตว์ของมูลนิธิฯ ครับ
“อีจีช่วงนี้มึงอยากกินของเปรี้ยวของดองบ้างปะ?”
คำถามนี้เกิดขึ้นขณะที่ผมกับสหายรักทั้ง 2 คน กำลังนั่งทานอาหารมื้อเที่ยงกันอยู่ที่โรงอาหารของมูลนิธิ ไม่ต้องบอกก็คงจะรู้นะครับว่าใครเป็นคนถาม ผมมองหน้าคนถามที่หรี่ตาจ้องมองอย่างเจ้าเล่ห์ก็ได้แต่หัวเราะ
“เต็มมีมดลูกซะที่ไหนล่ะ”
คนพูดแย้งโบว์ไม่ใช่ผมครับแต่เป็นซัน เดี๋ยวนี้ซันค่อนข้างจะตามความคิดของโบว์ทันขึ้นเยอะแล้วล่ะครับ
“แหม เสี่ยซันคะ ตั้งแต่ออกบวชมาคบกับน้องออมเนี่ยรู้ทันดิฉันไปหมดแทบจะทุกอย่างเลยนะคะ”
เพื่อนสาวหันไปแซ็วซัน แต่พอแซ็วจบก็รีบบีบนวดขอโทษยกใหญ่จนซันหัวเราะขำพรืด ซันเป็นเพื่อนที่โบว์รัก เกรงใจ และบูชามาตั้งแต่เด็ก โบว์เคยบอกว่าซันเป็นเพื่อนที่ดีมากชนิดที่ว่าชีวิตนี้คงจะหาเพื่อนเหมือนซันไม่ได้อีกแล้ว
“เออ เกือบลืมไปเลย ฉันว่าจะถามแกหลายรอบแระ อีจีแกพอจะรู้เรื่องที่น้องกองทัพทำให้งานใหญ่ของพี่นายพลมีปัญหาอีกได้ปะ ข่าวใหญ่มากเลยนะเห็นบอกว่ารอบนี้คุณนายวิริยาแทบจะตัดแม่ตัดลูกกับลูกชายคนเล็กไปเลย”
“หืม?”
คิ้วของผมขมวดเป็นปมแทบจะทันที เท่าที่นึกได้ก็พอจะเดาออกว่างานที่มีปัญหานั้นคืองานอะไรและปัญหาของงานเกิดจากอะไร แต่ถึงอย่างนั้นผมก็คิดว่ามันจบไปแล้วซะอีกนี่ก็ผ่านมาตั้งครึ่งเดือนแล้วอีกอย่างเทมป์ก็เคยไม่เห็นบอกหรือพูดเกี่ยวกับเรื่องนั้นอีกเลย
“ตัดแม่ตัดลูกนี่อาจจะไม่ค่อยเท่าไหร่เพราะน้องกองทัพก็อยู่กับคุณปู่คุณย่ามาตั้งแต่เด็ก แต่เห็นว่าคุณนายวิริยาจะขอให้บอร์ดผู้บริหารยกเลิกข้อตกลงเรื่องที่จะรับน้องกองทัพเข้ามาทำงานในบริษัทหลังจากเรียนจบ ด้วยเหตุผลที่ว่าลูกชายคนเล็กของเธอไม่มีความสามารถ ทำลายชื่อเสียงของบริษัท และบลา บลา บลา..”
คนเล่าทำเหมือนกับว่าเรื่องที่พูดอยู่เป็นเรื่องไร้สาระ มีการเหลือบตามองบนให้คุณนายวิริยาซะด้วย
“ไปรู้มาจากไหนเนี่ย?”
ไม่ใช่แค่ผมครับที่สงสัย ซันเองก็สงสัยเช่นเดียวกันจึงรีบถามตัดหน้าผม
“น้องดักแด้”
อ่อ.. จบคำถามครับ เพราะคุณแม่ของน้องดักแด้เป็นเพื่อนสนิท(ในวงไพ่)ของคุณนายวิริยา
“อีจี แกทำหน้าแบบนี้แสดงว่าไม่รู้?”
เครื่องหมายคำถามคงจะฝุดเต็มหน้าฝากจนโบว์เดาออก
“เทมป์คงกลัวจะทำให้เต็มคิดมากมั้ง”
ซันก็ยังคงเป็นซันที่มักจะคิดในแง่บวกก่อนเสมอ จะว่าไปมันก็ไม่มีเหตุผลไหนที่จะเหมาะสมไปมากกว่าเหตุผลของซันไปได้อีกแล้ว เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นมีผมเป็นตัวแปรสำคัญและเทมป์ก็แคร์ในความรู้สึกของผมมากกว่าใคร
“อืม ก็คงงั้น”
ยักไหล่ตอบจนโบว์หมั่นไส้เบะปากใส่ผมหนึ่งที แล้วเจ้าตัวก็หัวเราะตบท้ายแถมยังขโมยลูกชิ้นในถ้วยก๋วยเตี๋ยวของผมกินหน้าตาเฉยอีก นี่แหละครับเพื่อนผู้หญิงที่แสนบอบบางที่สุดในกลุ่มของผม
งานที่เรารับผิดชอบในมูลนิธิโดยส่วนใหญ่จะเป็นแค่เคสง่ายๆ อย่างเช่น ฉีดวัคซีน ทำแผล ให้น้องหมาน้องแมวแต่ถ้าเป็นเคสใหญ่ๆ อย่างการผ่าตัดเราก็ได้รับอนุญาตให้เข้าไปเรียนรู้งานได้ แต่ทั้งหมดก็ต้องอยู่ในการควบคุมและการได้รับอนุญาตจากสัตวแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเสียก่อน ซึ่งงานที่พวกผมทำก็ไม่ได้มีค่าตอบแทนอะไรหรอกนะครับ ทำด้วยใจและรักที่จะเรียนรู้เพิ่มพูนประสบการณ์ในวิชาชีพเท่านั้น
โรงพยาบาลสัตว์ทุกสาขาเปิด 24 ชั่วโมง มีสัตวแพทย์ที่จิตอาสาและรักในอาชีพโดยไม่ได้หวังกับค่าตอบแทนที่น้อยนิดสลับสับเปลี่ยนกันมาตลอด แต่สำหรับสัตวแพทย์ที่อาสามาช่วยงายอย่างพวกเราได้เลิกงานตอน 5 โมงเย็น แต่เพราะติดเคสทำแผลให้กระรอกตัวน้อยที่โดนน้องแมวตะปปตบจนเลือดซิบจนเจ้าของต้องฝ่ารถติดพามาทำแผลจึงเลยเวลาเลิอกงานไปเป็นครึ่งชั่วโมง
“พรุ่งนี้เจอกันที่มหาลัย”
ยกมือตบไหล่ซันและโบกมือให้โบว์ก่อนจะเดินไปที่รถที่จอดอยู่อีกฝั่ง
“รอนานมั๊ย?”
“ไม่นานเท่าไหร่”
ก็แสดงว่านานแต่ยังรอไหว ผมอมยิ้มก่อนจะเปิดประตูเข้าไปนั่งในรถ คาดเข็มขัดนิรภัยเสร็จแล้วก็นั่งแอบสังเกตฝ่ายตรงข้ามอยู่เงียบๆ จะว่าไปตั้งแต่กลับมาจากฮ่องกงอีกฝ่ายค่อนข้างจะพูดเล่นน้อยลงและใจลอยอยู่หลายครั้งแต่ที่ผมไม่ทักเพราะคิดว่าคงจะเครียดเรื่องเรียน
“หิวมั๊ย?”
ดวงตาคู่คมเหลือบมามองกรุ้มกริ่ม
“ทะลึ่ง”
เจ้าตัวหัวเราะจนน่าหมั่นไส้
“ทำไมวันนี้ถึงจะไปนอนบ้านคุณพ่อล่ะ?”
“คุณแม่ท่านคิดถึง”
ผมร้องหืมในใจเสียงดังแล้วมองใบหน้าคมที่ยกยิ้มมุมปากไม่วางตาจนเจ้าของใบหน้ารู้ตัวหันมาเลิกคิ้วมอง
“ลืมไปว่าลูกรักนี่นะ”
คนฟังรู้ว่าผมประชด ช่วงจังหวะติดสัญญาณไฟสีแดงดวงตาคู่คมจึงหันมามองหน้าผมแล้วหรี่ตาลง
“ไปได้ยินอะไรมา?”
“ได้ยินว่าคุณนายวิริยารักลูกชายคนเล็กม๊ากมากกกก กอไก่ ล้านตัว”
ลูกชายคนเล็กของคุณนายวิริยาหัวเราะแล้วใช้ข้อนิ้วเคาะหน้าผากผมไม่หนักไม่เบา
“ไม่คิดจะเล่าให้ฟังกันบ้างรึไง?”
ขอถามกลับไปตรงๆ พร้อมกับลูบหน้าผากของตัวเองแล้วยู่หน้าใส่อีกฝ่าย เจ็บนะเนี่ยไม่ต้องดูในกระจกก็รู้ว่าต้องเป็นรอยแดงแน่ๆ
“ไม่ใช่เรื่องสำคัญหรอก”
เชื่อก็โง่แล้วล่ะครับ แต่ก็นะ.. บางครั้งเราก็ควรโง่ซะบ้างเพื่อให้คนรักสบายใจ ผมพยักหน้ารับแล้วเปลี่ยนบทสนทนาเป็นเรื่องเล่าของบรรดาสัตว์ผู้น่ารักที่ผมได้ทำการรักษาในวันนี้
กว่าจะถึงบ้านก็เกือบจะ 2 ทุ่ม คุณแม่ทำสลัดไว้ให้เราทั้งคู่ไว้ทานเป็นมื้อเย็น เดี๋ยวนี้เทมป์แทบจะกลายเป็นลูกชายของบ้านนี้ไปด้วยอีกคน ยิ่งนานทีปีหนจะขับรถมาส่งแบบนี้คุณแม่ก็มักจะเตรียมอาหารไว้รอเสมอ เมื่อทานเสร็จเทมป์ก็อยู่คุยกับคุณพ่อคุณแม่ของผมต่ออีกครู่ใหญ่ถึงจะขอตัวกลับ ผมเดินมาส่งเทมป์ที่รถ
“ขับรถดีๆ ล่ะ ถึงแล้วโทรมาด้วย”
“จ้า.. เมียจ๋า”
อยากจะด่ากลับสักคำเพื่อแก้เขิน แต่ก็คิดได้ว่าด่าไปก็ใช่ว่าจะสะดุ้งสะเทือนจึงทำแค่ยืนยิ้มเท่านั้น
“อยากจูบอะ”
เสียงทุ้มพูดออดอ้อน
“กล้ามั๊ยล่ะ?”
ผมตวัดสายตาไปทางห้องนั่งเล่นที่เปิดผ้าม่านไว้ครึ่งหนึ่ง ถ้ามองผิวเผินก็ดูเหมือนว่าคุณพ่อคุณแม่กำลังนั่งดูทีวีแต่ผมรู้ครับว่าท่านกำลังแอบมองเราทั้งคู่อยู่ แม้จะเป็นคู่หมั้นกันอย่างถูกต้องแต่เราก็ควรที่จะรู้จักกาลเทศะโดยเฉพาะเมื่ออยู่ในสายตาของผู้ใหญ่
“งั้นติดไว้ก่อน”
“มีวันหมดอายุนะ”
“อร่อยขนาดนี้ต่อให้หมดอายุก็ยังจะกิน”
ไม่พูดเปล่าแต่สายตายังโลมเลียลามก แล้วทำไมผมถึงต้องฉีกยิ้มจนหน้าบานแบบนี้ด้วย
“พรุ่งนี้ไปมหาลัยใช่มั๊ย?”
“อืม แต่ไม่เข้าหอนะ ไม่ต้องรอ เต็มเรียนเสร็จแล้วจะไปทำธุระกับซันต่อ”
คิ้วเข้มขมวดเล็กน้อย
“ธุระอะไร?”
“ไม่ใช่เรื่องสำคัญหรอก”
เจอผมย้อนกลับประโยคเดียวกับที่อีกฝ่ายเคยตอบผมไปเมื่อตอนอยู่บนรถทำเอาเจ้าตัวตีหน้าเข้มแล้วส่งสายตาคาดโทษมาให้ ผมก็ได้แต่ยักคิ้วและกระตุกยิ้มมุมปากกลับไป
“กลับไปได้แล้ว โน่น.. คุณอาวิริยาโทรตามแล้ว”
บังเอิญเห็นแสงไฟจากหน้าจอไอโฟนสว่างวาบอยู่บนเบาะรถโชว์ชื่อสายโทรเข้าว่า
‘คุณแม่’ โชว์หรา เจ้าของไอโฟนหันไปมองด้วยใบหน้านิ่งๆ อยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงตัดสินใจเปิดประตูรถหยิบขึ้นมากดรับ
“ผมขับรถอยู่ครับคุณแม่ ใกล้จะถึงแล้วครับ ขออนุญาตวางสายก่อนนะครับ”
พูดรัวใส่แล้ววางสายไป ผมจึงดันอีกฝ่ายเข้าไปในรถ
“กลับเถอะ ไว้เจอกันวันมะรืน”
“อืม”
พยักหน้ารับ แต่ผมแอบเห็นว่าในแววตานั้นมีประกายความกังวลแอบซ่อนอยู่ ใครจะไปรู้ว่าภายใต้รอยยิ้มที่สดใสอาจจะมีความทุกข์ระทมใจแอบซ่อนอยู่ก็เป็นได้ ผมจึงโน้มตัวลงแล้วชะโงกหน้าเข้าไปในหน้าต่างรถประทับจูบลงบนหน้าผากได้รูปหนึ่งครั้งแล้วกลับมายืนกอดอกและอมยิ้มกลั้นเขิน ก็แค่จูบหน้าผากคงไม่เป็นไรหรอกมั้ง ว่าแต่คนถูกจูบทำไมต้องทำหน้าเหมือนทำความผิดร้ายแรงขนาดนั้นเนี่ย ฮ่า
“ฝันดี”
โบกมือบ๊ายบายคนรักก่อนจะรีบจ้ำกลับเข้าบ้านอย่างไว เพราะถ้าขืนยังชักช้าร่ำไรดูท่าอีกฝ่ายคงไม่ได้กลับบ้านแน่ๆ
เดินมาถึงประตูบ้านจึงค่อยหันกลับไปมองแสงไฟสีแดงที่เคลื่อนออกไปนอกรั้วจนลับตา จากนั้นจึงเดินเข้าไปหาคุณพ่อคุณแม่ที่ห้องนั่งเล่น ซึ่งสวนทางกับออมที่เพิ่งเดินออกมาพอดี หลานสาวอมยิ้มกรุ้มกริ่มทันทีที่เห็นหน้าผม
“ออมเห็นนะเมื่อกี้หน่ะ”
หัวเราะคิกคักชอบใจ ออมกับโบว์ถือว่าเป็นผู้หญิงยุคใหม่ที่ไม่เคยมองว่าความรักของเพศเดียวกันเป็นเรื่องแปลกในทางตรงกันข้ามพวกเธอกลับมองว่าเป็นเรื่องปกติทั่วไปโดยใช้หลักคิดง่ายๆ ที่ว่าความรักมีหลายรูปแบบและเกิดขึ้นได้กับทุกเพศและทุกวัย ถ้าหากคนทั้งโลกคิดได้แบบออมกับโบว์ก็คงจะดีไม่น้อยแต่มันก็คงจะเป็นไปไม่ได้หรอกครับ
“พรุ่งนี้มีเรียนเช้าไม่ใช่เหรอ? ไปนอนได้แล้ว”
ไล่หลานสาวไปนอน ส่วนตัวเองก็ขอไปคุยกับบุพการีก่อนครับ
คุณแม่กำลังกดรีโมทเปลี่ยนช่องไปดูรายการข่าว เมื่อเห็นผมเดินเข้ามาท่านก็ยกยิ้มในขณะที่คุณพ่อนั่งดูข่าวนิ่งๆ ไม่แม้แต่จะหันมามองผม
“เต็มขอรบกวนเวลาของคุณพ่อคุณแม่สักครู่ได้มั๊ยครับ?”
“ทำไมต้องคิดว่าเป็นเรื่องรบกวนด้วยล่ะคะน้องเต็ม.. มีอะไรรึเปล่า?”
ผู้ให้กำเนิดวางรีโมทลงบนโต๊ะแล้วเลิกคิ้วมองผมด้วยความสงสัยก่อนจะหันไปมองหน้าผู้เป็นสามี คุณพ่อจึงละสายตาจากหน้าจอทีวีมามองหน้าผม
“เต็มคิดว่าเต็มก่อปัญหาให้กองทัพหน่ะครับ เต็มเลยจะมาขอคำปรึกษาจากคุณพ่อคุณแม่สักหน่อยว่าเต็มควรจะจัดการเรื่องนี้ยังไงดี”
คำเกริ่นนำของผมคงจะดูเป็นการเป็นงานมากเสียจนคุณพ่อต้องหยิบรีโมทกดปิดทีวี และผมก็แอบอมยิ้มนิดหนึ่ง
“ว่ามาสิ”
ประโยคนี้จากคุณพ่อแหละครับที่ผมต้องการ ส่วนเรื่องที่ผมจะเล่าก็ไม่ได้เป็นเรื่องโกหกหรือปรุงแต่งแต่อย่างใด ผมพูดความจริงทั้งหมด เริ่มตั้งแต่ความบังเอิญที่ลูกค้าของพี่นายพลเป็นคนฮ่องกงและบังเอิญยกสองคือมีการนัดคุยงานกันที่โรงแรมที่พวกผมพักพอดี แค่นั้นยังไม่พอความบังเอิญที่แสนน่าเหลือเชื่อก็คือลูกค้าของพี่นายพลดันเป็นแฟนเก่า(จำไม่ได้ว่าคนที่เท่าไหร่)ของผม ซึ่งความบังเอิญทั้งหมดทั้งมวลก็มาจบลงตรงที่แฟนเก่าของผมคนนั้นตั้งเงื่อนไขว่าจะต้องได้ร่วมงานกับผมเท่านั้นถึงจะยอมเซ็นสัญญากับพี่นาย...
ก็แล้วยังไงล่ะครับ?? ในเมื่อแฟนปัจจุบันของผมเขาไม่สามารถบังคับผมได้หรือต่อให้มีสิทธิที่จะบังคับผมก็เชื่อว่าคนอย่างเทมป์ไม่มีวันทำเด็ดขาดและตัวผมเองก็ไม่ใช่ประเภทที่จะยอมใครง่ายๆ โดยเฉพาะเรื่องงานเพราะตั้งแต่ไหนแต่ไรถ้าหากไม่ใช่งานของพี่ขวัญผมก็ไม่ทำหรอกครับ ผมคิดว่าเรื่องมันจะจบลงแค่นั้นและพี่นายเองก็คงจะหาทางออกวิธีอื่น ผมเชื่อว่าเรื่องแค่นี้ไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่โตอะไร อีกอย่างลิซ่าชอบผู้ชายหล่อเสียด้วย ผมว่าพี่นายน่าจะเอาอยู่ เรื่องมันไม่น่าจะบานปลายและกินระยะเวลานานถึงขนาดนี้
“แย่จริง”
นี่คือคำพูดแรกที่หลุดมาจากคุณแม่หลังจากที่ผมเล่าเรื่องทั้งหมดจบ
“แล้วน้องเต็มคิดอะไรอยู่ในใจ?”
“เต็มคิดว่ามันค่อนข้างจะแปลกและไม่ยุติธรรมสำหรับกองทัพครับ”
คุณพ่อพยักหน้ากับคำอธิบายของผม
“แล้วตั้งใจจะทำยังไง?”
“เต็มอยากจะขอให้คุณพ่อช่วยให้เต็มได้คุยกับคุณอาดิษฐ์ในวันพรุ่งนี้ได้มั๊ยครับ?”
บุพการีหันมองหน้ากันด้วยความสงสัยก่อนจะหันกลับมาหยุดมองที่ผมอีกครั้งและผมก็ยิ้ม จากนั้นก็อธิบายสิ่งที่ผมคิดอยู่ให้พวกท่านฟังโดยมีเหตุผลว่าในเมื่อปัญหาที่เกิดขึ้นจากงานโฆษณาโดยมีผมเป็นตัวแปรหลัก และมีแฟนของผมเป็นผู้ได้รับผลกระทบโดยตรง ครั้นจะให้ผมอยู่นิ่งเฉยมองคนที่ตัวเองรักแบกรับปัญหาอยู่เพียงลำพังคงไม่ดีแน่ แต่ถ้าจะให้ผมไปบอกเทมป์ตรงๆ ว่าเดี๋ยวจะจัดการเองนั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีอีกเช่นกันฝ่ายนั้นคงจะรู้สึกแย่พอดูที่ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ด้วยตัวเอง เพราะต่อให้คนฉลาดอย่างเทมป์จะอ่านเกมส์ทั้งหมดออกแต่เจ้าตัวก็อยู่ในจุดและในฐานะที่ไม่อาจจะทำอะไรได้ อย่างที่มีใครบางคนเคยบอกไว้ว่าคนในกับคนนอกบางครั้งก็อาจจะเห็นภาพที่แตกต่างกัน
คุณแม่ร้อง
‘อ่อ’ เบาๆ แล้วอมยิ้มหลังจากที่ผมอธิบายความคิดทั้งหมดให้พวกท่านได้รับฟัง ส่วนคุณพ่อก็ยังคงทำหน้านิ่งๆ แต่ท่านก็พยักหน้าและคราง
‘อืม’ ตอบรับว่าพรุ่งนี้คุณพ่อจะโทรไปนัดคุณอาดิษฐ์ให้ผมซึ่งผมก็คิดว่าคุณอาดิษฐ์ต้องตอบตกลงอย่างแน่นอน แต่.. เรื่องนี้ขอเป็นความลับนะครับ อย่าให้แฟนผมรู้เชียวล่ะ ชู่ววว์...
.
.
.
.
.
ครั้งสุดท้ายที่ผมได้เจอคุณอาดิษฐ์ก็คงจะเป็นเมื่อตอนงานหมั้น ซึ่งก็ผ่านมาเดือนหนึ่งแล้ว เมื่อวานคุณพ่อบอกกับผมว่าต่อให้คุณอาดิษฐ์งานยุ่งมากแค่ไหนแต่ถ้าเป็นเรื่องของลูกชายและครอบครัวคุณอาดิษฐ์จะมีเวลาว่างให้เสมอ ดังนั้นแค่คุณพ่อต่อสายหาคุณอาดิษฐ์ท่านก็รับปากและรีบให้คุณเลขาเคลียร์งานโทรนัดเวลาสถานที่ให้ผมทันที
เวลาและสถานที่นัดเป็นช่วงเย็นที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งในย่านธุรกิจ เมื่อเรียนเสร็จผมก็ชวนซันกับโบว์นั่งรถไฟฟ้ามาด้วยกัน ผมมาถึงก่อนเวลานัด 10 นาที แต่คุณอาดิษฐ์มาถึงก่อนผมอีกครับ โบว์กับซันแยกไปเดินเล่นดูของในห้างระแวกนี้เพื่อฆ่าเวลารอผม
“เต็มต้องขอโทษนะครับที่รบกวนเวลาของคุณอาดิษฐ์”
“รบกวนอะไรกัน แล้วตอนนี้คงจะเรียกคุณพ่อได้แล้วมั้ง”
ท่านยิ้มให้ผมอย่างอ่อนโยน จากนั้นก็ให้ผมสั่งอาหารได้ตามใจชอบ แต่ผมยังไม่หิวจึงเลือกเมนูง่ายๆ อย่างสลัดผลไม้ และรอไม่นานอาหารที่สั่งไว้ก็มาเสิร์ฟผมจึงขอเข้าเรื่องในทันที เอาตามความจริงผมไม่ได้เล่าเรื่องราวแบบที่เล่าให้คุณพ่อคุณแม่ของผมฟังหรอกครับ ผมแค่อยากจะรู้วิธีการทำงานเกี่ยวกับงานโฆษณาจากคุณอาดิษฐ์เท่านั้นว่ามีขั้นตอนในการทำงานยังไงบ้าง ถามแค่ในส่วนที่ผมไม่รู้และขอความรู้เพิ่มเติมในสิ่งที่พอจะรู้อยู่แล้ว
“น้องเต็มอยากจะทำงานโฆษณาเหรอลูก?”
“เปล่าครับ”
คนถามเลิกคิ้วมองผมด้วยความสงสัยเล็กน้อย
“เต็มแค่อยากจะรู้เกี่ยวกับงานเพื่อจะได้ประเมินได้ว่าว่ากองทัพมีความสามารถเพียงพอที่จะทำงานด้านนี้รึเปล่า?”
“หืม?”
ตอนนี้ท่านคงจะสงสัยมากขึ้นแล้วล่ะครับ คุณอาดิษฐ์มองหน้าผมอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะอมยิ้มแล้ววางช้อนและยกผ้าเช็ดปากขึ้นมาเช็ด เตรียมรอฟังคำอธิบายจากผมโดยละเอียด
“ความจริงแล้วกองทัพเคยเล่าอะไรเกี่ยวกับปัญหาของตัวเองให้ผมฟังหรอกครับ แต่ผมก็มักจะได้ยินคนอื่นพูดเสมอว่าเขามักจะสร้างปัญหาและก่อความเดือดร้อนให้บริษัทอยู่ตลอด.. กองทัพไม่มีประสิทธิภาพที่จะทำงานด้านนี้ได้”
“กองทัพเป็นเด็กมีความสามารถ.. พ่อรู้ดี เพียงแต่เขายังเด็กเกินไป ประสบการณ์ยังน้อยก็เท่านั้น แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่จะมาตัดสินอนาคตของเขาได้”
“คุณพ่อเชื่อในความสามารถของกองทัพมั๊ยครับ?”
“เชื่อสิ.. ถึงพ่อจะไม่ค่อยมีเวลาให้ลูกๆ แต่พ่อก็มั่นใจว่าพ่อรู้จักลูกชายของพ่อดี”
รอยยิ้มละมุนประดับอยู่บนใบหน้าอ่อนโยนจนทำให้ผมต้องยิ้มตาม
“ถ้าอย่างนั้น.. งานไหนที่มีปัญหา คุณพ่อช่วยพิจารณาให้กองทัพดูแลได้มั๊ยครับ?”
“หืม.. งานที่มีปัญหา?”
ผมยิ้ม และคุณพ่อก็คงจะเดาความคิดของผมออก ท่านจึงหัวเราะเบาๆ
“เต็มแค่อยากจะให้กองทัพได้พิสูจน์ตัวเองว่าเขาไม่ใช่ตัวปัญหาอย่างที่ใครต่อใครกล่าวหา”
“ทวงความยุติธรรมให้แฟนสินะ”
เอ่อ... คุณพ่อพูดแบบนี้ผมรู้สึกตัวเองเหมือนหน้ากากทักสิโด้ยังไงก็ไม่รู้
“ไว้พ่อจะเก็บไว้พิจารณา”
“ขอบคุณมากครับ”
“กินต่อสิ น้ำสลัดที่นี่รสชาติดีนะ”
“ครับ”
ของเขาอร่อยจริงๆ ครับ
“อ่อ.. คุณพ่อครับ”
เพิ่งจะนึกออกว่าลืมเรื่องสำคัญไปอีก 1 เรื่อง ผู้ใหญ่ที่นั่งฝั่งตรงข้ามเลิกคิ้วแล้วอมยิ้มอย่างรู้ทัน
“เรื่องนี้เป็นความลับใช่มั๊ย?”
ผมยิ้มพร้อมกับพยักหน้าตอบรับว่า
‘ครับ’ จากนั้นก็ตักสลัดกินเงียบๆ พร้อมกับมองบรรยากาศภายในร้านที่การตกแต่งเรียบหรูสไตล์อังกฤษ บนฝาผนังมีภาพวาดลายเส้นชวนน่ามอง โดยเฉพาะรูปผู้หญิงในชุดหรูหราแบบผู้ดีอังกฤษโบราณสวมใส่หน้ากากอยู่ในงานเต้นรำ มันก็ทำให้ผมนึกถึงสำนวนหนึ่ง
'He masked his enmity under an appearance of friendliness.' หรือจะตีความหมายได้ประมาณว่า คนส่วนมากในสังคมปัจจุบันมักจะใส่หน้ากากเข้าหากัน มีเพยงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะมีความจริงใจต่อกัน
เลื่อนสายตากลับมาที่สลัดในจานและแอบเหลือบมองผู้ใหญ่ตรงหน้าเล็กน้อยพร้อมเหน็บยิ้มมุมปากให้กับความคิดของตัวเอง
.
.
.
.
.
บอกลาคุณอาดิษฐ์และรอส่งท่านขึ้นรถกลับไปเคลียร์งานที่บริษัทต่อ ผมโทรหาคุณพ่อเพื่อบอกท่านว่าได้คุยกับคุณอาดิษฐ์เรียบร้อยแล้วพร้อมกับแจ้งเวลาที่จะให้น้าปองมารอรับที่สถานีรถไฟฟ้าที่ใกล้บ้านที่สุด จากนั้นก็เดินไปหาซันกับโบว์ที่รออยู่ที่ห้างใกล้ๆ แถวนี้ พวกเราเดินเล่นกันต่ออีกสักพักก่อนจะแยกย้ายกันกลับ แต่อย่างว่าแหละครับว่าความบังเอิญมันมีอยู่ทุกที่ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเจตนาว่าจงใจหรือไม่ก็เท่านั้น
“อุ๊ยตาย! นี่ใช่น้องเต็มใจที่เป็นเกย์.. ลูกชายคนเล็กของท่านนายพลกับคุณหญิงหยดรึเปล่าคะเนี่ย?”
ประโยคคำถามนี้มาจากผู้หญิงรุ่นราวคราวแม่ 2 ท่าน แต่งตัวหรูหราแบรนด์เนมตั้งแต่หัวจรดเท้าและที่สำคัญคนที่เอ่ยทักยังสวมกระโปรงของแบรนด์ TJ เสียด้วย การแต่งตัวนับว่ามีรสนิยมดีแต่กิริยาท่าทางและการพูดจานี่ไม่ค่อยจะสมกับอายุและการแต่งกายสักเท่าไหร่
ผมบีบแขนโบว์เบาๆ ให้ใจเย็นๆ ส่วนซันก็ยกมือบีบไหล่ผมเพื่อให้กำลังใจก่อนจะโอบไหล่ควบคุมอารมณ์ของเพื่อนสาวไม่ให้ปรี๊ดแตกเสียก่อน ผมยกยิ้มให้คุณป้าทั้ง 2 ท่าน
“ใช่ครับ ผมเอง”
คุณป้าที่เอ่ยถามหันไปบอกคุณป้าอีกท่านว่า
‘เห็นมั๊ยเธอว่าฉันจำไม่ผิดคนหรอก’ แล้วก็ได้รับคำตอบกลับมาว่า
‘ตัวจริงหน้าตาดี๊ดีไม่น่าผิดเพศเลยนะคะคุณพี่’ จากนั้นคุณป้าทั้งสองก็หันมาฉีกยิ้มให้ผม โดยที่สายตาแอบสำรวจผมตั้งแต่หัวจรดเท้า
“วันนี้ได้เจอน้องเต็มใจตัวจริง พวกเราก็เข้าใจแล้วล่ะค่ะว่าทำไมคุณนายวิริยาถึงไม่ชอบน้องเต็มใจ”
หืม? ผมเลิกคิ้วเล็กน้อย
“ก็น้องเต็มใจหน้าตารูปร่างเหมือนภรรยาเก่าของคุณดิษฐ์ซะขนาดนี้คุณนายวิริยาจะทำใจลงได้ยังไงล่ะคะคุณพี่”
“นั่นสิคะคุณน้อง นี่ถ้าท่านนายพลกับคุณหญิงหยดไม่ยืนยันกับนักข่าวว่าเป็นลูกชายของท่านจริงๆ อมพระมาพูดก็คงไม่มีใครเชื่อหรอกค่ะ”
เสียงหัวเราะคิกคักทำให้ผมรู้สึกคิ้วกระตุกขึ้นมาแบบอัตโนมัติ
“ขอโทษนะครับ พอดีนี่ก็จะสองทุ่มแล้วพวกผมคงต้องขอตัวกลับก่อนนะครับ”
ซันพูดขัดจังหวะขึ้นมาด้วยน้ำเสียงนอบน้อมและใบหน้าก็ประดับรอยยิ้มอ่อนโยน ซะจนอีกฝ่ายนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ
“แต่กว่าห้างจะปิดก็อีกตั้งสองชั่วโมง ผมคิดว่าเชิญไปนั่งคุยกันต่อจะสะดวกกว่ายืนคุยนะครับ”
ดวงตาคู่รีโค้งหยีชนิดที่ใครเห็นเป็นต้องใจอ่อนยวบ คุณป้าพยักหน้าหงึกหงักแล้วพูดซ้ำๆ ว่า
‘จ่ะๆ’ ราวกับต้องมนต์ก่อนจะหันหลังแล้วพากันเดินไปในร้านคาเฟ่ใกล้ๆ
สถานการณ์กลับเข้าสู่สภาวะปกติ โบว์ยืนมองหน้าซันแบบอึ้งๆ ส่วนผมได้แต่หัวเราะขำกับท่าทางของโบว์ และก็เป็นซันอีกแหละครับที่ยกแขนโอบไหล่ผมกับโบว์ไว้แล้วเรียกสติให้รู้ว่าพวกเราจะต้องกลับบ้าน และหลังจากนั้นก็ไม่มีใครพูดถึงเรื่องคุณป้าทั้งสองท่านนี้อีกเลย
.
.
.
.
.
.
TBC.....