█ ▌รักเต็มใจ ➽ HEART IS FULL ▌█
┠ 10 ┨
“น้องเต็ม.. มีอะไรจะพูดกับพี่ขวัญและแม่ปอรึเปล่าคะ?”
นั่นเป็นประโยคคำถามที่เกิดขึ้นหลังจากผมส่ง
‘แฟน’ ขึ้นรถแท็กซี่กลับบ้านไปแล้วและคำตอบของผมก็ไม่ได้มีอะไรไปมากกว่าการยอมรับความจริง
‘ผมเป็นเกย์ครับ’ และ
‘กองทัพเป็นแฟนผมครับ’ ในตอนนั้นพี่ขวัญและแม่ปอไม่ได้ดุ ต่อว่า หรือแสดงความผิดหวังในตัวผมสักนิดเดียว พวกท่านรับฟังผมด้วยความเข้าใจ แต่ผมก็สังเกตเห็นความตึงเครียดในแววตาและน้ำเสียงของพวกท่าน แม้จะเบาบางแต่ผมก็สัมผัสได้..
จากวันนั้นจนถึงวันนี้ก็ผ่านมาหลายวันแล้ว เรื่องทั้งหมดยังไม่ถึงหูคุณพ่อคุณแม่ ทุกอย่างเป็นปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แม้กระทั่งพี่ รปภ. ที่เฝ้าประตูรั้วหน้าบ้านก็ยังคงทำงานปกติ แต่คุณรู้มั๊ยครับว่าอะไรที่ปกติเกินไปนี่แหละที่มักจะก่อให้เกิดคลื่นใต้น้ำอย่างรุนแรงแบบไม่ทันตั้งตัว
เอาล่ะ ยังไงซะผมก็ตัดสินใจไปแล้ว อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิดและผมก็เชื่อทุกปัญหาย่อมมีทางออกของมันเอง และต่อให้เราทั้งคู่ตกลงเป็นแฟนกันแล้วแต่เราก็ยังอยู่ในช่วงศึกษากันและกัน เผื่อคบๆ กันไปแล้ววันหนึ่งในอนาคตข้างหน้าเกิดมีใครคนหนึ่งคิดเปลี่ยนใจกลับไปชอบผู้หญิงขึ้นมา อีกคนที่เหลือจะได้ตั้งตัวทัน แต่ผมก็แอบหวังว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์แบบนั้นกับผม
“ทำไมไม่เห็นมีใครเรียกชื่อเล่นเทมป์เลยล่ะ? เห็นเรียกแต่กองทัพ”
ตอนนี้เรานั่งกันอยู่ในฟู้ดคอร์ทของห้างสรรพสินค้าชื่อดัง วันนี้ผมมีเรียนทฤษฎีหลังจากอาจารย์สั่งงานรัวๆ ก็เลิกคลาสเร็วกว่าทุกครั้ง ดังนั้นก่อนจะกลับบ้านผมจึงพอจะมีเวลามาเดินเล่นซื้อโน่นซื้อนี่ที่อยากได้และหาอะไรกินสักหน่อยครับ
“ก็ไม่มีชื่อเล่นไง”
“หืม?”
คิ้วของผมขมวดเข้าหากันเล็กน้อย
“เพิ่งได้ชื่อเล่นก็ตอนเจอหน้ารูมเมทวันแรกนั่นแหละ”
“ไม่ตลก”
“ก็ไม่ได้จะให้ขำ.. แค่จะบอกว่าตอนที่เต็มถามว่าชื่อ
‘ท็อป’ หรือ
‘เทมป์’ ตอนนั้นรู้สึกว่าชอบจริงๆ ไม่ว่าจะชื่อไหนก็ได้ทั้งนั้น หรือจะตั้งชื่อให้ว่าเหี้ยก็ยอมวะ”
“เหี้ย”
ด่าจริงนะครับ ข้อหาที่ทำให้ผมขายหน้าเป็นเดือนๆ มิน่าตอนที่เรียกอีกฝ่ายว่าเทมป์มีแต่คนทำหน้างง
“ครับ”
อ่าว ยังเสล่อขานรับ
“โรคจิต”
“ยอมรับ”
เออ.. ผมไม่น่าหลวมตัวไปต่อปากต่อคำกับคนบ้าเลยครับ ผมส่ายหน้าจากนั้นก็ตักเกาเหลาใส่ปากและอ่านหนังสือในมือไปพร้อมๆ กัน
ตั้งแต่เป็นตกลงเป็นแฟนกันแม้ช่วงนี้ผมจะไม่ได้กลับหอพักแต่เราก็เจอกันแทบจะทุกวัน หากพักเที่ยงตรงกันเจ้าตัวกับออมก็จะมากินมื้อเที่ยงที่คณะผม หากวันไหนผมเลิกเรียนแล้วต้องอยู่เคลียร์งานที่คณะต่อจนค่ำอีกฝ่ายก็จะมานั่งเฝ้าอยู่ห่างๆ แล้วเดินไปส่งที่สถานีรถไฟฟ้ารอจนผมเดินเข้าสถานีไปแล้วเจ้าตัวถึงจะกลับหอพัก หรือถ้าเป็นอย่างวันนี้ที่ผมเลิกเรียนเร็วอีกฝ่ายเรียนเสร็จแล้วก็จะรีบมาหาผมทันที ซึ่งผมคิดว่าชีวิตของผมในตอนนี้มันเป็นอะไรที่เรียบง่ายและมีความสุขดี ผมสามารถยิ้มในแบบที่ไม่ใช่ยิ้มเพื่อมารยาทได้บ่อยขึ้น อีกทั้งยังหัวเราะ โกรธ หรือโมโหได้ตามอารมณ์มากขึ้น สามารถแสดงความรู้สึกออกมาได้จริงๆ โดยไม่ต้องกลัวหรือเป็นห่วงภาพลักษณ์อะไรทั้งสิ้น เทมป์เป็นแฟนผู้ชายคนแรกของผม และเป็นแฟนคนแรกที่เมื่ออยู่ด้วยแล้วทำให้ผมรู้สึกสบายใจ ปลอดภัย และเป็นตัวของตัวเองอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“ชอบชื่อเทมป์จริงๆ นะ เทมป์ในภาษาอิตาลีที่แปลว่าเวลา..”
ประโยคที่เพิ่งจบไปทำให้ผมต้องละตัวอักษรแล้วมองคนที่นั่งฝั่งตรงข้าม และยังไม่ทันที่ผมจะได้อ้าปากถามว่า
‘ทำไมถึงชอบ?’ เจ้าตัวก็โชว์รูปแมวอ้วนสีส้มให้ผมดูเสียก่อน ผมจึงต้องพับเก็บคำถามที่อยู่ในใจไว้แบบนั้น
“อ๊ะ.. สีส้ม”
จะว่าไปผมก็คิดถึงสีส้มนะครับ เวลาวิดีโอคอลคุยกันเทมป์จึงมักจะให้ผมคุยกับสีส้มด้วยเสมอ และเมื่อเห็นสีส้มก็ทำให้ผมเพิ่งนึกอีกเรื่องนึกออก
“อ่อ.. เสาร์หน้าเต็มจะออกค่ายไปฉีดวัคซีนน้องหมาน้องแมวแถวบ้านซันนะ”
“ทำไมต้องบ้านซัน?”
ถามซะเสียงเข้มและหน้าดุเชียว
“ก็รู้จักแค่บ้านซัน”
ผมพูดจริงนะครับ บ้านซันอยู่ฝั่งรังสิตซึ่งครั้งล่าสุดที่ไปบ้านซันก็นานมากโข ถ้าหากมีใครพูดถึงฝั่งรังสิตผมก็จะนึกออกแค่ว่าบ้านของซันอยู่ที่นั่นก็เท่านั้นเอง นี่ก็หึงไม่เข้าเรื่อง
“ถ้าอย่างนั้นคงต้องพาไปรู้จักบ้านอีกหลังแล้วล่ะ”
“ก็พาไปดิ..”
เคยห้ามไม่ให้พาไปรึเปล่าเนี่ย? ริมฝีปากบางกระตุกยิ้มมุมปากแทบจะทันทีที่ผมพูดจบ เห็นแล้วหมั่นไส้จริงๆ ครับ ผมเลยตักลูกชิ้นยัดใส่ปากไป 2 ลูกพร้อมกันเลย.. ชิส์
.
.
.
.
อาทิตย์หน้าแม่ปอกับพี่ขวัญก็จะกลับอังกฤษแล้วล่ะครับ ส่วนเรื่องเกี่ยวกับงานคอลเลคชั่นใหม่พี่ขวัญบอกว่าจะเอาข้อมูลจากออมและโบว์กลับไปประชุมและพิจารณาอีกรอบ อ่อ ผมไม่ได้บอกทุกคนใช่มั๊ยครับว่าความจริงแล้วผมสนใจเรื่องแฟชั่นและศิลปะมาตั้งแต่เด็กผมจึงพอจะมีความรู้ด้านนี้อยู่บ้าง ทว่าสัตวแพทย์คือความฝันของผมครับ
สัตวแพทย์เรียนหนักและกิจกรรมเยอะ แต่ผมก็ไม่ได้ร่วมทุกกิจกรรมหรอกครับ ผมเลือกเฉพาะที่ตัวเองสนใจเท่านั้นซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการออกค่ายอาสาฯ เสียมากกว่า อย่างตอนนี้ที่ผมแวะมารับโบว์ที่คอนโด พวกเรากำลังจะไปค่ายอาสาฉีดวัคซีนฟรีให้น้องหมาน้องแมวในชุมชนแถวรังสิต ส่วนซันก็รออยู่ที่ค่ายแล้วครับ
“อีจีเพื่อนรัก แกจะไม่อัพเดทสถานะความรักให้เพื่อนฟังหน่อยเหรอ?”
ไม่เคยคิดฝันว่าผมจะได้ยินคำถามแบบนี้จากปากผู้หยั่งรู้ฟ้าดินอย่างโบว์ ผมเชื่อว่าผู้หญิงแบบโบว์ไม่ได้มีคนเดียวในโลกแต่ผู้หญิงทุกคนที่ขึ้นชื่อว่า
‘สาววาย’ น่าจะมีความสามารถพิเศษด้านนี้คล้ายๆ กันทั้งหมด เพียงแต่โบว์เป็นเพื่อนสนิทของผมเรารู้นิสัยกันเป็นอย่างดี ที่สำคัญคือโบว์ไม่ใช่เพื่อนประเภทที่พูดให้ร้ายเพื่อนและไม่มีการเอาเพื่อนไปนินทาลับหลัง ดังนั้นการพูดตรงๆ แบบนี้ผมถือว่าเป็นความจริงใจอย่างหนึ่งครับ
“ทำหน้าแบบนั้นหมายความว่าไง?”
“ก็แค่แปลกใจเพราะปกติเห็นรู้ทุกเรื่อง”
“ด่าว่าฉันชอบเสือกเรื่องแกยังเจ็บน้อยกว่านะอีจี”
เบะปากคว่ำ ซะจนผมหลุดขำเลยล่ะครับ
“ไม่ต้องแถด้วยการหัวเราะ”
“ไม่ได้แถ..”
“งั้นว่ามาสิ”
“ก็ดี”
ความรู้สึกของผมตอนนี้มันดีจริงๆ นะครับ มันไม่ได้แย่อะไรเลยสักนิด
“แน่ละสิน้องกองทัพของฉันดีจะตาย”
อ่าว.. ตกลงนี่โบว์เป็นเพื่อนใครกันแน่?? แล้วดูสิครับมีเชิดหน้าภูมิอกภูมิใจซะด้วยยังกับเป็นคนส่งนางงามเข้าประกวดแล้วนางงามของตัวเองได้ตำแหน่งมาเชยชมสมใจ
“นี่ตกลงเพื่อนใครกันแน่?”
“เพื่อนแกไง แต่กูเมนเมะ”
อะไรเมะ??? งงสิครับ ตกลงนี่เราคุยเรื่องเดียวกันอยู่รึเปล่า? ผมมองหน้าโบว์แต่สุดท้ายก็ได้แต่หัวเราะกับท่าทางกรุ้มกริ่มของโบว์ แล้วหลังจากนั้นหัวข้อสนทนาก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ถ้าหากคุณได้คุยกับโบว์คุณจะรู้ว่าบทสนทนาที่ไม่มีวันจบมันเป็นยังไง
.
.
.
.
กิจกรรมที่พวกเรามาในวันนี้ไม่ได้มีแค่ฉีดวัคซีนโรคพิษสุนัขบ้าให้น้องหมาน้องแมวที่มีเจ้าของอย่างเดียวนะครับ แต่ยังรวมไปถึงน้องหมาน้องแมวจรจัดที่อยู่ในชุมชนและยังมีบริการทำหมันให้น้องๆ ฟรีด้วย แต่การผ่าตัดทำหมันเป็นหน้าที่ของรุ่นพี่ปี 6 และอาจารย์หมอ ระดับนักศึกษาปี 3 อย่างพวกผมก็ทำแค่ฉีดวัคซีนไปก่อน นอกจากนี้ยังมีการตรวจโรคพื้นฐานในกรณีสัตว์เจ็บป่วย ซึ่งหากสัตวแพทย์เห็นว่าสัตว์จะต้องเข้ารับการรักษาเพิ่มเติมก็จะแนะนำให้ไปรักษาต่อที่คลีนิครักษาสัตว์ต่อไปครับ
คนที่นำสัตว์เลี้ยงมาใช้บริการมีเยอะมาก ส่วนใหญ่ก็มาเข้าคิวรอกันตั้งแต่เช้า ขนาดว่าแทบจะขนสัตวแพทย์ตั้งแต่ปี 3 ถึง 6 มาเกือบทั้งคณะ แถมยังมีทีมสัตวแพทย์จากมูลนิธิโรงพยาบาลสัตว์อีกหลายสิบท่านก็แทบจะให้บริการไม่ทัน อาจจะเพราะก่อนหน้านี้จะมีการประชาสัมพันธ์ให้ชาวบ้านในชุมชนไว้ล่วงหน้านานเป็นเดือน ซึ่งทางคณะสัตวแพทย์เองก็มีการประชุมเตรียมความพร้อมก่อนให้บริการเหมือนกัน ทั้งนี้เมื่อถึงวันจริงจะได้เกิดข้อผิดพลาดน้อยที่สุด คณะสัตวแพทย์ของเราจัดกิจกรรมแบบนี้เวียนไปเกือบทุกชุมชนโดยมีผู้สนับสนุนโครงการดีๆ จากหลายหน่วยงาน และหนึ่งในนั้นก็คือมูลนิธิโรงพยาบาลสัตว์ของคุณหญิงหยด ชื่อคุ้นๆ มั๊ยละครับ เพราะฉะนั้นไม่ต้องแปลกใจหรอกนะหากเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิรวมไปถึงสัตวแพทย์บางท่านจะเรียกผมว่า
‘คุณเต็ม’“ขอบคุณมากนะครับคุณเต็ม”
“เหนื่อยหน่อยนะคะคุณเต็ม”
ประโยคเหล่านี้อาจจะทำให้มีบางคนไม่พอใจ ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องผิดปกติอะไร คนเรามีคนรักก็ต้องมีคนเกลียด มันเป็นสัจธรรมของโลก ผมก็แค่ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดเท่านั้นเอง
“เฮ้อออ”
คุณนายโบรัมถอนหายใจอย่างโล่งอกหลังจากผู้ใช้บริการคนสุดท้ายอุ้มน้องหมากลับไปด้วยรอยยิ้ม โบว์หันมามองหน้าผมกับซันและทำท่าอ้าปากเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ โบว์ฉีกยิ้มกว้างพร้อมกับส่งสายตาเป็นกระกายวิบวับจนผมกับซันแอบขนลุก
“ดิฉันขอโทษด้วยนะเพื่อนรัก ดิฉันต้องกลับแล้วล่ะ พอดีหลัวมารับ”
คนพูดยกมือป้องปากหัวเราะคิกคัก แล้วก็เดินผ่านหน้าผมกับซันไปด้านหลังของเต็นท์ เมื่อหันไปมองก็ถึงบางอ้อครับ
สองแขนขาวอวบของเพื่อนสาวคล้องเข้ากับแขนเรียวของรุ่นน้องต่างคณะ ใบหน้าหล่อเหลาคมเข้ม รูปร่างสูงสมส่วน แม้จะแต่งตัวธรรมดาแค่เสื้อยืดสีหม่นกับกางเกงยีนส์สีเข้มและรองเท้าผ้าใบหนึ่งคู่ แต่ก็ดูดีซะจนทั้งหนุ่มทั้งสาวน้อยใหญ่ต้องมองจนเหลียวหลัง ยกเว้นผมกับซันครับที่ได้แต่มองหน้ากันแล้วก็หัวเราะ
“หลัวจ๋า มารอนานรึยังจ๊ะ?”
เพื่อนสาวบีบเสียงและเล่นหูเล่นตาได้ตลกซะจนเจ้าตัวยังขำตัวเอง
“ไม่นานหรอก แต่จะให้รอนานกว่านี้ก็ยังได้”
ตอบโบว์แต่สายตานี่มองมาที่ผมแบบเปิดเผยมาก ยังไงก็ช่วยเกรงใจผู้คนในคณะและทีมงานของผมบ้างนะครับ อาจารย์หมอก็อยู่แถวนี้ด้วย
“ไปรอที่รถก่อน เดี๋ยวเก็บของเสร็จจะตามไป”
“รับทราบครับ”
โบว์ปล่อยแขนที่ควงแล้วอุทานออกมาเบาๆ ว่า
‘อุ๊ย เฉียบ’ จนเมื่อแผ่นหลังกว้างเดินกลับไปแล้ว เพื่อนสาวจึงหันมามองผมอย่างจับผิด
“ความเมียมึงแน่นมาก”
“อะไรนะ?”
คนที่ถามย้ำว่าโบว์พูดอะไรออกมาไม่ใช่ผมครับ แต่เป็นซัน ผมล่ะอยากจะขอบคุณซันที่ถามแทนผมจริงๆ
“ความเมียไงคะเสี่ยซัน.. อีจีมันมีความเมียมาก”
“อ่อ”
ซันพยักหน้าเหมือนกำลังพยายามจะเข้าใจในสิ่งที่โบว์อธิบาย แต่ผมรู้ครับว่าซันไม่มีวันเข้าใจได้แบบถ่องแท้เหมือนผมนี่แหละ
“รีบเก็บของกันเถอะ อ่อ โบว์จะไปช้อปปิ้งต่อใช่มั๊ย?”
“ก็แล้วแต่เสี่ยซันนะคะ”
เสี่ยซันหัวเราะแล้วส่ายหน้า คืนนี้โบว์จะนอนค้างบ้านซันครับ อย่างที่เคยบอกคู่นี้เขารู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก เรียนและโตมาด้วยกัน ครอบครัวก็สนิทกัน ส่วนผมนี่เพิ่งมาสนิทกับโบว์ตอนเรียนมหาลัย แต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับเรื่องที่โบว์แอบบอกผมว่าซันกำลังคุยกับผู้หญิงคนหนึ่งอยู่.. โบว์เลยจะ(อาสา?)สืบดูว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร ความจริงแล้วซันเคยมีแฟนนะครับ แฟนของซันเป็นลูกครึ่งไทยเกาหลีน่ารักมากเลยทีเดียวรู้จักกันตอนไปเรียนซัมเมอร์ที่อังกฤษ คบกันอยู่นานหลายปีแต่หลังจากนั้นผมเองก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นซันถึงไม่เคยพูดถึงเธอคนนั้นอีกเลย
กว่าจะเก็บของและปลีกตัวออกมาได้จริงๆ ตะวันก็ใกล้จะโพล้เพล้แล้วล่ะครับ ผม ซัน โบว์ขอแยกจากทุกคนเดินออกมาหน้าชุมชนซึ่งเป็นถนนใหญ่ คนขับรถบ้านเสี่ยซันมาจอดรอรับอยู่แล้ว ส่วนคนขับรถของผมก็เปิดประตูรถรออยู่แล้วเหมือนกัน
“ขอดูใบขับขี่”
คนฟังทำหน้างง แต่ก็ยอมหยิบใบขับขี่ในกระเป๋าส่งให้ผมดู ไม่ต้องงงนะครับ ที่ผมทำแบบนี้ก็เพราะผมรู้มาว่าอีกฝ่ายเพิ่งจะมีใบขับขี่ชั่วคราวเมื่อเร็วๆ นี้เอง เมื่อผมดูรายละเอียดวันเดือนปีในใบขับขี่แล้วก็จริงตามนั้นครับ และดูก็รู้ว่าที่ผ่านมาคงจะไม่ค่อยได้จับพวงมาลัยสักเท่าไหร่ แล้วจะให้ผมฝากชีวิตตัวเองไว้ได้ยังไงล่ะครับ
“กุญแจรถ”
ส่งใบขับขี่กลับคืนเจ้าของก่อนจะแบมือขอกุญแจรถมาขับเอง เจ้าของรถทำหน้าไม่เข้าใจอ้าปากเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างแต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูด และยอมวางกุญแจลงบนฝ่ามือของผมอย่างว่าง่าย
อ่อ ผมเองก็ไม่ค่อยได้ขับรถหรอกครับ ก็แค่คิดว่ามีประสบการณ์มานานกว่าอีกฝ่ายเท่านั้นเอง แต่เมื่อได้นั่งหลังพวงมาลัยแล้วจึงเพิ่งนึกได้ว่าประสบการณ์การขับรถของผมที่ผ่านมาเกิดขึ้นที่อังกฤษ ตั้งแต่กลับมาอยู่ไทยผมก็มีน้าปองคอยเป็นสารถีให้ตลอดเวลา ที่สำคัญกว่านั้นก็คือผมไม่คุ้นชินถนนหนทางสักนิด เจ้าของพื้นที่นั่งบอกทางผมไปก็ลุ้นไปจนเหงื่อแตกพลั่ก แหม.. ยังไงซะผมก็สามารถจอดลงหน้าบ้านหลังใหญ่ได้โดยสวัสดิภาพทั้งรถและคนนั่นแหละ
“คราวหน้าห้ามจับกุญแจรถอีกเด็ดขาด”
และนี่คือประโยคที่ผมได้รับหลังจากดับเครื่องยนต์แล้วครับ ส่วนผมนะเหรอก็ได้แต่ยิ้มเจื่อนยอมรับผิดเท่านั้นเอง
บ้านเจ้าสัวยางเป็นบ้านทรงไทยหลังใหญ่ตั้งอยู่ท่ามกลางสวนร่มรื่นที่มีเนื้อที่ไม่ต่ำกว่า 5 ไร่ ไม้ดอกไม้ประดับก็ละลานตาไปหมด ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อครับว่านี่คือบ้านของชาวไทยเชื้อสายจีนที่มีต้นตระกูลเป็นชาวจีนโพ้นทะเลของแท้เลยทีเดียว
“บ้านสวยเนอะ”
“บ้านผัวก็เหมือนบ้านเมียนั่นแหละ”
พูดจาแบบนี้ขอตวัดหางตามองสักทีเถอะครับ แต่อย่างที่บอกว่าคนอย่างนายกองทัพหน้าหนายิ่งกว่าซีเมนต์ซะอีก
เดินตามเจ้าของบ้านที่ดูจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษ ก่อนที่จะขึ้นบันไดหน้าบ้านผมหยุดสูดกลิ่นหอมของดอกไม้ที่ลอยมาตามลม
“กลิ่นหอมจากดอกอะไร?”
คนถูกถามชะงักฝีเท้าลง กวาดสายตาไปรอบๆ ก่อนจะหันหลังกลับแล้วเดินจูงมือผมลงไปที่สวนจากนั้นก็ชี้ไปที่ต้นไม้ต่างๆ
“ดอกจำปา จำปี จำปูน มะลิ พุดซ้อน แก้ว สายหยุด พุดน้ำบุศย์ มณฑา กรรณิการ์ แล้วก็.. เยอะแยะไปหมดเลยไว้วันหลังมีเวลาเยอะกว่านี้เทมป์จะพาเต็มเดินดูรอบบ้านละกัน”
พูดจบก็เดินไปเด็ดดอกไม้สีเหลืองดอกหนึ่งมาวางไว้บนมือของผม ลักษณะกลีบบิดงอ โคนกลีบดอกมีรอยคอดใกล้กับฐานดอก กลิ่นหอมของดอกไม้แตะจมูกเชียวครับ
“ดอกอะไร?”
“สายหยุดดอกย้อยห้อยพวงยาน.. กลิ่นซาบซ่านนาสาดอกน่าเชย..”
แค่ภาษาไทยธรรมดาบางคำผมยังไม่ค่อยจะเข้าใจ แล้วนี่มาท่องโคลงกลอนให้ฟังอีกก็อย่าถามเลยนะครับว่าผมจะเข้าใจมั๊ย ใบหน้าคมยกยิ้มมุมปากแล้วก็โน้มลงมาฝังจมูกบนแก้มของผมฟอดใหญ่ชนิดที่ไม่ทันได้ตั้งตัวเลยครับ
“หอมจริงๆ”
ไม่ต้องมาทำหน้าโคตรฟิน แม้จะเขินสักแค่ไหนแต่ผมก็ไม่ดิ้นตามหรอกนะ
“วันนี้จะได้ขึ้นบ้านมั๊ย?”
ร่างสูงหัวเราะเบาๆ แต่ก็ยอมกุมมือผมพาขึ้นบ้านไปเสียที
บ้านเรือนไทยไม่ว่าจะอยู่ตรงมุมไหนก็ปลอดโปร่งโดยไม่ต้องอาศัยแอร์คอนดิชันเนอร์ แสงอาทิตย์โพล้เพล้ทำให้เงาไม้ที่ตกกระทบตรงนอกชานดูมีเสน่ห์ชวนให้รู้สึกสบายใจไปด้วย
“คุณกองทัพกลับมาแล้วเหรอคะ?”
เด็กสาวร่างอวบหน้าหมวยอายุไม่น่าจะเกิน 15 ปี เดินยิ้มตาหยีมาหาเจ้านาย
“คุณปู่กับคุณย่าล่ะหลิน?”
“เจ้าสัวอยู่หลังบ้าน.. ส่วนคุณนายอยู่ในครัวค่ะ เดี๋ยวหลินไปตามท่านให้นะคะ”
ปากบอกว่าจะไปตามคุณนายแต่เด็กสาวกลับเดินเข้ามาหาเจ้านายที่ยืนอยู่ตรงหน้า ดวงตาหยีเล็กชำเลืองมาทางผม พวงแก้มขึ้นสีแดงสดใสน่ารักจนทำให้ผมคิดถึงโฆษณาซีอิ๊วยี่ห้อหนึ่ง
“หล่อจังเลยค่ะ.. เพื่อนคุณกองทัพเหรอคะ?”
เป็นการกระซิบที่ต่อให้ผมไม่ต้องเงี่ยหูก็ได้ยินทั้งหมดครับ คนถูกถามหันมามองหน้าผมพร้อมยกยิ้มมุมปาก
“เมีย”
คนฟังอ้าปากค้างร้อง
‘ห๊ะ!’ เสียงดัง ส่วนผมก็ได้แต่แกล้งทำเป็นไม่ได้ยินแล้วยกมือนวดขมับตัวเอง
“ไปยกน้ำกับขนมมาให้คุณเต็มได้แล้ว”
“ค.. ค่ะ”
ตอบรับแล้วรีบทำตามคำสั่ง
“อ่อ.. หลิน”
“ขา?”
“เดี๋ยวฉันไปเอาเองดีกว่า”
เปลี่ยนใจพร้อมหันมากำชับให้ผมรออยู่ตรงนี้ ผมก็ได้แต่พยักหน้ารับครับแล้วนั่งเอนหลังพิงพนักเก้าอี้พลางหันมองไปรอบๆ ผมเคยเห็นบ้านเรือนไทยโบราณแบบนี้แค่ในทีวีหรือไม่ก็นิตยสาร ไม่คิดเลยว่าของจริงจะสวยและน่าอยู่กว่าที่คิดไว้เยอะ เครื่องเรือนเฟอร์นิเจอร์แทบจะทุกอย่างตกแต่งด้วยไม้ฝังมุกเพื่อให้เข้ากับตัวบ้าน ดูเรียบง่ายแต่แฝงไปด้วยความหรูหรา ผมลุกขึ้นเดินไปตรงตู้หนังสือที่แทบทุกเล่มเป็นภาษาจีน สังเกตจากสีของเนื้อกระดาษก็พอจะเดาได้ว่าผ่านกาลเวลามานานแค่ไหน
เลือกหยิบมา 1 เล่ม หน้าปกเป็นสีดำตัวอักษรจีนเป็นสีขาว ผมอ่านไม่ออกหรอกครับ แต่แค่อยากจะเปิดดูว่าด้านในเป็นยังไง แต่พอเปิดออกเท่านั้นแหละกระดาษใบหนึ่งก็หล่นลงพื้น ผมจึงก้มลงเก็บมันขึ้นมา
“คุณย่าท่านกำลังวุ่นทำจุ๋ยก้วยให้เต็มกินอยู่หน่ะ เลยออกมาช้าหน่อย คุณย่าท่านทำอาหารจีนอร่อยนะ คุณย่าบอกว่าจะฝากไปให้ท่านกับคุณหญิงด้วย”
เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นพร้อมกับที่ผมได้ลุกขึ้นยืนเต็มตัวพอดี ร่างสูงวางถาดเครื่องดื่มและผลไม้ลงบนโต๊ะ ผมจึงเดินไปนั่งลงข้างๆ อีกฝ่าย
“น้ำตะไคร้ใบเตย หวานน้อย”
ยกแก้วเครื่องดื่มเย็นฉ่ำขึ้นดื่ม กลิ่นหอมของใบเตยกลบกลิ่นของตะไคร้ได้ดีและความหวานก็อยู่ในระดับที่กำลังดีเลยครับ แบบที่ผมชอบเลย
“เดี๋ยวอยู่ทานข้าวเย็นกันก่อนนะ วันนี้คุณย่าลงครัวเอง”
ผมพยักหน้ารับ ผมบอกที่บ้านไว้แล้วครับว่าจะมาบ้านหลานชายเจ้าสัวยาง คุณพ่อคุณแม่ท่านก็ยินดี เพราะเห็นว่าผมกับหลานชายคนเล็กของเจ้าสัวยางเป็นเพื่อนร่วมห้องหอพักด้วยกัน หากจะสนิทกันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร อืม.. ถูกต้องแล้วล่ะครับ จนถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่ได้บอกความจริงกับพวกท่าน แต่ผมตั้งใจว่าจะบอกให้ท่านรู้เร็วๆ นี้แหละครับ
“อ่อ.. เทมป์ คนในรูปนี่ใครเหรอ?”
เพิ่งนึกออกครับว่ามีรูปถ่ายที่หล่นจากหนังสือเมื่อครู่อยู่ในมือ มันเป็นภาพของหญิงสาวคนหนึ่งหน้าตาน่ารักสะสวย ผมจึงส่งให้เทมป์ดู ดวงตาคู่คมแค่เหลือบมอง
“ภรรยาคนแรกของคุณพ่อหน่ะ.. ชื่อคุณรดา”
“ภรรยาคนแรก?”
“คุณรดาเธอหายสาบสูญไปนานเป็นยี่สิบปีแล้วล่ะ”
“หายสาบสูญ?”
ทำไมมีแต่ผมที่ดูเหมือนจะตื่นเต้น แตกต่างจากคนเล่าที่ไม่ได้แสดงทีท่าอะไร น้ำเสียงที่พูดก็เรียบๆ ไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆ ทั้งสิ้น
“เทมป์ก็ไม่ค่อยรู้อะไรมากหรอก ตอนนั้นเทมป์ยังไม่เกิดเลย”
เจ้าตัวใช้นิ้วแตะปลายจมูกของผมแล้วยิ้ม
“รู้อยู่เรื่องหนึ่ง คุณปู่คุณย่าเอ็นดูคุณรดามาก และคุณพ่อก็รักเธอมากด้วย”
ภายใต้รอยยิ้มดวงตาคู่คมดูหม่นแสงลงเล็กน้อย ผมพอจะได้ยินมาบ้างเรื่องที่คุณนายวิริยาไม่ลงรอยกับพ่อแม่สามี แต่ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าสาเหตุแห่งความขัดแย้งนั้นจะเกี่ยวกับคุณรดาด้วยรึเปล่า เอาเป็นว่าผมไม่อยากรู้เรื่องนี้แล้วล่ะครับ
“แต่มันก็นานแล้วเนอะ”
ตัดบทด้วยการสอดรูปไว้ในหนังสือแล้วลุกขึ้นเอาไปเก็บไว้ในตู้ที่เดิม จากนั้นก็เดินไปหยุดดูวิวทิวทัศน์ของสวนสวยตรงหน้าต่าง
“ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ไม่มีใครลืม ‘ความรัก’ ของตัวเองไปได้หรอก.. คุณพ่อเองก็คงไม่ได้อยากจะลืมเหมือนกัน”
ประโยคที่อีกฝ่ายเพิ่งพูดจบไปทำให้ผมเลิกสนใจทุกสิ่ง แม้ริมฝีปากบางจะวาดรอยยิ้มแต่ในแววตานั้นไม่ได้ยิ้มตามไปด้วย ผมจึงเดินกลับมานั่งที่เดิม
“หลังจากที่คุณรดาหายสาบสูญไปคุณพ่อก็ล้มป่วย ท่านต้องบำบัดจิตและรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลเป็นปี และผลจากการถูกกระทบกระเทือนทางจิตใจอย่างรุนแรงทำให้ความทรงจำในช่วงชีวิตหนึ่งของท่านก็หายไป”
เอ๋?.. ผมเอียงคอมองคนตรงหน้า
“ท่านจำคุณรดาไม่ได้แล้วล่ะ”
คำถามหนึ่งเกิดขึ้นในหัวของผม
‘ต้องรักมากแค่ไหนกันนะถึงได้กระทบกระเทือนจิตใจจนถึงขั้นทำให้ความทรงจำหายไปขนาดนั้น’ ผมคิดว่ามันมีอยู่แค่ในนิยายซะอีก
“แหน่ะ.. ทำหน้าแบบนั้นหมายความว่ายังไง? อย่าให้เทมป์รู้นะว่าเต็มยังลืมแฟนสาวไม่ได้”
เออ กำลังอยู่ในฟีลลิ่งโศกนาฏกรรมดราม่าอยู่เลย ก็ยังอุตส่าห์โยงมาเรื่องไร้สาระได้ คิดผิดจริงๆ ครับที่หยิบรูปคุณรดามาดู สุดท้ายก็วกกลับเข้าหาตัวจนได้ ผมส่ายหน้าให้ผู้ชายขี้หึงพร้อมกับยกแก้วน้ำตะไคร้ใบเตยขึ้นดื่มอีกรอบ จากนั้นก็วางแก้วยักคิ้วให้อีกฝ่าย
“ยังไม่ได้หลังเลยแล้วจะให้ลืมหน้าได้ยังไง”
คนฟังอ้าปากค้างไปเลยครับ ผมยกขาขึ้นนั่งไขว่ห้าง วาดรอยยิ้มบนใบหน้า แล้วเอียงคอมองหน้าคู่สนทนา
“หรือไม่อยากได้?”
ดวงตาคู่คมหรี่ลงเล็กน้อยก่อนจะส่งสายตากรุ้มกริ่มให้ผม
“อยาก.. มาก”
“หื่น”
“เรื่องนี้เราคงศีลเสมอกันละมั้ง”
ผมหัวเราะเบาๆ ไม่เถียงครับ เหนื่อยจะเถียงและที่อีกฝ่ายพูดมาก็มีส่วนถูกเหมือนกัน..
.
.
.
.
.
.
TBC...
แหม.. นะ ขออมยิ้มแล้วเหลือบตามองคนศีลเสมอกันนิดนึงนะคะ
+ 1 เป็ด แทนคำขอบคุณและแทนหัวใจให้ทุกความคิดเห็นเหมือนเดิมนะคะ