ตอนที่ 26 (ตอนจบ)
ะ
...กลับมายืนที่เดิม.....คนเดียว .... ผมลางานสามวัน จุดหมายปลายทางคือบ้านต้นไผ่ คนที่ผมรักสองคนยังอยู่บนนั้นรอผมอยู่บนนั้น ผม ในชุดกางเกงยีนสีดำเสื้อเชิ๊ตคอปกสีดำ ลงเครื่องที่สนามบินเชียงราย เช่ารถ ขับออกไปยังจุดกหมายปลายทาง โดยไม่ได้แจ้งใครแม้แต่อารุจน์เอง ผมเลือกเส้นทางที่ไปบ้านวังถ้ำ เพราะเป็นถนนลาดยางไปครึ่งทาง แต่ระหว่างรอยต่อบ้านวังถ้ำขึ้นไปบ้านต้นไผ่นั้น ลูกรังเหมือนเดิมและชันกว่าเส้นที่ผมคุ้นเคยประจำ แต่ในใจผมไม่คิดอะไรทั้งนั้น เร่งให้ถึงจุดหมายปลายทางโดยเร็ว
เป็นเวลาสี่โมงเย็น ผมจอดรถทิ้งไว้ที่ โรงเรียนบริเวณสนามตะกร้อ ที่ที่ผมเคยมาออกค่ายกัน ผมสอบถามเด็กแถวนั้นถึงงานของตัวเล็ก และผมก็เดินขึ้นไป ไม่ลืมที่จะสวมแว่นตาดำ เดินเข้าไปปะปนอยู่ในระหว่างแถวชาวบ้านที่มาร่วมงาน เป็นช่วงที่อารุจน์และอาแปะและญาติฝ่ายพ่อและแม่ช่วยกันแบกโลงตั้งแถวเดินพีธี ไปยังสถานที่ที่เสียศพ ผมนึกในใจว่าคงเป็นที่เดียวกับไอ้แทนแน่ๆ
....ทัช เจ้าตัวเล็กของพี่ พี่มาหาแล้วนะครับ พี่อยู่ตรงนี้นะ เห็นพี่ไหม ผมน้ำตาไหลเป็นทาง เดินปะปนไปกับแถวญาติๆ ไม่สนใจเสียงปี่เสียงกลองประจำงาน เป็นอย่างที่ผมนึกไว้ เป็นสถานที่ที่เดียวกับที่เคยมางานไอ้แทน แต่อยู่คนละฝั่งไอ้แทนอยู่ฝั่งตะวันออก ทัช อยู่ทิศเหนือ ผมมองเห็นบุคคลที่หน้าตาคุ้นๆ ไอ้ นพและไอ้ต๋อง เพื่อนรักผมนั่นเอง ผมพยายามเดินแทรกไปถึงตัวและสะกิดให้เขาถอยห้างออกมาจากแถว มันทำหน้างงๆ แต่พอผมถอดแว่นออก มันก็เกือบจะร้องอุทานออกมา ดีที่ผมเอามืออุดปากมันไว้ทัน
“ขอร้อง ไอ้นพ อย่าเสียงดังได้ไหม กูมาไม่ได้บอกใครเลย กูเกรงว่าถ้ามีใครรู้ กูจะอยู่ไม่ได้ ขอร้องเถอะนะอย่าบอกใคร และกูขอยืนกับกลุ่มมึงนะ”
ผมพูดยาวๆและรวบรวมคำและประโยคให้สั้นที่สุด ไอ้นพกับไอ้ต๋องมองหน้าผม พยักหน้าให้ และตบไหล่ผมเบาๆ
“กูเข้าใจ ป่ะ ไปรวมกับกลุ่มเพื่อนกู” ผมเดินไปตามที่ไอ้นพบอก และรวมอยู่กับกลุ่มของมันโดยที่ผมไม่ถอดแว่นตาดำออก กลมกลืนไปกับกลุ่มซึ่งมีทั้งเพื่อนและญาติของมันที่ผมไม่รู้จักใครเลย แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมสนใจ
ช่วงที่เปิดฝาโลงให้เพื่อนๆและญาติมาดูเพื่อร่ำลาเป็นครั้งสุดท้าย ผมสะกิดให้ไอ้นพกับไอ้ต๋องพาไปเป็นกลุ่มกับเพื่อนของมัน ครั้งนี้แตกต่างจากงานไอ้แทน ผมพยายามก้าวเดินให้ไว เพื่อไม่เป็นจุดสนใจของคนอื่น เมื่อไปถึง ก่อนที่ผมจะก้าวไปถึงแท่นที่วางโลง ผมสะกิดไอ้เนอีกครั้ง
“ไอ้นพ ไอ้ต๋อง มึงอยู่ข้างๆกูก่อนได้ไหม อยู่หลังกูก็ได้ อย่าให้คนอื่นเห็นว่ากูกำลังทำอะไรนะ”
“อืม กูจะช่วยมึงเต็มที่นะ ไอ้นนท์ ไปเถอะ น้องมันรอมึงอยู่” มันพยักหน้าให้ผม เมื่อเราเข้าใจกันแล้ว ผมก้าวขายาวๆไปถึงหน้าโลงของทัช
น้ำตากลั้นไว้ไม่ได้ เหมือนครั้งที่ผมเดินมาส่งไอ้แทน ครั้งนี้ต่างออกไป ด้วยเพราะเป็นคนที่ผมรักมากที่สุด ทัช...ในชุดชนเผ่าเต็มยศ ใบหน้าด้านซ้ายมีร่องรอยจากการหกล้มบนพื้นถนน ผมรู้สึกโลกทั้งโลกหยุดหมุน กลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ได้ รู้สึกเจ็บปวดมากเหลือเกิน จนแทบจะหายใจไม่ออก ผมเอื้อมมือลูบหัวเขา เอาฝ่ามือแนบกับแก้มข้างที่เป็นแผลถลอกจากอุบัติเหตุ
...เจ็บมากไหม เจ้าตัวเล็ก พี่อยู่นี่แล้วนะ พี่มาแล้ว ทำไมเราถึงได้ดื้อดึงนัก พี่บอกให้พักผ่อนก่อนไง พี่ไม่ได้หนีไปไหนเลย พี่ยังรอเราเสมอ ไม่ต้องรีบร้อนแบบนี้ก็ได้ พี่เสียใจมากนะ เสียใจมากจริงๆ ถ้าพี่เจ็บแทนเราได้พี่จะยอมทุกอย่าง ผมกุมมือเขาไว้ ก้มลงจูบหน้าผากเขาและจูบที่ริมฝีปากหนึ่งครั้ง ....พักผ่อนให้สบายนะ พี่สัญญา พี่จะไม่มีวันลืมทัชเด็ดขาด พี่จะยังรอเราอยู่เสมอนะ พี่จะรักตัวเล็กของพี่ตลอดไป ...
“ไอ้นนท์ระวัง”
ผมได้ยินเสียงไอ้ต๋องกับไอนพูดเกือบพร้อมกัน แต่ยังไม่ทันจะได้ระวังตัว ก็พอดีกับที่เจ้าตัวเล็กอีกคนกระชากผมออกมาและต่อยตรงข้างแก้มผมอย่างจัง จนแว่นตากระเด็น ผมมึนงงไปชั่วครู่ เกิดเหตุการณ์ชุลมุนเล็กน้อย ญาติๆมาห้าม อารุจน์เมื่อเห็นว่าเป็นผม แกเข้ามาห้ามและกันผมออก ไอ้เนก็เข้ามาบังผมไว้
“นนท์จะกลับมาทำไม ลูกแม่สองคนก็จากไปหมดแล้ว สมใจแล้วใช่ไหม” แม่หมวงตบหน้าผมอย่างแรง คนอื่นๆที่ไม่รู้เรื่องต่างก็งงไปตามๆกัน
“ผมขอโทษครับ ผมยอมรับผิดทุกอย่าง จะลงโทษอะไรผมก็ได้ครับ” ผมยกมือไหว้พ่อและแม่ของคนสองคนที่ผมรัก แต่เป็นไอ้นพที่พยุงผมไว้ไม่ให้เซจนล้ม
“ทุกอย่างเป็นเพราะผมเอง ที่ทำให้น้องต้องจากไป ผมผิดเอง”
“ไม่ใช่นนท์หรอกลูก พ่อรู้ดี อย่าโทษตัวเองเลย น้องมันไม่เชื่อฟังเอง พ่อเชื่อว่านนท์ก็ไม่ได้ยุยงน้องอย่างที่นนท์พูดใช่ไหมลูก” อารุจน์โอบกอดผม ตบหลังและปลอบใจ อาเหมยก็นิ่งเงียบ
“ผมบอกให้เขานอนพักที่บ้านเพื่อนก่อน ไม่คิดเลยจะเป็นเช่นนี้” ผมพูดเสียงเบาพร้อมเสียงสะอื้นที่แทบจะกลบกลืนคำพูดตัวเองไปเสียสิ้น
“ไม่เชื่อหรอก มึงต้องชักชวนโน้มน้าวพี่กูแน่ๆ แล้วดูสิ สิ่งที่มึงทำ ผลมันออกมาเป็นยังไง สะใจมึงหรือยัง” เจ้าธีร์พูดประโยคนี้ ผมเองก็จุกพูดไม่ออก
“ไอ้ธีร์ พูดจาระวังด้วย” อาเหมยปรามน้อง
“พี่เหมยจะเชื่อคนอย่างมันทำไม มากินนอนบ้านเรา แต่มาทำให้คนในบ้านเราต้องตาย” เจ้าธีร์น้องคนสุดท้องพูดตะคอกเสียงดัง ทำเอาผมแทบเข่าอ่อน กับคำพูดของเจ้าธีร์
“พี่ไม่ได้คิดเช่นนั้นนะ ไม่เคยคิดเลย” ผมเองก็เจ็บปวดใจไม่น้อย ที่ต้องยืนอยู่ตรงกลางต้องเลือกระหว่างหัวใจตัวเองและความถูกต้อง มันเจ็บปวดเหลือเกิน
“ไม่ต้องมาพูดหรอก ไอ้พวกผิดเพศ มึงจำไว้เพราะมึงทำให้พี่กูต้องตายถึงสองคน” เจ้าตัวเล็กคนสุดท้องชี้หน้าด่าผม ผมเองก็รู้สึกจุกพูดอะไรไม่ออก อาเหมยเข้าไปดึงตัวเจ้าคนเล็กออกไป
“กลับไปเถอะ อย่ามาที่นี่อีก แม่ขอร้อง ชาติหน้าถ้ามีจริง ขอให้เขามาเกิดเป็นลูกของแม่และอย่าได้พบได้เจอกับนนท์อีก” แม่หมวงผลักผมรุนหลังผมออกไป ผมทั้งเจ็บใจ เจ็บจนชาไปทั้งตัว
“พ่อขอนะแม่ ลูกเขารักกัน ขอให้เขาอยู่ส่งลูกเราเป็นครั้งสุดท้ายด้วยเถิด เห็นแก่ความรักของลูกเถอะนะ นนท์เขาก็ตั้งใจขึ้นมาแล้ว ไล่เขากลับไปไอ้เจ้าทัชมันก็ไม่ฟื้นขึ้นมาหรอก” อารุจน์โอบกอดแม่หมวงและพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ผมก้มลงกราบแทบเท้าแม่หมวง
“ขอโอกาสให้ผมได้ส่งน้องด้วยเถอะครับ ผมจะได้พบกับเขาอีกครั้งเดียวในชีวิต ผมเองก็เสียใจไม่แพ้กันครับ ผมเข้าใจในหัวอกคนเป็นแม่ แต่เขาก็เป็นคนที่ผมรักมากเช่นกัน และผมก็เชื่อเหลือเกินว่าเขาเองก็รักผมมากด้วยเช่นกัน ขอผมได้อยู่ส่งเจ้าตัวเล็กด้วยเถอะครับ นะครับแม่” ผมคุกเข่าอยู่อย่างนั้นอ้อนวอนทั้งน้ำตา
“เอาน่ะแม่ เห็นใจลูกๆนะ ถือเป็นครั้งสุดท้าย” อารุจน์ตบบ่าปลอบใจ
ไอ้นพ กับไอ้ต๋อง เข้ามาช่วยพูดอธิบาย เรื่องราวต่างๆที่ผม กับไอ้แทน และ ทัช ต่างร่วมฝ่าฟันกันมา และยังช่วยพูดด้วยว่า เจ้าตัวเล็กของผมนั้นรักผมมากแค่ไหนผมเองก็เช่นกัน ไอ้นพมันเป็นผู้ใหญ่มาก พูดจามีหลักการ มีเหตุและผล พูดไม่ให้บัวช้ำน้ำไม่ให้ขุ่น
"ขอบคุณมาก ไอ้นพ แต่กูก็ผิดจริงๆ ที่เป็นต้นเหตุให้เขาทั้งสองคนต้องจากไป" ผมกลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้อีก
แม่หมวงเริ่มมีท่าทีอ่อนลง โน้มตัวลงมาพยุงผมลุกขึ้น ผมโผเข้าสวมกอดแม่หมวงปล่อยโฮออกมาเต็มที่ อย่างน้อยผมก็ได้กอดคนที่ได้ชื่อว่าเป็นแม่ของคนที่ผมรักสุดหัวใจ และขอโทษแม่ขอให้แม่ให้อภัยทุกอย่าง
“แม่ขอโทษนะ เจ็บไหมนนท์” แม่หมวงลูบแก้มข้างที่ตบผมไป
ผมส่ายหน้า ..แค่นี้ไม่เจ็บเท่าความรู้สึกของแม่ที่เสียลูกไปหรอก และไม่เจ็บเท่าการสูญเสียคนที่ผมรักไปอย่างไม่มีวันกลับ ผมอยู่รอจนกระทั่งจุดไฟใส่โลงแผดเผาร่างอันไร้วิญญาณของเจ้าตัวเล็ก ผมน้ำตาไหลแทบขาดใจ ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ไปได้ เสร็จพิธี ผมไม่เดินกลับไปที่บ้าน ยังคงอยู่ตรงเพิงพิธี ร่ำลาบรรดาญาติของเจ้าตัวเล็ก ญาติบางคนก็มองผมด้วยสายตาเหยียดหยาม ผมไม่สนใจสายตาเหล่านั้น มีเพียงไอ้นพ ไอ้ต๋องกับเพื่อนๆมันอีกสองคนที่อยู่กับผม ณ ตอนนี้
“ไม่อยากจะเชื่อเลยนะ ว่ามันจะจากไปเร็วแบบนี้” ไอ้ต๋องพูด
“กูเจ็บมากไอ้นพไอ้ต๋อง น้องมันสัญญากับกูไว้ว่าจะมาหากู” ผมยังคงสะอึกสะอื้น
“คิดถึงสมัยเราอยู่มัธยมนะ ตั้งแต่ไอ้แทน มาจน ไอ้ทัช” ไอ้นพพยายามพูดทำลายบรรยากาศความเศร้า
“ไอ้เน ไม่ได้กลับมาเหรอ”
“อืม มันทำงานเลี้ยงลูกแทนเมียมันอยู่ ไม่ได้กลับมาหรอก เดี๋ยวพรุ่งนี้กูก็ต้องไปสอนแล้ว” ไอ้นพเอ่ยขึ้นต่อ
“แล้วนี่มึงกลับยังไง นอนบ้านกูก่อนก็ได้นะ เพื่อนกูมาด้วยสองคนนอนด้วยกันก็ได้” เพื่อนไอ้นพอีกสองคนก็พยักหน้าเห็นด้วย แต่ผมปฏิเสธ มาบ้านต้นไผ่แล้วไม่เคยนอนบ้านคนอื่นที่ไม่ใช่บ้านไอ้แทนและเจ้าตัวเล็ก มันไม่คุ้น
“มึงกลับไปกันก่อนเลยก็ได้ กูขับรถมาเอง เดี๋ยวกูก็กลับละ ขอไปเยี่ยมไอ้แทนสักพัก” ผมชี้ไปยังป้ายที่ปักบนเนินฝั่งตรงข้าง
“อืม มึงอยู่ได้แน่นะ” ไอ้นพถาม
“อืม ขอบใจมากไม่ต้องห่วง กูอยู่ได้สบาย”
“งั้นกูพาเพื่อนกูกลับก่อนละนะ โชคดีนะมึงไว้เจอกัน เบอร์กูไม่ได้เปลี่ยน โทรมาได้ตลอด”
“อืมขอบใจมาก ไอ้นพ ฝากความคิดถึงไอ้เนด้วย”
“เออ จะบอกมันให้”
ผมไม่ลืมที่ขอเบอร์ไอ้ต๋องไว้ ร่ำลากับเพื่อนแล้ว ผมยืมสงบนิ่ง อยู่ในเพิงพิธี ไฟที่แผดเผาร่างเจ้าตัวเล็กได้มอดดับลงแล้ว แต่ยังคงมีควันหลงเหลืออยู่ มีเพียงสับปะเหร่อประจำหมู่บ้านสองคนที่คอยดูเพลิงไฟ พร้อมกับปิดตะกอน พร้อมกับกระดาษขวัญที่ผูกติดกับฟางข้าวที่ผ่านพิธีกรรมแล้ว มัดล้อมรอบเชิงตะกอน คงเหมือนการเอาด้ายสายสิญจน์มาผูกไว้รอบๆนั่นแหละครับ
ผมทรุดกายคุกเข่าลง มองไปยังเชิงตะกอน บัดนี้ เจ้าตัวเล็กของผมกลายเป็นเถ้าถ่านไปแล้ว จะไม่มีเจ้าตัวเล็กอยู่เคียงข้างผมอีกต่อไป ภาพทุกภาพวนหมุนฉายชัดขึ้นมาในความทรงจำ ลาก่อนนะเจ้าตัวเล็กของพี่ แม้เราจะจากพี่ไปแล้ว แต่เราจะยังคงอยู่ในใจของพี่เสมอนะครับ พี่ยังรักและคิดถึงทัชอยู่เสมอ พี่จะเก็บเอาเรื่องราวของเราไว้ในความทรงจำตลอดไป ทุกภาพทุกบทตอนระหว่างเราจะไม่มีวันหายไปจากใจของพี่ ลมเย็นๆพัดมาปะทะใบหน้า ผมรู้สึกถึงความเย็นยะเยือกที่ไม่ใช่ความเย็นธรรมดา ผมหลับตาลง
...ขอบคุณนะที่มาร่ำลาพี่ ..ทัชจะไม่จากไปไหน จะยังคงอยู่ในใจพี่เสมอ และตลอดไป ......ลาก่อนเจ้าตัวเล็ก... ผมหลับตาลงอีกครั้งหยดน้ำตาไหลร่วงลงพื้นอีกครั้ง ผมหันหลังและก้าวเดินออกมาโดยไม่หันหลับไปมองข้างหลังอีก ผมเดินตรงไปป้ายของไอ้แทน คุกเข่าลง ทักทายกับไอ้แทนอีกครั้ง
...ไงมึง สบายดีมั๊ย กูมาเยี่ยมมึงอีกครั้ง...ไอ้แทน มึงอิจฉาเจ้าตัวเล็กเลยมาเอามันไปอยู่ด้วยงั้นเหรอ มึงใจร้ายมากเหลือเกิน ไอ้แทน... แล้วจากนี้กูจะอยู่กับใครล่ะ ไอ้แทน กูเจ็บเหลือเกิน กูเหงา ผมเอื้อมมือไปแตะที่ป้ายหน้าหลุมไอ้แทน จากนี้ก็คงจะมีอีกหนึ่งเนินเพิ่มขึ้นมาทางทิศเหนือสินะ มึงคงไม่เหงาแล้วสิ น้องมึงมาอยู่เป็นเพื่อนมึงแล้ว แต่กูล่ะ จากนี้ไปกูจะอยู่ยังไง กูรักเจ้าตัวเล็กมันมากนะ กูขอมึงแล้วนะ มึงยังบอกว่า ฝากด้วย ไม่ใช่เหรอ แล้วมึงมาเอาคืนทำไม...ผมทุบป้ายเบาๆ ปล่อยให้น้ำตาแห่งความโศกเศร้าไหลออกมา
“นนท์เอ้ย “ อารุจน์นั่นเอง
“ครับพ่อ” ผมเรียกคำว่าพ่อเต็มปากเต็มคำ
“อย่าเสียใจไปเลยนะ พวกเขาสองคนได้นอนพักผ่อนสบายแล้ว ไว้ถ้าทำป้ายเจ้าทัชเสร็จ นนท์ก็อย่าลืมแวะขึ้นมาเยี่ยมมันบ้างนะลูก” อารุจน์ตบบ่าผมเบาๆ ด้านหลังมีแม่หมวงยืนอยู่
“วันนี้ พักที่นี่ก็ได้นะ” แม่หมวงพูดแต่ไม่มองหน้าผม
“อื้ม ใช่ พี่นนท์นอนที่นี่ก็ได้นะ อย่าไปสนใจเจ้าธีร์มันเลย” อาเหมยย้ำอีกครั้ง
“ไม่เป็นไรครับ” ผมเองก็ไม่รู้จะอยู่ได้ไหม ไม่มีทั้งไอ้แทนและเจ้าตัวเล็ก ผมไม่รู้จริงๆว่าจะอยู่ยังไงไหว
“ไม่เป็นไรจริงๆ ผมลางานมาเพื่อมาส่งน้อง ช่วงนี้งานยุ่งจริงๆครับ วันนี้ต้องเดินทางกลับเลย” ผมอธิบายเหตุผลทั้งๆที่ยังมีน้ำตาไหลอาบแก้ม
“แม่ขอโทษนะนนท์ ที่ทำกับลูกแบบนั้น แต่แม่หวังว่านนท์จะเข้าใจแม่” แม่หมวงพูดเอื้อมมือมาจับมือผม
“ผมเข้าใจครับ ผมเองก็มีส่วนผิด และรู้สึกเสียใจไม่ต่างกัน”
“ช่างมันเถิด อย่าเพิ่งพูดอะไรกันตอนนี้เลย ยังไง ถ้ามีเวลาแวะขึ้นมาเยี่ยมพ่อกับแม่ มาเที่ยวหาพวกเขาทั้งสองคนบ้างนะ” อารุจน์พูดปลอบใจผม
“เดี๋ยวแม่ไปทำพิธีเรียกขวัญก่อนนะ” แม่หมวงพูดและ อารุจน์ก็กำลังจะเดินไป
“ผมขอลาตรงนี้เลยนะครับ เดี๋ยวก็กลับเลยครับ”
“อืม ขับรถดีๆนะ ขอให้เดินทางปลอดภัย อย่าลืม ว่างๆแวะมาหาพวกเขาด้วย” อารุจน์พูดและแม่หมวงก็ดึงแขนไปทางตะกอน
“พี่นนท์ หนูมีของจะให้พี่นะ” อาเหมยเอ่ยขึ้นเมื่อพ่อกับแม่เริ่มเดินห่างออกไป
ผมเอื้อมมือไปรับ เป็นสมุดบันทึกเล่มเล็กสีน้ำเงิน ผมพลิกผ่านๆ มีรูปของผมกับเจ้าทัชด้วย
“ขอบใจมากนะ เหมย ขอบใจที่เข้าใจพี่กับเจ้าตัวเล็กมัน” ผมพูดพร้อมกับปาดน้ำตา
“มันผ่านไปแล้วพี่ ขอให้เก็บแต่สิ่งดีดีไว้นะคะ หนูขอให้พี่โชคดี”
“ขอบใจมาก ฝากขอโทษญาติๆทุกคนด้วย”
“ไม่เป็นไรหรอกพี่ ..เอ้อ.. ขอโทษแทนไอ้ธีร์มันด้วยนะ”
“ไม่เป็นไร เขาทำถูกแล้ว เป็นพี่เองพี่ก็คงโกรธแบบนั้น” ผมเสริม
“ยังไง พี่กลับก่อนละนะ จะค่ำแล้ว เดี๋ยวทางจะมืดเสียก่อน”
“ค่ะ โชคดีนะพี่ วันข้างหน้า ถ้ามีโอกาสอย่าลืมขึ้นมาเที่ยวหาเขาทั้งสองคนด้วยนะคะ”
“เขาทั้งสองคนอยู่ในใจพี่เสมอแหละ” ผมตอบพร้อมกับหันไปมองทั้งสองฝั่ง
อาเหมยยิ้มแทนคำตอบ และโบกมือลาผม ผมเงยหน้าไปทางทิศเหนืออีกครั้ง ...
....ทั้งพี่ชายและน้องชาย....ไม่ผิดใช่ไหม.. ที่ผมจะรักพวกเขา ทั้งสองคน....
พริ้วไสวตามสายลมพรมพริ้วแผ่ว
เย็นแล้ว ช่างกระไรยังไหวไหว
ซู่ซู่ เสียงลมพัดสะบัดไกว
ชูช่อล้อลมไหว ใจวังเวง
คิดถึงเธอเหลือเกินในยามนี้
ดั่งราตรีมืดมิดสนิทแสง
ไร้น้ำค้างเกาะกิ่งยิ่งอ่อนแรง
ขอสายลมพัดไกวแกว่ง ให้หายเหงา
หวังเพียงให้ใจเธอ สงบสุข
ทิ้งความทุกข์ ทุกสิ่งที่แสนเศร้า
ภาพอดีตครั้งก่อนของสามเรา
ขอเก็บเอา ใส่ใจ ไว้ทรงจำ ...ลาก่อน ทัช... ลาก่อนไอ้แทน ว่างๆกูจะมาเยี่ยมอีก
ผมเอื้อมมือแตะกับป้ายฮวงซุ้ยของไอ้แทน ดอกหญ้ารอบๆฮวงซุ้ยโอนเอนตามแรงลม ราวกับจะโบกมือบอกลาผมอีกครั้ง ผมตั้งใจไว้ว่าสักวันหนึ่งจะขึ้นมาเยี่ยมบ้านไอ้แทน และ ทัช อีกครั้ง
ระหว่างทางลงเนินเขา ผ่านจุดที่ผมเคยมากับทัช ภาพต่างๆเมื่อครั้งเราสองคนเคยมาด้วยกัน ลำน้ำลำห้วยที่เราเคยมาดำน้ำยิงปลาด้วยกัน น้ำตาผมไหลออกมาอีกครั้ง ผมแวะจอดข้างทาง ก้มหน้ากับพวงมาลัยรถ และปล่อยโฮออกมาเต็มเสียง ไม่มีอีกแล้ว จากนี้ไป ผมจะไม่มีเจ้าตัวเล็กมาอยู่เคียงข้างผมอีกแล้ว ..
รถคนเล็กแล่นลงจากดอยสูงมุ่งสู่ตัวเมืองเชียงราย คนขับหัวใจแตกสลาย ทิ้งอีกร่างหนึ่งไว้บนขุนเขาให้กลับคืนสู่ธรรมชาติ กลับสู่อ้อมอกภูเขา ทัช..เจ้าตัวเล็กของพี่ พักผ่อนให้สบายนะ สงบสุขอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ พี่สัญญา ทัชจะยังคงอยู่ในใจพี่เสมอ หากคิดถึงพี่ ก็ฝากสายลมพัดพาความคิดถึงส่งมาหาพี่ได้เสมอนะ พี่จะรอวันนั้น วันที่เราจะได้มาอยู่เคียงข้างกันอีกครั้ง .....สักวันหนึ่ง..เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม ..
สักวันหนึ่งนะ.. สักวันหนึ่ง
....................
ตั้งแต่ทัชจากผมไป จนปัจจุบัน ปี2560 ก็ผ่านมาร่วมสิบปีแล้ว ทุกวันนี้ผมยังอยู่ตัวคนเดียวไม่มีใคร เหงาไหม ตอบได้เลยว่าเหงามากกับการที่ต้องอยู่คนเดียว คนคนหนึ่งจะต้องพบเจอกับทุกๆอุปสรรคเพียงลำพัง เจ็บป่วยก็ต้องดูแลตัวเอง เพราะหัวใจดวงนี้ของผม ยังคงรักทัช และ ทัชยังคงอยู่ในใจเสมอ ไม่สามารถมีใครมาแทนที่เขาได้เลย ผมได้ก่อกำแพงไว้แน่นหนามาก มีคนเคยบอกให้ปลดปล่อยทัชไปเสียที เขาคงไม่มีความสุขถ้ารู้ว่าเรายังยึดติดอยู่กับเขาแบบนี้ แต่ไม่เป็นไร ผมอยู่กับความเหงานี้มาเป็นสิบๆปีแล้ว ผมชินชาเสียแล้ว ความรักของผมมันหยุดลงตั้งแต่วันที่ทัชจากผมไปแล้ว นาฬิกาแห่งความรักหยุดเดินไปนานแล้ว ไม่อยากเก็บใจช้ำๆให้คนที่จะเข้ามา จึงขอเก็บเอาทุกความทรงจำทั้งหมดไว้ ในไดอารี่ ไดอารี่เล่มนี้ มีชีวิต มีลมหายใจของทัชอยู่ ทุกครั้งที่ผมเปิดอ่าน รู้สึกได้ว่า เขายังอยู่กับผมเสมอในใจดวงนี้
ไม่มีเลยสักวันที่จะลืมเขาได้ ไม่เคยลืม
.................
หากเธอมองเห็นฉันได้ จากจุดที่เธออยู่
ฉันก็เชื่อเหลือเกิน ว่าสักวันหนึ่ง
เราจะได้กลับมาพบกันอีกเธออยู่ตรงปลายโค้งขอบฟ้า
ไกลเกินกว่าจะก้าวข้ามไปถึง
ได้แต่ปล่อยให้จมอยู่ในห้วงคำนึง
ไม่อาจยื้อยึดฉุดดึงขึ้นมา
ฉันเหนื่อย..ฉันอ่อนล้าเหลือเกิน
กับสิ่งที่ต้องเผชิญในวันข้างหน้า
บางอย่างคงเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา
แต่ทว่า..เธอยังมีคุณค่าอยู่ในใจ
เป็นอยู่อย่างไรสบายดีหรือเปล่า
เคยเหงาแล้วคิดถึงฉันบ้างไหม
ท้องฟ้าที่ตรงนั้นสีอะไร
หม่อนหมองเหมือนที่นี่ไหน คนอยู่ห่างไกลอยากรู้
รำพึงรำพันกับตัวเอง
ด้วยจิตใจที่แสนจะวังเวงและหดหู่
ด้วยไม่อาจบอกให้ใครได้รับรู้
หยดน้ำตาพร่าพรู..ด้วยเพราะเหงารวดร้าวใจ
อยากกู่ก้องบอกเธอทุกทุกสิ่ง
ถึงความเป็นจริงที่แอบเก็บซ่อนไว้
เนิ่นนาน..จนล่วงเลยผ่านไป
ได้แต่เก็บเอาไว้..ในส่วนลึกของใจเรื่อยมา
แต่ก็นะ..ใช่ว่าเธอจะอยู่ไกลแสนไกล
ก็แค่ตรงปลายโค้งขอบฟ้า
สักวันหนึ่งจะดั้นด้นสู้ฟันฝ่า
ข้ามขอบเวลา ข้ามขอบฟ้า ไปหาเธอพบ...... รู้จัก
รัก ........ พรากจาก
ช่างเป็นวัฏจักรที่น่าสงสารของมนุษย์ยิ่งนัก
แต่ ใครกันเล่า ที่จะอยู่ได้โดยปราศจากความรัก
.............................................
.....................................................
ครั้นจะเอื้อมมือคว้าเอาไว้
เธอกลับห่างไกลออกไปเกินเอื้อมถึง
ทำได้เพียงกอดเก็บเธอไว้ในห้วงคำนึง
หลับตา..แล้วคิดถึงก็สุขใจ
........................................................Talk
ขอบคุณสำหรับท่านที่อ่านจนจบนะครับ อาจจะไม่มีอรรถรสเท่าที่ควร ต้อขออภัยที่ไม่ใช่นักเขียนตัวจริง
นักอ่านหลายท่าน อาจจะไม่ชอบและมักมีคำถามว่าทำไมภาพยนตร์หนือละครหรือซีรีส์แนวชายรักชายส่วนใหญ่ถึงจบไม่แฮปปี้ ผมคิดว่า ส่วนหนึ่ง ไม่สิ ส่วนใหญ่ก็มาจากชีวิตจริงของเราๆนี่แหละครับ ผิดหวังมากกว่าสมหวัง เรื่องนี้ก็เช่นกัน เป็นเรื่องที่มีเค้าโครงเรื่องจริง เป็นเรื่องที่เหมือนกับอีกหลายๆเรื่องที่นักอ่านอาจไม่ชอบเพราะจบแบบที่กล่าวมา
ผมเป็นประเภท ที่แม้ไม่มีคนอ่านก็จะลงจนจบทีเดียว ไม่จำเป็นต้องรอให้มีคนมากดไลค์หรือคอมเม้นท์ ผมหวังเพียงแค่ได้แบ่งปันเรื่องราวของตนเองแค่นั้น
ขอบคุณครับ