█ ▌รักเต็มใจ ➽ HEART IS FULL ▌█
┠ 16 ┨
“ปกติคุณอาวิริยาเคยสนใจกองทัพซะที่ไหนละคะ.. ไม่เชื่อลองแกล้งถามสิว่า
‘ลูกชายคนเล็กของคุณนายเรียนเกี่ยวกับอะไรเหรอครับ?’ ไม่มีวันตอบได้ถูกหรอกค่ะ”
คิ้วของผมขมวดแทบจะทันที เท่าที่เคยเจอเมื่อครั้งงานเลี้ยงของบริษัทตอนที่เทมป์พาผมไปรู้จักกับคุณแม่ ก็ดูคุณนายวิริยาท่านรักลูกชายของท่านดีนี่นา
“กองทัพไม่เคยเล่าให้อาเต็มฟังใช่มั๊ยละคะ?”
ผมพยักหน้ารับเพราะผมไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน ออมถอนหายใจเฮือกใหญ่
“กองทัพก็ไม่เคยเล่าให้ออมฟังหรอกค่ะ แต่เท่าที่ออมรู้นะคะ.. พี่นายพลเป็นลูกชายและหลานชายคนแรกของตระกูลยังไงล่ะคะ คุณอาวิริยาก็เลยวางความหวังไว้ที่ลูกชายคนนี้ทั้งหมด และเพราะพี่นายทำให้พ่อแม่สามียอมอ่อนลงให้ถึงขนาดที่พ่อแม่สามีเกษียณตัวเองไม่ยุ่งเกี่ยวกับธุรกิจอีกและยังแยกบ้านไปอยู่อีกหลังหนึ่ง คุณนายวิริยาจึงได้เชิดหน้าชูตาอย่างทุกวันนี้ อีกอย่างรูปร่างหน้าตาของกองทัพก็ไม่ถูกใจแม่สักเท่าไหร่ ใครๆ ก็รู้กันทั้งนั้นค่ะตั้งแต่ไหนแต่ไรมาพี่นายพลคือที่หนึ่งของแม่มาตลอด”
เหตุผลแค่นี้เนี่ยนะ?? ผมไม่เห็นว่ามันจะเป็นเรื่องสลักสำคัญถึงขั้นที่ทำให้คนเป็นแม่รักลูกไม่เท่ากัน แต่ถึงอย่างนั้นเทมป์ก็ไม่เคยแสดงทีท่าหรือพูดจาน้อยใจแม่เลยสักครั้ง และถ้าจะพูดให้ถูกต้องก็คืออีกฝ่ายแทบจะไม่เคยพูดถึงผู้ให้กำเนิดเสียมากกว่า
“แล้วคุณอาดิษฐ์ล่ะ?”
แม่อาจจะรักลูกไม่เท่ากันแล้วคนเป็นพ่อล่ะ?
“คุณอาดิษฐ์ท่านคงจะรักเท่ากันแหละค่ะ คุณอาดิษฐ์หน่ะรู้จักลูกชายทั้งคู่ของตัวเองดีจะตายเพียงแต่ท่านไม่พูดเท่านั้นเอง”
ถ้าเป็นอย่างออมพูดจริงก็ถือว่ายังดีที่อย่างน้อยอีกฝ่ายก็มีคุณพ่อ และที่สำคัญคือมีคุณปู่คุณย่าที่รักและเข้าใจ
“อาเต็มอยู่ห่างๆ พี่นายไว้ก็ดีนะคะ พี่นายหน่ะเขาเป็นคาสโนว่าตัวพ่อ”
เรื่องนี้ผมก็ไม่ได้อยากจะรู้สักเท่าไหร่หรอกครับ
“อ่อ.. อีกอย่างหนึ่ง ดูเหมือนว่าคุณอาดิษฐ์ท่านจะสูญเสียความทรงจำช่วงวัยรุ่นไปนะคะ”
เทมป์เคยบอกผมในเรื่องนี้แล้วเหมือนกัน
“กองทัพเล่าให้ออมฟังเหรอ?”
“เปล่าค่ะ.. คุณอาขวัญต่างหาก”
หลานสาวฉีกยิ้ม ในขณะที่ผมกำลังแปลกใจ
“พี่ขวัญ?”
“ก็คุณอาขวัญเคยเป็นเพื่อนสนิทกับคุณอาวิริยายังไงล่ะคะ”
พี่ขวัญเนี่ยนะ?? แล้วทำไมพี่ขวัญถึงไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ผมฟังเลย หรือถ้ามองอีกแง่มุมดูเหมือนว่าทุกคนจะไม่อยากให้ผมรับรู้เรื่องพวกนี้เสียมากกว่า แล้วเหตุผลล่ะครับ? แต่ถ้าจำไม่ผิดพี่ขวัญก็เคยเลียบๆ เคียงๆ ถามผมเรื่องคุณอาวิริยาอยู่บ้างเหมือนกัน ถ้าเป็นอย่างนั้นตอนนี้พวกท่านไม่ได้เป็นเพื่อนกันแล้วรึไง?
บทสนทนาระหว่างผมกับหลานสาวจบลงแค่นั้นเมื่อน้าปองจอดรถลงตรงลานหน้าบ้าน คุณพยาบาลพิเศษที่คุณพ่อคุณแม่จ้างมาให้ดูแลผมโดยเฉพาะลงจากรถเพื่อมาช่วยประคองผม
อ่า.. ลืมบอกไปว่าผมออกจากโรงพยาบาลมาหลายวันแล้วครับ ตอนนี้ก็กลับมาเรียนตามปกติแต่อาจจะลำบากสักหน่อยแต่ก็ไม่เกินความสามารถสักเท่าไหร่ แม้คุณหมอจะบอกว่าผมควรจะอยู่ดูอาการต่ออีกสักพักเนื่องจากผมยังมีอาการแน่นหน้าอกเป็นระยะและเหนื่อยง่าย ซึ่งสาเหตุเกิดจากแรงกระแทกส่งผลให้อวัยวะภายในมีอาการบอบช้ำค่อนข้างรุนแรงจึงต้องเฝ้าระวังอาการเป็นพิเศษและต้องรักษาอย่างต่อเนื่อง แต่ความกังวลเรื่องเรียนทำให้ผมเกิดความเครียด หยุดติดต่อกันหลายวันแบบนี้ต่อให้ซันกับโบว์จะแวะเอาเลคเชอร์มาให้ทุกวันแต่มันก็ไม่เหมือนกับการเรียนจริงด้วยตัวเอง และความดื้อของผมก็ทำให้คุณพ่อที่ไม่เคยมาเยี่ยมผมที่โรงพยาบาลเลยสักครั้งถึงกับต้องมาออกโรงด้วยตัวเอง ตอนแรกผมคิดว่าท่านจะดุผมเสียอีกแต่เปล่าเลยครับ ท่านมาคุยกับคุณหมออยู่นานสองนานจนได้ข้อสรุปว่ายอมให้ผมออกจากโรงพยาบาลโดยยังอยู่ในความดูแลพิเศษจากคุณพยาบาลผู้ชำนาญตลอดเวลารวมถึงตอนไปเรียนด้วย คุณพยาบาลจึงประจำการอยู่คู่กับน้าปองคนขับรถที่ต้องทำหน้าที่ขับรถรับส่งผมกับออมจนกว่าผมจะหายดี
“น้องเต็มเดินช้าๆ ไม่ต้องรีบนะคะ”
ต่อให้กลับมาถึงบ้านดึกดื่นแค่ไหนคุณแม่กับป้าทิพย์ก็จะมาคอยรอรับผมทุกวัน และเพื่อความสะดวกคุณแม่จึงจัดห้องนอนรับรองแขกตรงชั้นล่างให้ผมใช้ชั่วคราว อีกทั้งยังไม่ได้รับอนุญาตให้กลับไปอยู่หอพักจนกว่าคุณพ่อจะอนุญาต
พี่ขวัญ พี่อุ่น แม่ปอและโอบกลับอังกฤษตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว คุณแม่ถึงกับบ่นว่าหลานโอบกลับไปบ้านก็เงียบลงไปเยอะทำเอาผมกับออมถึงกับขำกันจนปวดท้อง โอบเป็นคนร่าเริง พูดเก่งถึงเก่งมาก และค่อนข้างจะมีความมั่นใจในตัวเองสูง เพราะฉะนั้นอยู่กับโอบไม่มีเหงาหรอกครับ คิดถึงโอบทีไรก็นึกขำเหตุการณ์ที่โรงพยาบาลตอนที่โอบแกล้งเทมป์ไม่หาย บทหึงเงียบของอีกฝ่ายนี่โคตรน่ากลัวอย่าบอกใครขนาดโอบที่ว่าแน่ยังแอบกระซิบถามผม ‘เขาจะฆ่ากูมั๊ย?’
“หิวมั๊ยลูก? ทานโจ๊กร้อนๆ สักหน่อยมั๊ย?”
“ผมอยากอาบน้ำมากกว่าครับคุณแม่”
รู้สึกเหนียวเนื้อเหนียวตัวเหลือเกิน ที่สำคัญแขนและขาที่เข้าเฝือกไว้ก็โคตรจะอึดอัดเลยครับ
“งั้นให้คุณพยาบาลช่วยน้องเต็มล้างเนื้อล้างตัวก่อน เดี๋ยวแม่จะไปหาอะไรให้ทานนะคะ”
พูดจบคุณแม่ก็เดินออกจากห้องไป ทิ้งให้คุณน้าพยาบาลทำหน้าที่ดูแลผมแทน ซึ่งเธอก็ทำได้ดีชนิดที่ว่าคุ้มค่าจ้างเลยทีเดียว หลังจากผมได้ล้างเนื้อล้างตัวก็รู้สึกสบายตัวขึ้น แถมยังมีโจ๊กกระดูกหมูอ่อนของคุณแม่ช่วยให้ผ่อนคลายได้เยอะ ทานข้าวทานยาเสร็จทุกคนออกไปจากห้องผมหมดแล้วผมก็เอาเลคเชอร์ของวันนี้ออกมาอ่านทบทวนต่ออีกเล็กน้อย เมื่อรู้สึกว่าร่างกายใกล้ถึงขีดจำกัดผมจึงกดกริ่งเรียกคุณพยาบาลให้ช่วยประคองเข้านอน
ผมรอจนคุณน้าพยาบาลออกจากห้องไป แล้วจึงเอื้อมหยิบไอโฟนมาถือไว้ และเมื่อเข็มนาฬิกาเลื่อนตรงเลขเดิมของทุกคืนและเมื่อเข็มนาฬิกาเลื่อนตรงเลขเดิมของทุกคืนเสียงเรียกเข้าของวีดีโอคอลก็ดังขึ้น ผมกดรับด้วยรอยยิ้ม แต่วันนี้ไม่รู้ว่าเพราะผมเหนื่อยเกินไปหรือเพราะฤทธิ์ยา ผมรู้สึกว่ามีสิ่งมีชีวิตสี่ขาตัวอ้วนตัวหนึ่งนั่งอยู่บนพื้นด้านหลังของร่างสูงที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ มันมองผมด้วยดวงตาใสแป๋วที่แสนคุ้นเคย
“สีส้มกลับมาแล้วเหรอ?”
“หืม?”
คนในหน้าจอเลิกคิ้วสูงเล็กน้อยก่อนจะมองซ้ายมองขวา จากนั้นก็มองหน้าผมนิ่งๆ ต่ออีกครู่หนึ่งก่อนจะระบายยิ้มออกมา
“สีส้มอยู่ที่นี่ตลอด.. เต็มไม่ต้องห่วงนะ สีส้มสบายดี”
ดีจัง.. ผมยิ้มแล้วหลับตาลงและเข้าสู่ห้วงนิทราด้วยความสบายใจ
.
.
.
.
ชีวิตของผมหมุนเวียนเป็นวงจรแบบนี้ต่อไปอีกเกือบเดือนก็ได้รับอิสระภาพ คุณหมอผ่าเฝือกออกแล้วเปลี่ยนเป็นพันด้วยผ้าพันแผลแบบยืดเพื่อพยุงแขนขาเวลาเคลื่อนไหวและช่วยลดอาการบวม ร่องรอยของแผลตามร่างกายก็แทบจะไม่มีให้เห็น โดยเฉพาะอาการที่คุณหมอเป็นห่วงมากที่สุดอย่างเรื่องหายใจติดขัดตอนนี้ก็หมดห่วงแล้วล่ะครับ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังห้ามเรื่องหักโหมออกกำลังกายหรือทำอะไรที่ส่งผลให้ร่างกายเหนื่อยได้ง่าย ยังไงก็ต้องฟื้นฟูกันอีกพักใหญ่ อีกทั้งต้องกายภาพบำบัดแขนขาที่หัก และหมั่นตรวจเช็คอาการตามนัดเป็นระยะจนกว่าร่างกายจะกลับสู่สภาพปกติร้อยเปอร์เซ็นต์
เนื่องจากอาการดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง เหลือเพียงแค่แขนและขาที่ยังลงน้ำหนักมากไม่ได้จึงยังคงใช้ไม้ค้ำช่วยพยุงเวลาเดิน และคุณแม่ก็เห็นว่าผมเพลียและเหนื่อยมากกับการเดินทางไปและกลับระหว่างบ้านกับมหาวิทยาลัย คุณแม่จึงช่วยเกลี้ยกล่อมคุณพ่อให้ผมกลับไปอยู่หอพักจนสำเร็จ ผมจึงได้บุรุษพยาบาลพิเศษคนใหม่มาช่วยดูแลแทน ปั่นจักรยานรับส่งทุกวัน หากวันไหนพักเที่ยงตรงกันก็มาดูแล เลิกดึกแค่ไหนก็นั่งรอไม่มีบ่น แถมยังมีบริการอีกมากมายชนิดที่ว่าไม่ต้องเสียค่าจ้างสักบาทเดียว จะมีก็แค่ผมนี่แหละที่เกือบจะเสียตัวทุกครั้ง
ร่างของผมเปลือยเปล่านั่งอยู่บนฝาชักโครก ขาข้างที่หักพาดอยู่บนหน้าตักของคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวเตี้ย มือใหญ่ใช้ฟองน้ำล้างเช็ดผิวบริเวณที่เคยเข้าเฝือกซึ่งค่อนข้างจะบอบบางเป็นพิเศษด้วยสบู่เหลวและล้างด้วยนํ้าสะอาดอย่างเบามือ
“เทมป์”
ตีมือลงบนหัวไหล่ไม่หนักไม่เบาเมื่อผมโดนแกล้งด้วยสายตาคู่คมที่ลามก เพราะเป็นผู้ชายด้วยกันจึงรู้สึกในสัญชาตญาณดิบแบบเดียวกัน คนลามกหัวเราะ
‘หึ’ ในลำคอแล้วก้มหน้าก้มตานวดฝ่าเท้าให้ผมต่อ ผมกลั้นยิ้มจนเมื่อยแก้มกับใบหูที่แดงแจ๋ จะมีใครน่ารักเท่าผู้ชายคนนี้อีกแล้วล่ะครับ ถ้าผมไม่ให้ก็ไม่เคยบังคับ ดูสิครับขนาดที่น้องชายยักษ์ชี้โด่ขนาดนั้นก็ยังทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมคิดว่าถ้าเป็นแบบนี้บ่อยๆ คงได้เสื่อมสมรรถภาพทางเพศก่อนวัยแน่นอน
ผมใช้เท้าที่มือใหญ่กำลังนวดผ่อนคลายขยับเข้าหาท่อนเนื้อร้อนแล้วออกแรงบดขยี้เบาๆ
“อื้มมมม”
ไม่ได้ยินเสียงทุ้มต่ำร้องครางแบบนี้มานาน เมื่อได้ยินอีกครั้งเลือดในร่างกายของผมก็พุ่งพล่าน ความร้อนแล่นสู่ส่วนกลางลำตัวจนเจ็บแปลบ ผมตวัดหางตาไปที่เคาท์เตอร์อ่างล้างหน้า และเนื่องจากแขนขวาและขาซ้ายยังไม่สามารถลงน้ำหนักแบบเต็มแรงได้ ร่างสูงจึงช่วยผมจัดร่างกายให้อยู่ในท่าที่ปลอดภัยที่สุด
“อืมมม”
ริมฝีปากของเราประกบกันแนบชิดด้วยความโหยหา มือใหญ่จับท่อนเนื้อของเราทั้งคู่นวดคลึง เบียด และเสียดสีกัน จังหวะที่ริมฝีปากได้รับอิสระให้หอบเอาลมหายใจเข้าปอด ผมเหลือบก้มมองส่วนกลางลำตัวที่อยู่ในกำมือใหญ่ ขนาดที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดทำให้ใบหน้าของผมร้อนผ่าว
“อ่ะ.. ท เทมป์”
ลมหายใจติดขัด ผมได้แต่ซบหน้าลงกับไหล่กว้าง ติ่งหูและผิวเนื้อตรงลำคอโดนขบด้วยฟันคมเบาๆ ไหปลาร้าก็โดนดูดดึงสร้างรอย มือใหญ่อีกข้างบีบขยี้หน้าอก เสียวจนสั่นสะท้านไปทั้งร่าง
“เต็ม”
“อ๊ะ.. อืม”
ภายในท้องบิดเกร็ง กลิ่นความเป็นชาย มัดกล้ามแข็งแรง และความเชี่ยวชาญของการปรนเปรอ ร่างสูงรู้จุดที่จะทำให้ผมเสียวและตำแหน่งที่จะทำให้ผมมีความสุข จนสมองเริ่มขาวโพลน ผมใกล้จะถึงจุดสูงสุดทั้งที่เพิ่งเริ่มได้ไม่เท่าไหร่
“พร้อมกันสิ”
อารมณ์ของผมโดนสะกัดกั้นด้วยปลายนิ้วของอีกฝ่าย แต่ก็เพียงไม่นานอารมณ์ของเราทั้งคู่ก็ถูกปรับให้อยู่ในระดับที่พุ่งทะยานสูงขึ้นและฉีดความสุขสมออกมาพร้อมกัน ผมหอบหายใจหนักหน่วงจนเจ็บแน่นไปทั้งหน้าอก ร่างสูงคงจะสังเกตเห็นความผิดปกติจึงรีบประคองร่างที่อ่อนปวกเปียกของผมไว้
“โอเคมั๊ย?”
ผมพยักหน้า ตอนนี้หน่ะโอเค แต่ถ้าต่อยกสองคงไม่รอด ใบหน้าคมระบายรอยยิ้มแล้วพรมจูบทั่วไปหน้าจนผมรู้จักจั๊กจี้
“ไว้ทบต้นทบดอกตอนเต็มหายดีทีเดียวละกัน”
พูดจบก็กอดผมไว้แน่นจนแทบจมไปกับอกแกร่ง ส่วนผมนะเหรอ.. จะทำอะไรได้นอกจากหัวเราะขำและรอวันใช้หนี้ตามระบบโฮโมเซ็กส์ชวลเท่านั้น
.
.
.
.
เวลาผ่านไปไวแป๊ปเดียวก็จะหมดเทอมที่สอง ร่างกายของผมก็กลับเข้าสู่สภาพปกติ และเราทั้งคู่ก็ยุ่งอยู่กับเรื่องเรียนเสียจนลืมเรื่องเซ็กส์ไปเสียสนิท อีกฝ่ายตั้งใจอ่านหนังสือและเร่งทำงานให้ทันส่งกับการสอบปลายภาค ส่วนผมแม้ไม่มีการสอบก็จริงแต่แค่เรียนอย่างเดียวก็แทบกระอักแล้วล่ะครับ แต่ถึงเราจะไม่ได้มีเซ็กส์กันก็ใช่ว่าความรักของเราจะลดลง
ทุกวันผมมีเรียนตั้งแต่เช้าและกว่าจะสรุปงานเสร็จก็ค่ำ แต่ไม่ว่าจะฝนตกแดดออกเทมป์ก็ยังคงเป็นเทมป์คนเดิม ต่อให้ตัวเองจะยุ่งแค่ไหนก็ไม่เคยปริปากบ่นและไม่เคยมองข้ามเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ของผม อย่างเช่น ผมเป็นคนติดน้ำหอมยี่ห้อหนึ่ง ใช้อยู่แค่ยี่ห้อเดียวและต้องฉีดทุกครั้งก่อนไปเรียน ผมรู้ว่าน้ำหอมของตัวเองใกล้จะหมดแต่ไม่มีเวลาไปซื้อใหม่สักที ผมเกือบจะลืมมันไปเสียสนิทจนกระทั่งวันหนึ่งที่หยิบน้ำหอมขึ้นมาฉีดจึงเพิ่งได้สังเกตว่ามันคือขวดใหม่ ยี่ห้อเดิม และวางอยู่ตำแหน่งเดิมทุกอย่าง
ในคืนหนึ่งที่ฝนตกหนักและเราก็อ่อนเพลียจากการเรียนด้วยกันทั้งคู่.. ผมสอดตัวเองเข้าใต้ผ้าห่มผืนเดียวกับร่างสูง สองแขนของผมโอบกอดรอบเอวสอบไว้แน่นแล้วซุกใบหน้าลงกับแผ่นหลังกว้าง
“ขอบคุณนะ”
ผมบอก และคำตอบก็คือเสียงหัวเราะเบาๆ ที่ไม่ว่าจะฟังกี่ครั้งก็รู้สึกอบอุ่นหัวใจ และหลังจากนั้นเราก็นอนเตียงเดียวกันมาโดยตลอด ส่วนเตียงของผมก็โดนตุ๊กตาแมวน้อยที่ชื่อ
‘ทีทูเดอะจี’ ยึดครองไปโดยปริยาย กอดตุ๊กตาก็ไม่อุ่นเท่ากอดตัวจริงหรอก คุณคิดเหมือนผมมั๊ยละครับ..
.
.
.
.
วันสุดท้ายที่อีกฝ่ายสอบปลายภาคเสร็จเป็นวันเดียวกับที่ผมเพิ่งกลับมาจากการออกค่าย ซึ่งคุณพ่อให้น้าปองไปรับผมกลับจากค่ายที่นครนายกแล้วตรงกลับบ้านเลย ผมจึงไม่ได้เจอกับเทมป์ ตั้งแต่ผมประสบอุบัติเหตุถ้ามองผิวเผินความสัมพันธ์ระหว่างผมกับคุณพ่อทุกอย่างก็ดูเหมือนจะปกติแต่ความจริงแล้วมันเหมือนมีกระจกบางๆ กั้นกลางเราไว้ทั้งคู่ และผมคิดว่าคนอื่นในครอบครัวก็รู้ถึงความเปลี่ยนแปลงนี้ ผมรู้ว่าเป็นเพราะอะไรและเข้าใจในเหตุผลของท่าน
“อาเต็มกลับมาแล้ว”
หลานสาวคนสวยวิ่งมารับผมถึงประตูรถ
“อาคิดว่าออมจะไปฉลองหลังสอบกับเพื่อนๆ เสียอีก”
ออมส่ายหน้าแล้วอมยิ้ม
“ออมจะกลับมาฉลองกับอาเต็มนี่แหละค่ะ เดี๋ยวเราไปต่อกันเลยนะคะ”
หืม? แปลกใจสิครับ แต่ยังไม่ทันจะได้ถามอะไรคุณแม่ก็เดินโปรยยิ้มมาแต่ไกล
“กลับมาแล้วเหรอลูก..”
“กลับมาแล้วครับ”
ผมยกมือไหว้คุณแม่ก่อนจะเข้าไปสู่อ้อมกอด
“ดูสิไปค่ายแค่สามวันแต่คล้ำลงไปเยอะเชียว”
“ออกค่ายอาสาก็แบบนี้แหละครับคุณแม่”
“เหนื่อยแย่เลยสิท่า..”
“แต่ก็สนุกดีนะครับ”
ท่านพยักหน้าตามผมด้วยรอยยิ้ม
งั้นเดี๋ยวไปทำสปากับคุณแม่และน้องออมกันดีกว่านะลูก”
“อ่อ...”
คุณแม่กับออมลากผมขึ้นรถอีกคันโดยไม่รอฟังคำตอบ ร้านสปาใช่ว่าจะไม่เคยไปครับ แต่ผมกลับรู้สึกแปลกๆ ยังไงชอบกล
ร้านสปาที่คุณแม่พาผมมาก็เป็นร้านประจำของท่าน ผมเองก็เคยมานวดสปาอโรมาผ่อนคลายกับคุณแม่ แต่รอบนี้คุณแม่จัดสปาชุดใหญ่ไฟกระพริบวิบๆ วับๆ ให้ผมทั้ง ขัด นวด อบ อะไรที่ว่าเด็ดเอาให้ครบทั้งหน้าและตัว เรียกได้ว่าผิวที่บ่มแดดจากการออกค่ายกลับมาขาวเนียนใสได้แบบเว่อร์วังอลังการภายใน 3 ชั่วโมง
กว่าจะกลับมาถึงบ้านก็มืดค่ำ เปิดประตูเข้าห้องมาในห้องนอนก็ต้องแปลกใจอีกยกกับกล่องใส่เสื้อผ้าที่ระบุแบรนด์ TJ วางอยู่บนเตียง นี่ก็ไม่ได้อยู่ในช่วงเทศกาลหรือวันเกิดของผมสักหน่อย คอลเล็คชั่นใหม่ของพี่ขวัญก็รอสรุปอีกตั้งเดือนหน้า ผมเอียงคอด้วยความสงสัยก่อนจะเดินไปหยิบการ์ดที่วางอยู่บนกล่องขึ้นมาอ่าน
‘I love you so much.. my bro’สั้นๆ ง่ายๆ รักน้องชายคนนี้มาก จากพี่ขวัญ เอาละครับ งานนี้มันต้องมีอะไรแน่ๆ และดูท่าทางว่าต่อให้ถามก็คงไม่มีใครจะตอบ ผมเปิดกล่องออกก็ถึงกับหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ กับชุดสูทสีน้ำตาลอมเทาแบบพอดีตัวของผมเป๊ะ และแน่นอนว่ามีตัวเดียวในโลก ผมแขวนชุดสูทไว้หน้าตู้เสื้อผ้า แล้วยืนกอดอกมองชุดนั้นอย่างใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่งและสุดท้ายผมก็หลุดขำออกมาอีกรอบ ผมคิดว่าผมควรจะไปอาบน้ำดีกว่าครับ
อาบน้ำเสร็จผมก็นั่งอ่านหนังสือต่อ ประมาณ 4 ทุ่ม เวลาเดิมคนเดิมก็วิดีโอคอลเข้ามา ผมยิ้มก่อนจะกดรับ
[ยิ้มหวานแบบนี้มีอะไรรึเปล่า?]
“นั่นสินะ.. มีอะไรดีนะ?”
ไม่รู้ทำไมผมถึงหุบยิ้มไม่ได้ แถมยังจะยิ้มกว้างกว่าเดิมอีก ผมลุกขึ้นจากโต๊ะหนังสือแล้วเดินมาล้มตัวนอนลงบนเตียงจากนั้นก็ดึงหมอนมากอดไว้แก้เขิน ดวงตาคู่คมหรี่ลงมองผมอยู่อย่างนั้นโดยไม่พูดอะไร สักพักก็หัวเราะออกมา
[มีเมียไอคิวเกินสองร้อยแล้วมันก็จะเป็นแบบนี้สินะ]
“ก็แกล้งโง่อยู่นี่ไง”
บางเวลาเราก็ควรจะแกล้งโง่บ้างอะไรบ้างเพื่อเพิ่มสีสันให้ชีวิต อีกฝ่ายยังคงหัวเราะ บ้าจริงๆ เลย แบบนั้นผมก็ยิ่งเขินเข้าไปใหญ่หน่ะสิ นี่ดึงผ้าห่มมาปิดหน้าจนเหลือแค่ลูกกะตาแล้วนะ
[แมร่ม.. น่ารักฉิบหาย]
“หืม? ว่าไงนะ??”
มัวแต่เขินจึงได้ยินไม่ชัด เมื่อกี้ด่าหรือว่าชมกันเนี่ย? ผมมองใบหน้าคมผ่านเครื่องมือสื่อสารอิเล็กทรอนิกส์ กระพริบตาปริบๆ 2-3 ครั้ง ทำเอาอีกฝั่งสตั๊นไปหลายวินาที
[สัส!.. จะจับฟัดให้ลุกไม่ขึ้นเลย]
“หื่น”
ผมหัวเราะ ปลายสายทำท่าหมั่นเขี้ยวแล้วบิดจมูกผม ส่วนผมก็บ้าจี้หดคอยู่จมูกหนีซะงั้น
[ไปค่ายเหนื่อยมั๊ย?]
“มาก.. แต่ก็สนุกดี”
ตอนออกค่ายเราไม่ค่อยได้คุยกันสักเท่าไหร่ จะมีแค่ส่งข้อความหากันก่อนนอนเท่านั้น จะว่าไปผมเองก็คิดถึงใบหน้าคมเข้มที่โคตรจะหล่ออยู่เหมือนกันนะเนี่ย
“สอบปลายภาคโอเครึเปล่า?”
[ก็โอเค]
ทำเป็นเชิดหน้าประมาณว่าเรื่องสอบนั้นสบายมากอยู่แล้ว น่าหมั่นไส้ใช่มั๊ยละครับ จากนั้นเราก็มองหน้ากันผ่านเครื่องมือสื่อสารแล้วเงียบกันไปครู่หนึ่ง
[เต็ม..]
“อืม”
[ออมเคยบอกว่าเรียนจบแล้วจะย้ายกลับไปอยู่อังกฤษเลยเหรอ?]
“อ่อ.. ใช่”
คำตอบของผมทำให้คนฟังทำหน้าเศร้าไปชั่วขณะ ผมเองก็ลืมบอกเรื่องนี้กับอีกฝ่าย
อย่างที่เคยบอกว่าเหตุผลที่ผมตั้งใจกลับมาเรียนที่ไทยก็เพื่ออยากจะรู้และศึกษาพื้นฐานของสัตว์ในบ้านเราเพื่อที่จะได้เป็นประโยชน์ในการทำงานตามความฝันนั่นคือช่วยงานในมูลนิธิโรงพยาบาลสัตว์ของคุณแม่ แต่เมื่อจบปริญญาตรีแล้ว ครอบครัวของผมตั้งใจจะย้ายไปอยู่ที่อังกฤษแบบถาวร ยกเว้นผมครับ ผมตั้งใจว่าจะไปต่อปริญญาโทและอาจจะยาวถึงปริญญาเอกที่โน่น และหอบเอาความรู้จากที่นั่นกลับมาพัฒนามูลนิธิได้อย่างเต็มที่ ต่อให้ผมต้องกลับมาอยู่ไทยคนเดียวก็ยังอยากจะทำตามความฝันอยู่ดี
“แต่ยังไงเต็มก็ต้องกลับมาทำงานที่มูลนิธิ”
ยิ้มให้กับดวงตาคู่คมที่ฉายแววความผิดหวัง แต่เมื่อได้ฟังคำอธิบายเพิ่มเติมจากผม เจ้าตัวก็เลิกคิ้วแล้วยิ้มร่าเหมือนเด็กได้ของถูกใจไม่มีผิด
“ดีใจขนาดนั้น?”
[สุดๆ เลยล่ะ..]
เทมป์เป็นผู้ชายที่ไม่เคยปิดบังความรู้สึก ชอบ โกรธ เกลียด หรือไม่ว่าจะอยู่ในอารมณ์ไหน เจ้าตัวก็มักจะแสดงออกและบอกให้ผมรู้เสมอ แต่ผมก็รู้ครับว่าคนเราทุกคนต้องมีบางเรื่องหรือสักเรื่องที่ไม่สามารถบอกใครได้จนกว่าจะถึงจุดๆ หนึ่งที่มันจะระเบิดออกมาเอง
นิ้วเรียวยาวจิ้มหน้าจอไอโฟนทำเป็นแกล้งสะกิดแก้ม ผมก็ยังคงบ้าจี้ยู่คอหลบอยู่หลายครั้ง จากนั้นผมจึงแกล้งทำแบบเดียวกันกลับไปบ้าง เราเล่นและก็หัวเราะขำกันเหมือนเด็กอยู่ครู่ใหญ่
[เทมป์ไม่กวนแล้วดีกว่า อยากให้เต็มพักผ่อน]
“ก็พักผ่อนอยู่นี่ไง”
นอนอยู่บนเตียงพร้อมจะหลับฝันดีแล้วล่ะครับ
[งั้นหลับตา]
“ถ้าหลับตาแล้วจะลักหลับเหรอ?”
[ไม่ชอบลักหลับ.. ชอบเล่นสด]
“ลามกฉิบหาย”
[ใครเริ่มก่อน?]
ลืมไปได้ยังไงเนี่ยว่าต่อปากต่อคำกับผู้ชายอย่างนายกองทัพไม่มีวันชนะหรอก ผมหัวเราะเบาๆ มองอีกฝ่ายนิ่งๆ อย่างยอมแพ้
“ฝันดี”
นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเป็นฝ่ายพูดคำนี้ก่อน นิ้วเรียวเกลี่ยที่หน้าจอ ถ้าอยู่ตรงหน้าฝ่ายนั้นก็คงกำลังเกลี่ยแก้มของของผมอยู่
[คิดว่าเต็มจะพูดว่า.. พรุ่งนี้เจอกันนะ.. เสียอีก]
เสียงทุ้มเอ่ยกลั้วขำออกมาเบาๆ แต่มันกลับทำให้ผมหัวเราะออกมาเสียงดัง
“ก็บอกว่าแกล้งโง่อยู่ไงเล่า”
จะโง่ทำเป็นไม่รู้ว่าพรุ่งนี้เราจะได้เจอกัน และจะโง่ทำเป็นไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง เต็มใจโง่เลยล่ะ และคนโง่อย่างผมก็เขินเสียจนแทบจะมุดตัวเป็นดักแด้อยู่ในผ้าห่มแล้วเนี่ย
ผมวางไอโฟนไว้บนหมอน และนอนยิ้มให้คนในจออยู่แบบนั้นท่ามกลางความเงียบ เรามองตากัน เรายิ้มให้กัน โดยไม่มีคำพูดใดๆ แต่กลับสุขใจอย่างน่าประหลาด จนความง่วงก็เข้ามาครอบงำและผมก็เผลอหลับไปโดยไม่รู้ตัว
.
.
.
.
.
.
.
TBC...