พิมพ์หน้านี้ - (ตอนจบ) ทัช..สัมผัสใจ (ตอนที่26 ตอนจบ) 29 ก.ค. 2560

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: thewa.arak ที่ 07-07-2017 20:02:56

หัวข้อ: (ตอนจบ) ทัช..สัมผัสใจ (ตอนที่26 ตอนจบ) 29 ก.ค. 2560
เริ่มหัวข้อโดย: thewa.arak ที่ 07-07-2017 20:02:56
***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************






สวัสดีครับ เทวา คนเดิม เพิ่มเติมมีเรื่องใหม่ครับ   o18

 เนื้อเรื่องอาจจะไม่หวือหวาสำหรับท่านที่ชอบแนวฉากNC  มีแต่ก็ไม่หวือหวา เนื่องจากเป็นเรื่องเล่าจากความทรงจำในไดอารี่ ตัวละครและชื่อสถานที่มีการปรับเปลี่ยนเล็กน้อยเพื่อลดความตึงเครียดของสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต   
    แต่ละตอน จะเล่าย้อนกลับไปกลับมา ระหว่างช่วงชั้นมัธยมต้น และ ช่วงชั้นมัธยมปลาย สลับกันไป จนถึงตอนที่4 แต่ไทม์ไลน์หลักเป็นช่วงมัธยมปลาย



.
.
.









.....................................
บันทึกเล่มเก่าเก่า
บอกเล่าเรื่องราวในวารก่อน
ทุกทุกฉาก ทุกภาพ ทุกบทตอน
ผ่านเรื่องราวร้าวรอนจนอ่อนล้า
มีชีวิต มีจิตใจอยู่ในนั้น
รัก ผูกพัน ห่วงใย อาลัยหา
มีเรื่องราว ทั้งสุขเศร้า เคล้าน้ำตา
แม้จะล่วงผ่านกาลเวลา แต่มีค่ายิ่งใหญ่ให้จดจำ
...................................






 :L1:  :L1:  :L1:


.......................
ภาพแห่งความทรงจำครั้งเก่าก่อน
ยังอาทร คิดถึง คณึงหา
แม้ล่วงพ้นเลยผ่านกาลเวลา
ถึงอยู่ห่างครึ่งค่อนฟ้า ยังห่วงใย
แม้อยู่ห่าง ก็ห่างเพียงขอบฟ้ากั้น
แต่ความรัก ความผูกพันไม่สั่นไหว
แม้ตัวห่าง ห่างตัวไม่ห่างใจ
เคียงคู่อยู่ชิดใกล้ ใจถึงกัน
มิอาจเอื้อมดวงดาวพร่างพราวฟ้า
ร้อยถักทอเดือนดารา บนฟ้านั่น
อยู่ในห้วงแห่งความสุขทุกคืนวัน
เพราะมีเธอ เติมไฟฝันฉัน จนเต็ม
...........................









  ..........เสี้ยวหนึ่งของความทรงจำ....ที่หวนกลับมาอีกครั้ง..............
 

             ผมชื่อนายอานนท์ แซ่ลี  นักเรียนชั้น ม.4/2 มัธยมปลายของโรงเรียน ฝายน้ำผึ้งวิทยาคม  ซึ่งเปิดชั้นมัธยมปลายเป็นปีแรก ยังไม่มีชั้น ม.5 และ ม.6  และพักอยู่ในหอพักโรงเรียนที่สร้างไว้ สำหรับให้นักเรียนที่อยู่ห่างไกลได้เข้าพัก  ส่วนมากจะเป็นเด็กนักเรียนชาวดอย ตัวอาคารหอพักเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าแถวตอนลึกจากถนนลูกรังภายในโรงเรียน  มีทั้งหมดสี่หลัง ผมอยู่หอพักหลังที่สาม
ด้านหน้าเป็นสระน้ำ เมื่อยืนอยู่บนถนนหันหน้าเข้าหาหอพัก ด้านขวาเป็นหอพักนักเรียนหญิง ด้านหลังเป็นลานตากผ้า เยื้องไปทางด้านซ้ายของตัวอาคารหอพักเป็นโรงอาบน้ำ แยกระหว่า
 ชายและหญิง ถัดไปเป็นบ้านพักอาจารย์ผู้ดูแลนักเรียนหอ และถัดจากนั้นไปจะเป็นหอหนึ่งและหอสองใกล้ๆกับโรงครัว และห้องสตั๊ดดี้

    บ่ายโมงกว่าของวันอาทิตย์แรกของการเปิดเทอมปีการศึกษาใหม่ สำหรับเด็กหอพักแล้วจะต้องเดินทางมาล่วงหน้าหนึ่งวันก่อนเปิดเทอมจริง .... เด็กๆแต่ละคนเริ่มทยอยลงจากดอยมาถึงหอพักทั้งสี่หลังเพื่อเข้าหอตามที่ตัวเองได้ลงชื่อไว้   หลังจากที่ผมจัดการกับสัมภาระของตัวเองเสร็จ ก็เดินออกมารับลมเล่นหน้าหอพัก ผมเดินไปนั่งตรงม้านั่งปูนยกสูงจากพื้นถึงเข่า มองไปทางสระน้ำ แลเห็นแสงอาทิตย์ตกกระทบผิวน้ำ คลื่นที่กระเพื่อมเป็นริ้วๆยามต้องลมแลดูเป็นประกายวิบวับราวกับเหลี่ยมเพชรต้องแสง  รู้สึกเย็นสดชื่นจนอดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด   ในขณะที่กวาดสายตามองเด็ก ม.หนึ่งเข้าใหม่คนหนึ่งหน้าตาคุ้นๆ ที่กำลังขะมักเขม้นห่อปกหนังสือ  เป็นเด็กม.1เพียงคนเดียวที่ขึ้นมาอยู่หอพักสามเนื่องจากหออื่นเต็ม    ผมพิจารณาดูแล้วคุ้นมากเหลือเกิน พลันสายตาซุกซนของผมก็ไปหยุดลงตรงชื่อและนามสกุลที่เขาเขียนติดกระดาษห่อปกหนังสือ ตัวอักษรใหญ่สะดุดตายิ่งนัก 





                                                “ธวัช  ลีสกุลรัตน์”




“เอ่อ...น้อง ทำไมนามสกุลเหมือนเพื่อนพี่เลยอ่ะ  รู้จักไหม  ธีระวัฒน์  ลีสกุลรัตน์  พี่เรียกมันว่า ไอ้แทน มันเคยเรียนกับพี่ที่ภูเวียงวิทยาน่ะ “

“อ๋อ นั่น พี่ชายผมเองครับ”   เด็กน้อยเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยตอบแล้วลงมือห่อหนังสือต่อ 

  เฮ๊ย....จริงดิ ถึงว่าทำไมหน้าคุ้นๆ...งั้นเจ้าเด็กคนนี้ก็น่าจะเป็น...

 “...เดี๋ยวนะ  งั้นเราก็คือ ทัช ใช่ป่ะ  หรือ ธีร์หว่า  สมัย ม.ต้น พี่ไปนอนที่บ้านไง พวกเรายังตัวกะเปี๊ยกกันอยู่เลย”

“ ผม ทัช ครับ ส่วนธีร์ยังอยู่ ป.6   แล้วพี่..เอ่อ..พี่ที่ไปดูรอยพระพุทธบาทใช่ไหมครับ”

“ใช่แล้ว พี่เองแหละ หล่อขึ้นใช่มั๊ยล่ะ”   ผมพูดพร้อมกับเต๊ะท่าที่คิดว่าหล่อที่สุด

  “ก็ว่าทำไมหน้าตาดูคุ้นๆ  แต่กลัวว่าจะทักผิด เลยไม่กล้าทักครับ”

“นั่นสิ...พี่ก็จำแทบไม่ได้.... ผ่านไปสามสี่ปี โตขนาดนี้กันแล้วหรือนี่” 

“พี่...นนท์ ใช่ไหมครับ”   เจ้าตัวถามมีเว้นระยะเล็กน้อยเหมือนไม่ค่อยแน่ใจ

“อื้อ ความจำดีนะเรา  ใช่แล้วล่ะ พี่นนท์เอง”  รู้สึกทึ่งเล็กน้อยที่เขาจำชื่อผมได้อยู่

 “ตอนแรกผมก็ว่าจะเข้าเรียนที่ ภูเวียงวิทยา นะครับ แต่แม่บอกให้มาที่นี่ดีกว่า ใกล้บ้านมากกว่า”

 “เหรอ...ที่นี่ก็เพิ่งเปิดม.ปลายปีนี้เอง พี่จบม.3 ก็มาต่อม.ปลายที่นี่เลย”

“ผมก็คิดว่าจะเรียนที่นี่จนจบ ม.6เลยครับ จะได้ไม่ต้องย้ายไปเรียนที่อื่น”  คนตัวเล็กอธิบาย

 “ก็ดีนะ หนทางก็ใกล้บ้าน เดินทางก็ไม่ลำบากเท่าเส้นถนน บ้านวังถ้ำ สมัยก่อน พี่ขับมอเตอร์ไซค์ไปเที่ยวแถวนั้น ฝุ่นงี้ ฟุ้งตลบจนหัวแดงไปหมด”

“นั่นล่ะครับ ผมถึงไม่อยากไปเรียนที่ภูเวียง”  น้องพยักหน้ารับคำพร้อมกับอธิบายต่อ

 “ตอนนี้ ถนนก็ยังเหมือนเดิมนะพี่ ฝนตกทีไร รถติดหล่มลึกจนต้องลงมาใส่โซ่แล้วเข็นกันเองเลยอ่ะครับ โคลนงี้ ติดเต็มเสื้อเลย” 
 อธิบายซะเห็นภาพเลยล่ะ  ผมนั่งพินิจดูน้องมันแล้วก็ให้นึกถึงหน้าไอ้แทนจริงๆ  โตมาหน้าตาคล้ายๆกันเลยนะเนี่ย


   .....ใช่แล้ว   ไอ้แทน ..ภาพไอ้แทนผุดขึ้นมาในความทรงจำ และผมยังคงนึกภาพวันนั้นได้ติดตาจนทุกวันนี้......เพียงแค่ช่วงข้ามถนนหน้าตลาดสด..เพียงแค่แว่บเดียวที่ไม่ได้มอง....
                                                 



                                                   โครม


 เสียงรถกระบะชนใครสักคนกระเด็นห่างออกไปเป็นวา เลือดกระเซ็นไปทั่วบริเวณ เสียงดังมากจนผมตกใจหันไปดู เห็นคนเริ่มมุงดูกัน ผมรู้สึกใจหายวาบ ยืนขาแข็ง หันซ้ายขวามองหาคนข้างๆที่ยังเดินด้วยกันเมื่อครู่นี้เอง
..... ไม่มี .... 
มองไปด้านหน้าตลาด ไอ้เน ยืนงงอยู่..ไอ้นพ ไอ้ต๋อง  ครบ   แล้วไอ้แทนล่ะ อยู่ไหน ผมหันรีหันขวางมองหาไอ้แทน ...ไม่มี ....  หรือว่า....

“เฮ๊ยย ..ไอ้แทน”   

ผมรู้สึกใจหายเมื่อเรียกชื่อนี้ พร้อมกับพุ่งตรงไปยังกลุ่มคนที่กำลังรุมล้อมคนถูกรถชน  ...

 ....ไอ้แทน  กูหวังว่าไม่ใช่มึงนะ... ไม่สิ  ต้องไม่ใช่มึง....  ต้องไม่ใช่มึง .. ผมคิดในใจ พลางแหวกกลุ่มไทยมุงเข้าไป จนถึงตัวคนถูกชน ซึ่งนอนกึ่งหงายกึ่งตะแคงหน้าหันไปทางขวา เลือดสีแดง แดงจนออกเป็นสีดำไหลนองท่วมตัวและพื้นถนน  ผมมองหน้าไม่ชัด.. แต่ ..แต่.. เสื้อผ้านั่นทำให้หัวใจแทบหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม แข้งขาอ่อนระทวย ใจสั่น คอแห้งเป็นผง ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ร้องตะโกนจนสุดเสียง

       “ไอ้แทน.... ไอ้แทน” 

ผมถลาเข้าไปพยุงร่างไอ้แทน ช้อนหัวขึ้นพร้อมสอดแขนตัวเองเข้าที่ต้นคอแล้วพยุงตัวมันขึ้นมาพิงตรงอกผม รอบข้างเสียงจ้อกแจ้กจอแจแต่ฟังไม่ได้ศัพท์ ราวกับไม่ใช่ภาษามนุษย์  โลกทั้งโลกหยุดหมุน มีเพียงผมกับไอ้แทนท่ามกลางกลุ่มไทยมุงที่รายล้อม พื้นดินเหมือนจะหมุนติ้วๆเป็นวงกลมพร้อมกับเสียงวิ้งๆดังอยู่ข้างหู   ผมรู้สึกสับสนและหวาดกลัว  เลือดสดเป็นลิ่มๆอุ่นๆไหลออกจากบริเวณศรีษะตรงกกหูย้อยลงมาตามช่วงความยาวแขนของผม 

“ไอ้แทน .. ไอ้แทน..  มึงได้ยินกูไหม ไอ้แทน” 

ผมไม่รู้หรอกว่ามันจะได้ยินผมหรือไม่แต่เหมือนรู้สึกได้ว่ามือมันกระตุกตอบ

“น้องเป็นเพื่อนหรือคะ พี่ต้องขอโทษด้วยค่ะ พี่ไม่ได้ตั้งใจ มันเป็นอุบัติเหตุสุดวิสัยจริงๆ”

ผมมองดูคนที่นั่งข้างๆ อ้อ เธอสินะ ที่ชนไอ้แทนมัน แต่ผมไม่มีกะใจจะตอบเพราะผมห่วงคนที่อยู่ในอ้อมแขนผมมากกว่า

“ไอ้เน ไอ้ต๋อง  ช่วยกูด้วย” ผมร้องตะโกนสุดเสียง พร้อมกับที่เพื่อนผมทั้งสามคนแหวกกลุ่มไทยมุงเข้ามาถึง

“ใครก็ได้ครับ โปรดช่วยเรียกรถพยาบาลให้ด้วยครับ”

  ไอ้นพตะโกนไปรอบๆตัว  ไอ้ต๋องไอ้เนขยับมาเขย่าตัวไอ้แทน

“พวกมึงอย่าเขย่าตัวมัน  ไม่รู้แขนขามันหักหรือเปล่า” ผมตะโกนบอกไอ้เนไอ้ต๋อง ทั้งที่คอแห้งผาก

“ไอ้แทน..มึงทำใจดีๆไว้ เดี๋ยวรถพยาบาลก็มาแล้ว   มึงต้องไม่เป็นอะไรนะ ได้ยินไหม”

 เงียบ..ไม่มีเสียงตอบ ผมคว้าข้อมือมันขึ้นมาแนบลำตัวช่วงอกของมันพร้อมกับกอดมันไว้แน่น

“แข็งใจไว้นะ เดี๋ยวก็ถึงโรงพยาบาลแล้ว มึงห้ามเป็นอะไรนะ อยู่กับกูก่อน”

เงียบ...ไม่มีเสียงตอบเช่นเดิม..ผมพล่ามอะไรออกอีกหลายประโยคแต่ ไม่มีเสียงตอบใดใด ยังคงเงียบสนิท.. เช่นเดิม
 ไอ้แทนมันยังหลับตาไม่สนิท หายใจรวยริน ผมได้แต่ภาวนาขออย่าให้มันเป็นอะไรไป
ตัวมันอ่อนและเบามาก มากจนแทบจะสามารถยกร่างของมันขึ้นได้ด้วยแขนเพียงข้างเดียว..

 จนกระทั่งรถพยาบาลมาถึง และตำรวจก็คุยกับคู่กรณี สักพัก หญิงสาวคู่กรณีก็เดินมาบอกว่าเธอจะขึ้นรถพยาบาลไปด้วย  ตอนนี้ผมไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ได้แต่พยักหน้าให้   พอถึงโรงพยาบาลได้ พยาบาลกุลีกุจอจัดแจงยกร่างไอ้แทนวางลงบนเตียงรีบเข็นออกไป

 “น้องคะ.. น้อง” เป็นพยาบาลนั่นเองที่มาสะกิดไหล่ให้ผมรู้สึกตัว..

“น้องมีบาดแผลไหมคะ นี่เลือดใคร”

“อ้อ เปล่าครับ ผมไม่เป็นอะไร นี่เลือดเพื่อนผม”

พยาบาลยื่นยาแอมโมเนียมาใกล้จมูกแต่ผมกลับไม่ได้รู้สึกถึงกลิ่นของมันเลย  ใจมันยังสั่นอยู่ ผมบอกชื่อคนป่วยไว้กับพยาบาลเพื่อทำทะเบียนประวัติคนไข้  ไอ้เน ไอ้นพ ไอ้ต๋อง เพื่อนอีกสามคนที่มาด้วยกัน มาจากบ้านเดียวกับไอ้แทน  บอกว่ามันจะแจ้งคนทางบ้านเอง  ผมมองแขนตัวเอง เลือดเป็นลิ่มๆที่ไหลเป็นทางย้อยลงไปตามแนวแขน เริ่มแห้งแต่ยังมีบางแห่งเป็นลิ่มๆ หน้าอกผมชุ่มโชกไปด้วยเลือดไอ้แทน ความกลัวผมหายไปจนหมดสิ้น  ปกติผมกลัวเลือดมาก แต่ตอนนี้ไม่รู้ความกลัวมันหายไปไหน...พยาบาลสองคนมาช่วยทำความสะอาดตามแขนขาให้  ผมยังรู้สึกได้ถึงเลือดอุ่นๆกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น

   ไม่รู้ผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว

“น้องคะ..เชิญทางนี้ด้วยค่ะ” เสียงพยาบาลเรียกกผมไปห้องทะเบียน

 “น้องช่วยเซ็นชื่อตรงนี้นะคะ ตรงช่องส่งตัวผู้ป่วยนะคะ ช่องนี้ค่ะ”  ผมก็เซ็นไปตามที่พยาบาลบอก พร้อมตอบคำถามอีกมากมายหลายประโยคเกี่ยวกับไอ้แทนและครอบครัว

“ไอ้เน ... มึงโทรบอกพ่อไอ้แทนรึยัง” ผมนึกขึ้นได้ เลยถามมัน

“โทรแล้ว กำลังลงจากดอยมา เห็นบอกว่าแม่เป็นลมไปแล้ว”

“อืม พวกมึงกลับก่อนก็ได้นะ เดี๋ยวกูอยู่รอพ่อมันเอง  อย่าเพิ่งบอกเพื่อนๆนะ รอพรุ่งนี้ก่อน”

ผมบอกไอ้เนกับไอ้นพและไอ้ต๋องไปตามนั้น  ...ส่วนพี่สาวคู่กรณีก็ไปคุยกับพยาบาลสักพักก็เดินมาทางผม

“น้องเอาเบอร์พี่ไว้นะคะ นี่นามบัตรพี่ค่ะ ค่ารักษาพยาบาลทางพี่จะดูแลค่าใช้จ่ายทั้งหมด”

 ผมได้รับเอาไว้  โกรธก็โกรธ แต่มันเป็นอุบัติเหตุ รู้ทั้งรู้แต่ก็ยังไม่อยากคุยด้วย

“ขอบคุณมากครับ”   ผมพูดได้เพียงแค่นั้น แล้วเธอก็กลับไปพร้อมกับตำรวจ

 ผมนั่งรออยู่นานมากจนเริ่มรู้สึกตัวว่าคอแห้ง จึงลุกขึ้นไปหยิบแก้วกระดาษรองน้ำดื่ม มองดูเวลาจากนาฬิกาที่แขวนบนฝาผนัง  หนึ่งทุ่มพอดี อารุจน์พ่อไอ้แทนวิ่งเข้ามา แกกระวนกระวายเข้ามาถามหา จนผมต้องบอกให้ใจเย็น..ให้แกไปทำเรื่องทำอะไรต่อมิอะไรที่ฝ่ายทะเบียน  แกถามอะไรมาผมตอบไม่ได้สักอย่าง ไม่รู้จับต้นชนปลายไม่ถูก

“ใจเย็นๆก่อนนะครับ ผมเองก็ตอบไม่ถูก” 

“พ่อร้อนใจมาก  แม่หมวงมาไม่ได้ เป็นลมไปแล้ว  ทางบ้านช่วยดูแลกันอยู่” ... อาอีกคนเป็นน้องชายของพ่อไอ้แทน ยื่นขวดน้ำมาให้ ผมรับมาดื่มรวดเดียวเพราะรู้สึกว่าคอแห้งผาก จนกระทั่งสามทุ่มกว่า ไอ้แทนออกจากห้องไอซียูมาพักที่ห้องพักผู้ป่วย
 
“นนท์เอ้ย..”  อารุจน์เรียกผม   “กลับไปอาบน้ำอาบท่าเสียนะ  เดี๋ยวทางนี้พ่อดูแลเอง”

“ไม่เป็นไรครับ ผมอยากอยู่ข้างๆมัน  พรุ่งนี้คงหยุดเรียน”  ผมให้พ่อกับอาไอ้แทนมันลงไปหาอะไรกินรองท้อง จะได้เปลี่ยนกันเฝ้าดูแล
 คล้อยหลังพ่อไอ้แทนกับอาไปแล้ว  ผมถลาเข้าไป ข้างเตียงที่ไอ้แทนนอนอยู่ สายระโยงระยางเต็มไปหมด มีผ้าพันศรีษะแต่ยังเห็นมีรอยเลือดเป็นดวงๆ ผมเอื้อมมือไปจับมือไอ้แทนไว้..รู้สึกคอแห้งกลืนน้ำลายลงคอได้ยากเย็นนัก มันขมอยู่ในลำคอ  น้ำตาไหลออกมาเอง  แขนก็มีเหล็กดาม ขาก็ยังมีเหล็กดามแถมยกขึ้นมาห้อยเสียสูงเชียว เห็นสภาพมันตอนนี้แล้ว สงสารมันจับใจ ยังดีที่ไม่เป็นข้างที่ถนัด

“ไอ้แทน...กูไม่รู้นะว่ามึงจะได้ยินกูไหม.... มึงจะต้องไม่เป็นอะไรนะ.. พรุ่งนี้เวรมึงต้องซักเสื้อรีดเสื้อให้กูนะเว้ย..มึงจะต้องไม่เป็นอะไรนะ ได้ยินที่กูพูดไหมวะ”

 ผมพูดพล่ามอะไรออกไปมากมายทั้งน้ำตา  ทำไมมันต้องเกิดเรื่องร้ายๆแบบนี้ขึ้น มันกระทันหันมากเหลือเกิน..จนตั้งตัวรับไม่ทันเลย  ผมรู้สึกได้ถึงอาการกระตุกที่แขนและมือของไอ้แทน  ผมจับมือมันไว้บีบเป็นระยะ  เผื่อมันจะรับรู้ว่าผมยังอยู่ข้างๆมันไม่ได้หนีห่างไปไหน 

“ไอ้แทน มึงเคยสัญญาว่าจบม.3 จะไปเรียนด้วยกันที่ ฝายน้ำผึ้งไง  กูไม่เคยลืมนะเว้ย มึงต้องไปเรียนกับกูนะ”

 เหมือนมันจะรับรู้ หรืออะไรก็ตาม ผมปลอบใจตัวเองว่าอาการกระตุกที่มือของมันเป็นสัญญาณตอบรับคำผม

“กูกับมึงยังต้องใช้หนี้กันอีกยาว ทำกับข้าวในโรงครัวด้วยกัน อาบน้ำด้วยกัน .. มึงต้องรีบฟื้นนะ ได้ยินกูไหม”  ผมเอื้อมมือข้างหนึ่งเสยผมตรงหน้าผากไอ้แทน  ในหัวผมตอนนี้ มันทั้งสับสน อยากเจ็บแทนมันเสียเอง ..ผมบีบมือมันไปทุกระยะที่ผมระบายคำพูดออก มันจุกอยู่ในอก น้ำตาไหลพรากไม่หยุด

“ไอ้แทน  มึงอย่าทำแบบนี้กับกูสิวะ  รีบฟื้นนะเว้ย เพื่อนๆทุกคนรอมึงอยู่นะ ”

ผมพูดออกไปไม่หยุด โดยไม่สนใจว่าไอ้แทนมันจะได้ยินหรือไม่

 “พอเถอะ นนท์ ตอนนี้แทนเขาไม่รับรู้อะไรหรอก กลับไปก่อนเถอะนะ ไปอาบน้ำนอนพักผ่อนพรุ่งนี้ค่อยมาอีกที”    อารุจน์เข้ามาตอนไหนไม่รู้ มาจับที่ไหล่ผม บีบเบาๆให้รู้สึกตัว  ผมรีบปาดน้ำตา  อารุจน์คงได้ยินหมดแล้ว

“งั้นผมกลับหอก่อนนะครับ ยังไงถ้าผมทำธุระเสร็จแล้วจะรีบมา เผื่อมีอะไรจะได้ช่วยเหลือกันได้”

“ความจริง นนท์ไม่น่ามาลำบากเลย กลับไปนอนพักผ่อนเถอะนะ”

“ผมคงนอนไม่หลับหรอกครับ  ยังไงผมทำธุระเสร็จแล้วจะรีบมานะครับ”

ยกมือไหว้พ่อกับอาไอ้แทน แล้วผมก็เดินออกประตูไป  ระหว่างทาง ใจมันสิ้นหวังไปหมด เหมือนโลกทั้งโลกนี้กำลังจะหมุนสูบเอาตัวจมดิ่งลงไปใต้พื้นดิน สมองมันว่างเปล่า ผมหยอดเหรียญตู้โทรศัพท์ใกล้เคาท์เตอร์แผนกประชาสัมพันธ์ โทรให้ไอนพขับมอเตอร์ไซค์มารับกลับ
 ห้าทุ่มกว่าแล้ว  นักเรียนหอพักหลังใกล้ๆกันต่างมารุมถามผมกันใหญ่  ผมก็ตอบๆไปตามเรื่องตามราว แล้วขอตัวเพราะรีบอาบน้ำ ใจผมมันอยู่ที่ไอ้แทนคนเดียวเท่านั้น ในตอนนี้ 
ภาพร่างกายที่อ่อนปวกเปียก ในอ้อมกอดผม  แขนขา ศรีษะที่ชุ่มไปด้วยเลือด.. วนเวียนอยู่ในหัวผม ชัดเจนเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเอง กลิ่นเลือดยังติดอยู่กับตัว

“ไอ้นพ...เดี๋ยวมึงไปส่งกูที่โรงพยาบาลหน่อยนะ”

“อ้าว พ่อมันมาแล้วนี่ มึงไม่นอนพักก่อนเหรอ”  มันถาม ดูท่าทางเป็นห่วงผมอยู่กลายๆ

“ไม่อ่ะ กูเป็นห่วงมัน  มึงไปส่งกูหน่อย  นะ”

“เออๆ กูก็ห่วงมันเหมือนกัน เห็นกันอยู่ทุกวันไม่น่าเลยว่ะ”

“อ้าวไอ้เชี่ยนพ มันยังไม่ตาย ทำไมพูดแบบนี้วะ”

“เออๆ กูขอโทษ”

“ไปกันเถอะ เอาแบบปลอดภัยนะเว้ย  กูยังเสียวสันหลังไม่หาย” 

  เพราะเวลาซ้อนรถแล้วมีรถสวนมาผมจะหวาดผวาทุกครั้ง



.
.
หัวข้อ: ทัช..สัมผัสใจ ตอนที่1 (7-July-2017)
เริ่มหัวข้อโดย: thewa.arak ที่ 07-07-2017 20:27:32
ตอนที่1





....แรกเริ่มเทอมใหม่ ..Part นนท์/ทัช...



   ช่วงเวลาปัจจุบัน  ณ หอพักโรงเรียนฝายน้ำผึ้งวิทยาคม ...




“พี่นนท์”
  ..... 

   “พี่นนท์”   ผมสะดุ้งตื่นจากภวังค์ ด้วยเสียงเรียกของทัช 

“โห..เหม่ออะไรครับพี่ ผมเรียกพี่จะเป็นสิบรอบได้แล้วมั๊ง” 

“อ้าวเหรอ...โทษที พี่มัวคิดอะไรเพลินไปหน่อย”  ผมพูดกลบเกลื่อน  เหลือบดูนาฬิกาข้อมือ ...บ่ายสามโมงกว่าแล้วหรือนี่...

“เอ้อ แล้วนี่เราจะทำอะไรกินเย็นนี้เนี่ย ไปตลาดกันไหม”

“ผมก็กำลังว่าจะชวนพี่อยู่เนี่ย ห่อหนังสือจนเอาไปเก็บแล้วก็ยังเห็นเหม่อๆ เรียกจะเป็นสิบรอบได้”

“อืม โทษที ป่ะ งั้นเราเดินไปตลาดที่หน้าโรงเรียนกัน”


......... ตลาดหน้าโรงเรียนงั้นรึ....  อีกแล้วรึนี่... ผมสะดุดความคิดตัวเอง ชะงักไปเล็กน้อย แต่เสียงน้องๆเรียกให้ตามหลังไปจึงได้สติรีบก้าวเดินตามไป  ไม่มีอะไรหรอกน่า...เราคิดมากไปเอง
 ตลาดที่ว่า ไม่ใช่ตลาดนัดทั่วๆไปหรอกครับ เป็นตลาดเล็กๆและขายของชำสองสามร้านติดกัน แล้วมีจำพวกเนื้อหมูและผักต่างๆ
 

“พี่นนท์ว่าเราทำอะไรกินกันดี” 

 “ไม่รู้สิ เราอยากกินอะไรล่ะ เดี๋ยวพี่เป็นพ่อครัวให้”

“กินได้แน่นะพี่”

“อ้าว ไอ้นี่  ไม่รู้จักเชฟซะแล้ว”   น้องมันหัวเราะชอบใจ

สรุปว่าเย็นนี้ ได้กินผัดผักกะหล่ำปลีใส่หมูสับและใส่เส้นหมี่ ซึ่งผมคิดสูตรเอง

“เฮ้ย ทัช  ข้ามถนน ดูรถให้ดีก่อนด้วยนะ มาอยู่ใกล้ๆพี่นี่”

เด็กน้อยทำท่า งง แต่ก็เดินมาหาอย่างว่าง่าย


.............................     


    หนึ่งทุ่มตรง นักเรียนหอพักต้องมาเข้าห้องสตั๊ดดี้  เป็นที่สำหรับการทำการบ้านและอ่านหนังสือ แต่วันนี้น่าจะเป็นการรวมตัวเพื่อได้รู้จักเพื่อนใหม่ที่เข้ามาเป็นสมาชิกใหม่      วันนี้ อาจารย์สุรพล กับอาจารย์ สุชาดา มากล่าวต้อนรับ ต่างก็แนะนำตัวกันไป
  ผม ไอ้เน ไอ้นพ ไอ้ต๋อง จบจาก ภูเวียงวิทยา แล้วมาเรียนม.ปลายที่ฝายน้ำผึ้ง   สุดท้ายหอ4 เป็นหอพักนักเรียนหญิง  มี 5 คน เป็นชาวเขาเผ่าม้งทั้งหมด 
    นายศาตรา  อินไทสง  ม.4/1 เป็นประธานหอ  น้องๆเรียกมันว่า พี่เขียว  อยู่ หอ1   เมื่อทุกคนได้แนะนำตัวกันแล้ว  อาจารย์ก็อบรมเรื่องการอยู่ร่วมกัน   ก่อนแยกย้ายกลับหอ นักเรียนชาวหอต้องสวดมนต์ก่อน  นี่คือกิจวัตรประจำวันของชาวหอ
   
“พี่นนท์ พรุ่งนี้ผมจะตื่นเช้าไปหุงข้าวรอนะครับ”

“เห้ย  เอาจริงดิ  พี่กะว่าจะไปกินข้าวที่โรงอาหารของโรงเรียนน่ะ”

“เดี๋ยวพรุ่งนี้ พี่ลองชิมฝีมือผมละกัน นะครับ” ไอ้คนตัวเล็กพูดจาหนักแน่น

“ฮ่าๆๆ พี่จะปวดท้องไหมเนี่ย”  ได้ทีแซวมันคืนบ้าง

“ผม เชฟประจำบ้านเลยนะพี่”     แหม่.. .ดูมาดมันภูมิใจในตัวเองซะเหลือเกินนะ

“มึงนี่ จะใช้งานน้องมันตั้งแต่วันแรกเลยรึไงวะ”  เสียงไอ้นพที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องน้ำดังขึ้น

“เอียอ๋อยโชว์ฝีมือปุนอาก๋อ* นนท์หยั่น (ผมจะโชว์ฝีมือทำให้พี่นนท์เขาชิมน่ะ)”   (อาก๋อ หมายถึง พี่ชาย)

  ไอ้เจ้าทัชพูดตอบเป็นภาษาถิ่น  ผมเองก็ไม่ค่อยถนัดพูดนัก เพราะในความเป็นจริงไม่ได้เป็นคนชาวเขาแต่กำเนิด พูดเป็นแต่ไม่ค่อยถนัดนัก

“ เออ เดี๋ยวมึงก็จะได้เป็นเบ๊ให้มันตลอดไปหรอก ไอ้ทัช .. พี่มึงก็โดนไปคนนึงละ“

“ไอ้นพ...”  ผมเสียงดังปรามๆมัน จนน้องคนอื่นตกใจ 

“เออ ใช่ๆ พี่แทนก็เคยเรียนกับพี่ที่ ภูเวียง นี่นา”  ทัชพูดออกมาโดยไม่ได้แสดงสีหน้าใดใดเลย

“พี่ขอโทษนะ ไม่ได้ตั้งใจ  ปากมันเผลอไปน่ะ”  ไอ้นพพูดแล้วก็รีบเดินไปตู้เสื้อผ้ามันทันที

“ตลอดอ่ะมึง” ผมไม่วายบ่นตามหลังมันไป

“ไม่เป็นไรหรอกพี่ ทุกคนชินแล้วล่ะ “

อืม..หรือเราจะคิดมากไปเองวะ

“ไว้ว่างๆพี่เล่าเรื่องราวให้ผมฟังบ้างนะครับ พี่แทนก็พูดถึงพี่อยู่บ่อยๆ”

“เหรอ... มันนินทาอะไรให้ฟังมั่ง อย่าไปเชื่อมันนะ ” 

“พ่อกับแม่ก็เคยพูดถึงพี่บ่อยๆนะ  เมื่อเช้าพ่อก็มาส่ง เสียดายไม่เจอกัน  เนี่ย แม่ยังบอกเลยว่า พี่นนท์มาเรียนที่นี่ไงผมก็เลยเลือกมาเรียนที่นี่น่ะ ตอนแรกเห็นก็แทบจำไม่ได้“

“อ้าวเหรอ..พี่หล่อขึ้นใช่ป่ะ ฮ่าๆๆ   เอ้อ ว่าแต่พ่อกับแม่สบายดีใช่ไหม”

“สบายดีครับพี่  แม่บอกว่าถ้าอยากรู้อะไรให้ถามพี่น่ะ เพราะพี่เรียนเก่ง”

“โหยยยย ไม่ใช่ละ ไม่เก่งหรอก แค่เอาตัวรอดได้น่า”

“ผมขอนอนเตียงนี้นะครับตู้เสื้อผ้าก็เลือกตู้ที่ติดกับพี่แล้ว”   เจ้าทัชพูดพร้อมกับชี้มาที่เตียงว่างข้างๆเตียงผม

“อือ ตามใจเลย  ไม่อยากนอนชั้นบนรึไง   ไอ้เชษฐ์มันนอนชั้นบนน่ะ มันจะได้มีเพื่อน ” 

“ไม่อ่ะพี่ ผมชอบนอนข้างล่างมากกว่า “ 

 “ตามสบายเลย  ทัช  อืม งั้นพรุ่งนี้พี่จะรอชิมฝีมือเราละกันนะ”

“ได้เลยพี่”

“ป่ะนอนๆ  พี่จะนอนก่อนละ เอ้า ทุกคนทำธุระเสร็จหรือยัง   เชษฐ์ แกเอื้อมมือไปปิดไฟได้เลย ”

“คร้าบบบ ได้เลยลูกพี่”  ไอ้เชษฐ์ไม่เอื้อมมือไปปิด แต่เห็นมันยื่นเท้าใช้หัวแม่ตีนกดปิดสวิตซ์ไฟแทน  ...เออ สักวันมึงคงได้โดนไฟดูดตาย..

พอไฟมืด ก็มีเสียงคุยกันเล็กๆน้อย แล้วก็เงียบไป  บ้านนอกแบบนี้  สามสี่ทุ่มก็นอนกันแล้วครับ ตอนดึกๆอากาศข้างนอกจะหนาวเย็น  ได้ยินเสียงจั๊กจั่นและแมลงนานาพันธ์ทั้งหรีดหริ่งร้องระงมไปทั่ว ราวกับว่าจะทำหน้าที่ขับกล่อมราตรีนี้ให้ผ่านพ้นไปอีกคืน
ผมหลับตา...ภาพไอ้แทนผุดขึ้นมาแว่บหนึ่งในความทรงจำ มันยืนยิ้มให้ผมหน้าตาสดใส

 “ไอ้แทน...กูโคตรคิดถึงมึงมากเลยว่ะ”

 ไอ้แทนยิ้มตอบรับคำผมแต่ไม่เอื้อนเอ่ยคำใดใดออกมา 

 “พี่นนท์ว่าอะไรนะครับ” 
 
เสียงเจ้าทัชดึงผมออกจากห้วงภวังค์ พร้อมๆกับที่ภาพไอ้แทนเลือนหายไป

“เอ่อ เปล่าๆ ไม่มีอะไร พี่ท่องคาถาก่อนนอนน่ะ” 

แก้ตัวน้ำขุ่นๆได้อีก...

 “คาถาอะไรอ่ะพี่ มีคิดถงคิดถึงด้วย”   

 นั่น ..มันได้ยินด้วยเหรอวะเนี่ย.. 

“เฮ๊ย..ได้ยินหมดเลยเหรอ”   ผมถามด้วยความตกใจเล็กน้อย

“ไม่อ่ะครับ ได้ยินแต่ คิดถึง อะไรสักอย่างนี่แหละ”

“ก็คิดถึงระลึกถึงพระคุณพ่อแม่ พระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ไง  ไปๆๆ นอนได้แล้ว เดี๋ยวเหอะ”

ผมทำท่าทีขึงขังปรามจนไอ้เจ้าทัชรับคำแล้วก็หันไปทางอื่น  เป็นอันจบ





.........................................

เพียงสายลมพัดผ่านใบไม้ไหว
ในหัวใจก็ร้าวรานสะท้านหวั่น
นี่หรือ..คือแรกเริ่มรู้จักกัน
รอเวลาผูกพัน ฉันและเธอ

..........................................


                             








  ..... เป็นห่วง....... Part นนท์/แทน.....





 ภาพตัดย้อนกลับไปช่วงชั้นมัธยมต้น..




 “นนท์..นนท์ ตื่นเถอะ เพื่อนๆมาเยี่ยมกันเยอะเลย ”  อารุจน์ปลุกและตบบ่าผมเบาๆ   

 “ครับ” ผมกึ่งหลับกึ่งตื่น ตอบไปด้วยเสียงแบบง่วงๆมึนๆ อึนๆ   นี่เช้าแล้วรึนี่ ทำไมมันเมื่อยๆยังไงพิกล  ผมลุกจากโซฟา ที่สำหรับคนเยี่ยมไข้นั่งพักแต่ตอนนี้เป็นที่นอนสำหรับผมไปแล้ว 

“อ้าวจารย์ หวัดดีครับ”  ยกมือประหลกๆไหว้อาจารย์พวงเพชร อาจารย์ประจำชั้น 

 “เป็นไงนายอานนท์ นอนไม่เต็มอิ่มซินะ หน้าตาคล้ำเชียวเธอ”  ผมยิ้มแหยๆแต่ไม่ได้สนใจเสียงอาจารย์นัก  หันไปทักเพื่อนๆแทน

“เฮ้ยย พวกมึงมากันทั้งห้องเลยเหรอวะเนี่ย”   พูดพลางหันไปทางเตียงคนป่วย  เพื่อนๆห้อง 2/2 มากันครบเลย

“อ้าวนั่นๆพวกมึงอย่าไปใกล้เตียงดิ เดี๋ยวเตะสายน้ำเกลือเข้าหรอก”   ผมถลาไปใกล้เตียงพร้อมกับชี้หน้าพวกมันทุกคนเป็นเชิงห้ามปราม ไม่ได้ตั้งใจว่าพวกมันหรอกแต่ไม่อยากให้บรรยากาศมันดูอืมครึมแค่นั้นเอง

“ไอ้เชี่ยนนท์ มึงเป็นพ่อมันรึไง เอะอะโวยวายไปได้”  เสียงนายอาธร หัวหน้าประจำชั้นร้องแขวะผมมาประโยคหนึ่ง พร้อมกับเอื้อมมือมาตบหัวผมเบาๆ

 “ไอ้แทน มึงรีบหายไวไวนะ พวกกูรอเตะบอลกับมึงอยู่นะ”  ไอ้หน่องพูดขึ้นพร้อมกับเพื่อนอีกหลายๆคนตอบรับพร้อมกันเป็นลูกคู่    ไอ้แทนตอบได้เพียงแค่คำว่า อื้มๆ  และยิ้มๆแห้งๆยังไม่มีแรงพูด เพราะเสียงมันจะแหบพร่ามาก

 อาจารย์พวงเพชรยืนคุยกับอารุจน์อยู่ตรงมุมระเบียง ปล่อยให้พวกเด็กลิงอยู่ด้านในคุยกับเพื่อนๆไป

“แทน..เธอหิวไหม”  แพรพรรณ  นั่นเอง เธอขยับไปนั่งข้างๆแล้วเอามือกุมมือไอ้แทนไว้  ผมมองแว่บหนึ่งรู้สึกตะหงิดๆแต่ไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก   รู้หรอกน่ะ ว่าเธอแอบชอบไอ้แทนมันอยู่..

 “ ..มะ..ไม่หิว กินข้าวต้มแล้ว”  ไอ้แทนตอบแบบเสียงแหบพร่า  ผมเห็นแล้วแทบอยากจะบอกว่าอย่าถามอย่าพูดอะไรไปมากกว่านี้ กูเป็นห่วงมัน แต่เพื่อนๆอยู่กันเยอะ เลยไม่พูดดีกว่า

“หายไวไวนะ พวกเราทุกคนรอเธอกลับมานะ”   ยังอีก ยังจะถามอีก 

 กลุ่มเพื่อนๆพากันทักทายแวะเวียนมามุงดูไอ้แทนสลับกันไปมา ชวนคุยกันเสียงดังยังกะนกกระจอกแตกรัง จนกระทั่งอาจารย์พวงเพชรเข้ามาบอกว่าได้เวลากลับ

“  พวกเรา มากันนานละ กลับกันเถอะ อย่าไปรบกวนไอ้แทนมันมากเลย”  เออ ใช่เลย คุณชายอาธร  เสียงหัวหน้าชั้นทำให้ผมมีความสุขขึ้นมาทันที แต่ทว่า...

“ดูท่าไอ้อานนท์มันจะหวงไอ้แทนมากว่ะ ทำยังกะเป็นผัวเมียงั้นแหละ”

“อ้าว มึงเหี้ยละ ไอ้อาธร”   แม่ง ...กูอุตส่าห์เพิ่งชมมึงนะเนี๊ย  ป่ะๆๆๆ พวกมึงรีบกลับไปเถอะ ผมคิดในใจ

“งั้นครูกลับก่อนดีกว่ามานานจะรบกวนคนป่วยเปล่าๆ  เอาล่ะเด็กๆ กลับกันได้แล้ว  หัวหน้าชั้น..เธอโทรบอกคนขับรถโรงเรียนมารอที่ด้านหน้าได้เลยนะ”

“ครับอาจารย์”   คุณชายอาธร หัวหน้าชั้นรีบตอบรับทันที  ..แหม่มึงนี่หล่อชิบหาย ถ้ามึงจะไม่ปากหมานะ

“นาย ธีระวัฒน์  ครูและเพื่อนๆกลับก่อนนะ รีบหายไวไวแล้วกลับมาเรียนด้วยล่ะ”  อาจารย์มองมาทางไอ้แทน

“ขะ...ขอบคุณครับ” พูดได้แค่นั้น เพราะเสียงยังไม่มี แหบๆเช่นเดิม

 “ไปละ ไอ้นนท์ มึงดูแลมันให้ดีเท่าชีวิตมึงเลยนะเว๊ย” ไอ้นพ พูดพร้อมกับคุณชายอาธรพยักหน้าเป็นลูกคู่รับ

“เออ เออ มันแน่นอนอยู่แล้ว” ตอบอย่างเสียมิได้ รีบรุนหลังพวกมันให้กลับไปไวไว

คล้อยหลังไปแล้ว จึงได้หันมามองไอ้แทนมันแว่บหนึ่ง  ยามนี้ ดูสีหน้าสดใสมากขึ้นผิดกับเมื่อวาน ซีดจนน่าตกใจ

“นนท์ วันนี้พ่อฝากหน่อยนะ พ่อจะกลับดอย ไปเอาเสื้อผ้าก่อน เดี๋ยวน้องชายพ่อมารับ”

“ครับ เอ้อ แล้วพ่อกินอะไรหรือยังครับ”  ถามเพราะยังเห็นว่าเพิ่งจะสิบโมงกว่า

“ยังหรอก เดี๋ยวพ่อจะกลับไปกินที่บ้าน “ ว่าแล้วก็เดินไปบอกไอ้แทน

“พ่อกลับก่อนนะลูก  ลูกต้องหายไวไวนะ  พ่อกับแม่และน้องๆ รอลูกนะ” ลูบหัวไอ้แทน ด้วยความรักใคร่

ผมมองแล้วน้ำตาปริ่มๆ  ผมหยิบส้มและนมกล่องที่เพื่อนๆเอามาฝาก ให้อารุจน์ไว้กินรองท้องกลางทาง
ผมเดินลงมาส่งอารุจน์ด้านล่าง  แต่แกบอกแกจะรอน้องชายเอง ให้ผมอยู่เฝ้าไอ้แทน

 เปิดประตู เข้ามา มองไปที่เตียง  ไอ้แทนมันคงหลับแล้วกระมัง   ผมเดินเลยไปทางฝั่งหน้าต่างโรงพยาบาล เปิดผ้าม่านหน้าต่างไว้ครึ่งหนึ่ง   เปิดทีวีทิ้งไว้แล้วเข้าห้องน้ำทำธุระส่วนตัวเสร็จแล้วก็ยังเห็นไอ้แทนมันหลับตาอยู่   เลยไม่ได้สนใจปล่อยมันหลับไป  ผมนั่งดูทีวี จนเผลอหลับไปตอนไหนไม่รู้ ตื่นมาอีกที ตอนพยาบาลเอาอาหารกลางวันมาให้
ข้าวต้มอีกแล้วรึนี่...น่าเบื่อว่ะ ...แต่คนไข้มันจะไปกินอะไรได้ล่ะเนาะ  พยาบาลวัดไข้ ทำอะไรต่อมิอะไรอีกชั่วอึดใจก็กลับออกไป สักพักก็มีหมอมาดูอาการอีก เห็นหมอพลิกหัวมันไปมาแล้วนึกเคือง เพราะได้ยินเสียงมันร้อง โอดโอย

“ยังมีเลือดซึมอยู่นะคะ หากเป็นไปได้ อย่าพยายามขยับศรีษะนะคะ ป้องกันสมองกระทบกระเทือน”  หมอพูดปนเสียงดุนิดๆ   หมอเป็นแบบนี้ทุกคนรึเปล่าวะเนี่ย

 “น้องเพื่อนคนไข้ เดี๋ยวทานอาหารเสร็จแล้วอย่าลืม ให้คนไข้ทานยาตัวนี้ด้วยนะคะ”  ยกขวดยามาชี้แจงยกใหญ่
พอคล้อยหลังหมอไป ผมก็ปรับเตียงให้หัวมันขึ้นเพื่อเตรียมกินข้าวต้ม เห็นมันร้องเจ็บผมเลยค่อยๆเลื่อนหัวมันลง

“มา เดี๋ยวกูป้อนเอง”  ผมพูดพร้อมตักข้าวต้มและเป่าให้มันไปด้วย  เห็นมันยิ้มแค่มุมปากผมก็มีความสุขแล้ว

“กินเยอะๆเว้ยมึง จะได้หายเร็วๆ “   พร้อมกันนั้น ผมก็ยกหลังมือแตะหน้าผากมัน และตรงคอใต้คางข้างแก้ม

“อืม ไม่ร้อนแล้ว ไม่มีไข้แล้ว กูดีใจนะ มึงก็รีบหายไวไวล่ะ”

มันกินไปแค่สามสี่คำ ก็ยกมือบุ้ยใบ้ว่าไม่กินแล้ว แต่ผมไม่ยอม

“ไอ้ห่ะ กินแค่สองสามคำเอง ไม่ต้องเลย เดี๋ยวมึงต้องกินยานี่อีก” ผมพูดพร้อมกับจ่อช้อนข้าวที่ปากมันอีก มันก็อ้าปากกินอย่างเสียมิได้ แถมมองหน้าผมอีก 

“มองทำไม เดี๊ยะ ป่วยอยู่กูก็ไม่สนนะเว้ยเดี๋ยวตบให้กะโหลกแตกอีกรอบอ่ะ”   แน่ะ ยังมองค้อนอีกนะมึง

ผมบังคับมันกินอีกจนเหลือครึ่งถ้วยคราวนี้มันไม่ยอมท่าเดียว ผมเลยปล่อยตามใจ มัน

“เออๆ พักแปปนึงเดี๋ยวมึงต้องกินยาต่อ”  พูดพร้อมยกถาดอาหารออกไปแต่ยังไม่ปรับเบาะลง

“น..น้ำ ”

“เออ รู้แล้วน่า กูมีมือแค่สองมือ ไอ้สัส รอแปป” ผมพูดอะอะโวยวายไปงั้นแหละ  แต่เต็มใจทำให้มันอยู่แล้ว
แต่ให้มันกินแค่สองสามอึก เพราะเดี๋ยวมันต้องกินยาอีก กลัวท้องเต็ม  สักพักหนึ่งก็เอายาให้มันกิน

“นั่นแหละ ดีมาก จะได้หายไวไว”

“ไอ้นนท์....กูปวดฉี่”   เอาแล้วสิ เพิ่งแดกน้ำลงไป จะปวดฉี่เหี้ยไรไวนักวะ แล้วนี่กู  จะทำไงวะ  ผมยกกระโถนในห้องน้ำมาแล้วเก้ๆกังๆ ไม่รู้จะทำยังไง

“มึง...ช่วยกูถอดกางเกงออกก่อน”  มันสั่ง แต่ผมก็เก้ๆกังๆ เอาไงดีวะ  ผมค่อยๆปลดสายเชือกกางเกงโรงพยาบาลที่มัดไว้หลวมๆออกให้มัน

“เออ แล้วมึงก็จัดแจงทำต่อเองนะ กูจะไม่มองของมึงหรอกอันนิดเดียว”  ผมยื่นกระโถนไปพร้อมกับหันหน้าไปอีกทาง

“ไอ้สัส มึงเห็นแขนกูมั๊ย” พูดแบบพยายามตะเบ็งเสียงที่แหบพร่า.. เออ ใช่ แขนมันยกไม่ได้นี่หว่า เอาไงล่ะกูทีนี้

“ไอ้เชี่ย..กูจะทำไงวะ”

“เอาน่ะ มึงอย่าไปบอกใครละกัน”

“เออ เออ “ ผมค่อยๆดึงกางเกงโรงพยาบาลลงนิดหน่อยพอให้พ้นระยะไอ้จ้อนของมัน แล้วกะเอาว่ายื่นกระโถนไปแค่ไหนมันถึงจะฉี่ใส่ได้  ยื่นกระโถนไปตรงบริเวณไอ้จ้อนของมันโดยหันหน้าไปอีกทาง วางกระโถนไว้กะให้ตรงกับไอ้จ้อนของมัน

“ไอ้เชี่ยนนท์...เอามันตรงๆดิวะเดี๋ยวกูก็ฉี่ใส่เตียงโรงพยาบาลนี่หรอก”

 “เห้ย แม่ง.. ไม่ต้องเลยมึง  เออ เออ เดี๋ยวกูทำให้เอง “   เอาวะ เป็นไงเป็นกัน ผมจัดการเอากระโถนจ่อไปที่ไอ้จ้อนของมัน โดยไม่กระดากอายแล้ว  แต่ทำไมกูต้องหน้าร้อนด้วยวะ แม่งเอ้ย..

“ไอ้สัสเล็กนิดเดียว ทำมาปากดีนะมึง”    ยังจะพูดแก้เขินได้อีกนะกู..

“K....ไอ้นนท์ มึงต้องดูตอนมันตื่น  มึงสู้กูไม่ได้หรอก”  เชี้ยเอ๊ย ยังมีหน้ามาพูดทับถมอีก

“หึหึ...ถุย...ใครจะไปดูของมึงวะ  สั้นกว่าหนอนไม้ไผ่อีก”   ผมแค่นหัวเราะพูดเยาะเย้ยมันต่อ

“มึงติดหนี้บุญคุณกูละ  เดี๋ยวหายดีแล้วมึงต้องมาซักผ้ารีดผ้าให้กูเดือนนึงเว้ย”

“โห..เล่นงี้เลยเหรอ งั้นกูป่วยต่อเลยละกัน”

“ไอ้สัส พูดเชี่ยไร  มึงนี่ไม่เข้าใจว่าคนอื่นเป็นห่วงมึงมากแค่ไหน”  แม่ง เดี๋ยวบ้องหูซะเลยดีมั๊ยเนี่ย 

มันหัวเราะหึๆในลำคอ

“เอ้า เอาไป..เช็ดหนอนมึงซะ” ผมโยนผ้าไปให้มัน  ลืมไปว่ามันยังขยับแขนไม่ถนัด เห็นทำหน้ายักคิ้วมองผมแบบจะด่าว่า มึงเห็นสภาพกูมั๊ย......

“เออๆๆๆ  ไอ้ห่า อย่างกะกูไปติดหนี้อะไรมึงไว้งั้นแหละ ”   พูดไปก็หันหน้าไปอีกทางแล้วกะระยะเช็ดๆไอ้หนอนสั้นๆของมัน ได้ยินเสียงมันจึ๊ปากไม่พอใจเบาๆ แต่ผมไม่สนใจ  นี่ขนาดมันยังสงบนะ แม่งถ้ามันตื่นจะขนาดไหนวะ  ..เหี้ย..แล้วกูจะคิดห่าอะไร  รู้สึกหน้าร้อนขึ้นอีก แม่ง เกิดมาก็เพิ่งเคยเช็ดไอ้จ้อนคนอื่น   เพราะมึงเลยไอ้เหี้ยแทน...

“เป็นเหี้ยไรมึง มันก็เหมือนของมึงอ่ะ ถ้ากูขยับได้มึงอย่าหวังจะได้เห็นน้องชายกู”

“ถุย  ถ้ามึงไม่ป่วย  จ้างให้กูก็ไม่ช่วยมึงหรอก  อย่ามาปากดี มึงติดหนี้บุญคุญกูแล้ว จำไว้ให้ดีละกัน”  ผมพูดไปพร้อมกับจัดแจงมัดสายกางเกงโรงพยาบาลพอหลวมๆแล้วเดินเอาฉี่มันไปทิ้งในชักโครก 

“ไอ้นนท์ มานี่หน่อย”  มันผงกหัวเรียก ผมเดินไปหามันเอาเก้าอี้มานั่งข้างๆตัวมัน  ไอ้แทนมันกระดิกแขนทำท่าจะยกขึ้นมา ผมเลยเอื้อมไปจับมือมันไว้ มันไม่มีแรงจับมือผมหรอกแต่กระดิกนิ้วเหมือนจะจับมือผมไว้แน่นๆ
ผมอึ้งนิดหน่อย แต่ก็ปล่อยมัน

“กูน่ะรู้  ว่ามึงดีกับกูมาก ที่ผ่านมา กูดีใจนะที่มีมึงเป็นเพื่อน”  ผมยิ้มให้มัน แต่ก็ยังคงเงียบเพราะอยากรู้ว่ามันจะพูดอะไรต่อ

“กูก็ไม่รู้หรอกว่ามันคืออะไรยังไง  แต่กูก็รู้สึกดีนะเว้ย ที่มีมึงอยู่ข้างๆกู” 

“เออ กูก็เหมือนกันแหละ”  ผมพูดบ้างและเอามือตัวเองจับมือของมันแน่น 

“สองปีที่ผ่านมา เวลากูอยู่กับมึง กูสบายใจว่ะ กูไม่ชอบเวลาเห็นมึงทำหน้าทุกข์ใจ”

ผมมองหน้าและฟังมันพูดต่อ

“ไม่รู้สิ..กูพูดตรงๆนะ”  เหมือนมันจะกลั้นใจกลืนน้ำลายลงคอ สูดหายใจเต็มปอด แล้วพูดออกมา

“กูมีความสุขมาก  เราทำอะไรร่วมกันมาเยอะแยะมากมาย กูดีใจที่มีมึงอยู่ข้างๆกู”   ถึงตอนนี้ผมไม่ได้มองหน้ามันแล้ว ก้มหน้ายิ้มอย่างเดียว ...ว่าแต่ นี่คือกูเขินเหรอวะ เหอะๆ..

“กูไม่รู้หรอกว่าทำไม...แต่มึงรู้ไว้เถอะ ว่าสำหรับกูแล้ว มึงเป็นมากกว่าเพื่อนว่ะ  แต่กูก็ไม่รู้จะพูดยังไงให้มึงเข้าใจ”

ผมเงยหน้ามองไอ้แทน  ไอ้แทนมันก็มองตอบนะ พร้อมกับกระดิกนิ้วในฝ่ามือผม

“กูก็เหมือนกัน อยู่กับมึงกูแล้วกูสบายใจไม่ต้องคิดอะไรมากเลย ” ผมพูดพร้อมกับมองหน้ามัน

“กูดีใจนะ ที่มีมึง เอาจริงๆ”  ได้ยินแบบนั้นผมยิ้มให้มันด้วยความรู้สึกที่เต็มเปี่ยมด้วยความรักความห่วงใย ผมมีความสุขจริงๆที่ได้อยู่กับมัน อยู่เคียงข้างกันมานานเกือบสองปีเต็ม เราต่างทำกิจกรรมร่วมกันมามากมาย

“มึงสัญญากับกูได้ไหม...ว่าพวกเราจะเป็นแบบนี้ตลอดไป จะไม่ทิ้งกัน”   มันพูดพร้อมกับเขย่ามือผม

“แน่นอน ไอ้แทน มึงมันเพื่อนรักกู กูไม่มีวันทิ้งมึงไปหรอก กูสัญญา” 

ผมให้คำสัญญาด้วยความตั้งใจแน่วแน่และหนักแน่น  ใช่...กูจะทำเช่นนั้นอย่างแน่นอน ไอ้แทน มึงไม่ต้องห่วงเลย ..

“มึงเอากูลงเถอะ กูชักจะง่วงๆแล้ว”   ผมจึงจัดแจงเลื่อนให้เตียงขยับเลื่อนลงแต่ไม่ถึงกับราบ เพื่อไม่ให้ศรีษะมันอยู่ต่ำกว่าตัวมัน
 
“เออ เออ มึงพักเถอะ กูจะอยู่ ข้างเตียงมึงนี่แหละ”   

ผมมองดูมันจนมันหลับไปแล้ว ก็รู้สึกว่าตัวเองชักจะง่วงๆตามมันไปอีกคน  เลยลุกขึ้นไปหยิบส้มมาแกะกินแก้ง่วง

“โอ้โห.. คนป่วยนี่ดีเนาะ ของกินเพียบเลยว่ะ” ผมพูดเบาๆ  ไม่ได้ตั้งใจให้มันได้ยิน แต่หันหน้าเหลือบไปมองก็ยังเห็นมันหลับตาอยู่ เลยเปลี่ยนช่องทีวีดูต่อไป




......



“นนท์ ...นนท์ “ เสียงผู้หญิงเรียกผมนี่นา นี่มันเย็นแล้วหรือนี่

“อ้าวแม่ หวัดดีครับ มาตอนไหนครับเนี่ย”  หันไปมองทางเตียงก็เห็นพ่อกับน้องชายไอ้แทนสองคนยืนคุยกับไอ้แทนอยู่  พร้อมกับไอ้นพและไอ้เน ...

“มาสักพักละ เห็นนนท์หลับอยุ่เลยไม่อยากปลุก เพราะคงเหนื่อยมาทั้งวันทั้งคืน” แม่พูดพร้อมลูบหัวผมเบาๆ

“แต่เย็นแล้ว เดี๋ยวแม่จะกลับเพราะไม่มีใครเฝ้าบ้าน เลยปลุกนนท์น่ะ”

“อ๋อ ครับ เอ้อ ไม่นอนที่นี่หรือครับ”   

“ต้องกลับไปดูแลที่บ้านก่อนจ๊ะ แล้วค่อยลงมาใหม่ ยังไงแม่ขอบใจลูกมากนะที่คอยดูแลแทนให้”

“ครับไม่ต้องห่วง มันเพื่อนรักผม ผมต้องดูแลอยู่แล้ว” ตอบหนักแน่นด้วยความรู้สึกยินดีอย่างเต็มเปี่ยมล้น

“ไม่ต้องห่วงหรอกป้าหมวง  ไอ้นนท์มันดูแลอย่างกับเป็นแฟนกันเลยทีเดียวล่ะ” ไอ้เน พูดแทรกมากะทันหัน

“ไอ้สัสเน อารุจน์ก็อยู่นี่นะ”  ผมพูดด่ามันไป แต่พ่อกับแม่ไอ้แทน ก็หัวเราะและยิ้มอย่างอบอุ่น

“เออ นี่เอาไป เสื้อผ้ามึง กูเตรียมเผื่อมาให้แล้ว”  ไอ้เนโยนกระเป๋าเป้มาให้

“พอดีเลย มึงเอาเสื้อที่ใส่แล้วนี่ไปซักให้กูด้วย”  ผมชี้ไปที่กองเสื้อผ้าและชุดนักเรียน

“ไม่ต้องเลยมึง อย่ามาใช้กู” มันพูดพร้อมกับชี้หน้ามา ทางผม   ผมเลยหันไปทางไอ้แทน

“เออ ไอ้แทน..งั้นมึงรีบๆหายไวไวเลย กูจะเก็บไว้ให้มึงซักรีดให้กูละกัน เอาคืนที่กูต้องช่วยมึงฉี่แล้วเอากระโถนไปทิ้งชักโครก”
อ้าว ซวยแล้ว กูพูดอะไรออกไป 

“ไอ้ย่ะ..”   นั่นไง ไอ้นพไอ้เนพูดพร้อมกันเสียงดัง ..แม่ง แล้วพวกมึงจะพูดดังทำห่าไรว้า

“ช่วยกันฉี่ด้วย แหม่ๆๆ” ไอ้เนมันแซว คนอื่นก็หัวเราะไป ผมเหลือบไปมองทางพ่อกับแม่ไอ้แทน เห็นท่านยิ้มๆ ไม่ได้พูดอะไร

“เอาล่ะ งั้นแม่จะกลับละนะ .. แทน..ลูกต้องรีบหายไวไวนะจ๊ะ เข้มแข็งไว้นะลูก” แม่สวมกอดและลูบหัวมันอย่างอ่อนโยนก่อนจะกลับไป ผมแอบเห็นน้ำตาซึมๆของแม่ แล้วรู้สึกใจหายเหมือนกัน

 “ทัช... ธีร์.. เรากลับกันเถอะจ๊ะลูก” แม่หันมาเรียกไอ้คนตัวเล็กสองคน น้องชายไอ้แทน วิ่งไปเกาะแขนแม่  ไอ้ตัวเล็กนี่น่าจะอยู่แค่ ป.4-5เอง หน้าตาเหมือนๆกันกับไอ้แทนเลย แต่ตัวคล้ำกว่า ยังตัวเล็กเกินกว่าจะรู้อะไรเป็นอะไร  ยกมือไหว้พี่ๆ แล้วก็เกาะแขนแม่ออกไป

“ไอ้แทน มึงเป็นไงบ้าง ยังเจ็บหัวอยู่มั๊ย”  ไอ้นพถามขึ้น ไอ้เนก็ขยับมานั่งอยู่ข้างเตียง ส่วนพ่อลงไปพร้อมกับแม่แล้ว

 “ถ้าพลิกตัวก็จะรู้สึกตึ้บๆอยู่นะ”

“อย่าไปจับนะ แผลมันยังมีเลือดซึมๆอยู่” ผมตะโกนโวยวายเสียงดังใส่พวกมันก่อนที่พวกมันจะจับหัวไอ้แทนขึ้นเพื่อดูแผลที่บริเวณหลังใบหู..

“เออ รู้แล้วน่า  แม่ง ไอ้นนท์นี่มันหวงมึงเกินไปป่าววะ”   ไอ้เนพูดพร้อมกับหันไปมองไอ้แทน ซึ่งเจ้าตัวได้แต่ยิ้มไม่พูดอะไร
ไอ้เนและไอ้นพ หันมามองหน้าผม พร้อมแค่นหัวเราะเบาๆ

“ไปเลยพวกมึง จะไปไหนก็ไป  รีบกลับไปเลย” ผมรีบรุนหลังไล่ให้พวกมันกลับ เพราะมันเริ่มจะพูดมากกันแล้ว

“ไอ้เชี่ยนนท์มึงไล่กูเลยเหรอ “

“เออ ไปๆๆ คนไข้จะพักผ่อน” ผมหาข้ออ้างเพื่อจะไล่ให้พวกมันกลับไปไวไว

“เห้ย ไอ้เน ไปกันเถอะ ปล่อยให้ผัวเมียมันได้อยู่คุยกันต่อ”    นั่นปากเร๊อะไอ้นพ..

“ไอ้สัสนพ มึงพูดมากไปละ”  ผมจ้องมันตาเขม็ง แต่มันกลับไม่สะทกสะท้านแถมยังลอยหน้าลอยตายักไหล่ทำยียวนกวนประสาท

“เออ ว่าแต่ พวกมึงใครเป็นผัว ใครเป็นเมียวะ” นั่นไง ไอ้เนไม่วายหันมาพูดพร้อมทำท่ากวนส้นตีนสุดๆ  หัวเราะเยาะกูเข้าไป อย่าให้ถึงตากูบ้างก็แล้วกัน

“ไอ้เหี้ยเน...ไปๆ รีบไปซะ”   ผมทำทีไล่เตะและผลักมันออกไป ไม่วายมันยังหันมาหัวเราะหึๆใส่หน้าผมอีก  แม่งงงเอ๊ยยอยากเอาตีดฟาดปากสักป้าป......ได้แต่คิด..

 หันมามองไอ้แทน มันกลับยิ้มชอบใจ  เอออ กูดีใจนะที่มึงยิ้มได้

“ยิ้มไรวะ”  แกล้งถามไปงั้น  แต่มันไม่ตอบแค่ยักคิ้วเบะมุมปากบอกให้รู้ว่ามันจะบอกว่า

ไม่รู้ไม่ชี้  ...เออ จำไว้เลย...หึๆ มึงหายดีก่อนเถอะกูจะใช้มึงทุกวันเลยคอยดู



   .........................................


  ผมเข้าๆออกโรงพยาบาลแรมเดือนระหว่างที่พ่อกับแม่ไอ้แทนลงมาเฝ้าดูแล  กระทั่งไอ้แทน ทำกายภาพบำบัดจนหมอให้ออกโรงพยาบาลไปพักฟืนที่บ้านได้ พ่อกันแม่ทำเรื่องลากับโรงเรียนไว้อีกหนึ่งเดือน เห้อ...ผมนี่หงอยเหงาไปเลย ชีวิตวันๆก็มีแต่เรียนๆเลิกเรียนก็กลับหอหุงข้าวทำกับข้าว ตื่นเช้าก็มาเรียน  ดูเหมือนมันจะขาดสีสันไปเลย  ซึ่งกิจกรรมที่เคยทำร่วมกัน ไม่ว่าจะปีนต้นไม้ตัดกิ้งไม้แห้งทำฟืน  ช่วยกันซักผ้า อาบน้ำด้วยกัน ไปดูทีวีบ้านภารโรงด้วยกันตอนกลางคืน  ซึ่งดูมันกร่อยๆหงอยๆเหลือเกิน อยากไปเยี่ยมมันที่บ้านจัง  บ้านมันกับบ้านผมคนละอำเภอเลย ซึ่งบ้านผมอยู่บนดอยปลายๆอำเภอปรุง ซึ่งจะติดเขตอำเภอเวียงคำ  เคยไปตอนอยู่ม.1แต่ก็ไปกลับ แป๊ปเดียว  เอาน่ะ เดี๋ยวสักวันกูจะขึ้นไปเยี่ยม เพราะกูคิดถึงมึงมากเหลือเกิน ไอ้แทน..













                .................................................................................

                                    ยินเสียงซ่าซ่าสายน้ำไหล
                            เสียงสรรพสัตว์ดังก้องไกลกล่อมไพรกว้าง
                                 เมฆหมอกห่มคลุมสองข้างทาง
                             เดินคนเดียวช่างอ้างว้างเสียนี่กระไร
                                อยากให้เธอมาเดินอยู่เคียงข้าง
                             ได้โปรดอย่าเหินห่างจากไปไหน
                                 ฉันเหงาเหลือเกินแทบขาดใจ
                             เหมือนจะเดินคนเดียวต่อไป..ไม่ไหวแล้ว

              ...................................................................................




หัวข้อ: ทัช..สัมผัสใจ ตอนที่2 (10-July-2017)
เริ่มหัวข้อโดย: thewa.arak ที่ 10-07-2017 14:50:35
ตอนที่2




...เลือกชมรม....Part นนท์/ทัช...



         บ่ายสามโมงเย็นของวันศุกร์ เด็กนักเรียนจะมาเลือกชมรมกัน ซึ่งเป็นชมรมที่ทุกระดับชั้นเรียนต้องเลือก แน่นอนว่าผมก็ต้องเลือกอยู่ชมรมภาษาอังกฤษ เพราะถนัดที่สุดแล้ว ไม่ใช่ว่าเก่ง แต่สมัยนั้น  เฉพาะเนื้อหาในบทเรียน ..หึๆ

  “เอ้า เชิญทางนี้เลยครับน้องๆ ที่สนใจในภาษาอังกฤษ เข้ามาต่อแถวลงชื่อได้เลยครับ” ผมยืนถือป้ายชมรมอยู่บนเก้าอี้ ตะโกนเรียกน้องๆให้มาเข้าชมรมตัวเอง

“น้องๆ เชิญทางนี้ดีกว่าครับ ฝึกสมองฝึกความสามารถทางปัญญา เชินทางนี้ครับ ชมรมคณิตศาตร์ “  ไอ้เขียว ประธานหอพักนักเรียนมันตะโกนแข่งกับผม

“พี่นนท์ พี่นนท์ ผมอยู่กับพี่นะ” ได้ยินเสียงไอ้เจ้าทัชมันเรียก ผมหันไปมองมันเห็นมันยิ้มพาเพื่อนมาอีกสามสี่คน

“นั่นเลย ลงชื่อที่พี่แพรได้เลย เวลคัมนะครับน้องๆ”  ผมยิ้มให้กับน้องๆที่เข้าแถวต่อคิวลงชื่อ ผมเหลือบไปมองชมรมไอ้เขียว เออ มันก็มีคนเยอะเหมือนกันนะ  ผมกับมันเองก็ช่วยๆกันสอนให้กันครับ  ผมไม่ถนัดที่สุดเลยไอ้วิชาคณิตศาสตร์เนี่ย ถึงได้มาเลือกเรียนสายภาษา  มันก็สอนคณิตศาสตร์ให้ผม ผมก็ช่วยมันเรื่องภาษาอังกฤษในบทเรียน 

“น้องโรส น้องโรส สนใจชมรมคณิตศาสตร์ไหมครับ”  ได้ยินเสียงไอ้เขียวมันเรียกชื่อ ผมหันขวั่บไปดูทันที  เห็นมันยิ้มทักน้องโรส ที่มากับกลุ่มเพื่อนสาวๆอีกห้าคน

“หนูจะมาสมัครอยู่ชมรมภาษาอังกฤษค่ะ”   
    ห๊ะ ... ผมหูผึ่ง น้องโรสอยากอยู่ชมรมเดียวกับกูเหรอเนี่ย   วะๆว๊าวๆ

“เป็นไงไอ้เขียว น้องเค้าจะอยู่ชมรมเดียวกับกูเว้ย  ฮ่าๆ”  ผมตะโกนทำท่าล้อเลียนใส่มัน มันยกนิ้วกลางให้แล้วชี้หน้า

“เชิญเลยครับ น้องโรส ลงชื่อที่พี่แพรเลยครับผม ยินดีต้อนรับครับ”
ผมทำท่าทางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ดีใจ ที่น้องโรสมาอยู่ด้วย   น้องโรส  เด็กสาว ม.3น่าตาน่ารักมีหนุ่มๆหมายปองหลายคน มีลักยิ้ม ผมเองก็ชอบ เห็นแล้วน่ารักทำให้ยิ้มได้ไม่หุบปาก น้องโรสยิ้ม  โอ๊ยยย หนุ่มๆต้องใจละลายแหงๆ

   สรุปว่า ปีนี้ ชมรมภาษาอังกฤษเรา มีสมาชิก 30คน  อาจารย์สุนีย์ให้น้องๆเลือกประธานชมรม นักเรียน ม4. มีสองคน คือผม 4/2  และเพื่อนผม ศรีแพร 4/1 ดังนั้น น้องๆจึงเลือกใส่ชื่อมาสองคน  ความจริงผมไม่อยากเป็นเลย ไม่ค่อยชอบ แต่ผลโหวตออกมา ผมได้รับเลือกให้เป็นประธานชมรม ส่วน แพร เธอเป็นรอง คะแนนห่างกัน 3คะแนนเอง

“เธอเป็นประธานน่าจะเหมาะกว่าว่ะ แพร เราขี้เกียจอ่ะ”

“เธอเป็นน่ะดีแล้ว น้องๆเขาชอบเธอกันให้ลึ่ม ชิๆ” ศรีแพรแซวผม

“เธอเก่งกว่าฉันอีกน่ะ”  ผมพูดออกไปตามที่รู้สึกจริงๆ

“อย่ามาถ่อมตัวเลย เออ นนท์ เราว่าจะให้น้องๆแนะนำตัวก่อนแล้วเราให้น้องๆจับกลุ่มบั๊ดดี้กันดีไหม”

พวกเราให้น้องๆ เขียนชื่อ ใส่กระดาษ ลุกขึ้นยืนแนะนำตัวแล้วเอากระดาษดังกล่าวใส่ลงในโถแก้ว   โดยแบ่งออกเป็น 2กลุ่ม  มีสมาชิกกลุ่มละ14คนไม่รวมผมและแพร  เมื่อได้สมาชิกแล้ว ก็นั่งลงแล้วอาจารย์ก็แนะนำตัวจากนั้นแจกสมุดชมรมให้สมาชิก กำชับให้เขียนชื่อสมาชิกในกลุ่มตัวเองทุกคนและทำความรู้จักกันไว้ แล้วก็ปล่อยนักเรียนกลับได้


“พี่นนท์คะ”  น้องโรสทักทายผม

“ว่าไงครับ น้องโรส มีอะไรให้พี่ช่วย” ผมยิ้มตอบ เขินๆเล็กน้อยๆ

“ต่อไป น้องจะเอาการบ้านภาษาอังกฤษมาถามพี่นนท์ รบกวนพี่นนท์ช่วยสอนด้วยนะคะ”

“โอ้  ได้เลยครับ ยินดีช่วยเต็มที่ แต่พี่ก็ไม่ได้เก่งอะไรนะครับ จะพยายามช่วยอธิบายเท่าที่พี่เข้าใจก็แล้วกันนะ”

“พี่นนท์ชอบถ่อมตัวเนอะ อาจารย์ยังชมเลยว่า พี่นนท์เก่ง”  น้องพลอยปรีดาเพื่อนน้องโรสพูดแทรกกลางขึ้นมา

“มันก็มีอยู่ในบทเรียนแหละครับ ขยันอ่านหน่อยก็ทำได้ อีกอย่างพี่ชอบภาษา เลยดูเหมือนว่าถนัดมากกว่าวิชาอื่น”  ผมพูดอธิบายไปตามจริง เพราะจริงๆแล้วผมก็ไม่ได้เก่งอะไรหรอก แค่ชอบภาษาเท่านั้นเองเลยขยันมากกว่าวิชาอื่น 

“พี่นนท์ พี่นนท์ “

ผมหันไปตามเสียง  ไอ้เจ้าทัชนั่นเอง พอดีกับที่ น้องโรสกับน้องพลอยก็ขอตัวกลับก่อน

“อ่ะ ว่าไง เป็นไงมั่งอยู่กลุ่มพี่แพร”

“ผมอ่ะนะ จริงๆแล้วผมอยากอยู่กับพี่มากกว่า เสียดายมากเลย เนี่ยจะขอแลกกับไอ้ตึ๋ง มันก็ไม่ยอม”

 ว่าแล้วก็หันไปถลึงตาใส่เพื่อนมัน

“ไอ้ห่า ตามดวงมึงสิวะ กูก็อยากอยู่กลุ่มพี่นนท์มั่งเหอะ”  ไอ้ตึ๋งตอบ

“ฮ่าๆๆ ขนาดนั้นกันเลยเชียว  เอาน่ะ มันก็ชมรมเดียวกันแหละ เอ็งโชคดีแล้วไอ้ตัวเล็ก ที่ได้อยู่กลุ่มพี่แพร  พี่แพรเค้าเก่งกว่าพี่อีก”

“อ้าว พี่พูดอย่างงี้ ผมย้ายมั่งดีมั๊ยครับ มา ไอ้ทัช กูตกลงแลก”  ไอตึ๋งหันไปทำท่าจะจับมือกับทัช

“พวกเอ็งนี่ เว่อร์ไปแล้ว ไปๆ กลับบ้านกันได้แล้ว”  ผมรีบตัดบทเพราะเริ่มรำคาญไอ้เจ้าสองคนนี้   ไอตึ๋งมันไม่ได้อยู่หอ มันต้องรีบไปขึ้นรถสองแถวรับส่ง ส่วนทัช เดินกลับพร้อมผม

ผมกับเจ้าทัชเดินลงบันได้แล้วเดินลัดเลาะด้านหลังอาคารเรียนเพื่อเดินกลับหอพัก ยังคงเห็นมีนักเรียนบางส่วนจับกลุ่มกันตามใต้ต้นไม้บ้าง ตรงสวนป่าพุทธธรรมบ้าง

“เอ้อ วันนี้กินอะไรกันดีล่ะ “ ผมแกล้งถามไอ้เจ้าทัช

“ยังไม่รู้เลยพี่ ผมจะลงไปเตะบอลกับพวกเพื่อนอยู่” 

“อ่อ งั้นเดี๋ยวพี่ทำให้กินดีมั๊ย” ผมตอบและมองหน้ามันเลิกคิวนิดหน่อยลองดูเชิงมัน

“กินได้เหรอพี่ ฮ่าๆๆ”

แล้วคราวก่อนมึงกินได้ไหมล่ะ” ผมตบหัวมันไปทีนึงเบาๆ

“โอเคๆ ผมจะรอชิม”

“แต่มึงต้องมาซักเสื้อผ้าชุดนี้ให้พี่นะ”

“โห พี่อ่ะ   นี่มันเริ่มจะเป็นเหมือนที่พี่เนบอกละเนี่ย”

ผมรีบหันขวั่บมองหน้ามันอย่างคาดคั้นคำตอบ

“ไอ้เนมันบอกอะไร  มันว่าอะไร”

“ป่ะ ป่าวๆพี่ ไม่มีอะไร “ ไอ้เจ้าทัชรีบยกมือทำท่าโบกมือปฏิเสธไปมา

“จะบอกมั๊ย ไม่บอกอย่าหวังว่าคืนนี้พี่จะสอนการบ้านให้ที่ห้องสตั๊ดดี้นะ”   ผมพูดขู่มันไปงั้นแหละ

“โห่ พี่นนท์ ใจร้ายอ่ะ “  ไอ้เจ้าทัชทำหน้าหงอทันที เห็นแล้วก็น่าสงสาร แต่ยังหรอก กูจะแกล้งมึงต่อไปเรื่อยๆ

“ก็บอกมาสิวะ ไอ้เนมันว่าอะไร”

“ก็พี่เขาบอกว่า พี่แทนเคยเป็นเบ๊ให้พี่นี่นา แล้วนี่ผมก็คง..”

“ไอ้ทัช..” ผมหยุดเดินตะโกนใส่หน้าเสียงดังเล็กน้อย

“ขอโทษครับ ผมแค่แซวเล่น”

“ก็ไม่ได้ว่าอะไรนิ ตกลงจะซักให้พี่มั๊ย”  ผมมองหน้ามันและคาดคั้นอีก

“ก็ได้ๆ เดี๋ยวผมซักให้ ไม่สะอาดไม่รับประกันนะคร๊าบ” มันลากเสียงยาวทำท่าทางล้อเลียนผม ผมเลยยกมะเหงกโบกหัวมันไปอีกทีเบาๆ

“โอ๊ยพี่นนท์อ่ะ แกล้งผมอีกแล้ว  ไปละไม่สนใจละ” ว่าแล้วมันก็เตรียมท่าออกวิ่ง

“เฮ๊ย ทัช ..เอาหนังสือพี่ไปเก็บให้หน่อยดิ” ไอ้เจ้าทัชหยุดกึกหันมารับสมุดหนังสือผมไปอย่างว่าง่าย แล้ววิ่งขึ้นเนินไปยังหอพัก

“วางทิ้งไว้บนเตียงพี่เลยนะ  แล้วอย่ากลับมาเย็นนักล่ะ“ ผมตะโกนตามหลังมันไป มันชูนิ้งโป้งขึ้นโดยที่ไม่ได้หันกลับมา




.

.

.





...บ้านต้นไผ่......Part นนท์/แทน...




    บ่ายวันเสาร์ หลังจากที่ผมทำธุระซักเสื้อผ้า หากิ่งไม้แห้งเตรียมไว้ใช้ทำฟืนสำหรับทำครัวในสัปดาห์ถัดไปแล้ว ผมก็ซ้อนแมงกะไซค์ไอ้นพขึ้นไปเยี่ยมเยียนไอ้แทน ที่บ้าน ต้นไผ่  ห่างจากโรงเรียนภูเวียงวิทยาถึง 68กิโลเมตร  บ้านมันอยู่บนดอยสูงมากถนนหนทางเป็นดินลูกรัง ชนิดที่ว่ากว่าจะถึงบ้านมันได้คือฝุ่นฟุ้งติดหัวจนออกสีแดงๆกันเลยทีเดียว ไอ้นพค่อยๆขับแมงกะไซค์ฮอนด้าดรีมไต่ขึ้นเขาตามหนทางลัดเลี้ยวขึ้นสู่ป่า  เมื่อถึงช่วงระหว่างทางผมบอกมันแวะพักตรงตูบ(กระท่อม) ที่ชาวบ้านเขาทำไว้เพื่อเป็นที่พักชั่วคราวเวลามาทำงานในไร่ในสวน  ผมกางแขนออกสูดอากาศที่เย็นสดชื่นมองไปรอบๆตัวที่โอบล้อมด้วยภูเขาสูง ต้นไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านปกคลุมช่วยดับร้อนผ่อนแดด บางช่วงตรงม่านดอยจะได้ยินเสียงน้ำตกกระทบผาหิน  หลับตาฟังเสียงต่างๆรวมถึงสรรพเสียงจั๊กจั่นเรไรและบรรดาแมลงสัตว์ปีกที่แข่งกันร้องระงมกล่อมพฤกษ์ไพร  พร้อมกับรับลมเย็นๆที่ลอยมาปะทะใบหน้าเป็นครั้งคราว   อา...สดชื่นเหลือเกิน พาให้ใจคิดล่องลอยไปไกลว่า นี่เราอยู่ตรงซอกหลืบไหนของประเทศไทยกันแน่

   แหงนมองตะวันโพล้เพล้ แสงสีส้มแดงที่ใกล้จะลับหุบเขาช่วยเร่งให้พวกผมรีบขับฮอนด้าดรีมตามทางต่อไปยังจุดหมายปลายทาง   ไอ้นพมันชี้หมู่บ้าน ผาเงิน บ้านไอ้ต๋อง ผมมองตามแต่ไม่ค่อยเห็นเพราะฝุ่นสีแดงๆฟุ้งตลบไปหมด  ขับไปสักพักใหญ่ๆก็มาถึงหมู่บ้าน ต้นไผ่  ซึ่งก่อนจะเลี้ยวขึ้นไปที่หมู่บ้านจะเจอโรงเรียนบ้านต้นไผ่ก่อน  ดูๆไปแล้วให้นึกถึงเพลงของ พี่ปูพงษ์สิทธิ์คำภีร์  เพลง โรงเรียนของหนู  มันช่างเข้ากับบรรยากาศแบบนี้ที่สุดเลย

 “อ่ะ ไอ้นนท์ นั่นน่ะ บ้านไอ้แทน หลังแรก” มันชี้ขึ้นไปตรงบ้านตั้งอยู่ตรงเนินดินก่อนขึ้นไปยังบ้านไอ้นพ

 “อืม ขอบใจ พรุ่งนี้สักประมาณบ่ายสามเราค่อยกลับไปโรงเรียนนะ”

 “เออ ได้ๆ กูยังไงก็ได้  เอางี้ มึงจะกลับตอนไหนก็ขึ้นไปเรียกกูละกัน”

  “อืม เอางั้นก็ได้ “  ผมพยักหน้ารับคำแล้วมันก็มอเตอร์ไซค์ฮอนด้าดรีมขึ้นเนินไปบ้านมันทันที

 “อ้าว นนท์หรือลูก “  อารุจน์ นั่นเอง แกเดินถือชามกะละมังสังกะสีใบใหญ่ออกมาเห็นผมพอดี

 “สวัสดีครับอารุจน์  ผมมาเยี่ยมแทนน่ะครับ” ผมไหว้สวัสดีพร้อมกับบอกจุดประสงค์ไป

 “อยุ่ในบ้านนั่นแหละ นนท์เข้าไปในบ้านก่อนเลยลูก  เดี๋ยวพ่อเอานี่ไปอ่อยหมู* ก่อน” (อ่อยหมู หมายถึงให้อาหารหมู)
อารุจน์บอกพร้อมกับถือชามกะละมังเดินไปทางเล้าหมู  ผมจะเดินเข้าบ้าน มีหมาสองตัวมาด้อมๆมองๆ พร้อมกับเห่าใส่ผม  อยหมู หมายถึง  ให้อาหารหมู
ผมก็กล้าๆกลัวๆ   ไป๊  ชู่ววว  ใช้เสียง ข่มขู่มัน แต่ดูท่าทางมันจะไม่หวาดกลัวเลยสักนิดแถมเห่าเสียงดังขึ้นกว่าเดิมอีก ไอ้หมาเวรเอ๊ย

“อ้าว ไอ้นนท์ มาได้ไงวะ   ไอ้ด่าง ไป๊”   

ไอ้แทนโผล่หน้า  ออกมาตรงหน้าต่างพร้อมกับเขวี้ยงท่แกนข้าวโพดไล่หมาไปให้พ้นทาง  บ้านไอ้แทนติดดิน หลังคามุงคาเทปูนที่พื้น กั้นบ้านด้วยไม้แปลน ผมเดินเข้าไปในตัวบ้าน พ้นประตูนิดเดียวทางขวามือก็เป็นที่นอนของไอ้แทน ซึ่งเปิดโล่ง ยกสูงห่างจากพื้นแค่เข่า ฝั่งตรงข้ามด้านซ้ายมือมีสามห้อง  ท้ายๆบ้านดูจะเป็นครัว มีเตาสามขาขนาดใหญ่พอควรตั้งอยู่ตรงกลาง  สำหรับบ้านชาวดอยในชนบท ลักษณะแบบบ้านก็แทบจะเหมือนๆกันทุกบ้าน ผิดกับบ้านผม เพราะแม่เป็นชนพื้นเมือง แม้จะย้ายมาอยู่กับชาวดอยตั้งแต่ผมยังเด็กก็ตาม แต่ลักษณะบ้านก็ยังคงความเป็นชนพื้นเมืองแตกต่างจากบ้านชาวดอยสิ้นเชิง

“ไอ้นนท์มองเหม่ออะไรวะ  มึงมานี่เลย ว่าแต่มายังไงล่ะเนี่ย”  มันเรียกผมขึ้นไปนั่งบนที่นอนมันเลย

“กูมากับไอ้นพน่ะ ไอ้เนมันไม่กลับ มันบอกให้ไอ้นพขอตังแม่มันแทน ไอ้ต๋องก็ไม่กลับ”

“อือ หัวฟูมาเลยนะ เป็นไงทางมาบ้านกู”

“ใช้ได้เลยว่ะ ธรรมชาติดีเหี้ยๆ  กูโคตรชอบมากเลยอ่ะ”  ผมบอกมัน หน้าตาแสดงถึงความตื่นเต้นอย่างยิ่ง

“กูบอกแล้วว่าให้มาเที่ยวบ้านกู ไม่ยอมมาสักที  ไว้พรุ่งนี้กูจะพามึงไปดูรอยพระพุทธบาท”

“เหรอ มีด้วยเหรอ ว่าแต่มึงเดินไหวเหรอวะ”  เออ ผมก็ลืมถามไถ่มันไปเลยแฮะ

“ก็พอได้แหละแต่จะเหนื่อยง่ายหน่อย ยืนนานๆไม่ได้”

“มึงคงลำบากน่าดูเลยเนาะ”

“เออ จะเตะบอลก็ไม่ได้ บางทีกูก็รำคาญมากๆ”

“แล้วอาการอย่างอื่นมีอะไรอีกไหม”  ผมถามด้วยความเป็นห่วง

“ก็ไม่นะ บางทีแค่มีปวดหัวนิดหน่อย”

“กูว่ามึงดูผอมไปนะเนี่ย” ผมสังเกตดูเห็นว่าไอ้แทนมันผอมผิดตาไปจริงๆ รู้สึกสงสารมันจับใจ

“อ้าว นนท์หรือลูก “ แม่หมวง  แม่ของไอ้แทนเข้าบ้านมาพร้อมน้องชายมันสองคน  สงสัยคงไปไร่กันมา

 “สวัสดีครับ  ผมเพิ่งมาถึงได้สักพักละครับ”  ผมยกมือไหว้แม่ไอ้แทน   ยังไม่ชินปากนักหรอกที่จะเรียกว่า พ่อ หรือ แม่

“ตามสบายนะ แม่ขอไปทำธุระก่อน  ทัช..  ธีร์  รีบไปอาบน้ำเลยนะค่ำแล้ว”

พอดีกับที่อารุจน์พ่อไอ้แทนกลับเข้ามาแล้วและมีธุระกับญาติที่หมู่บ้านวังถ้ำเลยออกไปก่อน
เด็กสองคนนั่นก็วิ่งกุลีกุจอไปเตรียมตัวอาบน้ำ  ถามไอ้แทนแล้ว ได้ความว่า คนชื่อ ทัช อยู่ ป.4 ส่วน ธีร์ อยู่ ป.3  มีน้องสาวอีกคนชื่อ เหมย อยู่ ม.1 ห่างจากพวกเราแค่ปีเดียว  เรียนที่โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ที่อำเภอจัน  ซึ่งเป็นโรงเรียนกินนอนประจำ
 
“ไอ้แทน ขามึงขยับได้มากขึ้นแล้วใช่ป่ะ” ผมมองหน้ามันแล้วถามต่อ

“เดินได้แล้วแต่ยังต้องใช้ไม้ค้ำนะ   และยืนนานๆไม่ไหว”

“ถ้ามันลำบากกับมึง  ก็ไม่ต้องพากูไปหรอก” ผมพูดด้วยใจจริงเพราะเป็นห่วงมันมากกว่า

“ได้ไงวะ ก็ค่อยๆพยายามเดินไปนั่นแหละ เหนื่อยก็มึงไง  เดี๋ยวกูขี่หลังมึงเอง”

มันพูดพร้อมยิ้มใส่หน้าผม

“น้อยๆหน่อยเว๊ย ตัวมึงใช่จะเบาซะเมื่อไหร่กัน”

“เออ เดี๋ยวไอ้สองตัวนั่นอาบน้ำแล้วมึงรีบอาบเลยนะ ไม่งั้นมึงหนาวแน่ ที่นี่พอดึกๆอากาศจะเย็นมาก”

 “อือ กูก็รู้สึกแหละ ตอนซ้อนมากับไอ้นพ อากาศบนนี้หนาวเย็นจริงๆ”  ผมเอื้อมมือไปจับแขนมันไว้ 

“เอ้อ อากาศแบบนี้  มึงไม่ปวดแขนขาบ้างเหรอ “  มันเอียงคอหันมามองหน้าผม

“มึงนี่ จะถามอะไรเยอะแยะนักวะ”

“เอ้า ไอ้นี่กูเป็นห่วงนะเนี่ย  กูเคยได้ยิน เค้าพูดกันว่าเวลาอากาศเย็นมันมักจะเจ็บปวดมากกว่าคนปกติ  แล้วนี่ มึงมีทั้งเหล็กในขามึงแขนมึงอีก กูก็เลยถามเนี่ย”

“เป็นห่วงกูมากขนาดนั้นเลย”

“ไอ้..” ผมหยุดไปพักนึก ก่อนตอบออกไป

“เออ ก็กูเป็นห่วงมึงนี่หว่า”   เหี้ยเอ๊ย ..ว่าแต่กูจะเขินมันทำไมวะ..

“เออๆ ขอบใจมากว่ะ งั้นเดี๋ยวมึงเอาผ้าที่พาดตรงนั้นน่ะไปชุบน้ำมาเช็ดตัวให้กูหน่อย”

“ ห้ะ  ต้องเช็ดด้วยเหรอ” ผมถามด้วยความแปลกใจ

 “อืม แล้วเดี๋ยวค่อยไปอาบน้ำ”  ผมพยักหน้าเข้าใจ  น้ำบนดอยนี่ใช่จะอุ่นๆเสียเมื่อไหร่ เย็นยังกะเอาน้ำแข็งมาแช่ไว้

“เอ้า มาๆกันได้เลย หยั่นหางโล่ (กินข้าวกันเถอะ)”  แม่เรียก น้องชายไอ้แทน ทั้งสองคนวิ่งกรูกันเข้าไปทางครัวที่แม่ไอ้แทนทำกับข้าวไว้

“แทนเอ้ย  นนท์ พากันมากินข้าวได้แล้วลูก”   หันมาตะโกนเรียยกพวกผมด้วย

“ครับ”  เด็กทั้งสองคนตอบแทบจะพร้อมกันเลยทีเดียว

“มึงหิวยังล่ะ “ ไอ้แทนถามผม

“ก็ยังไม่หิวเท่าไหร่อ่ะ แต่ดึกๆที่นี่จะหาร้านที่ไหนล่ะ” ผมตอบพร้อมเหตุผล

“มันก็มีร้านขายของชำอยู่บนโน้น ข้างบ้านไอ้นพมัน ดึกๆก็เรียกได้”

“อืม แต่คงไม่ซื้ออะไรหรอก”

“งั้นมึงพยุงกูหน่อย  ไปกินข้าวกัน”  ผมเลยต้องพยุงไอ้แทนโดยเอาแขนมันมาเกาะที่ต้นคอผมไว้แล้วพยุงมันขึ้นมาพากันกอดคอเดินกะเผลกไปร่วมวง ปกติแทนจะใช้ไม้ค้ำยัน

“วันนี้ มีแกงไก่บ้านนะ ผัดผักกาดขมดอง และต้มจืดตำลึง นนท์กินได้ไหมลูก”  แม่หมวงเอ่ยถาม คงคิดว่าผมจะกินอาหารแบบชาวดอยไม่ได้  (ผักกาดขมดอง คือผักกาดชนิดหนึ่งของชาวดอยใบคล้ายๆกวางตุ้งแต่เล็กกว่าและตรงส่วนปลายของใบจะเป็นหยักๆ)

“กินได้ครับ ที่บ้านแม่ผมก็ทำแบบนี้แหละครับ”

“พี่กินอันนี้ด้วยสิ”  น้องชายตัวเล็กๆตัก ผัดผักกาดขมดอง มาใส่จานผม แล้วยิ้มให้

“ขอบใจนะ นี่ชื่ออะไรกันบ้างเนี่ย”  น้องมันอายไม่ตอบ แต่ แม่หมวงตอบให้แทน

“อื้อเต้าเห่ว ทัช   อื้อเต้ากว้าไฝ เห่ว ธีร์ หว่าโจะเย (คนนี้ชื่อ ทัช อีกคนลูกสุดท้องชื่อธีร์ เป็นคนพูดน้อย)”  เจ้าตัวเล็กทั้งสองคนยิ้มอย่างเดียวเลย

“ตักอันนี้ราดด้วยจะอร่อยมากเลยครับ”  เจ้าทัชพูดเสริมพลางชี้ถ้วยน้ำจิ้มซึ่งผมก็ลองตักมาราดชิมดู โอ้โห อร่อยจริงๆ น้ำพริกจิ้มออกรสเปรี้ยวเผ็ดเค็มราดกับผัดผักกาดขมดอง รสชาติดีมาก ผมเผลอกินแต่อาหารจานนี้ จนน้ำพริกจิ้มหมดถ้วยเลยทีเดียว

“มึงกินแต่น้ำจิ้มจนหมดเลยเนี่ย อร่อยมากขนาดนั้นเลย” ไอ้แทนหันมามองผมยิ้มใหญ่เลย แม่เองก็หัวเราะ

“เดี๋ยวผมไปทำให้ใหม่”  เจ้าคนชื่อทัชลุกขึ้นไปโขลกพริก แป๊ปเดียวได้น้ำจิ้มถ้วยใหม่มา แต่คราวนี้ออกรสเค็มไปนิด แต่ก็โอเคครับ ฝีมือใช้ได้ จนผมเริ่มอิ่มท้องและรู้สึกเผ็ดเล็กน้อย

“ไม่ต้องเก็บหรอก นนท์ เดี๋ยวแม่จัดการเอง” แม่หมวงพูดเมื่อเห็นผมลุกจะเอาจานไปเก็บ

“เดี๋ยวผมล้างเอง”  เจ้าตัวเล็กที่ชื่อ ธีร์พูดขึ้นมาเป็นภาษาถิ่น แล้วโยกตัวไปมาทำท่าทางเขินๆ  ..เด็กหนอเด็ก

“เออ มึงพยุงกูขึ้นหน่อย” ไอ้แทนเอ่ยขึ้นพร้อมยกแขนข้างที่ไม่เจ็บเอื้อมมาหาผม ผมเลยพยุงมันขึ้นมา

“พากูไปห้องน้ำที”  มันพูดพร้อมชี้ไปทางท้ายครัว

ผมทำท่าทาง งงๆอยู่ครู่หนึ่ง มันตบหัวผมทีแล้วด่าผมอีก

“เห้ย กูบอกพากูไปห้องน้ำที  ทัชอ่ะ เจ๊าะสิจ๊าวต้ายปุนก๋อ(ทัชเอ้ย  เอาผ้าเช็ดหน้ามาให้พี่หน่อย)”   ไอ้แทนพูดพร้อมหันไปสั่งน้องมัน  พอได้ผ้าแล้วผมก็พยุงมันไปห้องน้ำ

“ไอ้ห่า มึงอย่าบอกนะว่าจะให้กูช่วยอาบน้ำ”  ผมหันไปมองหน้ามัน

“กูไม่อาบเป็นเรื่องเป็นราวหรอก แค่เช็ดตัวให้กูหน่อย ทีอยู่โรงเรียนมึงยัง สระหัว*ให้กูเลย”  พูดไปก็เดินกะเผลกไป
(สระหัว = สระผม)

“มันไม่เหมือนกันเว๊ย นั่นคนเยอะแยะ นี่มันส่วนตัว”  ผมอธิบาย

“มันจะเป็นไรวะ  กูไม่ให้มึงมาเช็ดไอ้จู๋กูอีกหรอกน่ะ”  มันว่าพลางเอาศอกมาถองสะเอวผม

“มึงนี่  กูไม่ได้คิดเหี้ยไรเลย  ไอ้ห่าเอ๊ย  อ่ะมึงนั่งนี่ก่อน”

“มึงจะไปไหน มึงต้องพยุงกูด้วย”

“เออ กูไปเอาของใช้ส่วนตัวกูก่อน” ว่าพลางก็ให้มันนั่งตรงก้อม (เก้าอี้หวาย) รอ


  ห้องน้ำบ้านไอ้แทน แยกออกจากตัวบ้าน หลังคามุงสังกะสี  ที่พักน้ำทำด้วยการก่อปูนขึ้นมาสูงระดับเอวไว้ตักอาบ  น้ำมาจากประปาภูเขา เย็นมาก นี่ขนาดยังไม่ถึงสองทุ่ม ถ้าเลยจากนี้ไปคงไม่ต้องอาบกันละ ผมตักน้ำราดหัวไอ้แทนโดยให้มันก้มหัวลง ผมสัมผัสได้ถึงรอยเย็บบริเวณกกหู ภาพตอนมันโดนชนผุดขึ้นมาอีกครั้ง ผมงี้รู้สึกสงสารมันจับใจ  ค่อยสระผมให้มันเบาๆ ถอดเสื้อมันออกเหลือแต่กางเกง แล้วเช็ดตัวให้มันไปด้วย

“อ่ะ ส่วนอื่นๆมึงจัดการเอง กูจะอาบต่อ”

ว่าแล้วผมก็อาบน้ำไปปล่อยมันจัดการของมันไป  พอน้ำโดนตัวเท่านั้นแหละผมถึงกับร้องจ๊ากเลย ไอ้แทนก็หัวเราะเยาะผม ผมรีบตักอาบจัดการตัวเองเสร็จรีบแต่งตัวเลย เพราะหนาวเย็นมากจนหัวนมตึงแข็งกันเลยทีเดียว

“เสร็จแล้วมึงมานี่ พยุงกูขึ้นหน่อยดิ กูจะเปลี่ยนกางเกง”  ผมหันไปมองหน้ามันทั้งๆที่ปากผมยังสั่นเพราะความเย็นจากน้ำที่เพิ่งอาบเสร็จ

“หยิบกางเกงนั่นมาใส่ให้กูหน่อย”   มันชี้ไปที่ กางเกงในและกางเกงขาสั้นที่พาดไว้ตรงลวดขึง

“ห้ะ อะไรนะ ให้กูใส่ให้ “  ผมชี้มาที่ตัวเอง แล้วทำหน้าเลิ่กลั่ก

“เออ มึงนั่นแหละทำให้กูหน่อย”

“อะไรวะ ตอนกูไม่มามึงก็ทำเองนี่หว่า   ทำเองสิวะ”  ผมขัดขืน

“ไอ้ทัชมันทำให้   มึงนี่ อย่างเรื่องมากได้ป่ะ เร็วๆกูหนาวกูเจ็บแผล”  มันพูดพร้อมทำท่าทางอ้อนแบบน่าสงสาร  เหอะ น่าสงสารห่าไร น่าถีบมากกว่า

“เออๆๆ แม่งใช้ยันเตเลยมึง หายเมื่อไหร่ถึงตากูบ้างอย่าเสือกบ่นละกัน”  ผมบ่นไปตามเรื่องแต่ก็ยอมทำโดยดี

ให้มันนุ่งผ้าเช็ดตัวก่อนแล้วให้มันใช้แขนข้างที่ไม่เจ็บดึงกางเกงออกจนถึงเข่าแล้วผมค่อยช่วยมันดึงออก เวลาใส่ก็ทำแบบเดิมใส่ให้มันถึงเข่าแล้วให้มันดึงขึ้นเอง

“ทีตอนอยู่โรงบาล มึงยังเช็ดให้กูเลย ไอ้ห่า”  ใส่กางเกงไปก็ด่าผมไป

“มึงพอช่วยตัวเองได้แล้วนี่หว่าไม่ได้แขนขาขาดซะหน่อย”  ผมเอาผ้าเช็ดตัวมันนั่นแหละ ช่วยเช็ดหัวมันอีกสองสามที แล้วพยุงกลับ ตากผ้าเช็ดตัวไว้ที่ราวไม้ไผ่

“อ้าว อย่าบอกนะว่าพวกมึงอาบน้ำให้กันด้วยเนี่ย”  ไอ้นพมาตอนไหนวะเนี่ย มันว่าพลางชี้หน้ามาทางผมที่พยุงไอ้แทนกลับที่นอน

“มึงคิดมากไปแล้ว มันอาบเองเถอะ”  ผมตอบมันไปอย่างรำคาญ  เห็นแม่หมวงเตรียมออกไปอาบน้ำ เจ้าตัวเล็กสองคนวิ่งมาที่ที่นอนไอ้แทนกระโดดขึ้นมานอนบนฟูกแล้วนั่งฟังพวกผมคุยกัน 

“พรุ่งนี้มึงก็ไปด้วยนะ กูจะพาไอ้นนท์ไปดูรอยพระพุทธบาท”

“ผมไปด้วย”  “ผมด้วย”  เจ้าตัวเล็กสองคนพูดขึ้นเกือบพร้อมกัน

“ได้เลย เป็นคนนำทางพี่เลยนะ” ผมพูดจบเจ้าสองคนนั่นก็ยิ้มและพยักหน้ารับคำ

“ไปตอนไหนวะ “  ไอ้นพ ถาม

“ไปสักสิบโมงกว่าดีไหม ไม่ร้อนด้วย” ไอ้แทนตอบ

“แล้วมึงจะไหวเหรอ”  ผมกับไอ้นพพูดพร้อมกันยังกะนัดไว้  เจ้าตัวเล็กสองคนถึงกับหัวเราะคิกคักชอบใจ

“เออ กูสบาย  ถ้าไม่ไหว ก็มึงไง ให้กูขี่หลัง”  พูดแล้วหันมาตบบ่าผม

“ชาติหน้าเถอะว่ะ” ผมตอบทันควัน ไอ้นพหัวเราะ เจ้าตัวเล็กก็หัวเราะตาม

ไอ้นพถามสารทุกข์สุกดิบสักพักก็แยกตัวกลับไปนอน  แม่ก็เรียกเจ้าตัวเล็กสองคนให้ไปนอนด้วย

“พรุ่งนี้อย่าลืมเป็นไกด์พาพี่ไปเที่ยวนะ”

“ครับ พรุ่งนี้ไปเช้าๆเลย”  เจ้าทัชหันมาตะโกนตอบ

“น้องมึงนี่ ไร้เดียงสาจริง” ผมบอกไอ้แทนโดยที่สายตายังไม่ละจากไอ้เจ้าตัวเล็กที่วิ่งไปยังห้องนอน

“ไอ้ทัชมันพูดเก่งนะ  แต่อีกคนนี่ไม่ค่อยพูดเลย เหมือนพ่ออ่ะ ”

“เหรอ ก็เห็นพูดอยู่นะ แต่ก็คงน้อยแหละเอาแต่ยิ้มอย่างเดียว”

“มึงจะไปไหน”  มันถามผมเมื่อเห็นผมลุกขึ้น

“กูไปฉี่แป๊ปและจะไปล้างเท้าด้วย” 

 ผมพูดตอบแล้วก็วิ่งออกไปเลยไม่สนใจว่ามันจะพูดอะไรต่อ  ข้างนอกนี่อากาศเย็นแฮะ ลมปะทะหน้ายิ่งเย็นขึ้นไปอีก ผมแหงนดูท้องฟ้า ดวงดาวประดับเรียงรายเต็มท้องฟ้าเลย ส่องแสงระยิบระยับดูสวยงามมาก   จะไปค้นหาธรรมชาติที่บริสุทธิ์เช่นนี้ได้ที่ไหนอีกบ้างมั๊ยน้อ  ยกนาฬิกาขึ้นดู สามทุ่มกว่าแล้ว  ที่นี่พอตกดึกหมู่บ้านเงียบสงัด  ได้ยินแต่เสียงสรรพสัตว์นานาพันธ์แข่งกันร้องระงม  ผมกลับเข้ามาเห็นแม่หมวงเอาผ้าห่มมาให้เพิ่ม  เป็นผ้าห่มหนาไม่มากและมีผ้าห่มแบบที่พวกเบียร์ช้างมาแจกอีกสองผืนประกบกัน

“ห่มผ้าหนาๆนี่แหละนะ ดึกๆมันจะหนาวมาก” แม่บอกพร้อมกับซ้อนเข้ามาในผ้าห่มนวมให้

“แตอื้อหยวนซ่ะ (พ่อไม่กลับมาใช่ไหม)”  ไอ้แทนถามแม่

“อื่อ ยังฮอยอาแป๊ะหนัวจ๋าเจี่ยวน่อ (พรุ่งนี้พ่อเขาจะเข้าร่วมพิธีสะเดาะห์เคราะห์ (พีธีกรรมของชาวดอย) ”   

“นอนกันได้แล้วนะ นนท์  แม่ไปนอนละนะ”

“ครับ” ผมตอบรับพร้อมกับขยับขึ้นมาบนที่นอน  แม่หมวงลงไปเช็คกลอนประตูหน้าต่างแล้วก็กลับเข้าห้องนอนไป

“ไอ้แทน หน้าต่างเปิดทิ้งไว้เหรอ ดึกๆมันไม่หนาวเหรอ”  ผมตอบเมื่อเห็นประตูยังเปิดอยู่

“อืมไม่ต้องปิดจนมิด แง้มๆไว้นิดนึง อากาศจะได้ถ่ายเท”

“แล้วมึงจะให้กูนอนตรงไหนวะ”  ผมยังลังเล เพราะกลัวจะไปเตะไปเกี่ยวถูกแขนขาข้างที่เจ็บของมัน

“เอ้า มึงก็มานอนข้างนี้ดิวะ”  มันพูดพร้อมตบฟูกทางขวาติดหน้าต่าง   ผมดึงผ้าห่มออกมาหนึ่งผืน แต่มันกลับตบหัวผม

“ดึงออกทำเหี้ยไร ตกดึกมาเดี๋ยวมึงจะแย่งไปหมด เพราะมันหนาว ห่มซ้อนกันนี่แหละ”

“เออ ตามใจเจ้าของบ้านเลยว่ะ แม่งตบกูซะเจ็บเลย” ผมบ่นพลางลูบหัว แล้วล้มตัวลงนอนข้างๆมัน

“เอาแขนมึงมาดิ”  ว่าพลางก็จับแขนผมเขย่าสองสามที 

“แขนกูเป็นหมอนมึงรึไงวะ แม่งไม่เห็นใจกูเลย” บ่นไปงั้นแต่ก็ทำอย่างว่าง่าย ผมเอาแขนซ้ายสอดใต้คอมันแนบกับหมอนพร้อมกับใช้แขนอีกข้างขยับผ้าห่มให้มันจนถึงคอ   

“แล้วมึงจะไม่เจ็บเหรอวะ เดี๋ยวกูเผลอไปทับแขนขามึงให้  มันไม่เหมือนตอนมึงยังปกตินะเว่ย”
ผมพูดอธิบายไปตามจริง

“ไม่หรอก กูรู้มึงไม่ทับกูหรอก “  เหี้ยเอ้ย ชอบพูดแบบนี้อีกแล้ว สองแง่สามง่าม

“เออ แล้วอย่าหาว่ากูทำร้ายมึงละกัน” ว่าพลางเอามือมาขยี้หัวมันสองสามที

“กอดกูหน่อยดิ”  มันหันมากะทันหันแล้วพูดใส่หน้าผมจนรู้สึกได้ถึงลมหายใจกลิ่นยาสีฟันคอลเกตลอยมาแตะจมูก 

“สำออยว่ะมึง  ได้สิลูก โอ๋ๆๆ นิ่งๆนะลูก พ่ออยู่นี่แล้ว”    ผมเอาแขนขวาพาดบนลำตัวมันปลายแขนเกาะที่ช่วงไหล่มันไว้ พร้อมกับพูดล้อเลียน

“พ่อเลยเหรอ ไอ้เชี่ยนนท์  ไม่ใช่ละมึง”

“เออๆ  หุบปากแล้วนอนๆไปซะ”

ว่าแล้วก็จะเอาแขนออกจากตัวมัน แต่มันยื้อเอาไว้ เลยปล่อยตามเลย

“กูจะนอนละนะ “

 “อือ “  มันตอบ

 แล้วความเงียบก็เริ่มทำหน้าที่ของมัน  ได้ยินเพียงเสียงจิ้งหรีดและสัตว์ปีกร้องระงมกล่อมไพร อากาศข้างนอกคงหนาวเย็นน่าดู ได้ยินแม้กระทั่งเสียงลมวู่ไหว  ตรงหน่าต่างที่เปิดแง้มไว้ สามารถที่จะมอง เห็นดวงดาวส่องแสงจรัสจ้าเต็มท้องฟ้า    ผมขยับแขนใต้คอมันเล็กน้อยให้พอหายเมื่อยและบังคับให้หัวมันมาใกล้หัวผม จนได้ยินเสียงลมหายใจของคนข้างๆ



.

.

.
(ต่อ)


















หัวข้อ: Re: ทัช..สัมผัสใจ ตอนที่2 (10-July-2017)
เริ่มหัวข้อโดย: thewa.arak ที่ 10-07-2017 14:55:58

(ต่อ)




...รอยพระพุทธบาท...



   หลังจากจัดการกับอาหารมื้อเช้าแล้ว เราสามคน ก็ออกเดินทางเท้าขึ้นเนินไปยังไร่ของไอ้แทน

 “เจ้าตัวเล็กสองคนนั่น สุดท้ายก็ไม่ตื่น นะ”

“ปล่อยมันเถอะ วันอาทิตย์มันตื่นสายกันเป็นปกติ” ไอ้แทนตอบ

“ว่าแต่มึงเป็นไง เหนื่อยป่าว พักมั๊ย” ผมถามด้วยความเป็นห่วง

“ไอ้นนท์ มึงนี่แม่งอะไรนักหนาวะ มันไม่ตายหรอกน่า เดินออกจากบ้านมายังไม่ถึงสิบก้าวเลย”

 “เออ ให้มึงได้แขนขาเดี้ยงแบบมันก่อนเถอะ”

ผมว่าพลางยกเท้าจะเตะมันมันก็เด้งหลบ แต่ผมก็เตะไม่ถึงตัวมันหรอกเพราะต้องพยุงไอ้แทนด้วย  เดินมาประมาณสี่สิบก้าวได้ ก็ถึงไร่ไอ้แทน  มันชี้ให้ดูตรงเนินหินขนาดย่อม

“นั่นแหละ มึงเดินไปดูเลย กูนั่งพักตรงนี้แหละ”

 ผมจัดแจงให้มันนั่งลงแล้วเดินไปดูรอยพระพุทธบาท คนเดียวปล่อยให้ไอ้นพมันนั่งอยุ่เป็นเพื่อนไอ้แทน ผมเดินไปถึงก็ชะโงกดู เห็นเป็นลักษณะรอยเท้าความยาวประมาณ7นิ้วได้ เหมือนรอยเท้าลากยาวลึกประมาณสองสามเซ็นเห็นจะได้..เนี่ยเหรอ รอยพระพุทธบาท มันมาอยู่บนก้อนหินใหญ่นี่ได้ไงหว่า ผมคิดในใจ.. แต่สิ่งที่ทำให้ผมอึ้งและทึ่งกว่า คือ ดอกฝิ่นครับ ด้านหลังดอยมีดอกฝิ่นเป็นพื้นที่เล็กๆไม่ใหญ่มาก ดอกกำลังบานสวยงามมากเลย เสียดายไม่มีกล้องไม่มีอุปกรณ์ถ่ายรูป

 ผมกางแขนสูดลมหายใจเต็มที่เอาอากาศบริสุทธิ์เข้าปอด ในไร่ไอ้แทนนี่ มีแตงกวาด้วย แตงกวาชาวดอยรึป่าวหว่าทำไมรู้สึกว่าลูกมันใหญ่กว่าปกติ   ผมหยุดชื่นชมความงามของธรรมชาติที่โอบล้อมด้วยถูเขาทุกด้าน  คิดอยู่ในใจว่า จะต้องกลับมาอีกในสักวัน
  หลังจากกลับจากดูรอยพระพุทธบาทแล้ว ผมกับไอ้นพ ก็เตรียมจะลงจากดอยกลับไปโรงเรียนเด็กน้องสองคนนั่นยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เมื่อผมแซวว่าไม่เห็นมาเป็นไกด์  ผมร่ำลาแม่หมวง พ่อแทนยังไม่กลับมาสงสัยคงยังทำพิธีนั่นไม่เสร็จ  เจ้าตัวเล็กสองคนนั่นก็ยกมือไหว้ผม

“เสาร์หน้าถ้าพี่มา ผมจะพาไปเองนะ”  เจ้าทัชขันอาสาอย่างดี ไอ้แทนกับแม่หัวเราะชอบใจ

“อย่านอนตื่นสายอีกล่ะ “ แม่ไอ้แทนว่าให้ เด็กนั่นก็ยิ้มอายๆ

ผมไหว้แม่หมวง แม่แทน และก่อนกลับผมไม่ลืมที่จะเข้าไปกอดคอไอ้แทนอีกครั้ง

“กูกลับละนะ มึงก็ดูแลตัวเองดีดีด้วย รู้มัย กูเป็นห่วงนะ”

“เออ รู้แล้ว ว่างๆก็มาอีกละกัน มึงต้องมาอีกนะ กูจะรอมึงที่นี่ตลอดไป”

 “อย่าพูดอะไรทำนองนั้นดิ น่าจะบอกว่ากูจะเดินได้ตามปกติเร็วๆนี้”

“เออ กูมันบ้านนอก กูจัดคำพูดไม่เก่งเท่ามึงหรอก”

“กูอุตส่าห์เป็นห่วงนะ  ไอ้เวรเอ้ย”  ผมว่าพลางตบหัวมันเบาๆ

“กูคิดถึงมึงนะ เพื่อนๆก็รออยู่  มึงรีบกลับมาเรียนนะ”

“อืม ไปเถอะ ไอ้นพมันจะกินหัวมึงละ โชคดีนะ  จำไว้กูจะรอมึงนะ”

 ผมพยักหน้าให้ แล้วก็โบกมือลาทุกคน ก่อนจะนั่งซ้อนฮอนด้าดรีมไอ้นพลงจากดอย
ระหว่างทาง ใจมันหวิวๆยังไงพิกล   ขณะนี้ ช่วงสายๆ ตะวันยังไม่อยู่บนหัว  ดินลูกรังยังไม่มีฝุ่นฟุ้งมากนัก ผมกางแขนออกรับลมเย็นๆพร้อมชมธรรมชาติสองข้างทางไปเรื่อยๆ พลางคิดว่าวันเสาร์หน้าจะมาอีกดีมั๊ยน้า ไอ้แทนมันเคยชวนไปดำน้ำห้วยใช้ แหลม* ยิงปลากัน


........................
  *  “แหลม”  คือเหล็กฉมวกสี่เส้นมัดติดกับไม้เหลาขัดเงาขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางเท่าๆกับนิ้วโป้ง ยาวประมาณหนึ่งเมตรเอาไว้ใช้ยิงปลาในน้ำ
........................












....................................................

ความรัก มีอยู่บนโลกใบนี้อย่างแน่นอน
ที่ต้องค้นหาให้พบ
คือการทำอย่างไร ให้คนที่เรารัก
รู้ว่าเรารู้สึกอย่างไรกับเขา

......................................................


หัวข้อ: ทัช..สัมผัสใจ ตอนที่3 (10 ก.ค. 2560)
เริ่มหัวข้อโดย: thewa.arak ที่ 10-07-2017 15:11:19
ตอนที่3




 ...หวง??.............Part นนท์/ทัช...



       เย็นวันพุธที่นักเรียนม.ต้น ทุกคนเลิกเรียนลูกเสือเนตรนารีเสร็จบ่ายสามโมงก็เป็นเวลาว่างหนึ่งชั่วโมง  น้องโรสมาขอให้ผมช่วยติวหนังสือภาษาอังกฤษให้ เรื่อง Active Voice  และPassive Voice  ที่สวนต้นสักข้างอาคาร1และโรงอาหาร  ผมเองก็ไม่ใช่ว่าจะเก่งมาก แต่อาศัยว่าเคยเรียนเล่มนั้นผ่านมาแล้วเลยแนะนำได้บ้าง พร้อมยกตัวอย่างให้ฟังคร่าวๆ  บอกแล้ว ถ้าเป็นการอธิบายตามบทเนื้อหาในหนังสือ ผมก็สามารถทำได้ และคะแนนสอบ ก็ท้อปสุดในชั้น..  แหงล่ะ ทั้งห้องมีสามสิบสองคนทุกคนมาจากห้อง3/5กันหมดซึ่งเป็นห้องบ๊วยและเป็นห้องเน้นเกษตรและอุตสาหกรรมซึ่งเรียกได้ว่าไม่เอาไหนในด้านภาษาอยู่แล้ว  แต่พอม.ปลายมีแค่สองห้องเลยได้มาอยู่รวมกันเป็น4/2 แต่ทุกคนก็รักกันดี

 “พี่นนท์ เอาน้ำอะไรมั๊ยคะ เดี๋ยวพลอยไปซื้อให้”  น้องพลอยพูดพร้อมทำตาขยิบใส่น้องโรส

“เอ่อ พี่ไม่เอาครับ ขอบคุณมาก”   ผมพูดออกไปด้วยความเกรงใจ..แค่ติวให้แค่นี้เอง แต่ก็พอมองออกแหละว่า น้องพลอยคงอยากให้เพื่อนได้อยู่กับผมสองต่อสอง

“เดี๋ยวหนูให้มันสอนหนู่ต่อเองค่ะ” น้องพลอยให้เหตุผลเช่นนั้น

“ทำไมพี่นนท์ถึงเลือกเรียนศิลป์ภาษาเหรอคะ”  น้องโรสถาม

“พี่ชอบน่ะ และอีกอย่างที่บ้านพี่มีศูนย์ชาวเขา มีฝรั่งมาเที่ยวเยอะ พอพูดได้เพื่อนๆและชาวบ้านเค้ามองเราอย่างชื่นชม เลยชอบ “   ว่าไปพลางก็ยิ้มเขินไปพลาง

“แต่ไม่เก่งหรอกนะ ก็งูๆปลาๆนั่นแหละ” เสริมพร้อมเกาหัวยิ้มอายๆ

“Snake Snake Fish Fish น่ะเหรอคะ” น้องโรสยิ้มพลางพูดต่อ

“ไม่หรอกมั๊ง อาจารย์สุนีย์ยังพูดในชั้นหนูว่าพี่นนท์อ่ะ เก่งมาก”   น้องโรสพูดพร้อมมองหน้าผมแบบจริงๆจังๆ
 
“อาจารย์คงชมไปงั้นแหละ เพราะเพื่อนในห้องมันไม่อ่านมาไง  พี่อ่านทบทวนไว้แล้วเลยตอบได้อยู่คนเดียว ก็แค่นั้นเอง”    ผมก็พูดไปตามความจริง

“แต่ก็ถือว่าเก่งนั่นแหละ”
 
ทีนี้ผมเลยได้แต่ยิ้นเขินๆอย่างเดียวเลย แหม่ ก็เล่นอยู่กันสองต่อสอง แถมยิ้มซะผมแทบทำอะไรไม่ถูก

“พี่นนท์ อยู่นี่เอง ตามหาตั้งนานไม่เจอ ไปหาที่ห้องก็ไม่เจอ”  ไอ้เจ้าทัชมันโผล่มาจากไหนไม่รู้ทักขึ้นมาทำลายบรรยากาศคนกำลังมีความสุข  ..เว๊ย  ไอ้เด็กเปรต

“น้องโรส นี่ ไอ้ทัชน่ะ เด็กเข้าใหม่ ม.1น้องชายเพื่อนพี่เอง” แนะนำตัวมันหน่อยแต่มันก็แค่ก้มหัว หวัดดีครับ แค่นั้นเอง
 
“อ้อ จำได้ๆ อยู่ชมรมเดียวกัน  ชื่อเพราะนะเรา” น้องโรสทักมัน มันก็แค่ยิ้มแต่ไม่พูดอะไร

“พี่นนท์กลับยัง เดี๋ยวซักผ้ารีดผ้าไม่ทัน”   ไอ้เจ้าทัชมันเร่งเร้า  แหม่ ..มึงไม่มองมั่งว่ากูกำลังคุยกับสาวน่ารัก

“เออ มึงกลับไปก่อนก็ได้นะ เดี๋ยวพี่ตามไป”  ผมตอบแบบสนิทสนม เรียกมันว่ามึงแล้ว เพราะก็คุ้นเคยกันแล้ว พร้อมปั้นหน้าบุ้ยปากให้มันไปก่อน แต่ทว่ามันกลับทำเฉยไม่ไป แถมยังก่อกวนต่อ ด้วยการควักหนังสือออกมา

“เอ้อ ลืมไป มีการบ้านด้วย พี่สอนผมหน่อย”   .. เดี๋ยวๆ มึงคิดจะทำอะไรว้า  รีบกลับไปก่อนเถอะนะ ..ผมคิดในใจ

“เฮ๊ย ทัช พี่หิวน้ำว่ะ ไปซื้อมาให้หน่อยดิ”
 
“พี่นนท์คิดอะไร ผมรู้นะ”   อ่ะ อ้าว ไอ้นี่ รู้อะไรวะ  เหอะๆ ทำเป็นรู้ดี
 
“จะไปไม่ไป” ผมตะคอกมันเบาๆ น้องโรสถึงกับยิ้ม  อย่าๆ น้องโรส อย่ายิ้มตอนที่มันนั่งอยุ่นี่..

“แหม เมื่อกี้ไอ้พลอยมันจะซื้อมาให้ พี่ก็บอกว่าไม่หิวนะ พี่นนท์เนี่ย”  แล้วหันไปยิ้มให้ไอ้ทัช
 ..นั่นไง น้องโรส ฆ่าพี่เลยดีกว่ามั๊ย...

“นั่นไง พี่นนท์คิดอะไรจริงๆด้วยอ่ะ”   มันชี้หน้าผมยิ้มอย่างมีเลศนัย

“ตอนนี้พี่เริ่มคอแห้งแล้วล่ะ  ไปดิไอ้ตัวเล็ก  อ่ะ”   ว่าพลางหยิบแบงค์ร้อยให้มันไป

“อยากกินไรก็ซื้อมาละกันนะ” ผมยัดตังใส่มือมันแล้วรุนหลังมันให้รีบไป  มันมองหน้าขมวดคิ้วเข้าหากันก่อนลุกเดินไปอย่างไม่สบอารมณ์ 

“อย่าไปสนใจเลย มันกวนๆแบบนั้นแหละ” ผมว่าพลางยิ้มให้น้องโรสต่อ  แต่พอดีว่า สายรถที่มารับนั้นมาถึงพอดี น้องพลอยวิ่งมาบอก ว่ารถมาแล้ว เลยต้องกลับก่อน

“ไว้ ถ้าเห็นพี่ว่างๆ จะให้ช่วยติวอีกนะคะ” น้องโรสพูด และก่อนที่จะก้าวขาออกไปผมก็ทักไว้ก่อน

“พลอย ไหนว่าไปซื้อน้ำไง”  น้องพลอยได้แต่หันมายิ้มแหยๆ แต่ไม่พูดอะไรแล้วก็รีบจูงมือโรสวิ่งไปทางหน้าโรงเรียน    ไอ้ทัชนะไอ้ทัช มาขัดจังหวะกูได้ ฮึ่ม...
นั่งรอมันอยู่พักนึง ไอ้เขียวกับรุ่นน้องสองคนก็เดินมาพอดี

“นนท์  กูจะออกไปหน้าโรงเรียนนะ มึงจะเอาอะไรป่าวฝากได้นะ”

“ไม่อ่ะ  ไอ้ทัชมันซื้อเตรียมไว้แล้ว”

“งั้นกูฝากเอาหนังสือนี่ไปวางที่หน้าหอกูหน่อย ถ้าเจอไอ้ชาติก็ฝากไว้ที่มันเลย”

“เออๆ เดี๋ยวกูฝากให้  อ้อ คืนนี้มึงมาสอนคณิตศาสตร์กูหน่อย กูโง่”

“กูทำการบ้านกูเสร็จก่อนละกัน”

“โอเค ตามนั้น”

“เฮ้ แพร เธอยังไม่กลับเหรอ”   พอดีเห็นศรีแพรเพื่อนผมกำลังเดินออกมาจากโรงอาหาร

“อ้าว นนท์ มารอใครเนี่ย ฉันกำลังจะกลับละ วันนี้เอามอร์ไซค์มา”  เดินมาใกล้แล้วก็พูดแซว

“แหม..สมกับเป็นเธอเลยนะ ขยันเสียจริง แต่เอ๊ะ นี่มันไม่ใช่หนังสือเรียนพวกเรานี่นา”

ผมมองดูกองหนังสือ ตามที่แพรชี้  เออ ใช่จริงๆด้วย ออ  นั่นมันของน้องโรส 3/2นี่หว่า สงสัยลืม”

“ฮั่นแน่ จีบน้องเค้าอยู่เหรอ ระวังไอ้ทศมันจะมาเตะเอานะ”

“ไอ้ทศ ห้อง1เหรอ หรือ ไอ้ทศ ม.3”

“ทศพล ไง มันจีบอยู่”     ไอ้ทศพล ห้อง1 นี่เอง เพื่อนไอ้เขียว   

“เหรอ ไม่เห็นน้องเค้าพูดถึงเลย มันแอบชอบน้องเค้าข้างเดียวรึป่าว”    ผมพูดเป็นเชิงถาม จริงๆก็นึกอยากรู้ขึ้นมาทันที

“ไม่รู้ๆ ลองถามมันดูเอง ฉันกลับก่อนนะ”

“อืม โชคดี ขับรถดีๆล่ะ “

 แพรเธอโบกมือตอบกลับมา พอดีกับไอ้ตัวยุ่งก็เดินมา พร้อมกับน้ำโค๊กแก้วละสิบบาท สองแก้วกับถุงขนมรวยเพื่อน

“พี่แพร มาทำอะไรเหรอฮะ แล้วพี่สองคนนั้นกลับแล้วเหรอ”  มันถามแต่ดูท่าทางมันจะดีใจมากกว่านะ สีหน้าแบบนั้น

“ยุ่งจริงเลยมึงนิ  เออ พี่จะกลับละ จะกลับมั๊ย  จะกลับก็ตามมา”  ผมว่าพลางเก็บสมุดหนังสือใส่กระเป๋า

“อ้าว น้ำกับขนมนี่ล่ะ”  มันชี้มาที่ของกิน

“มึงก็กินไปเองเถอะ  เร็วๆ จะกลับละเนี่ย”

“พี่นนท์อ่ะ รีบไปไหน ยังไม่สอนน้องเลย ทีพี่คนนั้น ตั้งใจสอนเต็มที่เลย”

ผมจิ๊ปากเล็กน้อยก่อนจะประเคนมะเหงกใส่หัวมันไปเบาๆ

“นั่นมันสาวๆน่ารักๆ มึงเป็นใครวะ ห้องสตั๊ดดี้ก็มี ไปสอนเอาในนั้นก็ได้”

“พี่นนท์ใจร้ายอ่ะ  งั้นกินนี่ก่อนนะครับ นะๆๆๆ” 

ดูมันสิ   ทำหน้าอ้อนๆแบบนั้นหมายความว่าไงวะ

“เรื่องเยอะนะ “ ว่าพลางก็หยิบแก้วโค้กมาดื่มทีเดียวหมดแก้ว แต่สำลักเสียก่อน

“ฮ่าๆ สม อยากรีบดีนัก”  มันหัวเยาะ ผมเลยทำท่าจะเขกหัวมันอีกที มันก็เบี่ยงตัวหลบทันที

“เอ้อ วันนี้ ทำอะไรกินกันดีล่ะเรา”  หยุดตอแยมันเป็นการชั่วคราว

“ไม่รู้อ่ะพี่ พี่จะกินอะไรล่ะ มีแต่ผักกาดขาวเหลืออยู่”

“งั้นต้มจืดผักกาดขาวละกัน”

“เย้ พี่จะทำให้กินใช่ไหมครับ”

“เออ แต่มึงต้องซักผ้ารีดผ้านะ “

“แค่นั้นเอง ผมทำได้ แต่ไม่เอากางเกงในนะ” มันทำท่าขยะแขยงเมื่อพูดถึง

“ไม่ต้องพูดมาก  สมัยไอ้แทนกับกูยังซักให้กันได้”    อ้าว เวรละตู หลุดปาก ออกไปแล้วทำไงได้

“.........”   ไอ้ทัชมันเงียบไปครู่หนึ่ง ผมมองหน้ามันแล้วเริ่มรับรู้ถึงความอึดอัด


“เออๆๆ เข้าใจ ไม่ซักก็ได้ แต่ถุงเท้าต้องซักนะ” ผมยังคงยื่นข้อเสนอไม่ให้มันดิ้นหลุด

“สงสัยผมจะเป็นเบ๊ เหมือนที่พี่นพพูดแล้วใช่ไหมครับ”  มันพูดพร้อมทำหน้าดูเหมือนผิดหวังเล็กๆ

“ไอ้ทัช....”  ผมพูดเสียงดังใส่จนมันก็สะดุ้งเล็กน้อยอกอาการเหวอไปพร้อมๆกัน ผมชะงักเล็กน้อยแล้วยื่นมือไปลูบผมมันเบาๆ

“มึงไม่ต้องซักก็ได้นะ กูพูดเล่นเฉยๆ เดี๋ยวกูจัดการเอง”

“ไม่เป็นไรครับ ผมก็แซวพี่ไปงั้นแหละ  ผมเต็มใจ” มันพูดตอบพร้อมมองหน้าผมสีหน้าบ่งบอกความเต็มใจอย่างล้นเหลือพร้อมฉีกยิ้มกว้างจนจะถึงใบหู

“อืม.. ขอบใจนะ ช่วยๆกันไป พี่ไม่ใช้มึงอยู่คนเดียวหรอก”  รีบตอบก่อนมันจะปฏิเสธ

 ผมเองก็เผลอคิดไปว่า บรรยากาศแบบนี้ มันเหมือนตอนผมกับไอ้แทนเรียนด้วยกันที่ภูเวียงวิทยา เฮ้อ ไอ้นนท์หนอไอ้นนท์ มันคนละคนเว๊ย จำไว้ให้ดี

“พี่นนท์ เรากลับกันเถอะ เริ่มเย็นละ” 

“อืม หยิบหนังสือกับสมุดเล่มนั้นมาให้ที” ผมชี้ไปที่หนังสือและสมุดของน้องโรส

“เอ๊ะ อันนี้มันของ ม.3นี่นา ของพี่คนนั้นเหรอครับ”  มันว่าพลางพลิกดูหนังสือเรียนภาษาอังกฤษ ม.3  ของ อจท.

“วางไว้นี่แหละ เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็มีคนเก็บไปคืน”

“เฮ๊ย ได้ไง ทำแบบนั้นน่าเกลียด  ดูพี่ด้วย พี่เป็นที่รู้จักหลายคนนะ”

“ก็ผมไม่อยากให้เค้ามาอยู่ใกล้พี่นนท์นี่ครับ”  ปากมันพูดแต่มันก้มหน้าครับ

“อะไรนะ พูดใหม่อีกทีดิ๊”  ผมให้มันทวนคำพูดอีกครั้ง

“ช่างเถอะ กลับกันเถอะครับ  อ่ะ เอาไป”  มันว่าพลางส่งสมุดและหนังสือของน้องโรสมาให้ผม

เราเดินลัดเลาะสวนต้นสักผ่านโรงอาหารของโรงเรียน ผ่านสระน้ำหน้าหอพัก เดินไปก็คุยกันไป

“เออ ทำไม ถึงไม่อยากให้คนมาอยู่ใกล้พี่วะ”   ผมยังคงถามเพราะอยากรู้ว่าไอ้ตัวเล็กนี่มันคิดอะไรของมัน

“ไม่รู้อ่ะครับ แค่ไม่อยากให้คนอื่นอยู่ใกล้เฉยๆ โดยเฉพาะพี่สาวคนนั้น”

“อะไรของมึงว้า  น้องเค้าออกจะน่ารัก ยิ้มมีเสน่ห์”

“นั่นแหละ  เห็นแล้วมันหงุดหงิดยังไงบอกไม่ถูก” มันพูดเน้นเสียงดังตรงคำว่า “นั่นแหละ”  จนผมเองก็สะดุ้งไปเล็กน้อย
“หืม ไอ้ทัช  นี่มึงหวงพี่ขนาดนั้นเลยเหรอวะ”

“หวงเหิงอะไรล่ะพี่   โว้  พูดอะไร”  มันทำท่าอารมณ์เสีย แต่ผมกลับยิ้มกับท่าทางของมัน

เหมือนพี่ชายมันเลยไม่มีผิด   เฮ้อ ...สงสัยเราต้องปรับตัวใหม่เสียแล้วกระมัง

     ถึงหอแล้วผมก็ถอดชุดนักเรียนให้มัน แล้วก็ลงมาโรงครัวของหอพัก เพื่อหุงข้าวทำกับข้าว คนอื่นๆบ้างก็กำลังผัดผักบ้าง คนหม้อข้าวบ้าง  ส่วนนักเรียนหญิงบางคนก็นั่งกินข้าวกันอยู่เป็นกลุ่ม  โรงครัวจะแยกระหว่าง นักเรียนชายและนักเรียนหญิงครับ  แต่งบางทีเวลาทำอาหารเสร็จก็ตักแบ่งกัน เป็นการสร้างสัมพันธ์ไมตรีระหว่างเพื่อนต่างภาษา(ถิ่น)   

.
.
.


...เสริมท้าย....ปิดภาคเรียน...
 


     กาลเวลาผ่านไปเร็วมาก จนถึงช่วงสอบก่อนปิดภาคเรียน   นักเรียนหอพักอย่างเราก็ไม่ต้องลงห้องสตั๊ดดี้เหมือนเคย ต่างคนต่างอ่านหนังสือกันเอง ผมก็ยังคงตัวติดกันกับไอ้เจ้าทัช เพราะมันสั่งไว้ว่าผมจะต้องมาติวให้มันด้วย  อืม ออกคำสั่งกับกูเลยนะเนี่ย เอากับมันสิ
 ช่วงสอบ  ทุกชั้นปีจะมีเวลายาวนานกว่าปกติ เพราะบางคนสอบเสร็จก็กลับบ้านเลย บางคนก็ต้องนั่งรอสายรถรับส่งของตัวเองเพราะต้องรอชั้นปีอื่นๆสอบเสร็จก่อน  ดังนั้น ตามสุมทุมพุ่มไม้ ตามต้นไม้  ทั้งสนามฟุตบอล  สวนต้นสัก  โรงอาหาร จะมีนักเรียนจับกลุ่มกับเป็นกลุ่มๆนั่งอ่านหนังสือกันอย่างขะมักเขม้น  ภาพเหล่านี้ ยังคงเห็นทุกวันจนกระทั่งวันสอบวันสุดท้าย  ตัวผมเองเป็นคนที่จิตใจอ่อนไหวเซ้นสิทีฟกับเรื่องราวต่างๆที่มาสะกิดใจ  การสอบเสร็จ และปิดเทอม ที่จะไม่ได้เจอหน้าเพื่อนๆน้องๆ ทั้งในโรงเรียนและหอพัก  ก็ทำให้ผมรู้สึกเศร้าใจขึ้นมาทันที ความรู้สึกไม่อยากให้ปิดเทอมเริ่มก่อตัวขึ้นมาในใจ 
 หลังสอบเสร็จ ผมก็ร่ำลากับเพื่อนๆในห้อง พวกเราห่อกับข้าวมากินด้วยกัน  นั่งล้อมวงสนทนา พูดคุยกับอาจารย์ประจำชั้น  เพื่อนบางคนบอกจะทำงานพิเศษ บางคนกลับไปช่วยพ่อแม่ทำไร่ทำสวน บางคนจะไปเป็นเด็กเสริฟ  เด็กปั๊ม  ผมเหรอครับ พอนึกถึงวันปิดเทอม ใจมันห่อเหี่ยว เพราะเมื่อคิดว่าจะไม่ได้เจอเพื่อนๆมันก็เกิความเศร้าขึ้นมาในใจ  เอ๊ะ นี่เรากลายเป็นคนขี้เหงาไปตั้งแต่เมื่อไหร่วะเนี่ย 
 มีน้องๆม.สามบางคนที่จบแล้วจะไม่เรียนต่อที่นี่ แต่เลือกออกไปเรียน โรงเรียน เวียงคำวิทยา ก็เอาเสื้อมาให้เขียนเป็นที่ระลึกกัน  ตกเย็น ก็กลับหอพักเพราะคืนนี้จะเป็นวันที่รวมกันอีกครั้งก่อนปิดเทอม วันนี้ไม่มีใครทำกับข้าว เพราะเตรียมเก็บครัวทำความสะอาดโรงครัว  ผมเอากีตาร์มาเล่นกับเพื่อนๆน้องๆที่ริมสระ ฝั่งหน้าหอตัวเอง คืนนี้นัดกันไว้หลายคนว่าจะโดนสระน้ำเล่นกัน รอให้อาจารย์ฝ่ายปกครองกลับก่อน   มีน้องๆเริ่มกลับขึ้นมาบ้างก็มานั่งร่วมล้อมวง  ไอ้กานต์ เด็กชาวอิสานอยู่หอหนึ่งมาเล่นด้วย มันจะไปเรียนต่อที่ภูเวียงวิทยา เห็นบอกจะให้ลงชื่อเป็นที่ระลึก   มันเล่นเพลงของ เท่ห์อุเทน พรหมมินทร์ ซึ่งกำลังดังในยุคนี้  หลายคนก็ช่วยกันร้องตาม   จนกระทั่ง หกโมงเย็น อาจารย์สุพลเรียกรวมตัวที่ห้องสตั๊ดดี้  พูดเรื่องการทำความสะอาดโรงครัว โรงอาบน้ำ และตัวอาคารหอพัก หลังใครหลังมัน ปิดล็อคให้เรียบร้อย 
 อาจารย์มาพูดอบรมอยู่ประมาณสิบนาทีก็กลับไป ทีนี้เด็กๆม.3ที่ไม่เรียนต่อก็ให้เขียนชื่อเขียนสมุดเฟรนด์ชิพกันใหญ่  สุชาติ   บดินทร์  ไปเรียนต่อที่ ภูเวียงวิทยา จิราพร สุนีย์ สุชาดา  เกาลิ่น สูเฟย ไม่เรียนต่อ ด้วยเหตุผลที่ทางบ้านยากจน ต้องกลับไปช่วยทางบ้าน  คิดไปก็สงสารน้องๆ แต่ทำไงได้ ชาวเขาก็ยากจนจริงๆ  สุชาติมันหันหลังมาให้ลงชื่อ พร้อมกับคนอื่นๆ ส่วนของนักเรียนหญิงจะมีสมุดเฟรนด์ชิพมาให้เขียน   แต่ผมสังเกตเห็นอะไรผิดปกติเล็กๆน้อยๆ เลยหันไปดู
   นั่นไง กูนึกแล้ว..  ไอ้ทัชครับ มันไปเขียนเครื่องหมายบวกแล้วต่อด้วยชื่อมันเอง  ทุกอันเลยที่ผมเขียนไว้ไม่ว่าจะเขียนให้ใคร มันจะเขียนเครื่องหมายบวกต่อด้วยชื่อมันลงไปด้วยทุกคนไป  ผมเหลือบไปมองหน้ามันเห็นมันยักไหล่ทำไม่รู้ไม่ชี้ เลยหลอกเรียกมันมาใกล้ๆ เขกหัวไปมันทีนึง
 .....เฮ้อ...ปิดเทอมซะแล้วหรือนี่ ...






.........................................................
หัวข้อ: ทัช..สัมผัสใจ ตอนที่4 (10 ก.ค. 2560)
เริ่มหัวข้อโดย: thewa.arak ที่ 10-07-2017 15:33:58
 ตอนที่4





...กูผิดเองที่ไม่อยู่ ในห้วงเวลาที่มึงต้องการใครสักคน..... Part นนท์ /แทน...




           ผมกลับมาเรียนตามปกติ แต่ใจกลับไม่อยู่กับเนื้อกับตัว รู้สึกว่ามันกระวนกระวาย ทำอะไรก็รนไปหมด เฝ้าแต่นับวันนับคืนให้ถึงวันศุกร์เร็วๆ จะได้ขึ้นไปหาไอ้แทน  ช่วงนี้เลิกเรียนมา หาฟืน ทำครัวทำกับข้าวคนเดียว ซักผ้าอาบน้ำคนเดียว รู้สึกมันหวิวๆบอกไม่ถูก 

 “ไอ้เน ไอ้นพ ศุกร์นี้พวกมึงกลับบ้านป่าววะ”

“ทำไม มึงจะไปบ้านไอ้แทนอีกเหรอ”   ไอ้นพถามพร้อมเหยียดยิ้มแห้งๆ

“เออ กูอยากไปอีกจะทำไม”  ตอบแบบ ขอไปที

“มึงจะกลับอีกมั๊ย  ไอ้ฉัด”    ไอ้เนถามแฝดมัน  เออ ดีพี่น้องพูดกันแบบนี้เลย

“กูว่าจะไม่กลับว่ะ  ถ้ามึงกลับก็พาแฟนมันไปด้วยละกัน”  ไอ้ห่านพตอบพลางบุ้ยใบ้มาทางผม  แต่ผมทำปากด่ามันแบบไม่ออกเสียงแต่พอให้มันอ่านปากได้ว่า   ...ไอ้เหี้ย ....

“เดี๋ยววันศุกร์ กูบอกมึงอีกทีละกัน” ไอ้เน หันมาตอบผม   ผมก็พยักหน้าให้มันไป   

    ......



      เย็นวันอังคาร ผมอาบน้ำเสร็จ รีดชุดนักเรียนแล้วก็แวะไปสวนพุทธธรรมซึ่งอยู่ด้านหลังของวัดห้วยตาเหิน แต่อยู่ติดๆกับรั้วโรงเรียนภูเวียงวิทยาฝั่งหอพักนักเรียน ผม เดินไปตามทางเท้าแคบๆ เข้าไปที่ตัวอาคารหอพระคัมภีร์  กราบไหว้พระพุทธรูป นั่งสวดมนต์สักพัก ส่งจิตอธิษฐานเผื่อไปให้ไอ้แทน  แล้วอยู่ช่วย ลุงคำตั๋น  มรรคทายกคนสำคัญของวัด  กวาดพื้น ทำความสะอาดส่วนครัว ช่วยแกล้างจานชาม มีชาวบ้านมานั่งสวดมนต์กันเป็นกลุ่มๆ  ผมก็ช่วยเดินแจกน้ำดื่มให้ พร้อมเก็บแก้วที่ใช้แล้วมากองรวมกันไว้ในกะละมัง นั่งฟังชาวบ้านสวดมนต์ทำวัตรเย็นสักพักผมก็กลับ  และขอโทษ ป้าตุ๊ที่ไม่ได้อยู่ช่วยแกล้างแก้ว เพราะหากดึกมาก เดินกลับหอคนเดียวผ่านป่าไม้เต็งแล้วมันเสียวสันหลัง  ปกติแล้วถ้าเป็นวันสำคัญๆทางศานา อาจารย์จะพาเด็กหอพักมาร่วมสวดมนต์ทำกิจกรรมทางศานาที่วัดนี้  หากแต่วันนี้ผมไม่รู้นึกอย่างไร ใจมันนึกอยากจะมาเอง 

 “อ้าว ไอ้นนท์ มึงไปไหนมาวะ”  ไอ้นพทักทันทีที่เห็นผมเดินเข้าหอมา

“กูไปวัดห้วยตาเหินมา ไปสวดมนต์ทำวัตรเย็นกับชาวบ้านอ่ะ” 

“ทำไมไม่ชวนกูวะ กูก็ว่าหายไปไหน จะแดกข้าวแล้วหามึงไม่เจอ ”  พร้อมกับตบหัวผมทีหนึ่งเบาๆ 

“กูจะรู้กับมึงมั๊ยเนี่ย ทุกทีเวลาชวนไป มึงบอกกลัวผีตลอด กูเลยไปคนเดียว”

“ใช่ๆ มึงอ่ะไอ้ขี้ขลาดตาขาว”  ไอ้เน  พูดสอดขึ้นมาเสียงดัง พร้อมกับที่ ไอ้ต๋องก็ตอบรับเป็นลูกคู่

“เออจริง  ขนาดไปดูแก้วขนเหล็ก ขากลับมามึงยังวิ่งหางจุกตูดอ่ะ ไอ้นพ”   ไอ้ต๋องได้ทีเหยียบย่ำมันจนจมดิน

“แม่ง รุมกู พวกมึงจำไว้  เออ ไอ้นนท์มึงแดกข้าวยังวะ กูมีไข่เจียวให้มึงอ่ะ ไปหาเอง”   

 ...โห่ ไอ้นพ..ใจดีชิบหาย  หน้าตาแม่งหล่อน้อยกว่ากูแต่นิสัยกูให้มึงเต็มล้านวะเพื่อน

“ไข่เจียว กับผัดผักกาดขาวเหรอ กูจัดการหมดแล้ว”    อ้าว...ไอ้เชี่ยเน ... ผมทำท่ายกเท้าจะถีบมันมันรีบกระโจนขึ้นหอไปเลยทันที

“ไม่เป็นไรหรอก เมื่อกี้กูก็กินอาหารวัดมาแล้ว กินข้าวก้นบาตร ได้บุญนะเว๊ย  เออ กูสวดมนต์ให้ไอ้แทนด้วย” 

“โอ้โห ดีจังโว๊ย เป็นห่วงแฟนด้วย”  ไอ้ต๋องต่างหากครับที่ตะโกนออกมา ไอ้นพก็หันไปพยักหน้ารับเป็นลูกคู่กันอีก

“มึงเชี่ยละ ไอ้ต๋อง กูกับมันเป็นเพื่อนสนิทกันเว๊ย  มึงก็พูดไป เดี๋ยวยัยแพรพรรณก็ตามมาตบกูหรอก”    ผมพูดจริงๆนะเนี่ย

“เออ ไอ้นนท์ กูถามตรงๆเถอะ พวกมึงเป็นอะไรกันป่าววะ กูว่า..พวกมึงนี่มันจะสนิทกันมากเกินปกติว่ะ”    ไอ้นพขยับมานั่งข้างผมพร้อมคาดคั้นด้วยสายตาจริงจัง

“เกินปกติ ยังไงวะ  กูก็ทำตามปกตินี่หว่า”  ถามเพราะความอยากรู้จริงๆ ว่าสายตาคนอื่นๆจะคิดยังไงมองยังไง

“ไม่รู้ว่ะ กูจะไปรู้กับพวกมึงได้ไง  แต่กูมองเห็นว่ามันไม่ใช่เพื่อนธรรมดา”  ไอ้นพก็คงยังไม่ให้ความกกระจ่าง

“เออ กูก็ว่างั้นแหละ ถามตรงๆนะ มีอะไรปิดบังพวกกูอยู่รึป่าววะ”  ไอ้ต๋อง ขยับมาร่วมวงใกล้ๆ พร้อมกับ ไอ้เนก็เดินลงมาสมทบด้วย

“เออ กูด้วย กูก็อยากรู้มานานละ เห็นพวกมึงแล้วมันดูแปลกๆว่ะ”

“เออ ไอ้เน มึงลองพูดดิ๊ มันไม่ปกติยังไงวะ กูพูดไม่ถูก”  ไอ้ต๋องพยักเพยิดให้ไอ้เนพูด

“ อื่มมม..”  มันทำท่าครุ่นคิด ในขณะที่พวกผมก็คอยเงียหูตั้งใจฟังเต็มที่

“อ้าว พูดดิวะ “  ไอ้นพตบหัวมันไปทึนึง ผมล่ะอยากลุกไปกระทืบมันด้วยซ้ำ มาทำให้อยากแล้วต้องคอยเอียงคอตั้งนานเพื่อจะฟังมันพูด

“ก็..สิ่งที่พวกมึงทำกันอยู่ทุกวันนี่ไง อ่ะ ขนาด ไอ้นพมันเป็นพี่น้องกับกูแท้ๆกูยังไม่ซักผ้ารีดผ้าให้มันเลย”   ไอ้เนบอก  ไอ้ต๋องกับไอ้นพก็ตอบรับพร้อมกัน

“เออ ใช่ๆ” 

“แล้วมันแปลกตรงไหนวะ เพื่อนกันก็ช่วยเหลือกันไง” ผมยังมองไม่เห็นว่ามันจะแปลกตรงไหน

“มันไม่ใช่แค่นั้นว่ะ อย่างอาบน้ำก็มีการสระหัวให้กันด้วยนะ” ไอ้นพพูดบ้าง

“เห้ย ขนาดนั้นเลยเหรอวะ”   ไอ้ต๋องแทรกจังหวะ
 
“ก็อาบกันหลายคน เห็นๆกันหมด กูไม่ได้ไปกอดจูบกับมันซะที่ไหนล่ะ พวกมึงนี่ก็ช่างคิดว่ะ”  ผมพูดให้เหตุผลไปตามที่คิดจริงๆ

“เอ้อ นั่นแหละกูเพิ่งนึกออก พวกมึงยังนอนกอดกันด้วย” ไอ้เนพูดสวนขึ้นมา

“เอาละวะ พวกมึงนี่ยังไงเนี่ย”    ....อ้าว..ไอ้ต๋อง..มึงจะตื่นเต้นอะไรขนาดนั้นวะ....

“ไม่ได้กอดจริงจังอะไรซะหน่อย ถึงเวลานอนก็ต่างคนต่างนอนป่ะวะ”   ผมเริ่มรู้สึกว่าตัวเองหูร้อนขึ้นมาแล้ว

“ก็นั่นแหละ เพื่อนกันมันต้องขนาดนั้นเลยเหรอวะ” ไอ้ต๋องแทรกอีกแล้ว

“เออ เว๊ย ก็กูสนิทกับมัน กูไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นสักหน่อย พวกมึงนี่ก็ช่างคิดว่ะ ไปๆ ขึ้นบ้านนอนๆ”  ผมรีบพูดตัดบท ทำท่าจะเตะพวกมันก็กระเจิงไปคนละทิศ

“เฮ้ย ไอ้นนท์ ถ้าพวกมึงจะสนิทกันเกินเพื่อนมากจริงๆ พวกกูก็ไม่ได้ว่าอะไรเลยนะเว้ย ยังไงพวกเราก็เพื่อนกันนะเว๊ย”    ไอ้นพเข้ามาตบไหล่โอบคอผม

“ว่าแต่พวกมึงใครผัวใครเมียวะ”    อ้าว.. ไอ้ต๋อง...พูดแบบนี้วอนโดนส้นตีนแล้วล่ะเพื่อน...

“ไอ้เหี้ยต๋อง มึงไม่เกินไปหน่อยเหรอวะ ผัวเมียเหี้ยไร  ผู้ชายเว้ย” ผมตะโกนด่ามันด้วยสีหน้าจริงจัง

“เออๆๆ ไม่รู้แหละ เอาเป็นว่าจะยังไงพวกมึงก็เพื่อนพวกกูว่ะ” 

“เออ ใช่ๆ”   ตอบรับกันเป็นลูกคู่เลยเชียว

  นี่กูเป็นนักโทษพวกมึงหรือไงวะ..แม่งรุมกูอยู่ได้....เฮ้อ...นั่นสินะ ในสายตาคนอื่น ผมกับไอ้แทนคงสนิทกันมากเกินเพื่อนไปจริงๆ แต่ผมก็ไม่ได้คิดถึงเรื่องอื่นๆกับมันเลยนะ แค่รู้สึกว่าอยู่กับมันคุยกับมันแล้วสบายใจ แค่นั้นจริงๆ ส่วนกิจกรรมอื่นๆอย่างที่พวกไอ้เนไอ้นพไอ้ต๋องพูดมานั่นก็แค่ช่วยๆกัน ผมว่ามันเป็นเรื่องปกติด้วยซ้ำไป ไม่เคยนึกถึงอย่างอื่นเลยด้วยซ้ำ

“เออ ไอ้นพ ... ตกลงวันศุกร์มึงจะไม่กลับบ้านจริงเหรอ” 

“อืม คงไม่ว่ะ ก็เพิ่งกลับมานี่ไง ให้ไอ้เนมันกลับแทน”  ไอ้นพตอบ ผมก็พยักหน้าและเผลอถอนหายใจ

“ทำไมวะ  เออ นี่ไง นี่ก็อีกเรื่อง กูว่ามึงจะห่วงมันเกินไปป่าววะ “

“เหรอ.. เฮ๊ย ก็ห่วงเพื่อน มันปกตินี่หว่า มันเป็นเพื่อนสนิทกูนะเว้ย”

“มึงพูดงั้นเหรอ  กูกับมันอยู่บ้านเดียวกัน รู้จักกับมันมาก่อนมึงด้วยซ้ำ กูยังไม่อะไรกับมันมากเหมือนมึงเลย  กูพูดจริงๆนะเนี่ย”  ไอ้นพเริ่มมีสีหน้าจริงจังขึ้นมา

“ไม่รู้ว่ะ อย่ามาหาคำเรียกนั่นนี่ได้ป่าววะ เพื่อนก็คือเพื่อนเว้ย และกูก็ไม่เคยคิดถึงอะไรเกินกว่านั้นเลย ไม่เคยคิด และไม่สนด้วยว่าคนอื่นจะมองยังไง”    ผมสาธยายยาวเหยียดพร้อมสีหน้าจริงจัง

“กูว่า ไอ้แทนมันก็คงคิดเหมือนมึงแหละวะแต่กูก็ไม่เข้าใจนะ แพรพรรณ ก็น่ารักนะ แต่กูไม่รู้สึกว่าไอ้แทนจะชอบนะ ”
 
“มึงจะไปรู้อะไรกับมัน มึงอยากพูดเองว่าโตมากับมันดีนัก แต่ว่ามึงก็ไม่ได้สนิทอะไรกับมันมากขนาดนั้นไม่ใช่เหรอวะ”   ผมน่ะอยากรู้ขึ้นมาทันที แต่ยังคงปรับสีหน้าเรียบๆถามไปแบบเรียบๆ แต่แฝงไว้ด้วยความอยากรู้เสียเต็มประดา

“ก็มันเคยบอกกูว่า น่ารักดี แต่มันก็ไม่ได้ชอบแบบนั้น”

“เหรอ มันเคยบอกมึงด้วยเหรอ กูสนิทกับมันตัวแทบจะติดกันไม่เห็นมันเคยบอกกูวะ”   

 แล้วทำไมกูต้องรู้สึกโล่งใจด้วยวะ  เหอๆ..

“มันคงไม่อยากให้มึงเสียใจล่ะมั๊ง” ไอ้นพพูดพร้อมมองหน้าผม

“เสียใจเหี้ยไรวะ นี่มึงยังจะย้อนกลับมาเรื่องกูอีกนะ”  ผมแกล้งเฉไฉทำเป็นโยนความผิดให้มัน

“ก็นี่แหละ ที่ทำให้กูต้องมาถามมึงเนี่ย ว่าพวกมึงอะไรยังไงกันไง”

“อ่อ เหรอ” ผมทำทีพยักหน้า

“มึงรู้ใช่ป่ะ ว่า อารุจน์ไม่ใช่พ่อแท้ๆไอ้แทนน่ะ”

“เออ กูรู้ มันเคยบอกกูแล้ว แต่ครอบครัวเขาก็อบอุ่นดีนะ”   ตามที่ผมเห็นมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ

ส่วนรายละเอียดลึกๆผมเองก็ไม่อยากถามและไม่เคยพูดถึงเรื่องพวกนี้กับไอ้แทน

“เอาเถอะวะ จะยังไงก็ช่าง ไอ้แทนมันเป็นคนตรงๆนะ ถ้ามึงมีอะไรยังไงก็บอกมันไปเลยก็ได้ พวกกูไม่ใช่ใครอื่น  พวกเราก็ยังคงเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม”  ไอ้นพตบไหล่ผมเบาๆ

“เออ ขอบใจนะ”   

  แล้วเราต่างก็ขึ้นหอกางมุ้งนอนเตียงใครเตียงมัน ผมมองไปยังเตียงไอ้แทนข้างๆผม  รู้สึกใจหายที่ไม่ได้มองหน้ามันทุกวันและคุยเล่นกันก่อนนอน เอาน่ะ วันศุกร์กูจะขึ้นไปอยู่กับมึงอีก
คราวนี้ มึงจะใช้อะไรกูกูยอมทำตามทุกอย่างเลยนะ ไอ้แทน...กูคิดถึงมึงว่ะ

........

  วันพุธก็ผ่านไปอีกวัน ตื่นเช้า อาบน้ำแต่งตัวไปเรียน เหมือนเช่นทุกวัน วันพฤหัสก็เหมือนกัน แต่มันรู้สึกหวิวๆยังไงพิกล เรียนๆไปแบบไม่ค่อยมีสมาธิเท่าไหร่ เพื่อนก็ถามหาไอ้แทนบ้างก็ตอบไปตามเรื่องตามราว  และนี่ก็ใกล้เวลาเลิกเรียนแล้ว  วันนี้มันรู้สึกเบื่อๆจริงๆ
เห็นมีครูฝ่ายปกครองขึ้นมาเรียกครูสอนวิชาสังคมฯคาบสุดท้าย และเลิกสอนกระทันหัน เรียกนายอาธรและไอ้นพออกไปนอกห้อง  ปล่อยให้นักเรียนที่เหลือนั่งอึ้งงงกันเป็นแถบๆ 

อะไรกันวะ มันไปไหนกัน...

สักชั่วอึดใจก็เห็นไอ้คุณชายอาธรเดินเข้ามา ดูสีหน้าเหมือนคนอมทุกข์ร้อยแปด  เดินไปกระซิบกับแพรพรรณ เห็นเธอทำหน้าตกใจแล้วปล่อยน้ำตาไหลออกมา  เฮ๊ยๆๆ มีอะไรเกี่ยวกับแพรพรรณเหรอวะ  ผมเริ่มใจคอไม่ดี

“ไอ้นนท์ ”  คุณชายอาธร หัวหน้าชั้นเรียกผมพร้อมกับก้าวท้าวช้าๆมาทางผม

“เออ ว่าไง”

“ เรื่องไอ้แทนน่ะ ”

“ไอ้แทน?? “ ถามเสียงสูง ออกอาการงงเล็กน้อย

“ไอ้แทน ..ทำไมวะ”   ผมถาม เพราะดูท่าทางมันมีพิรุธชอบกล

“เอ่อ  เออ ไอ้นพบอกว่ามึงไปเที่ยวหามันมาใช่ป่ะ”

“อื้ม ทำไมเหรอ”

“ป่ะป่าวๆ ไม่มีอะไร ก็แค่คิดถึงมันน่ะ เคยเจอกันอยู่ๆก็หายไปก็เลยถามถึง”

“อืม ว่าแต่ทำไมมึงทำหน้ามีพิรุธจังวะ  มีอะไรก็บอกกูมาเถอะน่า”  ผมคาดคั้น

“เอ่อ…..”    พูดอึกอักๆอยู่นั่นแหละ ผมชักจะรำคาญแล้วนะ

ยังไม่ทันที่ผมจะคาดคั้นถามมัน ก็เห็นเพื่อนๆทั้งชั้นเงียบกริบกันหมด ล้อมหน้ากันเข้ามารุมอยู่ที่ตัวผมกับอาธร  จนเริ่มได้ยินเสียงร้องไห้กระซิกๆกันั่นแหละ ผมถึงเริ่มใจคอไม่ดี

“ไอ้อาธร...ตกลงมึงมีอะไรจะบอกอะไรกูป่ะ เมื่อกี้มึงกระซิบอะไรกัน” 

ผมกึ่งจับคอเสื้อหัวหน้าชั้นพร้อมตะคอกใส่หน้ามัน มันเริ่มมีน้ำตาไหลออกมา ผมก็งงสิครับ แม่งพวกมึงเป็นเหี้ยไรกันวะ
“มึงจะพูดมั๊ยไอ้อาธร ” ผมเขย่ามันไปมา

“แพร ..เธอมีอะไรหรือเปล่า ไอ้อาธรมันบออกอะไรเธอ มีใครเป็นอะไรเหรอ”  ผมหันไปตะโกนถามแพรพรรณ  เธอเอาแต่ก้มหน้าร้องไห้กระซิกๆ

“โว๊ย พวกมึงเป็นเหี้ยอะไรวะ มีอะไรก็บอกมาสิวะ”  ผมเริ่มตะโกนโวยวาย

“ไอ้นนท์ “ ไอ้นพตะโกนเรียกชื่อผม  เห็นมันมาพร้อมกับ ไอ้ต๋องและไอ้เน ซึ่งอยู่ห้อง 2/3 มันวิ่งเข้ามาพร้อมกับที่กลุ่มเพื่อนๆผมเบี่ยงตัวหลีดทางให้เข้ามาตรงที่ที่ผมกับไอ้ธรยืนอยู่ ในมือผมยังคงกำคอเสื้อไอ้อาธรแน่น

“ไอ้นนท์  มึงฟังกูดีๆนะ “ ไอ้นพพูดขึ้นมา และเข้ามาจับบ่าผม สีหน้ามันบ่งบอกว่ามันก็มีน้ำตาไหลออกมาไม่ต่างจากเพื่อนๆคนอื่น

“ไอ้ แทนอ่ะ...มึง..”  ผมรู้สึกเหมือนมีเสียงอะไรสักอย่างดังวิ้งเข้ามาในหัวเมื่อได้ยินเสียงไอ้นพเอ่ยชื่อไอ้แทน  ไอ้แทนงั้นเหรอ

“อะไร ไอ้นพ ไอ้ต๋อง ไอ้เน  ไอ้แทนมันทำไม” ผมละจากคอเสื้อไอ้อาธรหันมาเขย่าแขนไอ้นพ

 ไอ้ต๋อง ไอ้นพ ไอ้เน อาธร เข้ามากอดคอผมไว้

“ไอ้แทน..มึง.. “ ไอ้นพเริ่มเสียงสั่นเครือ 

“ไอ้แทน ...ตายแล้ว”  พูดได้แค่นั้น ทุกคนก็ปล่อยโฮพร้อมกัน ดังทั่วทั้งห้องไม่ทันสังเกตุว่ามีห้องอื่นๆที่คงรู้เรื่องแล้วตามเข้ามาด้วย

“ไอ้เหี้ยนพ มึงพูดว่าอะไรนะ ไอ้แทนทำไม”  ผมตะโกนถามมัน  รู้สึกหน้าตาร้อนผ่าว คอแหบแห้งเป็นผงขึ้นมาทันที

“ไม่จริงใช่ไหม พวกมึงหลอกกู แกล้งกูใช่ไหม พวกมึงทุกคนด้วย”  ผมชี้ไปรอบๆห้อง

“กูไม่มีอารมณ์เล่นตลกกับพวกมึงนะเว๊ย” ผมยังคงไม่เชื่อในสิ่งที่ผมได้ฟัง แถมยังแค่นหัวเราะในลำคอ

“ไอ้แทนตายแล้วงั้นเหรอ พวกมึงแม่งเหี้ย เล่ยเหี้ยไรกัน กูไปบ้านมันมามันแข็งแรงขึ้นเยอะ”

ผมตะโกนพูดออกไปลั่น ไอ้นพก็กอดผมแน่นขึ้นมากกว่าเดิม

“ไอ้นนท์ กูจะล้อเล่นเรื่องแบบนี้กับมึงทำไม มึงเห็นมั๊ยเพื่อนๆทุกคนเค้าทำหน้ายังไง มึงคิดว่านี่เล่นๆเหรอวะ”  ทุกคนร้องไห้เสียงดังมากขึ้นอีก  ผมหันไปดูทุกคน อยากให้พวกมันแค่แกล้งผมเล่น แต่...ท่าทางแบบนี้มัน... เหมือนทุกอย่างในโลกหยุดหมุนไปชั่วขณะ

“มึง...มึง..ไม่จริงใช่มั๊ย มึงบอกกูสิว่าไม่จริง”  ผมเขย่าแขนไอ้นพแรงๆ  ทั้งไอ้นพไอ้เน ไอ้ต๋อง อาธรด้วย กอดคอผมกอดเอวผมแน่น เสียงร้องไห้ดังระงมไปทั่วห้อง 

“ไอ้แทน... ไอ้แทน “  ผมตะโกนลั่นห้อง เข่าอ่อนทรุดลงไปกองกับพื้น ร้องเรียกไอ้แทน และปล่อยโฮออกมาสุดเสียง ไม่อายใคร

“ไอ้แทน...มึงไปแบบนี้ไม่ได้นะ มึงสัญญาอะไรกับกูไว้... ไอ้แทน” ผมตะโกนลั่น ไอ้นพมันรวบผมไปกอดคอแน่นเลย

“ไอ้นนท์ มึงร้องออกมา มึงปล่อยออกมา เต็มที่เลย” ผมร้องไห้ซบลงกับไหล่ของไอ้นพ

“ไอ้นพ ....ไอ้แทนมันบอกจะรอกูวันศุกร์นี้ไง  กูกำลังจะขึ้นไปหามันไง  ทำไมวะ  ทำไม”  ผมแทบจะจำไม่ได้ว่าทุบไหล่ไอ้นพไปกี่หมัด เพื่อนๆต่างเข้ามารุมจับตัวผม

“นนท์ทำใจดีๆ “  เสียงเดียวกันทั้งห้อง ผมไม่มีคำพูดใดใดหลุดอกมาอีกแล้ว ทั่วทั้งห้องมีแต่เสียงร้องระงมไม่ได้ยินอะไรเลย และไม่รู้เลยว่า อาจารย์พวงเพชรก็มาอยู่ในห้องแล้วด้วย นักเรียนหญิงก็กรูกันไปล้อมอาจารย์พวงเพชร

“ไอ้นพ มึงไปส่งกูเลย ไปบ้านไอ้แทน นะ นะนะ ไปส่งกูหน่อย”  อ้อนวอนขอไอ้นพ เสียงแทบจะไม่มีแล้ว ผมเข่าอ่อนไปหมด หน้าไอ้แทนผุดลอยวนไปมาอยู่ตรงหน้าผม

“ไอ้นนท์”  เสียงไอ้เนไอ้ต๋องพูดพร้อมกัน 

 “ไอ้นนท์  ทำใจดีๆ พรุ่งนี้พวกเราค่อยคุยกัน เดี๋ยวกูไปถามอาจารย์พวงเพชรก่อน”

 ผมทำทีเป็นไม่ได้ยิน  ได้แต่อ้อนวอนไอ้นพต่อไป ไอ้นพก็ไม่พูดอะไร ไอ้เนไอ้ต๋องตบบ่าผมอยู่ข้างๆผม ซึ่งตอนนี้ฟุบลงกับโต๊ะเรียน น้ำตาไหลพรากไม่หยุด  ไอ้แทน... ไอ้แทน มึงไปแล้วจริงๆเหรอ  ทำไมวะ ทั้งๆที่สัญญากันไว้แล้ว อีกวันสองวันก็จะขึ้นไปหาแล้ว

  ทำไมวะ ทำไมถึงเป็นแบบนี้   ตอนนี้ผมไม่สนใจฟังเสียงอะไรทั้งสิ้น โลกทั้งใบเหมือนหยุดหมุนและมีเสียงดังวิ้งๆในหัวปนกับเสียงอื้อในหู  พร้อมที่จะจุดชนวนระเบิดออกมา  หมดแล้ว หมดสิ้นแล้วทุกอย่าง ต่อไปนี้ผมจะไม่มีไอ้แทนแล้วหรือนี่ ทุกอย่างที่เคยทำร่วมกันมา ต่อจากนี้ไม่มีอีแล้ว  มันจะไม่มีอีกแล้วจริงๆหรือ ไม่นะ  ไม่สิ เป็นไปไม่ได้ ต้องไม่ใช่แบบนี้  แล้วผมก็ตะโกนเรียกไอ้แทนสุดเสียง จนไอ้นพไอ้ต๋องไอ้เน ที่อยู่ข้างๆ ต้องหันมาจับตัวผมไว้

 อาจารย์พวงเพชร บอกทั้งชั้นว่า พรุ่งนี้จะมาคุยกันอีกครั้งว่าจะทำอย่างไรต่อไป วันนี้ขอให้ทุกคนกลับบ้านไปก่อน แล้วอาจารย์ก็หันมาปลอบใจผม เพื่อนๆทุกคนก็หันมาทางผมเดินมาปลอบใจผม เพราะทุกคนรู้ดี ว่าทั้งห้อง ผมกับไอ้แทนสนิทกันตัวติดกันตลอด  จนคล้อยหลังเพื่อนๆไปแล้ว ผมไอ้นพ ไอ้เน ไอ้ต๋อง ยังคงอยู่ในห้อง  ผมมองไปยังโต๊ะข้างๆ  ตัวที่ไอ้แทนเคยนั่ง ภาพทุกภาพย้อนกลับมาฉายชัดอีกครั้งในห้วงความทรงจำ ทั้งการหยอกเย้าหยอกเอินเล่นหัวทะเลาะกันด่าทอกัน บางทีผมก็นอนฟุบโต๊ะแล้วมันก็นอนเอาหัวมาหนุนตักผม  ผมรู้สึกเจ็บที่อก ดึงเก้าอี้มากอด แล้วเรียกชื่อไอ้แทน...ปลดปล่อยน้ำตาให้พรั่งพรูออกจากนัยน์ตาอีกระลอกและผมก็ไม่ฝืนกลั้นมันเอาไว้

“ไอ้นนท์ ขอโทษนะที่ไม่ได้เรียกมึงลงไปด้วย พ่อไอ้แทนมาบอกข่าว แกก็คงไม่มีเวลาบอกเพราะต้องรีบไปแจ้งทะเบียนต้องไปทำธุระอีกหลายอย่าง เลยฝากพวกกูมาบอก ขอโทษนะ”   ไอ้นพพูดพลางจับไหล่ผมไว้  ผมหันหน้ามาเผชิญกับมันทั้งน้ำตา พูดด้วยเสียงแทบจะไม่มีเสียง

“ไอ้แทน... มึง..ไอ้แทนทำไมถึงเป็นแบบนี้”

“พ่อบอกว่ามันล้มในห้องน้ำ หัวฟาดขอบอ่าง กูบอกไม่ถูกว่ะ มึงน่าจะนึกออกเพราะมึงเคยไปมาแล้ว กว่าพ่อมันจะไปพบก็น่าจะเป็นชั่วโมง เลือดออกในสมองมาก แผลตรงที่เย็บไว้ก็เปิดออกและเสียเลือดมาก เสียระหว่างทางที่พาไปโรงพยาบาลนั่นแหละ”
 
ผมนึกตามภาพที่ไอ้นพบอก และภาพที่ไอ้แทนถูกรถชน ภาพที่ผมพยุงมันไว้แล้วมีเลือดอุ่นๆเป็นลิ่มๆไหลลงไปตามแขนขาผม ก็ผุดขึ้นมาในความทรงจำ  ผมรู้สึกเจ็บที่หน้าอกอย่างรุนแรงเหมือนมีคนเอาเหล็กแหลมมาทิ่งแทง  น้ำตาไหลออกมาอีกราวกับเป็นน้ำทะลักออกมาจากเขื่อนจนรู้สึกถึงความอ่อนล้าของร่างกายตัวเอง  นึกสงสารไอ้แทนจับใจ  มันคงตั้งใจทำอะไรเองช่วยเหลือตัวเองอย่างลำบากทุลักทุเลน่าดู   ทำไมนะ ทำไมช่วงเวลาแบบนั้น ทำไมผมไม่อยู่ช่วยเหลือมัน  ทำไมต้องมาเกิดอะไรตอนที่ผมไม่อยู่ด้วย  รู้สึกเจ็บจี๊ดขึ้นมาที่อก

ไอ้แทน มึงจะจากกูไปแล้วจริงๆใช่มั๊ย มึงไม่ไปได้มั๊ย กูสัญญา ต่อไปนี้ กูจะทำให้มึงทุกอย่าง มึงจะใช้อะไรกูกูจะไม่ปริปากบ่นเลย ขอเพียงมึงอย่าจากกูไป ขอเพียงแค่นั้น  ให้ตายสิท่านยมทูต    อย่าเอาไอ้แทนไปจากผมตอนนี้เลย

  กลับมาที่หอพัก โดยมีไอ้นพ ไอ้เน ไอ้ต๋องช่วยกันประคองผมกลับมา ผมก็ไม่เป็นอันทำอะไร นั่งน้ำตาซึมกับที่นอนของไอ้แทน โดยมีไอ้นพไอ้ต๋องอยู่ข้างๆ  ไอ้เนมันทำกับข้าวมากิน แกงจืดไข่น้ำ ผมถูกบังคับให้กินข้าว เป็นอะไรที่ฝืนมาก และรู้สึกได้ว่า กว่าจะกลืนลงคอไปได้แต่ละคำมันทั้งจืดทั้งฝืดคอเหลือเกิน  เราต่างคนต่างเงียบไม่มีใครพูดอไรหลุดปากออกมา ปล่อยให้ความเงียบและเสียงสะอื้นไห้มันดังกลบความเงียบ  เงียบเสียจนวังเวง  แทบจะอดทนรอให้ถึงวันรุ่งขึ้นไม่ได้  ผมอยากจะไปหาไอ้แทน อยากคุยกับมัน รู้สึกเหมือนมีอะไรยังค้างคาที่ไม่ได้คุยกับมัน  แม้ว่าครั้งนี้จะเป็นแค่ผมที่พูดออกไปฝ่ายเดียว แม้ไอ้แทนจะไม่ตอบอะไรเลย แม้ต้องพูดกับร่างที่ไร้วิญญาณของไอ้แทนก็ตามที     ไอ้แทน กูคิดถึงมึงเหลือเกิน..

  ..กูขอโทษ..ที่ไม่ได้อยู่ด้วยใกล้ๆ ในเวลาที่มึงลำบากและต้องการใครสักคน..





............................................................
เรามักจะลืมให้ความสำคัญ กับคนที่เรารู้สึกดีๆ
จนบางครั้งเหมือนเขาไม่มีตัวตน
แต่ครั้นนึกขึ้นได้
เขากลับไม่อยู่ที่จะให้พูดความรู้สึกนั้นเสียแล้ว
............................................................











    ..ลมหายใจที่...ฝากไว้ในสายลม  ........Part นนท์/แทน..




     อาจารย์พวงเพชร อธิบายว่า เนื่องจากงานพิธีศพ ของไอ้แทน แตกต่างจากการประกอบพิธีกรรมทางศานาของชาวพื้นเมือง ซึ่งของชาวเขาอย่างพวกผมจะไม่มีการสวดศพ  และดำเนินพิธีกรรมตามประเพณีของชาวเขา  ทางคณะอาจารย์ได้มีความเห็นร่วมกันว่า สำหรับนักเรียนห้อง 2/2 จะไปร่วมงาน 2 วันคือ วันนี้และ วันเสียศพหรือก็คือวันเผาศพ

“ไอ้นนท์  ตกลงมึงจะเอายังไง ถ้าจะไปมึงต้องขึ้นรถโรงเรียนนะ  ไอ้ต๋องก็ขึ้นรถคันนั้น เพราะไอ้เนมันจะกลับกับกูด้วย”

“อืม.....”   ผมตอบได้แค่นั้น และวันนี้ผมไม่พูดจาอะไรกับใครเลย และก็ไม่มีใครมาพูดอะไรด้วย มีแค่ทักทายและมาปลอบใจบ้างเล็กน้อย ช่วงบ่ายผมกลับมาที่หอ และตั้งใจว่าจะไม่กลับเข้าห้องเรียนช่วงบ่าย และไอ้นพก็ไม่ไปเช่นกัน   เพราะบ่ายโมงครึ่ง เด็กห้อง2/2 ต้องเดินทางไปบ้านไอ้แทน
 
“ไอ้นนท์ มึงจะมัวแต่มาเศร้าอย่างนี้ไม่ได้นะ ยังไงไอ้แทนมันก็ไม่กลับมาหรอก”

“............”    ผมไม่ตอบ เอาแต่นอนคว่ำหน้าน้ำตาไหลกับที่นอนไอ้แทน กอดหมอนมันไว้แน่น ข้าวของทุกอย่างของไอ้แทนยังอยู่ ผมรู้สึกเจ็บ มันเจ็บในใจอย่างบอกไม่ถูก สายน้ำไหลบ่าออกจานัยน์ตาระลอกแล้วระลอกเล่าจนแทบจะเหือดแห้ง แต่ทำไมมันช่างเจ็บปวดร้าวราวกับใจจะแตกสลาย

“ไอ้นพ มึงจะทำอะไร”   ผมเห็นมันหยิบข้าวของของไอ้แทนใส่กระเป๋า

“เอากลับบ้านมันไง ”

ผมกระเด้งตัวเองจากที่นอน โผเข้าไปแย่งเสื้อชุดนักเรียนของไอ้แทนไว้

“ไอ้นพ ชุดนี้กูขอ อย่าเอาไปนะ”  ผมคว้าชุดนักเรียนไอ้แทนมาไว้ในอ้อมกอด ไอ้นพมองหน้าผมแล้วส่ายหน้าพร้อมถอนหายใจ
“ที่นอนเก็บไว้นี่แหละ หมอน ผ้าห่ม ก็ด้วย”   ผมย้ำ

“ไอ้นนท์ ...กูรู้ว่ามึงกับมันสนิทกันมาก แต่ถ้ามึงทำแบบนี้มึงเองนั่นแหละที่จะเป็นฝ่ายเจ็บปวดเอง”

“กูขอ ..กูขอแค่นี้ มึงอย่าเอามันไปจากกูเลยนะ กูขอร้อง”  ผมสะอื้นขึ้นมาอีกครั้ง จนไอ้นพเข้ามากอดคอผมไว้ ต่างคนก็สะอึกสะอื้น

“กูกับมันก็เติบโตมาด้วยกัน กูก็เสียใจไม่แพ้มึงหรอกว่ะ ไอ้นนท์ ตลอดเวลากูเห็นมันมีความสุขอยู่กับมึง กูก็ดีใจแล้ว มึงเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของมันแล้วมั๊งกูว่า มันเองก็คงรู้แหละ”

“................”    ผมพูดไม่ออกได้แต่ก้มหน้า กลั้นน้ำตาไม่ได้อีก

“ส่วนเรื่องอื่นกูไม่รู้หรอกและกูก็ไม่แคร์ว่าพวกมึงจะอะไรยังไง  เพราะยังไงพวกมึงก็เพื่อนกู”

“มันเป็นเพื่อนที่กูรักมากที่สุด มึงรู้ไว้แค่นั้นก็ดีแล้ว ไอ้นพ” ผมเงยหน้าตอบมันทั้งน้ำตา ไอ้นพก็พยักหน้ารับรู้และตบบ่าผมสองสามทีให้กำลังใจ

“ส่วนนี่...กูจะเก็บเอาไว้เอง”  ผมหยิบชุดนักเรียน ที่มีรหัสนักเรียนและชื่อไอ้แทนปักอยู่ เตรียมพับใส่กระเป๋าเป้ตัวเองไว้   




                            ภ.ว.2207         “ธีระวัฒน์   ลีสกุลรัตน์”       



 
  ชื่อนี้ดังก้องขึ้นมาในหัวของผมราวกับว่ามันยังคงมีชีวิต....อยู่ในใจของผม...
ใช่แล้ว...ไอ้แทน...มึงจะยังคงมีชีวิตอยู่ในตัวกูเสมอ... ตราบเท่าที่กูยังหายใจ...กูสัญญา

    รถแล่นผ่านทางลูกรังที่ทั้งคับแคบ และฝุ่นฟุ้งตลบไปทั่ว   บริเวณรอบๆรายล้อมด้วยภูเขาและต้นไม้สูง  ผมเคยขึ้นมาแล้ว แต่ครั้งนี้ แตกต่างอย่างสิ้นเชิง เพราะครั้งนี้หัวใจผมแตกสลาย ธรรมชาติรอบตัวดูไม่สวยงามเหมือนทุกครั้ง เมื่อหวนนึกย้อนถึงภาพอดีต ก็พลันปรากฏม่านสายน้ำมากั้นระหว่างนัยน์ตากับภาพวิวทิวทัศน์ 

 เมื่อมาถึงบ้าน มีเต๊นท์ใหญ่สองตัวที่ได้จากสส.วิลาวัลย์ กางอยู่ตรงลานหน้าบ้าน แขกเหรื่อหนาตาพอสมควร  ผมเห็นแม่หมวงกำลังยุ่งกับการเตรียมงาน ส่วนอารุจน์ก็นั่งพับกระดาษทำพิธีกับญาติคนอื่นๆ  ผมไหว้ทักทายพ่อ แล้วเลยไปไหว้ทักทายแม่ พอแม่หมวงเห็นหน้าผม แกก็เข้ามากอดผม ผมก็น้ำตาไหลออกมาทันที 

 “นนท์เอ้ย แม่ขอโทษนะที่วันนั้นไม่ได้เรียกนนท์ลงมา แม่รีบมากจริงๆ”  แม่หมวงพูดพร้อมสะอึก ผมสังเกตดูดวงหน้า แม่ก็คงร้องไห้มามากหน้าตาแกดูอิดโรยมาก.. เห็นมั๊ยไอ้แทน..มึงทำให้ใครหลายคนเป็นแบบนี้  ..ทำไม..ทำไมมึงทำกับกูแบบนี้..

“ไม่เป็นไรครับ ผมเข้าใจ”   ตอบพร้อมเสียงสะอึกสะอื้น

“ทัช...อาเหมย...พาพี่ไปหาอาก๋อสิ”  แม่เรียกไอ้เจ้าตัวเล็กกับอาเหมยน้องสาวไอ้แทน  ไอ้ตัวเล็กยิ้มให้ผมตรงมุมปากแล้วเดินนำผมไป..

 ส่วนคนอื่นก็อยู่ช่วยงานชาวบ้านที่มาร่วมงาน....


.

.

.
(ต่อ)


 
หัวข้อ: Re: ทัช..สัมผัสใจ ตอนที่4 (10 ก.ค. 2560)
เริ่มหัวข้อโดย: thewa.arak ที่ 10-07-2017 15:38:36
.
.
.
(ต่อ)



ระหว่างที่ผมเดินก้าวเท้าไปยังที่ที่ไอ้แทนนอนอยู่ ผมรู้สึกว่าตัวเบาหวิวสมองโหวงมาก แต่ละก้าวมันช่างยากเย็นเหลือเกิน ตรงที่ที่ผมเคยนอนกับไอ้แทนถูกรื้อออก จัดแต่งด้วยดอกไม้ประดับหน้าโลง ผมหลับตาปล่อยให้น้ำตาไหลออกมา ภาพเก่าๆผุดขึ้นมาในความทรงจำ  ที่ตรงนี้ ผมกับไอ้แทนเคยนอนด้วยกัน ผมกอดมันให้มันหนุนแขน เปิดแง้มหน้าต่างไว้ดูดวงจันทร์  แต่ตอนนี้ ...กลายเป็นโลงที่ตั้งศพไอ้แทน ผมจุดธูปไหว้ แล้วขยับตัวขึ้นไปนั่งใกล้ๆโลง   ที่ที่เราเคยนอนด้วยกัน  ไอ้แทน ... ทำไมต้องเป็นแบบนี้ ผมรู้สึกจุกที่หน้าอก ไม่อาจกลั้นน้ำตาและเสียงร้องอีกต่อไป 
ทำไมวะ ไอ้แทน ..ทำไมครั้งนี้ กูถึงต้องมาคุยกับมึงแบบนี้ ...ไอ้เชี่ย..มึงทิ้งกูไปทำไม.. กูไม่เชื่อ เป็นไปไม่ได้ กูฝันไปอยู่ใช่ไหม สัปดาห์ที่แล้วกูยังช่วยมึงเช็ดตัวอยู่เลย  ไม่จริง  ไม่จริง

  “ไอ้แทน.......”   ผมไม่สามารถอดกลั้นคาวมรู้สึกที่มันจุกจนเอ่อล้นมาถึงคอแล้ว  ตะโกนเสียงดังออกมา  รู้ตัวอีกทีก็ อารุจน์มาโอบกอดผมไว้  ผมยิ่งใจสลายซบไหล่อารุจน์แล้วปล่อยเสียงร้องออกมาไม่อายใคร น้องชายสองคนก็มายื่นข้างๆจับแขนผมไว้

 “ทำใจดีๆนะลูก แทนเค้าไปสบายแล้ว เค้าไม่ทรมานแล้ว”  อารุจน์ปลอบใจผม แกก็มีน้ำตาซึมๆ ส่วนไอ้ตัวเล็กสองคนร้องไห้แข่งกับผมเสียงระงม

ผมขอตัวไปทำธุระในห้องน้ำ... ปิดประตูห้องน้ำสำรวจมองหาจุดที่ไอ้แทนเกิดอุบัติเหตุ  ตรงบริเวณอ่างโถส้วมที่ก่อด้วยอิฐและปูนสูงขึ้นมาถึงช่วงเข่า มีขวัญข้าววางอยู่ ....ตรงนี้สินะ .. ผมน้ำตาไหลออกด้วยความเจ็บปวดทรุดลงนั่งกับพื้นเอามือลูบตรงบริเวณนั้น หลับตานึกภาพ  ไอ้แทนคงลำบากน่าดูที่ต้องยืนช่วยเหลือตัวเองคงตักน้ำอาบน้ำหรืออะไรสักอย่าง จะนั่งจะยืนจะเดินคงลำบากน่าดู   ..ไอ้แทน...กูขอโทษ..กูขอโทษที่กูไม่ได้อยู่เคียงข้างมึง กูรู้ว่ามึงต้องลำบากแค่ไหนแต่มึงก็ยังดึงดันที่จะพยายามทำอะไรด้วยตัวเองเสมอ  กูรู้..
 ผมปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับความคำนึงอยู่นานจนกระทั่งแขกมาเข้าห้องน้ำถึงได้รู้สึกตัวจึงได้ตักน้ำล้างหน้าจัดการตัวเองแล้วออกมาจากที่ตรงนั้นโดยไม่ลืมที่จะหยิบเอาขวัญข้าวมาด้วยพอหยิบมือ     

  “ไอ้นนท์ มึงมาช่วยกูทางนี้มา”

  ไอ้นพนั่งตัดกระดาษที่ใช้ทำพิธีศพโดยมีไอ้เน ไอ้ต๋องช่วยตอกกระดาษโดยใช้ “สิ่ว” ที่ใช้ตอกกระดาษในพิธีกรรม และพิธีศพของชาวเขา ซึ่งกระดาษกว้างขนาดสี่นิ้วผู้ใหญ่ ยาวประมาณ8นิ้ว ตอกแนวยาวเรียงขึ้นห้าแถว กระดาษนี้ในที่นี้จะใช้เป็นส่วนหนึ่งในการทำพิธีส่งวิญญาณ    ผมขอสิ่วจากไอ้เนมาลองตอกกระดาษ ไม่คิดเลยว่าแค่ตอกกระดาษพิธีกรรม จะทำให้ปวดแขนและล้าได้มากขนาดนี้  แต่ก็พยายามและเต็มใจทำอย่างยิ่ง เพื่อส่งไอ้แทนให้ไปสู่สรวงสวรรค์ ...

 จนเกือบจะห้าโมงเย็นแล้ว อาจารย์พวงเพชรจึงไปร่ำลาพ่อแม่ไอ้แทน แล้วก็กลับเพราะเด็กนักเรียนบางคนต้องขึ้นสายรถรับส่งประจำทางกลับบ้าน ซึ่งคณะครูได้แจ้งแต่ละสายรถที่มีนักเรียนห้องผมขึ้นว่าให้กลับช้าลงหนึ่งชั่วโมง กว่าจะลงดอยไปถึงโรงเรียนก็ประมาณครึ่งชั่วโมง  เพื่อนๆนักเรียนพากันไหว้หน้าโลงลาไอ้แทน บางคนก็ยังน้ำตาซึ่ม โดยเฉพาะแพรพรรณ ผมยังสังเกตเห็นเธอมองมาทางผมอยู่ผมบ่อยครั้ง แต่ผมก็ไม่ได้คิดจะสนใจอะไรนัก  เพราะตั้งใจอยู่กับกระดาษพิธีมากกว่า

  “ไอ้นนท์ .. ไอ้แทนมันจะไม่กลับมาเล่นบอลกับพวกกูแล้ว  ใจหายเหมือนกัน  มึงก็ทำใจดีๆละกัน  วันนี้มึงคงนอนที่นี่ใช่ป่ะ”    คุณชายอาธรหัวหน้าชั้นถาม

 “อืม กูจะนอนที่นี่แหละ”

“นอนบ้านกูก็ได้ ไอ้นนท์”  ไอ้นพตอบ ผมได้มองหน้ามันยิ้มๆ


ร่ำลาส่งเพื่อนนักรักเรียนกลับบ้านแล้ว ผมเลยขอตัวไปอาบน้ำ  ถ้าค่ำมากกว่านี้ อากาศจะเย็น  และเป็นอีกครั้งที่ผมมาอยู่ในห้องน้ำ ห้องที่ทำให้ไอ้แทนต้องไปนอนอยู่ในที่แคบๆ แบบนั้น
 ยืนสงบนิ่งไปครู่ใหญ่ๆ จึงได้สลัดภาพไอ้แทนที่กำลังอาบน้ำสระผมทำอะไรด้วยตัวเองออกไปจากหัวแล้วจัดการทำธุระส่วนตัวให้เรียบร้อย

 แขกเหรื่อเริ่มกลับกันแล้ว แม่เรียกผมไปกินข้าว แต่ผมกินไม่ค่อยลง ผมขอไปนั่งข้างโลงไอ้แทน นั่งทำจิตใจสงบมองดูรูปถ่ายหน้าโลง รูปชุดนักเรียน ผมเคาะโลกสามครั้งเรียกชื่อไอ้แทน พร้อมกับพูดคุยกับมัน....ไม่สิ เป็นผมพูดอยู่คนเดียว น้ำตาก็ไหลออกมาทั้งๆที่พยายามข่มใจและอดกลั้นเอาไว้ แต่..มันทำใจไม่ได้จริงๆ   ผมหันมามองรอบๆ ชาวบ้านที่มาช่วยงานบางตาไปมากเพราะเริ่มดึกแล้ว  ผมก้มหน้าเอาหัวแนบกับด้านข้างของโลง พูดระบายอะไรกับไอ้แทนเบาๆ 

 ไอ้เชี่ยแทน....ทำไมมึงทำกับกูแบบนี้ วันเสาร์นี้กูตั้งใจจะมาหามึง เห็นมึงว่าจะชวนกูไปยิงปลากันไง มึงแม่งเชี่ยว่ะ หนีกูไปทำไม มึงรู้มั๊ย กูเจ็บปวดแค่ไหน มึงจะให้กูมานอนกับมึงแบบนี้เหรอแล้วกูจะกอดมึงยังไงวะ มึงไม่รักกูแล้วหรือไงถึงทิ้งกูไปแบบนี้  ไหนว่าจะไปเรียนต่อด้วยกันที่ฝายน้ำผึ้งไง  มึงไม่น่าทิ้งกูไปเลย กูไม่เคยคิดเลยว่าสุดสัปดาห์นี้ทุกอย่างจะกลายเป็นแบบนี้    ที่ตรงนี้ มันไม่ควรจะเป็นแบบนี้สิวะ  นี่มันที่นอนที่กูเคยนอนกับมึงนะ  แล้วมึงจะให้กูนอนตรงไหน 
  ผมสะอื่นอยู่ตรงนั้น แม่หมวงคงเห็นจึงเข้ามากอดผมไว้จากด้านหลัง

“แม่รู้ว่านนท์รักแทนมาก  แทนเคยเล่นให้ฟังว่าลูกทั้งสองช่วยเหลือกันมาตลอด แม่ดีใจนะที่เราสองคนรักกัน”

 “แต่แม่ครับ..ไอ้แทนมันทิ้งผมไปแล้วนะแม่..ต่อไปนี้จะไม่มีมันแล้ว”   ผมสะอื้นหนักขึ้นอีก

“เขาไปสบายแล้วนะลูก ไม่ทรมานแล้ว ระหว่างทางที่พาส่งโรงบาล แทนเค้าพูดถึงนนท์ด้วยนะ”    แม่หมวงบอกผมทำให้ผมหันมามองหน้า  อยากฟังสิ่งที่ไอ้แทนฝากทิ้งท้ายไว้

“แทนเขาบอกว่าอย่าเป็นห่วง อย่าเสียใจ เขาก็รักนนท์มากเหมือนกัน ชาติหน้ามีจริง อยากมีเพื่อนแบบนนท์อีกครั้ง และฝากขอโทษที่ไม่ได้ทำตามสัญญา” 

 ผมได้ยินแบบนั้นเขื่อนทำนบน้ำตาก็ไหลพรากออกมาด้วยรู้สึกเจ็บที่หน้าอกมันทั้งเจ็บทั้งจุก

 “ไอ้แทน...” 

ผมหันกลับมาทางโลงศพไอ้แทนใช้ฝ่ามือทุบโลงสองสามครั้ง  แต่คงไม่มีประโยชน์
 ไอ้แทน..กูจะดีใจมากกว่าถ้าได้ยินจากปากมึงเอง และไม่ใช่ในสภาพเช่นนี้ ...

“อามา น๊าย เอาไปสิ ..พี่นนท์  อันนี้พี่แทนฝากให้พี่น่ะ”  อาเหมยถือสมุดเล่มเล็กมาให้

“อ้อ แม่เห็นอยู่ใต้หมอนแน่ะ เลยเก็บเอาไว้ แม่ไม่ได้อ่านหรอกนะ”

แม่หมวงบอกแบบนั้น แต่ผมคิดว่าแม่คงอ่านไปหมดแล้ว อาเหมยเองก็คงได้อ่านแล้ว ไม่งั้นคงไม่เอาออกมาให้ผม แต่ผมก็ไม่พูดอะไร รับมาถือไว้

“ขอบคุณครับ ของผมเองแหละ เราจะแบ่งกันเขียนน่ะครับผมสอนเขาเอง”  ผมอธิบาย
 ทุกคนก็พยักหน้า

“อาก๋ออย่าเสียใจไปเลยค่ะ  คิดเสียว่าพี่แทนเค้าไปสบายแล้วไม่ทรมานแล้ว หมดเวรหมดกรรมแล้ว”   อาเหมยปลอบใจ แม่หมวงก็พยักหน้า

“คืนนี้ นอนกับ ทัช กับธีร์นะ  อาเหมยจะไปนอนกับแม่  แม่ให้เด็กๆจัดการไว้แล้ว”   
  แม่หมวงบอก ผมหันไปดูในห้อง เจ้าตัวใหญ่กว่ายิ้มที่มุมปากส่วนตัวเล็กกว่าคงนอนไปแล้ว

“ครับ เดี๋ยวผมไปนอนกับน้องๆเอง”  ผมรับคำ

 แม่หมวงกับอาเหมยพยักหน้าแล้วก็เดินออกไปดูความเรียบร้อย ชาวบ้านที่มาช่วยงานกลับไปแล้ว คงเหลือแต่ญาติๆกันเท่านั้นยังคงนั่งเสวนากันอยู่

 “ไอ้นนท์ กูมาถามว่ามึงจะนอนบ้านกูไหม”   ไอ้นพถาม

 “ไม่เป็นไร นพ เดี๋ยวกูนอนกับเด็กๆเอง”

“แน่ใจนะ มึงไม่กลัวนะ”  ไอ้นพพูดเบาๆ ท่าทางมันจะหวั่นเกรงคนได้ยิน

“ไอ้เชี่ย กูจะกลัวอะไร มึงหมายถึงไอ้แทนเหรอ”  ผมชักจะมีน้ำโห

“เอาเถอะ ตามใจ งั้นกูจะกลับไปนอนแล้วนะ ก่อนนอนปิดประตูลงกลอนให้ดีด้วยล่ะ”

 ผมยังไม่ทันจะอ้าปากถามอะไร ไอ้นพพูดแล้วก็รีบเดินกลับไปทันที   ผมก็เลยไม่สนใจ
พอจะเดินเข้าห้องนอนก็เหลียวหลังหันไปหาไอ้แทนอีกครั้ง    ไอ้แทนฝันดีนะ 

“อาก๋อนนท์  ปิดประตูลงกลอนด้วยครับ”  เสียงเจ้าตัวเล็กพูดขึ้นมาในขณะที่ผมกำลังจะก้าวขึ้นเตียง ทำให้ผมชะงัก แล้วมองหน้าน้องมันด้วยความสงสัย

“เดี๋ยวอาก๋อแทนจะลุกมาอาบน้ำแปรงฟันน่ะ ..ผมกลัว”    ห๊ะ... เจ้าตัวเล็กนี่พูดอะไรของมัน

“อะไรนะ ไอ้แทนจะลุกมาอาบน้ำแปรงฟัน  จะบ้าเหรอ”   ผมถามด้วยความสงสัย

“อาก๋อไม่รู้อะไร เมื่อคืน ก็ได้ยินเสียงอาบน้ำนะ  ปิดเถอะ”  ว่าแล้วก็ลุกขึ้นมาปิดประตูห้องนอนแถมลงกลอนด้วย
 ใจผมอยากจะเปิดไว้จะได้คอยมองไปทางไอ้แทน  นอนอยู่คนเดียวมันคงหนาวน่าดู

“ทำไมเราถึงคิดแบบนั้นล่ะ”  ผมถามด้วยความสงสัย

“แถวบ้านเราน่ะ เวลาคนที่ตายไปแล้ว ตอนดึกๆเค้าจะกลับมาอาบน้ำแปรงฟัน คนเฒ่าคนแก่ก็เล่าต่อๆกันมา เมื่อคืนผมก็ได้ยิน”   เจ้าทัชเล่าให้ฟังแบบสีหน้าหวาดๆ

“มีแบบนี้ด้วยเหรอ”      ไอ้เจ้าทัชพยักหน้าแทนคำตอบ   ผมก็เพิ่งนึกถึงคำพูดไอ้นพ ที่บอกให้ปิดประตูลงกลอน..  อย่างนี้นี่เอง  แต่มันไม่บอก มันคงไม่อยากพูดต่อหน้าผม

“อาก๋อนอนติดฝั่งประตูนะ  ไอ้ธีร์มันไม่ยอมนอนฝั่งนั้นมันกลัว”

“ไอ้แทนมันเป็นพี่ชายเรานะ มันคงไม่มาหลอกพวกเราหรอก” ผมอธิบาย แต่มันไม่ยอมฟังเลยรีบขยับเข้าด้านในนอนคลุมโปงเลยทีเดียว  ผมถอนหายใจอย่างเสียมิได้ อะไรกัน พี่ชายตัวเองแท้ๆ  ไอ้แทนถ้ามึงลุกมาอาบน้ำได้จริงคงแปลกพิลึก  ปกติผมกลัวผีนะ  แต่สำหรับไอ้แทน ผมไม่รู้สึกกลัวเลย  แต่ถ้าเป็นมันจริงๆ ผมก็คงทำอะไรไม่ถูก
 ผมหยิบไฟฉายมาส่องดูสมุดที่อาเหมยเอามาให้ดู  พลิกดูแบบผ่านๆ


... ไอ้เหี้ยแทน  แม่งใช้กูซักกางเกงใน   โคตรโสโครกเหม็นชิบหาย
  ถ้ามึงไม่รีดผ้าให้กูมึงเจอดีแน่.....
     เป็นข้อความที่ผมเขียน แล้วมีขีดเส้นใต้ด้วยมือเปล่า  ต่อด้วยประโยคตอบกลับของไอ้แทน .
... บ่นเหี้ยไรวะ ถึงตากูๆก็ซักให้มึงอยู่ดี  แล้วใครสั่งใครสอนให้มึงมาดมกางเกงใน  ไอ้ควาย
  กูไม่โง่เหมือนมึงหรอก ไอ้ควายเอ๊ย
..............
    พลิกไปอีกหลายหน้า ...
 .. เป็นห่าไร ขาดความอบอุ่นรึไงวะ ต้องมานอนหนุนแขนกูทุกคืน เป็นเด็กหนึ่งขวบรึไง
...............
 ...สรุปมึงจะไม่ให้กูหนุนแขนใช่มั๊ย
..............
    เออ ตามใจมึงเลย  ไอ้คนเอาแต่ใจ  กูเมื่อยโว๊ยยย
.............

 ผมพลิกไปอีกสองสามหน้า อ่านไปก็น้ำตาไหลไป  ภาพเหล่านั้น มันเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นไม่นาน แต่คงไม่มีอีกแล้ว ไอ้คนโต้ตอบกับผมมันนอนอยู่ข้างนอกนั่น จากนี้ไปมันจะไม่มาเขียนโต้ตอบกับผมอีกแล้ว   แต่เอ๊ะ รู้สึกเหมือนมีสายตาของใครสักคนกำลังจ้องมองมาทางผมอยู่  ... ผมรู้สึกได้ถึงขนแขนขนขาลุกซู่ชูชัน..ตามแขนขา ผมข่มใจเงยหน้าขึ้น เอาวะเป็นไงเป็นกัน ถ้าเป็นไอ้แทนผมจะกระโดกอดเลยเอ้า

  “ เฮ๊ย.. ไอ้ตัวเล็ก ตกใจหมด ทำไมยังไม่นอน” 
ผมสะดุ้งที่หันไปเห็นไอ้เจ้าทัชมันจ้องหน้าผมสลับกับสมุดบันทึกอยู่
“ไหนบอกไม่กลัวไง อาก๋อ ทำหน้ายังกะเห็นผี”   ผมเอามือผลักหัวมันเบาๆบอกให้นอนได้แล้ว  ความจริงผมไม่กลัวหรอกนะ ถ้าเป็นไอ้แทนผมคงจะกระโดดกอด แต่ที่ตกใจ เพราะกลัวว่าไอ้ตัวเล็กมันมาจะอ่านสมุดเล่มนี้ต่างหาก  มันยังเด็กเกินไป ที่จะเข้าใจสิ่งเหล่านี้



วันอาทิตย์ เก้าโมงเช้า  ผมเดินขึ้นเนินไปทางด้านหลังบ้านไอ้แทน  มาหยุดยืนตรงเนินหินที่มีรอยพระพุทธบาท    ดอกฝิ่นที่แห้งแล้วตัดออกมาเขย่าดูจะได้ยินเสียงเมล็ดกระทบกันเหมือนเป็นเครื่องดนตรีชนิดหนึ่ง ผมหลับตากางแขนสูดลมหายใจ  ภาพที่เคยมาพร้อมกับไอ้แทนผุดขึ้นมาในความทรงจำภาพแล้วภาพเล่าวนเวียนเปลี่ยนฉากไปเรื่อยๆ
“กูจะรอมึงนะ”   
 สายลมเย็นๆหอบพัดเอาเสียงไอ้แทนมากระทบกับโสตประสาท และยังคงดังกึกก้องอยู่ในใจ
ผมยืนสงบนิ่ง ร่ายกายไม่ไหวติง คงมีแต่ชายเสื้อที่ไหวๆตามสายลมเย็นๆที่พัดผ่านมาเป็นระยะ พร้อมกับที่หยดน้ำๆอุ่นๆใสๆ รินไหลอาบทั่วใบหน้า   
   กูรู้แล้ว ไอ้แทน มึงยังไม่จากกูไปไหน มึงยังคงอยู่รอบๆตัวกู เป็นสายลมที่ผ่านเข้าออกในกายและใจของกู  กูจะไม่มีวันลืมมึงเด็ดขาด กูสัญญา
 ....      บ่ายสี่โมงเย็น ดวงอาทิตย์โพล้เพล้แสงแดดเริ่มอ่อนแรงลง คณะนักเรียนและตัวแทนครูมาร่วมพิธีเสียศพ(ฌาปณกิจ)  มีพิธีส่งศพเชิญศพ ไปที่ไร่ของไอ้แทนซึ่งอยู่อีกฟากของไร่ที่มีรอยพระพุทธบาท  ช่วงก่อนจุดไฟ จะมีการเปิดฝาโลงเพื่อให้บรรดาญาติสนิทมาดูหน้าไว้อาลัยเป็นครั้งสุดท้าย ผมเองก็ขอไปด้วย ซึ่งพ่อกับแม่ก็ไม่ขัด  แต่ไอ้นพรั้งแขนผมไว้นิดนึงก่อนที่ผมจะยิ้มแล้วพยักหน้าเป็นเชิงบอกว่าผมไม่เป็นไร
     ผมซึ่งไม่ใช่ญาติ แต่ในฐานะเพื่อนนักเรียน ผมขอเป็นคนสุดท้ายที่จะเดินไปลาไอ้แทน  ผมรู้สึกมือเท้าตัวเองเย็นยะเยือกเมื่อก้าวไปยังแท่นที่วางโลงศพ ใจหนึ่งก็อยากดูหน้าอยากพูดกับไอ้แทนเป็นครั้งสุดท้าย อีกใจก็หวั่นๆ แต่สุดท้ายด้วยความรักและผูกพันที่มีมากกว่า จึงสั่งให้เท้าก้าวเดินออกไป  แต่ละก้าวมันช่างยากเย็นนัก มันไม่ใช่การก้าวไปเพื่อพบเจอกัน ยิ้มหัวเราะพูดคุยแบ่งปันเรื่องราวสู่กันและกันเหมือนอย่างที่ผ่านๆมา  แต่มันเป็นการก้าวไปดูหน้า พูดลาเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิต ซึ่งหลังจากนี้ไป จะไม่มีมันอีกแล้วบนโลกใบนี้ 
 ในที่สุดก็ลากขาพาตัวเองมาถึงหน้าโลง.... ร่างกายของผมเย็นเฉียบโลกทั้งโลกหยุดหมุน ไม่ได้วิยเสียงรอบข้าง .... เงียบเชียบจนหนาวเหน็บไปถึงขั้วหัวใจราวกับกำลังก้าวเข้าไปดูหน้าผู้เสียชีวิตในห้องดับจิต
  ... ไอ้แทน ในชุดเสื้อเชิ๊ตสีขาวตัวใหม่กางเกงยีนส์น้ำเงินนอนหลับตาสนิทในพื้นที่คับแคบ ผมน้ำตาไหลออกมา ผมเอื้อมมือไปทาบทับกับมือไอ้แทนที่วางทับกันเหนือช่วงท้อง รู้สึกได้ถึงความแข็งของร่างกายที่ไร้จิตวิญญาณ  บริเวณศรีษะมีผ้าพันและมีรอยเลือดแห้งกรัง  ผมสงสารไอ้แทนเหลือเกิน ผมก้มลงให้ใกล้กับใบหน้าไอ้แทน พร้อมกับกระซิบบอกกับร่างอันไร้วิญญาณร่างนั้น 
  ... ไอ้แทน...กูขอให้มึงหลับให้สบายนะ อย่ามีห่วงกับภพนี้ ขอให้ไปสู่ภพภูมิที่ดี กูจะรักและคิดถึงมึงอยู่เสมอ ชาติหน้ามีจริงกูขอเกิดมาเป็นเพื่อนรักของมึงอีก กูรักมึงนะ มึงจะอยู่ในใจกูเสมอ ..ระหว่างที่มึงเดินทางไปสู่อีกภพภูมิมึงคงเหงามากสินะ ยังมีกูอยู่บนโลกใบนี้ มึงมองลงมาก็จะเห็นนะ กูจะคิดถึงมึงเสมอ  มึงจะได้ยินเสียงกูหรือไม่กูไม่รู้ แต่กูอยากให้มึงจดจำไว้ ว่ากูรักมึง กูขอให้ได้เกิดมาแล้วได้อยู่กับมึงอีกทุกชาติไป ลาก่อนเพื่อนรัก...
 ผมไม่อายที่จะจูบหน้าผากไอ้แทนหนึ่งครั้งและเอามือทาบกับใบหน้านั้น   ขณะที่ผมเดินลงมา มีสายลมเย็นๆพัดมาหอบใหญ่ ซึ่งคนเราต่างคิดกันไปเองต่างๆนานา ไม่เว้นแม้แต่ตัวผม ที่แอบคิดว่าไอ้แทนคงอยากจะบอกอะไรผมสักอย่างผ่านสายลมนั้น   ลมหายใจ ที่ไอ้แทนฝากเอาไว้ในสายลม ... 

.....กูจะรอมึงนะ กูจะรออยู่ที่นี่ตลอดไป.........   

 แว่วเสียงไอ้แทนผ่านมาตามสายลม  ใช่สินะ  ไอ้แทนมันเคยพูดว่ามันจะรอผมที่นี่ตลอดไป  ไม่คิดเลยว่ามันจะเป็นจริง.....   พิธีจุดไฟได้เริ่มขึ้นแล้ว ไอ้นพจับมือผมบีบให้กำลังใจเมื่อเห็นผมเริ่มมีหยดน้ำใสๆไหลรินออกจาดวงตาอีกครั้ง แต่ครานี้ไม่มีเสียงสะอื้น  ผมยืนสงบนิ่งยืนมองส่งร่างอันไร้วิญญาณของไอ้แทนที่กำลังจะถูกไฟนำพาส่งไปยังอีกภพภูมิ ...ที่ที่เราสองคนไม่อาจหวนมาพบกันได้อีก 









...
            เพียงสายลมพัดผ่านใบไม้ไหว       ในหัวใจก็ร้าวรานสะท้านหวั่น
            ถึงเวลาแล้วหรือ ต้องจากกัน             ตราบนิรันดร์ฉันคงได้แต่คะนึง     
            ฉันฝากรักลอยไปในฟากฟ้า           ผ่านสายลมพัดพาให้ไปถึง
           ทุกภาพความทรงจำยังตราตรึง       อยู่ในห้วงคำนึงตลอดไป
           เธอจากฉันไปแล้วไม่หวนกลับ         ล่วงลาลับเกินจะไขว่คว้าได้
             ทุกสิ่งสูญดับสิ้นสลายไป          เหลือเพียงลมหายใจ.. ที่เธอฝากเอาไว้ในสายลม 
...










...เมื่อไม่มีเธออีกต่อไป ...........Part นนท์…




     กลับมาเรียนเหมือนปกติทุกครั้ง แม้จะยังคงมีกลิ่นอายแห่งความเศร้า แต่ทุกคนก็มีสีหน้าแจ่มใสกว่าสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังห้องชั้นเรียน มีรูปไอ้แทน(ในชุดนักเรียน)ขนาดหนึ่งนิ้วขยายรูปเต็มกรอกสี่เหลี่ยมแขวนเอาไว้เพื่อไว้อาลัยและเป็นที่ระลึกถึง  โต๊ะตัวที่ไอ้แทนนั่ง ....ว่างเปล่า แต่จิตใต้สำนึกปรุงแต่งให้เห็นภาพไอ้แทนหันมายิ้มให้ และภาพต่างๆที่เคยทำกิจกรรมร่วมกันมา ก็ผุดขึ้นมาในหัว ผมพยายามเงยหน้าไม่ให้หยดน้ำไหลรินออกจากตา 

“ไอ้นนท์ มึงเป็นไงบ้าง โอเคขึ้นบ้างไหม”  ไอ้คุณชายอาธรหัวหน้าชั้นเข้ามาทักทาย

“ก็สบายดีนะ ขอบใจว่ะเพื่อน แต่กูขอบอกไว้เลยว่า ไม่ต้องสนใจกู ปล่อยกูไว้แบบนี้แหละ เดี๋ยวกูก็ดีเองแต่ตอนนี้กูยังไม่ชิน”

“พยายามนะ สู้ๆ แทนเค้าคงไม่อยากเห็นเธอเป็นแบบนี้หรอก”  แพรพรรณก็เข้ามาปลอบใจด้วย

“อืม ขอบใจนะ เธอหายห่วงได้เลย เราไม่เป็นอะไร สบายๆอยู่แล้ว”   

 .....เธอจะมาห่วงฉันทำไมน้อ .. ทั้งๆที่รู้ว่าแพรพรรณจะไม่มีวันมาแทรกแบ่งใจไอ้แทนไปจากผมได้อีกและไอ้แทนเองก็ไม่เคยพูดถึงแพรพรรณเลยสักครั้ง   แต่..ไอ้นนท์เอ๊ย..ไอ้แทนมันก็ไม่อยู่แล้วนะ....

  หลังจากงานไอ้แทนผ่านไป  ผมก็กลายเป็นอีกคนที่เอาแต่เงียบไม่ค่อยพูดจา ใครถามคำก็ตอบคำ  ไม่มีอารมณ์อยากคุยกับใครเลย เพื่อนๆในห้องเองก็น้อยคนนักที่จะคุยด้วย แต่ถ้าพูดถึงเรื่องไอ้แทนขึ้นมาผมก็จะพยายามไม่คุย หรือหลีกเลี่ยงไปคุยเรื่องอื่น  กลับมาถึงหอพัก ผมยังคงนอนใต้ผืนผ้าห่มที่เคยห่อตัวไอ้แทน  ผมมีหมอนหนุนของไอ้แทนเอาไว้กอดแทนตัวมันแทบทุกคืน ทั้งหมดนี้ก็ยังคงไม่หลุดรอดสายตาเพื่อนอีกคนของผมอย่างไอ้นพไปได้ 

“ไอ้นนท์  มึงเจ็บไหม”

“เจ็บอะไรวะ ไอ้นี่ถามแปลก”

“ก้ไอ้ที่มึงทำอยู่ทุกวันนี้ ไง  ไม่เจ็บเหรอ ไม่เหนื่อบ้างเลยเหรอ”

“แล้วไงวะ  มันเป็นวิธีเดียวที่กูจะคิดถึงมันได้ มึงไม่เข้าใจกูหรอก”

“กูเข้าใจ แต่กูก็ไม่อยากให้มึงต้องทุกข์ทรมาน กูเห็นมึงแบบนี้ บางทีกูก็ตะหงิดๆว่ะ”

 “ยังไงวะ”

“ก็มันบอกไม่ถูก สงสารก็สงสาร รำคาญก็รำคาญ”

 “อืม ไม่ต้องสนใจกูหรอก  ปล่อยกูไว้แบบนี้แหละ สักพัก”

  ผมเองก็ไม่มีคำอธิบายและไม่คิดจะมานั่งอธิบายให้มากความ ไม่ได้มีอารมณ์มานั่งอธิบายสาธยายความรู้สึกให้คนอื่นฟัง  แม้แต่เพื่อนๆในห้องก็เริ่มมองผมเปลี่ยนไป  ช่างแม่งเหอะอดทนเรียนอีกปีเดียวเอง 

    ....ไอ้แทน  มึงรู้มั๊ย เวลาที่ไม่มีมึงแล้ว กูโคตรเหงาเลยว่ะ ทั้งๆที่อยู่ท่ามกลางเพื่อนที่รู้จักหลายๆคน แต่มันไม่เหมือนกูอยู่กับมึง  มึงแม่ง..ใจร้ายฉิบหายเลยว่ะ ปล่อยกูเผชิญอยู่คนเดียว  กิจกรรมทุกอย่างที่เราเคยทำ  ปีนต้นไม้ตัดกิ่งไม้แห้งทำฟืน   ช่วยกัน ซักผ้า รีดผ้า อาบน้ำด้วยกัน ถูสบู่ให้กัน  ทุกอย่างเลยกูต้องทำตามลำพังคนเดียว บอกตามตรงกูไม่ชินเลยนะ  มึงสัญญาว่าหายดีแล้วจะมาช่วยกูทำทุกอย่าง  แต่สุดท้าย มึงกลับมาทิ้งกูไป..... ไอ้แทน...กูคิดถึงมึงเหลือเกิน มึง ได้ยินที่กูพูดไหมวะ..

   ผมไม่ได้กลับไปบ้านไอ้แทนเลยตลอดเทอมที่เหลือ ทุกสิ่งยังคงเป็นเหมือนเดิม ต่างก็เพียงผมทำเองคนเดียว ไม่มีเงาของไอ้แทนเพื่อนที่ผมรักมากที่สุดอีกต่อไป และผมก็ยังคงเป็นคนเดิมที่ไม่พูดไม่จา กลายเป็นคนเก็บตัว ขีดๆเขียนๆไปคนเดียว บางครั้งก็เผลอนั่งพูดเองคนเดียว จนเพื่อนใกล้ตัวหาว่าบ้าอยู่พักหนึ่ง

 ผ่านวันผ่านเดือนไปเป็นปี เกือบจะสองปีด้วยซ้ำ  ตลอดระยะเวลาจนกระทั่งเรียนจบม.สาม  ผมไม่ได้กลับไปบ้านไอ้แทนอีกเลย ไม่รู้จะไปทำไม ในเมื่อไม่มีไอ้แทนแล้ว ไอ้นพ ไอ้เน ไอ้ต๋อง กลุ่มเพื่อนผม ตกลงที่จะไปเรียนต่อที่ฝายน้ำผึ้งตามความตั้งใจเดิม แม้จะไม่มีไอ้แทนตามไปด้วยอย่างที่เคยให้สัญญากันไว้   ผมตั้งใจว่าจะหางานทำพิเศษเพื่อไม่ให้ตัวเองฟุ้งซ่าน โดยไปสมัครเป็นเด็กปั๊มน้ำมัน พีที ที่อำเภอฝายน้ำผึ้ง ส่วนไอ้นพไอ้เนไอ้ต๋อง ก็กลับบ้านไปช่วยงานพ่อแม่พวกมัน ต่างคนต่างมีหน้าที่ต้องทำ
 
 กาลเวลาทำหน้าที่ของมันได้ดียิ่งนัก ..เพื่อไม่ให้ตัวเองคิดมากและเกิดความฟุ้งซ่าน เพราะผมรู้ตัวว่าผูกพันกับไอ้แทนมากจนอาจจะเรียกได้ว่ามากเกินไปด้วยซ้ำ  ถึงขนาดที่เรียนไม่รู้เรื่องไปเลยช่วงหนึ่ง โดนอาจารย์พวงเพชรเรียกไปคุยหน้าเสาธงหลังเคารพธงชาติและทำกิจกรรมตอนเช้าหน้าเสาธงเสร็จ เพราะผลการเรียนร่วงจากที่เคยดีมาตลอด ดีที่ยังมีไอ้นพไอ้เนไอ้ต๋องช่วยๆกันดูแลและคอยเตือนผมอยู่เสมอ  ดังนั้นจึงได้คุยกับแม่ ขอแม่ไปทำงานพิเศษช่วงปิดเทอม แม่ก็เห็นด้วย เพราะอยากให้รู้จักหาเงินใช้เองตั้งแต่เด็กๆ ดังนั้น ในช่วงปิดเทอม

  ผมไปหาทำงานพิเศษเป็นเด็กปั๊มสมดั่งที่ตั้งใจ เงินเดือนสามพันห้าร้อยบาท ถือว่าได้เยอะมาก งานสบายไม่หนักมาก เปิดปั๊มตอนหกโมงเช้า ปิดปั๊มสองทุ่ม และมีเพื่อนรุ่นน้องต่างหมู่บ้านทำงานอยู่ด้วยกัน   ชื่อ สมบัติ  มันเป็นคนขยัน คุยเก่ง กิจกรรมประจำวันที่คล้ายกับตอนอยู่หอพักของโรงเรียน คือต้องทำกับข้าวกินกันเอง  แต่สำหรับผม ผมผ่านการใช้ชีวิตแบบนั้นมาแล้ว เรื่องแค่นี้สบายมากสำหรับผม ตลอดสองเดือนครึ่งที่ทำงานพิเศษนี้ ก็มีสมบัตินี่แหละที่ทำให้ผมไม่ต้องฟุ้งซ่าน

   เมื่อถึงช่วงเวลารับสมัครเรียนต่อ ผมก็ไปสมัครเรียนต่อที่โรงเรียนฝายน้ำผึ้งวิทยาคม ซึ่งเปิดการเรียนการสอนในชั้นมัธยมปลายเป็นปีแรก เท่ากับว่าผมจะได้เป็นพี่ใหญ่สุดในชั้นปีของนักเรียนโรงเรียนนี้  แต่ไม่เจอพวกไอ้นพไอ้เนและไอ้ต๋อง สงสัยพวกมันจะมาสมัครไม่ตรงวันกับผม และผมก็ไม่ลืมที่จะแจ้งเรื่องการเข้าอยู่หอพักของโรงเรียน 
  อีกแล้ว..ความรู้สึกเดิมแว่บกลับเข้ามาในสมอง อดไม่ได้เลยที่จะคิดถึงเรื่องนี้   ไอ้แทน.... ครับเรื่องไอ้แทนเพื่อนรักของผม  ไอ้แทน.. กูมาสมัครเรียนที่นี่แล้วนะกูจะพยายามตั้งใจเรียน มึงคอยดูนะ กูจะต้องประสบความสำเร็จให้ได้ ถึงแม้วันนี้กูจะไม่มีมึงอยู่เคียงข้าง แต่กูรู้ แค่กูหลับตามึงก็จะมาอยู่ข้างๆกูเสมอ   ภาพไอ้แทนยืนส่งยิ้มมาให้ผมหน้าตาสดใสในชุดนักเรียน  ให้ตายสิผมพยายามเงยหน้าฝืนสู้กับหยาดน้ำที่ทำท่าจะร่วงหล่นลงมา ทำไมเราถึงได้เป็นคนอ่อนไหวแบบนี้วะ.. เฮ้อ

  “ฝากด้วยนะ”   

 แว่วๆเหมือนได้ยินเสียงไอ้แทนพูดอะไรสักอย่าง แต่ก็ต้องดึงตัวเองออกจากห้วงภวังค์แห่งความคิด เมื่อเสียงของอาจารย์ผู้รับสมัครเรียนเรียกไว้

  “นาย อานนท์” 

  “ครับ”

 “เป็นอะไรหรือเปล่า ครูเรียกตั้งหลายครั้ง ตกลงจะเลือกอีกนานไหม มันก็มีอยู่แค่นี้นะ”              อืม ..อาจารย์เรียกตัวเอง
ว่า”ครู”  แตกต่างจากที่โรงเรียนเดิมแฮะ แต่ก็มีบางคนเรียกว่าอาจารย์  สงสัยจะเรียกกันทั้งสองอย่างกระมัง  แต่ผมถนัดเรียกว่า อาจารย์มากกว่า

 “เลือกได้แล้วครับ”   ผมตอบพลางเหลือบมองดูรายชื่อที่เขียนอยู่ในหอพักแต่ละหลัง มีทั้งหมดสี่หลัง มีแค่หลังที่สาม ที่ยังไม่มีการลงชื่อ เพราะอาจารย์แกให้เหตุผลว่า หลังที่สี่เป็นหอพักนักเรียนหญิง จึงเก็บหลังที่สามไว้ให้นักเรียนมัธยมปลาย เป็นพี่ใหญ่น่าจะเป็นตัวอย่างให้น้องๆ ว่างั้น ผมกวาดสายตาดูไม่เห็นชื่อเพื่อนผมทั้งสามคนนั้น  สงสัยผมคงมาก่อนพวกนั้น จึงเขียนชื่อตัวเองลงไป ในกระดาษตารางหอพักหลังที่สาม

 “ขอบคุณครับอาจารย์”

 อีกสองสัปดาห์โรงเรียนจะเปิดเทอม ผมจึงแวะไปตลาดหาซื้อชุดนักเรียนด้วยเงินจากการทำงานพิเศษ จากเดิมที่ใส่กางเกงสีกากี รองเท้าสีน้ำตาล จากนี้ไปในชั้นมัธยมปลายจะต้องเปลี่ยนเป็นกางเกงสีดำ รองเท้าสีดำ ถุงเท้าสีขาว คงดูแปลกตาแน่ๆ  รู้สึกตื่นเต้นที่ใกล้จะเปิดเทอม เพื่อนใหม่เราจะเป็นอย่างไรน้อ เราจะเข้ากับใครได้บ้างวะเนี่ย .. ไอ้แทน..กูเสียใจที่มึงมาทิ้งกูไปก่อน อดได้เห็นมึงใส่ชุดนักเรียนม.ปลายเลยนะ  กูจะเริ่มใหม่อีกครั้งยังไงดีวะ สิ่งที่มึงกับกูเคยทำไว้ด้วยกัน กูคงต้องทำทุกอย่างคนเดียวสินะ  บอกตามตรงถึงแม้จะเริ่นชินกับการทำอะไรคนเดียว แต่ก็อดคิดถึงมึงไม่ได้เลยว่ะ       

      .......... ไม่มีมึงอยู่ข้างกายกูอีกต่อไปแล้ว.....ไอ้แทน..กูคิดถึงมึงมากเลยว่ะ.......














 .....................................................................................
  พบ  รู้จัก    รัก  แล้วก็พรากจากกันไป
 ช่างเป็นเรื่องที่น่าเศร้าใจยิ่งนักสำหรับชีวิตมนุษย์
......................................................................................



.

.




 
 

หัวข้อ: ทัช..สัมผัสใจ ตอนที่5 ( 10 ก.ค. 2560)
เริ่มหัวข้อโดย: thewa.arak ที่ 10-07-2017 15:46:18
ตอนที่5



...ความรู้สึกที่เปลี่ยนไป?........Part นนท์/ทัช...




      เปิดเทอมใหม่มีเด็กนักเรียนมาเข้าอยู่หอพักเพิ่มขึ้น  ไอ้เน ไอ้ต๋องขึ้นมาอยู่หอสาม  เท่ากับมีคนเพิ่มมาสองคนกลายเป็น6คน หอหญิงมีนักเรียน ม.4 เข้ามาใหม่สองคน เป็นชาวเขาเผ่าม้ง ทั้งสองคน และ ม.1 เข้ามาใหม่อีกสามคนเป็นชาวเขาเผ่าเย้า  นักเรียนหญิงรวมเป็น 7คน ส่วนหอหนึ่งของไอ้เขียวไม่มีคนมาเพิ่ม หอสองมีเด็กม1เพิ่มขึ้นสองคนทดแทนกับที่ไอ้เนไอ้ต๋องย้ายขึ้นมาอยู่หอสามกับผม  ปีนี้ เด็กนักเรียนหอพักลดลงเหลือจำนวน 25คน แต่ก็ยังเฮฮากันเช่นเดิม กิจวัตรประจำวันก็เช่นเดิม   
  ช่วงสายวันอาทิตย์ เด็กๆชาวหอต่างทยอยลงจากดอยมาโรงเรียน บางคนหิ้วถุงกระสอบข้าวพร้อมหอบข้าวของพะรุงพะรัง เป็นภาพที่คุ้นชินสายตาไปเสียแล้ว  ไอ้นพ ไอ้เน ไอ้เชษฐ์ ยังไม่มา สงสัยคงจะมาถึงช่วงเย็น

 “ไอ้ตัวเล็ก.. พวกไอ้นพมันยังไม่มากันเหรอ”  ผมหันไปถามเจ้าทัช

 “พี่นพบอกว่าจะมาตอนเย็นครับพี่  คงห้าหกโมงเย็นอ่ะครับ”

   “เหรอ เออ อืม.  เอ้อ ทัช วันนี้พี่ขี้เกียจมากเลยว่ะ “

 “อะไรครับ พี่นนท์ พูดแบบนี้รู้นะจะให้ทำอะไรอีกล่ะสิ”    แหม่ รู้ดีจังนะมึง แล้วนึกเหรอว่าจะหนีพ้น

“เออ กูล่ะชอบจังเลยเว้ย ไอ้พวกรู้ทันเนี่ย”

 “สรุปพี่จะให้ทำอะไรล่ะครับ  บอกมาไวไวเลยนะ ผมกำลังจะไปซักผ้า”   โป๊ะเช๊ะ เข้าแก๊ปพอดี
“นั่นแหละ สิ่งที่พี่กำลังจะบอก  มานี่ดิ๊”   กวักมือเรียกมันเข้ามา แล้วผมก็ยัดตะกร้าที่มีชุดนักเรียนใหม่สองชุดของมัธยมปลาย และอีกหนึ่งชุดของมัธยมต้น  สมัยนี้ ตราสมอ ถือว่าแพงเอาเรื่อง ใส่ในมือของไอ้ตัวเล็ก

 “...............”    ฮ่าๆๆ เอ๋อแดกเลยสิ เงียบกริบเลยนะ

 “เป็นไร หรือไม่อยากซักให้ บอกสิ พี่จะจัดการเอง”  ผมลอยหน้าถามมันแบบกวนๆ

“พี่นนท์ครับ”

“อือ  ว่ามา” 

“ของพี่น่ะผมรู้ เพราะสีมันต่างกัน แต่อันนี้มันของใครอ่ะครับ”   ไอ้ตัวเล็กมันหยิบชุดนักเรียนชั้นมัธยมต้นชูขึ้นมาให้ดู  ผมทำทีเป็นยักไหล่ผายมือหงายออก ให้มันเข้าใจว่าผมไม่รู้เรื่อง

“พี่นนท์ครับ หอสามมีผมคนเดียวนะครับที่อยู่ม.ต้น แล้วไอ้นี่ก็ไม่ใช่ของผมด้วย”   มันขยับเข้ามาเขย่าแขนผมคะยั้ยคะยอ  หึ ดูท่ามันดิ เป็นเด็กเป็นเล็กไปได้

“ไอ้คุณทัชคร๊าบ  แล้วมึงคิดว่าของใครล่ะคร๊าบ”   พูดพร้อมกับลอยหน้าลอยตาใส่หน้ามัน

“ไม่รู้ไงพี่ ถึงได้ถามเนี่ย ของใหม่ด้วยนะ”

“ไอ้นนท์ มึงนี่น๊า จะแกล้งมันไปถึงไหน กูชักจะรำคาญเสียงพวกมึงละเนี่ย” 

“อ้าว  ไอ้ต๋อง  มึงอิจฉาที่มันได้ของใหม่เหรอวะ”     กรรม....กูดันหลุดปากไปแล้ว เชี่ยเอ้ย จะแกล้งมันซะหน่อย

“ห๊ะ หมายความว่า นี่ พี่นนท์ซื้อให้ผมเหรอครับ”   เขย่าแขนผมหนักขึ้นอีก

 ผมเหลือกตาใส่ไอ้ต๋องพร้อมพูดคำว่า [ไอ้เหี้ย ] แบบไม่มีเสียงให้มันอ่านปากเอาเอง และก็ได้ผล มันก็พูดคำว่า  Xวย แบบไม่มีเสียงกลับมาทางผมเช่นกัน

 “ใช่ไหมครับ พี่นนท์ซื้อให้ผมเหรอครับ” 

  ไอ้นี่ก็นะ มึงจะดีใจอะไรนักหนาวะกะอีแค่ชุดนักเรียนใหม่  เห้อ..แต่เห็นอาการพร้อมสีหน้ามันตอนนี้ผมก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มและแค่นหัวเราะออกมา เห็นมันมีความสุขผมก็พลอยสุขใจไปด้วย

“อื้ม พี่ซื้อให้ แต่เอาไปปักชื่อเองนะ”   มันยกมือไหว้ขอบคุณพร้อมกับกระโดดโลดเต้นดีใจ  เออ เอาเข้าไป

“หยุดแสดงท่าทางแบบนั้นสักทีเถอะ ป่ะ ไปๆๆ ไปซักผ้ากัน ”   ผมรุนหลังมันให้ออกไปหลังบ้านตรงโรงอาบน้ำและซักล้าง  ซึ่งมีนักเรียนชาวหออื่นๆก็กำลังซักผ้ากันอยู่ บ้างก็เอาที่นอนหมอนผ้าปูที่นอนออกมาตากแดด 

  “ ไอ้ตัวเล็ก  อ่ะ เสร็จละ เอาล้างน้ำ เสร็จแล้วไปตากหลังบ้านเรา เข้าไปหยิบเอาที่หนีบในเก๊ะชั้นล่างที่ตู้พี่นะ”

“พี่นนท์อ่ะ อย่าเรียกผมว่า ไอ้ตัวเล็กได้ไหม ผมไม่ได้ตัวเล็กเหมือนเมื่อก่อนแล้วนะ”

“อ้าว มึงตัวเล็กกว่าพี่ พี่จะเรียกว่าไอ้ตัวเล็กมันผิดตรงไหนวะ”   ว่าพลางก็ควักฟองในถังที่ผสมผงซักผ้าบรีส สะบัดใส่หัวมัน  มันรีบวักน้ำในอ่างมันราดหัวแทบไม่ทัน ผมก็หัวเราะชอบใจ

 “พี่นนท์อ่ะ แกล้งผมอีกแล้ว”

“ไปๆ รีบเอาผ้าไปตาก อย่าชักช้าเดี๋ยวแดดหมด”

 นั่นแหละมันถึงได้หิ้วตะกร้าใส่ผ้าเดินไปตากที่หลังหอ ซึ่งเป็นราวลวด ผมมองตามหลังมันไป ก็ให้นึกถึงไอ้แทนขึ้นมา ลักษณะท่าทางมันเหมือนกันจริงๆ  ไอ้แทนก็เคยซักผ้ากับผมแบบนี้ และมันก็แกล้งเล่นเอาฟองมาสะบัดใส่เสื้อผม ผมก็ตบหัวมัน ไม่มีใครยอมใคร ภาพเหล่านั้นหวนย้อนกลับเข้ามาในความทรงจำอีกครั้ง แต่ผมก็ยังพอมีสติไม่ให้ตัวเองจมอยู่ห้วงภวังค์เหล่านั้น
 จัดการธุระส่วนตัวเสร็จก็ตามกลับไปที่หอ

 “อ้าว ไอ้เชษฐ์ มาพอดี มึงทำธุระของมึงเสร็จรึยังเนี่ย”

 “ผมไม่มีอ่ะพี่ แต่จะไปกับแม่ที่ตลาดเวียงคำเสียหน่อย แวะตัดผมด้วย “

“อ้าวเหรอ งั้นพี่ฝากอะไรหน่อยดิ”

   ผมจัดการจดรายการที่จะซื้อของลงในกระดาษพร้อมกับยื่นให้ไอ้เชษฐ์ไป ไอ้ต๋องก็ฝากซื้อของด้วยสองสามอย่าง
พอไอ้เชษฐ์ออกไป ผมก็จัดแจงสั่งงานรุ่นน้องทันที 

 “ไอ้ต๋อง มึงไปโรงเก็บซากโต๊ะเก้าอี้เรียน แล้วหาตัดเอาไม้ขนาดหน้าสามมาให้ได้16ชิ้นนะ”

“ไอ้ห่า ตั้ง16ชิ้น มึงจะเอามาเผาบ้านมึงเหรอ”  ไอ้ต๋องมันมองอย่างไม่สบอารมณ์

“อย่ามาต่อปากกับกู มึงเอาไอ้ตัวเล็กไปด้วย เดี๋ยวเรามาช่วยกันล้างหอพักเรา เออ ก่อนไปมึงช่วยไอ้พวกนั้นและเอาฟูกและพวกที่นอนไปตากหลังบ้านกันก่อน”

  จากนั้นผมก็ขยับเตียงเหล็กสองชั้นเข้าหากันแล้วดันไปอยู่ตรงมุมห้อง  ระหว่างรอให้ไอ้สองคนนั่นไปเอาซากโต๊ะเก้าอี้  ผมก็จัดการล้างห้องน้ำทั้งสามห้องรอไปก่อน  จนกระทั่งพวกมันกลับมา ผมก็จัดแจงให้ไอ้ต๋องช่วยเอียงตู้ทั้งแปดตู้แล้วเอาไม้รองเป็นฐานตู้  ตู้ละสองชิ้น

“พี่นนท์ จะทำอะไรหรือครับ”    ไอ้ตัวเล็กสงสัย 

 “พี่รู้ละ ว่ามันจะทำอะไร ไอ้ทัชมึงไปขอสายยางที่บ้านอาจารย์สุพลมาป่ะ”   ไอ้ต๋องว่าพลางก็สั่ง ผมช่วยมันขยับเตียงเหล็กอีกครั้งให้แนบชิดไปอยู่ในฝั่งเดียวกัน

“อ่ะ มึงกวาดพวกเศษขยะออกมาให้หมด เอาให้สะอาดนะ” ผมสั่งไอ้ต๋อง

 มันก็ทำอย่างว่าง่าย ไม่เถียงสักคำ  เออ เวลามึงสงบปากสงบคำนี่ก็ดูดีไปอีกแบบนะไอ้ต๋อง ..
 พอไอ้ตัวเล็กกลับมาผมก็จัดการเสียบสายยางกับก๊อกน้ำในอ่างแล้วฉีดล้างทั่วทั้งห้อง และปล่อยให้น้ำไหลออกไปทางหน้าหอ มันจะได้รดน้ำแปลงดอกไม้หน้าหอไปด้วย เราสามคนช่วยกันจัดการไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็เสร็จเรียบร้อย ทีนี้ปัญหาคือ ไม่มีผ้าเช็ดให้แห้ง ผมเลยจัดการเอาผ้าห่ม(ที่พวกเบียร์ช้างมาแจก เป็นผ้าห่มไยสังเคราะห์บางๆ) ของไอ้ทัชมาจัดการเช็ดพื้น
 แน่นอนว่ามันต้องโวยวาย แต่ผมบอกว่า เดี่ยวผมจะแบ่งให้มัน ถึงได้ยอมสงบปากสงบคำ
 พอพื้นเริ่มแห้ง ก็ช่วยกันขยับเตียงเหล็กเข้าที่เหมือนเดิม ดูท่าทางไอ้เจ้าตัวเล็กนี่จะชอบเป็นพิเศษ  พอหอหญิงเห็น ก็อยากทำบ้าง หออื่นก็เลยทำตามๆกันไปจนครบทุกหอ 

  ช่วงเย็นชาวหอมากันครบแล้ว อาจารย์สุรพลจะให้พัฒนารอบหอพักทำความสะอาดหอใครหอมัน แต่พวกเราทำกันเสร็จหมดแล้ว อาจารย์ก็เลยชมว่าเป็นเรื่องที่ดี น้องๆเลยยกความดีให้ ผมงี้ยิ้มหน้าบานไม่หุบเลยทีเดียว และอาจารย์ก็ยังให้พี่อ้อ ภรรยาทำขนมจีนน้ำเงี๊ยวแจกพวกเราชาวหอกันด้วย ยกไปตั้งร้านกันที่ข้างสระน้ำตรงบริเวณที่ให้อาหารปลา  ตบท้ายด้วยกล้วยบวชชี ทุกคนเลยอิ่มแปร้ไปตามๆกัน  จบภาระกิจก็ให้เด็กช่วยเก็บถ้วยจานกลับไปล้างที่บ้านอาจารย์สุพล และเตรียมตัวแยกย้ายทำธุระส่วนตัวของใครของมันเพื่อเตรียมปฐมนิเทศน์เด็กหอ ที่ห้องสตั๊ดดี้  บรรยากาศที่ผมชอบและคุ้นเคย  กำลังจะเริ่มเปิดม่านในไม่ช้านี้แล้ว ..

    พวกเด็กหอสอง มันแอบพาน้องๆเด็กใหม่ลงสระเล่นน้ำกัน ผมสั่งห้ามไอ้ตัวเล็กลง มันก็พยักหน้า แต่ไม่รู้มันแอบไปตอนไหน สงสัยคงเป็นช่วงที่ผมรีดชุดนักเรียนอยู่  ดังนั้นพอถึงช่วงลงห้องสตั๊ดดี้เลยโดนอาจารย์สมฤทธิ์ ฝ่ายปกครองเฆี่ยน  เด็กใหม่โดนไปคนละที  เด็กเก่าโดนสองที แถมด้วยการคาดโทษให้ได้อับอายกันไปถ้วนหน้า  ก่อนเลิกห้องสตั๊ดดี้ผมเลยเรียกมันมาจัดการเสียหน่อย

  “ไอ้ตัวเล็กมานี่เลย”

   ผมเรียกมันเบาๆให้มันขยับมานั่งใกล้ผม  ดูมันทำหน้าตาเรียกร้องขอความเห็นใจ  อย่านะมึงอย่าหวังไปเลย ที่เรียกมานี่เพื่อจะซ้ำเติม พอมันมาใกล้ปุ้ป

“นี่แน่ะ “   ผมเขกหัวมันไปหนึ่งที

“โอ้ยยย พี่นนท์อ่า ไม่สงสารแล้วยังซ้ำเติมอีก”

“หรือจะเอาอีกห๊ะ กูบอกมึงว่าไงห๊ะ  อย่าไปอย่าไป แล้วเสือกไปทำไม”

“ก็ผมอยากลงไปเล่นอ่ะครับ”

“ก็สมน้ำหน้าแล้วไง ควรจะโดนอีกสักทีนึงนะ”  ว่าแล้วผมก็ทำท่าเงื้อมือจะเขกหัวมัน มันก็เข้ามารวบแขนผมไว้ทั้งสองข้างด้วยการกอดรัดแน่นหนีบไว้กับสะเอวผม   ไอ้ห่านี่ เล่นงี้เลยเชียว

 “มึงปล่อยกูเลย”

“พี่นนท์อ่า อย่าทำผมเลยนะๆๆ ผมขอโทษต่อไปนี้จะเชื่อฟังจริงๆ”  แล้วมันก็ปล่อยมือ พร้อมทำท่าไหว้ขอโทษ หน้าตาสลดหดเหลือสองนิ้ว ผมเลยลูบหัวมันแทน พร้อมกับเทศนาสั่งสอนอบรมไปชุดใหญ่

“ที่อาจารย์เค้าเฆี่ยนคนละทีสองที และที่พี่ด่าพี่เขกหัวมึงนี่ ไม่ใช่ว่าพี่ทำไปเพื่อความสะใจนะ รู้มั๊ยสระน้ำก็ไม่ใช่ตื้นๆ  กลางค่ำกลางคืนถ้างูเงี๊ยวเขี้ยวขอมันกัดเอามึงก็จะตายเปล่าอยู่ในน้ำใครจะไปช่วยมึงทัน กูเป็นห่วงมึงนะเนี่ย “
  ผมพูดด้วยเสียงสงบนิ่งท่าทางเอาจริงของผมทำให้มันหน้าจ๋อยไปเลย คราวนี้มันไหว้ขอโทษอย่างจริงจังเลยทีเดียว

“ขอโทษครับพี่ ต่อไปนี้ผมจะไม่ทำอีก และจะเชื่อฟังพี่นะ” 

   คนทำผิดมีสีหน้าสลดลงพร้อมๆกับดูท่าทางจะมีดราม่าน้ำตาไหล ผมจึงลูบหัวมันไปพร้อมกับหาเรื่องมาคุยต่อเพื่อไม่ให้มันร้องไห้ต่อหน้าผม  เฮ้อ เห็นมันหน้าซีดทำท่าจะร้องไห้ ผมเองก็ใจหาย  นี่เราเป็นห่วงมันมากขนาดนี้เลยหรือวะ  มันไม่ใช่ไอ้แทนนะเว้ย บางทีไอ้สิ่งที่เราทำอยู่ด้วยความเคยชินหลายๆอย่างมันอาจจะไม่ใช่สิ่งที่ไอ้ตัวเล็กนี่คิดอยู่ก็เป็นได้  จำไว้ให้ดี  ไอ้ตัวเล็กไม่ใช่ไอ้แทน ....


                                   ...”ฝากด้วยนะ”...

 เสียงไอ้แทนแว่วกระทบหู  เอ๊ะ เหมือนเคยได้ยินเสียงนี้ตอนไปงานเสียศพไอ้แทน ... ไอ้แทน มึงต้องการจะสื่ออะไรถึงกูงั้นหรือ  ผมหันมามองไอ้ตัวเล็ก  บ้าน่า ต้องไม่ใช่แน่ๆ เราคงจะคิดมากไปเอง มันต้องเป็นอุปาทานแน่ๆ


      ..............


 “ไอ้นนท์ มึงนี่สุดยอดเลยว่ะ”  ไอ้นพพูดพร้อมตบบ่าผมสองสามที

 “อะไรของมึงอีก”   

 “มึงคิดยังไงวะ ถึงได้ลุกมาล้างพื้นห้องเนี่ย” 

 “อ๋อ  เออ แล้วมึงเห็นว่ามันสะอาดขึ้นไหมล่ะ ต่อไปพวกมึงก็ห้ามใส่รองเท้าเดินเข้ามานะเว๊ย จำไว้ด้วย ถ้ากูเห็นใครใส่รองเท้าเข้ามาพวกมึงโดนแน่”    ผมออกคำสั่ง

“กูกลัวตายล่ะ”

“เอาน่าไอ้นพ พวกกูทำเหนื่อยนะเว่ย ไอ้ทัชมันอุตส่าลงแรงขัดเลยนะ”    ดีมากไอ้ต๋อง..ผมนึกชมมันในใจ

“เออ กูจะพยายาม” 

   สรุป ทุกคนเลือกเตียงนอนเดิมของตัวเอง ไอ้เน ไอ้ต๋อง ไอ้เชษฐ์นอนชั้นบน  ผม ไอ้นพ ไอ้ทัช นอนชั้นล่าง  ผมขยับเตียงเหล็กไอ้ตัวเล็กมาติดกับผมเพราะผ้าห่มมันโดนเอาไปซับน้ำตอนทำความสะอาดห้อง ผมเลยให้มันมานอนด้วยแต่ห่มผ้าคนละผืน
 
 “พี่นนท์ๆ  ดึกๆมา หนาวก็อย่าแย่งผ้าห่มผมไปนะ”   

 “มึงนั่นแหละนอนดีๆอย่ามาแย่งของพี่ละกัน จะโดนถีบตกเตียง”   มันยิ้มแล้วก็นอนหันหน้ามาทางผม

 “พอไหมผ้าห่ม  ไม่พอก็ไม่รู้จะทำไงแล้วนะ”

“พอครับพี่  ถ้าหนาวๆเดี๋ยวผมแย่งจากพี่เอง”   อืม กล้าทำก็ลองดูดิ

“พูดมากน่า  นอนได้แล้ว” 

  ไอ้ตัวเล็กก็นอนตะแคงหันหน้าไปอีกทาง  ผมดูความเรียบร้อยแล้วก็ให้ปิดไฟนอน เห็นหออื่นยังคงเปิดไฟอยู่     ลืมบอกไปว่า ชาวหอ จะต้องทำธุระให้เสร็จและเข้านอนก่อนสี่ทุ่ม ยกเว้นช่วงสอบให้เปิดไฟใช้ได้ถึงห้าทุ่มครึ่ง
   ผมมองเพดานไม้แผ่นที่รองเตียงของชั้นบนและคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย สังเกตว่าหออื่นปิดไฟเข้านอนกัน พรุ่งนี้ก็เริ่มเปิดเทอมแล้ว มองไอ้ตัวเล็กแว่บนึง เผลอก้มหน้าไปมองหน้ามันพร้อมกับขยับผ้าห่มให้จนถึงคอ แม้จะปิดไฟแต่ยังคงพอเห็นเค้าหน้าลางๆ  สั งเกตดีๆ มันโตมาก็เหมือนไอ้แทนอยู่นะเนี่ย

 “อย่าดื้อมากนักนะ ไอ้ตัวเล็ก”  พูดเบาๆพร้อมกับลูบผมมันไปด้วย   อยากสอดแขนให้มันหนุนบ้าง แต่ก็ยั้งความคิดได้ว่า มันไม่ใช่ไอ้แทน  นี่หมายความว่าผมกำลังมองมันเป็นเหมือนไอ้แทนงั้นหรือ บ้าไปแล้ว คนละคนกัน เป็นไปไม่ได้หรอก  ผมถอนหายใจ สลัดความคิดทิ้งไปแล้วล้มตัวลงนอนหันไปคนละข้างกับไอ้เจ้าทัช     อื้ม...นอนได้ซะทีนะไอ้นนท์




................

 









                        .......หากเธอมองเห็นฉันได้จากจุดที่เธออยู่....
                             ฉันก็เชื่อเหลือเกินว่า สักวันเราจะได้พบกันอีก..........








.

.

.
(ต่อ)




หัวข้อ: Re: ทัช..สัมผัสใจ ตอนที่5 (ต่อ) (10 ก.ค. 2560)
เริ่มหัวข้อโดย: thewa.arak ที่ 10-07-2017 15:57:23
ตอนที่5 (ต่อ)



...ผมไม่ใช่ตัวแทนของใครนะ....... Part นนท์/ทัช...



“พี่นนท์ ผมจะไปเอาเสื้อนะ พี่จะฝากเอามาด้วยเลยไหม”   ไอ้เชษฐ์ทัก

“เออ ก็ดีว่ะ น่าจะเสร็จแล้วมั๊ง อ่ะนี่บัตรรับของพี่ ตัวละสามสิบบาทนะของพี่สามตัวรวมของไอ้ทัชมันด้วย”   

 ผมยื่นแบงค์ร้อยให้ไอ้เชษฐ์ไปพร้อมกับบัตรรับเสื้อ ร้านเพ็ญจันทร์ ซึ่งเสื้อใหม่ที่ซื้อมานั้นได้เอาไปปักชื่อที่ร้านนี้ไว้เมื่อสัปดาห์ก่อน จากนั้นก็ชวนไอ้ตัวเล็กกับเพื่อนอีกสองสามคนไปหาฟืนไว้ใช้ในโรงครัว  การหาตัดกิ่งไม้แห้งนี้ถือเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่พวกเราชาวหอต่างก็ทำเป็นกันแทบทุกคน ไม่เว้นแม้แต่นักเรียนหญิง

“ไอ้ทัช  มึงหลบไปหน่อยเดี๋ยวไม้ก็หล่นไปโดนหัวเข้าหรอก”  ผมตะโกนลงไปขณะที่กำลังตัดกิ่งไม้แห้ง

 “ถ้ามันโดนผม พี่ก็ต้องช่วยดูแลผมอยู่แล้ว”   

 “ไอ้นี่  แสดงว่ามึงอยากโดนมากใช่ป่ะ  เดี๋ยวแกล้งปล่อยมีดร่วงใส่หัวซะเลยดีมั๊ย “

“ผมรู้พี่ไม่ทำผมหรอก”

“อย่าพูดมาก  ลากๆไปตัดให้เรียบร้อย”

ไอ้คนตัวเล็กที่อยู่ด้านล่างก็ลากกิ่งไม้แห้งที่ผมตัดทิ้งลงไปให้ เอาไปตัดเป็นท่อนๆ ไว้ใช้ทำฟืน เมื่อหาได้เพียงพอแล้วก็ช่วยกันขนกลับไปไว้ที่โรงครัว ของใครของมัน  เด็กหออื่นก็ทำเช่นเดียวกัน ซึ่งจะชวนกันไปที่สวนหลังหอพัก มีต้นไม้ยืนแห้งตายหลายต้นเพราะน้ำไม่เพียงพอเมื่อตอนหน้าแล้ง เมื่อเข้าครัวแล้ว ก็นัดกันไว้ว่าจะทำกับข้าวกินพร้อมกัน ผมกับไอ้ต๋องและไอ้เนรับหน้าที่จัดการครัว  ส่วนพวกที่เหลือก็ลงสนามไปเล่นบอลเล่นบาสแล้วแต่ความชอบความถนัดของใครของมัน ไอ้ธัชมันชอบเตะบอล มันก็ไปเล่นกับไอ้นพกับพวกหอหนึ่งหอสอง    แล้วกลับมากินข้าวพร้อมกันหกคนตอนหกโมงครึ่ง       

 “วันนี้ใครทำกับข้าววะ “   ไอ้นพตักผัดกะหล่ำปลีใส่เส้นหมี่เข้าปากไม่ทันไรก็บ่น

“ทำไม วะ อร่อยมากอ่ะดิ”   ผมตอบ

“มึงใส่เค็มเกินไปป่าว กูว่ามันเค็มว่ะ” 

“ใช่ๆพี่นนท์ มันเค็มจริงๆนะ”  ไอ้ทัชก็ร่วมวงด้วย

“เห้ย กูว่าไม่เค็มนะ กำลังพอดี มึงตักกินพร้อมกับข้าวสวยมันก็ไม่เค็มแล้ว”   ผมเถียง พยายามหันไปรอบวง ขอตัวช่วย แต่เงียบกริบ

“มึงไปเรียนมากจากไหนห๊ะ  หลักสูตรนี้”   ไอ้นพยังแย้งต่อ

 “ถ้ามันเค็มมึงก็ตักต้มฟั่นด้อย (หัวไชเท้า) กินแก้เค็มไปละกัน”    ไอ้เนมันเป็นคนต้มหัวไชเท้าครับ ต้องยกความดีให้มันไป

 “พี่นนท์ชอบกินเค็มมันไม่ดีนะ เดี๋ยวแก่ไปเป็นโรคไตถามหาหรอก”   ไอ้เชษฐ์  พูดเสริม

“เอาน่ะ ต่อไปไม่เค็ม รับรอง เออ ว่าแต่เสื้อเป็นไงวะ สวยป่าว”

“ครับ แต่ผมว่ามันหนากว่าตัวเก่านะ พี่ไปดูเองละกัน วางไว้ที่เตียงละ”

 “ขอบคุณมากนะครับพี่นนท์ “   ไอ้ทัชมันพูดพร้อมกับตักผัก ตักต้มฟั่นด้อยมาใส่จานผม

“ไอ้ทัช มึงไม่ต้องไปประจบมันหรอก มันเต็มใจทำให้มึงอยู่แล้ว ก็มึงมันน้องไอ้แทน มันต้องดูแลมึงเป็นอย่างดีอยู่แล้ว จริงไหมไอ้นนท์”    ไอ้เนเริ่มมีปากเสียงกับเขาขึ้นมาบ้าง ทำเอาผมแทบสำลักน้ำซุปต้มหัวไชเท้า

“เออ จริงของมึง”   ไอ้นพเสริมรับเป็นลูกคู่ ไอ้ต๋องก็พยักหน้ากับเขาด้วย คงมีแต่ไอ้เชษฐ์ที่มองหน้าพวกเราสลับกันไปมาเพราะมันไม่รู้เรื่องอะไรเลย

“พวกมึงก็อย่าพูดแบบนั้นสิวะ  น้องมันกูก็รู้จักป่าววะ เห็นกันมาตั้งแต่เด็กๆ ใช่ป่ะ” หันไปหาไอ้ทัช มันก็ยิ้มตอบรับ แต่ไม่รู้ผมคิดไปเองหรือเปล่า เพราะสังเกตเห็นว่าหน้ามันสลดลงไปทันตา แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ 

“เอาน่ะ มันก็เป็นเรื่องที่ดี และกูคิดว่าไอ้แทนมันคงดีใจ ถ้ารู้ว่ามึงดูแลน้องมันดี”   ไอ้นพให้เหตุผล

“กูเห็นด้วย”   ไอ้เนไอ้ต๋องยกมือพูดเกือบพร้อมกัน

  ผมหันไปหามันสองคน พร้อมคำด่า  xวย แบบไม่ออกเสียง ใส่หน้าพวกมันทั้งสองคน 

“ว่าแต่ พี่แทนนี่เพื่อนพี่เหรอครับ ... พี่มึงเหรอ ไอ้ทัช”  เชษฐ์ถาม พร้อมกับหันไปทางเจ้าตัวเล็กด้วย

“อือ ตามนั้นแหละ”  ผมตอบสั้นๆ ขี้เกียจอธิบายยาว

“ไว้ว่างๆค่อยเล่าให้ฟัง ตอนนี้ กินๆๆ  ใครอิ่มแล้วก็ขึ้นหอไปอาบน้ำซะ”  ผมเร่งวงข้าว และ   ได้ผล  วงสนทนาเงียบกริบ แล้วก็สนใจกับข้าวตรงหน้าแทน จนเริ่มอิ่มกันแล้ว

   “กูอิ่มพอดี เดี๋ยวกูขึ้นไปก่อน ช่วยล้างจานด้วยเดี๋ยวคราวหน้ากูค่อยช่วย”   ไอ้นพพูดแล้วก็เดินออกไป แถมลากไอ้เนออกไปด้วย แต่ผมไม่สนใจว่ามันจะไปตีหัวกันอีกหรือไม่ 

   “พวกพี่ขึ้นไปกันเลยครับ เดี๋ยวผมล้างถ้วยจานเอง  พี่นนท์อยู่ช่วยผมก่อนครับ”
 ไอ้ทัชพูดไปยิ้มไป  แต่ทำไมผมรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ใต้ใบหน้าที่ฉาบด้วยรอยยิ้มนั่น

 “อ่ะ งั้นเดี๋ยวพี่ยกออกไปที่อ่างให้ แล้วมึงล้างเองนะ”

“ได้ครับ”    ตอบสั้นๆและไม่มองหน้า   อืม มันต้องมีอะไรในใจแน่ๆ  แต่ผมก็หยั่งเชิงดูมันไปก่อน ไอ้ตัวเล็กมันก็ออกมาล้างถ้วยล้างจาน และไม่พูดอะไร เมื่อมันไม่พูดผมก็ไม่พูด รับถ้วยจานจากมันก็เอาไปเรียงเก็บไว้ในโรงครัว

 “ป่ะ ขึ้นหอกันเถอะ เดี๋ยวไม่ทันเข้าห้องสตั๊ดดี้ วันนี้มีการบ้านป่ะ”   ผมถามทำลายบรรยากาศ

“มีนะพี่ แต่ไม่ใช่ภาษาอังกฤษนะ “ 

“อืม”   
   เออ วันนี้ มันแปลกๆไปจริงๆ พูดคำตอบคำ แต่ผมก็ไม่ได้เซ้าซี้อะไรมันต่อ ไม่พูดก็ไม่พูด บางทีเงียบๆก็ดีเหมือนกัน จะได้คิดอะไรดีๆออก

  “พี่นนท์ครับ  เสื้อปักสวยมากอ่ะ”   ไอ้ทัชมันหยิบเสื้อที่ปักเสร็จแล้วมาโชว์

 “ของพี่ก็สวยนะ มันดูนูนกว่าตัวเก่าเยอะเลยจริงๆ” 

 ผมหยิบมาดู ก็เห็นว่าด้ายปักมันหนาขึ้นจริง แต่ก็ดูสวยดี เอ๊ะมีเงินด้วย  เหรียญสิบบาท

“ โธ่ ไอ้เชษฐ์เอ้ยย มึงไม่ต้องทอนก็ได้ สิบบาทกูให้ติ๊บ”  ผมพูดพร้อมหันไปตะโกนบอกไอ้เชษฐ์

“ไม่ได้หรอกพี่ เงินทอนพี่อ่ะ สิบบาทกินข้าวได้ตั้งมื้อหนึ่งเลยนะพี่”  ว่าแล้วก็ถือขันอาบน้ำเดินออกไปทางหลังบ้าน 

“ไอ้เชษฐ์  ลืมบอกไป เวลามึงใส่ชุด ม.ปลายแล้วดูเท่ห์ชิบหายเลยว่ะ”  ผมชมจริงๆนะ

“นั่น พี่ชมหรือหลอกด่าผมล่ะ 555”    มันหัวเราะและเดินไปโรงอาบน้ำ

“ ชมดิ “   ผมตะโกนตามหลังมัน  และนึกได้ เลยหันมาบอกไอ้ตัวเล็ก

“เอ้อ ไอ้ตัวเล็ก  ไปอาบน้ำก่อนก็ได้นะ ไหนๆวันนี้พี่ก็ทำเองเกือบครบทุกอย่างละ เดี๋ยวพี่รีดผ้าให้เอง แล้วพรุ่งนี้ มึงค่อยรีด”    หันไปทางไอ้ทัช ก็เห็นมันรีดผ้าอยู่

“ไม่เป็นไร ผมรีดแล้ว รอแป้ปเดียวพี่ เดี๋ยวไปพร้อมกัน พี่เอาไม้แขวนมาให้ผมที”

  ผมเดินไปหยิบไม้แขวนมาให้มัน รอมันรีดจนเสร็จก็ถือขันเดินออกไปโรงอาบน้ำ พอดีกับที่ ไนพไอ้เนไอ้ต๋องเดินกลับมา
“ไอ้นนท์ มึงคงไม่อาบน้ำให้มันหรอกนะ”  ไอ้เนพูดแล้วก็เดินไปเรื่อยๆไม่หยุด แต่ผมหยุดเดินหันกลับไปมองตามพวกมันแบบหมายหัวคาดโทษ  โทษฐานพูดจาไม่เข้าหู  ไอ้นพแค่นหัวเราะ  อีกสองคนนั่นก็หัวเราะตาม  ไอ้ทัชก็ได้แต่ยิ้มอย่างเดียว

“พี่นนท์เร็วๆเข้าเถอะครับ เดี๋ยวไปช้าโดนอาจารย์ตีนะ”  ไอ้ทัชพูดพร้อมดึงข้อมือผมให้ตามมันไป  ผมขืนมือออกจากมันแทบไม่ทัน  โรงอาบน้ำยังมีพวกไอ้เขียวพวกหอสองอยู่กันห้าหกคน

 ผมเลือกตรงริมอ่างติดประตูด้านที่ติดกับหอสาม แล้วจัดการตักน้ำอาบเลยทันที

“อ้าว พี่นนท์ทำไมไม่ถอดเสื้อกางเกงออก “  ไอ้ทัชถาม

“ถูสบู่ไปด้วยถือเป็นการซักไปในตัวโว๊ย”  ผมตอบแล้วก็ตักน้ำราดใส่ตัวมัน

“เห้ยยย พี่นนท์ไม่เอา ผมจะซักผ้าก่อน”  ว่าแล้วมันก็ถอดเสื้อกางเกงออกเหลือแต่ กกน. ซึ่งปกติเด็กๆคนอื่นๆก็นุ่ง กกน.อาบน้ำ  ผมเลยรีบถอดออกบ้างแล้วโยนไปให้มันทันที

“อ่ะ ช่วยพี่ซักด้วยดิ “ 

“เด่อ ไหนบอกจะซักเองไปในตัวไงครับ”

“อย่าพูดมาก จะซักไม่ซัก” ผมพูดพร้อมชี้ไปที่เสื้อและกางเกงที่ถอดโยนไปให้มัน  มันก็หยิบมาซักโดยดี

“ก็แค่นั้นแหละ” 

“พี่นนท์อ่ะ ชอบแกล้งผม”    มันซักผ้าเสร็จแล้วก็เดินใกล้ เข้ามา พร้อมกับตักน้ำสาดใส่ตัวผมสองสามขัน

 “ไอ้ทัช ...มึงแกล้งพี่เหรอ  มึง”  ผมชี้หน้ามันพร้อมเข้าหาจะเตะมันมันก็วิ่งหนีรอบอ่างกักน้ำ  แถมหันมาทำหน้าเยาะเย้ยอีก ฮึ่ม ไอ้นี่ นึกว่ามันจะโกรธเรื่องเมื่อเย็น เห็นเงียบๆไป  ที่แท้ก็เราคิดไปเอง  วิ่งไล่มันจนคนอื่นมองกันใหญ่ ไอ้เขียวก็ตะโกนด่าว่าโตเป็นควายยังเล่นเป็นเด็กๆ  เลยหยุดวิ่ง หอบแฮ่กๆกันสองคน

“พอละพี่นนท์ ผมไม่แกล้งพี่ละ อาบน้ำเถอะ “

“เออ ดี แฮ่กๆ มึงมาใกล้ๆนี่”  ผมกวักมือเรียกมัน  มันทำหน้าหวาดๆ ไม่กล้าเดินเข้ามา

“มาเถอะน่า ไม่แกล้งแล้ว จะอาบน้ำเดี๋ยวลงห้องสตั๊ดดี้ช้าได้โดนเฆี่ยนด้วยหวายกันสองคน อายคนอื่นแย่เลย พี่เป็นรองประธานด้วยนะเว้ย รีบมาอาบ”

 มันก็ยังกล้าๆกลัว ผมเลยคว้าแขนมันดึงมาใกล้ๆ แล้วตักน้ำราดหัวมันลงมา
หยิบแชมพูแฟซ่าเทใส่มือแล้วสระผมให้มัน  พร้อมตักน้ำราดล้างแชมพูออก ต่อด้วยหยิบสบู่มาถูหลังให้มัน ถูรักแร้พร้อมกับล้างหูให้ด้วย  มันสะดุ้งขยับตัวหนี

“ไอ้แทน มึงอย่าดิ้น เดี๋ยวกูทิ่มหูมึงให้หรอก อยู่เฉยๆ” 

  ไอ้ทัชถอยตัวออกไปหลายก้าว มองหน้าผม

“เมื่อกี้พี่นนท์ว่าอะไรนะครับ”

  ผม งงอยู่พักหนึ่ง ....

“ห้ะ พี่ว่าอะไรเหรอ ”   

“เมื่อกี้ผมได้ยินนะ” 

“พี่พูดอะไรเหรอ แล้วทำไมทำหน้าแบบนั้นวะ รีบมาอาบน้ำเร็วๆ”

“พี่นนท์จำไม่ได้เหรอว่าพูดอะไรอกมา”   ดูสีหน้าท่าทางมันจริงจังมาก

“เห้ย  พี่พูดอะไรวะ งงเลย” 

“พี่พูดว่า  ไอ้แทนอยู่เฉยๆอย่าดิ้น”   มันตอบพร้อมกับจ้องหน้าผมเขม็ง

“ห้ะ พี่พูดแบบนั้นจริงเหรอ”  ผมเองก็แทบไม่เชื่อว่าตัวเองจะเผลอพูดอะไรแบบนั้นออกมา

“ใช่ ไม่งั้นผมจะสะดุ้งขยับหนีเหรอ  พี่เห็นผมเป็นพี่แทนเหรอ”

 “เปล่าๆ ไอ้บ้า จะเห็นได้ไง สงสัยพี่คงเผลอลืมตัวไปน่ะ ”

“ผมก็ตกใจ นึกว่าพี่เห็นพี่แทน”   

“เออๆ พี่ขอโทษ รีบๆอาบเถอะ เดี๋ยวไม่ทันจริงๆหรอก อาบใครอาบมันไปเลยเร็วๆ”

 ผมเร่งให้อาบน้ำไวไว แล้วรีบวิ่งกลับหอไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมหนังสือเข้าห้องสตั๊ดดี้

 “เสื้อผ้าทิ้งไว้ก่อน เสร็จจากห้องสตั๊ดดี้ค่อยมาตากละกัน”   

    ระหว่างเข้าห้องสตั๊ดดี้ ก็ไม่มีใครพูดอะไรกับใคร ต่างคนต่างสนใจทำการบ้านของตัวเอง
จนกระทั่งกลับขึ้นมาที่หอแล้ว ก็ยังไม่มีใครปริปากพูดอะไ ร ไอ้ทัชเอาเสื้อผ้าไปตาก เสร็จแล้วก็ขึ้นเตียงของมันไม่พูดอะไรต่อ ผมเห็นแล้วรู้สึกมันค้างคา ซึ่งก็คงเป็นที่สังเกตของคนอื่นด้วยเช่นกัน

 “พวกมึงเป็นเหี้ยไรกัน ตั้งแต่ห้องสตั๊ดดี้ละ  ทะเลาะไรกันวะ”   ไอ้นพคงรำคาญมากเลยถามขึ้นมาก่อน และผมก็มองหน้ามันตอบและส่ายหน้ายักไหล่เป็นเชิงตอบว่า กูก็ไม่รู้เหมือนกัน

 “หรือมึงเผลอไปปล้ำมันรึไงวะไอ้นนท์”  ไอ้ต๋องโพล่งขึ้นมาบ้าง

“มึงอยู่เงียบๆก็ไม่มีใครว่าอะไรมึงนะไอ้ต๋อง”   ผมหันไปด่ามัน แล้วขยับขึ้นเตียงไปหาไอ้ทัช  รู้สึกว่ากูกับมึงต้องเคลียร์กันหน่อยละ

 “ไอ้ตัวเล็ก”   

 “..............”  เงียบไม่มีเสียงตอบ

  “ไอ้ทัช”  ผมเรียกมันอีกครั้งมันก็ยังคงเงียบไม่หันมาหาผม  ผมเลยขยับเข้าไปใกล้ๆกำลังจะเงื้อมือไปเขกหัวมัน มันคงรู้สึกว่ามีคนเข้าใกล้มันมั๊งมันเลยหันมา พอผมเห็นหน้ามันผมก็ชะงักกึกไปเล็ฏน้อย  เฮ๊ย มึงร้องไห้เหรอ ไอ้ตัวเล็ก  มันทำผมอึ้งแดกไปพักนึง จึงคิดได้ว่าต้องคุยกันหน่อยแล้ว

 “ตัวเล็ก..คือพี่จะบอกว่า ไปเป็นพื่อนช่วยพี่ที่โรงครัวแป้ปนึงดิ”  ผมหาข้ออ้างเรียกตัวมันออกมา

 มันก็ใช้ผ้าห่มเช็ดหน้ามันลวกๆ แล้วมุดๆตัวลอดเตียงอีกฝั่ง เดินออกไปทางประตูบิดลูกบิดเดินออกไปเลย ผมจึงรีบเดินตามมันออกไป  มันรอผมอยู่หน้าหอ ผมเลยดึงแขนมันไปทางลานเลี้ยงปลาข้างสระน้ำ นั่งลงตรงม้านั่งแล้วไม่รอช้า จัดการเคลียร์ทันที จับแขนมันทั้งสองหันหน้ามาหาผม

 “ไอ้ตัวเล็ก มองหน้าพี่  มึงมีอะไรจะพูดกับพี่มั๊ย โกรธอะไรก็บอกมาเลย”   ผมถามออกไปตรงๆ

“.............”
 เงียบ ไม่มีเสียงอะไรหลุดออกมากจากปากคนตรงหน้า

“ทัช... มองหน้าพี่ มีอะไรบอกพี่มา โกรธอะไรน้อยใจอะไรบอกพี่มาเดี๋ยวนี้”

“ป่ะ เปล่าครับ  “ พูดพร้อมเสียงสะอื้นเล็กๆ

 “แล้วร้องไหนทำไม มีอะไรก็บอกพี่มาตรงๆเถอะ  มานี่มา”   

 ผมดึงให้เจ้าตัวเล็กมันนั่งลงตรงที่นั่งสำหรับเลี้ยงปลา

“พี่นนท์ กับพี่แทนรักกันหรือครับ”   

   อึ้งเลยครับ  ไอ้ตัวเล็กเล่นถามมาแบบนี้ทำเอาผมเงียบกริบไปเลย ทั้งอึ้งทั้งสงสัยว่าเจ้าตัวเล็กนี่มีจุดประสงค์อะไร จู่ๆก็โพล่งถามแบบไม่มีปี่ขลุ่ย

 “หือ... ว่าไงนะ อีกทีซิ”   ผมทวนอีกครั้งเพื่อย้ำให้แน่ใจว่าไม่ได้หูฝาด

 “ผมถามว่า พี่กับพี่แทนรักกันหรือครับ  คือพี่รักพี่แทนใช่ไหมครับ”

  ชัดเลย เต็มสองหูไม่ได้หูฝาดไปแน่นอน  แต่จะให้อธิบายอย่างไรดีล่ะ ผมเองก็ยังไม่เคยคุยอะไรแบบนี้กับไอ้แทนเลยสักครั้ง

“ใครบอก  ไปได้ยินมาจากไหน”    ถามเพิ่มเติมเพราะอยากรู้ที่มาที่ไปว่าเจ้าตัวเล็กไปเอาเรื่องพวกนี้มาจากไหน

“จากที่พวกพี่นพคุยกัน และจากที่ผมเดา”

“เดา?  เดาเนี่ยนะ  แล้วอะไรทำให้มึงคิดแบบนั้น”

“ผมเคยเห็นที่พี่นอนกอดกันด้วยนะครับ แต่ไม่เคยถาม และไม่กล้าถาม”

“..............”    ผมอึ้งหนักเข้าไปอีกสิ

“แล้วที่พวกพี่เคยทำอะไรกัน   อย่างที่พี่กับผมทำด้วยกันนี่  มันเหมือนกันหรือเปล่าครับ”

“ทัช....”   ผมเว้นจังหวะเล็กน้อย สบตากับเจ้าตัวเล็ก

“ใช่  พี่รักไอ้แทน “    และพูดต่อโดยไม่เว้นจังหวะให้ตัวเล็กพูด ซึ่งดูเหมือนมันจะหน้าหดลงเล็กน้อย

“แต่ไม่ใช่อย่างที่มึงเข้าใจนะ  ใครจะว่าอะไรพี่ไม่สนใจหรอก พี่รู้แค่ว่า พี่กับมันสนิทกันมาก มีอะไรก็คอยช่วยเหลือกันตลอด เป็นเพื่อนรักกันไง มึงอาจจะไม่เข้าใจหรอก”
 ลูบหัวมันไปสองสามที

“ผมเห็นที่พวกพี่เขียนลงสมุดนั่นด้วยนะ”

 ...นั่นไง ...กูว่าแล้ว สังหรณ์ใจไว้แล้วเชียว ไอ้แทนเอ้ยย ป่านนี้พวกพ่อแม่และน้องๆคงอ่านกันหมดแล้วมั๊ง
“แล้วเราคิดว่าไงล่ะ”   ผมถามเจ้าตัวเล็ก

“ไม่รู้ครับ ผมไม่รู้ ก็เขียนตอบกันไปมา”

“นี่มึงอ่านทุกหน้าเลยเหรอ”

“ครับ”

“ดีมาก  ไอ้เด็กเวร”   ผมมะเหงกใส่หัวมันไปแบบเบาๆ หนึ่งที มันก็เกาหัวแกร่กๆ

“อืม แล้วทีนี้บอกมาได้หรือยัง ว่าโกรธหรืองอนอะไร”

“ก็...ผมอยากให้พี่ดีกับผมบ้าง”

“แล้วทุกวันนี้ พี่ทำไม่ดีกับมึงรึไง”

“เปล่าครับ คือ ผมอยากให้พี่ทำกับผมแบบพี่แทน  แต่ว่า..ผมไม่ใช่ตัวแทนของพี่เขานะครับ บางทีผมก็คิดว่า ที่พี่ทำดีกับผมเพราะเห็นผมเป็นพี่แทน”
 อย่างนี้เองเหรอเนี่ย....ไอ้ตัวเล็กนี่ไม่เด็กแล้วแฮะ  ม.2เองนะเนี่ย มันคิดได้ขนาดนี้

“อืม พี่ขอโทษ เรื่องนั้นพี่เผลอไปเอง อย่าคิดมากน่า มึงก็เป็นเหมือนน้องชายพี่  พี่จะดูแลมึงให้ดีเองไม่ต้องห่วง”

“พี่สัญญานะ “

“อืม ไปนอนกันเถอะดึกแล้ว”

  ผมกอดคอมันพาเดินขึ้นหอ เข้านอนโดยไม่ลืมที่จะแบ่งผ้าห่มให้ไอ้ตัวเล็กด้วย กะไว้ว่าสัปดาห์หน้าจะเอาผ้าห่มที่บ้านมาเพิ่มอีกสักผืน

   ........ ฝากด้วยนะ........ 


   เสียงนี้แว่วมาอีกแล้ว แต่ผมไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก ง่วงแล้วจึงเผลอหลับไป











                                 
............................................
 เสียงลมพริ้วพัดผ่านลานดอกฝิ่น
สดับยินเสียงเธอเพ้อเพรียกหา
อยู่ใกล้ใกล้ แต่ไม่เห็นด้วยสายตา
เพราะอยู่ห่างคนละฟ้า ว้าเหว่ใจ
.............................................
หัวข้อ: ทัช..สัมผัสใจ ตอนที่6 (10 ก.ค. 2560)
เริ่มหัวข้อโดย: thewa.arak ที่ 10-07-2017 16:07:12
ตอนที่ 6



  ..กลับมาอีกครั้ง... บ้านต้นไผ่...........Partนนท์/ทัช..



    ช่วงวันหยุดก่อนสอบกลางภาค ผมมีโอกาสได้กลับไปเยี่ยมบ้านไอ้แทนอีกครั้ง สถานที่เดิมสภาพแวดล้อมยังคงเดิม แต่คนที่ไปด้วยนั้นเปลี่ยนไป  ครั้งนี้ผมไปกับเจ้าทัช เรานั่งรถโดยสารประจำหมู่บ้านขึ้นไป ใช้เวลาไม่นานนักจากโรงเรียนฝายน้ำผึ้ง ประมาณ30กว่ากิโลเมตร  ระหว่างทางขึ้นเขา ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม ธรรมชาติรอบข้างยังคงเดิมต่างเพียงช่วงเวลาที่เปลี่ยนไป และต่างเพียงคนที่นั่งข้างๆผมนั้น ไม่ใช่คนเดิม  ความรู้สึกอาจจะไม่เหมือนเดิม    แต่ทว่า..คล้ายๆกัน
  ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา บางครั้งผมอาจจะเผลอตัวทำอะไรบางอย่างลงไปด้วยความเคยชินเหมือนครั้งที่ผมเคยทำร่วมกันกับไอ้แทน  แต่กับเจ้าตัวเล็กข้างๆผมนี่จะออกแนวน่าเอ็นดู อาจจะเพราะว่าเขาอายุน้อยกว่าจึงดูเหมือนเราต้องห่วงใยมันมากกว่า  บางครั้งเผลอลืมตัวเรียกเขาเป็นไอ้แทน  เจ้าตัวเล็กก็จะทำหน้าสลดลงทุกครั้งไป  ทำไมนะ ความผูกพันของคนเราทำไมมันช่างเหนียวแน่นถึงเพียงนี้  มองไม่เห็นไม่อาจอธิบายหรือพร่ำพรรณนาออกมาเป็นคำพูดได้  แต่มันเป็นสิ่งที่ผูกพันคนสองคนไว้จนแทบจะขาดกันไม่ได้  หากไอ้แทนยังอยู่ ผมเชื่อเหลือเกินว่าเราคงจะผูกพันมากกว่านี้
    ที่นอน ตรงที่ผมเคยมานอนกับไอ้แทน  แต่ปัจจุบัน เป็นที่นอนของไอ้ตัวเล็กไปแล้ว ผมหลับตานึกย้อนคืนวันที่เคยมาเที่ยวที่นี่ ภาพทุกภาพทุกฉากตอนยังคงจำได้ติดตา หน้าต่างก็ยังคงเดิมไม่มีการเปลี่ยนใหม่ ผมหยุดนิ่งมองดูรูปไอ้แทนที่แขวนอยู่บนหัวนอน

 ....ไอ้แทน..ไม่เจอกันนานเลยนะ กูกลับมาแล้ว กลับมาอยู่ตรงนี้อีกครั้ง มึงสบายดีใช่ไหม ...กูยังคิดถึงมึงอยู่นะ ....มึงยังอยู่ในใจกูเสมอนะ ไอ้เพื่อนรัก...

    เจ้าตัวเล็กอีกคนก็โตขึ้นกว่าเมื่อก่อน ผ่านไปแค่สามปีกว่าเอง ทุกอย่างยังดูเหมือนเดิม แต่เด็กๆโตขึ้นเยอะเลย เจ้าธีร์นี่ยังคงพูดน้อยเหมือนเดิม แม่หมวงดูผอมลงเล็กน้อยแต่หน้าตาผิวพรรณยังสดใส คงเป็นเพราะอยู่ในที่ที่อากาศเย็นและเป็นธรรมชาติ ไร้การตกแต่งสีสันใดใด
บนใบหน้า ผมนั่งคุยอยู่กับแม่หมวง ถามสารทุกข์สุกดิบ มีตัดพ้อบ้างเล็กน้อยที่ผมไม่ได้ขึ้นมาเยี่ยมเยียนหลังจากไอ้แทนจากไป อารุจน์ไม่อยู่บ้าน ไปธุระที่กรุงเทพกับญาติ  คุยกันได้สักพักแม่หมวงก็ไปช่วยงานบ้านน้าไอ้นพวันนี้ช่วงเย็นเขาจะมีพิธีจ๋าเจี่ยว(พิธีสะเดาะเคราะห์)
 ผมเก็บกระเป๋าใส่สัมภาระไว้ตรงข้างฝาฝั่งซ้าย มองดูรูปไอ้แทนไปก็รู้สึกใจหายไป....

 “พี่นนท์... พี่นนท์  ไปเปลี่ยนกางเกงเถอะ เดี๋ยวผมพาไปยิงปลากัน”

ผมเงยหน้าขึ้นสู้กับหยาดน้ำที่เกือบจะเอ่อล้นออกจากตา  กระพริบตาถี่ๆจนมันไหลย้อนกลับเข้าดวงตาไปแล้ว จึงหันมาตอบไอ้ตัวเล็ก

 “ก็ดีนะ เดี๋ยวพี่ไปชวนไอ้นพก่อน”

“ไม่ต้องหรอกครับ พี่เขารออยู่ข้างนอกแล้ว ผมเรียกพี่หลายรอบแล้วนะครับ”

“ห๊ะ  เหรอ ทำไมไม่สะกิดล่ะ”

“ก็เห็นเงียบๆ มองรูปพี่แทนอยู่ก็เลยไม่อยากรบกวนช่วงเวลาดีๆของพี่”

 หืม... คำพูดนี้ มีแววประชดหรือเปล่าว้า   แต่เอาเถอะ  ผมมองหน้ามันแล้วถอนหายใจลุกไปเปลี่ยนเป็นกางเกงขาสั้น แล้วเดินตามมันออกไป  พวกเราสามคนเดินไต่ลงไปตามทางลงเขาเพื่อไปยังจุดหมายปลายทางที่ลำห้วยตรงตีนดอย เมื่อผ่านสามแยกที่จะไปบ้านผาเงิน ก็เห็นไอ้ต๋องยืนรออยู่  พวกเราสี่คนออกเดินทางกันต่อ  ไอ้เนไม่ได้กลับบ้านมันเลยพลาดโอกาสดีๆนี้
  ตะวันยังไม่ถึงกลางหัวจึงยังคงมีไอเย็นจากสายลมที่พัดผ่านมาเป็นระยะๆ จนกระทั่งถึงตีนดอย  ผมหันหลังไปมองยังจุดที่เดินลงมา มองจากข้างล่างขึ้นไป แทบไม่รู้เลยว่ามีหมู่บ้านอยู่บนเนินเขาซึ่งมีต้นไม้สูงๆหลากชนิดช่วยบดบังจากสายตา เป็นหมู่บ้านที่ปลีกตัวอยู่ห่างจากความศิวิไลซ์ และสิ่งยั่วยุมาซุกอยู่ท่ามกลางอ้อมกอดแห่งขุนเขา ผมไม่ลืมที่จะสูดอากาศสดชื่นยามเช้าเข้าไปเต็มปอด  อากาศบริสุทธิ์จากธรรมชาติที่เป็นธรรมชาติจริงๆ ชนิดที่ไม่อาจจะหาที่ไหนได้จากในเมืองใหญ่
 
 “ถึงแล้ว  อ่ะ พี่นนท์เอาเหลม ไปฝนให้คมนะครับ ผมจะเอาใบสะเลียมมาขัดหน้ากาก”

  ใบสะเลียมที่ว่าเป็นต้นไม้ชนิดหนึ่งที่ขึ้นกลางลำน้ำ รูดใบของมันเอามาขัดหน้ากากกระจก ทำให้เวลาดำน้ำแล้วชัดใสมากขึ้น  ห้วยบ้านวังถ้ำ น้ำใสจนเป็นสีเขียวดูน่ากลัวและเย็นอย่าบอกใครเชียว เด็กสามคนนั่นจัดการกับอุปกรณ์ยิงปลาของตัวเอง แต่ผมยังทำอะไรไม่ค่อยถูก 

“แล้วมันฝนยังไง” 

“มึงนี่โง่เนาะ ถามจริงบ้านมึงไม่มีคนยิงปลาเป็นกันมั่งเหรอ”

“อ้าวไอ้ต๋อง กูไม่เคยยิงนี่หว่า หรือมึงจะลองคนแรก”   ผมทำท่ายกเหลมหันไปทางมัน มันรีบด่ากลับทันที

“เฮ๊ย มึงอย่าทำแบบนี้นะ เค้าถือ มันไม่ดี”  ไอ้ต๋องร้องเหวอและเบี่ยงตัวหลบ

 “กูยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ”   ผมรีบแก้ตัว

“นั่นแหละ ยกของมีคมใส่กัน เค้าถือ มันไม่ดี”    ไอ้ต๋องอธิบาย ไอ้ตัวเล็กกับไอ้นพก็ส่ายหน้า หัวเราะกับท่าทางเอ๋อเหรอของผม

“เอามานี่ เดี๋ยวกูทำให้ดูเป็นตัวอย่าง”  ไอ้นพเดินมาคว้าเหลมผมไป แล้ววักน้ำราดตรงโขดหินพร้อมกับฝนปลายเหลมกับโขดหินนั่น ขยึกขยักๆสี่ห้าคร้งแล้วให้ผมทำเอง ผมก็จัดการต่อเองแต่ท่าทางของผมมันคงดูขัดตาเจ้าสามคนนั่น พวกมันถึงได้หัวเราะกับท่าทางของผม  อืม ก็คนไม่เคยนี่หว่า

“พี่นนท์มาช่วยผมทางนี้หน่อย  อ่ะนี่หน้ากากผมขัดให้แล้ว”   ไอ้เจ้าตัวเล็กกวักมือเรียกผมไปหาพร้อมกับหยิบเอา “แน่ง” (เป็นตาข่ายในล่อนไส ส่วนบนมีทุ่นขนาดสี่เหลี่ยมเล็กๆ ด้านล่างมีแป้นตะกั่วขนาดยาวเท่าสองข้อนิ้วสอดเหน็บกับตัวตาข่ายเพื่อถ่วงน้ำหนักให้ตาข่ายไม่ลอยตามน้ำ ต้องลากจากริมตลิ่งอีกฝั่งไปยังอีกฝั่งเพื่อล่อปลามาติดกับ)  ส่งตรงปลายแน่งมาให้ผมถือแล้วตะโกนสั่ง

“พี่ลากมันไปฝั่งโน้นนะ แล้วหากิ่งไม้ปักตรึงเอาไว้ให้แน่น “     ผมหันไปดู “ฝั่งโน้น” ตามที่มือไอ้ตัวเล็กชี้ ...เดี๋ยวนะ ตรงโน้นมันดูท่าทางลึกนะนั่น ..ผมคิดในใจ แต่มันเหมือนรู้ทัน

“พี่ว่ายน้ำไม่เป็นเหรอครับ”

“เฮ๊ยเปล่านะ ว่ายเป็นเว้ย”  ผมรีบตอบแทบจะทันที

“งั้นพี่ว่ายไปเลย แล้วทำตามที่ผมบอก”

 ผมก็ทำตามที่มันว่า เดินลุยลำห้วยไปยังริมตลิ่งของอีกฝั่ง แต่บางช่วงมันลึกเกินเอว จนผมรู้สึกเย็นที่เท้า ใจหายแว๊บ ยอมรับว่าเพราะกลัว   ก็นะ เราไม่รู้และมองไม่เห็นนี่นา ว่าอะไรมันอยู่ใต้น้ำข้างล่างนี่บ้าง ดังนั้นผมไม่เอาเท้าตัวเองเหยียบพื้น แต่เตะน้ำดันตัวว่ายไปให้ถึงอีกฝั่งแทน

“โอ๊ย  ไอ้ควายนนท์มึงจะเตะน้ำทำไมวะ ปลามันก็หนีหมดหรอก แม่งเอ๊ย”

 ไอ้นพตะโกนด่าผม อีกสองคนก็หัวเราะ แต่ผมทำเป็นไม่ได้ยิน เอาปลายแน่งผูกติดกับไม้และตอกไว้ตรงริมตลิ่งให้แน่น

“พี่นนท์อย่าตึงมาก ทุ่นมันลอยปลายไม่ถึงพื้นปลาก็ลอดแน่งหมดสิครับ”    ไอ้ตัวเล็กตะโกนบอก

“เออ ไอ้นี่นี่มันโง่จังเลยวะ ปล่อยมันหย่อนๆหน่อย”   ไอ้นพ ตะโกนด่า  ไอ้ต๋องมันมุดดำน้ำไปด้านเหนือแน่งไปแล้ว
 
“เออ กูโง่  ด่าอยู่ได้ กูเพิ่งเคยนะเว้ย “

“ลูกคุณหนูเหรอมึงอ่ะ”  ไอ้นพยังไม่เลิกเยาะเย้ยผม

“เห้ย นี่มันครั้งแรกของกูจริงๆ กูไม่เคยยิงปลา แต่ว่ายน้ำน่ะมึงสู้กูไม่ได้หรอก”

“ถุยไอ้ขี้คุย ท่าทางมึงก็บอกอยู่แล้ว  อ่อนหัด”  ไอ้นพสบประมาทผม

“พี่นนท์ ไปกันเถอะ ไปตรงโขดหินนั่นนะ เดี๋ยวผมไปทางโน้น”   ไอ้ตัวเล็กตะโกนตัดบท กวักมือให้ผมดำน้ำไปยิงปลา  บอกตามตรงผมก็กล้าๆกลัว ถ้าดำลงไปแล้วไปจ๊ะเอ๋กับตัวอะไรสักอย่างที่มันน่ากลัวแล้วจะทำไงดีล่ะ เช่นเจองูไรงี้ แต่สุดท้ายก็ดำลงไป เพราะกลัวไอ้สองตัวโตนั่นมันจะหัวเราะเยาะเย้ยเอา

  ผมดำลงไปตรงใต้โขดหิน ใต้น้ำนี่เย็นกว่าด้านบนเสียอีก มองเห็นปลาเล็กปลาน้อยว่ายผ่านหน้าไปหลายตัว  ผมเจอปลาตัวโตเท่าเกือบฝ่ามือหลบอยู่หลืบหิน ผมง้างเหลมจะยิง แต่พลาดไปโดนหินแทน พอจะหมดลมหายใจก็ดันตัวขึ้นมาบนผิวน้ำ  สูดอากาศสองสามครั้งก็ดำลงไปใหม่ คราวนี้ผมไม่ได้สนใจที่จะยิงปลา แต่ว่ายไปตามโขดหินส่องดูปลาเล็กปลาน้อย เห็นแต่ก็ไม่ยิง อดสงสารมันไม่ได้ 

 เจอปูก็เอานิ้วไปแหย่ปูเล่น ปูมันก็หนีลงไปยังห้วงน้ำที่ลึกลงไปอีก ผมกลัวความลึกใต้น้ำ จึงไม่ได้ตามลงไปต่อ  ดันตัวขึ้นสู่ผิวน้ำ สังเกตุดูแต่ละคนท่าทางจะมีฝีมือกันเหลือเกิน  ก่อนจะไปยังจุดต่อไป ก็ต้องเก็บแน่งก่อน ซึ่งเมื่อลากแน่งกลับมาแล้วก็เห็นว่าได้ปลามาสี่ห้าตัว ประมาณฝ่ามือ เจ้าตัวเล็กก็จับใส่ข้องเหน็บเอวไว้  เราสามคนดำน้ำไปตามลำห้วยขึ้นไปทางทิศเหนือเรื่อยๆ ส่วนแน่งก็ทำแบบเดิม เมื่อถึงเวิ้งน้ำใหญ่ๆ มันดูวังเวงมาก น้ำใสเขียวดูน่ากลัวน่าเกรงขามมาก  และผมก็ไม่กล้าลงไปเลยได้แต่ถือ ข้องใส่ปลาแทนเจ้าตัวเล็ก แล้วลัดเลาะไปตามริมตลิ่งที่น้ำไม่ลึกแทน แต่กระนั้น ผมก็ยังสามารถยิงปลาได้หนึ่งตัว เป็นปลากด มีหนวดเหมือนปลาดุกเลย จริงๆความรู้เรื่องปลาผมแทบไม่มีเลย  ไม่รู้จักว่าชื่อปลาอะไร รู้แค่ว่ามันคือปลาแค่นั้น   พวกเราสามคนแวะพักตรงลานหินหน้าน้ำตกขนาดย่อม  ซึ่งน้ำไหลวนเป็นแอ่งอยู่ในลานหินนั่นเอง  ไอ้ต๋องจัดการเอามีดฟันกิ่งไม้แห้งก่อเป็นฟืน  ไอ้นพก็เก็บผักกูด เอามาปิ้งกิน ส่วนเจ้าตัวเล็ก สิ่งที่เตรียมพร้อมมาแล้วคือ น้ำจิ้ม ซึ่งเจ้าตัวภูมิใจนำเสนอสูตรของตัวเองมากเสียเหลือเกิน แต่ผมก็ว่าอร่อยดีนะ  สามคนช่วยกันปิ้งปลากินกัน แต่ผมไม่ถนัดกินปิ้งสดแบบนี้ เพราะปลาแม่น้ำมันมีก้างเยอะมาก ขี้เกียจเคี้ยวขี้เกียจเอาก้างปลาออก แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา ไอ้ตัวเล็กมันจัดการให้เรียบร้อยแล้ว

 “ พี่นนท์กินระวังก้างด้วยนะ ผมเอาออกไปบ้างแล้ว แต่มันยังมีอยู่เคี้ยวระวังด้วยครับ”

 “แหม่ ไอ้ทัช ให้มันจัดการของมันเองเถอะ”  ไอ้ต๋องโพล่งขึ้นมา

 “เนี่ย มึงกินเป็นป่าว “   ไอ้นพปิ้งผักกูดจิ้มน้ำจิ้มของไอ้ตัวเล็ก ผมไม่เคยกินผักกูดปิ้ง แต่ก็ทำตามโดยดี  ก็ยังรู้สึกว่ามันดิบๆอยู่ดี  รู้สึกมันหยุ่นๆมีเมือกๆติดคอด้วย  ไอ้นพมันคงเห็นท่าทางผมเก้ๆกังๆคงจะรำคาญมากจึงออกปากว่าให้

 “มึงกินไปเหอะน่า  ของตามธรรมชาติไม่มีพิษภัยถึงตายหรอก”   แล้วจัดการหยิบปลาที่ปิ้งกึ่งสุกกึ่งดิบมาให้ผมหนึ่งตัว แต่ผมก็ไม่กิน บอกว่าไม่หิว อิ่มแล้ว  จริงๆแล้วก็ไม่อยากกินจริงๆนั่นแหละเพราะไม่ถนัดกินปลาแม่น้ำแบบนี้เท่าไหร่ ก้างมันเยอะจริงๆขี้เกียจแยกก้าง  เกรงใจไอ้ตัวเล็กมันด้วย เพราะมันจะมัวคอยมาแกะแยกก้างไห้ 

 ไอ้ต๋องอิ่มก่อนลุยน้ำเอาแน่งลงไปที่เวิ้งกว้าง ลากพาดกึ่งกลางลำน้ำเอาก้อนหินหนักๆทับเอาไว้ เพราะรอบลานหินไม่มีดินให้ปักไม้  เสร็จแล้วขึ้นมาเอาก้อนหินโยนลงน้ำ

“มันเป็นการทำให้ปลาตกใจแล้วว่ายออกมามันจะได้ติดแน่ง” 

 ไอ้ตัวเล็กอธิบายให้ฟัง ผมก็พยักหน้า เออ ออ ไปตามเรื่อง แต่เวิ้งนี้ผมไม่ลงครับ กลัว เพราะมันลึกมาก น้ำมันเขียวจนจะเป็นสีดำดูน่ากลัวยิ่งนัก  ผมจึงได้แต่นั่งชมธรรมมชาติ ปล่อยให้สามคนนั่นลงไปดำผุดดำว่ายอยู่ด้านล่าง  เวลาที่สามคนนั่นดำลงน้ำไปแล้ว เหลือผมคนเดียวอยู่บนลานหิน บรรยากาศมันเงียบสงบดีมาก ได้ยินเพียงเสียงลมวู่ไหวกระทบต้นไม้
  ต้นไผ่เสียงดังออดแอดเคล้ากับเสียงจากสายน้ำลำธาร และเสียงนกรวมทั้งสรรพสัตว์ต่างๆ ฟังแล้วช่างรื่นรมย์เสียจริงท่ามกลางธรรมชาติเช่นนี้  ผมเอนตัวนอนหงายลงกับลานหินยกเท้าไขว่ห้าง ตาแหงนมองดูท้องฟ้า สีฟ้าสดใสงดงามมาก  ตักตวงเอาความบริสุทธิ์ของธรรมชาติเข้าเต็มปอด   ภาพไอ้แทบแว๊บๆเข้ามาในหัว  ..ไอ้แทน...ถ้ามึงยังอยู่แล้วมาด้วยกัน กูคงมีความสุขมากแน่ๆ ..


  ซ่า

น้ำสาดมากระทบตัวผมถึงกับสะดุ้ง

“เว๊ยย...”  ผมร้องตะโกนโหวกเหวกโวยวายแทบไม่เป็นภาษา

 “มันเย็นนะเนี่ย มึงเล่นอะไรเนี่ย ตกใจหมด”

 ไอ้ตัวเล็กหัวเราะชอบใจ

“พี่นนท์เอาข้องมาใส่ปลาเร็ว ปลากดเยอะมาก พี่ลงมาดูดิ”

ผมหยิบข้องยื่นให้มันยัดปลาใส่

“ไม่เอาอ่ะ กลัว สีสันดูน่ากลัวมาก และลึกด้วย”

“โห่ มาทั้งที ที่นี่พวกเด็กๆมาเล่นน้ำกันบ่อยนะ มาเถอะ มันไม่มีอะไรหรอก”

“เออ เดี๋ยวอาบแดดอีกสักพักค่อยลง”  ผมแก้ตัว

 “ไปน่า มันเยอะจริงๆ อยากให้เห็น “   ไอ้ตัวเล็กมันขึ้นมาแล้วลากแขนผมจะลงไปให้ได้ 

 แต่ผมก็อิดออด สุดท้ายก็โดนมันลากลงไปจนได้ แต่ไม่เอาเหลมลงไปด้วย มันเองก็เช่นกัน ส่วนไอ้นพไอ้ต๋องยังคงขะมักเขม้นยิงปลาตามซอกหลืบลานหิน

ไอ้ตัวเล็กคว้าแขนผมดำลงไปโดยที่ไม่ปล่อยมือผมมันชี้ๆไปที่ซอกเวิ้งน้ำด้านทิศเหนือตรงที่น้ำไหลตกลงมา ผมก็กระชากแขนกลับกล้าๆกลัว ยิ่งที่ตรงนั้นมันดูน่ากลัว มีน้ำตกกระทบลงมาด้วย ยื้อยุดฉุดกันไปจนผมจะกลั้นหายใจได้ถึงขีดสุดแล้วก็ชี้ขึ้นด้านบนพร้อมกับเตะน้ำดันตัวขึ้นมาสูดอากาศบนผิวน้ำ  ผมเลิกหน้ากากขึ้นไว้ตรงหน้าผาก

“มึงจะบ้าเหรอ ลากไปอยู่ได้ บอกว่ากลัวๆ “  ผมใช้มือผลักน้ำใส่หน้าเจ้าตัวเล็ก มันก็หันหน้าหลบ

“โห่ พี่นนท์ มันสวยจริงๆนะ ไปเถอะ ไปช่วยกันเตะน้ำไล่ปลาลงไปทางแน่ง นะๆ”  เจ้าตัวเล็กคว้าข้อมือผมและออกแรงจะลากผมไปให้ได้  ผมจึงยอมตามที่มันลากแขนผมไป  เจ้าตัวเล็กพาดำมุดลงไปยังตรงบริเวณน้ำตก เห็นน้ำที่ไหลตกกระทบลงผิวน้ำด้านล่างแล้วม้วนเกลียวขึ้นแตกเป็นคลื่นฟองดูสวยแปลกตาดี และที่หน้าตื่นเต้นคือ ด้านหลังม่านน้ำนี้ ปลากดเยอะจริงๆ มันชี้ๆให้ดูพร้อมกับว่ายไปไล่ต้อน ผมก็ทำตาม ดำผุดดำว่าย พอจะถึงขีดสุดของการกลั้นหายใจ ก็เตะน้ำดีดตัวโผล่ขึ้นผิวน้ำ สูดอากาศเข้าเต็มปอดแล้วดำลงไปใหม่ ผมชักจะติดใจธรรมชาติใต้น้ำ เห็นกุ้งเห็นปลาแหวกว่ายไปมา ดูเพลิดเพลินมากจนลืมกลัวความลึกไปเสียสิ้น  ชื่นชมธรรมชาติใต้น้ำจนเพลิดเพลิน พอรู้สึกเหนื่อยถึงได้ขึ้นมาลอยคออยู่บนผิวน้ำ

“สนุกกันใหญ่เลยนะพวกมึง  ไล่ๆปลาลงมาทางแน่งด้วย”   ไอ้นพตะโกนบอก

ผมรู้สึกเหมือนมีอะไรมาสะกิดเท้า ลื่นๆเหมือนตัวอะไรสักอย่าง ผมรีบเตะสะบัดเท้าในน้ำ

“เฮ๊ย อะไรวะ จับขากู”   มันไม่ใช่แค่ครั้งเดียว ครั้งนี้รู้สึกเหมือนตัวมันใหญ่กว่าเดิมหนาๆและลื่นๆ ผมตะโกนโหวกเหวกด้วยความกลัวรีบตะกายขึ้นฝั่งอย่างลนลาน แต่แล้ว...

“ฮ่าๆ ไอ้นนท์แม่งกลัวปลาว่ะ ฮ่าๆ”

 ไอ้ต๋องมันโผล่ขึ้นมาและชูกิ่งไม้เล็กๆที่มีปลาถูกที่เสียบอยู่ห้าหกตัว  มันเอาปลามาถูเท้าผมให้ผมกลัว  แม่งเอ้ย

“ไอ้ห่าต๋อง ถ้าเกิดกูตกใจเป็นตะคริวเป็นอะไรกลางน้ำขึ้นมามึงจะช่วยทันไหม ไอ้เหี้ย  ไอ้ๆ”

 ผมตะโกนด่ามัน แล้วไอ้สามตัวนั่นก็พลอยหัวเราะเยาะผมไปด้วย

“เออ พวกมึงจำไว้เลย เล่นกับกูแบบนี้ ถ้าไอ้แทนอยู่มึงได้โดนมันไล่เตะอ่ะ”

“แหม่ แค่นี้เอง มึงจะพูดถึงมันทำไมวะไอ้ควาย กูขึ้นฝั่งละ” ไอ้ต๋องตะโกนด่ากลับ พร้อมกับตะเกียกตะกายขึ้นฝั่งมาอีกคน

 “อ้าว ไอ้ทัชอยู่ไหน”

 ผมมองหาไม่เห็นแม้แต่เงาหัว แต่ไม่นานมันก็โผล่ขึ้นมาค่อยโล่งใจหน่อย นึกว่าจะจมน้ำไปแล้ว

 “ไอ้นนท์ มึงก็อะไรนักหนาวะ ไอ้แทนไอ้แทนอยู่ได้ ถ้าไอ้ทัชมันได้ยินเดี๋ยวมันก็งอนมึงอีกอ่ะ”
ไอ้นพกระซิบข้างหูผม ผมได้แต่ทำหน้าเหรอหรา

“ห๊ะ เมื่อกี้กูพูดชื่อไอ้แทนเหรอ”

“เออสิวะ มันไปสบายแล้วมึงก็ปล่อยๆมันไปเถอะ โน่นถ้ามึงรักห่วงมันจริงๆมึงช่วยดูน้องมันโน่น”

 ผมมองตามทิศทางที่ปากไอ้นพบุ้ยใบ้ เห็นไอ้ตัวเล็กดำผุดดำว่ายไปตามความยาวของแน่ง

“กูว่า มันก็คงเห็นมึงเป็นเหมือนพี่ชายมันว่ะ ดูแลมันหน่อยละกัน ทำให้เหมือนที่มึงดีกับไอ้แทนนะ”

 ผมหันไปทางไอ้ตัวเล็กที่กำลังสนใจกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า  พร้อมกับตอบโดยไม่หันกลับมามองไอ้นพ

 “อืม..กูจะพยายาม”

ไอ้นพตบบ่าผม พร้อมกับรุนหลังให้ลงไปช่วยไอ้ตัวเล็ก ผมไม่ได้ลงน้ำแต่ไปยืนรออยู่ที่อีกฝั่ง ซึ่งพอเจ้าธัชมันว่ายมาจนถึงฝั่งผม ก็สั่งให้เอาข้องไปให้

“พี่นพ พี่ต๋อง ลงมาช่วยเอาปลาที เยอะมากอ่ะพี่”

“มาๆกูเอง”  ไอ้ต๋องอยู่ใกล้ผมมากที่สุด มันตอบพร้อมทำท่ากระโจนลงน้ำ ผมกะระยะและจังหวะ พอมันจะกระโดดลงน้ำผมก็ยกเท้าถีบมันลงไปเลย

 “ไอ้เหี้ยนนท์  มึงถีบกู” 

   “ถือว่าเจ๊ากัน  เมื่อกี้มึงแกล้งกู”

มันทำท่าชี้ๆหน้าผมสองสามที แต่ผมไม่สนใจ

“พี่นนท์ เอาข้องมาใส่ปลาด้วย” เจ้าทัชเรียก ผมก็รีบทำตาม วิ่งไปหยิบข้องเตรียมพร้อมใส่ปลา
สามคนนั่นพอเอาปลาที่ติดแน่งออกได้ก็โยนขึ้นมาบนลานหิน ให้ผมไล่จับเอง ส่วนผมก็เก้ๆกังๆ เพราะปลามันตัวเล็กกว่าฝ่ามือนิดเดียวแถมมีปลากดด้วย

“โอ้ย ทำไมมันเยอะจังวะ ไอ้นพมึงขึ้นมาช่วยกูจับทีเถอะเดี๋ยวมันก็ดินลงน้ำหมด”

 “ไอ้ทัช มึงขึ้นไปช่วยมันหน่อยมึงอยู่ในน้ำนานละเดี๋ยวเป็นไข้เอา”

สรุปไอ้ตัวเล็กเลยได้ขึ้นมาช่วยผมไล่จับปลายัดใส่ข้อง ภาพสองคนช่วยกันไล่จับปลาดูเหมือนเด็กกำลังเล่นกันสนุกสนาน

“โอ๊ยย “  ผมรู้สึกเจ็บโคนนิ้วชี้ เพราะเงี่ยงปลากดตำนิ้วมือถึงกับมีเลือดไหลออกมา

“พี่นนท์เป็นไรอ่ะครับ”

“เงี่ยงปลากดตำมือ”

“ไหน..โห เจ็บนะเนี่ย เลือดไหลด้วย”   ผมยังไม่ทันพูดหรือทำอะไร ไอ้ตัวเล็กมันยกมือผมขึ้นแล้วงับปากลงตรงบริเวณโคนนิ้วชี้และดูดเอาเลือดออกให้

“โอ๊ยย ไอ้เด็กเวร มึงทำอะไรเนี่ย มันเจ็บนะ ไอ้นี่”

  เจ้าตัวเล็กไม่ตอบวิ่งไปล้างปาก ไอ้นพไอ้ต๋องก็มีทีท่าดู งงๆ ว่าผมกับไอ้ตัวเล็กทำอะไรกันอยู่ และพอดีกับที่ไอ้ต๋องยกแน่งขึ้นจากน้ำ ยังเห็นมีปลาสองสามตัวติดอยู่ที่แน่ง

“พี่นนท์โดนเงี่ยงปลากดอ่ะ พี่นพ”

“ไอ้โง่  มึงไปจับมันท่าไหนวะไอ้ควายเอ้ยย  มึงเอานิ้วขึ้นสูงๆสิวะ  เงี่ยงปลากดก็งี้แหละโดนทีล่ะมึ๊ง โคตรเจ็บจี๊ดอ่ะ”  ไอ้นพบอก

“สมน้ำหน้าเมื่อกี้มึงถีบกู ผลกรรมมันตามสนองมึงแล้วล่ะ”  ไอ้ต๋องตอกย้ำ ดูท่าทางมันหัวเราะชอบใจแล้วผมอยากจะกระโดดเตะยอดอก

“ไอ้เหี้ยต๋อง มึงเงียบไปเลย”   นั่นสิครับ วันนี้คงเป็นวันซวยของผมอ่ะ ไอ้คนที่แกล้งผมเสือกอยู่สบายดี ผมกลับเจ็บตัว  ไม่ยุติธรรมเอาซะเลย

“พี่นนท์ เอานิ้วมา”  ไอ้ตัวเล็กยกมือผมขึ้นมาแล้วเอามีดปาดผ้ารัดข้องปลาส่วนหนึ่งมาพันแผลให้

“ขอบใจนะตัวเล็ก”

“ถึงบ้านค่อยเอาแอลกอฮอลล์ล้างนะพี่” 

“วันนี้ได้ปลาตั้งสามสิบกว่าตัว กลับไปต้องมีตั้งวงฉลองแล้ว”   ไอ้ต๋องชวนตั้งวง

“ไม่อ่ะ บ้านกูมีงานจ๋าเจี่ยว(งานพิธีกรรมสะเดาะเคราะห์ของชาวเขา)ให้น้าชาย”  ไอ้นพอธิบาย

 “อะไรว้า พวกมึงนี่ไม่ได้เรื่อง เดี๋ยวกูชวนเพื่อนกูตั้งวงเองก็ได้เว๊ย” 

 ไอ้ต๋องบ่นแต่ทุกคนก็ไม่สนใจฟัง เตรียมตัวเก็บข้าวของสะพายย่ามพร้อมเดินลัดเลาะริมห้วยกลับบ้าน ซึ่งขากลับเนี่ยลากยาวเลยนะ หนักเท้าด้วย แถมต้องเดินขึ้นดอยกลับบ้านอีก แค่นึกถึงก็เข่าอ่อน ทันที เฮ้อ เหนื่อยอีกแล้วสินะเนี่ย    ถึงบ้านเอาตอนบ่ายสามโมงกว่า ผมนี่เหนื่อยโฮกทั้งหนักทั้งล้าปวดขามากเลยทีเดียวกว่าจะเดินขึ้นมาจนถึงหมู่บ้านได้ แต่ดูท่าเจ้าตัวเล็กกับไอ้นพไม่ค่อยจะเท่าไหร่กันเลย ไอ้ต๋องแยกย้ายกลับบ้านไปแล้ว บ่นเรื่องไม่ตั้งวงเหล้ากับมันตลอดทางเลยทีเดียว

“พี่นนท์ เอามือมา  ยังเจ็บอยู่มั๊ยครับ”   

“ไม่ปวดเท่าตอนโดนใหม่ๆแล้วนะ  แต่อย่าบีบมันนะมันยังตุ่ยๆอยู่”

 เจ้าตัวเล็กหยิบพลาสเตอร์กับแอลกอฮอล์มาล้างแผลและปิดด้วยพลาสเตอร์ให้  ผมลอบมองดูท่าทางเจ้าทัช  อืม มันโตขึ้นมากเลยจริงๆรู้จักเทคแคร์คนอื่นด้วยแฮะ   หลังจากนั้นก็จัดการเอาปลาที่แบ่งกันไว้มาทาเกลือสองตัว ที่เหลือเก็บไว้ให้แม่หมวงจัดการเอง
 เหลือเราสองคนในบ้านจึงจัดการทำกับข้าวกินเองซึ่งก็ไม่เหลือบ่ากว่าแรงเพราะผมไม่ได้เป็นคนทำเอง เป็นหน้าที่เจ้าตัวเล็กทำเองทุกอย่าง ... แขกไม่ต้องเจ้าบ้านทำเอง...เจ้าทัชมันบอกไว้แบบนี้ ผมก็อ่ะ ยินดีทำตามเพราะมือก็เจ็บข้างที่ตัวเองถนัดเลยปล่อยตามเลย
 ตอนกลางคืนที่นี่ก็ยังอากาศเย็นอยู่แต่ผมนอนฝั่งตรงข้ามหน้าต่าง คุยกันไปได้ไม่นานนักก็ง่วงเพราะต่างคนต่างก็เหนื่อยมาทั้งวัน


...........


 
     ก่อนกลับโรงเรียน เจ้าทัชพาไปดูรอยพระพุทธบาทอีกครั้ง แต่ครั้งนี้สิ่งที่เปลี่ยนไปคือไม่เห็นมีต้นฝิ่นแล้ว สงสัยจะตัดโค่นกันหมดเพราะได้ยินอาแปะกำนันหมู่บ้านบอกว่าจะมีโครงการหลวงเข้ามาที่หมู่บ้านห้วยห้าซึ่งห่างจากบ้านต้นไผ่ขึ้นไปอีกสิบสามกิโล จึงต้องทำการโค่นทิ้งไป


....................



หัวข้อ: ทัช..สัมผัสใจ ตอนที่7 (10 ก.ค. 2560)
เริ่มหัวข้อโดย: thewa.arak ที่ 10-07-2017 16:15:37
ตอนที่ 7



... ทำแบบนั้นกับผมบ้างได้ไหม...........Part นนท์/ทัช...
 
 

   ตอนเย็นหลังเลิกเรียน ซึ่งนักเรียนส่วนใหญ่ขึ้นรถสองแถวประจำกลับบ้านกันไปหมดแล้ว พวกเราเด็กหอก็ลงมาเล่นกีฬาแล้วแต่ความถนัดของใครของมัน บางคนเปลี่ยนชุดมาแล้ว แต่ผมไม่เปลี่ยน และหอผมนัดแนะเดิมพันเล่นบาสกัน คนละร้อย ใครชนะเอาเงินไป   
 
 “พี่นนท์ส่งมาทางนี้เร็ว”  ไอ้ตัวเล็กตะโกนบอกผมกวักมือหยอยๆ  ผมมองจังหวะแล้วรีบส่งบอลให้ทันที แต่ก็พลาด ชู๊ตไม่ลง

 “โว๊ย ไอ้เวร อุตส่าห์ส่งให้สวยๆ แค่นี้ก็ชู๊ตไม่ลง รอบข้างไม่มีใครแย่งบอลสักคน”

ตะโกนด่าออกไป เพราะจะแพ้ไม่ได้ไม่งั้นเสียเงินเดิมพันหนึ่งพันบาทให้พวกไอ้นพแน่ๆ ผมคิดในใจ กูต้องไม่แพ้  แม้จะออกตังกันคนละร้อยรวมทีมละห้าร้อย สองทีมก็หนึ่งพันพอดี ทีมไหนชนะก็ได้ไป ผมชู๊ตแม่นกว่าใครทั้งหมด (หลงตัวเองนิดนึง) มีน้องเด็กหอสองอยู่ในทีมของผมสามคน  ไอ้เชษฐ์  ไอ้ต๋องไอ้นพ ไอ้เน  มันขี้โกงอยู่ทีมเดียวกันหมดแต่ผมไม่กลัวพวกมันหรอกเพราะบาสเกตบอลไม่ใช่กีฬาที่พวกมันถนัดแต่โดนผมบังคับมา และมีเงินรางวัลล่อใจพวกมันเลยยอมมาเล่นด้วย

“ไอ้อู   มึงไปประกบไอ้ต๋องนะ “  ผมกระซิบบอกไอ้อู  เด็กหอ2กับเพื่อนมันอีกสองคน ไอ้เกียรติ และไอ้เกาลิ่นประกบคนที่เหลือ  แต่รู้สึกว่าแผนผมจะล้มไม่เป็นท่า เพราะไอ้ต๋องไอ้นพ มันร่างหนากว่าไอ้อูกับไอ้เกาลิ่น กระนั้นผมก็ไม่ยอมแพ้ สามารถชู๊ตลูกสามแต้มได้หลายลูก ไอ้เนขี้โกงชอบมาดึงเสื้อผมตลอด แต่สุดท้าย ทีมผมก็ชนะ 31 ต่อ 28แต้ม ขาดลอยเห็นๆ  เล่นเอาเหงื่อตกเหนื่อยหอบไปตามตามกัน  สามารถคว้าเงินเดิมพันมาแบ่งกันได้ คนละสองร้อยโดยไม่ลืมที่จะหันไปเยาะเย้ยพวกไอ้นพ ก็โดนมันยกนิ้วกลางมาให้
   เมื่อได้เหงื่อกันแล้วพวกเราก็ไปตลาดสดหน้าโรงเรียน จับจ่ายหาซื้อกับข้าวกัน ไอ้เชษฐ์ไอ้ต๋องไอ้เนและเด็กหอ2 กลับหอพัก เหลือผม ไอ้นพ ไอ้ตัวเล็กไปจับจ่ายตลาดกัน

“ไอ้นนท์เย็นนี้มึงเลี้ยงกูด้วย กูหมดตูดแล้ว” 

“ช่วยไม่ได้ ฝีมือมึงห่วยเองว่ะ” 

 “เอาเถอะ เดี๋ยวผมทำกับข้าวเลี้ยงเอง” 

  ไอ้ตัวเล็กออกตัวเป็นพระเอกขี่ม้าขาว  ฮึ่ม...มึงอยู่เฉยๆก็ไม่มีใครด่ามึงนะไอ้ตัวเล็ก ผมรำคาญมันเลยมะเหงกใส่หัวมันไปหนึ่งที   

“ใจดีมากนะมึง พอเหรอสองร้อยน่ะ”  ผมเงื้อมมือทำท่าจะประเคนมะเหงกให้มันก็หลบ

“ก็เอาจากพี่อีกสองร้อยไงครับ”  ไม่พูดเปล่า แบมือมาทางผมอีก

“เออ ใช่ๆ ไอ้นนท์ อะไรว้า มึงจะงกเอาไปทำไม เล่นกันสนุกสนานน่า ซื้อไรกลับไปทำกินกันดีกว่าน่า”  ไอ้นพพูดพลางทำหน้าขอความเห็นใจ เหอะๆ

“มึงคิดเหรอว่ากูจะให้เงินมึง”   หันมาตวาดใส่ไอ้ตัวเล็ก   มันก็ยังคงทำท่าแบมือเหมือนเดิม
  ผมเลยแกล้งทำหน้าเบื่อหน่ายแล้วยัดสองร้อยใส่มือมัน  จริงๆก็ไม่คิดจะเก็บไว้หรอกแค่อยากแกล้งมันเล่นๆ  สรุปวันนี้ซื้อกุนเชียง หมูสับ ไข่ แตงกวา ผมจะโชว์ฝีมือเอง ได้ของครบแล้วก็เดินกลับบ้านกัน  แต่ในระหว่างทางจะกลับบ้านนั้นเอง
 
“พี่นนท์มาซื้ออะไรกันคะเยอะแยะเลยเชียว”
ผมหันไปตามเสียงทักก็จ๊ะเอ๋กับน้องโรสคนสวย  โอ๊วววอย่ายิ้มสิ น่ารักอะไรเช่นนี้

“อ้าวน้องโรส พี่มาซื้อกับข้าวน่ะ มาจ่ายตลาดด้วยหรือครับ”
 เอ๊ะมากับใคร อย่าบอกว่าคุณแม่นะ... น้องคงสังเกตได้จึงรีบแนะนำ

“นี่แม่หนูค่ะ คนนี้น้าหนู”  น้องโรสแนะนำทั้งสองคน

“สวัสดีครับคุณแม่ “  ผมยกมือไหว้ ทุกคนก็ไหว้ตาม แต่เอ๊ะ เมื่อกี้ผมเผลอเรียกว่าคุณแม่งั้นรึ เวรแล้วตรู ฮ่าๆๆๆ

“สวัสดีจ๊ะ พี่ชมรมภาษาอังกฤษใช่ไหมจ๊ะ ได้ยินน้องพูดถึงบ่อยๆ หนูท่าจะเรียนเก่งนะ ยังไงสอนน้องบ้างนะ โรสหัวช้าไม่ทันเพื่อน”   คุณแม่หยอกลูกสาว ดูสิกระเง้ากระงอดเชียวน้องโรสกรู ฮ่าๆ

“ไม่หรอกครับ ผมก็ไม่เก่ง แต่ผมชอบด้านภาษาเลยขยันมากกว่าวิชาอื่น ทำให้อาจมีคนมองว่าเก่ง จริงๆแล้วไม่เก่งเลยครับ”  พูดไปก็หัวเราะแหะๆไป แก้เขิน

“ครูประจำขั้นก็ชมพี่เขาบ่อยมากเลยนะแม่”  น้องโรสย้ำอีก ผมงี้เขินจนไม่รู้จะทำหน้ายังไงแล้ว

 “ยังไง มีอะไรก็แนะนำน้องบ้างนะจ๊ะ”

“ได้ครับ ผมจะพยายามเท่าที่ทำได้ครับ”

 คุยกับน้องโรสสองสามประโยคก็ไหว้คุณแม่ขอตัวกลับ เพราะอีกสองคนนั่นหยุดยืนรออยู่นาน แล้วดูไอ้คนตัวเล็กมันทำหน้าเหมือนขี้ไม่ออกพอผมเดินเข้าไปใกล้มันก็รีบคว้าแขนไอ้นพแล้วจ้ำอ้าวออกไป

 “ไอ้ทัชมึงจะรีบไปไหนวะ ช้าๆหน่อยกูยังเหนื่อยอยู่ เออ ไอ้นนท์ แหม่ เจอสาวๆนี่ทักใหญ่เลยนะ ยังไม่ทันไรเรียกคุณแม่อีกต่างหาก”   ไอ้นพหันมาแขวะผมในขณะที่ไอ้คนตัวเล็กก็ยังคงลากแขนไอ้นพต่อไป

“ไอ้ทัช มึงจะลากมันทำไมเนี่ย หยุดๆ” ผมด่ามันไปมันก็หันมาทำหน้าบอกบุญไม่รับ อีก

“มันคงงอนมึงมั๊ง”  ไอ้นพแซว

“อะไรพี่นพ พูดไปเรื่อยผมปวดฉี่จะรีบกลับต่างหาก” ไอ้ตัวเล็กแก้ตัว

“อ้าวปวดฉี่แล้วมาลากมันทำไมล่ะ วิ่งไปก่อนดิห้องน้ำโรงเรียนยังไม่ปิดหรอก”  ผมรีบตอบมันไปทันควัน

“ตอนนี้ไม่ปวดแล้ว หายปวดแล้ว”

“นั่นไง ไอ้นนท์ กูบอกแล้วมันงอนมึง”  ไอ้นพตอกย้ำ

“บอกว่าไม่เกี่ยวไงพี่นพ  วู้ “  ไอ้ตัวเล็กมันยอมปล่อยแขนไอ้นพแล้ววิ่งไปข้างหน้า

“อ้าวจะไปไหนน่ะ”  ผมตะโกนถามมัน  มันก็ตะโกนโดยไม่หันกลับมามอง

“จะไปห้องน้ำในโรงเรียน”   ตอบแล้วแล้วก็รีบวิ่งออกไป

“อย่าขี้แตกใส่กางเกงซะก่อนล่ะ”  ไอ้นพตะโกนไล่หลัง

 “เหอะ  แล้วมาบอกว่าไม่ปวดฉี่ ไอ้เด็กเวรเอ้ย”   ผมสบถออกมาซึ่งคงไม่ดังไปถึงไอ้ตัวเล็ก
แต่ไอ้นพได้ยิน

“ไอ้นนท์ กูว่าไอ้ทัชมันรักมึงมากเลยนะเนี่ย กูว่า”  ไอ้นพเอ่ยขึ้น

“ทำไมมึงคิดงั้นวะ”   ผมหันไปถามด้วยความสงสัย

“มันเข้ากับคนง่ายนะ  คงเพราะมึงกับไอ้แทนสนิทกันมั๊ง  มึงเป็นเพื่อนสนิทของพี่มันและก็เคยไปนอนบ้านมัน ก็คงเป็นธรรมดาที่มันจะเข้ากับมึงได้ป่าววะ”   ไอ้นพอธิบายยาวเหยียด

“เหรอ มันเกี่ยวอะไรกะไอ้แทนด้วยเหรอวะ”   ผมชักจะอยากรู้เหตุผลขึ้นมาทันที

 “ไม่รู้โว๊ย มึงก็สังเกตเอาเอง กูก็แค่ว่าไปตามที่กูเห็น”   ไอ้นพบอก

“มันยังเด็กนะมึง มันจะมารู้อะไรเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างกูกับไอ้แทน”   .........ผมชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเอ่ยถึง

“อะไร ยังไง กูไม่ได้คิดลึกซึ้งอะไรขนาดนั้นนะเว้ย  มึง ยังไงเนี่ย”  ไอ้นพขยับมาใกล้ตบบ่าผมแล้วกอดคอถาม

“ไม่มีอะไร ก็เคยบอกไปแล้วไง เพื่อนสนิทกัน”

“เพื่อนสนิทที่ไม่ธรรมดาใช่ป่ะ”   มันเอียงคอมองหน้าผมถามแบบกวนตีนอีกครั้ง

“เพื่อนก็คือเพื่อนว่ะ ไอ้นพ  เลิกพูดเรื่องนี้เถอะคิดถึงไอ้แทนมันบ้าง”  ผมมองหน้ามันและตบไหล่สองสามที มันก็พยักหน้าตอบรับ

“ส่วนเรื่องไอ้ทัช  มึงก็ดูๆมันหน่อยละกัน”  ไอ้นพบอก

“เรื่องนั้นกูรู้แล้ว นั่นมันโบกมือเรียกแล้วรีบเดินไปเถอะ”   ขณะที่พวกเราเดินมาถึงสวนระหว่างโรงอาหารกับอาคาร1 ก็เห็นไอ้ตัวเล็กมันยืนโบกมือหยอยๆอยู่หน้าห้องน้ำ จึงรีบก้าวเดินตามกันไปโดยไม่มีใครปริปากพูดอะไรออกมาอีก

  ถึงโรงครัว พวกไอ้เนไอ้ต๋องก็หุงข้าวเตรียมไว้แล้วก็ถึงเวลาจัดการทำอาหารทำกับข้าว ผมให้ไอ้ตัวเล็กช่วยทอดกุนเชียง ผมก็ผัดแตงกวาไป ควันขโมงโฉงเฉงคลุ้งไปทั่วโรงครัว คนอื่นๆก็สนใจแต่การทำอาหารที่หน้ากลุ่มตัวเอง  เมื่อกับข้าวเสร็จจึงชวนตั้งวงกลุ่มกันหมดเลยทั้งหอสองหอสาม วงใหญ่ขึ้นกว่าเดิม แย่งกันตักอาหารแบ่งกับข้าวกันกิน   ภาพเหล่านี้ดูยุ่งเหยิงวุ่นวายแต่แฝงไว้ด้วยความอบอุ่นและน้ำใจไมตรีที่มีต่อกันยากที่จะหาดูได้จากรายการทีวีอื่นๆ  ผมตักกุนเชียงทอดให้ไอ้ตัวเล็กเพิ่มอีกสามชิ้นกลัวไม่อิ่ม  เหลือบเห็นสายตาไอ้พวกสามตัวนั่นมันมอง แถมไอ้นพจะอ้าปากพูดผมก็ชี้นิ้วไปที่หน้ามันมันก็เลยหุบปาก ต่างคนต่างกินข้าวต่อไป

 เสร็จแล้วก็ต่างแยกย้ายกันขึ้นหอจัดการธุระส่วนตัวเพื่อมาลงห้องสตั๊ดดี้  ผมก็เตรียมตัวจะไปโรงอาบน้ำพร้อมถังน้ำใส่ผ้าที่จะซัก
“พี่นนท์ รอผมก่อนครับ”  เสียงไอ้ตัวเล็กทัก

“นึกว่าจะไม่ทักซะแล้ว เนี่ย คงรู้นะว่าวันนี้หน้าที่ใคร”  ผมชี้ไปที่ถังน้ำ เจ้าตัวก็มองตามแล้วพยักหน้า  ฮ่าๆ ดีมาก รู้การรู้งาน มันเดินมาคว้าถังในมือผมไปถือแล้วเอาเสื้อผ้ามันเองใส่ลงไปด้วยท่าทางเอาจริงเอาจังมือหนึ่งถือตะกร้าอีกมือก็ถังใส่ผ้า

“กูฝากเสื้อกูใส่ลงไปด้วย”  ไอ้นพตะโกนมา ทำให้ผมหยุดชะงักหันไปมองหน้ามัน

“เออ กูซักเองแหละของกูน่ะ อย่ามาทำหน้าปวดขี้แบบนี้”   ยังไม่ทันที่ผมจะอ้าปากพูดอะไรมันก็ชิงพูดขึ้นมาก่อน
 
“อ้าวเหรอ  เออดี วันนี้กูกะว่าจะช่วยซักซะหน่อย มึงพูดเอง งั้นกูจะได้ไม่เปลืองแรง”  ผมตอบออกไปแบบเยาะเย้ยมันเต็มที่ 

 ไอ้ตัวเล็กขยันก้มหน้าก้มตาซักผ้า ผมก็ไม่ปล่อยให้น้องมันทำเองหรอก ตัวไหนที่มันซักแล้วผมก็เอามาซักล้างน้ำเปล่าอีกสองน้ำบิดๆแล้วโยนใส่ตะกร้าจนเสร็จ ก็ได้เวลาจัดการกับตัวเอง ต่างคนต่างอาบทำเวลา

“ไอ้ทัช   มึงรีบๆอาบน้ำเร็ว เดี๋ยวไปห้องสตั๊ดดี้ไม่ทัน”

“พี่ทำแบบนั้นกับผมบ้างได้ไหม” 

“อะไรของมึง อยู่ๆก็จะให้ทำอะไรพูดให้มันชัดๆ”    ไอ้ตัวเล็กมันไม่ตอบแต่ก้มหัวมาใกล้ๆแล้วชี้ไม้ชี้มือไปที่หัวมัน  ผมเลยเทแชมพูแฟซ่าใส่แล้วช่วยมันสระผมเกาๆสองสามทีแล้วตักน้ำราดให้

“ ไอ้นี่ ทำอย่างกะมึงมาอาบน้ำกับกูเป็นครั้งแรกงั้นแหละ  เอ้าเสร็จละรีบอาบเร็วๆเข้า”  ผมเร่ง

“พี่ถูหลังให้ผมด้วยครับ”  ยื่นสบู่มาแล้วหันหลังให้ผมถูให้

“น้อยๆหน่อยไอ้เด็กเวร เห็นกูเป็นอะไรวะ”  ผมบ่นแต่มันก็ผิวปากไม่รู้ไม่ชี้ ผมเลยมะเหงกใส่หัวมันไปทีแต่ก็ถูหลังให้

“กางแขนหน่อยดิ๊”  ผมสั่งและมันก็ทำตามอย่างว่าง่าย จึงถูสบู่ใต้รักแร้มัน มันร้องโหวกเหวกโวยวายเพราะจั๊กกะจี้แต่อีกมือผมก็ล็อคคอมันไว้ไม่ให้ดิ้นหนีอีกมือก็จิ้มรักแร้และจิ้มเอวจนมันหัวเราะไม่หยุด

“ไอ้นนท์มึงทำเหี้ยไรกัน พวกกูยังอยู่นะเว่ย ไม่ใช่พวกมึงแค่สองคน”  ไอ้เขียวตะโกนด่า คนอื่นๆก็หัวเราะตาม

“แล้วมึงเห็นพวกกูทำอะไรเหรอ” ผมยักไหล่ตอบแบบกวนๆ และไม่สนใจไอ้พวกนั้น พลางบอกให้ไอ้ตัวเล็กจัดการล้างตัวผมก็จัดการตัวเองแล้วรีบออกจากโรงอาบน้ำ  แต่สุดท้ายก็เข้าห้องสตั๊ดดี้ช้าไปหกนาที  โชคดีวันนี้ไม่มีอาจารย์ลงมาคุมเลยรอดตัวไป
  เมื่อถึงเวลาต่างก็แยกย้ายกันกลับ ผมชวนไอ้ตัวเล็กเดินอ้อมริมสระไปทางสนามกีฬาแล้วเดินเลาะไปตามแนวของสระน้ำ

“ไอ้ตัวเล็ก ใกล้สอบแล้ว ได้อ่านหนังสือบ้างรึยัง”

“ก็อ่านบ้างแล้วแหละพี่ พี่ล่ะ”

“มีอะไรทบทวน ที่ไม่เข้าใจก็ถามพี่ละกัน แต่อาจจะตอบได้ไม่หมด เพราะรุ่นแกกับพี่มันก็ห่างกันนานหลายปี”  ผมให้เหตุผล

“พี่ทำได้อยู่แล้วแหละครับ อย่าถ่อมตัวเลย เรียนผ่านมาหมดแล้วนิ”

“ก็จะพยายามเท่าที่ได้นั่นแหละ จริงๆพี่ไม่เก่งเลยนะ แต่มีแต่คนบอกเก่ง ขี้เกียจอธิบายแล้ว”

 ผมพูดพร้อมกับถอนหายใจออกมา ไอ้ตัวเล็กมันหันมามองหน้า

“อย่างพี่นี่ก็เรียกว่าเก่งอยู่นะ เห็นมีคนบอกว่าครูประจำชั้นยังชมพี่เลยนิ”

“นั่นแหละยิ่งทำให้พี่รู้สึกอึดอัดนะ ถ้าวันหนึ่งพี่ทำไม่ได้อย่างที่พวกเขาตั้งความหวังไว้ ไม่กลายเป็นว่าพี่จะโดนรุมประนามกันหมดรึ”  ว่าแล้วก็ถอนหายใจอีกครั้ง

“เอาน่า ใครจะว่ายังไงก็ช่างเขาเถอะ พี่เก่งในสายตาผมก็พอ เนอะ”  ทัชพูดพร้อมกับยิ้ม

“อืม นั่งตรงนี้กันสักพักนะ”  ผมชวนเจ้าตัวเล็กนั่งตรงระเบียงไม้ที่ยื่นเข้าไปในสระน้ำเล็กน้อย แล้วก็แหงนมองดูดวงดาวที่เปล่งแสงระยิบระยับเต็มท้องฟ้า  ต่างคนต่างเงียบไปพักใหญ่ๆ

“พี่นนท์ “

“หืม..ว่าไง”

“พี่นนท์ยังคิดถึงพี่แทนอยู่ไหม” 

“..........”  ผมอึ้ง ไม่คิดว่าอยู่ๆไอ้คนตัวเล็กนี่จะกล้าถามแบบนี้  พร้อมกับเหลียวไปมองหน้ามันก็เห็นว่ามันมองหน้าผมอยู่แล้ว แถมเลิกคิ้วขึ้นย่นหน้าผากเหมือนรอคอยคำตอบ

“เอ่อ..ทำไมถึงถามแบบนี้ล่ะ” 

“ก็ บางทีเวลาพี่ทำอะไรกับผมอยู่แล้วพี่ก็เผลอพูดชื่อพี่แทนบ้าง บางครั้งก็เหม่อลอยอ่ะครับ”

“เหรอ พี่เป็นขนาดนั้นเลยเหรอ”

“อื้ม ก็บางครั้งอ่ะครับ ผมรู้สึกได้เอง เหมือนกับว่าพี่มองผมเป็นพี่แทนอยู่เสมอ”

“...................”      ผมไม่มีคำพูดใดใด

 “พี่ยังคิดถึงพี่แทนอยู่ ใช่ไหมครับ”   โดนถามย้ำๆมาอีกรอบผมก็ไม่รู้จะทำหน้ายังไง ได้แต่มองหน้าคนตรงหน้าพร้อมกับถอนหายใจเบาๆ

“ทัช ...พี่ไม่รู้นะว่าทัชจะไปได้ยินใครพูดอะไรระหว่างพี่กับไอ้แทน  มันกับพี่สนิทกันมาก และพี่ก็รักมันมาก แต่พี่ก็ไม่รู้จะอธิบายยังไง คือเพื่อนรักกันน่ะ เข้าใจไหม”   ผมมองหน้าคนตัวเล็กไปด้วยเป็นระยะๆ 

“พี่ขอโทษนะบางครั้งอาจจะเผลอลืมตัวอ่ะนะ  อืม เพราะกิจกรรมที่พี่กับเราทำกันมา พี่กับไอ้แทนก็เคยทำด้วยกันมาก่อนบางครั้งมันอาจจะมีเผลอตัวพูดออกไป แต่เชื่อเถอะ พี่ไม่เคยคิดว่าเราเป็นไอ้แทนนะ” 

  ประโยคยาวๆพูดออกไปจากใจผมและผมก็มองหน้าเจ้าตัวเล็กตลอดเวลา ผมคงมองว่ามันยังเด็กอยู่กระมัง ลืมไปว่า นี่มันอายุ 14-15แล้ว ความคิดความอ่านก็กว้างมากขึ้นกว่าสมัยป.5-6

“พี่นนท์ ..”

“ว่าไง”

“ผมอาจจะทำได้ไม่ดีเท่าพี่แทน แต่ผมจะพยายามนะครับ”   ผมมองหน้าคนตัวเล็กตรงหน้า  รู้สึกอึ้งและทึ่งในขณะเดียวกัน ..อืม  มันโตขึ้นมากแล้วจริงๆ

“ไม่มีใครแทนที่ใครหรอก ไอ้แทนคือไอ้แทน ทัชก็คือทัช อย่าทำอะไรเพราะอยากมาแทนที่ใคร”   ผมอธิบาย พร้อมกับเอามือไปแตะไหล่คนตรงหน้า  เขาก้มหน้าลงไม่ตอบอะไร

“โอเค เราน่ะเป็นน้องไอ้แทน มันอาจจะทำให้ทัชรู้สึกว่าตัวเองมาแทนที่ไอ้แทน แต่พี่ไม่เคยคิดแบบนั้นนะ คือ พี่รู้สึกดีกับไอ้แทนอย่างไร พี่ก็คิดแบบนั้นกับทัชเช่นกัน มันอาจจะต่างกันเพราะเราน่ะอายุน้อยกว่า อีกไม่นานพี่ก็จบแล้วไปเรียนต่อ แต่ พี่จะยังคงเป็นพี่ชายที่ดีกับทัชนะ แม้จะไม่ดีเท่าไอ้แทนก็ตาม”   

  “ ผมก็ไม่ได้คิดว่าพี่จะมาเป็นพี่ชายแทนที่พี่แทน แต่ผมมองว่าพี่เป็นพี่ชายอีกคนต่างหาก ผมรู้สึกอบอุ่นที่ได้อยู่ใกล้ๆพี่”

“.................”    ไม่รู้เป็นครั้งที่เท่าไหร่ที่เกิดอาการอึ้ง กับผม แทบไม่อยากจะเชื่อคำพูดเหล่านี้จะออกมาจากปากเขา นี่เป็นเพราะผมยังคงมองว่ามันคือเด็กชายตัวกะเปี๊ยกสมัยที่ผมไปบ้านมันเมื่อสามสี่ปีที่ผ่านมา  หรือเป็นเพราะความคิดความอ่านมันโตขึ้นนะเนี่ย

“อืม พี่จะเป็นพี่ชายที่ดี คอยดูแลเราเท่าที่พี่จะทำได้นะ”  ผมให้คำมั่นที่แม้ผมเองก็ไม่อาจจะเชื่อใจตัวเองได้ว่าจะสามารถทำตามที่ตัวเองพูดได้หรือไม่

“ขอบคุณครับ”

“ป่ะ ดึกแล้วขึ้นหอกันเถอะ”

ระหว่างทางที่เดินกลับหอ ไอ้คนตัวเล็กก็ทำให้ผมถึงกับอึ้งได้อีกครั้ง

“พี่นนท์ ทำแบบนั้นกับผมบ้างได้ไหม”

“หือ?”

“กอดผมบ้างได้ไหม”

“.............”    เฮ๊ยย  นั่นใช่ไอ้เจ้าทัชพูดออกมาเหรอนั่น

“นะๆๆ ทำเหมือนตอนพี่นอนกับพี่แทนไง”    มันเคยบอกว่ามันเห็นตอนไอ้แทนหนุนแขนผม แม้ผมจะรู้สึกอึ้งปนความงงๆแต่ก็ตั้งสติได้ทัน

“อย่าพูดมาก รีบๆเดิน ดึกแล้ว ง่วงนอน”   ผมเร่งให้มันรีบเดินกลับหอ แต่ในใจก็นึกขำกับท่าทางขี้อ้อนของมัน  แต่อย่าคิดลึกไปนะ    ก็ต่างคนต่างนอน




.

.

.
(ต่อ)

หัวข้อ: Re: ทัช..สัมผัสใจ ตอนที่7 (ต่อ) (10 ก.ค. 2560)
เริ่มหัวข้อโดย: thewa.arak ที่ 10-07-2017 16:21:45
.
.

ต่อ




...ของขวัญ...และการยอมรับความแพ้พ่าย...

 
      เย็นวันพุธ ผมนั่งอ่านหนังสือทำการบ้านที่สวนข้างโรงอาหารของโรงเรียน มองดูนักเรียนมัธยมต้นทำกิจกรรมลูกเสือเนตรนารี เพลินจนเผลอนึกภาพสมัยตัวเองตอนมัธยมต้น ออกค่ายลูกเสือเนตรนารีที่บ้านห้วยมินทร์ อำเภอเวียงคำ ทุกอย่างดูเร่งรีบกันหมดทั้งกิจกรรมทั้งธุระส่วนตัว อาบน้ำยังไม่ทันแปรงฟันก็เรียกรวมพล กางเกงในยังไม่ทันเปียกด้วยซ้ำ ผมถึงกับทิ้ง กกน.ไปเลยไม่เอากลับบ้านด้วย

“นนท์ “

“.........” ผมหันไปตามเสียง  ไอ้เขียวกับศรีแพรนั่นเอง

“มึงเป็นเหี้ยไร เหม่อลอยหาใครวะ เรียกตั้งนาน”   ไอ้เขียวเบิ๊ดกะโหลกผมทีผมก็จะสวนคืนมันก็เบี่ยงหลบทัน

“ มึงดูสิ นึกถึงสมัยเรายังเรียนม.ต้นนะ”  ผมชี้ไปทางกลุ่มกิจกรรมลูกเสือเนตรนารี ที่ตอนนี้เริ่มแตกแถวมาแล้วเพราะเลิกกิจกรรมแล้ว

“เออ ฉันก็ว่านะ คิดๆแล้วน่าสนุกดีออก ดูสิขนาดตอนนี้พวกเรากระโปรงดำกางเกงดำกัน ฉันก็ยังไม่ค่อยชิน บางวันเผลอเอากระโปรงน้องสาวมาใส่เฉยเลย”  ศรีแพรพูดพลางหัวเราะ เราต่างก็หัวเราะคุยกันไปอย่างออกรสชาติ

“เออ ไอ้เขียว มึงว่างป่าว ไปตลาดเวียงคำกับกูมั๊ยกูต้องไปหาซื้อของว่ะ”   ผมเอ่ยปากชวนไอ้ประธานหอพัก

“กูไม่ว่างหรอก ใกล้สอบแล้วกูต้องอ่านหนังสือ โน่นไง คนที่จะไปกับมึงได้  มาโน่นละ”
ผมหันไปมองตามที่มือไอ้เขียวชี้  ไอ้ตัวเล็กนั่นเอง มันโบกมือหยอยๆมาทางผมเดินยิ้มร่ามาแต่ไกล

“กูว่าไม่ค่อยดีมั๊ง “  ผมพูดจากใจจริง เพราะขี้เกียจมาสาธยายอธิบายให้มันฟังว่าไปทำอะไรไปทำไม

“เธอก็สนิทกับน้องเค้านิ มันคงอยากจะไปกับเธอแหละ แค่เอ่ยปากมันก็คงรีบตอบทันที เชื่อมะ”
ศรีแพรออกความเห็น

“แพร เธออ่ะไม่รู้อะไร  เราขี้เกียจมาอธิบายสาธยายความให้มันฟัง”

“แหม่ มึงกับมันออกจะตัวติดกัน เอ้อ เคยได้ยินว่าตอนม.ต้นมึงเรียนที่ภูเวียงกับพี่ชายมันใช่ป่ะ” ไอ้เขียวโพล่งขึ้นมา

“อืม   ไอ้นพบอกมึงอีกล่ะสิ” 

“แต่ว่าพี่มันตายแล้วใช่ป่ะ ถึงว่า กูสังเกตเห็นมึงกับมันตัวแทบติดตลอด  ยังกะเป็นลูกแหง่”

“อ้าว พี่ชายของน้องเค้าตายแล้วเหรอ น่าสงสารอ่ะ เป็นอะไรตาย”  ศรีแพรถามขึ้นมาบ้าง

“รถชนน่ะ แต่ว่ามาเสียจริงๆก็เลือดคั่งในสมอง คือล้มหัวฟาดขอบอ่างน่ะ” ผมอธิบายรวบรัดเพราะไม่อยากพูดถึงเรื่องที่ผ่านมา

“โห เสียใจด้วยนะนนท์” 

“ไม่เป็นไรมันผ่านไปหลายปีแล้ว”   ผมยิ้มตอบ

 “หวัดดีพี่แพร พี่เขียว”   ไอ้ตัวเล็กยกมือไหว้ทั้งสองคนประหลกๆ  สองคนก็ไหว้ตอบ

“เป็นไง น้องทัช เหนื่อยไหม “ ศรีแพรหันไปคุยด้วย

“ไม่ครับ สนุกดี สัปดาห์ก่อนในคาบชมรมผมไม่ได้ส่งการ์ดคำศัพท์ให้เลย แหะๆ”  คนพูดพูดพร้อมทำหน้าที่คิดว่าน่าสงสารน่าให้อภัยที่สุด ผมล่ะหมั่นเขี้ยวเลยโบกหัวมันไปทีนึง

“ขี้เกียจนะมึง  ห้องสตั๊ดดี้พี่ก็สอนไปตั้งหลายคำ”  ผมท้วง

“ไอ้นนท์  สอนไปด่าไปอย่างมึงน่ะนะ ใครมันจะไปจำได้วะ” ไอ้เขียวโพล่งขึ้นมา

“ใช่ๆครับ พี่นนท์ด่าเอาด่าเอา”  ไอ้ตัวเล็กได้ทีสำทับประโยคเห็นด้วยกับไอ้เขียว

“เออ งั้นต่อไปอย่ามาถามกูอีกนะ”  ผมชี้หน้ามันแล้วพูดข่มขู่ มันรีบเอามือปัดๆนิ้วผมพร้อมกับอ้อนอีกแล้ว

“ไม่เอาๆๆ นะๆๆๆ ขอโทษครับ สอนผมอีกนะๆๆๆ” 

“จริงๆเล้ย น้องทัชนี่ ขี้อ้อนสุดๆ”  ศรีแพรว่าให้

“เออ กูจะกลับก่อนละ ขี้เกียจฟังคนบ่น งั้นเราไปก่อนนะแพร ไอ้นนท์มึงก็รีบพาลูกมึงกลับไปได้ละ”   ไอ้เขียวบอกลาพร้อมกับหันมาถากถาง

“งั้นเราก็กลับแล้วล่ะ เดี๋ยวน้องรอนาน”  ศรีแพรก็ขอตัวกลับบ้างเช่นกัน

“อะไรทิ้งกันเลยทีเดียว  อืม ขับรถดีๆนะ”

“จ้า  ไปละ พรุ่งนี้เจอกัน”   ร่ำลากันแล้วผมก็เก็บสมุดหนังสือทันที

“พี่นนท์จะรีบไปไหนอ่ะ”  ไอ้ตัวเล็กเอ่ยขึ้น

“พี่จะไปธุระ ที่ตลาดเวียงคำ เดี๋ยวจะเอารถไอ้โหลไป”  หมายถึง โหลเชียง น้องม.3 ที่อยู่หอสอง

“ผมไปด้วยนะพี่”    นั่นไงเหมือนที่ศรีแพรบอกเป๊ะๆ  แต่ผมก็ไม่ได้ประหลาดใจหรือเซอร์ไพรส์อะไรเพราะกะไว้แล้วว่ามันจะต้องขอไปด้วย ถึงมันจะไม่พูดผมก็จะบังคับมันไปด้วยอยู่ดี

“ไม่ต้องหรอก เกะกะ ทำกับข้าวรอพี่ก็พอ”  ผมแกล้งหยอกมัน

“ไม่เอา ผมจะไปด้วย นะๆๆๆ พี่นนท์ให้ผมไปด้วยนะ”  ว่าแล้วก็ขยับมาข้างๆเขย่าแขนผมสองสามที

“เออๆๆ ให้ไปด้วยก็ได้” 
ผมตอบอย่างเสียมิได้  แต่ลอบยิ้มมุมปากกับรุนหลังให้เดินกลับหอไปพร้อมกัน เอากระเป๋าไปเก็บเปลี่ยนเสื้อเป็นเสื้อยืดและใส่รองเท้าแตะแทน

“พี่นนท์ ผมขับให้ดีกว่ามั๊ง”

“ไม่ต้อง พี่ขับเก่งกว่ามึงอีก  เร็วๆอย่าลีลา จะไปไม่ไป”  สตาร์ทรถมอไซค์เร่งเครื่องแกล้งจนมันรีบกระโดดขึ้นซ้อนท้าย

  จากโรงเรียนถึงตัวตลาดเวียงคำประมาณ24กิโลเมตร ผมจอดรถหน้าร้านฟารีดากิฟต์ช้อป เดินเข้าร้านเลือกซื้อของโดยลืมที่จะเรียกไอ้ตัวเล็กเข้าไปด้วย แต่สังเกตุเห็นมันเดินตามอยู่เลยไม่ได้เรียกปล่อยให้เดินตามมาติดๆ

“พี่นนท์จะซื้ออะไรครับ”   ผมถูกถามขึ้นในระหว่างที่กำลังหาของ  ได้ยิน แต่ สายตาผมมันไม่ละจากสิ่งของที่ต้องการจะหาจึงไม่ได้ตอบ

“พี่นนท์ ผมถามว่าพี่จะหาอะไรผมจะได้ช่วยหา” เจ้าตัวเล็กเดินมาดักหน้าแล้วถามขัดจังหวะอีกครั้ง

“วะ คนกำลังตั้งสมาธิหาของอยู่ อย่าเพิ่งกวนได้ไหมเดี๋ยวจะโดน”

 ผมจิ๊ปากไม่สบอารมณ์ใส่มัน และหาสิ่งที่ตัวเองต้องการต่อไป ในที่สุดก็เจอ ผมเลือกสมุดบันทึกขนาดB5 ลายปกสวยแข็งแรง และปากกาลายสวยงามเหมาะกับผู้หญิงแล้วเดินตรงไปยังที่จ่ายตังพร้อมกับขอให้พี่พนักงานช่วยห่อเป็นของขวัญให้  เสร็จธุระแล้วจึงนึกขึ้นได้ว่ามีอีกคนมาด้วย มันไปไหนวะเนี่ย สงสัยงอนที่ตวาดมันไปเมื่อครู่ ผมกวาดสายตามองหา ก็ไปเจอมันนั่งอ่านหนังสืออยู่ตรงมุมหนังสือ

“ไอ้ตัวเล็ก “  เรียกมันเบาๆ มันก็หันหน้ามามองแว่บเดียวก็หันกลับไปอ่านหนังสือต่อ ผมละเกลียดสายตาแบบนี้เหลือเกิน รำคาญด้วย เลยเดินไปใกล้เอามะเหงกเขกหัวมันไปเบาๆพร้อมกับพูดข่มขู่

“จะกลับละนะ ถ้าไม่ตามมาก็หาที่นอนในตลาดนี่เอาเองละกัน “  พูดจบก็เดินออกมาโดยไม่หันไปมองว่ามันตามมาหรือไม่ พอจะออกจากตัวร้านจะต้องผ่านกระจกบานใหญ่จึงสังเกตเห็นว่ามันตามหลังมาต้อยๆ    หึๆ  ผมหัวเราะขำในลำคอ มึงงอนผิดคนละ ไอ้ตัวเล็ก 

 ระหว่างทาง แวะซื้อของกินเล็กน้อย และชวนเจ้าตัวเล็กกินก๋วยเตี๋ยวเจ้าอร่อยข้างทาง โดยไม่ลืมที่จะจัดลอดช่องที่สุดแสนจะอร่อยด้วย  ขากลับผมไม่พูดอะไรมันก็ไม่พูด เล่นเงียบใส่กัน บางช่วงบางจังหวะผมเร่งเครื่องให้เร็วขึ้นอีก เจ้าตัวเล็กคงหวาดๆถึงได้จับเสื้อตรงเอวผมไว้แน่น

“พี่นนท์อย่าขับเร็วครับ ขับไม่ค่อยคล่องก็ยังจะขับไวอีก ไม่กลัวหรือไง”  เสียงคนข้างหลังตะโกนแข่งกับเสียงลม ผมได้ใจอยากแกล้งก็เร่งเครื่องขึ้นอีก คราวนี้มันกอดเอวผมแน่นเลย

“ ไอ้... เอามือออก จั๊กจี้”  ผมว่าพลางก็ผ่อนความเร็วลง บอกให้มันเอามือออก เพราะรู้สึกจั๊กกะจี้จริงๆ 

 ถึงเขตบ้านฝายน้ำผึ้ง ผมแวะเข้าปั๊มเติมน้ำมัน  มองหาไอ้สมบัติ ไม่เจอ เลยถามลุงอีกคน บอกวันหยุดมันมันนอนดูทีวีอยู่ ผมเลยเดินไปหามัน เอาขนมไปฝาก คุยกับมันเล็กน้อยแล้วรีบกลับ เพราะยังมีธุระต่ออีก  จากปั๊มถึงโรงเรียนประมาณไม่ถึง10นาที ผมเอารถคืนโหลเชียงพร้อมขนมของฝากให้แล้วแบ่งบางส่วนให้หอสาม

“ตัวเล็ก พี่ฝากไปให้พวกนั้นแบ่งกันกินนะ”  ว่าพลางก็ยื่นถุงขนมให้

“พี่จะไปไหนอ่ะ”   นึกแล้วว่ามันต้องถาม

“ไปธุระ นิดหน่อยพี่จะรีบไปรีบกลับ กินข้าวกันไปก่อนได้เลยไม่ต้องรอพี่”

“แล้วพี่ไม่เข้าห้องสตั๊ดดี้เหรอครับ”    ยังจะดักทางเราอีกนะ

“เออ พี่กลับมาทันแน่นอน  อ้อ เอาหนังสือภาษาไทยของพี่เตรียมไว้มาให้ด้วยนะ”  แล้วผมก็รีบวิ่งออกไปไม่ฟังเสียงตามหลัง

.................

   ข้างๆโรงเรียนห่างออกไปราวๆสองสามกิโลเมตร เป็นร้านกับข้าว ผมไปถึงเห็นสองสามเพื่อนซี้นั่งอยู่นอกร้านตรงม้านั่งไม้สัก พร้อมกับเพื่อนๆน้องโรสอีกสามคน แนะนำตัวกันเรียบร้อย เพื่อนน้องโรสอีกสามคนเรียนที่เวียงคำวิทยาคม ผู้ชายอีกสองคนเรียนสายช่าง ปวช.

“พี่นนท์อยากกินอะไรคะ เดี๋ยวสั่งเพิ่ม” น้องพลอยถามขึ้น

“นี่ค่ะพี่ รายการอาหาร” น้องโรสหยิบใบรายการอาหารมาให้

“พี่เพิ่งกินข้าวมาน่ะ เลยแวะเอาของขวัญมาให้” ผมพูดพร้อมกับหยิบของขวัญที่ห่ออย่างสวยงามส่งให้น้องโรส

“สุขสันต์วันเกิด ขอให้มีความสุขมากๆนะครับ” 

“โห สวยจัง อะไรคะพี่นนท์”

 “ไม่บอก ต้องแกะดูเอง”   ทันใดนั้นสายตาผมเหลือบไปเห็น ไอ้ทศเดินถือแก้วน้ำพร้อมขวดโค๊กสไปรท์ออกมา

“อ้าวไอ้นนท์ มึงมายังไงเนี่ย”   ไอ้ทศมันถามผมแบบเรียบเฉยนะ แต่ทำไมฟังดูเหมือนประชดประชันวะ

“กูก็วิ่งลัดป่าข้างโรงเรียนมาเนี่ย  นี่มากันนานรึยัง”  ผมเบนความสนใจหันไปถามน้องโรสกับกลุ่มเพื่อนแทน

“สักพักละค่ะ”   น้องโรสตอบ พอดีกับที่ไอ้ทศมันนั่งลงข้างๆน้องโรส  คำพูดของศรีแพรลอยแว่บเข้ามาในสมอง  ไอ้ทศมันจีบน้องโรสอยู่  .....อืม กูรู้แล้วว่ะ  มึงไม่ต้องนั่งใกล้น้องขนาดนั้นก็ได้

“มึงจะกินอะไร โค๊ก.. สไปรท์ “  ไอ้ทศพูดพร้อมกับชี้น้ำขวด

“เอาโค๊กละกัน”  ผมตอบแบบรวดเร็วไม่ปล่อยให้มีช่องว่างคุยกัน  ความจริงผมก็ไม่ได้สนิทกับไอ้ทศมากนักแต่ก็คุยๆกันบ้างตามประสาเพื่อนรุ่นเดียวกัน เพราะมันเป็นเพื่อนไอ้เขียว

ผมนั่งสนทนาไปได้ไม่ถึงห้านาที ก็ขอตัวกลับ  ให้เหตุผลว่าเด็กหอพักต้องเข้าห้องสตั๊ดดี้หนึ่งทุ่มเดี๋ยวกลับไม่ทัน โดนตี

 “พี่ต้องไปก่อนละ  แฮปปี้เบิร์ดเดย์นะครับน้องโรส มีความสุขมากๆนะ”  ก่อนกลับก็ไม่ลืมคำอวยพรให้น้องเค้าอีกครั้ง เห็นไอ้ทศมองหน้าผมแว่บหนึ่ง แต่ไม่มีอะไร  ปกติ   ผมเองก็ทักมันก่อนกลับเช่นกัน

“เฮ๊ย ไอ้นนท์ วันหลังมึงมาติวอังกฤษให้กูมั่งก็ดีนะ “ มันว่า

“เออๆ มึงนัดไอ้เขียวด้วยดิ จะได้อ่านพร้อมกัน ไอ้แพรก็เก่งกว่ากูอีกมึงไม่ให้มันสอนมึงบ้างวะห้องเดียวกันแท้ๆ “  ผมแกล้งพูดกลบเกลื่อน

“ไม่เอา ไอ้แพรมันชอบด่ากู ว่ากูโง่ดักดาน”  พูดพลางก็หัวเราะ คนอื่นก็พลอยหัวเราะตาม

“แล้วมึงโง่จริงป่าววะ”  อ้าว วอนตีนแล้วกู พูดอะไรออกไปวะเนี่ย

“ฮ่าๆๆ กูล้อเล่น มึงก็ตื้อๆมันหน่อยเดี๋ยวมันก็ติวให้แหละมั๊ง เพื่อนกันน่า”  ผมรีบพูดเชิงแซวพยายามทำหน้าตาแบบล้อเลียนให้ดูติดตลก

“เออ ใกล้เวลากูละ กูต้องไปก่อนเดี๋ยววิ่งไปไม่ทันโดนไม้เรียวครูสมฤทธิ์แน่ๆ  ไปล่ะครับน้องๆ อย่ากินเหล้ากันนะ”    ลาทุกคนแล้วผมก็รีบวิ่งออกมาจากตรงนั้นทันที  กึ่งเดินกึ่งวิ่งลัดทุ่งหญ้าข้างโรงเรียนกลับมาห้องสตั๊ดดี้

   ไอ้ทศเป็นแฟนกับน้องโรสจริงรึนี่  ได้เห็นกับตาวันนี้ แจ่มแจ้งเลย เฮ้อ น่าเสียดายคนสวย ไปตกหลุมพรางไอ้ทศได้ไงวะ หน้าตาก็ไม่หล่อเท่าเรา (ฮ่าๆ)  สงสัยเพราะมันรวย ไม่มั๊งน้องโรสคงไม่ใช่คนแบบนั้น  แต่ถึงยังไงกูก็แพ้ว่ะ เฮ้อ  เจ็บจี๊ด
 สลัดความคิดออกไปแล้ววิ่งมาถึงห้องสตั๊ดดี้ทันก่อนหนึ่งทุ่ม  ไอ้ตัวเล็กมันไปนั่งอยู่ด้านหลังสุดเลยผมคลานเข่าไปหามันทวงถามหาหนังสือ

“ตัวเล็ก หนังสือวิชาภาษาไทยของพี่ล่ะ”   คนถูกถามเงยหน้ามองคนถามแล้วก้มหน้าก้มตาทำการบ้านต่อ

“ผมรีบมากเลยลืมเอามาครับ”  ตอบโดยไม่มองหน้าผม  ผมอึ้งไปแว่บหนึ่ง ไอ้นี่มันวอนซะแล้ว แต่ผมไม่อยากเถียงกับมันเพราะวันนี้รู้สึกเฮิร์ทนิดหน่อย เลยไปขอหนังสือจากไอ้เขียวมาอ่านแทน  สักพักมันก็คลานเข่าเข้ามาหา

“พี่เป็นอะไรอ่ะ บึ้งตึงตั้งแต่เข้ามาละ “ ตัวเล็กเงยหน้ามาคุยกับผม เออ แหม นึกว่าจะเงียบไปตลอดซะอีก

 “มึงนั่นแหละเป็นเหี้ยไร ไปนั่งซะไกลเลย “  ผมเอ็ดมันไปแบบให้เสียงดังพอที่มันจะฟังได้ยิน

“ไอ้นนท์ มาถึงก็หาเรื่องเลยนะมึง  เอาหนังสือกูแล้วไปนั่งอ่านไกลๆโน่นเลยไป”   ไอ้เขียวยังอุตส่าห์ได้ยินอีก

“เออ “  ผมตอบกระแทกเสียงใส่แล้วหลบฉากไปอยู่ด้านหน้าห้อง ไม่ได้สนใจมองหาใครอีกคน แล้ววันนี้กูเป็นเหี้ยอะไร ทำไมมันหงุดหงิดอย่างนี้วะ แม่ง  เบื่อตัวเอง

  นั่งอ่านหนังสือไปก็ไม่มีสมาธิ  ไปขอหนังสือน้องๆชั้นอื่นมาอ่านเล่นแทน แต่ก็ไม่สามารถสงบสติอารมณ์ได้เลย จึงทำเพียงนั่งเฉยๆ คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย จนกระทั่งเลิกห้องสตั๊ดดี้ ถึงขึ้นหอ แล้วไปอาบน้ำกะจะจัดการตัวเองให้เย็นลง ความจริงเราก็ไม่ได้อะไรกับน้องเค้านี่หว่า แล้วทำไมจะต้องมาหงุดหงิดอะไรด้วยวะเนี่ย ท่าจะบ้าแล้วกู  พอตอนจะเดินออกจากประตูก็จ๊ะเอ๋กับใครคนหนึ่ง โผล่มาแบบไม่ทันตั้งตัว

“เว๊ยยยย  ไอ้เหี้ยยย”  ผมร้องเสียงหลง เพราะจู่ๆไอ้ตัวเล็กก็โผล่มาเล่นเอาตกใจ  เลยตบกะโหลกมันไปเต็มแรง 

“โอ๊ยย พี่นนท์ตบหัวผมทำไม เจ็บนะ”  มันก้มลงนั่งกุมหัวตัวเอง ผมที่เพิ่งหายตกใจ ก็ทั้งขำทั้งสงสารมัน

“เออๆๆ ขอโทษ แล้วใครบอกให้มึงมาทำลับๆล่อๆอยู่ๆก็โผล่มาแบบนี้วะ ตกใจหมด”   พยายามพูดบ่ายเบี่ยงป้ายความผิดให้มันอีก...  เออ กูมันเหี้ย หึๆ     

มันเงยหน้ามา มีน้ำตาปริ่มๆอยู่ขอบตาเห็นแล้วก็น่าสงสาร นี่กูทำมันแรงไปเหรอ ก็คนมันตกใจนี่หว่า  ผมเดินเข้าไปพยุงตัวเขาให้ลุกขึ้นมา กอดคอมันแล้วอีกมือก็ลูบหัวให้

“โอ๋ๆๆ ไม่เจ็บนะ หายๆเพี้ยง พี่ขอโทษนะ”  พูดจบประโยคปุ๊ปมันก็สะอื้นออกมาเลยทันที ผมก็ตกใจทำอะไรไม่ถูกอยู่ๆมาปล่อยโฮใส่เฉยเลย

 “ตัวเล็กเป็นอะไร เจ็บมากเลยเหรอ พี่ขอโทษๆนะ”   ผมเขย่าตัวมันสองสามครั้งแล้วถามซ้ำๆ

“ไม่เจ็บแล้ว แต่วันนี้พี่ไม่คุยกับผมเลย”  พูดไปก็สะอื้นไป

“หืม ตอนไหนไม่คุย”

“ตอนห้องสตั๊ดดี้ไง พี่ไม่มาคุยไม่มาสอนเลย”  นึกว่าเรื่องอะไร ถึงตอนนี้ผมโมโหนิดหน่อย

“ก็ใครบอกให้มึงไปนั่งซะไกลหลังห้องโน่นล่ะ  ช่วยไม่ได้”

“ก็พี่ไปไหนไม่บอกผมนี่”    อ้าว กูผิดอีก

“เฮ๊ย มันใช่เรื่องไหมเนี่ย พี่จะไปไหนทำไมต้องบอกมึงด้วยอ่ะ”  ผมชักโมโหแล้ว

“ก็....ผมเป็นห่วงพี่อ่ะ”   มันพูดแต่ก้มหน้าไม่มองหน้าสบตาผม  ผมได้ยินก็อึ้งไปเหมือนกัน  ไม่คิดว่าจะมีคนมาคิดแบบนี้กับเราด้วย

“อืม พี่ขอโทษละกัน ป่ะ กลับหอ ดึกแล้วจะสามทุ่มกว่าแล้ว”  ผมว่าพลางก็ชวนมันเดินกลับหอแต่อีกฝ่ายรั้งแขนไว้

“ผมรู้ว่าพี่ไปไหนมา “   ผมชะงักเล็กน้อย เดาได้ว่าคงเป็นไอ้เขียวบอกมันแน่ๆ  แต่ช่างเถอะมันไม่สำคัญแล้วเพราะเราคงไม่ไปเป็นกเงขวางคอเขาหรอก เราคงเป็นแค่รุ่นพี่คนหนึ่งเท่านั้น

“อืม..ช่างมันเถอะ เรื่องเล็กน้อยเอง ต่อไปพี่คงไม่ไปวุ่นวายกับเขาแล้ว”  ผมตอบพร้อมกับดึงแขนมันเดินกลับหอแต่ก็ยังทันสังเกตแววตาของมันที่บ่งบอกอาการดีใจออกมาทางแววตาสีหน้าท่าทาง

 ต่างคนต่างเงียบ ผมจัดการธุระส่วนตัวเสร็จ คนอื่นๆก็คุยกัน บางคนก็ยังนั่งรีดผ้า แต่ของผมน่ะ แน่นอนว่าเจ้าตัวเล็กรีดไว้ให้แล้ว  ความจริงผมก็ไม่น่าไปแกล้งมันมาก มันก็ทำดีกับผมตั้งมากมาย ผมก็ควรจะทำดีกับน้องมันถึงจะถูก  ผมลอบมองมันที่นอนอยู่บนเตียงเขียนอะไรสักอย่าง อืม..ตัวเล็กเอ้ย ต่อไปนี้พี่จะไม่แกล้งมึงอีกแล้ว  ..(เหรออ)

 “ไอ้นนท์ วันนี้มึงเป็นเหี้ยไรวะ ไม่พูดไม่จา ตกลงมึงซื้ออะไรให้น้องเค้าวะ”

  ..... ไอ้นพครับ มึงจะไม่พูดออกมาก็ไม่มีใครว่านะ  ไอ้เน ไอ้ต๋องก็หันหน้ามาขานรับพร้อมกันเป็นลูกคู่ พวกมึงนี่ กูล่ะเซ็ง ผมไม่ตอบส่ายหัวอย่างเดียวแล้วล้มตัวลงนอนบนเตียงตัวเอง

“สงสัยมันจะไปเห็นภาพบาดตามั๊ง ”  ไอ้นพยังไม่เลิกแขวะผมอีก

“มึงหุบปากแล้วนอนไปเลย กูอารมณ์ไม่ดี อย่ามาเซ้าซี้”

  พูดจบก็คว้าผ้าห่มมาคลุมโปง บอกให้รู้ว่าควรจะหุบปากและนอนได้แล้ว  แต่ยังคงได้ยินเสียงมันบ่นกันสองสามคน ผมก็ไม่สนใจขี้เกียจต่อล้อต่อเถียงไม่จบไม่สิ้น  ผมรอจนกระทั่งพวกมันเริ่มเงียบและปิดไฟเข้านอนแล้ว จึงคลายผ้าห่มออก หอหญิงยังไม่ปิดไฟ จึงมีแสงสว่างลอดผ่านบานเกล็ดหน้าต่าง พอสายตาปรับสภาพกับความมืดที่ยังพอมีแสงสลัวๆ จึงทำให้พอจะมองเห็นคนที่นอนบนเตียงข้างๆได้  ผมมองดูมันแล้วก็อดยิ้มไม่ได้     ผมนึกถึงภาพไอ้แทนยามนอนใกล้ๆผม  อืม ถ้าเป็นไอ้แทนคงดีสินะ ป่านนี้มันคงดึงแขนผมไปนอนหนุนแล้ว   ป่านนี้มึงไปอยู่ที่ไหนหนอ หนาวไหม หรือจะไปเกิดใหม่หรือยัง  ผมหลับตาลงพร้อมกับหยาดน้ำอุ่นๆไหลออกมาทางหาตาเล็กน้อย

เฮ้อ...     ไอ้แทน..กูยังคงคิดถึงมึงเสมอนะ...







 เสริมท้าย..หลังสอบปลายภาค ...

  ผมและเด็กชาวหอ ยังคงดำเนินกิจกรรมในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะขโมยขาโต๊ะมาทำฟืน ปีนต้นไม้ตัดกิ่งไม้แห้งทำฟืน เข้าห้องสตั๊ดดี้ เป็นเรื่องที่ทำเป็นปกติเฉกเช่นที่เคยทำมาตลอด ผมกับเจ้าตัวเล็กก็ยังคงทำกิจกรรมเหมือนทุกครั้ง อาบน้พสระผมให้กันซักผ้ารีดผ้าให้กัน ทำเป็นปกติวิสัยไปแล้ว ซึ่งผมเองก็เริ่มคุ้นชินมากขึ้นกับการที่มีเจ้าตัวเล็กมาเป็นเพื่อนสนิท คงเพราะผมเคยเป็นเพื่อนกับพี่ชายของมันเองด้วยมั๊ง ทำให้คุ้นเคยกันได้สนิทใจ จนบางครั้งพวกไอ้นพไอ้เนไอ้ต๋อง แม้กระทั่งไอ้เขียวยังเคยแซวว่ายังกะเป็นอะไรกัน แต่ผมกับเจ้าตัวมันเองก็ต่างรู้ดีว่าไม่มีอะไรทั้งนั้น และผมเองก็รู้ว่ามันเองก็มีคนที่แอบชอบอยู่ด้วย ชื่อน้องดาวเด็กห้องเดียวกันกับมันเอง  อืมมันโตพอที่จะรู้จักความรักแล้วแหละ แต่บางครั้งก็ยังทำตัวเป็นเด็กขี้อ้อนกับผมอยู่เป็นประจำ
   ทุกอย่างดำเนินตามวิถีของมันต่อไป จนกระทั่งสอบปลายเทอม  ไม่ต้องลงห้องสตั๊ดดี้แล้ว ต่างคนต่างก็อ่านหนังสือ  ตอนเย็นมีคนที่ไปเล่นกีฬาออกกำลังกายมีน้อยมาก ไม่ค่อยมีเวลาทำกิจกรรมในโรงอาหารด้วยกัน  คือผมเลือกที่จะมากินข้าวที่โรงอาหารแทน ส้วนตัวเล็กก็ทำบ้าง มากินกับผมที่โรงอาหารบ้าง แต่ตอนกลางคืนผมก็ยังคงมานั่งอ่านหนังสือในห้องเรียนของตัวเอง ที่ชั้นสี่ซึ่งเจ้าธัช ก็มาอ่านกับผมทุกวัน ผมก็ติวให้มันด้วย จนกระทั่งสอบเสร็จ
   เด็กหอประชุมก่อนปิดหอกลับบ้าน เหมือนปีที่ผ่านมา และปิดเทอมนี้ผมก็ไม่ได้ไปทำงานพิเศษเหมือนเคย เพราะต้องกลับไปช่วยทางบ้านทำงานไร่งามสวน  เข้าฤดูร้อนมีไฟป่าจึงต้องช่วยครอบครัวต่อท่อฉีดน้ำในไร่กันไฟป่ามาทำลายพืชผลทางการเกษตร  เจ้าตัวเล็กมันก็ชวนผมไปบ้านอีก ผมบอกเพียงว่าถ้ามีเวลาจะแวะไป 
  โดยส่วนตัวผมแล้ว ทุกครั้งที่ปิดเทอมผมจะรู้สึกเหงา เพราะจะไม่เจอเพื่อนๆไม่ได้เล่นกับเพื่อนๆ ที่สำคัญคือไอ้ตัวเล็ก ที่ผมเริ่มรู้สึกว่าผมกับมันมีความผูกพันอะไรบางอย่างต่อกัน เพราะบางครั้งเวลาผมไม่ได้อยู่ใกล้มันก็จะรู้สึกหงอยๆ   วันไหนผมไม่ค่อยได้คุยได้เล่นกับมัน มันก็จะทำหน้างอนๆใส่  จนบางครั้งยังรู้สึกรำคาญ แต่พอมันไม่มาอยู่ใกล้ก็มีบางช่วงบางเวลาที่เกิดเหงาหงอยขึ้นมา สงสัยเราคงจะติดมันแล้วกระมัง  เหลือเวลาอีกหนึ่งปี ผมจะพยายามทำหน้าที่พี่ที่ดี ไม่ให้บกพร่องเหมือนตอนอยู่กับพี่ชายมัน เพราะรู้ว่า เวลาที่มีด้วยกันนั้นมันสำคัญอย่างไร ซึ่งส่วนใหญ่คนเราทุกคนมักจจะเสียดายเมื่อเวลาเหล่านั้นได้ผ่านไปแล้วและไม่อาจหวนย้อนคืนกลับมา กลายเป็นแค่ความทรงจำที่ทั้งทุกข์ทั้งสุขเมื่อยามนึกถึง

 

........
หัวข้อ: ทัช..สัมผัสใจ ตอนที่8 (10 ก.ค. 2560)
เริ่มหัวข้อโดย: thewa.arak ที่ 10-07-2017 16:29:41
ตอนที่8



...เปิดเทอมใหม่ กับใจเปี่ยมสุข.....Part นนท์/ทัช...



     เด็กหอพักต้องมาก่อนวันเปิดเทอมหนึ่งวันอยู่แล้ว ซึ่งผมเองก็มาแต่เช้าเพราะรถโดยสารในหมู่บ้านมีรอบเช้าถึง9โมง  ในหอสามนี่ผมมาถึงก่อนใครด้วยซ้ำไป จึงไปเอากุญแจจากอาจารย์สุพล เปิดห้องมาก็ทำความสะอาดคนเดียว มันดูไม่วุ่นวายดี และผมเองก็มีกะจิตกะใจ กระตือรือร้นที่จะทำเต็มที่เพราะตื่นเต้นดีใจที่จะได้เจอน้องๆเจอเพื่อนใหม่ๆ

  ปีนี้เป็นปีชั้น ม.6 ของผมแล้ว ผ่านไปชั่วโมงกว่าจนผมทำความสะอาดห้องน้ำจนเสร็จ  เด็กนักเรียนหออื่นๆก็ทยอยมากันแล้ว ภาพที่เห็น พ่อแม่มาส่งลูก นั่งรถกะบะ บ้างก็มอเตอร์ไซค์มาส่ง  บางคนก็หิ้วกระสอบปุ๋ย(กระสอบใส่ข้าวสารใส่อุปกรณ์ทำครัว หรืออาหารแห้ง เรียกรวมๆว่ากระสอบปุ๋ย) ภาพเหล่านี้เป็นภาพที่คุ้นตาในช่วงเปิดเทอม  พวกเด็กหออื่นๆก็ทยอยมากันเกือบครบ
 ปีนี้มีเด็กใหม่เข้ามาอยู่หอพักอีกเจ็ดคน  ม.1สี่คน  และม.4อีกสามคน  หอหญิงมีเท่าเดิม    ปีนี้ถือว่าเป็นปีที่สูงสุดของผมแล้ว เพราะเป็นรุ่นพี่ใหญ่ ม.6  ส่วนไอ้ตัวเล็กของผม ม.3แล้วโตขึ้นอีกปี  ความจริงที่เรียกว่า ตัวเล็กนั้นเพราะมันตัวเตี้ยกว่าผม ผมเลยเรียกว่าตัวเล็ก แต่ตัวมันจะหนากว่าผมเสียอีก เพราะตอนมัธยมผมตัวผอมบาง  แต่ในเมื่อเรียกตัวเล็กจนติดปากไปแล้ว เวลาเรียกมันผมจึงเรียกว่าไอ้ตัวเล็กตลอดมา 

  “โห ไอ้นนท์ มึงแม่งเป็นคนดีชิบหาย สะอาดเอี่ยมเลยว่ะ” ไอ้นพ ทักเมื่อย่างเท้าเข้าหอ

“พวกมึงอย่าใส่รองเท้าเข้ามานะ กูเพิ่งล้างห้องไป”  ผมอธิบายให้ทุกคนฟัง

 หอสามของเราต้อนรับเด็กม.1สองคน เป็นญาติของไอ้ต๋องทั้งสองคน ชื่อ สมศักดิ์ (ผมเรียกมันว่า อาแคะ)  และ ไกรสร (เรียกกันว่าสูเฟย หรือ ไอ้สู)   เด็กๆทั้งสองคนมีพ่อแม่มาส่ง ผมก็ยกมือไหว้ ทักทายพอเป็นพิธี ส่วนพ่อแม่ก็ฝากฝังเพราะเราเป็นพี่ใหญ่สุด
  แต่ไอ้ต๋องเสือกพูดทำนองว่า ไม่ต้องห่วงหอนี้รับน้องดูแลน้องอย่างดี แล้วหันไปยักคิ้วหลิ่วตากับไอ้เนพร้อมกับหัวเราะเหมือนมีเลศนัยอะไรสักอย่าง  ไอ้ตัวเล็กยังไม่มาถึง  ถามแล้วก็ได้ความว่า อาแปะจะขับรถมาส่งเอง จึงจัดแจงแบ่งสรร ตู้เสื้อผ้าและเตียงกันใหม่ แต่ผมเอาที่เดิม และแน่นอนว่าผมจะต้องเลือกให้เจ้าตัวเล็กด้วย

และเตียงนอน ปีนี้ผมให้ประกบกันสองเตียงติดกัน แบ่งพื้นที่ตรงกลางระหว่างเตียงทำให้ได้พื้นที่กว้างขึ้น เวลารีดผ้าจะได้ไม่มีใครลุกขึ้นแล้วหัวโขกเตียงอีก     ไม่นานนักรถอาแปะก็มาถึง อารุจน์กับแม่หมวง อาเหมยน้องสาวไอ้แทนมาด้วยพร้อมกับเจ้าธีร์  เห็นว่าปีนี้อยู่ ม.1 แต่ไปเรียนโรงเรียนเดียวกับพี่สาว   ผมยกมือไหว้พ่อแม่ทันที

“โอ้ นานแล้วไม่ค่อยเจอเม่ยเลยนะ (ไม่ค่อยเจอเธอเลยนะ) “  อารุจน์ทักทายผม  ผมก็ทักทายตอบถามไถ่คราวคราวกันไปตามประสาคนคุ้นเคยกัน   แม่หมวงเข้ามากอดผมด้วย  รู้สึกตื้นตันจังเลย น้องเหมยและเจ้าธีร์ก็ไหว้ทักทายผมด้วย ดูอบอุ่นจัง ขาดแต่เพียงไอ้แทน......คิดได้แบบนั้นผมก็เศร้าลงไปถนัด แต่ไอ้ตัวเล็กมันคงสังเกตเห็นมันรีบทักผมทันที

 “พี่นนท์ เดี๋ยวไปตลาดเวียงคำกันมั๊ย ผมจะไปตัดผมอ่ะ ผมพี่ก็ยาวแล้วนะครับ” 

“อืม ดีเหมือนกันจะได้ตัดเลย”   ผมเห็นด้วยกับตัวเล็ก  มันเอาของไปเก็บรวมผ้าห่มตัวหนาที่ผมจำได้ว่าผมเคยห่มกับไอ้แทน ..
“ไม่เจอกันนาน สูงขึ้นเยอะเลยนะ น่าเสียดายเจ้าแทนมาจากไปซะก่อน ไม่งั้นก็น่าจะเท่าๆเรานี่ล่ะนะ”   เป็นแม่หมวงครับที่พูดออกมาซึ่งผมก็ชะงักไปเล็กน้อย

“ครับ เราสูงเท่าๆกันเลย”   ผมไม่รู้จะตอบอย่างไรให้เป็นประโยคยาวๆ แต่เห็นสีหน้าแม่แล้วไม่มีความกังวลอะไรผมก็โล่งใจ

 “ไม่ค่อยได้ขึ้นไปเที่ยวหาที่บ้านบ้างเลยนะเรา” 

“อามา เอียชวนแล้ว อาก๋อนิ่นไม่ว่าง  (แม่ ผมชวนแล้ว พี่เค้าไม่ว่าง)”   เจ้าตัวเล็กตอบแทนให้เสร็จสรรพ

 “พอดีผมต้องไปช่วยงานไร่งานสวนที่บ้านน่ะครับเลยยุ่งๆ นี่ก็เพิ่งใส่ปุ๋ยไร่ข้าวโพดไปน่ะครับ” ผมอธิบายเสริม

  พอดีกับที่อาแปะเรียกเพราะสายแล้ว เราจึงได้ขึ้นรถกะบะโตโยต้าของอาแปะไปเวียงคำ ไอ้นพไอ้เนก็ไปด้วย โดยที่พ่อจะให้อาแปะไปส่งพวกเราลงที่ตลาดเวียงคำแล้วจึงเลยไปส่งอาเหมยกับธีร์ที่โรงเรียนกินนอน

  “นนท์อ่ะ แม่ฝากดูแลเจ้าทัชให้แม่ด้วยนะ เหมือนกับที่หนูดีกับแทนลูกของแม่  ถ้ามันดื้อไม่ฟังก็ตีได้เลยแม่อนุญาติ  เราเองก็เชื่อฟังพี่เขาบ้างนะ อย่าดื้อ”    แม่หมวงพูดฝากฝังกับผมแล้วหันไปลูบหัวเจ้าตัวเล็กสั่งกำชับ มันก็ปัดไม้ปัดมือบ่ายเบี่ยง นั่นแหละคือ ท่าทางเก้อเขินของมัน

“ไม่ต้องห่วงครับ ผมจะพยายามช่วยติวให้เท่าที่จะทำได้ “  ผมตอบออย่างหนักแน่นให้ความมั่นใจกับแม่หมวง และผมเองก็ตั้งใจว่าจะทำแบบนั้น  แล้วก็ไหว้ลาผู้ใหญ่ทั้งสามคน

    ส่วนเรา พอถึงตลาดเวียงคำก็ตรงไปร้านตัดผม จากนั้นก็แยกย้ายกันไปซื้อของ  ผมซื้อถุงเท้ามาอีก หกคู่ ม.ปลายสี่คู่ใช้ถุงเท้าสีขาว อีกสองคู่สีน้ำตาลผมซื้อให้เจ้าตัวเล็ก  พอมันตัดผมแล้วก็ดูเป็นผู้เป็นคนมากขึ้น มีส่วนคล้ายกับไอ้แทนมากกว่าเจ้าธีร์น้องคนสุดท้อง
  หลังจากทำธุระของใครของมันแล้วพวกเราก็ไปขึ้นรถที่ท่ารถสายปางมะเดื่อ-อำเภอจุน เพราะจะบ่ายสี่โมงแล้ว รถสายทางสายบ้านผมหมดเวลาวิ่งแล้ว จึงต้องมาขึ้นสายอื่น ซึ่งพวกเพื่อนๆที่โรงเรียนเรียกกันว่า “รถจันลาว”  เนื่องจากเป็นของคนในหมู่บ้านที่มีแต่คนที่พูดภาษาอิสาน ค่าโดยสาร 5 บาท   กลับมาถึงหอเห็นคนอื่นๆกำลังพัฒนาหอพัก  หอสามไอ้เชษฐ์จัดการคุมน้องไว้แล้ว แค่ใช้จอบถากหญ้ารอบๆหอ และใช้ไม้กวาดทางมะพร้าวกวาดเศษใบไม้ออกห่างจากอาคารหนึ่งเมตร น้องมาใหม่ช่วยต่อสายยางมารดน้ำแปลงดอกไม้หน้าหอพัก พวกผมก็ลงมือช่วยกันคนละเล็กละน้อยจนเสร็จ ก็ต่างแยกย้ายไปทำธุระส่วนตัว  ผมให้ไอ้นพไอ้ต๋องกับน้องที่มาใหม่ไปช่วยทำความสะอาดโรงครัว และห้องสตั๊ดดี้  โดยเอาข้ออ้างที่ช่วงเช้าผมจัดการทำความสะอาดหอและล้างห้องน้ำห้องส้วมจนสะอาด มันถึงยอมจำนน   ผมจัดแจงเอาที่นอนที่เอาไปตากผึ่งแดดไว้ในตอนเช้า ตบๆไล่ฝุ่นออกแล้วเก็บเข้าหอจัดแจงที่นอนเรียบร้อย เอามุ้งออกมากางมัดไว้ที่ใต้เพดานไม้ขอบเตียงส่วนชั้นบน แล้วพับทบขึ้นไปเก็บไว้ เนื่องจากมุ้งสำหรับนอนได้สองคนจึงพอดีกับเตียงที่ประกบกัน ส่วนเจ้าตัวเล็กก็มีผ้าห่มหนาขึ้น ผ้าห่มที่ผมเคยห่มกับเจ้าแทนมันไง คราวนี้คงไม่ต้องแย่งกันแล้ว

“พี่นนท์ รีดผ้าเลยดีไหมครับ”  เจ้าตัวเล็กเอ่ยชวน

“อืมก็ดีนะ รีดให้พี่ด้วยใช่ป่ะ” 

“ได้เลยครับ”  เออ ดีแฮะขยันตั้งแต่เปิดเทอมเลย ดีๆ ไม่ต้องคอยบ่น

“ไอ้ทัช มึงขยันดีว่ะ รีดให้พี่ด้วยดิ”  ไอ้เนโพล่งขึ้นมาพร้อมกับโยนเสื้อกับกางเกงมา

“ได้พี่ วันนี้ผมยินดีรีดให้ครับ”  โอ้โห มึงจะใจดีเกินไปป่าววะ

“ไอ้เน มึงนี่แม่ง”  ผมบ่นใส่มัน

“อะไรวะ น้องมันเต็มใจทำให้ มึงจะอะไรนักหนา”  มันสวนกลับผมทันที

“เออ ตัวเล็ก จัดกลีบหลังให้มันสักสองกลีบไปเลยนะ เอาให้มันโดน”  ผมแกล้งแซว

แต่สุดท้ายปรากฏว่ามันรีดตามนั้นจริงๆ คือด้านหลังเสื้อมันรีดทะแยงมุมไว้สองกลีบพาดจากขวาลงซ้าย  ฮ่าๆ มันต้องอย่างนี้สิ

“อืม ก็เท่ห์ดี ”  มันบอก   ผมกลับคิดในใจ ..หึๆ..อืมพรุ่งนี้กูจะรอดูคนโดนอาจารย์ด่า

 เสร็จกันแล้ว ก็ไปตลาดสดหน้าโรงเรียน ได้เจอนักเรียนรุ่นน้องหลายคนในตลาดก็ทักทายไปตามประสาคนรู้จัก แล้วก็พากันซื้อกับข้าวสำเร็จรูปขึ้นมากินกันที่โรงครัว เพราะวันนี้ขี้เกียจทำกับข้าวกัน   พวกไอ้นพไอ้ต๋องมันหาฟืนมาเตรียมไว้พร้อมแล้ว นักเรียนหญิงทำกับข้าวกินกันเอง
 ผมไม่รอช้า รีบขึ้นหอเตรียมตัวอาบน้ำ โรงอาบน้ำยังมีเด็กชั้นอื่นหออื่นอาบน้ำกันอยู่ ผมไม่รอช้าตักน้ำราดตั้งแต่หัวจรดเท้า

“ไม่รอกันบ้างเลยพี่นนท์” 

“อ้าว มาๆ วันนี้พี่จะลงห้องสตั๊ดดี้เร็วกว่าปกติ”  ว่าแล้วก็ตักน้ำราดหัวตัวเล็กแล้วเอาแชมพูราดพร้อมสระผมให้มันไปด้วย  วันนี้อารมณ์ดีช่วยถูสบู่ให้ด้วย และไม่ลืมที่จะแกล้งเอานิ้วแหย่จั๊กกะแร้  ซึ่งได้ผลเช่นเคย มันร้องโวยวายใหญ่ จนคนอื่นๆมองตามๆกันไปหมด แต่ไม่มีใครสนใจอะไรเพราะเป็นภาพที่ชินแล้ว แกล้งจนพอใจแ ล้วก็รีบกลับไปแต่งตัว เตรียมเข้าห้องสตั๊ดดี้ ภาพเดิมๆก็ย้อนกลับมาราวกับฉายหนังซ้ำ แนะนำตัวเด็กใหม่แนะนำรุ่นพี่ อบรมหน้าที่อบรมกฏเกณฑ์ของเด็กหอ ข้อห้ามต่างๆ
  หลังจากวันนี้ก็จะเป็นการเริ่มเปิดฉากการเรียน ในเทอมใหม่อย่างเป็นทางการ ผมเองก็มีภาระอันใหญ่หลวงเหมือนยืนอยู่บนทางแยกที่ต้องเลือกทางเดินเพื่อเตรียมพร้อมสู่อนาคต หวังว่าพรุ่งนี้จะมีอะไรดีเกิดขึ้น

...........

                         


  เห้ย...มีอย่างนี้ด้วย?............Part นนท์/ทัช.




     เปิดเทอมผ่านไปไม่นาน ผ่านหน้าร้อนไปหมาดๆก็เริ่มเข้าหน้าฝนเสียแล้ว เป็นฤดูที่ผมเบื่อมากที่สุด เพราะบางวันเสื้อผ้าไม่แห้ง ถุงเท้าไม่แห้ง ต้องใช้เตารีดเบอร์สูงสุดนาบจนกว่ามันจะแห้งหมาดๆที่สุด ยังไม่จบแค่นั้น แล้วยังต้องผึ่งลมอีกที ซึ่งเป็นช่วงที่ในหอเราจะมีกลิ่นอับๆไม่ค่อยพึงประสงค์
  และสิ่งที่เป็นอีกหนึ่งปัญหาใหญ่สำหรับพวกเราชาวหอก็คือ พวกเราไม่สามารถจะปีนขึ้นต้นไม้เพื่อตัดกิ่งไม้แห้งๆมาไว้ใช้เป็นฟืนทำครัว ดังนั้น สิ่งที่เด็กหอทุกคน ไม่เว้นแม้แต่หอหญิง ต้องหาทางออกด้วยการเข้าไปแอบเอาซากโต๊ะซากเก้าอี้ที่พังแล้วมาตัดทำเป็นฟืน
 คืนนี้ก็เช่นกัน ฝนตกตลอดตั้งแต่ช่วงเย็น  แต่เป็นการดี คือหากฝนตกหนักๆพวกเราไม่ต้องลงห้องสตั๊ดดี้กัน ต่างคนต่างทำการบ้านอ่านหนังสือกันเองในหอใครหอมัน 

  “โอ้โหไอ้นนท์ มีมุ้งใหม่เว๊ย น่านอนว่ะ เห้ยพวกมึงดู มีมุ้งใหม่ด้วย”  ไอ้นพพูดซะเสียงดังเรียกให้สายตาแต่ละคนหันมาดู แต่ผมก็ไม่สนใจ เอามุ้งลงทับๆกับที่นอนกันยุงเข้าเหลือไว้ตรงข้างเตียงฝั่งใครฝั่งมันเพื่อความสะดวกในการเข้ามาในมุ้ง

“ เออ พวกมึงนอนชั้นบนกัน ก็กางมุ้งด้วยนะ แม้จะมีมุ้งลวดแต่เดินเข้าออกกันบ่อยๆยุงก็ตามเข้ามาได้นะ”  ผมร้องเตือนโดยไม่สนใจคำถากถางของไอ้นพ

“มึงก็เหมือนกันข้างล่างก็ยังมีว่างตั้งเยอะ ทำไมเปลี่ยนไปนอนชั้นบน”  ผมถาม

“เปลี่ยนบรรยากาศบ้างสิวะ “  มันตอบพร้อมกับจัดแจงมัดมุ้งของตัวเอง   ไอ้ต๋องไอ้เชษฐ์ ต่างคนต่างมัดของใครของมัน  ไอ้เนเป็นแฝดกับไอ้นพแต่พวกมันก็ไม่นอนใกล้กัน มีมุ้งของใครของมัน  และและพวกมันก็ช่างเลือก มุมใครมุมมันไม่ใกล้กันเลย 
ไอ้นพมันอยู่เตียงเดียวกับผมแต่เป็นชั้นบน พวกมันกางมุ้งกัน โดยการตัดต้นไม้ไผ่มาเหลาให้ได้ขนาดที่จะเสียบรูของเตียงเหล็กเพื่อต่อขึ้นไปให้สูงประมาณหนึ่งเมตรเพื่อให้สามารถมัดมุ้งได้  พวกที่นอนชั้นล่างก็สบายเพราะมัดกับคานเหล็กรอยต่อของเตียงชั้นบนได้สบาย 

 “พี่นนท์ ผมเอาชุดนักเรียนไว้ที่ตู้ผมก่อนนะ พรุ่งนี้พี่อาบน้ำเสร็จก็มาหยิบจากตู้ผมละกัน”  ไอ้ตัวเล็กบอกขณะที่มันรีดผ้าเสร็จ ผมก็พยักหน้าเป็นการบอกว่าเข้าใจตามนั้น

“ไอ้ทัช คืนนี้ฝนตกหนาวๆ มึงได้เสียตัวให้มันแน่” 

“ไอ้คุณเนครับ คนเก่าเข้าใจนะที่พวกเราหยอกเล่นกันเนี่ย แต่คนใหม่ๆเค้าไม่รู้ด้วยนะ เดี๋ยวก็ได้มีปัญหาหรอก”   ผมด่าแกมประชดมัน มันคงเงียบมานานเลยอยากมีคนสนใจบ้างล่ะมั๊ง

“ไอเน มึงไม่ต้องไปแหย่มัน เดี๋ยวอยู่ๆไปก็เห็นกันเองแหละวะ”  ไอ้ต๋องก็เอากับมันบ้าง

“อย่าไปสนใจเลยพี่  มาสอนการบ้านผมหน่อยครับ”  เจ้าตัวเล็กดึงแขนผมกลับมาที่เตียงในระหว่างที่ผมกำลังยืนชี้หน้าพวกมันสี่คน เอ้ย ไม่นับไอ้เชษฐ์  มันแค่ยิ้มๆไม่พูดอะไร

“มึงแม่งจะเอาทั้งพี่ทั้งน้อง”  ไอ้เนยังไม่จบครับ  มันทำผมสะอึกชะงักไปทันที่ที่ได้ยินประโยคที่มันพูดออกมา
“ไอ้เหี้ยเน ....”    ผมหันไปมองหน้ามันพูดแค่ชื่อแล้วก็เงียบ จนมันยอมสงบปากสงบคำล้มตัวลงบนเตียงทำทีหยิบหนังสือมาอ่าน
“อาแคะ เลาสู  รีดผ้ากันแล้วใช่ไหม”  ผมหันไปพูดเป็นภาษาถิ่นคำไทยคำกับเด็กใหม่สองคนและทั้งสองคนก็พยักหน้ารับ

 “อืม มีอะไรไม่เข้าใจก็ถามพวกพี่ๆเขานะ ยกเว้นไอ้เน ไม่ต้องไปถามมันมันโง่”  ผมพูดท้ายเสียงให้ดังพอให้เจ้าตัวได้ยิน มันก็ตอกกลับมาอย่างไว
“เออ กูโง่ มึงฉลาด เออจำไว้เลย”   มันบ่นอุบอิบแต่ผมทำเป็นไม่ได้ยิน หลบเข้ามุ้งตัวเอง เจ้าตัวเล็กมันทำการบ้านภาษาไทยอยู่ ผมก็เอาการบ้านของผมมาทำ

“อันของสูงแม้ปองต้องจิต   ถ้าไม่คิดปีนป่ายจะได้หรือ”  เสียงเจ้าตัวเล็กท่องอะไรสักอย่าง ดูท่าทางเอาจริงเอาจังผมเลยสอนการอ่านให้ฟัง ตอนม.2ผมแข่งได้รองชนะเลิศรางวันที่1การอ่านทำนองเสนาะเลยนะ  ฮี่เด่อไม่อยากจะคุย

“เห้ย อ่านกันเบาๆสิวะ กูอ่านหนังสือไม่รู้เรื่อง”    ไอ้เนอีกแล้วครับ มันตะโกนลงมาทั้งๆที่ผมว่าผมก็อ่านเบาๆแล้วนะ สงสัยมันจะไม่จบ

“มึงยังหาเรื่องกูไม่หยุดเลยนะ ไอ้เน”  ผมตะโกนกลับไป  แต่เจ้าตัวเล็กก็เลิกอ่านแล้วทำมือจุ๊ปาก  ผมเลยตบหัวมันไปทีนึงเบาๆ
 
“เออ นอนๆเถอะวะ ใครไม่อ่านหนังสือไม่ทำการบ้านแล้วก็ปิดไฟตรงหัวตัวเองด้วยนะ
ไอ้นพ มึงทำการบ้านเสร็จละเหรอ”  ผมถามเพราะเห็นมันเงียบมาตั้งนานละ

“กูทำเสร็จตั้งนานละ นอนคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ว่าแต่ทำอะไรเสร็จกันแล้วก็ปิดไฟบนหัวกูด้วย”

“เออ ก็ดี” ผมตอบและลุกเดินไปปิดไฟฝั่งผม ฝั่งเด็กใหม่ก็ปิดแล้ว เหลือแต่ไอ้เนตัวปัญหากับฝั่งไอ้เชษฐ์  แต่ผมเห็นมันรีดเสื้ออยู่เลยไม่ได้สนใจจะว่าอะไรต่อ

 ข้างนอกฝนยังคงตกไม่หยุดแต่เบาลงกว่าเมื่อตอนหัวค่ำ ผมเปิดบานเกล็ดมองลอดแผ่นกระจกฝ้าออกไปเห็นหอหญิงยังเปิดไปอยู่ นาฬิกาบอกเวลาห้าทุ่มแล้ว  หอสองปิดไฟแล้ว  ผมเลื่อนปิดบานเกล็ดแล้วมุดเข้ามุ้งล้มตัวลงนอน พอดีกับที่ ไอ้เชษฐ์รีดผ้าเสร็จ ได้ยินเสียงไอ้เนสั่งมันปิดไฟ เออ ดี ไม่สั่งตอนกูยืนอยู่ไม่งั้นจะลากขามันลงจากเตียง ให้มันปิดเอง

 “พี่นนท์ ซ้อนผ้าห่มกัน”  เจ้าตัวเล็กว่าพลางก็ขยับผ้าห่มมาคลุมทับกับผ้าห่มผม แล้วมุดเข้าไปใต้ผ้าห่ม ผมรู้สึกได้ถึงกลิ่นหอมแดดและน้ำยาซักผ้านุ่ม อืม ผ้าห่มผืนนี้เอง ที่ผมเคยห่มกับไอ้แทน ส่วนผืนที่ใส่ในโลงให้ไอ้แทนห่มนั้นเป็นผ้าห่มผืนใหม่   รู้สึกอบอุ่นขึ้นมาทันทีเมื่อนึกถึง

“พี่นนท์ คิดอะไรอยู่ครับ ผมเรียกตั้งหลายรอบแล้วนะ” 

“หะ หา...เรียกพี่ทำไม”  ผมหลุดออกจากภวังค์แห่งความคิดเมื่อเจ้าตัวเล็กสะกิดเขย่าแขนผม

“พี่นนท์คิดอะไรอยู่หรือครับ”

“เปล่าๆ ไม่มีอะไรคิดเรื่อยเปื่อย นอนเถอะ” ผมขี้เกียจอธิบายเลยพูดตัดบท

“พี่นนท์ขยับมาทางนี้หน่อย”  มันดึงแขนผมไปใกล้ๆมัน มือหนึ่งก็คว้าแขนผมไปกอดตัวมันเอง   ไอ้ท่าทางแบบนี้ คิดว่ามันคงเห็นจาก ที่มันเคยบอกว่าเห็นผมนอนก่ายกันกับไอ้แทน

“มึงจะทำอะไรของมึง ไม่หลับไม่นอนนะ” ผมเริ่มรู้สึกปวดแขนและรำคาญกับท่านอนเก้ๆกังๆแบบนี้

“พี่นนท์กอดผมบ้างสิครับ”  ผมอึ้งไปเล็กน้อยมองหน้าคนตรงหน้างงๆ เจ้าตัวเล็กพูดซ้ำคำเดิม ผมจึงเริ่มเข้าใจ ว่ามันคงรู้สึกหนาว

“อืม เอางั้นเหรอ งั้นมึงต้องมาสลับที่นอนกับพี่ เพราะพี่ถนัดกอดแขนซ้าย”   พูดจบมันก็รีบลุกขึ้นมาทันที ผมขยับตัวไปนอนบนที่นอนมันซึ่งก็อยู่ติดๆกัน เลยให้มันมานอนใกล้ๆผมแทน

ผมสอดแขนข้างขวาแนบกับแนวของหมอนตรลช่วงคอพอดีซึ่งมันจะไม่เจ็บแขนเพราะส่วนหัวหนุนหมอนมันมีช่องว่างเล็กน้อยตรงระหว่างข่วงปลายหมอนกับแขนผมและคอของไอ้ตัวเล็ก

 “อ่าว อย่านอนตะแคง ถ้าอยากให้กอดมึงต้องนอนหงาย” ผมสั่งและเจ้าตัวเล็กก็รีบทำตามอย่างว่าง่าย ผมเลยพาดแขนโอบกอดมันไว้แขนข้างหนึ่งสอดใต้ลำคอ อีกข้างก็กอดมันไว้ตรงช่วงแขน มันก็เอามือข้างหนึ่งวางทับแขนผมไว้

“อุ่นดีอ่ะพี่นนท์”   เจ้าตัวเล็กพูด แทบจะพ่นลมหายใจใส่หน้าผมแล้ว

“อืม เดี๋ยวก็นอนใครนอนมันแล้ว รีบนอน อย่าคิดว่าจะกอดแบบนี้ทั้งคืนได้นะ”  ผมตอบพลางขยับแขนกอดมันแน่นขึ้นอีก

“ผมนอนก่อนแล้วกันนะครับ”

“เออ อย่าพูดมาก นอนๆไป”  ผมพูดเพื่อตัดบทให้มันเงียบๆ เมื่อทุกอย่างสงบไฟหออื่นๆปิด ก็มืด ได้ยินเพียงเสียงซ่าๆของฝนที่ยังคงตกตั้งแต่หัวค่ำ หยุดไปพักหนึ่งแล้วตกลงมาอีก ไม่มีวี่แววว่าจะหยุด  ภาพไอ้แทนผุดขึ้นมาอีกครั้ง ผมสลัดความคิดออก ผินหน้ามองไอ้ตัวเล็ก

 เด็กสองคน ใต้ผ้าห่มผืนนี้ ผืนที่ผมเคยห่มกับไอ้แทน.....  ผมยิ่งรู้สึกว่าอยากจะทำดีกับเจ้าตัวเล็กนี่ให้มากขึ้นอยากเป็นพี่ชายที่ดีของมันตลอดไป  ขยับตัวเข้าไปใกล้มันอีกและกอดมันไว้แน่นราวกับไม่อยากจะให้มันจากไปอีกคน 


.................


       บ่ายสี่โมงเย็นวันพฤหัสบดี อากาศกำลังดีฟ้าครึ้มๆแต่ฝนไม่ตก  เด็กหอเลิกเรียนแล้วเย็นนี้อาจารย์สุรพลให้รวมตัวและช่วยกันพัฒนาสวนด้านหลังหอพัก ซึ่งจะให้แต่ละคนทำแปลงปลูกผัก  จึงได้สั่งให้น้องๆไปหยิบจอบจากโรงเรือนเกษตรใกล้ๆกับอาคารอุตสาหการ  ทุกคนต่างขะมักเขม้นออกแรงช่วยกันอย่างขยันขันแข็ง เจ้าตัวเล็กมันก็ขยันเกิ๊น ทำไว้สองแปลง เออ ใครจะมาช่วยมึงรดน้ำวะ ..ผมคิดในใจ   อาจารย์ให้แต่ละคนปลูกผักคนละอย่าง ซ้ำได้  โดยให้ไปเอาต้นกล้าที่โรงเรือนเกษตรหลังที่สอง  สำหรับพวกผมกลุ่มหอ มักจะทำกับข้าวกินด้วยกันเป็นประจำ จึงทำแปลงใกล้กัน ปลูก ผัก คะน้า กวางตุ้ง และเหลือไว้สองแปลงหว่านเมล็ดผักบุ้งไว้ทิ้งไว้
   หลังจากทำกิจกรรมเสร็จสิ้น ก็ได้ดื่มน้ำเก็กฮวยหอมชื่นใจ ที่พี่อ้อ ภรรยาอาจารย์สุพลทำไว้ให้  แกใจดีมากเลยนะเนี่ย จากนั้นก็เอาอุปกรณ์การเกษตรไปเก็บที่โรงเรือนเกษตร

 “ไอ้นนท์ มึงกลับไปเอามีดที่โรงครัวตามกูมาหน่อยดิ”  ไอ้นพบอก ผมก็ทำหน้างงๆนิดหน่อย

“ไปเอามาเถอะน่า เดี๋ยวไปตัดไม้หลังสวนแปลงผักกันเมื่อกี้กูเห็นมีไม้แห้งกองๆอยู่หลายกอง”  ไอ้นพอธิบาย 

“เฮ้ยนั่นมันของภารโรงบุญช่วยป่าววะ  มึงไปเอาเดี๋ยวเขาก็ได้ตามมาด่ามึง”  ผมบอก

“ไม่เกี่ยว นั่นมันส่วนของเด็กหอพัก ใครก็สามารถไปเอามาได้”  มันยืนยันตามนั้นผมก็เลยเข้าโรงครัวหยิบมีดพร้ามาสองเล่ม และให้เจ้าตัวเล็ก ไอ้เน อยู่ช่วยพวกนั้นทำอาหารเย็น

  ส่วนผม ไอ้นพ ไอ้ต๋อง ไอ้เชษฐ์ ไปด้วยกัน และชวนพวกไอ้เขียวและคนอื่นๆไปด้วยกัน ช่วยกันตัดกิ่งไม้ลิ้นจี่เป็นท่อนๆ แล้วหอบกลับมาไว้ที่โรงครัว กลุ่มใครกลุ่มมัน แถมยังมีเผื่อให้เด็กหอหญิงด้วย  พื้นที่ตรงหลังสวน เมื่อก่อนเป็นต้นลิ้นจี่แต่มันตายเพราะขาดน้ำ หลายต้น ทางโรงเรียนมีโครงการให้ตัดทิ้งเพื่อปลูกต้นสักแทน  ขนาดว่าพวกเราเอามากันเยอะแล้ว ก็ยังมีเหลืออีกมากมาย
   ห้าโมงครึ่งกินข้าวกันเสร็จแล้วบางส่วนก็ลงไปเล่นกีฬา สองสามวันนี้ฝนไม่ตกแต่อากาศครึ้มๆไม่ร้อนมาก ผมกลับหอเพื่อซักเสื้อผ้า อาบน้ำก่อนคนอื่น นั่งเล่นหน้าหอ ได้ยินเสียงเพลงเปิดดังมาจากบ้านอาจารย์สุรพล เห็นมีอาจารย์ประพันธ์(พวกเราเรียกว่าอาจารย์เอ็กซ์)เป็นอาจารย์สอนดนตรีอยู่ด้วยจึงไม่แปลกใจ ว่าทำไมวันนี้เสียงดัง  งานวันเกิดของแกนั่นเอง
  พวกที่ไปเล่นกีฬาก็กลับมาอาบน้ำกันเตรียมตัวกันแล้ว เพราะหนึ่งทุ่มต่างก็รู้หน้าที่ที่จะต้องไปอ่านหนังสือทำการบ้านที่ห้องสตั๊ดดี้

 “พี่นนท์ ช่วยหน่อย”   ไอ้ตัวเล็กมันเพิ่งอาบน้ำเสร็จหัวยังไม่แห้งดี  กวักมือเรียกผมหยอยๆ

“อะไรของมึง ช่วยอะไร”

มันเดินมายื่นคอตต้อนบัดให้ แล้วเอนตัวลงนอนตักผม ผมยังงงๆกับท่าทางของมันจนมันชี้ๆจะให้ผมแคะขี้หูให้  อืม.. มึงกล้าใช้กู อีกแล้ว...

“ไอ้ห่าทำไมมึงไม่ทำเอง เดี๋ยวกูก็ทิ่มหูทะลุหรอก”  ผมบ่นแต่ก็ยอมรับคอนต้อนบัดมาแล้วจัดการแคะขี้หูให้มัน

“เบาๆนะพี่ อย่าแกล้งผม”   นั่นไง มันคงรู้ตัวรีบพูดดักคอขึ้นมาเลย

  คนอื่นมองเห็นก็แซวว่าเป็นลูกแหง่ ไอ้พวกเพื่อนผมสามสี่ตัวแสบๆมันปากหมากว่านั้น ด้วยคำว่าอะไรไม่อยากบอก  พวกมันว่าให้บ่อยจนขี้เกียจจะต่อปากต่อคำกับพวกมัน  ผมจิ้มหูมันทีมันก็ไม่บ่น หลับตาพริ้มเหมือนมีความสุขมากมาย ขนาดผมแคะขี้หูตัวเองยังรู้สึกเจ็บแปล๊บๆเลย ไอ้หมอนี่ประสาทสัมผัสของมันคงจะอยู่ลึกจนไม่รู้สึกรู้สาอะไร

“นายอานนท์ ใช่ไหม”  ผมชะงักมือ หันไปตามเสียงเรียก  อาจารย์เอ็กซ์นั่นเอง

“อ้าว นายธวัชทำอะไรกันน่ะ “   แกคงสงสัยว่ามานอนตักกันทำไม  ผมดึงมือออกจากหูไอ้ตัวเล็ก

“จารย์ หวัดดีครับ”   ...ดูมันทักอาจารย์ของมัน..

“เอ่อ แคะขี้หูครับ  ไอ้นี่มันสกปรกซกมกมากครับ”  ผมอธิบาย

“ห้ะ แคะขี้หูให้กันเนี่ยนะ  มีอย่างนี้ด้วย”  แกยิ้มๆพร้อมกับยื่นเค้กมาให้

“ก็ช่วยๆกันน่ะครับ  ขอบคุณครับ” ไอ้ตัวเล็กก็ขอบคุณอาจารย์ ผมเพิ่งรู้ว่า ปีนี้ อาจารย์เอ็กซ์เป็นครูประจำชั้น ม.3/5 ห้องเจ้าทัชนั่นเอง

“เอาไปแบ่งๆให้นักเรียนหญิงด้วยนะ”   ว่าแล้วแกก็กลับไป ผมไม่รู้สึกหิวเลยให้ไอ้นพเป็นคนจัดการเอง

“วันนี้ตอนกลางวันพวกผมก็มีร้องเพลงอวยพรวันเกิดแกไปรอบนึงแล้วล่ะครับ”  ไอ้ตัวเล็กพูดเสริม

“อ่อ อย่างนี้นี่เอง หรอกเหรอ อ่ะเสร็จละ ไปเตรียมตัวได้แล้ว ลงห้องสตั๊ดดี้กัน” ว่าแล้วผมก็ไปล้างไม้ล้างมือหยิบสมุดการบ้าน เรียกเด็กๆเดินไปพร้อมกัน โดยไม่ลืมที่สั่งกำชับให้ปิดประตูดีๆ เพราะช่วงนี้ยุงเยอะ



.

.

.
(ต่อ)

หัวข้อ: Re: ทัช..สัมผัสใจ ตอนที่8 (ต่อ) (10 ก.ค. 2560)
เริ่มหัวข้อโดย: thewa.arak ที่ 10-07-2017 16:33:21
.
.
.(ต่อ)



...เปลี่ยนใหม่ได้ไหม ...เพื่อผม...Part นนท์/ทัช

 
     หลังสอบกลางภาคผ่านไป  พวกผม นักเรียน ม.6 ก็เริ่มมีคำถามกันในใจว่า จบไปแล้วจะไปไหนต่อ จะทำอะไรต่อ เป็นอีกครั้งแล้วสินะ ที่ผมต้องเลือกทางเดิน รู้สึกใจหนึ่งก็ตื่นเต้นที่จะต้องเป็นคนเลือกหนทางข้างหน้า อีกใจก็รู้สึกเคว้งคว้างเหมือนยืนอยู่บนสามแยกที่หนทางข้างหน้ายังมืดมิดทั้งสองทางไม่รู้จะเลือกทางไหน
เย็นวันพุธในช่วงปลายๆฝน  มันช่างเย็นเสียนี่กระไร

 “นายคิดบ้างรึยัง ว่าจะไปต่อที่ไหนดี”   นายประจักษ์เพื่อนร่วมห้องที่ค่อนข้างสนิทกับผมเอ่ยถามขึ้น ในขณะที่พวกเรา ม.6นั่งอ่านหนังสือกันอยู่ที่สวนระหว่างโรงอาหารกับอาคาร1   ผมที่กำลังนั่งเหม่อมองพวกม.ต้นที่ทำกิจกรรมลูกเสือเนตรนารี  ต้องละสายตาหันมาสนใจกลุ่มเพื่อนตัวเอง

“ยังเลยว่ะ เราไม่ยังไม่ได้คิดเลย มันยังอีกตั้งหนึ่งเทอมเลยนะ”  ผมตอบ

“เธออยากไป ม.ช. ไหม”  ปาหนัน หรือ ปลาถามผมอีกคน  ปาหนัน เป็นแฟนกับ อนุพงษ์ เพื่อนร่วมห้องผมนั่นแหละ 

“พวกเราเป็นม.6รุ่นแรกอ่ะเนอะ อาจารย์คงไม่ค่อยหวังเท่าไหร่มั๊งว่าจะติดมหาวิทยาลัยดังๆ เราเองก็ไม่หวังขนาดนั้น”  ผมตอบเธอไปตามจริง

“นนท์  ในห้องเราเธอเรียนเก่งกว่าใคร ฉันว่าเธอต้องติดโควต้าแน่ๆ”  ธัญญาพร หรือดาว ชมผมจนผมเขิน  เธอเป็นนักบาส ม.ปลาย สมันม.ต้นเธอก็เป็นนักกีฬาของ ฝายน้ำผึ้ง เพื่อนอีกสองสามคนก็พยักหน้าและพูดเห็นด้วยกับดาว

 “แหม่ เพื่อนๆชมเกินไปแล้ว คนอื่นชอบชมจัง แต่เรารู้ตัวเองดีว่าเราไม่เก่งหรอก”   ผมพูดไปตามความจริงที่ผมรู้สึกได้เอง เพื่อนๆก็หาว่าถ่อมตัว  อืม จริงสินะ ม.6/2 ทั้งห้องมาจากห้องเกษตรและห้องโหล่ๆห้องท้ายๆสมัยมันธยม3  ดังนั้นแต่ละคนก็จะไม่ค่อยถนัดด้านวิชาการเท่าไหร่นัก

 ซึ่งนับจำนวนคนได้ที่ยังคงตั้งใจเรียนในเชิงวิชาการมากกว่ากิจกรรม ตอนผมตอบวิชาสังคม ที่ อาจารย์จิรัชญาถามว่า โลกหมุนรอบตัวเราทำมุมกี่องศา ผมตอบได้คนเดียว จนเป็นที่ฮือฮาทั้งห้อง รวมทั้งภาษาอังกฤษวิชาที่ผมชอบ อาจารย์สุนีย์ผู้สอนถามมาผมก็ตอบได้ กลายเป็นว่าผมมักจะถูกขอลอกการบ้านอยู่บ่อยครั้ง

“เฮ๊ย พวกนั้นมันเลิกกิจกรรมกันแล้ว เรากลับกันเถอะ เดี๋ยวรถเต็มไม่มีที่นั่ง”  ไอ้บอลเพื่อนที่เฮ๊วที่สุดที่นั่งเล่นกีตาร์อยู่กับอีกกลุ่ม ตะโกนข้ามมายังกลุ่มผม ทุกคนจึงได้เลิกสนทนาเตรียมตัวกลับบ้าน

 “ไอ้นนท์ เราฝากกีตาร์ไว้ที่หอนายหน่อย พรุ่งนี้เอามาให้กูด้วย”   ไอ้บอลพูดจบยื่นมา ผมก็รับช่วงต่อ  ไอ้สงค์มันเล่นกีตาร์เก่งถือเป็นลูกศิษย์อาจารย์เอ็กซ์เลยทีเดียว ผมก็ให้มันสอน  เวลามันเรียกผม ส่วนมากจะแทนตัวเองว่า เรา และแทนตัวผมว่า นาย เสมอตั้งแต่ผมมาเรียนที่นี่  ผมเล่นกีตาร์เป็นแต่ไม่เก่ง ก็ได้ไอ้สงค์กับไอ้บอลนี่แหละมันสอนให้  จับกีตาร์คนละตัวแล้วสอนทีละสายทีละสาย ทั้งจับคอร์ดทั้งการดีด จนผมพอเล่นเป็น แต่จับคอร์ดไม่แม่นเท่าไหร่ เพลงที่ผมเล่นได้เป็นเพลงแรก คือเพลง ตัดใจไม่ลง เพราะคอร์ดมันง่ายมากขึ้นต้นคอร์ด ซีเมเจอร์ อีไมเนอร์  ดีไมเนอร์  เอฟ จี วนๆกันไป และผมก็ชอบเพลงนี้มากเสียด้วย  ร้องเพลงกันไปจนกระทั่งน้องสาวไอ้สงค์มาหา มันเลยได้เวลากลับ เหลือผมคนเดียว
 ระหว่างที่กำลังเก็บสัมภาระเตรียมตัวกลับก็ได้ยินเสียงคุ้นๆหูดังขึ้นมาแต่ไกล

“พี่นนท์รอด้วย”   ใช่ครับ ไอ้เจ้าทัชตัวแสบ  ... แล้วมึงจะตะโกนทำไมเนี่ย  รุ่นพี่คนอื่นๆยังอยู่กันเยอะไม่อายบ้างเหรอวะ  เฮ้อ..  ผมหันหน้ากลับมาหามันพร้อมกับใช้สายตาตักเตือน มันก็ยิ้มอย่างเดียว

“มึงจะตะโกนทำเหี้ยไร คนอื่นที่ยังอ่านหนังสือก็มี มารยาทน่ะมีมั๊ย”    เออ ..แล้วเมื่อกี้พวกมึงเล่นกีตาร์กันเสียงไม่ดังเลยเนอะ ....อีกใจหนึ่งของผมก็ด่าตัวเองอยู่อยู่ในใจ  แต่ไม่สน ผมอยากหาที่ระบายมากกว่า

“เอ้า ถือให้หน่อยได้ไหม” ผมยื่นกีตาร์ไอ้บอลหวังจะใช้มัน แต่มันกลับยื่นมือที่ถือไม้พลองลูกเสือแถมบุ้ยปากให้ดู ผมก็เลย ออ ถึงบางอ้อ  ถือเองก็ได้วะ

“ป่ะ เดินลัดไปทางสนามบาสกัน” ผมชวน

“พี่นนท์วันนี้เรากินข้าวที่โรงอาหารเถอะ วันนี้ผมเหนื่อยไม่อยากกลับไปที่โรงครัว”  เจ้าตัวเล็กเอ่ยชวน

“เอางั้นเหรอ ป่านนี้แล้วจะมีเหรอกับข้าว” 

“มีดิพี่  ป้าพรแม่ไอ้ตึ๋งยังมีกับข้าวไว้ขายให้พวกที่ซ้อมกีฬาอยู่นะ มันบอกมาอ่ะ” ไอ้ตัวเล็กไม่ลดละความพยายาม ผมจึงเปลี่ยนทางเดินจากที่จะออกไปทางสนามบาส เลี้ยวซ้ายไปโรงอาหารแทน  ยังมีกับข้าวขายจริงๆ ผมสั่งกะเพราะราดข้าวกินด้วยกันกับเจ้าตัวเล็ก สองจานจนอิ่มแปร้  แล้วจึงเดินย่อยอาหาร

 ผมชวนเดินลัดเข้าริมสระแล้วไปหยุดที่ลานเลี้ยงปลา ชวนเจ้าตัวเล็กนั่งเล่นกันสักพัก ผมจับกีตาร์ขึ้นมาตั้งท่าเตรียมพร้อม และก็เล่นกันสนุกสนานสองคน ให้เจ้าตัวเล็กเป็นคนร้อง รู้สึกว่ามันจะชอบแนวเพลงเพื่อชีวิตมากๆ มันจะชอบเพลงโรงเรียนของหนู ของปูพงสิทธิ์มากๆ ร้องไปสองรอบ คอร์ดก็จับยากสำหรับผม  แต่ก็ถูๆไถๆไปจนจบเพลง ไม่นานนักก็มีนักเรียนหอพักมาเพิ่มอีกสามสี่คน ร้องเพลงกันสนุกสนาน เข้าบรรยากาศยามเย็นนี้ดีนัก

“พี่นนท์ สอนผมเกากีตาร์บ้างสิ”  เจ้าตัวเล็กเอ่ยถาม

ผมเปลี่ยนให้อีกคนเล่นแทนเพราะเริ่มเจ็บนิ้วมือ

“พี่สอนไม่เป็นหรอก ไอ้บอลมันสอนพี่มา เราต้องมีกีตาร์สองตัว เล่นไปพร้อมๆกันถึงจะสอนเป็นไม่งั้นงงแย่”  ผมอธิบายให้ฟัง

“อยากเล่นเป็นบ้างจัง”

“ไว้ถ้ามีโอกาสพี่จะสอนให้ละกัน แต่ไม่รู้จะได้ผลมั๊ยนะ เพราะคนสอนก็ไม่เก่ง ฮ่าๆ”   

“พี่นนท์เล่นสักเพลงให้พวกผมฟังหน่อย”  อ่ะ น้องๆขอมาผมก็ไม่ขัดศรัทธา จัดเพลงที่ตัวเองชอบไป

“เพลงนี้ พี่ชอบมากที่สุด ความหมายดี และมันทำให้พี่เล่นกีตาร์เป็น ลองฟังดูละกัน อาจมีเพี้ยนๆหน่อยนะ” พูดแก้เก้อออกตัวไว้ก่อนเสร็จสรรพ  ก็มีตั้งหลายคนมานั่งจ้องอยู่ที่เราคนเดียวมันก็เขินบ้าง   และแล้วผมก็จัดเพลง  ตัดใจไม่ลงให้ฟัง


 โอ้เอยหัวใจ
 ทำไฉนถึงจะลืมเขา
เขาไม่รักเรา จะมัวเศร้าอยู่ทำไม ...

 เล่นวนไปสองรอบ ทุกคนเงียบกันหมดไม่มีใครพูด  มีเพียงเสียงตบมือเป็นจังหวะ จนเล่นจบทุกคนก็ตบมือกันใหญ่

“โห เพราะอ่ะพี่ “  โดนน้องๆชมแบบนี้ผมก็ยิ่งเขิน จึงรีบบอกว่าให้เดินกลับหอกันได้แล้วเพราะเด็กหอยังมีภาระกิจก่อนนอนกันอีก

   การอาบน้ำในช่วงนี้ทุกคนต้องออกกำลังกายกันก่อนพอให้เหงื่อออกแล้วค่อยไปอาบน้ำกัน ไม่งั้นไม่กล้าแตะน้ำ ถ้าเกินสองทุ่มยิ่งไม่ค่อยอยากอาบกันแล้ว แต่ผมเฉยๆนะ แค่กระโดดตบยี่สิบครั้งวิดพื้นสิบครั้งก็เหงื่อออกแล้ว   วันนี้ก็ยังคงเหมือนเดิม ระหว่างผมกับไอ้ตัวเล็ก แต่ต้องรีบอาบเพราะหนาวจึงช่วยสระผมให้เพียงอย่างเดียว 

  หลายเดือนมาแล้ว ผมกับมันนอนติดกันทุกคืน ผมต้องรอให้มันนอนหลับไปก่อนถึงจะเอาแขนออกได้ ไม่งั้นมีงอนตลอด  เคยด่ามันอยู่ว่า ทำตัวเป็นเด็กขาดความอบอุ่นไปได้ แต่ช่วงนี้ตั้งแต่ฝนตกมามันก็เริ่มหนาว บางครั้งมันก็ทำให้เกิดภาพไอ้แทนผุดขึ้นมาเสมอภายใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน  ผมพยายามอย่างมากที่จะลืมเรื่องไอ้แทน เหมือนๆจะลืมได้ แต่มันก็มีบางครั้งที่ภาพมันผุดขึ้นมาให้ต้องได้เกิดอารมณ์เศร้าจนต้องกลบเกลื่อนจากสายตาไอ้ตัวเล็กอยู่ทุกครั้งร่ำไป   หลังจากห้องสตั๊ดดี้ ทุกคนต่างก็รีบเดินกลับหอเพราะอากาศข้างนอกมันเริ่มเย็น ยิ่งมีลมพัดมายิ่งเพิ่มความหนาวเย็นเข้าไปอีกทวีคูณ แต่คืนที่แสงจันทร์ส่องสว่างก็ทำให้ผมรักบรรยากาศนี้มาก รู้สึกดีทุกครั้งที่แหงนมองบนฟ้าแล้วเห็นพระจันทร์ เห็นดาวเรียงรายเต็มท้องฟ้า  ฤดูหนาวทุกปี พวกเราต่างลงมานอนกันข้างล่างทั้งหมดนอนเบียดกันอยู่ชั้นล่าง ไอ้นพไอ้เนก็ต้องลงมานอนข้างล่าง ไอ้เชษฐ์กับไอ้ต๋องก็นอนติดกัน ชั้นบนจึงเป็นที่วางหนังสือไป

 ผมยังคงนอนติดกันกับเจ้าตัวเล็ก ทุกวันนี้ไม่ต้องให้เอ่ยปากแล้ว ผมจะเป็นฝ่ายกอดมันเอง มีบางครั้งที่ตืนมาแล้วขาตัวเองไปพาดกลางลำตัวมัน ก็จะโดนมันบ่น ว่าฝันไม่ดีเหมือนถูกกดทับ ที่แท้เพราะขาผมไปพาดบนตัวมัน นั่นเอง 

  “พี่นนท์ “  ตัวเล็กเอ่ยขึ้นมาในความเงียบ

“หืม ว่าไง ยังไม่นอนอีกเหรอ”

“ทำไมพี่ชอบเพลงนั้นจัง เล่นหลายรอบเลย”   อ่อ..ไม่นอนสักทีคิดถึงแต่เพลงนี้นี่เอง

“ก็พี่ชอบอ่ะ ทำไมล่ะ พี่เล่นกีตาร์เป็นก็เพราะเพลงนี้เลยนะ คอร์ดจับง่ายด้วย”  ผมอธิบายเสริม

“แน่ใจนะ ว่าชอบเพราะคอร์ดจับง่าย”  หือ..ผมมองหน้ามัน ออกอาการงงเล็กน้องว่ามันจะหมายความว่าอะไร

“อื้ม ไอ้บอลมันสอนมา มันบอกเพลงนี้ดีคอร์ดจับง่าย เหมาะสำหรับผู้เริ่มเล่น  และพี่ก็เล่นจนเป็น”

“แต่ความหมายมันเศร้าๆยังไงไม่รู้อ่ะ”

“พี่ไม่ได้สนใจตรงนั้นหรอกน่า แค่หัดๆเล่นๆไปจนเป็นแค่นั้นเอง”

“ไม่ใช่เพราะคิดถึงใครอยู่เหรอครับ”   ไอ้ตัวเล็กเล่นถามคำถามนี้ทำให้ผมถึงกับชะงักไปชั่วขณะ แล้วพยายามประมวลความคิดว่ามันหมายถึงใคร  มันเคยบอกว่าที่ผมทำดีกับมัน อย่าเห็นว่ามันเป็นตัวแทนของใคร ซึ่งผมเองก็บอกไปแล้วว่ามันคนละคน ไม่เหมือนกัน ไม่เกี่ยวกัน นี่มันจะหมายถึงผมพูดถึงไอ้แทนงั้นเหรอ เปล่าเลย ผมหมายถึงน้องโรสต่างหาก แต่เชื่อเถอะมันแค่เสี้ยวเดียวเท่านั้นแหละที่มีส่วนเกี่ยวข้อง เพราะในความเป็นจริงลึกๆแล้วผมเองก็ไม่ได้รู้สึกเศร้าอะไรมากมายเมื่อรู้ว่า ไอ้ทศคบกับน้องโรส

 “มึงคิดอะไรของมึงเนี่ย ไอ้เด็กเวร บอกว่าไม่มี  ไม่มีก็คือไม่มี อย่าเซ้าซี้ดิ”  ผมออกเสียงเชิงตำหนิ

“ครับ ไม่มีก็ไม่มี แต่พี่เปลี่ยนเพลงได้ไหม เพลงนี้มันเศร้าไป” 

“ไอ้นี่ ไม่จบไม่สิ้น “

“นะๆครับ เปลี่ยนเถอะ ผมเลือกให้ เอาเพลงนี้ไง โรงเรียนของหนู”  อืมดูมันยกเพลงโปรดของมันมาบังคับผมให้ชอบตามมัน

“ไม่อ่ะ พี่ไม่ค่อยชอบเพลงเพื่อชีวิตเท่าไหร่”  ผมตอบ

 ทำให้เจ้าตัวถึงกันพลิกตัวจากท่านอนหงายมาเป็นตะแคงหันข้างมาทางผมจนหน้าเกือบจะชนกันอยู่แล้ว

“ทำไมอ่ะพี่ มันเพราะและความหมายดีมากๆ”

“แล้วทำไมพี่จะชอบเพลงตัดใจไม่ลง ไม่ได้ล่ะ มันก็เพราะและความหมายดีนะเว๊ย” ผมเถียง

“แต่ผมไม่ชอบอ่ะ “

“เอ้า ไอ้นี่ กวนตีนละ มาบังคับกันได้ด้วยเหรอ”

“อืม ผมไม่อยากให้พี่ชอบเพลงนี้  ไม่อยากให้พี่เศร้า”   ผมเงียบไปชั่วขณะ นี่มันห่วงอะไรผมเหรอ ตัวผมเองยังไม่ได้อะไรกับเพลงมากเลย แค่ชอบเพราะมันเป็นเพลงแรกที่ทำให้ผมเล่นกีตาร์เป็นแค่นั้นเอง เฮ้อ เหนื่อยกับหมอไอ้นี่จริงๆ

“อืม แล้วจะให้พี่ชอบเพลงอะไร”  ผมถามย้อนมันบ้างเพราะเริ่มขี้เกียจพูดแล้ว

“โรงเรียนของหนู”

“ไม่มีทาง”

“นะๆๆ”

“ไม่ พี่ไม่ชอบเพลงเพื่อชีวิต เข้าใจมั๊ย”

“ไม่เป็นไรพี่ไม่เอาโรงเรียนของหนูก็ได้  แต่ผมขอนะ พี่เปลี่ยนเพลงเถอะ”

“นอนได้แล้วไป อย้าเซ้าซี้ ชักจะโมโหแล้วนะ”

“นะครับ นะๆๆ “  พูดพร้อมเขย่าแขนไปด้วย

“เปลี่ยนเถอะนะครับ ถือว่าทำเพื่อผมนะ “  ประโยคนี้ทำเอาผมอึ้งไปชั่วขณะ  ผมเงียบไปไม่ตอบ มันก็คะยั้ยคะยองอีกสองสามครั้งแต่ผมก็ยังอึ้งๆ

    ทำเพื่อผมงั้นหรือ...  จริงสิ เราเคยสัญญากับมันว่าเราจะดูแลมันนี่นา สัญญากับแม่หมวงว่าจะช่วยเหลือเท่าที่ทำได้  เคยสัญญากับไอ้แทน แต่...สุดท้ายมันก็จากไป จากผมไปโดยไม่มีแม้โอกาสให้ผมได้ดูแลเลย แค่สองปีที่ผมสนิทกับไอ้แทน  เมื่อกลับมาย้อนคิดดูแล้ว มันช่างสั้นเหลือเกิน ... ผมควรจะทำ ใช่ ผมควรจะดูแลมัน อย่างน้อยมันก็เป็นคนเดียวที่ยังอยู่บนโลกใบนี้ให้ผมได้ดูแลแทนคนพี่ของมัน  หรือว่าทุกครั้งที่ผมแว่วๆ ว่า ...ฝากด้วยนะ..... นั้นเป็นเสียงไอ้แทนฝากดูแลน้องมันวะ  คงไม่มั้ง คิดมากเกินไปแล้วเรา

“อืม... แล้วพี่จะบอกละกันว่าพี่เปลี่ยนเป็นเพลงอะไร” 

ผมตอบออกไปในที่สุด แต่เสียงเงียบ ไม่มีปฏิกิริยาใดใดตอบกลับมา ผมขยับหัวมันเบาๆ เรียกก็เงียบ ผมยันตัวลุกขึ้นกึ่งนอนกึ่งตะแคง มองดูหน้าคนตรงหน้า แสงจันทร์สลัวๆมองทำให้มองออกว่ามันหลับไปแล้ว นี่ผมคิดนานขนาดนั้นเลยหรือ นานจนมันหลับไปเลย ผมลูบหัวมันสองสามทีดึงผ้าห่มให้ถึงคอมันขยับตัวเข้ามาติดกับผมแล้วเอามือมาจับแขนผมไว้ ทำเหมือนเป็นหมอนข้าง ผมเอามือลูบแก้มมันเบาๆ รู้สึกได้ว่ามีคราบน้ำตา นั่นทำให้ผมอึ้ง อย่างน้อยมันก็โตพอจะรู้เรื่องความรักรู้เรื่องการงอนง้อรู้เรื่องการดำเนินชีวิต   ไอ้แทน...กูคงไม่สัญญาอีกแล้วนะ  แต่มึงไม่ต้องห่วงหรอกนะ กูจะดูแลมันให้ดีที่สุดเท่าที่กูจะทำได้
 
.....

หัวข้อ: ทัช..สัมผัสใจ (ตอนพิเศษ) (10 ก.ค. 2560)
เริ่มหัวข้อโดย: thewa.arak ที่ 10-07-2017 16:42:54
ตอนพิเศษ


...ความรู้สึกแรก เมื่ออาจารย์ประกาศหน้าแถวตอนเช้า...
 
       
     ย่างเข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว วันเวลาผ่านไปรวดเร็วยิ่งนัก ในที่สุดก็ถึงเทอมสอง  เทอมสุดท้ายของชีวิตนักเรียนมัธยมปลาย แต่เหตุการณ์ต่างๆยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ถือเป็นการก้าวมาถึงทางสามแยกที่แท้จริง เพราะเป็นการกำหนดชะตาชีวิตของแต่ละคนว่าในอนาคตจะเป็นเช่นไรต่อไป  ช่วงนี้ที่โรงเรียนจะเห็นสีสันของเสื้อกันหนาวหลากสีสันมากเพราะอากาศหนาว บางคาบเรียนจะเห็นมีนักเรียนยกเก้าอี้ลงมานั่งเรียนกันถึงในสนามหญ้าหน้าอาคารเรียนกันเลยทีเดียว

  ที่สำคัญช่วงนี้ เวลาลงห้องสตั๊ดดี้ของผมก็น้อยวันเพราะอาจารย์ไม่บังคับ ม.6   ให้ไปอ่านหนังสือกันเอง ให้น้องม.5ดูแลน้องๆแทน  ไอ้เชษฐ์รับหน้าที่แทนผมร่วมกับเด็กม.5ที่อยู่หอไอ้เขียว แต่ก็ลงไปดูน้องๆบ้างๆเป็นบางครั้งคราว  บางคืนผมมานั่งอ่านหนังสือเองที่ห้องเรียน6/2 การบ้านก็มีน้อยลง ไม่รู้ว่าเพราะเป็นม.6รุ่นแรกหรือเปล่า ที่ดูเหมือนการเรียนมันจะง่ายไปเกือบหมด แม้แต่ คณิตศาตร์ที่ผมเรียนอ่อนที่สุด ยังได้เกรด3 ในเทอมที่ผ่านมา ข้อสอบที่ออกก็แนวเดียวกับการบ้านที่ทำส่งกันไปนั่นเอง แต่ก็มีบางวิชา ที่บรรดาเพื่อนๆต้องสอบแล้วสอบอีก แม้กระทั่งอาจารย์ให้สอบสี่ครั้ง มันเลือกตัวเลือกผิดและสอบใหม่ จนเลือกครบ ก ข ค ง กันเลยทีเดียว

    มีนักศึกษารุ่นพี่ จาก มช. 4คน มาแนะแนวที่โรงเรียน  โดยใช้หอประชุมใหญ่ข้างสนามบาสเกตบอล   2คนมาจาก ภูเวียงวิทยา อีก3คนมาจาก เวียงคำวิทยาคม  แต่ละคนยังเด็กๆกันอยู่เลย ก็แหงล่ะ เพิ่งจบม.6กันไปเอง แต่คณะที่โด่งดังและเป็นที่สนใจของม.6 คือ คณะวิศวะฯ  แต่ก็เป็นเด็กห้อง 6/1 เพราะจะให้เด็กห้อง 6/2ไปเลือกคณะนี้ก็คงได้กลับไปทำไร่ทำสวนกันหมด ดังนั้น เด็ก 6/2 จึงสนใจคณะศึกษาศาตร์บ้าง คณะมนุษย์ศาตร์บ้าง นิเทศน์ฯบ้าง  ส่วนผมตัดสินใจที่จะเลือกสายภาษา เพราะมีความชอบเป็นทุนเดิมอยู่แล้วจึงตั้งใจฟังรุ่นพี่สายคณะนี้เป็นอย่างดี

 แน่นอนว่า พวกเราไม่มีใครรู้จักรุ่นพี่กลุ่มนี้สักคน เพราะเราเป็นรุ่นแรก  ทางคณะครูอาจารย์จากทั้งสามโรงเรียนอยากให้มีการแนะแนวสำหรับโรงเรียนมัธยมในเขตอำเภอเวียงคำ  โรงเรียนฝายน้ำผึ้งที่เพิ่มมีม.6จึงพลอยได้ รับอานิสงฆ์นี้ไปด้วย  แต่พวกเพื่อนผมนี่สิ มันไม่ค่อยสนใจการเรียนต่อสายวิชาการ มัวแต่แซวรุ่นพี่ คณะวิทยาศาตร์ จากโรงเรียนภูเวียง แต่ผมจบมัธยมต้นจากที่นั่น จึงรู้เรื่องเกี่ยวกับภูเวียงวิทยา ซึ่งรุ่นพี่สองคนนั้นก็แปลกใจเล็กน้อย จึงเกิดการถามกันว่าทำไมไม่เรียนต่อที่นั่น ผมขี้เกียจอธิบายความเป็นมา จึงบอกแค่ว่า ที่นี่ใกล้บ้านกว่า ซึ่งเป็นคำตอบที่ค่อนข้างลงตัว  หลังจากพวกรุ่นพี่กลับไปแล้ว อาจารย์ผ่องพรรณซึ่งเป็นอาจารย์ฝ่ายแนะแนวก็มากล่าวแนะนำต่ออีกเล็กน้อยจึงปล่อยกลับห้องเรียน

“นนท์ เธอคิดว่าจะเลือกคณะอะไร”  ศรีแพรห้อง6/1 เดินมาทักผม

“แหม่ ไม่น่าถาม เราก็คงเลือกมนุษย์ศาตร์แหละ เธอล่ะ”

“ฉันก็เลือกเหมือนเธอแหละ ว่าแต่เธอสอบโควต้าของ มช.ไหมล่ะ”

“เรายังไม่รู้เลย ขอกลับไปคิดดูก่อน”  ผมตอบแบบลังเล

“นายจะเรียนต่อมหาลัยใช่ไหม”  ประสงค์เพื่อนสนิทผมมันเกาะคอถาม

“อืม คิดว่างั้น”

“เธอล่ะ แพร” มันหันไปถามศรีแพร ศรีแพรก็บอกตามเดิมเหมือนที่บอกผม

 ส่วนเพื่อนผมคนอื่นๆน่ะเหรอ มันก็ตอบเหมือนๆกันหมดว่าจะไปเรียนต่อวิทยาลัยพลศึกษาที่จังหวัดลำปาง บ้างก็ว่าออกไปหาเมียช่วยกันทำไร่ทำสวนที่บ้าน


  ................................


  เหลืออีกหนึ่งสัปดาห์ ที่ผมจะไปสอบโควต้า ของ มช.  ที่โรงเรียนภูกามยาวพิทยาคม ซึ่งเป็นโรงเรียนประจำจังหวัด และหลังจากนั้นอีกหนึ่งสัปดาห์ก็ต้องไปสอบโควต้า ของ มหาลัยชื่อดังที่ตั้งอยู่ในจังหวัดพิษณุโลก ดังนั้น ในช่วงนี้ผมจึงไม่ยุ่งเกี่ยวกับอะไรทั้งสิ้น  ว่างเมื่อไหร่ก็อ่านหนังสือเองตลอด 
  บางวันช่วงพักกลางวัน มีหนังสือจาก  สนพ. พ.ศ. และ  อจท.    มีหนังสือติวสอบ ข้อสอบหลายพ.ศ. มาขายลดราคา เด็กนักเรียนแต่ละชั้น ก็ให้ความสนใจเป็นอย่างดี แต่เพื่อน 6/2ห้องผมไม่มีใครสนใจสักคน แค่มาเดินๆดู  จุดประสงค์เพื่อมาป้อเด็กนักเรียนหญิงม.ต้น 

 “เราซื้อให้นายเอง  แล้วนายก็มาติวให้เราไง”  ไอ้สงค์เพื่อนผมมันให้เหตุผลแบบนี้  ซึ่งผมไม่ว่าอะไร

   สำหรับฉากชีวิตเด็กหอ ซึ่งผมไม่ค่อยได้ลงห้องสตั๊ดดี้ เพราะไปอ่านหนังสือเองที่ห้อง6/2 ซึ่งอยู่ชั้น4ของอาคารเรียนหลังใหม่ เปิดไฟแล้วล็อคห้องนั่งทำการบ้าน และอ่านหนังสือเตรียมสอบ ซึ่งถือว่าเป็นช่วงที่ค่อนช้างหนักหนาพอสมควร กิจกรรมต่างๆที่เคยทำกับน้องๆในหอพักก็ลดน้อยลง  มีบ้างที่ผมลงห้องสตั๊ดดี้ด้วยเพื่อทำการบ้านหนึ่งชั่วโมงจากนั้นค่อยมาอ่านหนังสือเองจนถึงสี่ห้าทุ่ม  บางวันเจ้าตัวเล็กมันขอตามไปด้วยซึ่งผมก็ไม่ว่าอะไรปล่อยมันตามมาอ่านหนังสือของมันด้วย  ผมเองก็ซื้อหนังสือติวสอบม.4ให้มันสองสามเล่ม  มันก็เอามาอ่าน และหลายครั้งที่เลิกจากการอ่านหนังสือแล้วเดินกลับหอ ก็คุยกันไปด้วยหลากหลายเรื่อง มีอยู่วันหนึ่งที่มันพูดขึ้นมาแล้วทำให้ผมฉุกคิดได้

  “พี่นนท์ครับ ช่วงนี้พี่ดูยุ่งๆนะ”  อยู่ๆในขณะที่เดินกลับหอเจ้าตัวเล็กก็เอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ

“อ่อ ก็พี่เตรียมสอบโควต้าไง”

“พี่คิดว่าจะไปเรียนต่อที่ไหนล่ะครับ”  ถามเหมือนกับเพื่อนในห้องเลยนะเนี่ย

“ไม่รู้สิ ก็แล้วแต่โชคชะตาแล้วล่ะ”  พอผมพูดจบมันก็พยักหน้าแล้วความเงียบก็เข้ามาอีกรอบ
เป็นผมที่เอ่ยขึ้นมาแทน

“ว่าแต่มึงอ่ะ ยังมีเวลาอีกเยอะเลย เอ้อ เคยได้ยินว่าจะเรียนต่ที่นี่จนจบม.6ใช่ไหมล่ะ”  ผมย้อนความถามเจ้าตัวเล็ก

“ใช่ครับ ผมกะจะเรียนที่นี่แหละ ไม่อยากไปไหน คิดแล้วก็ยังไม่อยากให้พี่จบม.6เลย”

“อ้าวทำไมพูดงั้น “  ผมหันไปถามมันด้วยความสงสัย

“พี่ไม่คิดบ้างเหรอครับว่าช่วงนี้เราไม่ค่อยได้ทำกิจกรรมร่วมกันเลย” 

“ยังไง  เอาใหม่ พูดอีกทีซิ”  ผมยังงุนงงกับประโยคเมื่อสักครู่

“อ่อ ผมบอกว่า ช่วงนี้เราไม่ค่อยได้ทำกิจกรรมร่วมกันเลย พี่ไม่รู้สึกบ้างหรือครับ”   เจ้าตัวเล็กพูดอธิบายอีกครั้งทำให้ผมเข้าใจขึ้นกว่าประโยคแรก

“เออ ใช่ พี่ลืมไปเลยอ่ะ มัวแต่ยุ่งๆอ่านหนังสือ “  ใช่ครับ พอเจ้าตัวเล็กมันพูดขึ้นมาก็ทำให้ผมฉุกคิดได้ กี่วันแล้วเนี่ยที่ไม่ได้กินข้าวร่วมกันที่โรงครัว นอกจากอาบน้ำที่อาบพร้อมกันแล้วกิจกรรมอื่นๆก็ไม่ค่อยได้ทำกันเลย สวนผักที่ปลูกกันไว้ พวกเด็กๆก็ตัดไปผัดกินกันจนมันจะเริ่มงอกใบออกมาใหม่ ผมยังไม่ได้ไปกินร่วมกับพวกนั้นเลย  ก็มีแต่เจ้าตัวเล็กนี่แหละที่ยังตามติดแจกับตัวผมอยู่ แต่ก็เฉพาะตอนกลับมาที่หอพักเท่านั้น ในโรงเรียนมีโอกาสน้อยมากที่จะได้เจอกัน

 “คืนนี้พี่มานอนใกล้ๆผมด้วยนะครับ ผมนอนคนเดียวมาหลายคืนแล้ว”

“เฮ๊ย อะไรของมึง พี่ก็นอนอยู่ข้างๆมึงป่ะ”  ผมพูดกลั้วหัวเราะในลำคอ  อะไรของมัน ก็นอนเตียงติดกันอยู่ทุกคืน

“ผมหมายถึง ให้พี่กอดผมเหมือนที่ผ่านมา ช่วงนี้ผมนอนก่อนพี่ทุกคืนเลย พี่กลับมาก็ดึกแล้วนี่ครับ”   หืม..หมายความว่าแบบนี้เองเหรอนี่  เฮอะๆ เด็กหนอเด็ก

“พูดยังกะมึงเป็นลูกแหง่ขาดความอบอุ่นเลยนะ”  ผมลูบหัวมันเบาๆแล้วกอดคอเร่งเดินกลับหอ

อากาศยามห้าทุ่มนี่หนาวเย็นจับใจ คืนนี้เดือนมืด เด็กสองคนส่องไฟฉายเดินกลับหอกันสองคนกลางดึก ผมมองไปทางหอ1ตรงส่วนห้องน้ำ ไฟยังไม่ดับ แสดงว่าไอ้เขียวมันคงอ่านหนังสืออยู่  หออื่นปิดไฟกันหมดแล้ว


..............................

   
    ถึงวันที่สอบโควต้า เป็นวันเสาร์  ผมต้องลาวันศุกร์นั่งรถโดยสารประจำทางไปยังโรงเรียนภูกามยาวพิทยาคม พร้อมกับไอ้บอล ไอ้สงค์ และ เอกชัย  สามคน ส่วนคนอื่นๆและเพื่อนห้อง6/1 ไปเจอกันที่โรงแรมเลย นับก็เป็นครั้งที่สอง ที่ผมได้เห็นกว๊าน แหล่งทะเลสาปน้ำจืดขนาดใหญ่  ช่วงเย็นๆจะมีคนมานั่งรับลมเย็น บ้างก็วิ่งออกกำลังกาย ส่วนตัวผมเองชวนเพื่อนไปเดินเล่นรับลมเย็น  ผมปล่อยตัวตามสบาย ไม่เอาหนังสือมาเลยสักเล่ม เตรียมมาแค่ยางลบปากกาดินสอและบัตรประชาชน   เห็นรถเข็นขายลูกชิ้นปี้งริมกว๊าน ก็หยุดซื้อแล้วเดินกินจนกลับมาที่โรงแรม ก็เห็นเพื่อนๆห้อง6/1มากันพร้อมหน้า สรุปมาสอบรอบนี้ 16คน  6/2 มากันแค่ 7คน ที่เหลือ 9คน เป็น6/1ทั้งหมด  วันสอบจริงผมก็ทำตัวสบายๆไม่เครียด แต่ข้อสอบก็ยากพอสมควร โดยเฉพาะวิชาสังคม คณิตศาตร์และ ภาษาอังกฤษ  ก็ทำเท่าที่ได้ล่ะครับ แล้วแต่โชตชะตา พอหมดเวลาการสอบ เพื่อนคนอื่นๆก็ไปเที่ยวกัน แต่ผมกลับมานอนพัก  อยากพักสมอง  รู้สึกเคว้งๆนิดหน่อย กะว่าวันอาทิตย์จึงค่อยนั่งรถประจำทางกลับโรงเรียนตัวเอง
 
......................

   เย็นวันอาทิตย์ ผมไม่ลงห้องสตั๊ดดี้ เพราะเหนื่อยกับการเดินทาง จึงนอนพักอยู่ที่หอ รวมถึงไอ้นพไอ้เนและไอ้ต๋อง แต่สามคนนั้นนั่งเล่นไพ่กัน เหอะๆ ไอ้พวกอบายมุข ผมจะไม่ยุ่งด้วย จนกระทั่งเด็กๆกลับกันมาแล้วถึงได้เลิกเล่น  ผมนอนอ่านหนังสือเตรีมสอบต่ออีก คนอื่นเห็นผมตั้งใจอ่านหนังสือ พวกมันก็เงียบๆกันไม่ทำเสียงดัง จะมีก็แต่เสียงไอ้พวกลิงสามตัวนั่นที่ดังขึ้นมาเป็นระยะๆ
   ดึกแล้วจึงเข้านอนกัน  คืนนี้ก็เป็นอีกคืนที่ผมกับไอ้ตัวเล็กแทบไม่ได้คุยกันเลย มันคงเกรงใจที่เห็นผมอ่านหนังสือเลยหลับไปก่อน  แต่ผมก็ไม่ลืมที่จะหน้าที่เหมือนที่ผ่านๆมา  ช่วงนี้ผมเองก็ยุ่งกับการทำการบ้างและอ่านหนังสือเตรียมสอบ แทบไม่ได้คุยกับใครเลย เหมือนทั้งหอนี่มีผมอยู่คนเดียวก็ไม่ปาน

..............


   ผ่านช่วงสอบโควต้าของทั้งสองมหาวิทยาลัยไปแล้ว ก็เหมือนยกภูเขาออกจากอก คือมันโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก รู้สึกได้ปลดปล่อย ดังนั้นบางวันจึงชวนพวกเด็กหอลงเล่นกีฬากัน และเป็นครั้งแรกที่ผมฝ่าฝืนกฏ ชวนเด็กหอลักลอบกระโดสระน้ำเล่น แต่โชคดีที่ไม่มีอาจารย์เห็น  ผมคิดเองเองว่าอะไรที่ไม่เคยทำจะพยายามทำให้ครบไม่ว่าจะฝ่าฝืนกฏอะไรก็ตามถ้าทำได้ ก็ไม่ลังเลที่จะทำ เพราะรู้สึกว่าเวลาที่อยู่ในรั้วโรงเรียนนี้มันน้อยลงไปทุกที  ผมซื้อต่อกีตาร์ไอ้บอลสองพันบาท เอาไว้เล่นคลายเครียดกันในหอพัก อ้อ... ไอ้ตัวเล็กมันเล่นกีตาร์ได้แล้วนะครับ สมแล้วที่เป็นเด็กห้องอาจารย์เอ็กซ์  แต่มันก็ยังคงเล่นได้ดีอยู่เพลงเดียว   โรงเรียนของหนู  ไม่รู้มันชอบอะไรของมันนักหนา เล่นได้ตลอดจนบางครั้งผมก็เบื่อที่จะฟัง แต่พวกไอ้นพมันก็ชอบเพลงประเภทนี้ เลยเข้าขากันใหญ่ มีแต่ผมที่ชอบฟังเพลงแปลกๆ เพลงจีน เพลงฝรั่ง อะไรแบบนี้ พวกนั้นมันไม่ฟังกัน แต่ผมชอบของผม อาจจะได้เชื้อพ่อ เพราะพ่อเป็นคนจีน แต่เสียนานแล้ว
ที่บ้านก็ชอบบ่นที่ผมฟังแต่เพลงจีน 

......................


    เช้าวันพุธ  หนึ่งเดือนหลังจากการสอบโควต้า ขณะเคารพธงชาติทำกิจกรรมหน้าเสาธงเสร็จแล้ว อาจารย์ผ่องพรรณ อาจารย์ฝ่ายแนะแนว ก็ขึ้นมาประกาศหน้าเสาธง  เรื่องผลการสอบโควต้า เด็กห้อง ม.6/1  ติดคณะวิทยาศาตร์สองคน คือ เรณู กับ ปิยะวรรณ สองคนเก่งของ6/1 ส่วน ศรีแพร ติดคณะศึกษาสาตร์  ภาษาอังกฤษ  สมแล้วที่เป็นศิษย์เอกภาษาของอาจารย์สุนีย์ อาจารย์แกคงภูมิใจ  นอกนั้นไม่ติดอะไรเลย ส่วนห้อง 6/2 อาจารย์แซวว่า เด็กห้องนี้ครูไม่คาดหวังอยู่แล้ว จึงโดนกลุ่มเพื่อนๆ6/2โห่ใส่  อาจารย์ผ่องพรรณก็ยิ้ม แล้วบอกข่าวดี

 “แต่ครูไม่แปลกใจเลยนะ ที่ห้อง6/2มีติดรายชื่อมาหนึ่งคน  คณะศึกษาศาตร์”   ถึงตอนนี้ผมก็ใจเต้นตุ่บตั่บ เพราะผมก็เลือกคณะศึกษาศาตร์ มช.ไว้เป็นลำดับที่สองจากคณะมนุษยศาตร์  เพื่อนผมอีกสามคนเราต่างคนก็บุ้ยใบ้ชื่อกันไปมา จนกระทั่งอาจารย์ประกาศชื่อ

   “นายอานนท์  แซ่ลี”   

 แค่นั้นแหละ ห้อง6/2ถึงกับตะโกนโห่ ร้องดีใจ ไอ้สงค์ไอ้บอลถึงกับกอดรอบเอวผมแล้วยันตัวผมยกขึ้นร้องไชโย อาจารย์ ทิพวรรณ อาจารย์ประจำชั้นเองก็เผลอตะโกนเย้ๆ ด้วยความดีใจ ราวกับเป็นเด็กน้อยได้ขนม  อืม อย่างน้อยเด็ก 6/2 ก็ไม่ทำให้เสียหน้า มีติดโควต้ามาหนึ่งคน ก็ยังดี  แต่ๆ ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ครับ

 “อ้าว เงียบๆหน่อย ฟังอีกหนึ่งรายการ โควต้า มหาวิทยาลัยนเรศวร”   อาจารย์ผ่องพรรณเว้นวรรคไว้หนึ่งช่วง พวกเราทั้งหมด จึงเงียบตั้งอกตั้งใจฟังกันเต็มที่ 

 “6/1  คณะเกษตรศาตร์ นาย สิทธิกร   คณะพยาบาลศาตร์ น.ส.สมพร   น.ส.มาลินี  น.ส.สุธาวัลย์  น.ส.อุบลวรรณ   น.สรัตนา  รวม 6คน”   เพื่อนๆก็เฮกันใหญ่  แต่ทำไมติดคณะพยาบาลฯกันเยอะจัง นอกนั้น วิศวะ ไม่มีเลยแฮะ   

 ผมไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ละ ก็ร่วมแสดงความยินดีกับไอ้สู เพื่อน6/1 ที่ติดคณะเกษตรฯ มันก็ดีใจเช่นกัน น้องๆ ชั้น ม.อื่นๆก็ส่งเสียงแสดงความยินดีไปกับรุ่นพี่ที่สอบโควต้าได้

 “และ 6/2 “   อาจารย์ผ่องพรรณ เว้นวรรคอีกแล้ว  โดนเพื่อน6/2 โห่เสียงดังอีก

“ฟังก่อน “   แกพูดพลางหัวเราะ ความจริงแกเป็นคนที่ใจดี สนิทกับนักเรียนทุกคนและไม่ถือสากับการโห่ เพราะแกรู้ว่าเด็กๆไม่ได้หมายความแบบนั้นจริงๆ

“ครูแปลกใจมากเหลือเกินกับ ห้อง6/2  ติดมาหนึ่งคน อีกแล้ว”    สิ้นเสียง พวกเราก็เงียบกันไปชั่วครู่ แล้วก็มีการบ่น บุ้ยใบ้ชื่อกันไปมา เสียงเซ็งแซ่

“ที่แปลกก็คือ มันเลือกภาษาที่โรงเรียนเราไม่มีการเรียนการสอนเสียด้วยสิ”  สิ้นเสียงแค่นั้นแหละ ไอ้ประสงค์ไม่รอเสียงประกาศชื่อจากอาจารย์ผ่องพรรณ มันกระโดดมารวบเอวแล้วยกตัวผมขึ้นอีกครั้ง ทุกคนก็ไชโยโห่ร้องกันใหญ่ ผมก็หน้าแดง มีน้องๆชั้น ม.อื่นเข้ามาร่วมแสดงความยินดี  ผมงี้ดีใจสุดๆไปเลย  ผมติดโควต้า คนเดียวในห้อง ทั้งสองมหาวิทยาลัย  โอ้ย กูได้เหรอเนี่ย ผมคิดในใจ  ไม่มีใครฟังเสียงประกาศชื่อจากอาจารย์ผ่องพรรณอีกเลย เพราะภาษาที่อาจารย์แกพูดถึง คือ มีผมคนเดียวในห้อง ผมเลือกภาษาญี่ปุ่น คณะมุนษย์ศาตร์ไว้เป็นลำดับที่1

 “เฮ๊ยพวกมึง เมื่อกี้ ชื่อกูใช่ป่ะวะ”  ผมตะโกน และพวกเพื่อนๆต่างก็ยืนยันผมหูอื้อไปหมดแล้วด้วยความดีใจ และอาจารย์ผ่องพรรณก็ตอกย้ำความชัดเจนนี้อีกครั้ง

 “นาย อานนท์ แซ่ลี  คณะมนุษยศาตร์และสังคมศาตร์ ภาษาญี่ปุ่น” 

อาจารย์ทิพวรรณก็เข้ามาแสดงความดีใจกับผม  เป็นเช้าที่มีความสุขมากเลยครับ แล้วน้องๆชั้น ม.อื่นๆก็กรูกันมาแสดงความยินดีกับรุ่นพี่  ที่ผมดีใจอย่างยิ่งอีกครั้งคงหนีไม่พ้น ไอ้ตัวเล็กที่วิ่งมากอดผม แล้วร้องไห้ดีใจกับผม ทำท่าจะยกผมขึ้น แต่ผมห้ามไว้ เป็นภาพที่น่าประทับใจมาก ซึ่งบรรยากาศในเช้าวันนี้ผมจะจดจำไปจนวันตายเลยทีเดียว 

มันช่างเป็นความรู้สึกที่เปี่ยมล้นเต็มปรี่ไปด้วยความยินดีปรีดาเสียเหลือเกิน สมองผมโล่งมาก ก่อนหน้านี้สองสามวันผมแทบกินอาหารไม่ค่อยลงท้องเลย วันนี้เลยกินเต็มที่  ช่วงพักกลางวันผมเรียกให้ตัวเล็กมากินข้าวกับผม เป็นครั้งแรกหลังจากที่ผมติดภาระกิจอ่านหนังสือ ก่อนหน้านั้นก็กินด้วยกันเป็นครั้งคราว  ดูท่าทางมันดีใจมากเช่นกัน  ผมควักแบงค์ร้อย เลี้ยงเพื่อนๆหลังจากโดนรบเร้าให้เลี้ยงน้ำเลี้ยงกับข้าว  ทางฝ่ายแม่ค้าที่รู้จักกันก็เพิ่มกับข้าวให้เพื่อแสดงความยินดีด้วย  บอกแล้ว เป็นวันที่ดีมากๆ  ป้าโอ เมียภารโรงที่ขายขนมจีนก็แถมซะจนพูนถ้วย ผมกินขนมจีนน้ำเงี้ยวทีเดียวสามชามเลย แถมบังคับให้ไอ้ตัวเล็กร่วมโต๊ะกับเพื่อนๆผมจนอิ่มแปร้ไปตามๆกัน 


 

...............




...งานเลี้ยงเด็กหอ..  Part นนท์/ทัช...

   
   ช่วงเย็นวันศุกร์ ที่หอพัก มีการกินเลี้ยงกัน อาจารย์สุพลให้พี่อ้อ ภรรยา  ทำยำวุ้นเส้น และอาจารย์หอพักอีกสามท่าน อาจารย์รุ่งฤดี สอนวิชาภาษาไทย ม.ต้น (อาจารย์รุ่ง) อาจารย์ฐิติกมล (อาจารย์ชาย) สอนพุทธศานา  นักเรียนเรียกกันว่า ท่านชาย  ช่วยกันทำกับข้าวผัดกระเพรามาเลี้ยงนักเรียนหอพัก  จัดกันที่ลานเลี้ยงปลาข้างสระ ผมรู้สึกตึ้นตันใจเป็นอย่างยิ่ง  อาจารย์สุพลผู้ดูแลเด็กนักเรียนหอพัก กล่าวแสดงความยินดีที่เด็กนักเรียนหอพักในความดูแลของอาจารย์ม.6 รุ่นแรก สอบติดได้ เป็นความภูมิใจ ผมยิ่งรู้สึกตื้นตัน รู้สึกว่าตัวเองโดดเด่นเป็นพระเอกของงานเลยทีเดียว  และท่านยังกล่าวว่า สำหรับนายเขียว ครูเชื่อว่าจะสามารถสอบเอ็นทรานซ์ได้  ไอ้เขียวก็ขอบคุณอาจารย์  พวกเราต่างกินกันอย่างสนุกสนาน ส่วนอาจารย์สมฤทธิ์ อาจารย์ฝ่ายปกครองที่บ้านอยู่ริมสระตรงข้ามสนามบาส ที่เคยเฆี่ยนเด็กๆที่แอบกระโดดสระน้ำ ตามมาร่วมงานทีหลัง  และวันนี้พวกเราไม่ต้องเข้าห้องสตั๊ดดี้ เด็กๆก็เฮกันใหญ่  แล้วพวกเราก็ร่วมกันร้องรำทำเพลงดีดกีตาร์กันสนุกสนาน  อาจารย์รุ่งขอให้ช่วยดีดกีตาร์เพลงที่ผมโปรด ทำให้ผมอึ้งไปนิดๆ ผมก็จัดไปครับ เพลง ตัดใจไม่ลง  ร่ำๆกันว่า ท่านชอบพอกับ อาจารย์สมบัติ ที่สอนวิชาสังคมม.3 แต่ อาจารย์สังคมแต่งงานไปเสียก่อน กับอาจารย์ที่สอนที่โรงเรียนเวียงคำวิทยา อาจารย์รุ่งเลยอกหัก แต่พวกเราไม่มีใครกล้าพูดถึง เพราะอาจารย์รุ่งเป็นที่รักของเด็กนักเรียน  ผมเหลือบตาเห็นไอ้ตัวเล็กมองมาทางผม มันเคยบอกว่าให้ผมเปลี่ยนเพลงนี้ แต่วันนี้มันไม่มีสีหน้าเหมือนคนปวดขี้แต่อย่างใด แถมตบมือเชียร์และช่วยๆกันร้อง ผมเลยเปลี่ยนให้ไอ้ตัวเล็กเล่นบ้าง  ก็มีเสียงแซวจากไอ้ลิงสามสี่ตัว  พวกไอ้นพนั่นแหละแซวกันใหญ่ แต่ไม่มีใครสนใจ  ไอ้ตัวเล็กก็โชว์ฝีมือเต็มที่แม้จะมีติดๆขัดๆบ้าง

“กูนึกแล้วมันต้องเล่นเพลงนี้ “  ผมโพล่งหัวเราะขึ้นมา ใช่แล้ว โรงเรียนของหนู เพลงประจำตัวมันนั่นเอง

 และต่อด้วยเพลงเพื่อชีวิต รวมทั้งเพลงของวงคาราบาว จนกระทั่งหนึ่งทุ่มก็เลิกงาน เด็กๆช่วยกันเก็บจานชาม ส่วนอาหารเศษก็โยนเป็นอาหารปลา กล่าวผมขอบคุณอาจารย์ทุกคนที่มีเมตตาและดูแลอบรมพวกเรามาเสมอ งานนี้มีน้ำหูน้ำตาไหลด้วยความตื้นตันใจ  ไม่จบแค่นี้ พอกลับหอก็มีป้ายติดที่หอ มีรูปผมหราเลย และข้อความแสดงความยินดีจากเพื่อนๆและน้องๆชาวหอพัก  ผมถึงกับบ่อน้ำตาแตก  หันไปทางไอ้นพ ไอ้นพโบ้ยว่าไม่ใช่มันเป็นคนต้นคิด

 “โน่นน้องตัวดีของมึงมันไปรวบรวมมาจากทุกคนแล้วเอามาแปะ  มึงไปให้รางวัลมันโน่น”  มันบุ้ยใบ้ไปทางไอ้ตัวเล็ก ผมหันไปหามัน ทันที เจ้าตัวยิ้มร่าเลยเชียว

“ขอบใจมากไอ้ตัวเล็ก ขอบใจมาก ทุกๆคนด้วยนะ” ผมกล่าวพร้อมมองหน้าทุกๆคน

“ยินดีด้วยนะพี่ “  ไอ้เชษฐ์ยื่นดอกดาวเรืองที่เด็ดจากแปลงสวนหน้าหอมาให้

“ฮ่าๆ  ไอ้เชษฐ์มึงนี่ ไม่ลงทุนเลยนะ” ทุกคนก็หัวเราะกันครื้นเครง รวมถึงเด็กหออื่นๆเมื่อคุยกันไปสักพักก็แยกย้ายกันกลับหอใครหอใครหอมัน  ผมสังเกตเห็นความผิดปกติอะไรบางอย่าง แต่ยังไม่อยากพูดถึง

  เก็บของเข้าที่เข้าทาง ก็หยิบของใช้ส่วนตัวเดินไปอาบน้ำที่โรงอาบน้ำ  มีเสียงของเด็กๆจากหออื่นอาบน้ำคุยกันโฉงเฉง ระหว่างเดินเข้าประตูโรงอาบน้ำผมเห็นอะไรแว่บๆตรงสวนแปลงผัก  ผมวางของใช้ส่วนตัวทิ้งไว้ตรงขอบอ่าง แล้วเดินออกไปทางสวนแปลงผักด้านหลัง  ตอนนี้เกือบสองทุ่มแต่บริเวณรอบๆยังคงสว่างเพราะได้แสงสว่างจากดวงจันทร์ครึ่งเสี้ยว    ผมค่อยๆเดินย่องเข้าไปแต่ดันเหยียบพวกเศษใบไม้เสียงดังกรอบแกรบ จนอีกคนหันมา

 “พี่นนท์”.... ไอ้ตัวเล็กในชุดเปลือยท่อนบนใส่เพียงกางเกงนักเรียนและมีผ้าเช็ดตัวพาดบนบ่า

“ดึกดื่น มาทำบ้าอะไรตรงนี้” ผมเดินไปประชิดตัวในขณะที่มันกำลังจะเดินกลับออกไปยังโรงอาบน้ำ

 “ไม่มีอะไรครับพี่  เราไปอาบน้ำกันเถอะ”  มันดึงแขนผมจะเดินออกไป แต่ผมรั้งมันไว้

“มีอะไรอีก เล่าให้พี่ฟังได้นะ” ผมถาม

“ไม่มีอะไรจริงๆครับ “  มันยังยืนยันคำเดิม แต่ไม่มองหน้าผม

“แล้วเมื่อกี้ตอนอยู่หน้าหอ ทำไมทำท่าทางแบบนั้น “ ผมคะยั้ยคะยอ ไม่ลดละ เจ้าตัวเล็กเงียบไปชั่วครู่ แล้วตอบแบบกลั้วหัวเราะ
“ผมรีบเข้าห้องน้ำน่ะครับ สงสัยพิษยำวุ้นเส้นอ่ะ”  หันมาตอบผมแล้วยิ้ม แต่ผมรู้ว่านั่นมันฝืนชัดๆ

“แน่ใจนะ ว่าไม่มีอะไร”  ผมถามย้ำอีกมี มันก็ตอบแบบเดิม

“อื้ม ไม่มีอะไรครับ ป่ะ ไปอาบน้ำกันดีกว่า” ว่าแล้วก็ดึงแขนผมตามมันไป วันนี้มันใจดี จัดการถูหลังให้ผมด้วย

“พี่นนท์ก้มหัวหน่อยสิ ขอโทษนะ” แล้วก็ละเลงแชมพูเทใส่หัวผมแล้วเอามือเกาๆสามสี่ที แล้วก็หยุดไป ผมสบู่เต็มหน้า เห็นมันหยุดไปนานเลยเรียก

“ไอ้ตัวเล็ก ตักน้ำล้างผมให้ด้วยดิ”   แต่ก็เงียบ ไม่มีเสียงตอบ มีเพียงเสียงเด็กๆหออื่นที่กำลังตักน้ำอาบน้ำกันอยู่  ผมก็เริ่มแสบตา จึงลุกขึ้นตะโกน

“ไอ้ตัวเล็ก มึงไม่ได้ยินกูพูดเหรอ”   หันหลังไปดู อ้าวมันไม่อยู่นี่  มันวิ่งอ้อมอ่างน้ำไปด้านหน้าแล้วชี้หน้ามาทางผมพร้อมกับหัวเราะชอบใจ  ผมทำได้เพียงหรี่ตาเพราะน้ำสบู่เข้าตา

“ไอ้เด็กเวร เอาขันมานี่ น้ำสบู่เข้าตาพี่เนี่ย แสบหมดแล้ว” ตะโกนด่ามันไปมันก็ยังหัวเราะสนุกสนานที่ได้แกล้งผม เออ เดี๋ยวมึงจะโดน

 “ไอ้ห่า กูบอกมึงเอาขันมา ไม่เล่นด้วยนะ มันแสบตา เร็วๆ”  ผมตะโกนด่ามันเสียงจริงจังมันจึงเดินเข้ามาแบบกล้าๆกลัวๆ

“ผมขอโทษครับ ไม่คิดว่าพี่กำลังล้างหน้าด้วย”   ผมได้ขันน้ำก็รีบตักน้ำมาราดหน้าล้างหน้าขยี้ตา แล้วก็ล้างผมไปด้วย ทำทีใจเย็นๆไปก่อน พอเห็นมันเผลอ ผมรีบคว้าแขนมันดึงมาแล้วใช้ก้อนสบู่เคาะหัวมันไปแรงๆ

“จำไว้ มึงเล่นกันใคร นี่  โดนซะมั่ง”  พร้อมกับป้ายสบู่ไปที่หน้ามัน แต่มันก็มือไวนะ ปากก็ร้องโอ้ยมือก็ปัดสบู่ออกตกลงไปในอ่างน้ำ ยื้อยุดฉุดแขนกันไปมา อืมมันแข็งแรงขึ้นเว้ยเห้ย คนอื่นก็ร้องตะโกนเชียร์ ผมเลยบอกให้หยุดได้แล้วรีบอาบน้ำ

“จะรีบไปไหนล่ะครับ วันนี้เราไม่ได้เข้าห้องสตั๊ดดี้ซะหน่อย” เด็กหอสองตะโกนตอบมา

“ใช่ๆ พี่นนท์แก่แล้วลืม”  ไอ้ตัวเล็กมันเยาะเย้ยอีก

“เออ กูแก่ มึงจะเอาอีกมั๊ย” ผมทำท่าจะเดินปรี่เข้าไปมันก็รีบเบี่ยงตัววิ่งหลบไปทางด้านหลังอ่าง ผมเลยชี้หน้ามันทำปากมุบมิบ  มันก็เต้นเร่าๆล้อเลียน  กวนตีนนักนะมึง

“เดี๋ยวกลับหอมึงจะโดนหนักกว่านี้”  ผมเม้มปากชี้หน้าคาดโทษมันไว้ ตักน้ำราดทำความสะอาดตัวแล้วก็เดินออกจากโรงอาบน้ำไป ไม่สนใจว่ามันจะเดินตามมาหรือไม่

  เช็ดตัวทำธุระส่วนตัวเสร็จก็เอามุ้งลง ล้มตัวลงนอน แล้วหยิบหนังสือข้างหัวนอนมาอ่าน สักพักเจ้าตัวเล็กก็ตามมา มันเห็นผมอ่านหนังสือมันก็ไม่กล้าพูดอะไร ผมก็ทำเป็นไม่สนใจมันจนกระทั่งได้เวลานอน

“ไอ้นพ มึงลุกไปปิดไฟให้กูหน่อยดิ”  ผมเอาตีนยันเพดานคานแผ่นไม้ร้องเตียงชั้นบนพร้อมกับเรียกมันลุกไปปิดไฟ มันก็ด่ากลับมาว่ามันนอนแล้วให้ลุกไปปิดเอง

“เดี๋ยวผมไปปิดให้เองครับ”  ไอ้ตัวเล็กครับ มันลุกเดินไปปิดไฟโดยไม่รอฟังคำตอบจากผม  และผมเองก็ไม่ตอบไม่พูดอะไร เอนตัวนอนตะแคงหันไปทางด้านตู้เสื้อผ้า

“พี่นนท์ นอนแล้วเหรอครับ”  ผมไม่ตอบ มันเลยนอนตะแคงหันไปอีกทาง ผมเงียบ มันก็เงียบ ต่างคนต่างไม่พูดอะไรจนผมเริ่มเคลิ้มๆจะปิดตา มันก็ดึงแขนซ้ายผมให้หันมาทางมันด้วยความทุกลักทุเล แต่ผมก็ยังเฉยๆปล่อยมันฉุดๆดึงๆสองสามครั้ง  ความพยายามสูงมากนะมึง แต่พลังมันมีเยอะขึ้นตามตัวมันที่โตขึ้น ผมขำอยู่ในใจกับความพยายามที่จะดึงแขนผมไปกอดตัวมัน มันขยับเข้ามาชิดตัวผมมากขึ้นแล้วดึงแขนผมอีกที ผมเลยทำทีเป็นรู้สึกตัว

“มึงทำอะไรของมึงเนี่ย “ ผมถาม พยายามกลั้นขำเอาไว้

“พี่นนท์ กอดผมหน่อย” ว่าแล้วก็ยันตัวขึ้นแล้วลากแขนขวาผมไปรองไว้ใต้หมอนแล้วก็ดึงแขนผมพาดบนตัวมัน  เหอะๆ จัดแจงเองเสร็จสรรพ ผมล่ะหลุดขำหึๆ ออกมาแต่ยังคงสะกดกลั้นไว้  ทำเสียงจิ๊ปากแล้วเขกหัวมันหนึ่งทีเบาๆ ใช้แขนดันตัวมันขยับเข้ามาแล้วก็นอนกอดกันอยู่อย่างนั้น จนเผลอนอน  วันรุ่งขึ้นหอผมกลับบ้านกันหมด มีแค่ผมกับไอ้ตัวเล็กสองคน ยังนึกไม่ออกว่าจะชวนกันไปไหนดี แต่คืนนี้ นอนดีกว่า รู้สึกได้ว่า ตัวมันโตขึ้นกว่าตอนที่เห็นเมื่อสี่ห้าปีก่อน คิดไปคิดมาจนเผลอหลับไป



.........

หัวข้อ: ทัช..สัมผัสใจ ตอนที่9 ( 10 ก.ค. 2560)
เริ่มหัวข้อโดย: thewa.arak ที่ 10-07-2017 16:50:09
ตอนที่9



... แค่นั้นจริงๆ ........Partนนท์/ทัช...



      วันเสาร์ พวกที่กลับบ้านมันตื่นกันแต่ตีห้า เช้ามากๆ เพราะรถรับส่งผู้โดยสารเข้าหมู่บ้านรอบแรกเป็นรถที่มาจากตัวอำเภอเวียงคำ ผมก็ตกใจตื่นตอนได้ยินเสียงโหวกเหวกนั่นแหละ หันไปมองอีกคนมันนอนเอาตีนไปพาดกับเหล็กที่กั้นขอบเตียง นอนได้ใจจริงๆไอ้เด็กเปรต

“เด็กๆ ออกจากห้องแล้วปิดไฟปิดประตูให้พี่ด้วยนะเดี๋ยวยุงเข้า”  ผมร้องเตือน

“พี่นพ ฝากขอตังแม่ผมมาด้วยนะครับ ขอบคุณครับ” ไอ้ตัวเล็กมันเรียกไอ้นพพร้อมกับสั่งงาน จึงโดนไอ้นพดุ แต่ก็รับปากจะเอามาให้

“ไอ้ทัช คืนนี้ มึงอยู่กันสองคน มึงได้เสียตัวแน่ ระวังให้ดี”  ไอ้เนปากหมาเหมือนเคย คนอื่นหัวเราะชอบใจ ผมเลยสวนกลับทันที

“ไอ้เหี้ยเน มันกับกูได้กันทุกคืนอยู่แล้วเหอะ”  ยิ่งเรียกเสียงฮาได้อีก แต่ไอ้ตัวเล็กก็ได้แค่ยิ้มๆ  จนได้ยินเสียงฝีเท้าหลายคู่เดินออกไปพร้อมเสียงคุยกันจ้อกแจ้กจอแจ ผมก็นอนหลับต่อไม่สนใจคนข้างๆ

................

     ตื่นสายพากันอาบน้ำทำธุระ ซักเสื้อผ้าเสร็จ  ก็ชวนกันเด็ดผักคะน้าไปทำกับข้าวกินกันสองคนกับเด็กหออื่นๆที่ไม่กลับบ้าน  แล้วก็พากันลงไปเตะบอลกันที่สนามฟุตบอล แต่ผมไม่ไป ผมขึ้นมาทำความสะอาดหอพักเอาสายยางจากบ้านอาจารย์สุพลมาต่อก็อกน้ำฉีดล้างพื้น ตั้งแต่พื้นที่ส่วนห้องนอนยันออกไปหน้าหอฉีดล้างหมดรวมทั้งรดน้ำให้แปลงดอกไม้หน้าหอ ส่วนใหญ่เป็นต้นดอกเข็ม ด้านรอบวงในจะมีดาวเรืองเล็กน้อยสองสามต้น  ตามด้วยล้างห้องน้ำ ฝั่งซ้ายห้องน้ำสองห้องห้องอาบน้ำหนึ่งห้อง แต่น้ำไม่ไหลไม่มีใครอาบน้ำตรงนี้ เดินไปอาบที่โรงอาบน้ำกันหมด ฝั่งขวาเป็นพื้นที่โล่งไว้อ่านหนังสือ  อืมมม  ใครออกแบบวะ มีโต๊ะให้อ่านหนังสือ ติดกับห้องส้วมเนี่ยนะ ข้าวเที่ยงไม่กินมันละเพราะยังอิ่มๆ เสร็จจากงานผมก็นอนอ่านหนังสือบนเตียง พวกเด็กๆไปเล่นกีฬากันคงต่อด้วยไปดูทีวีที่บ้านภารโรงกระมัง
 ผมอ่านหนังสือไปจนเผลอนอนหลับไปเลย

..................................

 ช่วงเย็นผมทำกับข้าวเอง  ให้ไอ้ตัวเล็กไปตัดผักบุ้งมา ก็จัดการผัดใส่หมูสับที่ไปซื้อมาจากตลาดสดหน้าโรงเรียน  ใส่เส้นหมี่ ทำกินกับเด็กหอสองและหนึ่ง ส่วนหอหญิงกลับไปเมื่อสายๆได้ยินเสียงนักเรียนชาวลาวอิสานคุยกันอย่างออกรสชาติแล้วเพลินดี  ผมก็หัดพูดแต่มันก็ทำให้วงสนทนายิ่งตลกขบขันกันไปใหญ่

    ผมเก็บเสื้อผ้าที่แห้งแล้วเข้ามารีด แต่ไอ้ตัวเล็กบอกจะทำเอง ผมขี้เกียจเถียงมันเลยบอกมันให้ไปอาบน้ำก่อน มันก็ไม่ยอมจะให้อาบพร้อมกันผมรีดชุดนักเรียนไปได้หนึ่งชุดก็ให้มันรีดต่อ  พอมันจับเตารีดผมก็ให้มันรีดของผมทั้งหมดเลยอีกสามชุด มันก็บ่นนิดหน่อยผมทำหน้าดุใส่มันมันก็ยอมแต่โดยดี ผมเลยเบนความสนใจจากมัน ไปหยิบของใช้ส่วนตัวว่าจะไปอาบน้ำก็โดนขู่ว่าถ้าไปอาบก่อนมันจะไม่รีดให้ จึงต้องนั่งรอจนมันรีดเสร็จค่อยไปอาบน้ำ วันนี้มีคนน้อย และเราก็อาบน้ำกันตั้งแต่หกโมงเย็น  ขณะที่เราไปอาบน้ำกันก็มีเพียงเด็กหอหนึ่งคนเดียวกำลังอาบน้ำอยู่ แต่มันเสร็จก่อนจึงกลับไปก่อน  ผมกับเจ้าตัวเล็กอาบน้ำพร้อมกัน ทำแบบที่ทำด้วยกันมาแต่วันนี้ไม่มีเสียงดังเอะเอะโวยวายเพราะเด็กๆหอกลับบ้านกันเกือบหมด
   ทำธุระส่วนตัวกันเสร็จแล้ว ผมหยิบกีตาร์ออกมาเล่นที่หน้าหอ ไอ้ตัวเล็กก็ตามมาทีหลัง สักพักก็มีน้องม.3 หอ1เพื่อนรุ่นเดียวกับไอ้ตัวเล็กแต่อยู่คนละห้อง มาสมทบด้วยพร้อมกับเด็กหอสองอีกสองคน

“ไกรสร ..เราไม่กลับบ้านรึ” ผมถาม

“ไม่กลับครับ ฝากเพื่อนๆเอาของมาแทน” ว่าพลางก็พลิกหนังสือเพลง

“แล้วเม่ยบัวล่ะ (แล้วพวกเธอล่ะ) ทำไมไม่กลับบ้านกัน” ผมหันไปถาม อีกสองคน ก็ได้คำตอบแบบเดียวกัน แล้วก็ตั้งวงร้องเพลงกันสนุกสนาน แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมเด็กพวกนี้ถึงได้ชอบแต่เพลงแนวๆเพื่อชีวิตกันจัง ผมไม่ชอบคาราบาวไม่ชอบพงษ์สิทธิ์  จึงไม่ค่อยรู้เพลง รู้แค่เมดอินไทยแลน์เพลงเดียวที่ดังๆ ส่วนผมชอบเพลงจีนเพลงฝรั่งซึ่งฟังดูจะหัวสูงไปหน่อยสำหรับพวกเราเด็กบ้านนอก แต่มันเป็นสิ่งเดียวที่ผมชอบ ก็ชอบทางด้านภาษาอ่ะ ช่วยไม่ได้

 จนกระทั่งสองทุ่มแล้วจึงเลิกกลับหอใครหอมัน ไอ้ตัวเล็กชวนไปเดินเล่นรอบสระน้ำ แต่ผมขี้เกียจ บอกว่าจะทำการบ้าน มันก็เลยนึกได้ว่ามีการบ้าน จึงอยู่ทำการบ้านกันสองคนจริงๆแล้ว ผมไม่มีการบ้านหรอก แค่ขี้เกียจเดิน จึงอยากนอนอ่านหนังสือเฉยๆ
 
“เอ้อ พี่นนท์ พี่ได้โควต้าทั้งสองที่แบบนี้ พี่จะเลือกอะไรอ่ะ”  เจ้าตัวเล็กถามขึ้นมาทำลายความเงียบ

“อืม ใช่แฮะ แล้วคิดว่าพี่จะเลือกอะไรดี”  ผมถามหยั่งเชิง

“ผมไม่รู้หรอกครับ พี่ชอบอะไรก็เลือกอันนั้นแหละครับ”   เหอะๆ ตอบแบบกลางๆแบบนี้แล้วกูจะถามพวกมึงทำไมวะ หึ..
 
“ พี่ไม่ชอบคณะศึกษาศาตร์อ่ะ”   ผมตอบตามความเป็นจริง เพราะที่บ้านไม่ค่อยอยากให้เป็นครู และพี่มีความคิดฝังใจว่า จบคณะนี้ ก็มีงานเดียวคือเป็นครู ที่บ้านส่วนใหญ่จะชอบให้ลูกเรียนตำรวจทหาร วิศวะ อะไรแบบนี้มากกว่า แต่รุ่นเดียวกันกับผมนี่ทั้งหมู่บ้านมีผมคนเดียวที่สอบติดโควต้า เพื่อนรุ่นเดียวกันมีเจ็ดคนที่เรียนต่อมัธยมปลาย แต่มีผมคนเดียวที่ติดโควต้า นอกนั้นก็ต้องรอสอบเอ็นทรานซ์ ทั้งหมู่บ้านจึงมาชมแม่กันใหญ่ว่าเลี้ยงลูกมาดี

 เป็นปกติของชาวเขาแถวบ้าน ที่เริ่มหันมาให้ความสนใจในด้านการศึกษากับบุตรหลานกันมากขึ้น แต่ก็ยังมีชาวเขาบางกลุ่มบางพวกที่ยังคงยึดติดประเพณีดั้งเดิมคือต้องมีลูกเยอะๆไว้ช่วยงานบ้านงานสวน

“เออ  ทัช พี่ถามอะไรหน่อย”   อยู่ๆผมก็นึกบ้าอะไรขึ้นมาไม่รู้  มันแว่บขึ้นมาในสมอง

“อะไรเหรอครับ”   เจ้าตัวเล็กปิดหนังสือตัวเองแล้วนอนตะแคงเอาฝ่ามือรองแก้มทำเหมือนพระพุทธรูปนอน

“คราวก่อนมึงบอกว่า พี่จะจีบน้องโรส แล้วดูท่าทางมึงกะฟัดกะเฟียดมากเลย ถามจริงมึงเป็นอะไร”   ไม่รู้อ่ะนะ อยู่ๆก็นึกขึ้นมาได้เลยอยากถาม

“อืม ไม่รู้อ่ะครับ มันบอกไม่ถูก ไม่อยากให้ใครได้รับอะไรดีๆจากพี่ .. ไม่ใช่ .. คือเหมือนมันจะแบบว่าไม่อยากให้พี่ทำดีกับใครอ่ะครับ”  เจ้าตัวเล็กอธิบาย เป็นครั้งแรกที่คุยกันยาวๆ และพอดีวันนี้มีเราแค่สองคน ไหนๆก็คุยแล้ว จึงพุ่งเป้าเข้าประเด็นที่ค้างคามานาน

“มึงหมายถึง จะไม่ให้พี่มีเพื่อนเลยหรือไงวะ” ผมถามแบบติดตลก

“ไม่ใช่อย่างนั้นนะพี่  ไม่รู้อ่ะ มันบอกไม่ถูก พี่เหมือนเป็นพี่ชายของผม ผมเลยหวงมั๊ง”

“ขนาดนั้นเลย”

“เหมือนตอนที่ผมได้ยินพี่เขียวบอกว่าพี่แอบชอบพี่โรสอ่ะ ผมก็รู้สึกว่าหวงพี่มากเลยนะ”

ผมหันมามองหน้ามันเลิกค้วขึ้นสูงทำหน้าแบบว่ากูรอฟังอยู่นะ แต่มันก็หยุดไปผมจึงเป็นฝ่ายพูดขึ้นเพื่อไม่ให้ขาดตอน
“มึงเคยเป็นแบบนี้กับไอ้แทนบ้างป่ะ”  พอผมพูดจบก็หยุดจังหวะมองหน้ามันแต่มันเองแหละที่เป็นฝ่ายหลบไปก่อน ไม่จ้องมองตอบ

“ก็เป็นนะพี่ ผมก็ติดพี่แทนนะ ตอนพี่มาบ้าน ที่ผมบอกว่าผมเห็นพี่นอนกอดกันน่ะ”  ผมขยับตัวให้อยู่ในท่าที่สบายพร้อมกับตั้งอกตั้งใจฟังสิ่งที่น่าสนใจจากปากไอ้ตัวเล็ก

 “แล้วคิดว่ายังไงล่ะ”  เห็นมันเงียบเลยรบเร้าต่อ

“มันก็บอกไม่ถูก แต่คิดแค่ว่า พี่สองคนคงรักกันมาก”

“หือ”  ผมยักคิ้วซ้ายขึ้นสูง

“ก็คนบ้านผมเพื่อนที่สนิทกันมากเราทำให้กันแทบทุกอย่างอ่ะครับ”

“แต่ไม่เคยเห็นนอนกอดกัน เลยแปลกใจเหรอ”  ผมถาม เร่งรบเร้าคำตอบ

“ก็ใช่อยู่ แต่พี่แทนก็เคยนอนกอดผมนะ มันอุ่นดี”

“ก็เลยอยากให้พี่กอดบ้างงั้นสิ” 

“ก็อย่างงั้นแหละครับ”  มันตอบ

“อืม”  ผมพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้

“แล้วพี่ล่ะครับ ไม่ชอบเหรอ ถ้าพี่ไม่ชอบแบบนั้นผมก็จะไม่บังคับพี่หรอก”   มันพูดมีนำเสียงน้อยใจนะเนี่ย

“เห้ย ไม่ได้บังคับ พี่ยินดี แต่ช่วงแรกๆแค่งงๆ บางครั้งก็เผลอคิดไปว่านอนอยู่กับไอ้แทน”

“ผมเคยบอกแล้วไงว่าผมไม่ใช้ตัวแทนพี่เขานะ”   เจ้าตัวพูดออกมาด้วยท่าทางหงอยๆ ผมขำเล็กน้อยแล้วเปลี่ยนท่าเป็นนอนหงายขณะฟังมันพูด

“พี่เข้าใจ และพี่ก็รู้แล้วไม่มีใครแทนใครหรอก ทุกวันนี้พี่ก็เห็นมึงเป็นมึงนี่แหละ”

มันยิ้ม ดูท่าทางมีความสุขขึ้นมาทันที

 “แต่มึงมันขี้อ้อนว่ะ มีการมาดึงแขนไปเองด้วย”  ผมตบหัวมันเบาๆ มันถึงกับสะดุ้งลุกขึ้นนั่ง

“ห้ะ พี่นนท์รู้ด้วยเหรอ” 

“รู้สิวะ พี่ยังไม่นอนนิ แค่แกล้งนอนเฉยๆ”  ผมหัวเราะกับท่าทางของมันที่ดูเก้ๆกังๆกับท่าทางเขินๆของมัน

“เออ ถึงตาพี่ถามมึงบ้างละ “

“อะไรพี่”   มันทำตาโตเลิกคิ้วสูงหันมาถามผม

“ก้อ พี่ก็แอบรู้มาแหละว่ามึงชอบน้องดาว ใช่ป่ะ เป็นไงบ้างจีบได้ยัง” ผมตะแคงท่านอนเหมือนพระพุทธรูป ถามมันบ้าง มันก็ทำท่าทางเขินอาย

“ไม่ใช่หรอกพี่ แค่เห็นว่าน่ารักดีเฉยๆ แต่ไม่ได้จีบนะพี่อย่าว่าผมนะ”  มันโบกไม้โบกมือทำท่าปฏิเสธ

 ผมเอื้อมมือไปเขกหัวมันเบาๆ ขำกับท่าทางของมัน

“ใครจะไปด่ามึงวะ ถ้าชอบก็จีบสิ” ผมพูดแนะนำ

“ไม่ใช่นะพี่นนท์ ผมไม่ได้ชอบแบบนั้น ก็บอกแล้วไงว่าเห็นว่าน่ารักเฉยๆ ทีพี่ยังเห็นพี่โรสน่ารักได้เลย”   มันย้อนกลับมาวางระเบิดใส่ผมจนได้นะ

“อ้าวเกี่ยวไรวะ น้องโรสน่ะ แค่น้องสาว ไอ้ทศห้อง6/1มันเป็นแฟนกับโรสอยู่ไม่รู้รึไง” ผมอธิบาย

“ผมรู้ว่าวันที่เราไปร้านฟารีดา พี่หาซื้อของขวัญให้พี่เขาใช่ไหม ถ้าพี่ทศไม่ได้เป็นแฟนกับพี่เขา พี่ก็คงจะจีบพี่โรสใช่ไหม”  มันพูดน้ำเสียงจริงจังขึ้นมาทันที

“เฮ๊ย รู้ได้ไง  มึงไปถามใครมา”

“พี่เขียวบอก”   นั่นไงกูนึกแล้ว ไอ้เขียว ไอ้ห่าเอ้ย

 “ไม่จริงอ่ะ จริงๆแล้วพี่รู้นานแล้ว ศรีแพรบอกพี่ตั้งนานแล้ว มึงอย่าไปฟังไอ้เขียวมันมากนัก” 

   คุยกันไปจนดึกจึงเตรียมตัวเข้านอน ผมลุกไปฉี่และตรวจตรากลอนประตูปิดบานเกล็ดกันความหนาวเย็นตอนกลางคืนดึกๆ
   ดึงมุ้งลง ทับด้วยปลายที่นอนแล้วเข้านอนเลยทันที

“พี่นนท์ นอนข้างนี้สิครับ”  มันบอกชี้ให้ผมไปนอนที่ของมัน ผมขี้เกียจเถียงก็ทำตามอย่างว่าง่าย

“กอดผมด้วย”   นั่น มีสั่งกูด้วยเว้ย   แต่ผมก็ว่าง่ายนะทำตามที่มันบอก โดยไม่ลืมที่จะทับผ้าห่มซ้อนกัน  ผมสอดแขนซ้านวางไว้ใต้หมองตรงคอไอ้ตัวเล็ก อีกข้างก็กอดมันไว้ มันนอนตะแคงหันหลังและเอามือมาจับตรงข้อแขนผมไว้

“คืนนี้ไม่หนาวสักหน่อย” ผมแย้ง

“แต่ผมรู้สึกหนาวนะ” มันตอบ  ผมก็หัวเราะ ขี้อ้อนจริงๆไอ้เด็กเวร

 จนผมเริ่มรู้สึกเจ็บแขนจึงบอกให้มันขยับหัวออกจากหมอนผมจึงขยับแขนให้หายเมื่อย พร้อมกับนอนหงายแทน เจ้าตัวเล็กก็นอนตะแคงหันมาทางผมสองมือประสานกันทำท่าเหมือนคนนอนขดตัว แล้วก็ดึงแขนซ้ายผมมากอดมันอีก

“พี่กอดผมแล้วมันอุ่นดีครับ”  ว่าแล้วก็ขยับตัวเข้ามาในจังหวะที่ผมก็ขยับตัวและขยับแขนใต้หมอนเล็กน้อยทำให้หัวมันเซมาใกล้จนหัวมันมาชนกับต้นคอผม มันตกใจเล็กน้อย ผงกหัวขึ้นถาม

“พี่เจ็บป่าว ชนถูกพี่ไหมอ่ะ” 

“ไม่หรอก นอนเถอะ ดึกแล้ว” ผมตอบแล้วยกแขนใต้คอมันแล้วลูบหัวมันเบาๆ  ไอ้ตัวเล็กมันขยับหัวมาใกล้ผมยกแขนมาพาดกลางลำตัวผม แล้วจังหวะนั้น จมูกมันมาโดนแก้มผมพอดี ในระหว่างที่มันขยับตัวขยับท่านอนที่มันสบายที่สุด

“ขอโทษพี่ เจ็บแขนป่าว”   ผมหันไปมองมัน สายตาประสานกันพอดีเป็นผมที่เบือนหน้ากลับมาทิศทางเดิม


“ไม่เจ็บๆ อย่าคิดมาก”

“พี่นนท์ ผมรักพี่มากเลยนะ”  ผมอึ้งไปเลยเมื่อได้ฟังคำนี้

“ห่ะ หา “  มันก็ขยับเข้ามากอดผมแน่นเลย

“ตั้งแต่พี่แทนตายไปก็ไม่มีใครกอดผมเลย ผมเลยรักและหวงพี่มากไง ถึงไม่อยากให้พี่ทำดีกับใคร”  มันอธิบายจริงๆจังๆ ไม่มีแววตาเป็นแบบอื่น

“เราก็เป็นพี่น้องกันนี่ไง” ผมตอบตามสิ่งที่คิด

“ก็นั่นแหละ ผมรักพี่มากไง อยากให้เป็นพี่ชายผมจริงๆ”

“พี่ชายนะ “

“ครับ  ช่วงที่พี่ไม่ว่างมัวแต่อ่านหนังสือ รู้ไหมผมเหมือนตัวคนเดียวกิจกรรมที่เราเคยทำกันมาก็ไม่มี เดินก็เดินกลับคนเดียว มันเหมือนขาดอะไรไปอีกแล้ว ตอนพี่ไปสอบผมยังไม่อยากให้พี่จบเลยด้วยซ้ำ ถึงรู้ว่าผมติดพี่มากเลย”  พูดยาวมาก ผมได้แต่ฟังอย่างเดียว

 “งั้นเราเป็นพี่น้องกันแล้วนะ ต่อไปนี้พี่พูดอะไรก็เชื่อฟังพี่บ้างนะ”  ผมพูดเป็นเชิงข่มขู่ มันก็พยักหน้ารับ

“อืม นอนๆเถอะ พรุ่งนี้พวกนั้นมาค่อยชวนไปตลาดหาซื้อของกัน” 

ผมพูดพลางขยับตัวเข้าไปใกล้ๆมันแล้วใช้แขนอีกข้างกอดมันไว้แน่น จนจมูกผมอยู่ห่างแก้มมันไม่ถึงเซ็น แล้วอยู่ๆมันก็หันมากระทันหัน ใกล้เสียจนทำให้ริมฝีปากของเราทั้งสองคนแตะกันจังๆ  ผมตกใจเล็กน้อย นิ่งอึ้งไปชั่วครู่มันก็คงอึ้งๆตกใจทำอะไรไม่ถูก ไม่มีความรูสึกอะไร นอกจากตกใจอย่างเดียว จนผมเอ่ยปากขึ้นก่อน

“เห้ย พี่ขอโทษ จะกอดเฉยๆ ใครบอกมึงหันมาวะ”  ผมเอะอะใส่

“ขอโทษครับ พอดีผมจะบอกว่า พรุ่งนี้ชวนพวกพี่นพไปตลาดเวียงคำกันไหม”  มันอธิบาย

“อืมๆ ได้ๆ รอพวกนั้นมาแล้วพรุ่งนี้ค่อยว่ากัน  นอนๆได้แล้ว”  ผมสั่งแล้วรุนหลังมันให้นอนได้แล้ว และผมก็กอดมันตามเดิม  ต่างไม่พูดอะไรต่อ  ฟังแต่เสียงหรีดหริ่งร้องระงมขับกล่อมราตรีให้ผ่านไปอย่างมีความสุข





                         ...................................................................................

                                            การถูกคนที่เรารัก พูดโกหก
                          บางครั้ง มันก็เป็นสิ่งที่ดีกว่าการให้เขามาพูดความจริงกับเรา
                        เพราะว่าอย่างน้อย ช่วงนั้นก็ยังคงมีเรื่องราวดีดีที่ฝังอยู่ในความทรงจำ
                        ......................................................................................








  ............สัมภาษณ์รายงานตัว และรับน้องจังหวัด..........



       เดือนมีนาคม ก่อนสอบปิดปลายภาคเรียน วันที่ผมรอคอยมานานและตื่นเต้นที่สุดในชีวิตก็มาถึง  ผมแพ็กกระเป๋าเดินทางเตรียมเสื้อผ้าสำหรับการใช้ชีวิตในต่างถิ่นสองวัน แล้วเดินทางไปสมทบกับเพื่อนๆจากโรงเรียนอื่น  ที่ภูกามยาวพิทยาคม จากนั้นจึงขึ้นรถบัสลม (เพราะไม่ใช่รถแอร์) คือต้องเปิดหน้าต่างตลอดทาง ระหว่างทาง รุ่นพี่ก็สอนเพลงบนรถและร้องรำทำเพลง ส่วนใหญ่นักเรียนที่มาจากโรงเรียนเดียวกันก็จะเลือกนั่งอยู่ติดๆกัน ผมกับสิทธิกร(ไอ้ฮิน) นั่งด้วยกัน ส่วนเพื่อนนักเรียนหญิงนั่งด้านหน้าผมทั้งห้าคน รู้สึกเคว้งๆนิดหน่อย เพราะ 6/2 มีผมคนเดียว  อ้อ ..สรุปสุดท้ายผมก็เลือกคณะมนุษย์ศาตร์ นเรศวร แทน คณะศึกษาศาตร์ ม.เชียงใหม่

 ขบวนรถบัสของพวกเรา สองคัน แล่นผ่านจังหวัดแต่ละจังหวัด แพร่ ลำปาง อุตรดิตถ์ จนกระทั่งถึงพิษณุโลก เก็บสัมภาระเข้าที่พักฝั่งตรงข้ามมหาวิทยาลัย (ม.นอก)  แล้วทำกิจกรรมสันทนาการ พี่ๆสอนร้องเพลง และให้ทำความรู้จักกันไว้ แล้วแยกย้ายไปตามกลุ่มรุ่นพี่คณะใครคณะมัน วิชาเอกของผมมีรุ่นพี่สองคนมาจากโรงเรียนเวียงคำ พี่อั๋น และพี่เนตร พี่ๆสอนการแนะนำตัวเป็นภาษาญี่ปุ่นสอนการเขียนชื่อตัวเองเบื้องต้นผมก็จำๆและหัดเขียน แต่ออกเสียงยากฉิบ ทำไมมันต้องมีอะไรโตะๆ ขุๆ ไม่คุ้นลิ้นไม่ชินปากเลยแม้แต่น้อย 

จนกระทั่งกลางดึกพวกผมก็โดนรุ่นพี่เล่นงาน และผมก็เพิ่งรู้ว่า นี่น่ะหรือคือการ “ว๊าก” และการรับน้อง (จังหวัด) เริ่มด้วยการถามชื่อคนข้างๆในแนวตั้งแนวนอนและแนวทะแยงมุม  เมื่อตอบไม่ได้ก็โดนดุ หาว่ามาจากจังหวัดเดียวกัน คนแค่ สามสิบกว่าคนทำไมไม่รักกัน ต้องเรียนอยู่ในรั้วเดียวกันไปสี่ปี ไม่อยากรู้จักกันรึ  อะไรเทือกนี้  ผมทั้งตกใจทั้งกลัวสับสนปนเปกันไปหมด แต่คนอื่นก็ทำตามที่รุ่นพี่สั่งทุกอย่าง  ให้กอดคอกันบนลานพระรูปเสด็จพ่อองค์ดำ เรียงแถวกอดคอนั่งยองๆ ให้ยุงกัด แม่งให้ตายสิพับผ่า จนผมจะอดทนไม่ได้ ก็มีเพื่อนๆเป็นลม ฉุกละหุกจนวุ่นวายกันไปหมด สุดท้ายก็ผ่านไปด้วยดี ผมกลับมาที่พักเห็นตุ่มจากยุงกัดขึ้นเป็นตุ่ม คิดแล้วก็แค้นพวกรุ่นพี่มาก รับน้องแบบนี้มันจะได้อะไรวะ  ผมคิดในใจ

   รุ่งขึ้น เป็นวันสัมภาษณ์ อาจารย์นวภาเป็นผู้สัมภาษณ์กับอาจารย์ทาเอโกะ เราก็แนะนำตัวตะกุกตะกักตามที่รุ่นพี่สอนมา รู้สึกกระดากปากยังไงพิกล เสร็จแล้วพวกรุ่นพี่วิชาเอกภาษาญี่ปุ่น (พี่ๆสอนเรียกเอกตัวเองว่า เอกแจ๊พ JAP) ก็มาแนะนำตัวและให้พวกเราทุกคนรู้จักกัน  สรุป ในชั้นปี1ของผมมีทั้งหมด 19คน น้อยมากๆ  ในจำนวนนี้ มี นายไพรัชต์ (แก๊ป) นายอเนก (ทิว) นายคมสันต์ (คม) ที่ผมคุยๆด้วย และแลกเปลี่ยนที่อยู่กันจนครบทุกคน 

   นี่น่ะหรือคือ มหาวิทยาลัย ทำไมมันช่างใหญ่โตแบบนี้ แม้อาคารจะยังมีไม่มาก แต่จำนวนคนก็มากพอ เห็นคณะสาขาอื่นมีตีกลองรับน้อง ดูสนุกสนานกันดีจัง ชักอยากจะให้ถึงวันเปิดเทอมของมหาวิทยาลัยแล้วสิเนี่ย ท่าทางจะสนุกไม่ใช่เล่น
  ก่อนเดินทางกลับ ผมยกมือไหว้พระรูปของเสด็จพ่อองค์ดำ ผมจะมาฝากตัวเป็นลูกศิษย์ของท่านในไม่ช้านี้แล้ว โปรดดูแลปกป้องคุ้มครองลูกด้วยเทอญ

ขากลับพวกเราก็ยังมีการร้องรำทำเพลงกันสนุกสนานครื้นเครง แต่มีเหตุระทึกเกิดขึ้นช่วง รอยต่อระหว่างอุตรดิตถ์และแพร่ รถอีกคันเกิดยางระเบิด ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่เราก็ต้องทนนั่งรอไปกว่าสองชั่วโมง จนผู้รับผิดชอบได้ติดต่อเพื่อนเพื่อซื้อและเปลี่ยนยางเส้นใหม่ กว่าจะเสร็จและออกเดินทางได้ ก็ล่าช้าไปสองชั่วโมง  การเดินทางนี้ครั้ง ทำให้ผมปวดหัวอย่างมาก กลับถึงบ้านเป็นไข้ไปสามวัน เหน็ดเหนื่อยจากการรับน้องเบาๆและการเดินทาง แต่ประสบการณ์นั้นยังคงติดตรึงอยู่ในใจ     


..............

หัวข้อ: ทัช..สัมผัสใจ ตอนที่ 10 ( 10 ก.ค. 2560 )
เริ่มหัวข้อโดย: thewa.arak ที่ 10-07-2017 16:56:00
ตอนที่ 10


...ความรู้สึกที่ไม่รู้ว่ามันคืออะไรกันแน่....  Part นนท์/ทัช...

     

    กลับมาจากการสัมภาษณ์รายงานตัว ก็ถือเป็นอีกช่วงที่ต้องห้ำหั่นกับการอ่านหนังสือสอบปิดปลายภาคเรียน ตั้งแต่กลับมาผมก็เล่าประสบการณ์ให้เพื่อนๆในห้องฟังต่างคนต่างก็ตื่นเต้นยินดีไปกับผม ในใจลึกๆก็หวั่นไหว ว่าเมื่อตัวเองไปเรียนต่อแล้วไม่มีเพื่อนแบบ6/2ก็คงลำบากไม่ใช่น้อย ความสนิทสนมคุ้นเคยไม่ว่าจะเป็นเพื่อนนักเรียนหรืออาจารย์กับนักเรียน จะสนิทสนมมากกว่าตอนเรียนมัธยมไหมน้อ คิดๆแล้วก็ทั้งตื่นเต้นทั้งกลัว แต่มันยังมาไม่ถึง เราต้องสู้ๆ
  ระหว่างช่วงอ่านหนังสือสอบผมก็ไม่ได้สนใจกิจกรรมต่างๆทั้งในโรงเรียนและหอพัก  ในส่วนของชมรมก็ให้น้องม.5เป็นผู้ดูแลไป หอพักนักเรียนผมก็มอบให้ไอ้เชษฐ์เป็นผู้รับผิดชอบต่อ ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือไม่ แต่ช่วงนี้กิจกรรมไม่ค่อยมี และคาบเรียนก็ว่างมาก อาจารย์ปล่อยให้อ่านหนังสือสอบ สำหรับนักเรียนที่ตั้งใจจะสอบเอ็นทรานซ์แทนการสอบโควต้า
  ช่วงพักเที่ยงวันนี้ผมไม่ได้ลงไปกินข้าวที่โรงอาหาร รู้สึกไม่หิว พอดีไอ้สูมันเดินมาถามเกี่ยวกับมหาลัย จึงนั่งคุยกันไปเรื่อยเปื่อย

“นนท์ นายจะไปอยู่หอม.หรือเปล่าวะ” 

“อืม เราจะลองถามเพื่อนดูก่อน เพื่อนมันก็ชวนไปอยู่กับป้ามันที่ ม.นอกเลย “  ผมตอบ 

“ดีว่ะ ยังไม่ทันไรก็มีเพื่อนแล้ว”   ไอ้สูพูดหยอก

“เพื่อนเอกเดียวกับเราเนี่ยแหละ วันที่เราไปสัมภาษณ์ไง เอกเราเขามีที่อยู่มีเบอร์ติดต่อกันครบทุกคนเลยนะ นายไม่มีบ้างเหรอ”  ผมถามด้วยความสงสัยเพราะอย่างน้อยก็โดนรุ่นพี่ว้ากไปว่าต้องทำความรู้จักกับเพื่อน และรุ่นพี่ในเอกJapก็บอกให้ขอที่อยู่ติดต่อกันไว้

 “ไม่มีอ่ะ ของเรายังไม่มีอะไรเลยนะ ในคณะเรามีแต่พี่ๆพาไปห้องนั้นห้องนี้เท่านั้นเอง”  ไอ้สูอธิบาย ผมรู้สึกว่ามันดูท่าทางหงอยๆ เลยสงสัยว่ามันดีใจหรือเสียใจกันแน่

“สู  นายดีใจหรือเปล่าที่ได้โควต้า “

“ดีใจสิ แต่มันไม่ใช่คณะที่เราเลือกไว้ไง”

“คณะอะไรที่นายเลือกไว้”  ผมถามด้วยคาวมอยากรู้เพราะเดาว่าเด็กห้อง6/1คงเลือกวิศวะกระมัง

“คณะวิทยาศาตร์ สาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์” มันตอบ ท่าทางดูผิดหวัง

“อ้าวเหรอ เราก็นึกว่าเด็กห้องหนึ่ง คงเลือกวิศวะกันซะอีก”  ผมพยักหน้าและพูดออกไปตามที่คิดไว้

“ก็เลือกกันนะ แต่เห็นมั๊ยล่ะ ไม่ติดสักคน”  มันพูดพร้อมหัวเราะหึๆในลำคอ

“เอาน่ะ เดี๋ยวยังมีรอบเอ็นทรานซ์นิ หรือนายอยากจะเอ็นทรานซ์อีกรอบ” 

“คงไม่ละ ช่างมันเถอะ คณะเกษตรศาตร์ก็ดีเหมือนกัน จบมาจะได้กลับมาช่วยพ่อแม่ทำไร่ทำสวน”

“อย่าพูดอย่างนั้น อนาคตใครจะไปรู้ว่าเราจะเป็นอะไร”

“โอ๊ย อย่างพวกเรามันก็แค่ชาวดอย บรรพบุรุษพาทำไร่ทำสวนกัน เราก็คงไม่พ้นหรอก”  มันตอบแบบไม่ค่อยเต็มเสียงนัก เหมือนประชดมากกว่า

“คิดมากไปแล้ว อย่าเพิ่งไปคิดเลย มันยังอีกยาวไกล”  ผมตบบ่าให้กำลังใจมัน 

“ว่าแต่นายจะอยู่กับเพื่อนใช่ป่ะ เราคงอยู่หอในอ่ะ” 

“เราต้องติดต่อเพื่อนเราดูก่อนอ่ะ”  ผมตอบแบบลังเล

 “อ้าว ไอ้สองคนนี่มานั่งปรึกษาไรกันวะ เบื่อพวกติดโควต้าโว๊ย”  เสียงไอ้บอลลอยมาแต่ไกลขนณะที่มันเพิ่งจะก้าวขาข้ามพ้นขั้นบันได้ขั้นบนสุดแล้วเห็นหน้าผมพอดี

“ไอ้สู ยินดีด้วยว่ะ มึงดูแลเพื่อนกูด้วยนะ”  ไอ้บอลตบบ่าไอ้สูแล้วพูดเสียงดัง ไอ้สูก็ยิ้มอย่างเดียว

“เออ มึงไม่ต้องห่วงกูหรอก มึงรีบห่วงสอบเอ็นทรานซ์ของมึงเหอะ จะเอาที่ไหนล่ะ” ผมถามมันแบบไม่ตั้งใจถาม นัก

“เฮ๊ยอย่างกูต้องวิศวะจุฬาฯเล๊ย “  มันตอบพร้อมกางนิ้วโป้งนิ้งชี้ไปทาบที่คางตัวเอง ถุยนึกว่ามึงเท่ห์นักเหรอวะ

“วิศวะพ่อมึงสิ เรียนสายศิลป์จะไปสอบวิศวะ  กูว่ามึงไม่ต้องไปสอบละไอ้เอ็นท้งเอ็นท้านน่ะ ไปเป็นวิศวะวิเคราะห์การทำไร่ทำนาไปเหอะ”  ไอ้สงค์เดินมาตบหัวไอ้บอลพร้อมพูดเยาะเย้ยใส่  ไอ้บอลด่าส่งอวัยวะเพศชายให้แล้วมันก็วิ่งไล่เตะกัน   พอดีที่ไอ้สูก็ขอตัวกลับไปเตรียมตัวเรียนภาคบ่ายต่อ

.......................

   ช่วงเย็น ผมนั่งริมม้านั่งหินอ่อนที่สวนต้นสักระหว่างอาคาร1กับโรงอาหาร นั่งอ่านหนังสือเพลินๆก็มีน้องๆม.ต้นที่อยู่ชมรมเดียวกัน มาทักทายบ้าง มาแสดงความยินดีบ้าง ผมก็ยิ้มรับทุกคน แต่ในใจมันรู้สึกโหวงๆชอบกล

 “พี่นนท์”  เสียงคุ้นหูทักมาทางด้านหลัง ผมแทบไม่ต้องหันไปมองก็รู้ว่าใคร

“ว่าไง มีอะไรล่ะ” ผมพ่นลมหายใจแล้วถามออกไป ช่วงนี้เด็กๆกำลังทยอยกลับบ้านกัน

“วันนี้พี่ติวให้ผมหน่อยนะ”  มันพูดโดยที่ยังไม่ลงมานั่งร่วมโต๊ะกับผม แว่บแรกผมก็หงุดงหงิดนะ แต่ในเมื่อมันอยากเล่นสงครามประสาทกับผมผมก็จะเล่นกับมัน

“ไม่ว่าง พี่ต้องอ่านหนังสือสอบ”  ผมตอบโดยที่ไม่หันไปมองมันเช่นกัน  ดูสิความอดทนของใครจะพังทลายก่อนกัน

“งั้นไม่เป็นไรครับ ”    ผิดคาดแฮะ ไม่อิดออดไม่กวนประสาทเหมือนเมื่อก่อน

“.............”   ผมเห็นว่าบรรยากาศมันเงียบๆ หรือว่ามันจะงอนจนร้องไห้อีกวะเนี่ย

ทันเท่าความคิดผมรีบหันหลังไปมองมัน แต่ปรากฏว่า มันเดินไปทางที่จะขึ้นหอพักแล้ว
เล่นเอาผมอึ้งไปเลย  ไอ้ตัวเล็กมันมันงอนผมแน่นอนไม่ต้องสงสัย  ตั้งแต่ช่วงผมไปสัมภาษณ์และรับน้องจนถึงตอนนี้ผมก็ไม่ค่อยได้คุยกับมันเลยนะเนี่ย นอนก็นอนทีหลังมัน  ช่วงนี้ผมเองก็รู้สึกเหนื่อยๆด้วยแหละ  อืม นี่ผมทำอะไรผิดไปอีกแล้วใช่ไหมไอ้น้องชายก็ขี้งอนยังกะอะไรดี  ผมนั่งนึกๆย้อนไปก็รู้สึกว่าผมมัวแต่อ่านหนังสือเลยลืมอะไรบางอย่างที่ดีกับผมมาตลอด  ผมเก็บกระเป๋าสะพายเดินกลับหออย่างเซ็งๆ กะว่าคืนนี้จะชวนมันไปอ่านหนังสือบนห้องเรียนผม แต่พอมาถึงหอก็ไม่เห็นมันแล้ว ถามไอ้สูมันก็ไม่รู้เรื่อง  อืม งอนชัวร์ ไอ้ตัวเล็กเอ้ยย

 หกโมงกว่าแล้ว ผมถือขันไปอาบน้ำ แต่พอถึงโรงอาบน้ำ ก็เห็นไอ้ตัวเล็กมันกำลังซักเสื้ออยู่  ผมกะจะแกล้งมันเลยเดินย่องๆโดยไม่ให้มันรู้ตัว พอถึงตัวก็ตะโกนจ๊ะเอ๋พร้อมกับเอานิ้วจิ้มสะเอว มันก็ร้องเหวอจนเสียงหลงครับ แต่พอมันเห็นว่าเป็นผมมันก็หุบปากเงียบแล้วก้มหน้าก้มตาซักผ้าต่อ ไม่พูดจาไม่ตอบไม่เล่นด้วย อืม ชักโมโหขึ้นมาละ

 “เอาเสื้อพี่มาซักด้วยรึป่าวเนี่ย”

“...............”   เงียบไม่มีเสียงตอบ  ผมยืนขึ้นแล้วมองมันอย่างใช้ความคิด ไอ้นี่ จะจัดการกับมันยังไงดีหว่า ง้อคนไม่ค่อยเป็นซะด้วยสิ

“เอ้า  พี่ถามทำไมไม่ตอบ”

   ผมก้มลงเอามือช้อนคางมันขึ้นมา มันมองหน้าผมแว่บหนึ่งแต่ก็ยังคงไม่พูดอะไรเช่นเดิม

“ไม่เป็นไร พรุ่งนี้พี่ซักเองก็ได้วะ”  ว่าแล้วก็เดินไปที่อ่างน้ำ เตรียมตัวอาบน้ำ พอจะตักน้ำราดหัว ก็เห็นมันยกถังผ้ามาใกล้กับผมแล้วก็ซักเสื้อต่อ  ผมก็ งงๆกับกิริยาอาการของมันแต่ไม่สนใจ ไม่พูดก็ไม่พูด ผมจัดการตักน้ำราดหัวราดตัวสองสามขันแล้วเทแชมพูใส่ผมละเลงทั่วศรีษะ ถูๆเกาๆสี่ห้าครั้งแล้วตักน้ำราดล้างแชมพูออกจนเสร็จก็เห็นมันซักเสื้อผ้าเสร็จแล้ว  แต่ผมก็ไม่สนใจ ตักน้ำราดตัวอีกสองขันตามด้วยสบู่ลักส์ถูตัวต่อ เห็นมันตักน้ำราดตั้งแต่หัวจรดเท้า สักพักก็คว้ามือผม ผมก็ตกใจเล็กน้อย มันจะมาไม้ไหนวะเนี่ย  และแล้ว มันก็เทแชมพูลงบนฝ่ามือผม

“มึงเป็นบ้าอะไรวะ กูสระหัวแล้ว”  ผมเสียงแข็งใส่  แต่มันไม่ตอบ ขยับเท้าเข้ามาหนึ่งก้าว ก้มหัวแล้วชี้ไปบนหัวมันเอง  หึๆ ไอ้เด็กเวร มึงเป็นบ้าอะไรของมึง เฮ้อ  ผมได้แต่ส่ายหัว แล้วก็จัดการสระผมให้มันโดยไม่พูดอะไรกันเลย อืม กูถือว่าไถ่โทษที่ทำผิดต่อมึงก็ได้นะ  ไอ้เด็กเวร ไม่พูดก็ไม่ต้องพูด เงียบๆสักวันก็ดีเหมือนกัน จัดการส่วนหัวมันเสร็จก็ตักน้ำราดตัว ตามด้วยถูสบู่ให้มัน  มันก็ยกแขนขึ้นโดยไม่ต้องพูดอะไรให้มากความ ผมก็ช่วยถูหลังถูรักแร้ให้ เพิ่งสังเกตนะเนี่ยว่ามันมีขนขึ้นรักแร้อยู่รำไรๆ   อืม เห็นกันมาแต่เด็กจนโตเลยแฮะไอ้น้องชายคนนี้ 

 “เอ้า ที่เหลือมึงจัดการเอง คงไม่ต้องให้กูถูหำให้มึงนะ”  ผมพูดหยอกล้อ หวังให้พูดกับผมบ้าง แต่พูดไปก็เสียดายน้ำลายเปล่าๆ เพราะมันยังคงเงียบ ผมเลยจัดการธุระตัวเองจนเสร็จ แล้วถอดกางเกงออกซัก แต่พอดีว่าไอ้ตัวเล็กมันคว้าไปซักเองพร้อมกับของมันทั้งกางเกงและกางเกงใน  ผมมองดูมันแล้วส่ายหน้า แต่ก็ไม่มีใครพูดอะไร ผมยืนดูจนมันซักเสร็จจึงเดินกลับ มันก็ไปตากผ้า  คราวนี้ผมไม่สนใจอะไรละ เตรียมตัวจะออกไปอ่านหนังสือ

 “ไอ้นพ ไอ้ต๋อง คืนมึงจะไปอ่านหนังสือกับกูป่าวไปห้องเรียนเรานั่นแหละ” ผมเอ่ยชวนไปงั้นเพราะรู้ว่ายังไงมันก็ไม่ไปกับผมหรอก

 “มึงเป็นบ้าอะไรอยู่ๆมาชวนพวกกู”  ว่าพลางก็กระโดขึ้นเตียง

“มึงยังต้องไปอ่านอะไรนักหนาวะ โควต้าก็ได้แล้ว อาจารย์คงไม่ให้มึงสอบตกหรอก”  ไอ้เนโพล่งขึ้นมา อืม นานแล้วที่ไม่ค่อยได้พูดถึงมันกับไอ้ต๋องเลย  ตอนอยู่ในห้องเรียนก็ไม่ค่อยได้คุยกันเพราะมันจะอยุ่ในกลุ่มเฮ๊ว ที่แม้แต่เพื่อนๆก็ไม่ค่อยอยากสุงสิง
“มันไม่เกี่ยวป่าววะ สอบก็คือสอบ คะแนนมันก็ต้องดีๆบ้าง เผื่อกูอยากเอ็นทรานซ์ขึ้นมาจะได้มีเกรดสวยๆ”  ผมหันไปพูดดีๆกับมันไม่กี่ครั้งในรอบปี

“ไปเหอะ พวกกูอยู่นี่แหละ มึงก็เอาเด็กมึงไปด้วยละกัน”  มันหันไปทางไอ้ตัวเล็กที่กำลังเปลี่ยนเสื้อผ้า   ผมหันหน้าไปมองไอ้นพ ส่งสายตาเหี้ยมๆใส่ พร้อมยักคิ้วยักไหล่ เป็นเชิงบอกว่า วันนี้กูกับมันไม่คุยกัน (อีกแล้ว)

 “ตัวเล็กไปกับพี่ป่าว”  ผมแกล้งถามไปงั้น และก็เป็นไปตามคาด มันทำเป็นไม่สนใจไม่ได้ยิน ผมก็หัวเราะหึๆในลำคอ ไอ้นพก็ส่ายหัว  ผมไม่พูดอะไรต่อ หยิบสมุดหนังสือ เดินออกไปทันที

   ..............

ที่ห้อง6/2 ห้องประจำของผมเอง

  ผมเปิดไฟเพียงสองดวง อ่านหนังสือเงียบๆคนเดียว อ่านไปอ่านมา แต่ภาพไอ้ตัวเล็กกับท่าทางกวนๆของมันกลับลอยเข้ามาหลอกหลอนตลอดเวลา จนกระทั่งเวลาสามทุ่ม ผมคิดว่าน่าจะพอเท่านี้ก่อนจึงกะว่าจะกลับหอ แต่ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างที่หน้าประตู เสียงแกรกๆดังอยู่สองสามครั้ง ผมตกใจไม่น้อย แต่ทำใจดีสู้เสื้อ เดินไปเปิดประตู (ซึ่งไม่ได้ล็อค)  ชะโงกหน้าออกไปดูซ้ายขวาก็ไม่มีอะไรนี่นา หรือผมจะหูฝาด  หรือภารโรงมาแกล้งผมรึเปล่าน้อ จึงไม่ได้สนใจอะไรนัก เพราะมีครั้งหนึ่งที่ภารโรงแกเดินขึ้นมากะจะมาปิดไฟ แต่เห็นผมอ่านหนังสือ แกก็เลยบอกว่า ลงไปแล้วอย่าลืมปิดไฟ  ครั้งนี้แกจะมาแกล้งผมรึเปล่าเนี่ย คงไม่มีอะไรหรอก  แต่พอเดินกลับมาที่เก้าอี้ เสียงแกร่กๆนั่นก็ดังขึ้นมาอีก

 “เดี๋ยวผมปิดไฟเองครับ ผมกำลังจะกลับแล้ว”  ผมตะโกนออกไปพร้อมกับก้าวขายาวๆไปทางประตู เปิดออกมองซ้ายขวาไม่มีใครเช่นเดิม ผมรู้สึกขนลุกซู่ขึ้นมาทันที นี่มันอะไรกัน ไม่ไหวละ ผมรีบวิ่งเข้าไปเก็บสมุดหนังสือและเครื่องเขียน แต่ก็ได้ยินเสียงแกรกๆอีกสองสามครั้ง ครั้งนี้เสียงหนักกว่าเดิม  ผมถอยกลับไปทางหลังห้องริมสุดใกล้หน้าต่าง เผื่อมีอะไรจะได้หลบออกทางระเบียง  เสียงบิดลูกบิดประตูสองสามที ผมเตรียมเอื้อมมือจะเปิดหน้าต่าง  ทันใดนั้น ประตูห้องเรียนก็เปิดออก  ผมตกใจมาก

 “เฮ๊ย”   ผมร้องเสียงหลง   แต่ไม่มีใครเลย  ไม่ได้การละ เป็นไงเป็นกัน กูจะเปิดหน้าต่างหนีลงทางระเบียงด้านหลังนี่แหละ ทันเท่าความคิด ผมเอื้อมมือไปเปิดหน้าต่างทันที แต่เสียงหนึ่งทำให้ผมชะงัก

“พี่นนท์” 
 ผมชะงักมือที่กำลังดึงกลอนหน้าต่างขึ้น หันไปทางประตู มันไม่ใช่ใครหรืออะไรอย่างที่ใจผมคิด ไอ้ตัวเล็กครับ ไอ้ตัวเล็กมันยืนอยู่ตรงประตู  ผมขาแข็งยืนอยู่กับที่ รู้สึกได้ว่า ขนแข้งขนขาลุกซู่ชูชัน   ผมกัดฟันกรอดด้วยความโมโห  ไอ้ตัวเล็ก มึงจะเล่นเกินเลยไปแล้ว มันเดินมาหยุดอยู่หน้าผม มองหน้าผม

“ผมขอโทษ ที่ทำให้ตกใจ ผมอยากแกล้งพี่ดูบ้าง แต่ไม่คิดว่าจะทำให้พี่กลัวขนาดนี้ ผมขอโทษ”  มันยกมือไหว้ผม หน้าตาท่าทางอ้อนวอนเต็มที่ แต่ผมก็โมโหเลือดขึ้นหน้า หนอยมาทำแบบนี้อย่าหวังว่าจะให้อภัยง่ายๆ ผมฝ่ามือเบิ๊ดกะโหลกมันไปเต็มแรง เท่าที่พละกำลังผมมีจนมันเซ
“ไอ้เหี้ย “ ผมตะคอกมันเสียงดัง 

“มึงทำแบบนี้ทำไม มันสมควรจะทำแบบนี้มั๊ย ถ้ากูหัวใจวายขึ้นมามึงจะทำไง”  ผมเอ็ดใส่มันเสียงดังก้องทั่วทั้งห้อง

“ผมขอโทษ พี่นนท์ ผมขอโทษ”  มันยกมือไหว้พร้อมกับหยดน้ำตาพร่างพรูออกมา แล้วก็พูดขอโทษๆ อยู่อย่างนั้น  ผมรู้สึกได้ว่าตัวเองแขนขาสั่นไปหมด ทั้งโกรธทั้งโมโหทั้งสงสาร

 แต่เห็นมันร้องไห้แบบนี้แล้ว ก็จุก พอสติสตังกลับคืนมาได้ ประกอบกับเห็นมันเมื่อกี้ผมคงตบหัวมันแรงมากเกินไปแน่ๆ เพราะมันถึงกับเซเลยทีเดียว ผมมองมือตัวเอง แล้วตบลงบนโต๊ะ ผมทำบ้าอะไรลงไป มันโกรธมันเสียขวัญก็จริง แต่ผมไปเบิ๊ดกะโหลกมันเต็มแรงแบบนั้น มันคงเจ็บมาก  กว่าจะตั้งสติได้ก็รู้สึกผิดมหันต์   พ่อกับแม่มันเคยทำกับมันแบบนี้ไหม แล้วกูเป็นใครมาทำกับมันแบบนี้

   ฝากด้วยนะ..... เสียงอะไรลอยมาเข้าหู   ผมเริ่มใจไม่ดี  รู้สึกน้ำตาปริ่มๆ  มองคนตรงหน้ายังคงก้มหน้าสะอึกสะอื้น  สงสารมันจับใจ ผมก้าวเท้าเข้าหาไอ้ตัวเล็ก ลูบหัวตรงที่โดนผมตบ พร้อมกับดึงมันมากอด

“พี่ขอโทษนะ พี่ขอโทษ เจ็บมากไหม”  เท่านั้นแหละ มันก็กอดผมแน่เลยและปล่อยโฮออกมาเต็มที่อีก ผมก็เจ็บไม่แพ้กัน น้ำตาไหลออกมาเอง

 “เจ็บมากไหม พี่ขอโทษนะ พี่เผลอตัวทำให้เราเจ็บอีกแล้ว”

“ไม่เจ็บครับ แค่นี้ผมทนได้ ผมทำผิดเองผมต่างหากที่ต้องขอโทษ”  มันพูดไปสะอึ้นไป

“พี่ขอโทษจริงๆนะ “ ผมกอดมันไว้พลางลูบหัวปลอบใจ

“ช่วงนี้พี่ไม่ค่อยคุยกับผมเลย ไม่สนใจผมเลย ผมแค่ รู้สึกเหงา จึงอยากแกล้งพี่บ้าง แต่ครั้งนี้คงทำเกินไป ขอโทษนะครับ”   ไอ้ตัวเล็กผละจากผมยกมือไหว้อีก  ผมงี้ยิ่งจุกที่อกมากขึ้นไปอีก กูแค่ตกใจขวัญเสีย แต่กูทำมึงเจ็บทั้งกายทั้งใจ ผมคว้ามือมันไว้ไม่อยากให้มันมาไหว้อีก

 “พอๆไม่ต้องไหว้ พี่ผิดเอง พี่ผิดเอง ที่ไม่ค่อยมีเวลาเหมือนเดิม” พูดพลางก็คว้าตัวมันมากอดไว้แน่นอีกครั้ง มันก็กอดผมแน่นเลย

“ผมไม่มีพี่ชายแล้ว ผมแค่อยากให้พี่สนใจผม เป็นพี่ของผม”

“อืม พี่อยู่นี่แล้ว อยู่ตรงนี้แล้ว หยุดร้องเถอะ” ผมจับไหล่ผลักมันออกเบาๆ

“พี่ยังคงเป็นพี่ชายของตัวเล็กนะ และต่อจากนี้จะเป็นพี่ชายที่ดีที่สุดของเราเลยล่ะ”

 สองคนกอดคอกันร้องไห้ อยู่นานพอสมควร  เหลือบมองดูนาฬิกาข้างฝาหลังห้อง สี่ทุ่มกว่าจะห้าทุ่มแล้ว ผมบอกให้ตัวเล็กช่วยหยิบสมุดหนังสือและเครื่องเขียน และไม่ลืมที่จะปิดไฟก่อนออกจากห้อง ลงไปที่ห้องน้ำหลังอาคารเรียน  ล้างหน้าล้างตากัน แล้วพากันเดินกลับหอ

  คนอื่นปิดไฟนอนกันหมดแล้ว ผมพยายามทำเสียงไม่ให้ดังรบกวนคนอื่น เก็บเครื่องเขียนเครื่องเรียนแล้วล้างเท้าในห้องน้ำกลับมาปลดมุ้งลงทับด้วยฟูกที่นอน รอจนตัวเล็กเข้ามาแล้ว ต่างคนต่างไม่พูดอะไร ล้มตัวลงนอนทันที และคืนนี้ผมไม่รอให้มันเป็นฝ่ายพูด ผมขยับตัวไปใกล้ๆมันสอดแขนขวาเข้าใต้หมอน แขนซ้ายก็กอดมันไว้มันก็กอดมือผมไว้แน่น

 “อืม นอนกันเถอะนะ ดึกแล้ว “  ผมกระซิบบอกพร้อม ลูบหัวมันเบาๆ 

แล้วความเงียบก็เริ่มปกคลุมแทนที่ ผมคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ในขณะที่ยังคงนอนกอดไอ้ตัวเล็กอยู่ เนิ่นนานจนเรื่มรู้สึกปวดแขนตุบๆ จึงขยับคอไอ้ตัวเล็กและขยับแขชนตัวเองเล็กน้อย ไอ้ตัวเล็กคงหลับไปแล้ว  ผมมองดูมันผ่านแสงสลัวๆที่ลอดเข้ามาทางหน้าต่างบานเกล็ด ผมรู้เลยว่า ความผูกพันระหว่างผมกับมัน คืออะไร  หรือผมยังคงเห็นว่ามันเป็นแทนเพื่อนที่ผมรักมาก หรือเพราะ แยกแยะได้ว่ามันไม่ใช่ไอ้แทน แต่มันอายุน้อยกว่า ผมจึงรักและดูแลห่วงใยมันมากกว่าที่เคยทำกับไอ้แทน  ผมรู้สึกได้ว่า ผมผูกพันกับมันมากเหลือเกินก็เมื่อมีเรื่องกันนี่แหละ แล้วช่วงที่ผมเตรียมตัวอ่านหนังสือสอบโควต้า  ช่วงไปรับน้องจังหวัด  ไปสัมภาษณ์ ช่วงเวลานั้นผมลืมคนตัวเล็กนี่ไปได้ยังไงกันนะ นึกไม่ออกเลยว่าช่างเวลานั้นผมบ้าอ่านหนังสือมากขนาดนั้นเลยหรือ  มันติดกับผมขนาดนี้  แล้วถ้าหากผมต้องไปเรียนต่อล่ะ มันจะอยู่อย่างไร
 คิดไปคิดมาจนเผลอหลับไปเอง


 

.

.

.
(ต่อ)


หัวข้อ: Re: ทัช..สัมผัสใจ ตอนที่ 10 (10 ก.ค. 2560)
เริ่มหัวข้อโดย: thewa.arak ที่ 10-07-2017 17:00:58
ตอนที่10 (ต่อ)



 ..อำลา 6/2 ..และ...ตั้งใจเรียนนะ......Part นนท์/ทัช..



       วันสุดท้ายก่อนปิดภาคเรียนและงานเลี้ยงอำลา ชั้นม6รุ่นแรก จัดกันตอนกลางวัน ปัจฉิมนิเทศน์จบการศึกษา เลี้ยงส่งกันรวมชั้นทั้ง6/1 และ 6/2 บรรดาอาจารย์ก็ร่วมเลี้ยงอำลาด้วย ทุกคนน้ำตาคลอกันหมด และภาพบรรยากาศแบบเดิมๆ ก็หวนกลับมาอีกครั้ง แลกสมุดเฟรนด์ชิพ เขียนระบาย เขียนความคิดถึง เขียนอาลัย  ทั้งการเขียนอวยพร เขียนกวนๆ บนด้านหน้าและหลังเสื้อ  ของผมแทบไม่มีที่ให้เขียนเลย ดูแล้วลายตาไปหมด พวกไอ้นพไอ้เนไอ้ต๋อง ไอ้สงค์ไอ้บอล ดาว แพร และเพื่อนๆห้อง6/1 มาแลกสมุดเฟรนดฺชิพกันเขียน  ผมเขียนตัวใหญ่ๆกินกระดาษไปสี่หน้า พวกมันจะได้จำผมได้ อาจารย์ประจำชั้นกล่าวอำลาและอาจารย์แสดงความยินดีกับคนที่สอบโควต้าได้ และพร้อมอวยพรให้คนที่ต้องสอบเอ็นทรานซ์กันอีกรอบ  พวกวงกีตาร์วงดนตรี ไอ้บอล ไอ้สงค์  ไอ้อู๊ดห้อง1 และนักดนตรีน้องๆชั้นม.อื่นๆก็มาร่วมเล่นดนตรีสนุกสนานเสียงดังเฮฮา เคล้าน้ำตา

  ถึงเวลาต้องอำลาอาลัยจากสถานศึกษาแห่งนี้ไป สถานที่ซึ่งเหมือนเป็นบ้านหลังที่สอง ให้ความรู้ให้การอบรมให้การศึกษา ผมไหว้อาจารย์ แต่ละท่าน จนกระทั่งเสร็จงาน พวก ม.6/1 และ 6/2 ก็แลกของขวัญกัน อำลากันเป็นครั้งสุดท้ายก่อนแยกย้ายกันไป  หลังจากนี้คงอีกนานและไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้กลับมาพอเจอและทำกิจกรรมร่วมกันอีก

  ส่วนของหอพัก ไม่มีกิจกรรมใดใด เพราะเราเคยทำกันมาแล้วเมื่อครั้งหลังประกาศผลโควต้า
ผมกลับมาที่หอพัก ใช้เวลาช่วงสั้นๆ คุยกับน้องๆให้ดูแลหอพักให้ดี ต่อจากนี้ไปต้องสามัคคีกันให้มาก รู้จักแบ่งปันและให้อภัยกัน  ผมสละเสื้อหนึ่งตัวเพื่อกิจกรรมเซ็นชื่อบนเสื้อโดยเฉพาะสำหรับนักเรียนหอพัก รวมทั้งไอ้เขียว ไอ้นพไอ้เนไอ้ต๋อง ต่างช่วยกันเขียนให้กันและกัน

ร่ำลากันไปจนสมควรแก่เวลา น้องๆบางคนบางหอ กลับบ้านกันไปแล้ว เพราะพ่อแม่มารับ ผมรู้สึกเศร้าขึ้นมาจับใจ ผมต้องจากกับหอพักที่ผมอยู่มาร่วมสามปี ภาพต่างๆที่ผมเคยอยู่ที่นี่ ค่อยๆผุดขึ้นมาเป็นลำดับอย่างต่อเนื่อง
 ส่วนเจ้าตัวเล็ก พ่อกับแม่มารับ แต่ไม่รู้เพราะอะไร เขาอยากอยู่อีกคืน ผมเองก็หวังไว้เช่นนั้น และเหมือนเราต่างเข้าใจกัน  เจ้าตัวเล็กให้พ่อกับแม่ขนข้าวของเก็บใส่รถกระบะของอาแปะ กลับไปก่อน เพราะอยากอยู่กับผมอีกวัน 
พ่อกับแม่ก็ไม่ว่าอะไร แถมยังคุยกันว่า ถ้าผมจบไปแล้วใครจะช่วยสอนเจ้าตัวเล็กต่อ ต่อไปนี้คงต้องช่วยเหลือตัวเองให้มาก  ผมก็ตอบได้เพียงว่า มันโตขึ้นมากแล้วเรียนรู้ทุกอย่างได้หมด

   เห็นแต่ละคนต่างก็ขนของแยกย้ายกันกลับบ้านไปทีละคนสองคน ก็รู้สึกใจหาย เศร้าขึ้นมาจับใจ หอหญิงเหลือน้องสามคน  หอสอง เจ็ดคนเพราะต้องรอรถรอบเช้าวันรุ่งขึ้น ส่วนหอหนึ่ง กลับกันไปหมดแล้ว หอผมเหลือแค่ ผมกับตัวเล็ก สองคน และนั่นจึงเป็นอีกเหตุผลที่เจ้าตัวเล็กอยากอยู่กับผมก่อน แต่ก็ไม่วายโดนพวกไอ้นพไอ้เนไอ้ต๋องแซวกันอีก แต่ชินแล้ว  เฉยๆ แค่ยิ้มๆไม่ต่อปากต่อคำ ผมทำเพียงอวยพรให้เพื่อนๆโชคดี

  ไอ้นพไอ้ต๋อง จะไปเรียนต่อวิทยาลัยพลศึกษาที่ลำปาง ส่วนไอ้เนมันบอกว่ายังไม่รู้ว่าจะยังไงต่อ เราสามคนเรียนด้วยกันมา หกปีเต็ม ตั้งแต่มัธยมต้นที่ภูเวียงวิทยา จนมาจบม.ปลายที่ ฝายน้ำผึ้ง พวกนั้นยินดีกับผมที่ได้โควต้าและอวยพรให้ตั้งใจเรียนให้สำเร็จ ผมกอดคอไอ้นพ ไอ้เนไอ้ต๋อง ผมมีน้ำตาเล็กน้อย

 “กูขอให้พวกมึงโชคดี ไว้มีเวลาว่างเมื่อไหร่เราจะกลับมาเจอกันนะ”  ผมบอก

“มึงมีเวลาก็ขึ้นไปเที่ยวหากูที่บ้านก็ได้นะ  คิดว่าปีใหม่ตรุษจีนพวกกูคงกลับบ้านกันแหละ”  ไอ้นพบอก และอีกสองตัวแสบก็พยักหน้าตาม

 “ไอ้นพ มึงกับกูสนิทกันรู้จักกันมานาน ผ่านอะไรมาด้วยกันมากมาย มึงเป็นเพื่อนที่ดีกับกูคนหนึ่งเลยทีเดียว”  พูดพร้อมกับน้ำตาลูกผู้ชายปริ่มๆตรงหางตา

แต่ไอ้นพเลือกที่จะไม่สร้างความเศร้าเกิดขึ้น ในบรรยากาศแบบนี้

“เห้ย มึงไม่ต้องมาทำเศร้าใส่กู กูไม่ใช่ไอ้แทน มึงอย่ามาหอมกูนะ”  แล้วอีกสองคนก็หัวเราะตาม ทำให้ผมยิ้มได้ทั้งน้ำตา และตบหัวมันไปทีหนึ่งเบาๆ 

 “เออ กูขอให้พวกมึงจงโชคดีกันทุกคน มีข่าวอะไรก็จะฝากถามผ่านไอ้ตัวเล็กนี่ละกัน”    เราต่างร่ำลากันแล้ว ผมยืนส่งพวกมันที่ด้านหน้าหอ  เหลือเราเด็กหอ1 2คน หอหญิง3คน หอสอง 7คน และผมกับเจ้าตัวเล็กสองคน รู้สึกใจหายจนไม่อาจกลั้นน้ำตาได้อยู่ ผมจึงปล่อยให้มันไหลออกมาเอง ไม่มีเสียงร้องแต่อย่างใด เจ้าตัวเล็กคงเข้าใจผมจึงเข้ามาจับแขนผมเบาๆ
   
  เป็นเวลาหกโมงครึ่งแล้ว ผมชวนเจ้าตัวเล็กลงไปหาอะไรรองท้องที่ตลาดสดหน้าโรงเรียน รวมทั้งเด็กหอสองด้วยแต่ไม่มีใครไป  ผมชวนเจ้าตัวเล็กกินก๋วยเตี๋ยวร้านของ กนกวรรณเพื่อน ม.6/1แต่เธอไม่อยู่ ไปกับพ่อที่บ้านญาติอยู่แต่น้องสาวน้องชายกับแม่  พออิ่มแล้วก็เดินกลับแต่ไม่ลืมที่จะแวะซื้อไอ้ติมแท่งเดินไปก็งับไอติมไป  ผมเอ่ยปากชวนเจ้าตัวเล็กเดินรอบโรงเรียนตั้งแต่สนามฟุตบอลโรงประชุม รอบอาคารทุกอาคาร สวนต้นสัก โรงอาหาร ห้องสตั๊ดดี้ และเดินให้ครบทุกจุด เดินไปก็ชวนคุยกันไปสัพเพเหระ จนมาจุดสิ้นสุดที่ขอบสระตรงหน้าหอ แต่ละจุดที่ผ่าน มีเรื่องราวและภาพต่างๆก็ผุดขึ้นมาในความทรงจำตลอดทางที่เดินผ่าน ผมถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ต้นไม้ที่เคยปีนไปตัดกิ่งไม้แห้ง  โรงเก็บเศษโต๊ะเก้าอี้พังๆที่เป็นตัวช่วยต่อเติมการทำครัวเลี้ยงชีพในยามหน้าฝน  ห้องสตั๊ดดี้ แหล่งรวมความรู้อีกแห่งหนึ่งสำหรับชาวเด็กหอ ลาก่อนนะ สักวันหนึ่งเราจะกลับมาเยี่ยมเยียนอีก  เมื่อเวลานั้นมาถึง... 
 
  “ตัวเล็ก เราไปอาบน้ำกันเถอะ”  เมื่อเห็นว่าค่ำแล้วจึงชวนกันไปอาบน้ำ

“พี่เดินไปก่อนเลย เดี๋ยวผมตามไป”  เจ้าตัวเล็กบอกจะทำธุระในห้องน้ำก่อนผมจึงเดินไปก่อน

โรงอาบน้ำในเวลานี้ เงียบสงบดีจัง ภาพเด็กๆอาบน้ำกันแกล้งกันส่งเสียงดังเจี๊ยวจ๊าว ผุกขึ้นมาในความทรงจำของผมและผมก็เก็บบันทึกมันเอาไว้ในหัว ผมถอดกางเกงและเสื้อยืดออก แช่ถังซัก และล้างบิดหมาดๆจนกระทั่งตัวเล็กมาถึง

“อ้าวทำไมไม่รอ ผมก็จะซักด้วย”

“มา เดี๋ยวพี่ซักเอง ถอดมาเลย”  ผมว่าพลางก็เร่งให้มันถอดกางเกงและเสื้อออก และช่วยมันซักจนเสร็จ

“พี่คงจะทำให้มึงได้อีกครั้งนี้ครั้งเดียว ดังนั้นอย่างเถียง”  ผมปรามและมันก็พยักหน้ายิ้ม

“เอ้า หันมา”  เจ้าตัวเล็กทำตามอย่างว่าง่าย ผมก็จัดการตักน้ำราดหัวราดตัว เทแชมพูใส่มือ สระผมให้มัน และก็ถูสบู่ให้ ทำเหมือนทุกครั้ง ทั้งเวลาที่มีเพื่อนๆและไม่มีเพื่อนอาบด้วยกัน เสร็จแล้วมันก็อาสาจัดการให้ผม แต่ผมบอกไม่ต้อง จึงล้างตัวกันจนสะอาดแล้วก็เอาผ้าไปตาก

 กลับเข้าบ้านจัดการทำธุระส่วนตัวเสร็จ ผมหยิบเสื้อและกางเกงชุดนักเรียนที่เหลือทั้งหมด สี่ชุด ส่งให้เจ้าตัวเล็ก แต่เจ้าตัวเล็กบอกเสื้อคงไม่ได้เพราะมันมีชื่อ เลยขอเก็บไว้แค่ตัวเดียว และขอให้ผมเขียนอะไรเล็กๆน้อยๆให้ ส่วนกางเกง ผมกับมันใส่ห่างกันสองนิ้ว 30 และ 32 มันตัวเล็กแต่ตัวหนากว่าผมจึงน่าจะใส่ได้ รวมทั้งรองเท้าถุงเท้าเครื่องแบบนักเรียนมัธยมปลายผมยกให้เจ้าตัวเล็กทั้งหมด


.....ตั้งใจเรียนนะ ไอ้ตัวเล็กของพี่  อย่าดื้ออย่าซน เชื่อฟังพ่อแม่ เรียนให้จบแล้วตามไปอยู่มหาวิทยาลัยกับพี่นะ เพื่อลบคำสบประมาทที่คนเมืองชอบด่าว่าคนชาวเขาอย่างพวกเรา  เจออะไรก็อย่าเพิ่งท้อแท้ สู้ให้เต็มที่ พี่ชายคนนี้จะเป็นกำลังใจให้เสมอ   คิดถึงพี่บ้างนะ  รักน้องชายมากๆ  อย่าลืมพี่นะ   จาก..พี่นนท์  พี่ชายอีกคนของไอ้ตัวเล็ก.... 


ผมเขียนอักษรไว้ด้านหลังเสื้อเป็นประโยคที่ยาวพอสมควรและให้ตัวเล็กไว้ โดยที่ยังไม่ให้อ่านในวันนี้ ผมกะจะให้อ่านหลังจากที่เราแยกย้ายกันกลับแล้ว  ส่วนกีตาร์ผมยกให้เจ้าตัวเล็กไปเลย และเราก็นั่งเล่นกันที่ระเบียงนั่งหน้าหอจนดึก ผมก็ยังคงเล่นเพลง ตัดใจไม่ลงอีกเช่นเคย เจ้าตัวเล็กก็หัวเราะหาว่าเอาจนได้แม้กระทั่งคืนสุดท้าย แต่ผมก็อ้างว่า เอาน่าต่อไปก็จะไม่ได้ยินแล้ว กระทั่งสี่ทุ่มจึงเข้านอนกัน

 “ทัช  ต่อไปนี้ไม่มีพี่แล้วต้องตั้งใจเรียนให้มากนะ” 

“แล้วพี่จะกลับมาที่โรงเรียนเราบ้างไหม”  เจ้าตัวเล็กถาม

“คงได้กลับมาอยู่แล้วล่ะ ยังต้องมาแนะแนวน้องๆนี่นา”   ผมอธิบาย

“ถึงตอนนั้น พี่จะได้เจอกับผมไหมเนี่ย”   เจ้าตัวเล็กมันหน้ามาถาม

“ไม่รู้สิ ระยะเวลามันกระชั้นชิดมากเลยอ่ะ ยังบอกอะไรไม่ได้ตอนนี้หรอก ต้องดูช่วงเวลานั้นก่อนน่ะ”

“พี่ต้องมาหาผมนะ ผมจะรอนะพี่”

“อื้ม พี่จะพยายามหาเวลามานะ ไม่ต้องห่วง พยายามตั้งใจเรียนให้มากละกัน”

 ผมลูบหัวเจ้าตัวเล็กเบาๆด้วยความเอ็นดู มันขยับตัวเข้ามาให้แล้วดึงแขนผม ผมก็เข้าใจ และเต็มใจที่ให้มันทำ  ทำเหมือนทุกคร้ง ผมนอนกอดเจ้าตัวเล็กไว้แน่น มันก็หันหน้ามาซุกตรงอกผม และผมก็ได้ยินเสียงสะอื้นอีกครั้ง ผมไม่ร็จะทำอย่างไรก็ได้แต่กอดมันแน่นๆ และปลอบใจ มันเองก็กอดผมแน่นเชียว

“เบาๆก็ได้ กอดเหี้ยไรแน่นขนาดนั้น “ ผมดุมันเบาๆ มันยังคงสะอื้นตลอดเวลา

“ฮือ ผมคงคิดถึงพี่นนท์มากเลยนะครับ จากนี้ไปไม่มีพี่แล้วผมคงเหงามากอ่ะ ฮือๆ”  ผมได้แต่ลูบหัวมันเบาๆ

“พี่ก็จะคิดถึงเราเช่นกันนะ ไม่เอาอย่าร้องไห้ ให้พี่เห็นอีกนะ “

“ฮือ.. ผมไม่รู้เลยว่าผมจะสู้คนเดียวต่อไปอย่างไร ขนาดพี่ไม่อยู่ พี่อ่านหนังสือสอบ พี่ไปสอบ ไปรับน้องจังหวัด ผมก็เหงามากแล้วพี่  ฮือๆ”

“ขนาดนั้นเลย แล้วทำไมมึงถึงดื้อกับพี่นักล่ะ กวนตีนพี่อยู่ได้ ฮึ บอกมาดิ๊ทำไมทำงั้น” 

“ผมไม่รู้ แต่ช่วงที่พี่เงียบๆไป ผมรู้สึกเหงามากเลยครับ นี่เราต้องจากกันแล้วจริงๆหรือครับ ฮือๆ”

“อืม อย่าคิดมาก ยังไงใส่ชุดม.ปลายแล้วอย่าลืมถ่ายรูปส่งมาให้พี่ดูด้วยนะ”

“พี่ต้องติดต่อมาหาผมนะครับ อย่าลืมผมนะ  พี่สัญญากับพี่แทนแล้วนี่ว่าจะดูแลผม ฮึอๆ”  เสียงสะอื้นยังคงดังอยู่ตลอด

“อืม พี่ไม่ได้หนีไปไหนเลย แค่ไปเรียนต่อที่พิษณุโลกเอง เราก็ตั้งใจเรียนสิแล้วสอบไปเรียนกับพี่ให้ได้ นะ”

“พี่นนท์ ผมรักพี่มากเลยครับ พี่ต้องเป็นพี่ชายของผมและห้ามทิ้งผมไปนะครับ”  เจ้าตัวเล็กขยับตัวขึ้นโดยใช้ข้อศอกยันกายไว้และมองหน้าผมทั้งน้ำตา ผมดึงตัวมันมากอดแน่นและหอมหน้าผากมันไปหนึ่งที

“พี่ก็รักมึงเหมือนกัน ไม่ใช่เพราะมึงเป็นตัวแทนของไอ้แทน หรือมึงเป็นน้องของไอ้แทน แต่มึงก็เหมือนน้องชายพี่คนหนึ่งเลย ที่พี่จะดูแลและคอยห่วงใยมึงไปตลอด เข้าใจมั๊ย”
 ผมบอกเจ้าตัวเล็กด้วยท่าทางจริงจังและเอาจริง มันก็กอดผมแน่นเลยทีนี้ ผมลูบหัวมันเบาๆ หอมตรงหัวมันสองที แล้วชวนไปล้างหน้าล้างตา ดึกแล้ว หออื่นปิดไฟนอนกันหมด  พรุ่งนี้เช้าก็เป็นเวลาของการจากลากันแล้ว คืนนี้จึงเป็นคืนสุดท้ายที่ผมจะได้อยู่ด้วยกันกับเจ้าตัวเล็กในหอพักแห่งนี้  ผมกอดตัวเล็กนอนทั้งคืน  จนกระทั่งเช้า อารุจน์ขับรถมอไซค์มารับตัวเล็กกลับบ้าน 
 
   รู้สึกถึงความหน่วงเป็นอย่างมาก ใจหายเหลือเกิน ผมเกือบมีน้ำตาแล้ว ตัวเล็กก็ตาแดงๆเช่นกัน ผมอยากเข้าไปกอดเขาไว้อีกครั้ง แต่เกรงใจอารุจน์   ได่อแต่ยืนมองส่ง เขาไปจนลับสายตา  ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวกลับเข้าสู่สภาวะของความเงียบงันอีกครั้ง  ผมทรุดตัวลงนั่งตรงม้านั่งปูน หยาดน้ำตาไหลออกมาเป็นทาง  เนิ่นนานจนตั้งสติได้

 ผมเอากุญแจไปคืนอาจารย์สุรพล อยู่คุยกับท่านสักพัก พอร่ำลาแล้วก็กลับบ้าน โดยไม่ลืมที่จะตรวจตราหอพักเป็นครั้งสุดท้าย  ผมหันกลับมามองหอพัก และบริเวณโดยรอบทุกอย่างอีกครั้ง น้ำตาผมไหลพราก  ลาก่อนนะ  สักวันหนึ่งเราจะกลับมาอีกครั้ง  เราสัญญา 




……………………

ท้ายที่สุดแล้ว
ก็เป็นเรื่องธรรมชาติที่มีพบก็ต้องมีพรากจากกันไป
ขอเพียงแค่เราเก็บความรู้สึกดีๆที่มีต่อกันไว้
เก็บไว้เป็นความทรงจำเสี้ยวหนึ่งในชีวิต
หนทางข้างหน้าที่เราต้องพานพบ
บางครั้ง เราอาจหลงลืมความทรงจำบางอย่างไป เพราะชีวิตดำเนินต่อไปทุกวัน
เราต่างต้องพบเจออะไรอีกหลายอย่าง
ขึ้นอยู่กับว่า เราเข้มแข็งพอที่จะผ่านมันไปได้หรือไม่
แต่เชื่อเถอะ ความทรงจำในส่วนนี้
ยังคงกระจ่างชัดเจนอยู่เสมอ
……………

หัวข้อ: ทัช..สัมผัสใจ ตอนที่11 (12 ก.ค. 2560)
เริ่มหัวข้อโดย: thewa.arak ที่ 12-07-2017 20:32:25
ตอนที่ 11



...ปีแรก.... กับชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย...



          เปิดภาคการศึกษามาผมก็โดนรับน้องคณะเลยครับ ในรุ่นผมยังทันได้รับน้องคณะกันที่ ม.ใน ผมพอจะเคยมีประสบการณ์การรับน้องจังหวัดมาแล้ว  จึงเตรียมตัวเตรียมใจกับรุ่นพี่กลุ่มหนึ่งที่น้องๆเรียกกันเองว่า ”พี่ว้าก”   คือในแถวเอกญี่ปุ่นของผมเรารู้จักชื่อกันหมดทุกคนแล้ว และคนด้านหน้าด้านหลังผมรวมทั้งแนวทะแยงมุมผมก็เตรียมสมุดล่าลายชื่อ เตรียมจดท่องละทำความรู้จักกันไว้แล้ว
   เคยโดนพี่ว้ากถามด้วยครั้งหนึ่ง แต่ผมตอบได้เลยรอดตัวไป แต่กระนั้นพี่ว้ากก็ยังคงมีความสามารถที่จะหาเรื่องน้องๆได้ ทั้งร้องเพลงเชียร์ไม่พร้อม ตบมือไม่พร้อม รวมทั้งกดดันด้วยการด่ารุ่นพี่สันทนาการว้ากใส่รุ่นพี่สันทนาการ  มาไม้นี้ผมไม่เคยเจอ ถึงกับอึ้งเลยครับ แต่ละคนโดยเฉพาะสาวๆร้องไห้กันระงมที่เห็นพี่สันทนาการโดนว้ากต่อหน้าต่อตา 

    ช่วงซ้อมเชียร์กินระยะเวลาเกือบหนึ่งภาคการศึกษาเลยทีเดียว หลังจากเลิกเรียนปุ๊ปต้องรีบนั่งรถ ปอ.สาย12เข้า ม.ใน เพื่อร่วมกิจกรรมรับน้อง เลิกห้องเชียร์ก็กลับหอพัก  เป็นอย่างนี้อยู่นานเป็นเดือนๆ จนเหนื่อยหอบไปตามๆกันกระทั่งเสร็จสิ้นการว้าก การเข้าห้องเชียร์  แข่งกีฬาคณะ ก็สอบกลางภาค   สำหรับผมแล้ว เอกญี่ปุ่นเรียนหนักมาก ทั้งท่องจำคำศัพท์ทั้งจำตัวเขียน ตัวคันจิ(อักษรจีน) ยากมากที่สุด ไหนจะต้องเรียนวิชาทั่วไปที่เรียนร่วมกันกับกับคณะอื่นปีอื่นด้วย  งานนี้มีแต่ต้องอ่านหนังสือกันตลอด เล็คเชอร์ก็ยืมเอาจากของเพื่อนบ้าง ชี๊ตได้จากรุ่นพี่บ้าง รวมทั้งหนังสือเรียนที่ส่งมอบให้รุ่นน้อง ทั้งน้องคณะ และน้องสาขาวิชาเอก
  ในช่วงระหว่างการเข้าห้องเชียร์ห้องว๊าก ก็มีเรื่องสนุกเกิดขึ้นมากมาย..เลยทีเดียว  รุ่นพี่ในสายคณะผม ปีสองชื่อ พี่นุช เอกอังกฤษ ปีสามลุงรหัสชื่อ พี่พงษ์ เอกอังกฤษ ส่วนปีสี่ ชื่อพี่เนตร เอกอังกฤษเช่นกัน เป็นสตรีประเภทสอง แต่สวยผิวขาวเนียนมาก ผมยังจำได้ดี
พี่นุช ให้เรียกว่า ย่ารหัส ... 

“พี่ครับ พี่ว้ากให้มาขอลายเซ็นรายชื่อสายรหัสตัวเองครับ เรียงครบทุกชั้นปีครับ” 

“น้องชื่ออะไรล่ะจ๊ะ เอกอะไร”   

 พี่เนตรถาม ผมอึ้งไปเล็กน้อยไม่คุ้นกับเสียงแหบใหญ่แต่ตัวเล็กในร่างสตรี   ผมยื่นสมุดห้องเชียร์ให้พี่เนตร แกยิ้มๆเขินๆ ก็แหงล่ะ มีรุ่นน้องคณะหล่อน่ารักอย่างนี้  (ก็จริงนะ สมัย ปีหนึ่งผมฮอตนะ ฮ่าๆๆ)   รุ่นพี่ที่นั่งข้างๆมีทั้งสาวๆและสาวแบบเดียวกับพี่เนตร ส่งเสียงเชียร์จิ๊จ๊ะหวีดปากกันลั่น  แล้วคนหนึ่งในนั้นก็บอกให้ผมทำอะไรสักอย่างสร้างความประทับใจแล้วจะเซ็นให้  ฮึ่ม  พี่เนตรแกยังไม่พูดอะไรเลย พี่คนอื่นจัดการพูดเองเออเองเสร็จสรรพเลย  พี่เนตรก็ยิ้มๆพยักหน้าตาม  คราวซวยตกมาที่กูแล้วมั๊ยล่ะ  แล้วนี่กูจะทำไงดีวะ  พี่ว๊ากก็รู้จักพี่เนตรด้วย เอาไงดี ผมคิดอะไรไม่ออกเลย เพื่อนที่มาด้วยกันก็แยกตัวห่างออกไปสองก้าว แม่งพวกมึงไม่ช่วยกูเลย  ไอ้แก๊ป  ไอ้ทิว ไอ้เพื่อนเลว   

 “เอ้าน้อง ยืนตรงหน้านี่แหละ ไหนจะทำอะไรให้พี่เค้าประทับใจ เอางี้ พูดดังๆบอกรักพี่เค้าหน่อยซิ”   พี่คนเดิมพูดเสียงดังลั่น  คนอื่นก็เฮลั่น  ผมอ้ำๆอึ้งๆ  และแล้วก็ก้าวขึ้นไปยืนบนม้านั่งหินอ่อน

 “ สวัสดีครับ ผมชื่อ อานนท์ แซ่ลี  ชื่อเล่นชื่อ นนท์  ปี1 คณะมนุษย์ศาตร์ วิชาเอกภาษาญี่ปุ่น   ย่ารหัสผมสวยมากเลยครับ ผมรักย่ารหัสผมครับ  โปรดรับรักน้องชายคนนี้ด้วยครับ “ 
 ผมตะโกนเสียงดัง พูดประโยคเดิมๆ สามรอบ จนคนรอบข้างที่ไม่เกี่ยวข้องหันมามองแล้วหัวเราะคิดคักกันใหญ่ ผมก็อายๆ  พี่ๆเพื่อนพี่เนตรก็ร้องกระตู้วู่ว้ายส่งเสียงกันสนุกสนาน แล้วผมก็ เกาหัวแกร่กๆ แล้วยื่นสมุดเชียร์ให้พี่เนตร พี่เขาก็รับไปเซ็นให้โดยดี ด้วยท่าทีเขินๆอายๆ   อืม นี่ถ้าพี่เค้าไม่พูด ผมก็คงไม่รู้ว่าพี่เค้าไม่ใช่ผู้หญิงจริงๆ

“เนตร หลานรหัสเธอน่ารักจังเลย ชั้นขอสมัครเป็นน้องสะใภ้นะจ๊ะ” พี่กานต์คนสวย เพื่อนพี่เนตรเอ่ยขึ้นมาปุ๊ป ก็โดนเพื่อนสาวประเภทสองกลุ่มพี่เนตรดักคอทันที 

 “น้อยๆหน่อยย่ะ ต้องผ่านย่ารหัสมันก่อน”  แล้วก็หัวเราะกันคิกคักท่าทางสนุสนานกับการได้หยอกเย้าแซวผม ผมก็ได้แต่ยิ้มๆแก้เก้อ พอได้รับสมุดคืน ผมก็ยักคิ้วให้ไอ้แก๊ป ไอ้ทิว เข้ามาลากผมไปเรียนที่ตึกอื่นต่อ    สรุปว่าผมได้รายชื่อพร้อมเบอร์โทรของรุ่นพี่สายรหัสผมจนครบทั้งสามปีแล้ว สบายใจแล้ว

  อีกเรื่องหนึ่งที่พวกเราปีหนึ่งจะรู้สึกพะอืดพะอม คือมีหนึ่งรายวิชา ที่ต้องนั่งเรียนร่วมห้องกับพี่ว๊าก ซึ่งกลุ่มพี่ว๊ากสองคนนั้นนั่งหลังสุด สังเกตได้ว่าเมื่อทุกคนรู้ว่าเป็นพี่ว๊าก จะไม่มีใครกล้าไปนั่งใกล้แถวที่กลุ่มพี่ว้ากสองคนนั้นนั่งอยู่ด้วย  ผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไม พี่ว๊ากจะต้องแต่งตัวไม่เป็นระเบียบแบบนั้น ผมยาวรุงรัง หนวดเคราไม่โกน ดูไม่เป็นที่น่าเคารพเอาเสียเลย เวลาว้ากในห้องเชียร์ ทำมาสอนมารยาทสอนให้รู้จักการเคารพ แต่ตัวเองกลับทำตัวไม่น่าเคารพเอาเสียเลย แล้วไอ้การเก็กหน้าดุดันแบบนั้น ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องทำถึงขนาดนั้น  เป็นช่วงเวลาที่เกลียดพี่ว้ากเข้าไส้เลยทีเดียว

  แต่สุดท้ายเมื่อพ้นห้องเชียร์ แข่งกีฬาเสร็จรับน้องเสร็จสิ้น พวกเราถึงเข้าใจว่า ระบบรุ่นพี่รุ่นน้องหรือ ระบบ โซตัส มันก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย แล้วแต่ใครจะได้รับและนำเอาความหมายของมันไปใช้  แต่สะใจมาก ตอนพี่ว๊ากโดนทำโทษเสียเอง  นิสัยแต่ละคนจากหน้าตาดุดันกลายเป็นลูกแมวไปเลยก็มี แต่พี่โต้งปีสี่แม่ง โคตรเทพบุตรแห่งความหล่อ มีคนเดียวนี่แหละที่ทำตัวน่าเคารพที่สุดในบรรดาที่ว้ากทั้งหมด  พี่แกอยู่คณะเศรษฐศาตร์ แฟนพี่โต้งชื่อพี่ก้อย เรียนนิเทศศาตร์ สวยน่ารักเหมาะสมกันมากเลยทีเดียว  วันสุดท้ายของการรับน้อง คณะอาจารย์ในคณะก็มาร่วมด้วย และมี คุณ ชินกร ไกรลาศ มาแหล่รับขวัญรุ่นน้องปี1 ผมชอบเสียงแกมาก เสียงแกเพราะจับใจ เป็นอะไรที่ทำให้น้ำตาซึมได้เลยกับกิจกรรมรับน้องในวันสุดท้ายวันนี้
   ในระหว่างรับน้องผมเดินผ่านคณะศึกษาศาตร์ คณะทันตฯ ไปยังหอสมุด บางครั้งก็ได้ยินเสียงรับน้องเสียงว้ากอยู่บ้าง ด้วยความอยากรู้จึงกะว่าจะเดินแว่บอ้อมๆไปดูแต่ทุกคนติดป้ายกันหมดเลย ดูเรากลายเป็นคนนอกไป เลยไม่กล้าเข้าไปยุ่มย่าม 
บางครั้ง ยังเคยโดนเด็กคณะอื่นไหว้ มันคงนึกว่าเราเป็นรุ่นพี่มัน จนต้อง ยิ้มแล้วพูดกลั้วหัวเราะ ว่าไม่ต้องไหว้ เราปี1 เช่นเดียวกัน  คณะที่รับน้องโหดๆ เท่าที่ได้ยินมาคือ คณะวิศวะฯ ได้ยินเสียงกระหึ่มเลยเชียว และคณะนี้ค่อนข้างถือยศถือศักดิ์นิดนึง เพื่อนที่สอบติดมาคณะนี้มันก็บอกว่า วิศวะ ต้องหยิ่งในศักดิ์ศรี  อืม เอาเถอะ กูเห็นพวกลดข้อย่อตัวมาจีบเด็กมนุษย์เยอะแยะไป 

  ในส่วนของการรับน้องในภาควิชาเอก ก็ไม่มีอะไรมาก แค่ทำกิจกรรมกลางวันเมื่อว่างจากช่วงเรียน แนะนำตัวรุ่นพี่รุ่นน้อง เอาชี๊ตคันจิมาแจกกันบ้าง แนะนำให้ซื้อเล่มนั้นเล่มนี้ไว้ใช้งานบ้าง  รู้สึกว่าการเรียนภาษาญี่ปุ่นนี้สิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายไปพอสมควร
  ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยดูช่างวุ่นวายเสียจริง ความสนิทสนมระหว่าเพื่อนๆและครูอาจารย์ก็ไม่เหมือนกันกับตอนมัธยม ต่างคนต่างเรียน สมัยมัธยมผมค่อนข้างจะชอบภาษาอังกฤษมาก แต่พอมาอยู่มหาวิทยาลัย ต้องท่องศัพท์ภาษาญี่ปุ่น ทั้งจำอักษรจำวิธีเขียน วิธีอ่านและความหมาย จนลืมภาษาอังกฤษไปเสียสิ้น เจออาจารย์สอนภาษาอังกฤษในเซเว่นอิเลฟเว่น จะพูดว่าทำไมภาษาอังกฤษในมหาวิทยาลัยถึงยากจัง ดันพูดคำว่ายาก เป็นภาษาญี่ปุ่นเฉยเลย เท่ากับว่าความรู้เดินที่เคยเรียนมาตอนมัธยมนั้น เอากลับใส่หม้อคืนอาจารย์สุนีย์ไปหมดเลยนะนี่  ขอโทษนะครับอาจารย์สุนีย์  แหะๆ

   ผ่านไปครึ่งปีจนจะจบภาคการศึกษาชั้นปี1  ผมยืนอยู่หน้าทางเข้าคณะฯ คิดใคร่ครวญอยู่ในใจ ว่านี่คือมหาวิทยาหรือนี่  เรามายืน มาเรียนอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัยแล้วหรือนี่ ช่างใหญ่โตและแตกต่างจากการเรียนสมัยมัธยมมากมาย เพื่อนๆที่เจอก็มาจากหลายหลายจังหวัดแต่ไม่ค่อยสนิทคุ้นเคยเหมือนตอนมัธยม   การแต่งกายก็ไม่เหมือนเดิม  ไม่อยากเชื่อว่าเราจะสามารถสอบผ่านเข้ามาเรียนได้
วันเวลาช่างผ่านไปรวดเร็วนัก เพิ่งเสร็จกิจกรรมรับน้อง กีฬา สอบ เผลอแว่บเดียวจะจบปี1แล้ว ยังคงมีเรื่องราวที่ต้องพบเจออีกมากมายสินะ อีกตั้งสามปีกว่าจะจบ

    วันเลี้ยงส่งพี่ปีสี่ หรือเรียกว่า งาน บายเนียร์ ผมก็ไปร่วมงานเลี้ยงส่งสายรหัสด้วย ผมซื้อสมุดบันทึกให้พี่เนตรไป และงานนี้ก็เป็นงานแรกที่ผมเสียความบริสุทธิ์ของแก้ม ให้พี่เนตรไป เนื่องจากโดนรุ่นพี่รหัสและลุงรหัสผมเชียร์ให้พี่เนตรหอมแก้มผม ซะงั้น  แต่ก็ไม่มีอะไรเพราะรักกันแบบพี่น้อง
    ดีแฮะ มีงานเลี้ยงแบบนี้ด้วย สังคมมหาวิทยาลัยนี่ อิสระเสรีดีแท้


..............







     ...ถูกเด็กปีหนึ่งตามจีบ...




   เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก ..เผลอแป๊บเดียวผมก็เป็นรุ่นพี่แล้ว   ถึงคราวที่ผมต้องไปเจอน้องรหัสของตัวเองแล้วสินะ  แล้วเพื่อนต่างคณะผมก็เป็นว้ากด้วยสองคน ปีนี้เรามีตารางเรียนวิชาเดียวกันด้วย จึงมานั่งเรียนด้วยกันเป็นประจำ  น้องปี1 ที่เข้ามาใหม่ก็อยู่ในช่วงเข้าห้องเชียร์ พร้อมรับพี่ว้ากกันอยู่ ทุกอย่างย้อนกลับไปสู่จุดเริ่มต้น เหมือนฉายภาพวนซ้ำ จากที่เราเป็นฝ่ายโดนว้าก ก็มานั่งเฝ้าน้องๆโดนว้ากบ้าง  น้องรหัสคณะฯผมเป็นเด็กสาวที่ทนและถึก ลุยๆ มาจากนครสวรรค์ ชื่อ น้องแป้ง เรียนนิเทศน์ฯ เห็นน้องๆโดนว้ากแล้วบางทีก็สาแก่ใจ บางทีก็นึกสงสาร ใครจะเป็นอย่างไรคิดอย่างไรผมไม่ทราบ แต่สำหรับตัวผม ผมจะบอกน้องๆว่า ไม่ต้องไหว้พี่หรอก แค่ทักทายแล้วยิ้มให้กันก็พอแล้ว น้องๆมาขอลายเซ็น ผมเซ็นให้หมด ไม่มีเงื่อนไข ไม่มีกลั่นแกล้ง
  ในระหว่างชั่วโมงของการเรียนวิชาเศรษฐศาตร์ ที่ผมจะต้องเรียนกับรุ่นน้องปี1 คณะเศรษฐศาตร์ ผมและเพื่อนว้ากสองคนพร้อมกับไอ้แก๊บไอ้ทิวเพื่อนสนิทผม นั่งติดกันส่วนเพื่อนในเอกฯนั่งแถวที่อยู่ด้านหน้าผมหนึ่งแถว ถัดจากนั้นไปก็มีรุ่นน้องปี1มาเรียนด้วย พวกนั้นกำลังอยู่ในช่วงล่าลายเซ็น พอหันมาเห็นพี่ว้ากที่นั่งในกลุ่มผม น้องๆก็ไหว้แล้วรีบหลบตา พยายามไปนั่งแถวที่ห่างจากพวกผมไปสองสามแถว ดังนั้นจึงเป็นคณะอื่นที่มีเรียนวิชาเดียวกันมานั่งใกล้ๆแถวพวกผมแทน
 ผมซึ่งนั่งติดกับไอ้แก๊ป มันยื่นกระดาษแผ่นเล็กๆมาให้โดยส่งต่อจากเพื่อนผู้หญิง ผมก็ยื่นส่งต่อให้ไอ้ทิว แต่เพื่อนผู้หญิงบอกว่า ของผม ผมชี้เข้าหาตัวเองพร้อมทำหน้างงๆ ว่าของผมเหรอ เมื่อได้รับคำยืนยันว่าไม่ผิดตัว ผมก็เลยเปิดกระดาษแผ่นนั้นอ่าน
 ในขณะที่ไอ้แก๊ปไอ้ทิวก็ยื่นหน้ามาอ่านด้วย ผมก็ไม่ขัดข้องเพราะไม่รู้ว่าข้างในมันคืออะไรเลยไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องส่วนตัว
 
 “พี่น่ารักจังเลยครับ  ชื่ออะไรครับ ผม กอล์ฟนะครับ ยินดีที่ได้รู้จักครับ  ผมขอเบอร์พี่ได้ไหมครับ”     เป็นเสียงไอ้แก๊ปครับ แม่งอ่านซะเสียงดังเลย 

   “........... เฮ๊ย...”   ผมตกใจร้องเสียงหลง สักพักก็มองหน้าไอ้แก๊ปไอ้ทิว มันสองคนมองหน้ากันแล้วหัวเราะออกมา

“ไอ้นนท์ มึงนี่แม่ง มีเสน่ห์จังวะ” ไอ้แก๊ป มันโพล่งถามตามด้วยเสียงหัวเราะของไอ้ทิว แต่ ไอ้คมไอ้เสกมันแค่มองแล้วยิ้มมุมปาก  แถมกระซิบกระซาบว่าอย่าหัวเราะเสียงดังเพราะมันต้องรักษามาดว้าก  โธ่ไอ้ติงต๊อง มึงอ่ะ ติงต๊องกว่าใครในกลุ่มเลย

 “เฮ๊ย ทิพย์ เธอส่งมาผิดคนรึป่าวเนี่ย นี่มันมาจากผู้ชายนะ ส่งให้พวกเธอหรือเปล่า” ผมถาม ทิพย์เพื่อนเอกฯที่นั่งแถวหน้า แต่เพื่อนคนอื่นๆก็พยักหน้าว่า ไอ้น้องกอล์ฟมันพูดเองว่าส่งให้ผม
 กรรมสิ...เป็นงั้นไป  แต่ก็ทำตัวปกติ ไม่ได้ตอบอะไรออกไป แล้วก็นั่งเรียนกันต่อ
 
 ผ่านไปหลายวัน พวกผมยังคงไปดูน้องในห้องเชียร์ เมื่อเลิกห้องเชียร์ ก็เอาสมุดหนังสือ ชี๊ต ส่งมอบต่อๆไปให้กับรุ่นน้อง ซื้อขนมขบเคี๊ยว นม ไปให้น้อง  และเวรกรรมอะไรก็ไม่ทราบ ที่ไอ้เจ้ากอล์ฟนั่นวนเวียนมาป๊ะหน้ากับผมอีกจนได้

 “พี่ครับ วันนั้นพี่ยังไม่ตอบผมเลย วันนี้พอดีผมว่าจะมาขอลายเซ็นพี่ พี่เซ็นให้ผมด้วยครับ”   ไอ้กอล์ฟมันทำหน้าวิงวอน
 
 “อ้อ เรานี่เองที่ยื่นกระดาษมาให้” ผมหัวเราะหึๆ ไม่พูดอะไรต่อ ยื่นมือไปรับสมุดของมันมาเซ็นให้แล้วยื่นกลับไป

“อานนท์ แซ่ลี”   มันทวนชื่อผม แล้วทำไมต้องอ่านเสียงดังด้วยวะ

 “แล้วพี่ชื่อเล่นอะไรครับ  นนท์หรือเปล่าครับ”  มันถามต่อ

“อื้ม  เรียกว่า พี่นนท์ก็ได้ครับ”  ผมตอบและพยายามจะส่งสายตามองหาน้องแป้งของผม 

“พี่นนท์ยังไม่ได้ให้เบอร์ผมเลยครับ “   อ้าว ก็กูไม่มีมือถืออ่ะ ให้ทำไง

“ขอโทษครับ พี่ไม่มีมือถือครับ”  ผมตอบไปตามจริง (เพราะมือถือสมัยนี้แพงมาก ค่าโทรก็แพง จริงๆเพราะบ้านยากจนไม่มีมือถือใช้กับเขาหรอก)

“เฮ๊ย จริงดิพี่ “  มันทำหน้างง ถามทวนซ้ำ

“พี่จะโกหกทำไมล่ะ ไม่มีจริงๆ”  ผมตอบมันไปแต่สายตาก็ยังคงมองหาน้องแป้ง

“งั้นเบอร์หอได้ไหมครับ” ไอ้กอล์ฟนี่ แม่งยังตื๊อชิบหาย

“พี่อยู่กับเพื่อนน่ะ เป็นบ้านพักครูโรงเรียนหลังมหาลัยเราเนี่ย ไม่มีเบอร์บ้านหรอก”  ผมตอบไปตามจริงเช่นกัน 

“พี่ใจร้ายจัง “  ไอ้กอล์ฟดูมีสีหน้าสลดลง

“เห้ย ใจร้งร้ายอะไรวะ  ไม่มีจริงๆ บ้านพี่ยากจน พี่ไม่โกหกหรอก โกหกแล้วได้อะไร ขนาดลายเซ็นพี่ยังเซ็นให้โดยไม่มีเงื่อนไขเลย”  ผมพูดแบบรำเลิกบุญคุณ

“พี่นนท์ สวัสดีค่ะ”  น้องแป้งนั่นเอง เออ มองหาตั้งนาน  อยู่ๆก็เจอง่ายดายซะ

“อ้อ อยู่นี่เอง เป็นไงวันนี้ หนักมั๊ย  อ่ะ นี่ พี่มีของมาให้”  ผมยื่นสมุดเครื่องเขียนและขนมพร้อมนมกล่องให้

“โหพี่ โหดมากค่ะ วันนี้เมื่อยไปทั้งตัวพี่เขาสั่งกอดคอลุกนั่งเป็นร้อยครั้ง”  ผมนึกภาพตอนรับน้องจังหวัดที่พี่จังหวัดพะเยาให้กอดคอนั่งยองๆให้ยุงกัดร่วมชั่วโมง แล้วยังรู้สึกว่ามันน้อยไป

 “โธ่น้องแป้ง นั่นมันยังน้อยไป สมัยพี่ปีที่แล้วโดนเยอะกว่านี้อีกครับ”
 ผมพูดพร้อมทำท่าทางหนักหนาสาหัส เราคุยกันหัวเราะสนุกสนานจนน้องแป้งขอตัวกลับผมถึงได้รู้สึกตัวว่าไอ้กอล์ฟมันยังยืนอยู่ที่เดิม

“อ้าว น้อง  เอ้อ โทษที พี่นึกว่าน้องกลับไปแล้ว”  ผมส่งแววตารู้สึกผิดไปให้มัน

“ไม่เป็นไรครับ แล้วพี่จะกลับยังไงครับ”  น้องถาม

“อ่อ นั่งรถเมลล์กลับครับ เนี่ยกำลังจะไปละ” ผมตอบและมองนาฬิกา จะสี่ทุ่มแล้ว รถออกรอบสุดท้าย สี่ทุ่มครึ่ง

“ผมไปส่งไหมครับ”  ไอ้กอล์ฟเอ่ยปากชวน  ปัดโธ่ น้องคร้าบ อย่ามาตื๊อพี่ให้เสียเวลาเล๊ย  กูจะทำยังไงดีวะ ไปให้พ้นๆจากสถานการณ์นี้

“เอ้อ พี่กลับกับเพื่อนน่ะ นั่นไงมาแล้ว”  โชคเข้าข้างครับ ไอ้แก๊ปเดินมาทางผมพอดี แต่ไอ้แก๊ปมันนอนหอพักนักศึกษา ม.ใน  ผมแกล้งพูดไปแบบนั้นเอง เนื่องจากมันต้องเดินไปทางเดียวกันที่จุดขึ้นรถบัสโดยสาร ส่วนหอพัก ม.ในอยู่ด้านหลังนั้นไปอีก
 
“อ้าวไอ้นนท์มึงยังไม่กลับอีกเหรอ”

“กูเอาของมาให้น้องรหัสกู แล้วก็รอมึงเนี่ย”  ผมรีบพูดอธิบาย และพอมันจะอ้าปากพูด ผมรู้ทันว่ามันจะพูดทำนองว่า รอกูทำไมไม่ได้อยู่ ม.นอก ผมเลยรีบพูดต่อทันที

“เออๆ รีบๆกันเถอะเดี๋ยวกูไม่ทัน  น้อง พี่กลับก่อนนะครับ โชคดีครับ”  ผมรีบบอกลาไอ้กอล์ฟแล้วกอดคอไอ้แก๊ปเดินกึ่งวิ่งออกไปจากบริเวณนั้นทันที โดยไม่หันไปมอง

 “ไอ้เด็กนั่น ใครวะ แล้วมึงอะไรเนี่ย ลุกลี้ลุกลน ” ไอ้แก๊ปถาม

“ไอ้เด็กคนนั้นไง ที่มันส่งกระดาษมาให้กูในคาบเศรษฐศาตร์(เราเรียกกันว่า เสดสาด)”  ผมอธิบาย ไอ้แก๊ปถึงบางอ้อทันที

“เห้ย  ไอ้คนนั้นน่ะเหรอ นี่แม่งจะเอาจริงหรือนี่ มึงมีดีตรงไหนวะ ถึงได้ไปจังสายตาไอ้พวกนี้”  มันถามและหัวเราะเยาะผม

“ไอ้ห่า พูดมาก ต่อไปมึงบอกไอ้คมไอ้เสกว่ากูจะขอติดกับพวกมันตลอดเลย  มันจะได้เลิกยุ่งกับกูเสียที”  ผมบอกไปตามที่ใจคิด
 
“ทำไมมึงไม่บอกมันเองวะ ว่ามึงไม่ได้คิดอะไรกับมันแบบนั้น” 

“แล้วทำไมกูจะต้องไปบอกไปอธิบายให้มันฟังวะ หลีกเลี่ยงมันซะก็จบป่าวว่ะ”  ผมเถียงบ้าง

“เออๆ แล้วแต่มึง เรื่องของมึง”

“เออ แค่นี้แหละ ต่อไปถ้ามึงสงสัยตะหงิดๆเวลากูพูดอะไร ก็ขอให้เข้าใจด้วยละกันว่ากูต้องการความช่วยเหลือแบบเมื่อกี้นี้อ่ะ”  ผมอธิบาย

“อ่อ อย่างนี้นี่เอง ฮ่าๆๆ เออ ไอ้หน้าหล่อ ไอ้คนมีเสน่ห์กับเพศเดียวกัน”  มันหัวเราะเยาะเย้ยผมอย่างสนุกสนาน

“ไอ้นี่ .. เออ กูไปละ โชคดีแล้วเจอกัน”   โบกไม้โบกมือ ลากับเพื่อนก็ขึ้นรถบัสโดยสาร รอไม่นานก็เต็มคัน ผมเลือกที่จะยืน
เพราะมีน้องปีหนึ่งที่คงเหนื่อยกับการรับน้อง ได้นั่งพัก  บางคนก็ยังไหว้ ผมก็ได้แต่ยิ้มรับไหว้ ไม่พูดอะไรต่อ
  แต่ว่า มันทำไมกลิ่นอับๆเหม็นเหงื้อยังไงบอกไม่ถูก เพราะแต่ละคนก็เพิ่งโดนรับน้องมา เลยต้องทนยืนเหม็นเหงื่อยาวไปจนถึง ม.นอก  เฮ้อ ......











  ...ความรู้สึกนี้ เหมือนเคยเกิดขึ้นมาแล้ว...


 
      ชั้นปี3 ผมย้ายเข้ามาอยู่ หอชาย ม.ใน  (คือหอที่อยู่ในตัวเมือง)  มีทั้งหมดสี่ชั้น ผมอยู่ชั้นสาม ห้องแต่ละห้องนอนได้สี่คน เป็นเตียงสองชั้น  แต่ห้องผม 303 มีแค่สามคน   นาย เอกราช แสงสุวรรณ (เอก) วิศวะกรรม คอมพิวเตอร์  คนจังหวัด อุตรดิถต์  รุ่นเดียวกับผม ตัวสูงเท่าๆกัน  และ น้องต๋อย  ธีรภพ คำปัน  พยาบาลศาสตร์ปี1 จากจังหวัดแพร่  เตี้ยกว่าผมเยอะ ฮ่าๆ  และพอมันรู้ว่าผมอยู่จังหวัดพะเยา มันก็คุยภาษาเหนือกับผมเป็นประจำ  ไอ้เอก นอนชั้นบน  ผมนอนชั้นล่าง ไอ้ต๋อยก็นอนชั้นล่างเตียงเดียวกับไอ้เอก  และไอ้ต๋อย มันมีเพื่อนชาวแก๊งแต๋วสามสี่คนที่มักจะแซวหยอกผมประจำ  พูดเป็นภาษาญี่ปุ่นแบบผิดๆ เช่น ไฮ้ เซมากุเตะ อะไรเช่นนี้  ผมก็ยิ้มแย้มไปด้วย เวลาได้คุยกับแก๊งนี้แล้วมันเฮฮาลืมโลกไปเลย 
 ส่วนไอ้เอกเหรอ พูดน้อย นับคำได้ ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร  แต่มันขยันมาก  ปีนี้ผมเอาฮอนด้าดรีมสีแดงมาใช้  บางครั้งจึงออกไปห้างโลตัส ห้างบิ๊กซี ห้างท้อปแลนด์ เพื่อซื้อของใช้ส่วนตัว ไอ้ต๋อยและไอ้เอกก็ออกไปกับผมเป็นบางครั้งคราว ถ้าซื้อของเยอะ ก็นั่งรถเมล์ ปอ.สาย1 แทน

    วันหนึ่ง หลังจากที่ผมกลับจากการรับน้องปี1 แล้วพาน้องเอก Japไปกินเลี้ยงกัน ผมเมามาก แล้วไอ้แก๊ปมันก็ลากผมมาส่งที่ห้อง แต่ไม่ยอมพาเข้าไปถึงในห้อง มันเสือกปล่อยผมไว้หน้าห้อง (ไอ้ต๋อยเป็นคนเล่าให้ฟังอีกที)  ไอ้ต๋อยมันเป็นคนลากผมเข้าห้องแล้วเช็ดตัวให้
 หลังจากนั้นมามันก็ทำตัวแปลกๆไป ไม่ใช่ว่าผมคิดไปเองแต่มันแสดงออกชัดเจน ไปไหนก็ขอตามไปตลอด จนกระทั่งวันหนึ่งผมชวนเพื่อนผมที่อยุ่คณะสาธารณสุขศาตร์ (เรียกกันว่าสาสุข) ชื่อ ไอ้ปุ๊ คนจังหวัดแพร่เช่นเดียวกันกับไอ้ต๋อย  ออกไปหาอะไรกินตอนดึก ร้าน นม ริมน้ำน่าน หน้าวัดใหญ่ และแน่นอนว่า ไอ้ต๋อยขอไปด้วย  ไอ้ปุ๊ซ้อนท้ายผม ไอ้เอกไปกับไอ้ต๋อย 
 หันหน้าเข้าวัด ยกมือไหว้พระวัดใหญ่ แล้วนั่งกินนมริมน้ำน่าน  พูดคุยกันจิปาถะ จนกระทั่งสามทุ่ม
ไอ้ต๋อยจะออกไปธุระบ้านเพื่อนตรงหลังท้อปแลนด์ ให้ไอ้เอกขับไปส่ง พอพวกมันขับออกไป ไอ้ปุ๊ก็เล่าอะไรบางอย่างให้ผมได้ประหลาดใจ 

“กูมีเรื่องจะบอกมึงว่ะเพื่อน”  ไอ้ปุ๊พูดเป็นภาษาเหนือกับผม

“อะไรวะ  มึงมีเรื่องอะไรจะบอกกู”  ผมถามออกไปทันที

“ไอ้นนท์  มึงรู้ป่ะ ว่าไอ้ต๋อยมันเป็น”  มันพูดค้างไว้แค่นั้น

“เป็นอะไรวะ”   ผมถามด้วยความงุนงงสงสัย

“อะไรวะ อย่าบอกว่ามึงมองมันไม่ออก”  มันเรียกให้ผมนั่งข้างเดียวกับมัน แต่ผมจะนั่งที่เดิม มันเลยพูดต่อ

“มองอะไรออกวะ มึงช่วยพูดให้มันเคลียร์ๆหน่อยดิ”   

“ไอ้ต๋อยมันชอบมึงว่ะ”  พอไอ้ปุ๊พูดจบผมนี่ถึงกับเด้งเลยทีเดียว

“ห้ะ  อะไรของมึง ไอ้ต๋อยเนี่ยนะชอบกู บ้าป่าว”  ผมถามมันเสียงสูง

“กูดูออก  แต่แรกแล้ว”  ดูท่าทางไอ้ปุ๊มันจะมั่นใจมาก

“มันบอกมึงเหรอ ว่ามันชอบกู มึงมั่วแล้ว”  ผมยังคงพูดออกแนวปกป้องน้อง

“มึงก็คอยดูละกัน”  มันตอกย้ำกับความมั่นใจของมันอย่างหนักแน่น  แต่ผมสิ เป็น งง อะไรกันเนี่ย ทั้งเด็กเศรษฐศาตร์ เด็กพยาบาลศาสตร์  และคำของไอ้แก๊ปก็ลอยมาเข้าหู 

        .....มึงนี่ มีสเน่ห์กับเพศเดียวกันเหลือเกินนะ.....   

เห้ย ...กูทำอะไรที่มันเป็นการเชื้อเชิญเพศเดียวกันหรือไงวะเนี่ย ผมบ่นอยู่ในใจ  ไม่ได้การละ ต้องหาโอกาสถามมันให้รู้แล้วรู้รอด   หลังจากที่ไอ้เอกพามันกลับมาแล้ว พวกเราก็กลับหอกันทันที ไอ้ปุ๊ยังไม่วายสะกิดหลังผม ผมก็ได้แต่พยักหน้า แต่ก็ลืมคุยกับน้องมันเรื่องนี้ไปโดยสิ้นเชิง พอนึกได้ก็ไม่ได้อยู่พร้อมกัน พอกลับมาที่หอก็มีอันต้องทำการบ้านอ่านหนังสือ และลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิทใจ  ไอ้ต๋อยไอ้เอก และผมก็ดำเนินชีวิตตามปกติเหมือนเช่นที่ผ่านมา แต่ไอ้ต๋อยจะไปไหนมาไหนกับผมมากกว่าไอ้เอก  จนกระทั่ง ไอ้ปุ๊ต้องกลับไปศึกษางานที่ วิทยาลัยสา’สุข พิษณุโลก จึงมีเหตุให้ต้องได้รื้อฟื้นเรื่องนี้ขึ้นมาอีกครั้ง      ตอนเย็น พวกเราสามคนและเพื่อนไอ้ปุ๊อีกสองคนไม่ขอเอ่ยถึง ไปหาของกินที่ร้านอาหารริมทางข้างสถานีรถไฟ ไม่ได้ชวนไอ้เอกมาด้วย เพราะมันไม่อยู่ ถึงร้านก็สั่งเบียร์สิงห์มาซดกัน แต่ผมขอไวน์แดงแทนเพราะไม่ถนัดดื่มเบียร์มันขมปาก กับแกล้มสุดฮิต ถั่วทอด ปีกไก่ทอด สรรพสิ่งของกินวางเรียวรายอยู่ตรงหน้า พูดคุยสัพเพเหระ เรื่องเลี้ยงส่งไอ้ปุ๊กลับไปที่วิทยาลัยสา’สุขเป็นเวลาสองเดือน จนกระทั่งสี่ทุ่ม เริ่มกึ่มๆ ผมก็สมองมึนตึ้บๆแต่ยังคงรู้ตัว สติครบ  ได้เวลากลับ ไอ้ต๋อยขอขับเองแต่ผมไม่ยอม   ถึงหอพักผมเอามอไซค์ไปจอดที่โรงรถ รู้สึกสมองมันมึนๆ เลยแวะเข้าห้องน้ำไปล้างหน้า ออกมาจากห้องน้ำซึ่งเรียกได้ว่าเป็นโรงอาบน้ำของนักศึกษาทุกคน  ผมโดนกระชากตัวไปกอดอย่างแรง  ผมสะดุ้งนึกว่าผีหลอก

“เฮ๊ย ไอ้ปุ๊ แม่งทำห่าไรวะ กูตกใจหมด”   ในระหว่างที่ผมไม่ทันระวังตัว มันขโมยหอมแก้มผมและกอดผมแน่น ผมถึงกับอ้าปากค้าง  นี่มันเกิดอะไรขึ้นวะ

“ไอ้นนท์ กูรู้ว่ามึงคงไม่รู้สึกกับกูหรอก แต่กูก็เข้าใจ กูคงทำได้เพียงแค่นี้ กูขอโทษและหวังว่ามึงจะไม่โกรธกู ยังคงเป็นเพื่อนกับกูต่อไป ได้ไหม”  มันพูดยาวๆและพูดเสียงค่อยมาก  ต่างคนต่างเงียบไปสักพัก ผมสลัดความมึนๆตึงๆ กะพริบตาถี่ๆ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ

“เอ่อ ไอ้ปุ๊ กูคิดว่ามึงจะเป็นเพื่อนที่ดีกับกูเสียอีก  นี่มึง...คิดกับกูเกินเพื่อนเหรอวะ”  ผมพูดตะกุกตะกัก ยังคิดว่านี่ผมเมาจนเลอะเลือนไปเองหรือเปล่า

“กูชอบมึงไง กูขอโทษ แต่กูก็เข้าใจนะ กูทำใจได้ หวังเพียงว่ามึงจะไม่รังเกียจกู”  ไอ้ปุ๊ถอยห่างไปหนึ่งก้าวมองหน้าผมแว่บหนึ่งแล้วก้าวเดินออกไปจากห้องน้ำ

“มึงยังเป็นเพื่อนกูนะ “ ผมพูดออกไปทันก่อนที่มันจะหายลับขึ้นไปยังชั้นของมัน  ผมยืนนิ่งลำดับเหตุการณ์อยู่ตรงนั้นชั่วครู่  เสียงไอ้ปุ๊ลอยฝ่าความมืดสลัวเข้ามา

     ..........ไอ้ต๋อยมันชอบมึงนะ กูดูออก.....

“..............”  ผมนิ่งคิด  ตกลงไอ้ต๋อยหรือมึงกันแน่วะที่ชอบกู เฮ้อ

 ผมเดินออกจากห้องน้ำกลับไปที่ห้องตัวเอง พอเอื้อมมือจะเปิดประตูไอ้ต๋อยมันก็เปิดออกมาพอดี

 “อ้าวพี่  หายไปไหนมาเนี่ย จะไปอาบน้ำรึป่าว”   ไอ้ต๋อยถามเป็นภาษาเหนือ

 “อือ ไม่อาบว่ะ  มันมึนๆเหมือนจะไข้ขึ้น”  ผมแกล้งตอบออกไป และทันทีที่ผมพูดจบมันก็ยกมือขึ้นมาแตะคอและหน้าผาก

“เว่อร์ละพี่ แค่กินไวน์สามสี่ขวดเอง จะขนาดนั้นเชียว”  มันหัวเราะขบขัน  ผมอยากจะบอกมันว่า แค่ขวดเดียวกูก็มึนแล้วเหอะ....แต่ก็ไม่ได้ปริปากออกไป

“มึงไปอาบก่อนเถอะ เดี๋ยวพักสักแป๊บ มีแรงค่อยลุกไปอาบ”  แล้วก็เดินเข้าห้องไปปิดประตูเดินล้มตัวลงไปนอนบนเตียงตัวเอง  เอ๊ะ ไอ้เอกไม่อยู่ สงสัยไปอ่านหนังสือห้องเพื่อนมัน  พอหัวถึงหมอนมันเหมือนหมดเรี่ยวแรงและหัวมึนตึ้บเหมือนมันหมุนติ้วๆ ไม่ไหวละกู กูจะไม่ลุกไปอาบน้ำละ



.

.
(ต่อ)...




   
หัวข้อ: Re: ทัช..สัมผัสใจ ตอนที่11 (12 ก.ค. 2560)
เริ่มหัวข้อโดย: thewa.arak ที่ 12-07-2017 20:36:39
ตอนที่ 11 (ต่อ)

.
.

มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่มีอะไรเย็นๆมาถูที่ตัว ทั้งเย็นบ้าง อุ่นบ้าง ร้อนๆหนาวๆปวดๆเหมือนคนเป็นไข้แล้วโดนถูกเนื้อถูกตัว  ไอ้ต๋อยนั่นเอง มันมาเช็ดตัวให้ผม เฮ๊ย นี่มันถอดเสื้อกูตอนไหน

“เฮ๊ย ไอ้ต๋อย มึงถอดเสื้อกูทำไม”  ผมถามด้วยอาการสะลึมสะลืองัวเงีย

“เอ้าพี่ ถอดตั้งนานแล้ว กลับมาก็เห็นนอนกรน น้ำก็ไม่อาบ นั่งฟังเสียงกรนอยู่พักหนึ่งจนทนไม่ได้ เลยถอดเสื้อเอาผ้าชุมน้ำเช็ดตัวให้เนี่ย”  มันอธิบายยาวเหยียด  ผมเผลอหลับเหรอเนี่ย ไอ้เอกยังไม่กลับ กี่โมงแล้ววะ  อีกสี่นาทีเที่ยงคืน  นี่กูเผลอหลับไปร่วมชั่วโมงหรือนี่

       ...........ไอ้ต๋อยมันชอบมึงนะ  กูดูออก..........

 เสียงไอ้ปุ๊ลอยมาเข้าหู ผมถึงกับเด้งตัวขึ้น รีบหยิบผ้าห่มมาคลุมตัว

“เป็นบ้าอะไรล่ะพี่ ลุกลี้ลุกลน”   ดูมันจะสะดุ้งตกใจเล็กน้อย 

“ปละๆ เปล่า  กูหนาว” ผมแก้ตัวน้ำขุ่นๆ  ไอ้ต๋อยมันหัวเราะหึๆในลำคอพร้อมกับเอาผ้าเช็ดตัวจะมาเช็ดต่อ ผมเลยห้าม

“พอแล้ว กูเริ่มดีขึ้นแล้ว ลงทุนนะมึงเอาผ้าตัวเองมาเช็ดให้”  ผมพูดด้วยน้ำเสียงติดตลกไม่ให้ดูว่าเป็นการตำหนิมันกลายๆ
 
“ไม่เป็นไร สำหรับพี่แล้ว แค่นี้ จิ๊บจ๊อยครับ เอ้อ งั้นก็นอนหงายแล้วเอาพาดหน้าผากไว้ดีไหมพี่ ผมว่าพี่ตัวรุมๆนะ”  มันพูดแบบวิเคราะห์แนวหมอแนวพยาบาล เออ สมกับที่มึงเรียนคณะพาบาลฯ 

“เว่อร์ละ กูแค่เมา ตอนนี้ก็ดีขึ้นแล้ว ว่าแต่มึงถอดเสื้อกูมึงทำอะไรกูรึป่าวเนี่ย” 

“บ้าแล้วพี่  พี่คิดว่าผมจะทำอะไรพี่ล่ะ”   มันมองหน้าพร้อมกับยิ้มกรุ้มกริ่ม  เฮ๊ยมึงช่วยออกไปห่างๆได้ป่ะ กูยังไม่ได้รู้สึกอะไรแบบนั้นนะเฟ๊ยยย  ไหนๆก็เผลอโพล่งออกไปแล้ว ผมเลยถามมันออกไปตรงๆเสียเลย

“ไอ้ต๋อย “  มันรีบหันมาทันที 

“ว่าไงพี่ มีอะไรให้บุรุษพยาบาลรับใช้ครับ”  ยังเสือกมีกะใจมาพูดเล่นอีกนะมึง

“เอ่อ มึง...คิดอะไรกับพี่รึป่าววะ”  ผมตะกุกตะกักถามออกไปตรงๆ มันก็ดูชะงักไปเล็กน้อย แต่ก็เดินไปที่เก้าอี้ เอาผ้าที่เช็ตตัวผมไปพาดไว้ แล้วเดินกลับมานั่งตรงพื้นข้างเตียงผม

“พี่คิดว่าอย่างไรล่ะครับ”  ผมยิ้มถามหน้าตาทะเล้น

“ไม่รู้เว้ย กูถามมึงอยู่เนี่ย เออ ช่างเถอะกูแค่สงสัยเฉยๆ ขอโทษละกัน”  ผมตัดรำคาญขยับตัวนอนตะแคงหันหน้าเข้ากำแพงห้อง  รอฟังเสียงที่จะเล็ดลอดออกจากปากมัน  มันเว้นระยะไปนานพอสมควร ถึงจะเอ่ยปากออกมา

“ใช่พี่ ผมคิด ผมคิดกับพี่เกินกว่าคำว่ารุ่นพี่ “  มันตอบ พร้อมกับที่ผมหันหน้ากลับมามองมันด้วยไม่เชื่อหูตัวเอง จนต้องถามย้ำ

“อะไรนะ มึงว่าไงนะ” 

“ผมบอกว่า ผมคิดกับพี่ ไม่ใช่แค่รุ่นพี่รุ่นน้อง”

“แล้วมึงคิดอะไร”

“ผมว่าผม ชอบ เอ่อ ประมาณว่ารักอ่ะพี่ ”  พอมันพูดจบ ผมสตั๊นท์ไปสิบวินาที  เอียงคอมองอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง

“รักกู? “   ผมทวนซ้ำ มันพยักหน้า   “รักยังไง”

“ไม่รู้ว่ะพี่  ผมรู้สึกดี รู้สึกอบอุ่นที่อยู่ใกล้ๆพี่ ฟังพี่พูดภาษาญี่ปุ่น มันดูน่ารักดี”

“ไอ้ห่ะ  กูไม่ใช่ผู้หญิงจะมาน่ารักเหี้ยอะไร”

“เวลาที่อยู่ใกล้พี่เห็นพี่ยิ้มแล้วมันสบายใจอ่ะ ผมก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน”   มันหรี่ตาทำท่าครุ่นคิด

“มึงเป็นตุ๊ดเหมือนไอ้พวกนั้นเหรอ”  ผมหมายถึงกลุ่มพยาบาลสาวประเภทสองเพื่อนมัน

“เฮ๊ยพี่ ไม่ใช่ละ ผมไม่ใช่อะไรขนาดนั้นนะ”

“ก็มึงมาบอกชอบกูอยู่เนี่ยไง ถ้าไม่ใช่แล้ว มันคืออะไร”

“ผมอาจจะคิดมากไปเองมั๊ง ผมก็แค่ แบบรู้สึกดี เวลาซ้อนรถพี่ไปบิ๊กซีมันรู้สึกอยากกอดอ่ะ เวลาพี่พูดภาษาญี่ปุ่น มันดูน่ารักดีอ่ะ ไม่รู้สิ” 

“กูเป็นผู้ชายนะ มึงก็ด้วย จะมาชอบกันได้ไงวะ”

“ก็มันชอบอ่ะพี่  ตั้งแต่เห็นครั้งแรกแล้ว แต่ไม่กล้าบอกกลัวพี่ตกใจ”

“กูตกใจอยู่เนี่ย  เออ”  ผมรีบตอบสวนมันทันที

“พี่อย่าบอกใครได้ไหม ผมขอร้อง ถ้าพี่จะเกลียดผม พี่บอกผมตรงๆดีกว่าครับ”

  ผมหยุดชะงักไป ไม่ตอบอะไรสักคำ ผ่านไปชั่วอึดใจ ผมตัดสินใจถือขันส่วนตัวไปอาบน้ำกลางดึก โดยไม่ได้พูดอะไรกับไอ้ต๋อยอีก  จนกลับมาอีกครั้งจึงเห็นว่าไอ้เอกมันกลับมาแล้ว และก็ยังนอนอ่านหนังสือโดยใช้โคมไฟวางบนหัวเตียงตัวเอง  ส่วนไอ้ต๋องมันหลับไปแล้ว ไม่รู้หลับจริงหรือแกล้งหลับ แต่ผมเดาว่า แกล้งหลับแน่นอน 

 “เอก มึงกลับมาซะดึกเลยเนอะ”  ผมทักมันทำลายความเงียบ  มันหันหน้ามามองผม ยิ้มมุมปากแล้วหันกลับไปอ่านหนังสือของมันต่อ

“ไม่กลับเลยน่าจะดีกว่านะ กูว่า”  มันพูดและมีรอยยิ้มตรงมุมปาก

“ไม่กลับแล้วจะนอนไหนวะ ห้องมึงอยู่นี่ กูไม่เคยเห็นมึงไปนอนที่อื่นนี่หว่า”  ผมพูดไปตามจริง

“เอ้า เผื่อกูไม่อยู่พวกมึงจะได้....อยู่กันเงียบๆไง”   มันมีเว้นวรรค แล้วหันกลับมาพูดใส่และมีแววยิ้มเยาะ  อะไรของมันวะ หรือมันจะแอบได้ยินเรื่องที่ไอ้ต๋อยสารภาพรักกูวะ  จะบ้าตายมีแต่เพศเดียวกันมาแจกขนมจีบ

“เออ เรื่องของมึงเถอะ กูนอนละ ปิดไฟด้วย  มันแยงตากู”  ผมแกล้งพูดไปอย่างนั้นเองไม่ได้ตั้งใจจะให้มันทำตาม แต่มันก็ย้อนกลับมาจนได้

“เออ กูปิดก็ได้  หึๆ ไอ้คนรูปหล่อสเน่ห์แรง”  มันพูดพร้อมกับโยนหนังสือของมันลงมาบนโต๊ะหนังสือกลางห้อง แล้วก็ปิดไฟ
“ไอ้เอก มึงนี่ มีอารมณ์ขี้น้อยใจเป็นกับเขาด้วยหรือวะ”

“เรื่องของกู มึงนอนไปเลย ไอ้รูปหล่อ”   มันยังจะถากถางผมต่อ

“K”     ผมเองก็ไม่อยากจะเชื่อตัวเอง ว่าคำนี้จะออกจากปากผม..

   ต่อล้อต่อเถียงกับมันได้สองสามประโยคก็เงียบต่างคนต่างนอน  ผมหันไปทางเตียงไอ้ต๋อย ได้ยินเสียงพลิกตัวหันเข้าฝา  ผมก็รู้ได้ทันทีว่ามันคงจะยังไม่นอน และคงจะคอยแอบฟังพวกผมคุยกันอยู่แน่ๆ ทำไมตลอดเวลาที่ผ่านมาผมถึงไม่รู้เลยนะ ว่ามันคิดกับผมยังไง ก็ดูสนิทสนมกันดี ผมไม่รู้สึกเลยสักนิดว่ามันจะมีทีท่ากับผมแบบนี้ เพียงแต่บางครั้งมันก็มาเกาะแกะ ทำแขนรุ่มร่ามบ้างเอามือแตะต้นคอบ้าง หน้าผากบ้างตามประสาเด็กเรียนพยาบาลซึ่งผมเองก็ไม่ได้คิดอะไรเลย ทำไมเขาถึงคิดกับผมแบบนี้ได้เนาะ ความใกล้ชิดงั้นรึ ไปไหนด้วยกันก็มีบ้างแต่ไม่ได้บ่อยขนาดนั้นนี่นา ไม่ใช่ว่าจะมีกิจกรรมเหมือนตอนเราเรียนชั้นมัธยมเสียเมื่อไหร่กัน  ที่จะได้มีความผูกพันจนเกิดความรู้สึกแบบนั้น

 เดี๋ยวนะ...มัธยมงั้นหรือ  ความรู้สึกผูกพัน ทำให้คิดไปแบบนั้นงั้นหรือ... ในระหว่างที่กำลังคิดสาระตะกับเรื้องไอ้ต๋อย  อยู่ๆความรู้สึกที่บางอย่างกลับแว่บวิ้งขึ้นมาในหัว

  ใช่แล้ว ความผูกพัน ความรู้สึกดีๆที่ได้ดูแลได้ใกล้ชิด  ความรู้สึกแบบนี้มันเหมือนเคยเกิดขึ้นมาแล้วสมัยผมเรียนมัธยม ... ผมนึกถึง ไอ้ตัวเล็กของผมขึ้นมาทันที  ทัช. .. จริงสิ  ตลอดระยะเวลาสองปีที่ผ่านมา ผมไม่ได้ติดต่อไปเลย ด้วยกิจกรรมรับน้องและการเรียนที่หนักหน่วงต้องท่องศัพท์จนไม่มีเวลาไปอ่านหนังสือวิชาอื่นๆ  เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ภาพไอ้ทัช รวมทั้งกิจกรรมต่างๆสมันเรียนมัธยมก็ปรากฏฉายชัดขึ้นมาในความทรงจำ 
  ทัช..ไอ้ตัวเล็ก ไอ้น้องชายที่ผมรักมาก ทำไมผมถึงลืมมันได้นะนี่  น่าโมโหตัวเองจัง ป่านนี้ใส่ชุดม.ปลายคงจะเท่ห์น่าดู มันจะอยู่อย่างไรน้อ  ภาพหอพัก ภาพห้องสตั๊ดดี้ ภาพโรงอาบน้ำ โรงครัว ลอยกลับเข้ามาฉายชัดอยู่ตรงหน้า ผมเป็นพี่ชายที่แย่จริงๆ ลืมน้องชายผู้เป็นที่รักไปได้อย่างไร ไม่ได้การละ ต้องเขียนจดหมายกลับไปหาบ้างแล้ว คิดถึงมันขึ้นมาทันทีเลย ผมปล่อยตัวเองให้ล่องลอยไปกับภาพในอดีตจนเผลอหลับไป



    หลังจากวันที่สารภาพว่าชอบผมแล้ว ไอ้ต๋อยก็ดูถึงเนื้อถึงตัวผมมากขึ้นกว่าเดิม จนผมรู้สึกได้  ผมเข้าใจแล้วว่าความรู้สึกที่มันบอกผมนั้น คืออะไร แต่ผมไม่อยากให้มันคิดกับผมมากเกินความเป็นพี่น้อง จึงพยายามหาทางที่จะทำให้มันไม่คิดแบบนั้นกับผม 
 จนเย็นวันหนึ่งมันมาพูดกับผมทั้งน้ำตา  ว่าทำไมผมต้องทำแบบนั้นกับมัน ผมเองก็ตอบไม่ถูกว่าทำไมต้องทำแบบนั้น มันไม่สามารถหาคำมาอธิบายได้

“ผมเคยบอกพี่แล้วไงครับ หากไม่คิดอะไรกับผม จะเกลียดผมขอให้บอกตรงๆ”
 มันพูดทั้งน้ำตา ทำให้ผมรู้สึกผิดมาก ในขณะเดียวกันก็รู้สึกอึดอัดไปด้วย

“พี่ขอโทษ พี่ทำไปเพียงแค่ไม่อยากให้แกมาคิดกับพี่แบบนั้น  พี่ไม่ได้ตั้งใจจริงๆ”

“พี่คิดว่าผมไม่รู้เหรอครับ ว่าที่พี่ทำอยู่นั้น พี่แค่ทำเพื่อให้ผมเลิกคิดชอบพี่  พี่ไม่ต้องถึงกับทำตัวเลวๆเพื่อให้ผมเกลียดพี่หรอกครับ ผมรู้ว่าพี่ไม่ใช่คนแบบนั้น ไม่งั้นผมจะชอบพี่ทำไม  ผมถึงบอกว่าถ้าพี่ไม่คิดอะไรหรือรังเกียจก็ให้บอกตรงๆ อย่าแกล้งทำไม่ดีแบบนั้นเลย มันไม่ใช่ตัวพี่เลย”
 ผมอึ้งกับคำอธิบายยาวๆของมัน แต่ไหนๆก็ได้พูดกันแล้ว ก็เลยพูดกันให้เคลียร์ไปเลยจะดีกว่า

“พี่มีคนที่พี่ชอบแล้ว ขอโทษนะ พี่ไม่ได้ตั้งใจ พี่แค่ทำไปเพื่อให้แกเกลียดพี่เฉยๆ”

“เพราะผมรู้ไงครับ ถึงบอกพี่ว่าให้บอกกันตรงๆ”

“ขอโทษนะ”  ผมตบบ่ามันสองที มันพยักหน้าให้

“แต่พี่กับผมยังเป็นพี่น้องกันเหมือนเดิมใช่ไหมครับ”   มันพูดทั้งน้ำตา ทำเอาผมจุก

“แน่นอน ต้องเป็นพี่น้องกันเหมือนเดิมสิวะ”  ผมพยายามพูดกลั้วหัวเราะเพื่อไม่ให้บรรยากาศมันเศร้าไปมากกว่านี้

“ผมขอกอดพี่อีกสักครั้งได้ไหม”   มันพูดมองหน้าผมวิงวอน ผมจึงดึงมันมากอดอีกมือหนึ่งก็ลูบหัวเบาๆ

       ........กริ๊ก......

 เสียงกุญแจเปิดประตูพร้อมเสียงผลักประตูเข้ามาพอดี

 “เห้ย.....อ๊ะ ..  ขอโทษๆ ไม่รู้ว่าพวกมึงอยู่”    ไอ้เอกมันเห็นพอดี โอ๊ยกูจะบ้าตาย

“เฮ๊ย ไม่ใช่อย่างที่มึงคิดเลย ไอ้เอก”  ผมผละออกจากไอ้ต๋อย และไอ้ต๋อยเองก็รีบปาดน้ำตา
 และไอ้เอกเองก็เห็นอาการของไอ้ต๋อยด้วย มันอึ้งเล็กน้อยก่อนถามขึ้นมา

“เฮ๊ย.. เป็นอะไรไป มีอะไรรึเปล่า ใครเป็นอะไร”   มันเข้ามาจับบ่าไอ้ต๋อยที่มัวแต่เช็ดน้ำตา

“ไม่มีอะไรมากครับ  แค่แม่โทรมาบอกว่าหมาที่ผมเคยเลี้ยงไว้มันตายไปแล้ว”   ไอ้ต๋อยสะอื้นตอบ
ผมเกือบหลุดขำ  โอ๊ย แม่งเอ๊ย มึงช่างหามุขได้ทันท่วงทีจริงๆนะไอ้ต๋อย

“เห็นยัง กูบอกแล้วว่าไม่มีอะไร”   ผมได้ทีรีบพูดแก้ไขความเข้าใจ 

“เออ กูรู้แล้ว ไอ้รูปหล่อ อย่ากินปูนร้อนท้องให้มาก”  ไอ้เอกตอบแต่มีแววถากถากในที

“เอ้อ ... พี่เอก  ผมมีเรื่องจะบอกครับ”   ไอ้ต๋อยมองหน้าผมสองคนสลับกันไปมา ผมเองก็หันไปมองไอ้ต๋อยโดยอัตโนมัติ  มึงอย่าพูดนะเว๊ย

“อะไรของมึง....เฮ๊ย กูหวังว่ามึงคงไม่มาบอกรักกูอีกคนหรอกนะ”   ไอ้เอกโพล่งออกมาก่อน ไอ้ต๋อยหันมามองหน้าผม ทำหน้าเหวอๆ  ผมหันไปมองหน้าไอ้เอก งงๆ

“ไอ้เอก.....มึงพูดเหี้ยอะไรวะ”  ผมเสียงดังใส่  และไอ้เอกที่เพิ่งจะรู้สึกตัวก็ระล่ำระลักตอบ

“เอ่อ  เอ้อ.... กูขอโทษ  ไอ้ต๋อยมันไม่ได้บอกกูหรอก วันนั้นกูจะเข้าห้องแล้วได้ยินพอดี” 
  เออ ดีมากเลยไอ้เอก มันจะได้ไม่เข้าใจผิดแล้วพาลมาโกรธกูขึ้นมาจริงๆ....ผมคิดในใจ..

 “หึๆๆ “   ไอ้ต๋อยหัวเราะหึๆในลำคอพร้อมยิ้มร้ายมองผมอย่างคนที่กำลังจะจับผิดใครสักคน

“งั้นก็ดีแล้วครับ ผมไม่แคร์ว่าใครจะมองผมอย่างไร ผมก็เป็นของผมแบบนี้ครับ ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อนและไม่ได้ทำเรื่องเสียหายอะไร แต่ผมก็ยังคงรู้สึกดีๆกับพวกพี่อยู่นะครับ”   ไอ้ต๋อยอธิบายต่อ

“พี่นนท์   ผมก็ยังคงชอบพี่อยู่นะครับ แม้จะเป็นได้แค่พี่ชาย”   พอมันพูดจบ หัวสมองผมแว้บๆนึกถึงหน้าไอ้ตัวเล็กลอยขึ้นมาทันที  มันน่าจะตัวเท่าๆกัน

“เห้ย เรื่องแบบนี้พี่ไม่ถือสาว่ะ อย่าคิดมาก คณะวิศวะพี่ หุ่นล่ำๆเป็นแฟนกันก็มีว่ะ”  ไอ้เอกตบบ่าปลอบใจไอ้ต๋อง   อืม มึงก็เป็นคนดีนะเนี่ย ไอ้เอก

“เออ แล้วแกว่ามีอะไรจะบอกพวกพี่วะ”  ผมท้วง

“เอ้อ ใช่ๆ ลืมไปเลย”  ไอ้เอกก็ร่วมด้วย

“อ้อ ผมจะบอกว่าผมจะย้ายไปอยู่ หอ ม.นอกกับเพื่อนผมครับ”    ไอ้ต๋อยอธิบาย ผมและไอ้เอกแทบจะพูดพร้อมกัน

“จะย้ายออก??”    ผมกะไอ้เอกมองหน้ากันแล้วหันกลับมามองไอ้ต๋อย

“ใช่ครับพี่ “ มันยังคงยืนยันหนักแน่น

“เห้ย ทำไมอยู่ๆจะมาย้ายออกได้ยังไง คงไม่ใช่เรื่องที่พี่แซวเรื่องสารภาพรักนะ”  ไอ้เอกแซว  ไอ้เวร ไม่ดูเวลาเลยนะมึง

“เปล่าครับ ไม่มีอะไรทั้งนั้น  ไม่เกี่ยวกับเรื่องพี่ๆหรอกครับ ผมตั้งใจจะย้ายไปอยู่กับเพื่อนอยู่แล้ว”   อธิบายยาวเหยียดพร้อมรอยยิ้มเต็มใบหน้า

“แน่ใจนะ”  ผมยังคงถามย้ำเพื่อความสบายใจของตัวเองด้วย

“ครับพี่ “

“แล้วนี่จะย้ายไปเมื่อไหร่ล่ะ”  ไอ้เอกถาม

“วันศุกร์นี้แหละพี่”  มันตอบ

 “เฮ๊ย ทำไมเร็วนักวะ  ไม่ใช่วันเสาร์เหรอ”   เอ่อ แล้วมันต่างอะไรวะ แค่วันเดียวนิ  ผมคิดในใจ

“ก็ค่อยๆทยอยครับ ขนไปทีละกระเป๋าสองกระเป๋า สองวันก็เสร็จครับไม่ค่อยมีอะไรมาก”   

    และแล้ว เมื่อถึงเวลา ไอ้ต๋อยก็ได้ย้ายออกจาก หอ ม.ใน ปอยู่กับเพื่อนมันที่ ม.นอก ตามที่มันเคยบอกไว้ ก่อนไปก็ขอกอดกันอีกรอบ แต่ดูท่าทางไอ้เอกมันจะอิดออด แต่ผมเฉยๆ  คราวนี้ก็เหลือแค่ผมกับไอ้เอกสองคน ผมคงเหงาไปเยอะเลย เพราะไอ้เจ้าเอกมันไม่ค่อยคุยกับใครเท่าไหร่ เอาแต่อ่านหนังสืออย่างเดียว  วันเสาร์ตอนเย็นหลังจากไปส่งให้ต๋อยขึ้นรถเพื่อนมันแล้ว ผมก็ชวนไอ้เอกไปบิ๊กซี มันก็ไปซื้อมาม่าหนึ่งแพ็กมาตุนไว้ตอนกลางคืน
   ต่างคนต่างอ่านหนังสือ คราวนี้เตียงทั้งสองฝั่งมีคนนอนแค่คนเดียว ผมนอนชั้นล่างเช่นเดิม ไอ้เอกก็นอนชั้นบนเช่นเดิม ทุกอย่างยังคงเป็นไปเฉกเช่นวันที่ผ่านๆมา แม้จะไม่มีไอ้ต๋อยอยู่ด้วยแล้ว บางครั้งมันก็ชวนคุยแต่น้อยมากแทบจะนับครั้งได้

 “เออ ไอ้นนท์”   มันเอ่ยขึ้นไม่มีปีไม่มีขลุ่ย

 “ว่าไง”  ตอบโดยไม่สนใจมองหน้ามัน

“ มึงเคยหวั่นไหวกับไอ้พวกที่มาสารภาพรักกับมึงไหมวะ”   คำถามนี้ของมันทำเอาผมแทบสะอึก

“มึงหมายถึงใคร”   ผมหะนหน้ามามองมันและถามหยั่งเชิง

“ไอ้ควาย มึงอย่ามา  มึงก็รู้ๆอยู่แก่ใจ”

“อ้าวไอ้เหี้ย กูจะรู้มั๊ยว่ามึงกำลังพูดถึงใครอยู่”

“นั่นแหละ มึงนี่เรื่องมากว่ะ”

“ก็.. กูเพิ่งตอบรับไอ้ต๋อยไป  ว่ากูก็ชอบมัน”  ผมแกล้งตอบออกไปแบบนั้น

"เหี้ยย มึงนี่แม่ง" ไอ้เอกมันสบถเสียงดัง

“อะไร กูจะชอบมันตอบบ้าง แล้วมันจะเป็นไรวะ”

“แล้วมันจะหนีมึงไปอยู่ ม.นอกทำเหี้ยไรวะ” 

“อ้อ  มึงไม่รู้อะไร เดี๋ยวอีกไม่นานกูก็จะตามมันไปไง อยู่นี่มันไม่ค่อยสะดวกหลายอย่าง  มันคงอายมึงมั๊ง เพราะมีมึงอยู่ด้วยไง”   ผมได้ทีแกล้งตอกไข่ใส่เข้าไปอีกเป็นชุดให้ดูสมจริง

“ .....................”       หืม.. ไอ้เอกมันเงียบไปทำไม

“อ้าว เงียบทำไม อึ้งเหรอวะ”   ผมยิ้มเยาะมัน แต่มันไม่ตลกตามมุขผม

“มึงหมายความว่า กูเป็นก้างขวางคอพวกมึงสองคนใช่ป่ะ ก็ได้นะ  มึงให้มันกลับมาอยู่กับมึงสิ เดี๋ยวกูจะเป็นคนไปเอง”    มันพูดเสียงจริงจัง จนผมเองก็ตกใจกับใบหน้าท่าทางมึนตึงแบบนั้น เพราะผมเองก็ไม่เคยเห็นมันในมุมนี้ 

“เห้ย...ไอ้เอก “   ผมหัวเราะขำเล็กน้อย และพูดต่อ

“มึงนี่ เชื่อคนง่ายเนาะ  กูแกล้งล้อมึงเล่นเท่านั้นแหละ ไม่ใช่เรื่องจริงหรอก  เห็นมึงไม่ค่อยมีอารมณ์ขัน นานๆทีได้หยอกล้อเล่นบ้างเลยอยากแกล้งแหย่เล่นเสียหน่อยเท่านั้นเอง”    ผมอธิบายเป็นชุด

“กูไม่มีอารมณ์มาตลกกับมึงหรอก อย่ามาทำตัวเป็นเด็ก มึงบอกกูได้ กูจะย้ายออกเอง”   มันยังคงมึนตึงหน้าขึงขังเช่นเดิม จนผมอดไม่ได้ที่จะวางมือจากการบ้างบนโต๊ะผม แล้วเดินไปที่ฝั่งเตียงของมัน จับมันหันหน้ามาจ้องสบตากับผม

“ไอ้เอก ..กูถือว่ามึงก็เป็นเพื่อนสนิทกูนะเว้ย  มึงดูปากกู ช้าๆ ชัดๆ กูพูดเล่น กูแค่หยอกมึงเล่น โอเค๊  กูขอโทษถ้ามันทำให้มึงอารมณ์เสียได้ขนาดนั้น”    ผมอธิบายจริงจัง ซึ่งมันเองก็ดูอึ้งๆไปเช่นกัน

“กูก็แกล้งทำจริงจังไปงั้นเอง มึงนี่ก็เอาจริงนะเนี่ย”    ไอ้เอกมัน ทำตาละห้อยใส่ ผมก็มองหน้ามันนิ่งๆไม่พูดอะไรออกมา แล้วเดินหันหลังกลับไปยังเตียงตัวเอง
“ปิดไฟด้วย ดึกแล้ว กูจะนอน”    ผมพูดไปอย่างนั้นเองไม่ได้ตั้งใจจะให้มันปิดไฟจริงๆ

“เออ กูว่าจะลงไปนอนข้างล่างกับมึงได้มั๊ยวะ”     ผมหันกลับมามองมัน ยังไม่ทันจะอ้าปากพูดอะไรออกไปมันก็สวนกลับมาทันควัน

“เห้ย กูหมายถึงนอนชั้นล่างแบบมึงอ่ะ” 

“ก็เรื่องของมึงสิวะ กูไม่ได้ล่ามโซ่มึงไว้นะ”

“อ้าวไอ้เหี้ยนนท์ มึงด่ากูเป็นหมาเหรอ”

“กูไม่ได้พูดนะ มึงพูดเอง”    ผมเบ้ปากยักไหล่ผายมือออก

“เออ ตากูมั่งมึงอย่าโวยละกัน”   ไอ้เอกชี้หน้าพร้อมคาดโทษผม แต่ผมก็ไม่สน ล้มตัวลงนอนบนเตียงของตัวเอง  เป็นอันปิดฉากการสนทนา 

..........................................




 
หัวข้อ: ทัช..สัมผัสใจ ตอนที่12 (12 ก.ค. 2560)
เริ่มหัวข้อโดย: thewa.arak ที่ 12-07-2017 20:51:02
ตอนที่ 12



..กลับมายืนที่เดิม ..Partนนท์/ทัช..



  หลังจากเหตุการณ์สารภาพรักของเด็กรุ่นน้องคณะพยาบาลศาตร์ผ่านไป มันทำให้ผมได้กลับมานั่งคิดทบทวนถึงความรู้สึกแบบนั้น ความรู้สึกผูกพัน และอบอุ่นที่ได้อยู่ใกล้ๆกัน  ได้มองเขาอย่างชื่นชม เป็นห่วงเขาอย่างจริงใจ  ความรู้สึกเหล่านี้ เหมือนมันเคยเกิดขึ้นมาแล้ว  ในสมองของผมสั่งการให้ขุดภาพในอดีตกลับขึ้นมาฉายชัดในความทรงจำอีกครั้ง เริ่มตั้งแต่ เรื่องราวของไอ้แทน  ทุกอย่างที่ผ่านมาผมกับไอ้แทนก็ถือว่าสนิทกันมากเลยทีเดียว แต่ ไอ้แทนมันจากผมไปตั้งแต่ม.สองแล้ว  ความรู้สึกผูกพันมันคงนานเกินไปและถูกเติมเต็มแทนที่ด้วยเจ้าทัชน้องชายของมันเอง


   “ธวัช  ลีสกุลรัตน์ “

 ทุกภาพแห่งความทรงจำผุดภาพเจ้าทัชขึ้นมาแทนที่ในทันทีทันใด  ใช่แล้ว ทัช  ไอ้ตัวเล็กของผม และความทรงจำรวมทั้งเรื่องราวต่างๆที่เคยเกิดขึ้นในสมัยมัธยมระหว่างผมกับเจ้าตัวเล็กเรียงรายฉายภาพเกือบทุกฉากทุกตอนออกจากความทรงจำราวกับสายน้ำที่ไหลบ่ามาอย่างไม่ขาดสาย   เรื่องราวต่างๆที่เคยเกิดขึ้น มันก่อตัวเป็นความรู้สึกรักและห่วงใย เป็นความผูกพันระหว่างผมกับเจ้าตัวเล็กที่แน่นแฟ้น  ภาพที่มันงอนผม ภาพการทำอาหาร ตัดฟืนตัดกิ่งไม้  ภาพโรงอาบน้ำ ทุกอย่างหมุนวนอยู่ในหัวและยังคงแจ่มชัดในความทรงจำเมื่อนึกถึง ราวกับเพิ่งผ่านไปเมื่อวาน
   ที่ผ่านมานี่ผมลืมเจ้าตัวเล็กของผมไปได้อย่างไรกัน  ปีหนึ่งผ่านไป รับน้องคณะ น้องเอก เลี้ยงสายรหัส เลี้ยงส่งปีสี่งานบายเนียร์ จนผมลืมเจ้าตัวเล็กผมไปถนัดเลย ทำไมผมถึงได้เลวอย่างนี้  สัญญากับเขาว่าจะดูแลเขา แต่เราลืมเขาไปได้อย่างไรจวบจนผ่านมาจะสามปีแล้ว ป่านนี้ อยุ่ม.หกแล้ว คงจะโตขึ้นอีกเยอะเลยเชียว
 เมื่อได้นึกถึงแล้วก็ให้คิดถึงเจ้าตัวเล็กขึ้นมาจับใจ  พี่ขอโทษนะ พี่ลืมทัชไปได้อย่างไรกัน แย่มากๆ เมื่อผมทบทวนทุกๆอย่างบวกกับความรู้สึกถูกสารภาพรัก ทำให้ผมเข้าใจแล้วว่าความรู้สึกแบบนั้น มันเคยเกิดขึ้นมาแล้วในสมัยชั้นมัธยม  แต่ตอนนั้น เราคงจะยังเด็กกันนัก ถึงตอนนี้ผมเข้าใจแจ่มแจ้งแล้ว และรู้สึกคิดถึงและเป็นห่วงเจ้าตัวเล็กจับใจ อยากรู้ว่าทำอะไรอยู่บ้าง 
  ผมเริ่มเขียนจดหมายกลับไปที่โรงเรียน ระบุชื่อเจ้าตัว แต่ก็รู้อยู่แล้วว่า สมัยนั้น จดหมายจะถูกเปิดอ่านก่อนถึงเจ้าตัว แต่ผมก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร สมัยนั้นมันไม่มีมือถือไม่มีโทรศัพท์ ก็อาศัยการเขียนจดหมายนี่แหละครับ  ผมใช้คำขึ้นต้นเป็นภาษาอังกฤษ ว่า “My Dear ทัช”  บอกเล่าเรื่องราวในมหาวิทยาลัยเล็กน้อยก่อนจะขอโทษที่ไม่ได้ติดต่อไปเสียนาน และถามข่าวคราว พร้อมกับเกริ่นว่าอยากเห็นตอนใส่ชุดม.ปลาย
  ไม่อยากจะเชื่อ ว่าเจ้าตัวเล็กจะตอบกลับมาสามสี่หน้ากระดาษ พร้อมกับประโยคต่อว่าผมต่างๆนาๆ  ผมหายไปจะสามปี เขาเหงามาก เล่นกีตาร์จนคล่องแล้ว ทุกอย่างที่เคยทำร่วมกันมา พอเดินผ่านก็คิดถึงทุกครั้ง หาว่าผมใจร้ายมากที่ไม่ติดต่อกลับเลย หรือว่าลืมเขาแล้ว ไหนเคยสัญญาว่าจะติดต่อกลับมา จะไม่ลืมกัน  เดินผ่านทุกที่ ทั้งริมสระ ทั้งสนามบอลสนามบาส ห้องสตั๊ดดี้ แม้กระทั่งห้อง6/2เก่าของผมที่เคยไปอ่านหนังสือด้วยกันตอนผมเตรียมสอบ ตอนกลางคืนก็ไม่มีคนให้นอนหนุนแขน ไม่คิดว่าผมจะลืมเขาได้ทั้งๆที่เคยสัญญากันไว้  ผมอ่านดูทุกข้อความถึงกับน้ำตาไหลออกมา  ผมเลวจริงๆแหละครับ ที่ลืมคนสำคัญของตัวเองไปได้ทั้งๆที่เคยสัญญากันไว้ 
   ใช่แล้ว  .... สัญญา ...   กับไอ้แทนเอง ผมก็เคยสัญญากับมันไว้ แต่ผมก็ไม่สามารถทำตามสัญญา เราต่างทำตามสัญญาให้กันไม่ได้เพราะไอ้แทนมันจากผมไปแล้วอย่างไม่มีวันกลับ แต่สำหรับไอ้ตัวเล็ก เขายังอยู่ ทำไมผมถึงลืมสัญญากับเขาได้นะ สัญญาว่าจะดูแล สัญญาว่าจะติดต่อกลับไป แต่ด้วยอะไรหลายอย่างในรั้วมหาวิทยาลัย ทำให้ผมลืมไปเสียสนิท ผมไม่แก้ตัวใดใดทั้งสิ้น ผมมันเลวมากจริงๆ 
 ผมไม่รอช้า รีบตอบจดหมายกลับไปทันที   ไม่มีคำแก้ตัวใดใด ผมมันผิดเอง และขอโทษเจ้าตัวเล็กที่ปล่อยให้รอคอยนานเกือบสามปี ความรู้สึกของอีกฝ่ายที่อดทนเฝ้ารอการติดต่อจากคนที่มีความรู้สึกดีๆต่อกันมานานเกือบสามปีนั้น มันเป็นเช่นไร ผมเข้าใจดีเลยทีเดียว
 มันทั้งเหงาทั้งอ้างว้างทั้งสุขเศร้าระคนปนเปกันไป คิดถึงเมื่อใดก็เจ็บปวดจนแทบกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ได้
  ผมเริ่มที่จะจดและขีดๆเขียนๆบันทึกลงในสมุดเล่มเล็ก พยายามจดบันทึกให้ได้ทุกรายละเอียดระหว่างผมกับเจ้าตัวเล็ก รวมทั้งแต่งกลอนตามใจฉันเอาไว้ แทรกในเหตุการณ์ต่างๆตามที่จะนึกขึ้นได้  กลายเป็นคนคิดเล็กคิดน้อย พบเห็นอะไรก็สามารถเอามาขีดๆเขียนๆได้เป็นฉากๆ
  ถึงตอนนี้ ผมเข้าใจดี ว่าความรู้สึกทั้งหมด ที่เริ่มมาจากความผูกพัน ความรักความห่วงใยฉันพี่น้อง กลายมาเป็นความรักบริสุทธิ์  หรือรักเพราะอะไรผมไม่อาจจะอธิบายได้ รู้แต่ว่า ผมรักเจ้าตัวเล็กของผม ห่วงใยในความเป็นไป และปรารถนาให้ได้พบแต่สิ่งดีๆ แต่ผมจะอธิบายให้เจ้าตัวเล็กฟังอย่างไรดี ถึงความรู้สึกนี้  เขาจะเข้าใจอย่างที่ผมต้องการจะสื่อถึงหรือไม่ นั่นเป็นเรื่องของอนาคต ในตอนนี้  ผมคิดถึงเจ้าตัวเล็กหมดทั้งหัวใจ   


 ......การคิดถึงใครสักคนที่อยู่ห่างไกลกัน …มันทรมานอย่างนี้นี่เอง......

     
      ช่วงก่อนปิดภาคการศึกษา นิสิตวิชาเอกภาษาไทยเตรียมจัดค่ายอาสา เลยมาชวนผม เพราะน้องๆที่ไปกันส่วนใหญ่ก็มาจากจังหวัดเดียวกัน ที่สำคัญอาจารย์ผู้คุม ก็สอนวิชาภาษาศาตร์ชั้นปีของผมด้วย ตอนแรก ผมตอบปฏิเสธไป  แต่พอมาครั้งที่สอง น้องๆเอาโครงการมาให้ดู สายตาผมสะดุดกับสถานที่ที่จะไปออกค่ายชมรมภาษาศาตร์มาก
      “โรงเรียนบ้านต้นไผ่   อำเภอเวียงคำ ”   
ผมตาลีตาเหลือก พลิกอ่านโครงการคร่าวๆ แล้วรีบตอบตกลงทันที  ทำไมน่ะหรือครับ  บ้านต้นไผ่ หรือโรงเรียนบ้านต้นไผ่  อำเภอเวียงคำ   คือหมู่บ้านเจ้าทัช  เจ้าตัวเล็กของผมนั่นเอง ใบหน้าของเจ้าตัวเล็ก ผุดขึ้นมาในความทรงจำทันที  ผมจำได้แต่ตอนชั้นมัธยมต้น ที่ใส่กางเกงสีกากี ไม่รู้ว่าตอนนี้ ทัช จะเป็นอย่างไร ผมเฝ้ารอคอยที่จะได้เห็นเจ้าตัวเล็กใส่ชุดมัธยมปลาย อย่างใจจดใจจ่อและตื่นเต้น  ทัช...  อีกไม่นานเราจะได้เจอกันแล้ว ผมดีใจอย่างบอกไม่ถูกแทบจะซ่อนความดีใจจนออกนอกหน้าไว้ไม่ได้
   และแล้ว ช่วงปิดภาคการศึกษา  วันเดินทางก็มาถึง พวกเราชาวชมรม มีอาจารย์สินีนาฏเป็นอาจารย์ผู้ดูแลชมรม พี่ก้อง ปีสี่ เอกภาษาไทยเป็นประธานชมรม  พี่เอื้อย ปีสี่ภาษาไทย  พี่อั๋น และพี่เนตรปีสี่ภาษาญี่ปุ่นและศิษย์เก่าโรงเรียนเวียงคำวิทยา ไปด้วย  รุ่นชั้นปีเดียวกับผม ก็มีผม และเพื่อนๆจากเอกภาษาไทย รวมถึงรุ่นน้อง ปีสองเอกภาษาไทย ปีหนึ่งอีกจำนวนหนึ่ง รวมทั้งหมด 26คน ออกเดินทางด้วยรถหกล้อของมหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นทรัพย์สินส่วนงานกิจการนิสิตคณะมนุษยศาตร์  ออกเดินทางตั้งแต่ 8โมงเช้า ผ่าน พิษณุโลก อุตรดิตถ์ แพร่ และเขตใกล้ๆลำปาง  พวกเราชาวค่าย เดินทางอย่างไม่เร่งรีบ แวะตามรายทางไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเข้าสู่ตัวเมืองจังหวัดราวๆบ่ายสอง แวะเที่ยวชมทะเลสาปน้ำจืด”กว๊านพะเยา” และพักรถ ถ่ายรูปตามวิว และเดินหาอะไรรองท้อง   

  ออกเดินทางต่อ จนกระทั่งถึงบ้านแคะ ช่วงทางแยก  หากเลี้ยวขวาไปอีก ประมาณ42กิโลเมตร จะเป็นหมู่บ้านผม เลี้ยวซ้ายขึ้นดอยประมาณ20กว่ากิโลเมตร จะถึงบ้านต้นไผ่  จากมุมมองด้านล่าง ผมแหงนมองขึ้นไปที่บนดอยสูง  โอบล้อมด้วยภูเขาหลายลูกสลับกัน และต้นไม้ใหญ่นานาพันธ์  ผมหลับตาลง  ใครจะรู้ว่ามีหมู่บ้านเล็กๆ ซ่อนตัวจากความวุ่นวายในเมืองหลบอยู่ในหลืบดอยเหล่านั้น  เอาล่ะ ทัช อีกไม่กี่นาที เราก็จะได้เจอกันแล้ว ถ้าทัชไม่ไปทำงานที่ กทม.ช่วงปิดเทอมตามเพื่อนๆและญาติ เราก็คงจะได้เจอกัน

   รถหกล้อ แล่นผ่านหลืบดอยค่อยๆไต่ขึ้นเขาตามทางลูกรังบางช่วงเป็นหลุมเป็นบ่อ กระเด้งกระดอนจนปวดเมื่อยระบมตูดไปตามๆกัน  สำหรับผมแล้วทุกๆม่านดอยผมคุ้นเคยกับมันไม่ว่าจะเป็นฝุ่นแดงๆที่ฟุ้งตลบ นี่หากเป็นรถแมงกะไซค์คงได้หัวฟูอมแดงแน่ๆ  ผ่านดอยแล้วดอยเล่า ต้นไม้ใหญ่ น้ำที่ตกลงมาจากยอดดอยเสียงซ่าดังจนได้ยินไปถึงตีนเขา บ่ายสี่โมงกว่าแล้ว ฝูงนกกาเริ่มบินกลับรัง พร้อมกับภาพตะวังแดงๆที่กำลังจะตกดินในไม่ช้า ช่างเป็นภาพที่งดงามนัก รถเริ่มแล่นขึ้นสู่ที่สูงความหนาวเย็นก็เริ่มปกคลุม อยู่ในหลืบดอยมองออกไปรอบๆจะไม่รู้เลยว่ามาจากทางไหนและอยู่ตรงไหน จนมีแม้กระทั่งเสียงของเพื่อนๆน้องๆชาวค่าย บ่นกันว่า  นี่เราอยู่ตรงซอกไหนของประเทศไทยกันแน่ 

  ไม่นานนัก รถก็พาเรามาถึงจุดหมายปลายทาง  โรงเรียนบ้านต้นไผ่  อาคารเรียนสองหลัง ชั้นเดียวหนึ่งหลังและสองชั้นใต้ถุนโล่งอีกหนึ่งหลัง สนามฟุตบอลเล็กมากหนึ่งในสี่ของสนามจริง ตัวโรงเรียนตั้งอยู่ตรงหน้าทางเข้าหมู่บ้าน เดิมทีเป็นดอย แต่ได้มีการไถปรับหน้าดินเพื่อสร้างโรงเรียน ดังนั้น จึงมีบางมุมที่สามารถไปยืนเพื่อมองดูวิวทิวทัศน์รอบๆบริเวณได้
  เนื่องจากเป็นช่วงปิดเทอม จึงมีครูเพียงท่านเดียวที่อยู่รอต้อนรับคณะชาวค่าย (เดิมที มีครูสอนอยู่ที่นี่เพียงสามคนเท่านั้น) พร้อมกับผู้ใหญ่บ้าน(ซึ่งผมรู้จักดี)และชาวบ้านอีกกลุ่มหนึ่ง และเด็กๆนักเรียนชายหญิง ยี่สิบคน ทุกคนดูยิ้มแย้มแจ่มใส
อาจารย์สินีนาฏกล่าววัตถุประสงค์ของการออกค่าย อธิบายโครงการไปแล้วก็แนะนำชาวค่าย รวมถึงกำหนดการต่างๆ  ชาวบ้านนำฟืนและข้าวสารอาหารแห้งมาให้ด้วย

  นี่แหละน้ำใจชาวดอย หาได้ยากนักจากในสังคมเมืองใหญ่ๆ  เสร็จแล้วก็ กินข้าวที่ซื้อมาจากแหล่งที่พักริมทางที่เป็นทะเลสาปน้ำจืดใหญ่ที่สุดในภาคเหนือ   ห้าโมงกว่าเด็กชาวๆดอยในหมู่บ้านลงมาเล่นกีฬาที่สนาม มีเพียงฟุตบอล วอลเล่ย์บอลและและตะกร้อ แยกย้ายกันไปเล่นด้วยกันกับคณะชาวค่าย  ซึ่งผมคอยชะเง้อมองดูเงาของเจ้าทัช แต่ไม่มีวี่แวว ถามเด็กๆที่มาเล่นกีฬา
 ได้ความว่า ไปบ้านญาติที่บ้านวังถ้ำ พรุ่งนี้คงกลับมา  เฮ้อ ผมไม่มีอารมณ์อยากเล่นกีฬา พอกินข้าวเสร็จแล้วก็อาบน้ำเลย เพราะดึกกว่านี้อากาศจะเย็น
 หนึ่งทุ่มตรง คณะชาวค่ายประชุมงานเตรียมงานแบ่งงาน โดยแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มที่ทำกับข้าว และกลุ่มที่ทำงานสอน แต่ละกลุ่มจะได้รับแผนการสอนว่าสอนอะไรบ้าง แล้วแยกย้ายกันไปนอน  นิสิตชาย ไปนอนอาคาร1  นิสิตหญิงนอนชั้นสอง อาคาร2ที่ใต้ถุนโล่งๆ แต่พวกเราชาวค่าย ปูเสื่อตรงสนามฟุตบอลร่วมร้องรำทำเพลงน้องๆดีดกีตาร์กัน สนุกสนาน นอนนับดาวกันเล่นๆ  บรรยากาศยามค่ำคืนมันช่างหนาวเย็นเสียนี่กระไร ท้องฟ้ามีดาวเรียงรายทั่วฟ้า ผมเดินไปยืนตรงลานผามองฝ่าความสลัวออกไปยังทิวทัศน์ยามกลางคืนที่มองแทบไม่เห็นแล้ว

  ...กลับมายืนที่เดิม ที่บ้านต้นไผ่ อีกครั้ง ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม หลับตา นึกถึงภาพเก่าๆเมื่อครั้งที่ได้มาครั้งแรกกับไอ้แทน และภาพต่างๆที่มาอีกครั้งกับเจ้าทัช   เบื้องล่างตรงตีนเขามีลำธารที่พวกเราเคยไปใส่แน่งจับปลากัน ผมมีความสุขมากเมื่อนึกถึง  อืม หวังว่าพรุ่งนี้เราจะได้เจอกันนะ เจ้าตัวเล็ก อยากรู้จังว่าเห็นผมแล้วเจ้าตัวจะทำท่ายังไง

.

.

(ต่อ)







หัวข้อ: ทัช..สัมผัสใจ ตอนที่12 (ต่อ) (12 ก.ค. 2560)
เริ่มหัวข้อโดย: thewa.arak ที่ 12-07-2017 20:53:01
ตอนที่ 12


.
.
(ต่อ)


โชคชะตานำพาให้กลับมาพบกัน..



    วันแรกของการเริ่มต้นกิจกรรมและการเรียนการสอนของชาวค่าย ก็เกิดความสนุกสนาน เพราะกลุ่มที่ทำกับข้าว ดันหุงข้าวไม่สุก ข้าวยังคงมีบางจุดที่แข็งอยู่ แต่ก็ทนกินกันไป เด็กๆนักเรียนแต่งชุดนักเรียนเต็มยศ มาโรงเรียน เพื่อมาเรียนกับพี่ๆนิสิต แต่ผมว่าส่วนใหญ่มาเที่ยวเล่นมากกว่า ผมได้สอนเด็กกลุ่มหนึ่ง ซึ่งผมไม่รู้จักเลย แต่โชคดี ที่ผมพูดภาษาชาวดอยได้ เลยได้เปรียบ กลุ่มอื่นๆมีนินทาพี่ๆคนสอน แต่พอมาถึงผม เด็กๆเงียบน่ารักมาก  หนังสือเรียนก็ใช้ของเด็กนักเรียนนี่แหละครับ สอนการออกเสียงให้ถูกต้อง คำควบกล้ำ ร.เรือ ล.ลิง  เด็กๆก็ตั้งใจเรียนกันเป็นอย่างดี

“อย่านินทากันนะ พี่ฟังออกนะจะบอกให้”   ผมปรามเด็กๆ

“ หยั่นหาง (กินข้าว) แปลว่าอะไรครับ”   นั่นไง โดนลองดีแล้วไหมล่ะ  หนอย ไอ้เด็กเวร อยากลองดีใช่ไหม เอาสิ  ผมให้เด็กๆพูดกันไปเรื่อยเปื่อย จบปุ๊ป ผมก็แปลออกมาเป็นภาษาไทย เด็กๆอึ้ง งงเป็นไก่ตาแตกกันทุกคน หลังจากนั้นก็ไม่มีใครกล้ามาแหย่หนวดเสืออีกเลย ฮ่าๆ ให้รู้ซะมั่ง ใครเป็นใคร ความลับนี้ อาจารย์และเพื่อนๆคณะชาวค่ายยังไม่มีใครรู้  ผมจะบอกให้ทราบเมื่อเวลานั้นมาถึง ฮ่าๆๆ   กลุ่มอื่นๆไม่รู้สอนอะไรกันไปบ้าง แต่ผมสอนทั่วๆไป ไม่เคร่งเครียดเพราะรู้ความเป็นธรรมชาติของชาวดอยดี

  ช่วงบ่ายชาวค่ายร่วมกันจัดห้องเรียนกับเด็กๆ ตกแต่งห้องเรียนใหม่ทุกห้อง จนดูสวยงามขึ้นมากกว่าเดิม เด็กๆดูภูมิใจในสิ่งที่ตัวเองได้ร่วมมือทำ  ช่วงเย็นชาวบ้านมีการนำฟืนบางส่วนและเอา ฟักทองมาให้ด้วย  น้ำใจงดงามจริงๆ  และเป็นอีกครั้งที่ ได้กินข้าวแฉะ คนหุงบอกว่าต้องต้มนานกว่าเมื่อเช้าเพราะกลัวข้าวแข็ง กลับกลายเป็นว่า ข้าวแฉะ   หมดกิจกรรมแล้ว ชาวค่ายกับเด็กๆรวมถึงเด็กวันรุ่นในหมู่บ้าน มาร่วมกันเล่นกีฬา ผมเล่นวอลเล่ย์บอลกับน้องๆ จนกระทั่งผมมองเห็นเจ้าตัวเล็ก  ก็ให้รู้สึกดีใจ ใจพองโตขึ้นมาทันทีจนแทบจะกระโดเข้าไปกอดให้หายคิดถึง แต่ก็ยังยั้งสติเอาไว้
    อืม..ผมยาวขึ้นนะเนี่ย แต่ผิวยังคงเข้มเหมือนเดิม  ตัวโตขึ้น เค้าหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย หรือผมคิดไปเอง เจ้าตัวคงจะยังไม่รู้ว่าผมมาออกค่ายนี้ด้วย ผมกะจะทำเซอร์ไพรซ์ 
 ผมเรียกน้องนักเรียนให้ไปตาม ทัชมาให้ ตอนแรกเด็กก็งงว่าคือใคร จนผมนึกได้ว่าเด็กคงไม่รู้จักชื่อที่ผมเรียกขึ้นมาเอง เลยบอกชื่อภาษาถิ่นไป เด็กก็เข้าใจและวิ่งไปตามมาให้  ผมนั่งรออยู่ตรงโรงครัวโดยที่นั่งหันหลัง พอเห็นเจ้าตัวเดินมาถามรุ่นน้องนิสิต ว่าใครให้ตามหา คงจะงงนะว่าอยู่ๆมีคนรู้จักด้วยหรือ

“ลองไปถามพี่ตรงนั้นดูนะคะ”   น้องนิสิตตอบพร้อมกับชี้มือมาทางผม

“พี่ตามหาผมหรือครับ”   เสียงคุ้นๆหูเอ่ยทักขึ้นมา  ผมดีใจที่ได้ยินเสียงนี้อีกครั้ง  ใจมันเต้นโครมๆ ตื่นเต้นเหมือนวันประกาศผลโควต้า  ผมลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆแล้วหันมาเผชิญหน้ากับคนตรงหน้า สบตาเขาพร้อมกับเลิกคิ้วหนึ่งข้าง พร้อมกับส่งยิ้มที่ มุมปาก  เจ้าตัวเล็กมีสีหน้างุงงนเล็กน้อยไม่ทันสามวินาทีก็เบิกตากว้าง

“พี่นนท์?  พี่นนท์ใช่ไหม?  พี่นนท์จริงๆด้วย”  พูดซะเสียงดังลั่นพร้อมกับกระโดดกอดผมซะแน่น จนผมตกใจ รุ่นน้องสองคนนั่นก็ทำหน้าเหลอหลา

“พี่นนท์จริงๆด้วย แม่บอกว่า มีนักศึกษามาจากมหาลัยพี่ ผมก็ไม่คิดว่าพี่จะมา ได้ยินเด็กๆพูดกันว่า วิชาเอกภาษาไทย แต่พี่เรียนภาษาญี่ปุ่น  เลยไม่คิดว่าพี่จะมาด้วย”  พูดโพล่งออกพร้อมกับมีแววตารื้นๆเล็กน้อย ผมจับข้อมือเจ้าตัวเล็กแกะออกจากคอ ดันตัวมันออกห่างผมเล็กน้อย

 “ไง ไอ้น้องชาย โตขึ้นเยอะเลยนะเรา ผมยาวแล้ว ไม่น่ารักเลยหาเวลาไปตัดด้วย”   ผมหาคำพูดมาเพื่อถ่วงเวลาดึงรั้งไม่ให้หยดน้ำไหลออกจาตาของเจ้าตัวเล็กที่ปริ่มๆจนจะล้นไหลออกมา ซึ่งผมรับรู้ได้ถึงอาการสั่นเล็กน้อยของเขา 

“ทำไมพี่ไม่ติดต่อกลับมา”   พูดแค่นั้นก็น้ำตาร่วงเลยทันที  โธ่เด็กน้อยเอ้ย ท่าทางเข้มแข็งออกทำไมถึงได้บ่อน้ำตาตื้นอย่างนี้นี่ห๊ะ  ยังคงเป็นเด็กเหมือนตอนมัธยมต้นเลยสินะเนี่ย

“ไม่เอานะ อย่าร้องๆ พี่อยุ่ตรงนี้แล้ว “  ผมพูดเป็นภาษาถิ่น เพื่อไม่ให้รุ่นน้องคนอื่นๆที่อยู่บริเวณใกล้เคียงได้ยินและเข้าใจว่าเรากำลังคุยอะไรกัน  ผมใช้หลังมือปาดน้ำตาให้แล้วกอดคอเจ้าตัวเล็กเดินออกไปยังศาลาท้ายโรงเรียน คนอื่นยังคงเล่นกีฬากันอยู่   เราพากันเดินมานั่งที่ศาลาพักร้อน ซึ่งจริงๆอากาศบนนี้หนาวเย็น ปลายตุลาฯแล้วนี่เนาะ ตอนเย็นๆจนค่ำยันดึกจะอากาศจะเย็นมาก

“เป็นไงมั่ง สบายดีไหม ทัช โตขึ้นเยอะเลยนะเรา หน้าดูมีเหลี่ยมมีมุมขึ้นนะเนี่ย” ผมพิศดูใบหน้าและรูปร่างเจ้าตัวเล็ก ซึ่งดูเหมือนจะตัวโตมากขึ้น แต่ก็ยังเตี้ยกว่าผมอยู่ดี  ฮ่าๆ แต่..ทำไมรู้สึกหน้ามันเหมือนไอ้แทนจังเลยวะ..

“พี่ดูคล้ำลงไปเยอะเลยครับ ไม่ขาวเหมือนเมื่อก่อนเลยอ่ะ แล้ว..สบายดีไหมครับ”  ไม่มีเสียงสะอื้นแล้วและพูดพร้อมรอยยิ้มที่ผมรู้สึกได้ว่าเจ้าตัวคงดีใจมาก ผมเองก็ไม่ต่างกัน

“ที่พิดโลกอากาศร้อน ฝุ่นควันเยอะ พี่ไม่เคยเจออะไรแบบนั้นไม่เหมือนบ้านเราที่ไม่ต้องเจออะไรแบบนั้น นี่ยังรู้สึกว่าหน้าตัวเองมันแล้วเนี่ย”   ผมอธิบายพอให้เห็นภาพเพื่อให้คนฟังได้นึกตาม

“ถึงว่า ผมว่าผิวพี่เปลี่ยนไป”   พูดพลางจับแขนผมพลิกไปมาพร้อมกับสำรวจหัวจรดเท้า

“เห้ย พี่ไม่ได้ดำไม่ได้ขาวขนาดนั้น จะให้แก้ผ้าให้ดูมั๊ย ฮึ”   ผมพูดพร้อมกับระเบิดหัวเราะออกมาเมื่อได้เห็นท่าทางของเจ้าตัวเล็ก

“ขอกอดหน่อยพี่”  พูดจบปุ๊ปก็กระโดดเขามากอดผมซะแน่นเลย  ผมเหวอเล็กน้อยมองซ้ายขวาไม่มีใครเลยปล่อยให้เจ้าตัวเล็กกอด ผมเองก็อดไม่ได้ที่โอบกอดเบาๆด้วยแขนเพียงข้างเดียว ตบไหล่เบาๆพร้อมกับอีกมือลูบหัวเขา

“ผมคิดถึงพี่มากเลยครับ  ทำไมพี่ถึงลืมผมได้  ไม่ติดต่อมาเลย”  ร้องไห้อีกจนได้นะ เฮ้อ ผมเริ่มจะใจอ่อนและรู้สึกจุกที่คอ จมูกคัดและรู้สึกเจ็บ ผมแหงนหน้าขึ้นเพดานหลังคามุงคาของศาลา เพื่อสู้กับหยดฝนจากนัยน์ตา

“พี่ก็คิดถึงทัชมากนะ และขอโทษด้วยที่ไม่ได้ติดต่อมาเลย การเรียนพี่มันยุ่งวุ่นวายมากจริงๆ”  ผมรู้ว่าคำแก้ตัวของผมมันฟังดูไร้สาระสิ้นดี แต่ผมก็ไม่รู้จะอ้างคำพูดอะไรแล้ว ผมดันตัวเจ้าตัวเล็กออกบังคับให้นั่งลงตรงม้านั่งแล้วใช้มือปาดน้ำตาให้

“อย่าร้องเลย พี่ไม่ได้หายไปไหนนะ ไม่ได้ลืมด้วย เพียงแต่ระยะเวลากับการเรียนมันทำให้เผลอหลงลืมไปบ้าง ขอโทษที่ไม่ได้ติดต่อมาติดต่อมา ขอโทษนะ จริงๆตอนแรกมีน้องมาชวนพี่มาออกค่ายเพราะเห็นว่าอยู่พะเยา แต่ครั้งแรกพี่ไม่มา จนอีกครั้งหนึ่งน้องเค้าถือเอกสารมาชวน พอพี่เห็นเอกสาร เห็นชื่อสถานที่ออกค่าย ก็รีบตกลงทันที ”  ผมยิ้มพร้อมกับอธิบายให้ตัวเล็กฟัง

“หมายความว่า ถ้าไม่ใช่ ค่ายที่บ้านต้นไผ่ ผมก็คงไม่ได้เจอพี่สินะครับ “   ผมรู้สึกได้ถึง แววตาที่สลดลงของเจ้าตัวเล็ก

“ตลอดเวลาผมเฝ้ารอการติดต่อจากพี่  เดินกลับมาหอคนเดียวผ่านสระน้ำแล้วคิดถึงพี่มากๆ ผมเล่นกีตาร์เก่งแล้วนะ เกาได้ด้วยเดี๋ยวค่อยเล่นให้ฟัง”  เจ้าตัวอวดผลงานให้ฟัง

“โรงเรียนของหนูอีกแล้วสินะ”   ผมพูดพร้อมกับหัวเราะหึๆในลำคอ

“ก็ผมชอบนี่ครับ แต่มีอีกหลายเพลงที่เล่นเป็น เพลงนั้นของพี่ผมก็เล่นเป็น หัดเกาจนเล่นได้”   ช่วงท้ายๆ เสียงเจ้าตัวเล็กแผ่วไป
 
“ทำไม เป็นอะไรหรือเปล่า” ผมถาม

 “เอ่อ เพลงนั้นพี่หมายถึงใครหรือเปล่าครับ”   เจ้าตัวเล็กทำสีหน้าจริงจังเมื่อถามผม

“อ้าว พี่ก็เคยบอกแล้วนิ ว่าไม่มีอะไร แค่เป็นเพลงที่หัดเล่นกีตาร์จากไอ้บอลจนเล่นเป็นแค่นั้นเอง ถามทำไมรึ”   ผมเองก็สงสัยเช่นกันจึงถามย้อน

“เปล่าครับ  ผมเข้าใจไปเองว่าพี่อาจจะลืมใครบางคนไม่ได้เลยชอบเพลงนี้”  เจ้าตัวเล็กตอบ 

 อืม นี่โตขึ้นมากจริงๆ  มีความอยากรู้แม้กระทั่งความหมายของเพลงแล้ววิเคราะห์ไปถึงคนที่ชอบเพลงว่ามีความเกี่ยวข้องอะไร  บ้าแล้ว ก็แค่ชอบเองไม่เกี่ยวกับว่าชอบเพราะใครสักหน่อย

“คิดมากไปแล้วเรา” ผมตอบและลูบหัวทัชเบาๆ

“เอ้อ แล้วมหาลัยเป็นไงบ้างครับ เรียนยังไงกันบ้าง” 

  เมื่อถูกถามคำถามนี้ ผมก็ไม่รอช้าให้เสียเวลา เล่าแจ้งแถลงไข ตั้งแต่โดนรับน้อง จนมาถึงคราวตัวเองรับน้อง งานบายเนียร์ ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนระหว่างอาจารย์และลูกศิษย์ ไม่เหมือนกับมัธยม เรียเอกญี่ปุ่นก็งานหนักมาก ต้องท่องทั้งตัวเขียนทั้งคำศัพท์คำอ่านพิเศษและความหมาย ทำให้เวลาไปอ่านวิชาอื่นนั้นแทบจะไม่ค่อยมีกันเลยทีเดียว  การใช้ชีวิตในมหาลัย รวมถึงการเดินทางแตกต่างกัน  ชุดแตกต่างกันตามแต่ละคณะ  แต่อยู่หอเหมือนกันกับตอนเราเรียนมัธยมเลย เพียงแต่ไม่มีโรงครัว เท่านั้น และไม่มีห้องสตั๊ดดี้ ต่างคนต่างอ่านกันเอง คนเยอะหลากหลายคณะแต่ไม่รู้จักกัน ไม่เหมือนมัธยมที่เจอหน้าก็รู้ทันทีว่าเด็กฝายน้ำผึ้ง  ไม่เว้นแม้แต่เรื่องโดนเด็กรุ่นน้องนักศึกษาผู้ชายมาสารภาพรัก ซึ่งเจ้าตัวเล็กดูจะถามเยอะมากกับเรื่องนี้ แต่ผมก็ปฏิเสธไปหมด

“เราเองก็พยายามเรียนนะ ตั้งใจให้มากๆ พี่ไม่เก่งหรอก แต่จำได้ใช่ไหมเวลาเรียนพี่ทำอย่างไรบ้าง อ่านหนังสืออย่างไร ลองทำตามดูนะ พี่จะรอนะ ปีหน้าเราก็ต้องไปสอบแล้วนี่ ตั้งใจให้มากๆนะ”   ผมเล่าเกริ่นพร้อมกับกระตุ้นเพื่อให้ตัวเล็กเกิดความฮึกเหิมกระตือรือร้นที่จะเรียน  เพราะผมอยากให้ชีวิตความเป็นอยู่ของคนชาวดอยดีขึ้น มีการศึกษามากขึ้นจะได้ไม่โดนผู้อื่น ดูถูกเหยียดหยามในความเป็นชาวเขาของพวกเรา 

“ผมไปก็ได้อยู่กับพี่แค่ปีเดียว เดี๋ยวพี่จบก็ทิ้งผมไปอีก”   เจ้าตัวเล็กพูดมีน้ำเสียงน้อยใจอยู่ในที

“อย่าไปคิดแบบนั้นสิ พี่แค่อยากให้เราตั้งใจเรียนจบสูงมีงานทำ คนอื่นจะได้ไม่มาดูถูกชาวเขาอย่างพวกเราไง” ผมอธิบายตามสิ่งที่คิดให้ฟัง

“ครับ ผมจะพยายาม  ผมดีใจมากเลยนะที่ได้เจอพี่อีก ผมคิดว่าชาตินี้จะไม่ได้เจอพี่อีกแล้ว”

“เว่อร์แล้ว ก็อยุ่ในเมืองไทยเรานี่เอง คิดถึงเมื่อไหร่ก็มาหากันได้”

“แล้วทำไมสามปีไม่มาหาผมบ้าง อ้อ ได้ยินว่าพี่มาแนะแนวรุ่นพี่ปีก่อนๆด้วยนี่ครับ ทำไมไม่มาหาผมบ้างล่ะครับ”  เจ้าตัวเพิ่งนึกขึ้นได้เลยโพล่งออกมา

“ตอนนั้น พี่มากันแค่สี่คนเอง และมาแบบกะทันหัน มากันเอง แบบเพื่อนช่วยเพื่อนน่ะ และต้องรีบกลับไปแนะแนวต่อที่ อุตรดิตถ์ มันรีบเดินทางเลยไม่ได้เจอใครเลย” ผมอธิบาย

“สองเดือนก่อน ก็มีรุ่นพี่ ม.ช.มาแนะแนวด้วยครับ”

“มากันไวจัง อืม ยังไงก็ตั้งใจเรียนนะ ป่ะค่ำแล้วกลับเถอะ เดี๋ยวไปอาบน้ำกัน” ผมมองไปทางสนามน้องๆและเด็กๆเลิกเล่นกีฬากลับไปแล้ว เจ้าตัวเล็กกลับไปเอาสัมภาระ และพาอีกสองคนลงมาเพื่อไปอาบน้ำกันที่ห้วยท้ายโรงเรียน ซึ่งสองคนที่ว่า ก็ไม่ใช่ใคร  ไอ้นพ กับเพื่อนเจ้าตัวเล็กอีกคนที่ไปเรียนโรงเรียนภูเวียงวิทยาคมโรงเรียนเก่าผมนั่นเอง

  ดีใจจัง ได้เจอเพื่อนเก่าที่สนิทกันอีกคน ทักทายกันเยอะเชียว  ไอ้นพมันไปเรียนที่วิทยาลัยพลศึกษาที่ลำปาง ถามไถ่กันไปมา ไอ้เนกับไอ้ต๋องไม่เรียนต่อ และไปทำงานในห้างที่กรุงเทพ อยู่เขตบางกะปิ   สองคนนั่นชวนเจ้าทัชไปด้วย แต่ตัวเล็กไม่ไป  ซึ่งผมก็เห็นด้วย ไม่อยากให้เข้ากรุงกลัวเจ้าตัวเล็กหลงแสงสี  อยากให้มันจบและโตกว่านี้อีกหน่อย อย่างน้อยถ้าอยู่ใกล้ๆผมผมจะได้ดูแลได้  ไอ้นพมันดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก ตัดผมรองทรงหล่อเหลาเอาการเลยทีเดียว ดีใจที่เห็นการเปลี่ยนแปลงของเพื่อนในทางที่ดีขึ้น แต่ผมก็ไม่มีเวลาคุยกันมาก ต้องรีบอาบน้ำ เพราะชาวค่ายมีประชุมตอนหนึ่งทุ่มตรงจนถึงสองทุ่มครึ่ง จึงบอกให้ตัวเล็กเอากีตาร์มาตอนสามทุ่ม เพื่อมาเล่นร้องรำทำเพลงกัน  ทุกคนตกลงตามนี้ ก็แยกย้ายกันกลับ  ส่วนผมก็กลับโรงเรียนแต่งตัวเตรียมประชุม มีน้องๆเด็กนักเรียนหญิงบางคนยังนั่งจับกลุ่มคุยกับพี่ๆนิสิตนักศึกษาหญิง เห็นมีการเอาผ้าปักแบบชาวเขามานั่งปักกัน คุยกันสนุกสนาน

   จนเมื่อประชุมเตรียมงานเสร็จก็ ลงมาเล่นกันข้างล่าง ผมลงมาก็เห็นกลุ่มเด็กวัยรุ่นในหมู่บ้านมานั่งปูเสื่อดีดกีตาร์กันอยู่กลางสนามบอล เลยเข้าร่วมแจม รุ่นน้องนิสิตก็ร่วมแจมกันด้วย  ไอ้นพขยับให้ผมนั่งข้างเจ้าทัช  เออดี มึงรู้งานดีเนาะ ทุกคนต่างร้องรำทำเพลงกันสนุกสนานครื้นเครง เจ้าตัวเล็กก็โชว์ดีดกีตาร์อย่างคล่อง จนผมอดทึ่งในความสามารถไม่ได้  ผมมองดูเจ้าตัวเล็ก รู้สึกชื่นชมและอีกใจก็เจ็บปวดที่ทิ้งเขาไปเกือบสามปีโดยลืมที่จะติดต่อกลับมา  นึกถึงจดหมายที่เจ้าตัวเล็กเคยตอบผมแล้วก็ให้รู้สึกละอายแก่ใจ   ทัช ขยันซ้อมจนเล่นกีตาร์คล่องและเรียนรู้เองทุกอย่าง ต่อสู้เองคนเดียวจนแกร่งขึ้นมาได้  ผมภูมิใจในตัวเด็กคนนี้จริงๆ 

  เอนกายนอนหงายลงบนเสื่อ นอนตากอากาศยามดึก ลมเย็นๆพัดมาหลายครั้ง สดชื่นจนสูดอากาศได้เต็มปอด ไม่เหมือนในกรุงจริงๆ ที่มีแต่ตึกรามบ้านช่องและหมอกควันจากท่อรถ พ่อกับแม่เจ้าตัวเล็กไปธุระที่บ้านวังถ้ำ และยังไม่รู้ว่าผมมาออกค่ายที่นี่ เจ้าตัวเล็กบอกว่าพรุ่งนี้จะบอกพ่อกับแม่  ผมเองก็เตรียมที่จะขออาจารย์ออกไปนอนที่บ้านทัช  จนกระทั่งดึกแล้วอาจารย์สั่งให้เข้านอนกัน  ผมกับกลุ่มเจ้าทัชคุยกันอีกเล็กน้อยจึงแยกกันกลับ

 “เดี๋ยวคืนพรุ่งนี้พี่จะขออาจารย์ไปนอนที่บ้านด้วย”  ผมบอก

 “มึงไม่ไปคืนนี้เลยวะ” ไอ้นพถาม

 “ไม่ได้หรอก ชาวค่ายยังไม่รู้ว่ากูรู้จักคนในพื้นที่ พรุ่งนี้จะมีชาวบ้านมาช่วยกันสร้างรั้วโรงเรียน กูกะจะทำเซอไพรส์ตอนนั้นเลย แล้วค่อยขออาจารย์ไปนอนบ้านเจ้าทัชมัน”  ผมอธิบาย

“อืมๆๆ กูกลับมาบ้าน มันก็ถามอยู่ว่ามึงได้ติดต่อมาบ้างไหม  มึงก็เล่นเงียบเลย”  ไอ้นพเอ่ย

“เออๆ กูขอโทษกูผิดเองแหละ เรื่องการติดต่อ เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยขอที่อยู่กัน”

  คุยกันสัพเพเหระสักพักแล้วก็แยกย้ายกันกลับเข้านอน


....
หัวข้อ: ทัช..สัมผัสใจ ตอนที่13 (12 ก.ค. 2560)
เริ่มหัวข้อโดย: thewa.arak ที่ 12-07-2017 21:00:46
ตอนที่ 13

 

แล้วโชคชะตาก็หมุนเวลาให้จากกันอีกครั้ง.... Part นนท์/ทัช ...



     วันสุดท้ายของชาวค่าย  ชาวบ้านร่วมกับนิสิตนักศึกษาช่วยกันสร้างรั้วให้โรงเรียน ขุดดินเป็นแนวยาวเพื่อฝังท่อประปาในหมู่บ้าน  บ้างก็ช่วยเหลาไม้ไผ่เพื่อมาตอกกับเสากั้นเป็นรั้วโรงเรียน บางกลุ่มก็ช่วยซ่อมแซมและเสริมหลังคาศาลา และใช้ไม้แป้นขนาดฝ่ามือตีกั้นโรงครัวทางฝั่งที่เป็นเนินดอย ทุกคนช่วยกันทำงานอย่างขมักเขม้น  ผมอยู่ในกลุ่มซ่อมหลังคาและโรงครัว เจ้าทัชมาช่วยและอยู่ข้างผมไม่ห่าง และบอกพ่อกับแม่แล้วว่าผมมาด้วย เดี๋ยวคืนนี้ก็ได้เจอกัน

  จนกระทั่งบ่ายสามครึ่ง งานทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย กำนันหมู่บ้านพร้อมชาวบ้านก็ขอบคุณอาจารย์และพวกเราชาวค่ายทุกคนที่มาช่วยสอนเด็กๆและร่วมกันพัฒนาโรงเรียน ซึ่งหลังจากนี้ กำนันจะให้กลุ่มนิสิตบางกลุ่มตามไปที่สวนเพื่อเก็บแตงโมและแตงกวามาแบ่งปันกัน พร้อมกับการขอกลุ่มอาสาเพื่อเข้าป่าตัดไม้แห้งมาทำฟืนเล่นรอบกองไฟกันคืนนี้  ซึ่งก็แบ่งกลุ่มกันไว้ ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ชายเพราะต้องเข้าป่าหาฟืนด้วย ผู้หญิงก็มีอาสาไปกันห้าหกคนซึ่งเป็นกลุ่มที่ชอบธรรมชาติแบบบุกตะลุยทุกที่  จนกระทั่งมีเสียงแม่หมวงถามหาตัวผม พูดเป็นภาษาถิ่นกัน อาแปะก็นึกได้เลยถามหาตัวผม ซึ่งใส่หมวก ชาวบ้านที่รู้จักอาจจะจำผมไม่ได้  ผมจึงถอดหมวกออก และแนะนำตัว อารุจน์ แนะนำตัวผมเอง ว่าเป็นหลาน และอาแปะน้องชายของอารุจน์ที่เป็นกำนันก็จำได้ว่าผมเคยเรียนเป็นรุ่นน้องของลูกชายแกที่โรงเรียนภูเวียงวิทยาคม จึงมีช่วงจังหวะหนึ่งที่ผมกลายเป็นตัวเด่น เพราะพูดส่งภาษาถิ่นคุยกันโขมงโฉงเฉง ชาวค่ายทุกคนตกตะลึงอึ้งไปตามๆกัน  เจ้าทัชยิ้มใหญ่  อาจารย์ก็เลยกล่าวว่าทำไมไม่บอกแต่แรก จะได้มีล่ามไว้ช่วยแปลภาษาเวลาการสอนผู้ใหญ่ที่พูดยากๆเพราะลิ้นแข็ง กลายเป็นผมทั้งโดดเด่นและถูกตำหนิไปในคราวเดียวกัน  ทุกคนถึงกับอึ้งกิมกี่ ต่างไม่เชื่อว่าผมก็เป็นคนชาวเขา   ก็นะ ออกจะขาวหล่อหน้าตาไม่ให้เป็นคนชาวเขาซะขนาดนี้ ...เหอๆๆ   

  เมื่อได้อาสาสมัครตัวแทนแล้วก็ตามกำนันไปไร่ของแกเก็บแตงโมเก็บแตงกวา(แตงกวาชาวดอย ลูกสีขาวๆเนื้อหวานแบบดีตาล) บางส่วนก็ช่วยกันเข้าป่าไปตัดฟืน ลากไม้แห้งมากันคนละท่อนสองท่อน กลับมา ตลอดทางผมกลายเป็นล่ามจำเป็นพูดไทยคำภาษาถิ่นคำ แต่ก็รู้สึกภูมิใจที่ได้เป็นล่ามแม้จะอยู่ในประเทศเดียวกันก็ตาม ส่วนคนกลุ่มที่ทำอาหารก็เข้าครัวทำอาหารรอ เป็นครั้งแรกที่ได้กินข้าวไม่แข็งไม่แฉะ  กลุ่มที่แสดงละครรอบกองไฟก็ไปเตรียมตัวซ้อมกัน เด็กนักเรียนก็มีการแสดงมาด้วยเช่นกัน เมื่อทุกอย่างพร้อมได้ของครบ ก็แยกย้ายกันกลับไปเตรียมตัว พวกเราชาวค่ายกินข้าวเสร็จแล้วก็เตรียมตัวทำหน้าที่ของใครของมัน

  หนึ่งทุ่มช่วงรอบกองไฟชาวบ้านจากต่างหมู่บ้านก็มาเล่นด้วย นี่มากับแทบจะหมดหมู่บ้านเลยมั๊งเนี่ย อบอุ่นดีจัง  พี่ๆนิสิตนักศึกษาแสดงจบ น้องๆนักเรียนก็แสดงต่อ เป็นการแสดงรำถาด ที่ผมรู้จักดี ซึ่งส่วนใหญ่จะมีการรำในงานพิธีมงคลและงานตรุษจีนของหมู่บ้าน จบไปอย่างประทับใจ ทั้งน้องๆ ชางบ้าน ชาวค่าย และเด็กๆนักเรียน

  ก่อนเลิกรอบกองไฟสามทุ่ม กำนันก็มากล่าวขอบคุณพวกเราชาวค่ายที่มาร่วมกิจกรรมออกค่ายช่วยพัฒนาโรงเรียน มาสอนนักเรียนและทำกิจกรรมสร้างโรงเรียนให้สวยงามขึ้น ครูตัวแทนขึ้นมามอบกล่องของขวัญให้อาจารย์สินีนาฏ  ทางชาวค่ายก็มีของขวัญมอบให้โรงเรียน  เป็นอุปกรณ์กีฬา สมุดปากกา ลูกฟุตบอลวอลเลย์บอลตะกร้อ ซึ่งชาวบ้านและครูประจำโรงเรียนเป็นตัวแทนรับมอบของขวัญจากคณะชาวค่าย

 สามทุ่มชาวค่ายประชุมสรุปงาน และมีช่วงเปิดโอกาสให้พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นสำหรับการออกค่าย ทุกคนสามารถชมและตำหนิติเตียนกันได้ ก็ต่างคนต่างพูดกันไป และผมก็โดนเล่นงานด้วยเช่นกัน บางคนก็หาว่าผมได้เปรียบรู้จักคนในพื้นที่ ซึ่งในใจผมก็แย้งว่ามันเกี่ยวกันตรงไหนกับเรื่องการออกค่าย เฮ้อ พวกใจแคบ  งานนี้ได้รู้เลยว่าพวกคุณหนูๆทำอาหารไม่เป็นทำอะไรไม่เป็น ก่อไฟทำอาหารไม่เป็น แพ้ผมหมดทุกคน นับเป็นโอกาสและประสบการณ์ที่ดีสำหรับตัวผมที่เกิดมาในชนบทและเป็นคนชาวเขาแม้จะไม่ใช่โดยสายเลือด เพราะเดิมทีเป็นชนพื้นเมือง แต่ด้วยสภาพทางครอบครัวที่ต้องขึ้นมาอาศัยอยู่ในหมู่บ้านชาวเขาตั้งแต่เด็กจึงได้เรียนรู้ทุกรูปแบบการใช้ชีวิต กิจกรรมทุกอย่างจึงง่ายสำหรับผมมาก

 สี่ทุ่มฟรีไทม์ น้องๆกับเด็กนักเรียนและกลุ่มวันรุ่นในหมู่บ้านร่วมกันเล่นกีตาร์ร้องรำทำเพลง ผมร่วมด้วยสักชั่วยาม จึงขออาจารย์ ไปนอนบ้านทัช เพราะวันรุ่งขึ้นเราก็กลับมหาลัยกันแล้ว  อาจารย์อนุญาติ ผมจึงเดินไปพร้อมกับเจ้าทัช  นั่งคุยกันที่หน้าบ้าน อารุจน์ แม่หมวงเจ้าธีร์ อยู่คุยถามไถ่สารทุกสุขดิบกับผมเล็กน้อย จึงขอตัวไปนอน  เหมยน้องสาวไอ้แทนไม่ได้กลับบ้าน เห็นว่าเรียนที่ราชภัฏเชียงรายปีสอง
   แสงดาวส่องประกายแข่งกับดวงเดือน ระยิบระยับเต็มท้องฟ้า และชัดเจนกว่าครั้งไหนๆ แสงจากดวงดาวทำให้สามารถมองเห็นตัวบ้านได้ลางๆ  ซึ่งดูไม่เปลี่ยนไปจากเดิมมากนัก
 ไม่นานนักไอ้นพก็แยกตัวกลับไปนอน  ที่นอนที่ผมเคยนอนกับไอ้แทน บัดนี้ เป็นพื้นที่ของเจ้าทัชไปแล้ว ทุกอย่างยังคงเป็นแบบเดิม เจ้าทัชให้ผมนอนติดข้างฝา หน้าต่างแง้มไว้เหมือนเดิม ทุกอย่างยังคงเดิมเหมือนตอนที่ผมเคยนอนกับไอ้แทน แต่คราวนี้เป็นเจ้าทัช

 “พี่นนท์ กอดผมหน่อย”  เจ้าตัวเล็กบอก และผมไม่รอช้า นานเหลือเกินที่ไม่ได้ยินประโยคนี้  ผมสอดแขนข้างขวาเข้าที่ใต้หมอนใต้คอเจ้าตัวเล็ก แขนซ้ายก็โอบพาดกลางลำตัวจับที่แขนข้างขวาของเจ้าตัวเล็ก

 ขยับมานอนใกล้ๆกัน ผมรู้สึกอบอุ่นมาก อบอุ่นใจมาก เจ้าตัวเล็กก็คงรู้สึกเช่นกัน เพราะจับตรงท่อนแขนผมแน่นเลยเชียว

“ผมคิดถึงพี่นนท์มากจริงๆ  ไม่มีใครกอดผมนอนแบบนี้มาหลายปีแล้ว ผมไม่อยากให้พี่ไปไหนเลย”  เจ้าตัวเล็กพูดเป็นภาษาถิ่นกับผม

 “พี่ก็คิดถึงนะ เมื่อพี่รู้ความรู้สึกว่ารักและเป็นห่วงทัช  ก็เฝ้าแต่คิดถึงทัชมาตลอด ที่ไม่เขียนจดหมายมาบอก เพราะอยากจะมาเซอไพรส์ด้วย น่าเสียดายที่ไม่มีโอกาสได้เห็นทัชแต่งชุดนักเรียนม.ปลาย”  ผมกระซิบข้างหู

“เสื้อผ้าชุดนักเรียนอยู่ที่หอพักโรงเรียนครับ ไม่ได้เอากลับมา” 

“แล้วตอนนี้ อาจารย์สุรพลยังอยู่ไหม”

“ก็อยู่นะพี่ ผมเกือบจะได้เป็นประธานหอ แต่ผมไม่ชอบเลยปฏิเสธ”

“เป็นงั้นไป”

“บางครั้งผมก็แอบลงสระด้วยนะพี่ แต่รอดตัวไม่ถูกครูสมฤทธิ์ตี”    ดูท่าทางภูมิใจมากเลยนะกับการกระทำความผิดเนี่ย

“ทุกอย่างยังเป็นเหมือนเดิมใช่ไหม”  ผมถาม

“เหมือนเดิมทุกอย่างพี่  ที่ไม่เหมือนเดิมคือ ตัวพี่ ที่ไม่อยู่ใกล้ผมแล้ว พูดถึงก็ยังโกรธไม่หาย สัญญาว่าจะกลับมาหาผม แต่ก็เงียบไปเลย ผมใจหายมากเลย ทุกที่ที่เราเคยไปเคยทำด้วยกัน ผมเดินผ่านมันทีไรก็อดคิดถึงพี่ไม่ได้  พี่ใจร้ายมากเลยที่ปล่อยผมสู้อยู่คนเดียว” 

 เจ้าตัวเล็กพูดเสียยาวด้วยความน้อยใจ ผมขยับแขนเขกหัวมันเบาๆ พร้อมกับทำในสิ่งที่คิดว่าความรักระหว่างพี่ชายน้องชายไม่มีความรู้สึกอื่นแฝง ด้วยการหอมที่หน้าผากมันหนึ่งที พร้อมกับเอ่ยขอโทษ และกอดกระชับเจ้าตัวเล็กไว้ ด้วยความรู้สึกที่คิดถึงจนล้นปรี่  และไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหนที่จะได้มีโอกาสทำแบบนี้อีก ซึ่งแต่ละคนต่างก็โตมากขึ้นเรียนรู้อะไรมากขึ้น การแสดงความรักความผูกพันฉันพี่น้องแบบนี้ อาจจะไม่เป็นเรื่องที่ดีนักในสายตาคนทั่วไป

“ทัช พี่ขอโทษจริงๆนะ กับทุกอย่างที่ผ่านมา ที่พี่เผลอปล่อยให้เราต้องต่อสู้เพียงลำพังคนเดียว พี่ขอโทษจริงๆ” ผมพูดจากใจจริง

“แต่ในอีกด้าน มันก็ทำให้ผมเข้มแข็งมากขึ้นนะพี่  พี่ก็มีประโยนช์นะเนี่ย ไม่ใช่แค่ทำให้น้องคิดถึงได้เพียงอย่างเดียว สามารถเป็นกำลังใจให้ผมต่อสู้และผ่านมันมาได้”

“ดีมากเลยทัช เป็นความคิดที่ดีมาก และพี่จะดีใจมาก หากทัชตั้งใจเรียนและสามารถสอบเข้าเรียนมหาลัยได้”

“ผมคงไม่มีโอกาสได้ไปยืนอยู่ในจุดที่พี่ยืนอยู่มั๊งครับ ผมไม่ค่อยเก่ง”   ผมเขกหัวมันเบาๆ

“อย่าคิดแบบนั้น  จำคำพี่ไว้ ตั้งใจเรียนให้มากๆ เพื่ออนาคตของตัวเอง พี่รักเรานะอยากเห็นเรามีชีวิตที่ก้าวหน้า ต่อไปนี้พี่จะไม่เงียบหาย พี่จะติดต่อมาทุกครั้งที่มีโอกาส”

“พี่.. เดี๋ยวพี่ก็ลืมผมอีก ไม่อยากให้สัญญาหรอก ไว้ถ้ามีโอกาสผมจะลงไปเที่ยวหาพี่นะครับ”

“ได้สิ ไม่ต้องห่วงเรื่องค่าใช้จ่าย  ค่ารถน่ะมาเอากับพี่ทีหลัง ต้องมาให้ได้นะ พี่จะรอ”  ผมพูดหนักแน่นและคาดหวังไว้ว่าอยากจะให้เจ้าตัวเล็กมาเที่ยวหาที่มหาวิทยาลัย  ผมอยากพาไปที่ต่างๆ รอบมหาวิทยาลัย  จุดประสงค์เพื่อกระตุ้นให้เจ้าตัวเล็กตั้งใจเรียนให้มากและพยายามสอบให้ได้

   คืนนั้นผมแทบนอนไม่หลับเพราะนอนคุยกับเจ้าตัวเล็กเกือบทั้งคืน จนกระทั่งคนตัวเล็กในอ้อมกอดหลับไปก่อน  รู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่นๆจากคนในอ้อมกอด  ผมขยับตัวเข้าใกล้ๆเขาและกอดระชับเขาไว้แน่นเรากับจะไม่ยอมให้แยกจากไปไหนไกล อยากจะให้อยู่ใกล้ๆตัวตลอดเวลา
       

...


       ช่วงเช้า รถหกล้อของมหาลัยมาถึงแต่เช้าตรู่ เด็กๆชาวค่าย เตรียมตัวเก็บข้าวของและทำความสะอาดห้องและอาคารเรียน ก่อนกลับ สำรวจพื้นที่จนเรียบร้อยดีแล้ว ชาวบ้านที่มาส่งพร้อมกำนันและเด็กๆ ก็มีช่วงเวลาที่ได้ร่ำลากับพี่ๆ บางคนติดกันถึงกับกันน้ำตาซึมร้องไห้กันไปเลย  ส่วนเจ้าเด็กแสบที่เคยทดลองภาษาผมก็มาไหว้ร่ำลา

 ผมมองหาแต่เจ้าทัช สงสัยจะตื่นสาย แต่พอได้เห็นก็รู้สึกโล่งใจ ผมไหว้ลาอารุจน์ แม่หมวง อาแปะ และเด็กๆชาวบ้านทุกคน ถ่ายรูปร่วมกัน เป็นช่วงเวลาสั้นๆ เมื่อแปดโมงครึ่งจึงเริ่มออกสตาร์ท ผมมีเวลาคุยกับเจ้าตัวเล็กเพียงเล็กน้อย แต่ไม่ลืมที่จะบอกให้ตั้งใจเรียน รู้สึกมีแววตารื้นๆเล็กน้อย แต่ผมลูบหัวและพูดเชิงตลก และไม่ลืมที่จะบอกว่า จะลงมาหาที่มหาลัยเมื่อไหร่ให้รีบโทรมาบอก  ผมให้เบอร์โทรที่หอ และที่อยู่ไว้ พร้อมกับขอเบอร์ติดต่อและที่อยู่ไอ้นพไว้ น้องๆ ชาวบ้านและเด็กๆ ก็โบกมือร่ำลากัน  พี่ๆและน้องๆเริ่มมีน้ำตาซึมๆกัน ผมล่ะเกลียดช่วงเวลาเช่นนี้จังเลย โบกมือร่ำลากับเจ้าตัวเล็ก รู้สึกใจหายไม่น้อย อีกนานแค่ไหนนะ ที่จะได้พบเจอกันอีกครั้ง ผมแอบเห็นเจ้าตัวเล็กปาดหน้า คงร้องไห้อีกแล้วสินะ เฮ้อ ตัวโตขึ้นเสียเปล่า แต่จิตใจยังไม่เข้มแข็งตามตัวเลยนะเนี่ย  อย่าว่าแต่เจ้าทัชมันเลย ผมเองก็แข็งขืนสู้กับม่านน้ำตาตัวเองอยู่เช่นกัน

     รถเริ่มห่างออกจากหมู่บ้าน ไต่เขาลงมาเรื่อยๆ  ธรรมชาติที่เด่นชัด ต้นไม้ ภูเขารอบๆหมู่บ้านที่เป็นฉากหลังหลังก็เริ่มเล็กลง เล็กลง  ธรรมชาติตอนเช้าๆบวกกับอากาศที่ยังคงเย็นและมีลมพัดมาปะทะใบหน้า ฝุ่นก็ยังไม่คลุ้ง ธรรมชาติยังคงเป็นธรรมชาติที่งดงาม ต้นไม้ใหญ่รายรอบใบไม้ปลิวตามแรงลม โบกไหวๆ ราวกับจะบอกร่ำลากัน อีกครั้ง 
เมื่อรถไต่เรื่อยๆลงมาถึงตีนเขาทุกอย่างดูเล็กลงจนกลมกลืนไปกับภูเขาที่สลับซับซ้อนและผืนป่า  ผมมองขึ้นไปยังจุดจุดหนึ่ง ซึ่งถ้าหากไม่เคยขึ้นไปจะไม่รู้ว่ามีหมู่บ้านเล็กๆหลบซ่อนอยู่บนนั้น  และน้ำตาก็ค่อยๆไหลออกมา
เออ แปลกแฮะ ตอนยืนร่ำลากันทำเป็นอดกลั้นเอาไว้ได้ แต่พอถึงตอนนี้กลับไหลออกมาอาบแก้ม
     ทัช... พี่สัญญา(อีกแล้ว)  ต่อจากนี้ไป พี่จะไม่มีวันลืม ทัช อีกแน่นอน แล้วพี่จะรอนะ ตัวเล็กของพี่


.....







.......................................................
ฉันรักเธอ
รักเสมอ ทั้งความจริงและความฝัน
แม้ในความเป็นเราจะเหมือนไกลกันและกัน
ฉันบอกได้ในคืนวันอันไร้ร้าง
ลมหายใจใกล้ใกล้กันตรงนี้
ความรักฉันยังมี ไม่หนีห่าง
แม้เธอมีใครอื่นในเส้นทาง
ขอมองดูอยู่ห่างห่าง  ข้างทางเธอ
ใจมันย้ำบอกเธอว่าเผลอคิด
จนฝังจิตเพราะฤทธิ์รักจากความเผลอ
อยากจะบอกให้ลึกซึ้งถึงใจเธอ
แต่กลับบอกเธอได้  เพียงดวงตา
.................................................

*ขอขอบคุณบทกวีอันแสนไพเราะของคุณ  ทด อาทร


หัวข้อ: ทัช..สัมผัสใจ ตอนที่ 14.1 (12 ก.ค. 2560)
เริ่มหัวข้อโดย: thewa.arak ที่ 12-07-2017 21:07:46
ตอนที่ 14.1


นี่หรือ คือ ..มหาวิทยาลัย .... Part นนท์/ทัช....

     
    ภาคปลาย ผมย้ายออกมาอยู่หอข้างนอก เส้นถนนสนามบิน แต่ไอ้เอกยังคงอยู่ที่เดิม มีบ่นกันบ้างว่าทิ้งกันไปหมด แต่มันก็มีเพื่อนจังหวัดเดียวกับมันย้ายลงมาอยู่ด้วย ไอ้สิทธิ์ คณะศึกษาศาตร์ มาจากโรงเรียนตรอนตรีสินธ์ แต่ไอ้เอกมันอยู่อำเภอเมือง กับอานนท์ (ชื่อเดียวกับผม) คณะวิทยาศาตร์ คนอุตรดิตถ์เช่นกัน เออดี พวกบ้านเดียวกันก็ไม่น่าห่วงเท่าไหร่ แต่ไอ้เอกมันก็มาอ่านหนังสือที่ห้องผมบ้างเป็นบางครั้ง
            วันศุกร์ช่วงเย็น ที่หอพักเซเว่น นิสิตเรียกกันแบบนี้ เพราะชั้นล่างของตัวอาคาร เป็นร้านสะดวกซื้อ เซเว่นอิเลฟเว่นนั่นเอง   ผมออกมาเช่าอยู่นอก ม.ใน ซึ่งอยู่แค่ฝั่งตรงข้ามกับ ม.ใน  เป็นหอพักรวม มีทั้งหมดสี่ชั้น  ผมอยู่ชั้นสี่ ห้อง 412 ซึ่งอยู่โซนด้านหน้า  ค่าเช่าถือว่าถูกมาก แต่ภายในห้องมีเพียงที่นอนและตู้เสื้อผ้าเท่านั้น  โต๊ะและเก้าอี้ ผมซื้อมาเอง ไว้สำหรับนั่งอ่านหนังสือทำการบ้าน รูปแบบห้องจะเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าแนวตอนลึก พื้นหินอ่อน  ห้องน้ำในตัว จัดว่าสวยมากทีเดียว ราคานี้ถือว่าคุ้มมาก ประตูและหน้าต่างตรงระเบียง เป็นกระจกทั้งหมด พร้อมกับมีผ้าม่านขนาดใหญ่ผืนเดียว เป็นผ้าม่านแบบทึบแสง แม้แต่ตอนกลางวันแสงก็เข้ามาไม่ได้  ผมจัดการเก็บกวาดห้องทำความสะอาดทุกซอกทุกมุม เช็ดจนพื้นหินอ่อนดูจะขึ้นเงาอยู่แล้ว ตรวจตราทุกอย่างทั้งระเบียงห้องก็เก็บกวาดจนสะอาด  ล้างทำความสะอาดซิ้งค์ล้างถ้วยจานชาม ตรงหน้าห้องน้ำ  แก้วน้ำ จานชามไว้อย่างเป็นระเบียบ  ทั้งหมดนี้ ผมทำด้วยความกระตือรือร้นและตื่นเต้น หลังจากที่ได้รับจดหมายจาก ทัช เจ้าตัวเล็กของผม  ว่าเขาจะลงมาเที่ยวหาก่อนสอบโควต้า  เมื่อผมได้อ่านจดหมายก็ดีใจมาก จัดเก็บข้าวของตั้งแต่วันนั้นจนเป็นระเบียบเรียบร้อย เพื่อนมาเที่ยวหายังบอกว่าห้องดูสะอาดจนคิดว่ามีเด็กใหม่มาอยู่กับผมซะงั้น   ผมก็ได้แต่บอกว่า น้องกูจะลงมาเที่ยวหา ทุกคนทำท่าดีใจเพราะคิดว่าเป็นน้องสาว คงจะน่ารัก เพราะผมก็ไม่ใช่คนขี้เหร่ (สมัยที่เป็นนิสิตนักศึกษา ผมรูปร่างผอมบางหน้าเรียวผิวขาว จัดว่าหน้าตาดีเลยทีเดียว ไม่งั้นไม่มีคนมาบอกชอบหรือสารภาพรักหรอก    ......”ถุย  ส่วนมากผู้ชายมาสารภาพรักเนี่ยนะ”....)    แต่พอบอกว่าเป็นน้องชาย ลูกของป้า  เท่านั้นแหละวงแตกกระเจิง ฮ่าๆ     เจ้าตัวเล็กจะขึ้นรถที่ท่ารถเวียงคำ หนึ่งทุ่ม คงมาถึงพิดโลกราวๆเที่ยงคืนครึ่ง ผมสำรวจความสะอาดครั้งแล้วครั้งเล่า นั่งอ่านหนังสือก็ไม่ค่อยมีสมาธิกับหนังสือเท่าที่ควร ลุกเดินไปเดินมา เปิดทีวีดูตาดูแต่จิตใจไม่ได้จดจ่ออยู่ที่ทีวี
   มองนาฬิกาสี่ทุ่มครึ่ง จึงเปลี่ยนเสื้อและใส่กางเกงขาสั้น ขับฮอนด้าดรีมสีแดงออกไปที่ท่ารถ ทำไงได้ผมไม่มีมือถือใช้  มีแต่เบอร์ห้อง จึงติดต่อกันลำบากพอสมควร  ผมนั่งรออยู่ที่ท่ารถ นานเป็นชั่วโมง จนกระทั่งรถที่ตัวเล็กนั่งมา มาจอดเทียบท่า ผมยืนแอบดูอยู่ตรงเสาอาคารชะเง้อมองหาคนสำคัญ
 และแล้วความตื่นเต้นดีใจก็สิ้นสุดเมื่อผมเห็นเจ้าทัชเดินลงมาจากรถ ในชุดนักเรียนมัธยมปลาย พร้อมสะพายเป้ด้านหลัง ผมรองทรงสั้นตัดมาเรียบร้อย น่ารักมากเลยเชียว ผมไม่เคยรู้สึกตื่นเต้นดีใจเท่านี้มาก่อน เห็นเขามองซ้ายขวา ผมแกล้งให้รอประมาณสี่ ห้านาที เห็นเดินไปหยอดตู้โทรศัพท์ คงจะโทรหาผมกระมัง   อยู่นี่แล้วเจ้าตัวเล็กเอ้ย พี่อยู่นี่แล้ว  สักพักเดินกลับมานั่งที่เก้าอี้รอรถ ผมแอบเดินไปทางด้านหลัง เอามือปิดตา เจ้าตัวสะดุ้งเล็กน้อย

 “พี่นนท์ ...พี่นนท์ ใช่ไหมครับ”   พูดพร้อมกับแงะมือผมออกเงยหน้าหันมามอง ผมยิ้มให้ด้วยความดีใจ  เป็นยิ้มที่มีความสุขที่สุดทั้งสองคน

“เหนื่อยไหม นั่งรถนานสี่ห้าชั่วโมง”  ผมถามด้วยความเป็นห่วง

“เหนื่อยมากเลยพี่ เมื่อยก้นเมื่อยขาไปหมด นอนก็นอนไม่หลับ”  ตอบพร้อมรอยยิ้มไม่หุบ

“แล้ว หิวไหม เดี๋ยวพี่พาไปกินข้าวกันก่อน”

“ผมไม่ค่อยหิวอ่ะครับ แต่ได้อะไรรองท้องก็ดีครับ” เจ้าตัวเล็กตอบ ดวงตาสดใสเป็นประกายแม้ใบหน้าจะอิดโรยจากการเดินทาง

“ป่ะ ไปกันเถอะ เอาอะไรมาเยอะแยะเนี่ย มาแค่สามวันเอง”  ผมใช้มือยกกระเป๋าเป้เจ้าตัวเล็กก็รับรู้ถึงความหนักของมัน

“แตงโมน่ะพี่ กับแตงกวาบ้านเรา สามลูก” 

“โห เอามาทำไม ที่นี่ก็มีขายคร๊าบ ไอ้น้อง”  ผมลูบหัวเบาๆพร้อมกับพูดหยอก   

  “แม่ให้เอามาด้วยน่ะครับ” 

“อ้าว แม่มาส่งเหรอ”

“ครับ พ่อกับแม่มาส่ง”  เจ้าตัวเล็กตอบ พร้อมกับนั่งซ้อนท้ายฮอนด้าดรีม  ผมขับออกจากท่ารถแวะพาเจ้าตัวเล็กไปหาอะไรกินตรงริมน้ำน่านหน้าวัดใหญ่  สั่งกับข้าวสองอย่าง เสร็จแล้วตามด้วยนมปั่น ของอร่อยขึ้นชื่อในสมัยนี้ของที่นี่ ซึ่งมีขายเรียงรายตามริมน้ำน่าน ทั้งสองฝั่งแม่น้ำเลยทีเดียว

  อิ่มแล้วก็พาเจ้าตัวเล็กกลับหอพัก  จอดรถไว้ตรงที่จอดรถพร้อมล็อคล้อ แล้วแย่งเอากระเป๋าเป้เจ้าตัวเล็กมาห้อยบ่าแทน สงสาร เพราะน้ำหนักที่แบกไว้นานๆมันก็หนักเอาการทีเดียว  แวะเซเว่นซื้อน้ำดื่มและน้ำแข็ง พร้อมแปรงสีฟันและของใช้ส่วนตัวให้เจ้าตัวเล็ก  แล้วพากันเดินขึ้นตึกสี่ชั้นสำหรับผมแล้วชิน แต่เจ้าตัวเล็กเพิ่งมา อาจจะเหนื่อยแน่นอน แต่เจ้าตัวกลับไม่แสดงอาการเช่นว่าแต่อย่างใด

“โห ห้องพี่สะอาดจัง  กว้างด้วย “  เจ้าตัวเล็กถอดรองเท้าไว้ตรงที่วางรองเท้าแล้วเดินสำรวจห้อง  เปิดม่านหน้าต่างเลื่อนบานประตูกระจกออกไปตรงระเบียง

“ทัช อย่าเปิดประตูทิ้งไว้ เดี๋ยวยุงเข้า”  ผมตะโกนบอก เจ้าตัวก็รีบกลับเข้ามาพร้อมกับปิดบานประตูกระจกเข้าหากัน
 
“พี่อยู่คนเดียวหรือครับ เดือนละกี่บาทเนี่ย”

“คนเดียวสิ... จะให้อยู่กับใครล่ะ”  ผมเว้นวรรคก่อนตอบอีกครั้ง

“เดือนละสามพันห้า” 

“แพงจัง” 

“ไม่แพงนะ อยู่ในเมือง เดินเข้า ม.ในไปรอรถเมล์ ก็ไม่ไกลด้วย เจ้าของตึกใจดี” 

 ผมจัดแจงแกะกระเป๋าเป้ไอ้ตัวเล็ก แล้วช่วยเก็บสัมภาระออกมา มีแต่เสื้อผ้าและกางเกง แตงโม แตงกวาชาวดอย ผมเอาออกไปไว้ตรงโต๊ะพับ เก็บเสื้อผ้าใส่ไม้แขวนให้ตัวเล็กเอาไปผึ่งลมไว้นอกระเบียง   

“ทัช มานี่มา ขอพี่ดูหน่อย ใส่ชุดนักเรียนมาด้วย ดีใจจังในที่สุดก็ได้เห็นใส่ชุดนักเรียน ม.ปลาย”
เจ้าตัวเล็กเดินมาหน้าผมอวดชุดมัธยมปลาย 

“เป็นไงครับ หล่อไหม” พร้อมกับเต๊ะท่า หันซ้านหันขวา ผมมองดูท่าทางมันแล้วก็อดขำไม่ได้ เลยลุกขึ้นเขกหัวมันเบาๆไปหนึ่งที
 
“หล่อขึ้นเยอะเลยทีเดียว มา ขอกอดหน่อย” ผมเอื้อมมือไปคว้าเจ้าตัวเล็กมากอดไน้แน่น เจ้าตัวก็กอดผมแน่นเช่นกัน

“ผมดีใจมากเลยพี่  เราไม่ได้เจอกันนานมากแล้ว”

“อืม พี่ก็ดีใจที่ได้เจอเราอีกครั้ง ดีใจมากจริงๆ ขอบใจนะที่ลงมาเที่ยวหา”  ผมสำรวจคนตรงหน้าอีกครั้ง ตัวโตขึ้นผมยาวขึ้นกว่าตอนมัธยมต้น  จากที่ผมเคยเห็นเมื่อตอนตัวเล็กๆ ครั้งที่ไปเที่ยวบ้านเขา เมื่อตอนไอ้แทนยังอยู่ จนกระทั่งมาเรียนมัธยมต้น จน บัดนี้ มัธยมปลายแล้ว ผมย่อมเห็นความเปลี่ยนแปลงของเด็กคนนี้ตลอดมา

“ป่ะ อาบน้ำได้แล้ว ดึกมากแล้ว ตีหนึ่งกว่าแล้วมั๊งนี่ แปรงสีฟันพี่ซื้อมาให้แล้วอยู่ในห้องน้ำ ผ้าเช็ดตัว ไปหยิบตรงระเบียง พี่เตรียมไว้ให้แล้ว”

“ไม่เอา  พี่นนท์มาอาบด้วยกันเถอะ นานแล้วนะที่เราไม่ได้อาบน้ำด้วยกัน”

“จะบ้าเหรอ เราโตๆกันแล้วนะ ไม่อายหรือไง”     นั่นสินะ เราเคยอาบน้ำด้วยกันถูสบู่ให้กัน แต่นั่นมันยังเด็ก และมันก็นานหลายปีแล้ว ตอนนี้เจ้าตัวเล็กโตขึ้น ผมเองก็ถือว่าเป็นผู้ใหญ่แล้ว จะมาอาบน้ำกันสองคนมันก็กระไรอยู่มั๊ง

“ไม่อ่ะ ผมอยากให้พี่นนท์มาอาบด้วยกัน “  ว่าแล้วก็เข้ามาเซ้าซี้ดึงแขนผมไปจนได้  อืม... ไม่เป็นไรหรอกมั้ง คนมันเคยอาบด้วยกันมา จะอาบด้วยกันอีกจะเป็นอะไรไป

 เปิดน้ำจากฝักบัวอาบ ยืนอาบน้ำกัน ยื่นขวดแชมพูและสบู่เหลวมาให้ผมทันที

“จะใช้พี่อีกแล้วสินะ  หึๆ ก้มหัวหน่อย “   บ่นไปตามเรื่องตามราว แต่ก็เทแชมพู ชโลมลงบนศรีษะ สระผมให้เจ้าตัวเล็ก
 
   ภาพสมัยมัธยมก็ผุดขึ้นมาอีกครั้งในความทรงจำ  ตอนนั้นแกล้งเล่นกันสนุกสนาน กว่าจะอาบเสร็จ ก็นานโข   เจ้าตัวกางแขนบ่งบอกว่าผมจะต้องถูสบู่ให้  ไม่สิ ตอนนี้มันไม่ใช่สบู่มันคือสบู่เหลว  ผมเทสบู่เหลวลงบนฝ่ามือ แล้วถูหลังถูหน้าอก และรักแร้ เจ้าตัวเล็กหัวเราะด้วยความจั๊กกะจี้  อืมมันโตขึ้นมากเลยจริงๆ จากที่ไม่เคยเห็นขนจั๊กกะแร้ ตอนนี้มันมีขนขึ้นมารำไรๆ  ไม่เหมือนผมเพราะผมเป็นคนขนดก ทั้งแขนทั้งขา แต่เจ้าตัวเล็กมีน้อยมาก  แต่นั่นก็หมายความว่า เขาโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น

“มา ผมจัดการให้พี่บ้าง” 

“เห้ยไม่ต้อง  พี่จะอาบเอง เรารีบล้างตัวเถอะ” 

เสร็จจากธุระส่วนตัว เจ้าตัวเล็กเอาผ้าไปตากแล้วยืนมองอะไรอยู่ตรงระเบียง ผมเดินออกไปดู

“ตีหนึ่งกว่าแล้วจะมีอะไรให้ดู ฮึ มานอนเถอะ เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่พาไป ม.” 

“ข้างหน้านั่น มหาลัยพี่ใช่ไหมครับ”

“อื้ม ใช่ นั่นไง ป้าย”  ชี้ให้ดูตรงทางเข้าที่มีแสงจากหลอดไฟส่องป้ายหน้ามหาวิทยาลัย

 “คงจะยากน่าดูเลยนะครับ เรียนในมหาวิทยาลัยเนี่ย”

 ผมเดินไปยืนข้างๆ วางท้องแขนพาดไว้ตรงระเบียงถอนหายใจเล็กน้อย เจ้าตัวเล็กขยับมาใกล้พร้อมกับกอดคอผม  ผมหันไปมองและยิ้มตอบ

“ก็.. จะว่ายากก็ยาก ง่ายก็ง่าย ปีหนึ่งเรียนทั่วๆไป พร้อมกับสาขาวิชาเอกของตัวเอง ปีสองก็มีเรียนวิชาทั่วไปสองสามวิชา แต่เริ่มหนักเข้าสาขาวิชาเอก  พอปีสามนี่ วิชาเอกล้วนๆเลย ยากพอสมควร เอ้อ จำ ไอ้สูได้ไหม ม.6/1 รุ่นเดียวกับพี่ ที่ติดคณะเกษตรศาตร์  เขาเรียนไม่ไหวเกรดไม่ถึง เขารีไทร์ไปแล้วนะ สงสารอ่ะ “

“ผมจำไม่ได้หรอกพี่  แต่ถ้าเห็นหน้าก็น่าจะจำได้” 

“อ่อเหรอ อืม.. ป่ะๆ เข้าห้อง ดึกแล้ว พี่ง่วงแล้ว”

 “ผมนอนข้างนี้นะพี่”  เจ้าตัวเล็กเลือกที่นอนติดหน้าต่าง ผมก็แล้วแต่เขาเลย

“พี่กอดผมหน่อย”   พูดพลางจัดแจงจัดท่าเองเสร็จสรรพ  ผมก็ไม่ขัดศรัทธา เพราะถึงแม้เขาจะไม่บอกผมก็จะกอดเขาอยู่แล้วล่ะ  ก็ไม่ได้เจอกันตั้งนานหลายปี แต่คราวนี้เจ้าตัวเล็กมันโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ผมเลยเคอะเขินเล็กน้อย แต่เขากลับขยับตัวมาใกล้ๆ จนจะแทบจะหายใจใส่แก้มเขาแล้ว 

“นอนเถอะนะ เดินทางมาเหนื่อยๆ  ร้อนไหม หรือถ้าหนาว จะปิดแอร์ก็ลุกไปปิดเองนะ”

“ไม่ครับ แต่ผมว่าปิดพัดลมเถอะ มันเปลืองค่าไฟนะพี่ ไม่เหมือนมัธยมใช้ไฟฟรี”

“ก็พี่เป็นห่วงกลัวว่าทัชจะร้อนน่ะสิ”

“ไม่หรอกครับ  ฝันดีนะพี่ชาย”  จู่ๆก็พลิกตัวหันหน้ามาหอมหน้าผากผมซะงั้น  ผมอึ้งไปเล็กน้อย

 แต่ก็ปล่อยเลยตามเลย ทำเพียงยกมือขึ้นลูบหัวมันเบาๆ

“ไอ้น้องเอ้ย นอนๆ”  ผมขยับแขนเล็กน้อยและคลายแขนที่กอดมันออก พอให้เจ้าตัวเล็กไม่อึดอัด แต่มันกลับคว้าต้นแขนไว้
“อย่าปล่อยผม กอดผมไว้แบบนี้แหละ อบอุ่นดี”    ผมเลยตามใจ  จริงๆก็อยากกอดไว้แน่นๆ  คนในอ้อมกอดผมคนนี้ เจอกันมาตั้งแต่เด็กๆ เรียนด้วยกันมา ทำกิจกรรมร่วมกันมาตั้งแต่เด็กๆ ฝ่าฟันร่วมกันมา เป็นความผูกพันที่ผมรู้สึกมีค่ามากๆ  ผมรักเจ้าตัวเล็กคนนี้มาก  ไม่รู้ว่ารักเพราะอะไร แต่รู้สึกห่วงใยในตัวเด็กคนนี้มากเป็นพิเศษ 

    เงียบกันไปนานจนผมแน่ใจว่าเจ้าตัวเล็กคงนอนแล้ว จึงคลายแขนออกจากใต้ต้นคอ พิศดูใบหน้าผ่านแสงจากหลอดไฟตรงระเบียงที่เล็ดลอดเข้ามาทางม่านหน้าต่างที่เปิดแง้มไว้เล็กน้อย  ผมสังเกตตั้งแต่แรกแล้ว ว่าเจ้าตัวเล็กของผมผิวเข้มขึ้นมากทีเดียว ผมเอามือเสยผมเขา มองแล้วยิ้ม ภาพต่างๆที่ผ่านมาแล้วในอดีตต่างทยอยฉายชัดขึ้นมาภาพแล้วภาพเล่า  บัดนี้ เขาอยุ่ตรงนี้ อยู่กับผม นอนอยู่ข้างๆตัวผม ซึ่งผมเองก็ไม่เคยคิดว่าเจ้าตัวจะลงมาเที่ยวหา เพราะสมัยเด็กๆ เวลาจะออกไปไหนไกลๆ พ่อแม่ยังเป็นห่วงเลย นี่คงเพราะเป็นผม อารุจน์และแม่หมวงเลยวางใจ  อืม ผมจะดูแลเจ้าตัวเล็กให้ดีเลยครับ คุณพ่อคุณแม่  ผมก้มหน้าจุ๊บหน้าผากเขาเบาๆ พร้อมกับพูดแทบเป็นเสียงกระซิบ .....

 เจ้าตัวเล็ก...พี่ขอโทษนะ ที่พี่เคยปล่อยให้เราต้องต่อสู้อยู่คนเดียว จากนี้ไปพี่ไม่สัญญาอะไรอีก แต่พี่จะไม่มีวันลืมเรานะ ไอ้น้องชาย พี่รักและเป็นห่วงเรามากนะรู้ไหม อยากให้ตั้งใจเรียน หวังว่าพี่จะได้ยินข่าวดี ในเร็วๆนี้นะ ....
  แล้วผมก็สอดแขนเข้าใต้ต้นคอเขาเหมือนเดิม และวาดแขนอีกข้างกอดตัวเขาไว้  ผมจะไม่มีวันปล่อยเขาไปอีกเด็ดขาด



.
.
(ต่อ)

   
 
หัวข้อ: ทัช..สัมผัสใจ ตอนที่ 14.2 (12 ก.ค. 2560)
เริ่มหัวข้อโดย: thewa.arak ที่ 12-07-2017 21:21:58
ตอนที่ 14.2

.
.

 เช้าวันเสาร์ตื่นสายกันมาก เก้าโมงกว่า จึงบอกให้ตัวเล็กไปอาบน้ำ ซึ่งก็งอแงจะต้องให้อาบพร้อมกัน อีกจนได้  เมื่อจัดแจงทำธุระส่วนตัวเสร็จ ผมหยิบชุดนักเรียนของเจ้าตัวเล็กออกไปซักตรงระเบียง เมื่อเจ้าตัวออกมาเห็นก็โวยวายทันที

“พี่นท์ ซักทำไมครับ มานี่ผมซักเอง”   เจ้าตัวทำท่าจะคว้ากะละมังซักผ้าแต่ผมรีบขยับตัวมานั่งขวางทางออกประตูไว้

“ไม่ต้องหรอก สองตัวเอง พี่ซักให้บ้างจะเป็นไร สมัยมัธยม เราซักให้พี่มาหลายครั้งแล้ว นี่ก็จะเสร็จแล้วเนี่ย”  ผมอธิบายพร้อมกับเทน้ำออก

“มันไม่เหมือนกันนะพี่ นั่นเราช่วยๆกันซักหรอก นี่พี่แก่แล้วจะให้มาซักของเด็กได้ไง”   พอผมได้ยินคำว่าแก่เท่านั้นแหละ ควักฟองผงซักฟอกจะเขวี้ยงใส่  แต่ก็หยุดมือเอาไว้

“แก่เหรอ  หึๆ ห่างกันสามสี่ปีเองเนี่ยนะ เดี๋ยวจะโดน” 

“ฮ่าๆๆๆ ขอโทษๆครับ ผมไม่ได้ตั้งใจจะหมายความว่าอย่างนั้นสักหน่อย”  ว่าพลางก็โน้มตัวลงมากอดคอผมไว้ จนรู้สึกอึดอัด

“เฮ๊ย คนจะซักผ้า ไปโน่นเลยไป“   ผมเทน้ำออกจนหมดแล้วดึงสายยางข้างตัวพาดใส่กะละมังเมื่อล้างน้ำสะอาดสองรอบถึงเอาชุดนักเรียนขึ้นตาก  เจ้าตัวเล็กมันวิ่งเข้าไปในห้องแล้วเปิดทีวีดูตามประสาเด็ก  ผมจัดการกับเสื้อผ้าชุดนักเรียนแล้วก็ปิดประตูหน้าต่างระเบียง เปิดม่านทิ้งไว้หนึ่งข้าง

“จะสิบเอ็ดโมงแล้วรึนี่  หิวรึยังล่ะเราน่ะ”   ผมพูดโดยไม่ใส่ใจว่าคนฟังจะตอบหรือไม่พลางเดินไปนั่งตรงมุมที่นั่งอ่านทำการบ้านของผม สังเกตเห็นที่นอนเก็บพับเรียบร้อยแล้ว อืม รู้การรู้งานนะเด็กน้อย

“ยังไม่หิวอ่ะพี่ พี่นนท์ล่ะครับหิวรึยัง”   เจ้าตัวเล็กตอบพร้อกับปิดทีวีและเดินมาตรงที่ผมนั่งอยู่ 

“เดี๋ยวพาไป ม.นอก ไปกินข้าวกันที่หอสมุดละกันนะ” 

“หนังสือพี่เยอะจัง  โห้ ภาษาญี่ปุ่น  โนเนะๆ อ่านไม่ออก”   หยิบหนังสือไวยากรณ์ญี่ปุ่นมาอ่านแล้วก็พูดให้เหมือนเป็นภาษาญี่ปุ่น ผมก็หัวเราะขำ

“จะไปชุดนี้เลยมั๊ย แต่เปลี่ยนเป็นกางเกงขายาวเถอะนะมันดูสุภาพกว่า”

“ผมมีกางเกงขายาวตัวเดียว แต่คงไม่เป็นไร พรุ่งนี้ก็กะว่าจะใส่ตัวนี้แหละกลับ” เจ้าตัวเล็กอธิบายพร้อมกับดึงกางเกงยีนส์สีน้ำเงินเข้มออกจากตู้เสื้อผ้า

“อืม ตากไว้ครึ่งวัน ก็ไม่เหม็นแล้วมั๊ง”  ผมสำทับ

“ผมซักมาแล้วเถอะ พี่นนท์”  เจ้าตัวพูดเข้าข้างตัวเองด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม

“อ่ะๆ ขี้เกียจเถียงละ   รีบๆไปแต่งตัวซะไป “ 

.....


   รถเมล์ ปอ.สาย12 ไม่คาดแดง สายม.นอก พาเราสองคนออกจากในเมืองไปยังมหาวิทยาลัย ผ่านตัวเมืองและเลี้ยวขวาที่ แมคโคร ก่อนมุ่งตรงไปสู่ มหาวิทยาลัยส่วนทุ่งหนองอ้อ  ผมให้ทัชนั่งติดริมกระจกรถ  และชี้ให้ดูสถานที่ต่างๆ จนกระทั่งรถแล่นผ่านเข้าประตูรั้วมหาวทิยาลัย ผ่าน อนุสรณ์สถานเสด็จพ่อองค์ดำ(สมเด็จพระนเรศวรมหาราช) ผมยกมือไหว้ เจ้าทัชก็ทำตาม   ผ่านตึกอำนวยการกลาง ตึกคณะวิทยาศาตร์ และลงที่ตึกคณะมนุษย์ศาตร์และสังคมศาตร์  พาเดินผ่านอาคารเรียนรวมของคณะ ด้านข้างอาคารจะมีสระน้ำขนาดใหญ่ติดต่อกับคณะมนุษย์ฯ และคณะวิทยาฯเดิม   ตึกกองกิจการนิสิต และ คณะเภสัชฯ  โต๊ะเก้าอี้ภายในตึกอาคารมีรุ่นพี่รุ่นน้องมานั่งติวหนังสือและอ่านหนังสือกันบ้างประปราย และยังมีบางส่วนที่ คณะมนุษย์ฯภาคพิเศษมาเรียนกันในวันเสาร์ ผมอธิบายทุกอย่างให้ ทัชฟัง ซึ่งเจ้าตัวก็ดูตื่นตาตื่นใจกับอาคารและภายในรั้วมหาวิอทยาลัย

“ชั้นบน จะเป็นห้องเรียน และห้องพักอาจารย์  แยกเป็นแต่ละภาควิชา เห็นมั๊ย ห้องเรียนจะเรียนกันประมาณสามสี่สิบคน และมีหลายห้อง ซึ่งจะเรียนผ่านจอทีวี แบบนี้” 

  ผมเดินมาถึงห้องที่ภาคพิเศษเรียนกันก็ชี้ให้ดู ว่าเรียนกันแบบนี้ ซึ่งจะมีห้องส่งอยู่อีกห้องหนึ่ง เดินไปอีกสองสามห้องจะเห็นห้องส่ง นิสิตส่วนใหญ่ไม่อยากเรียนในห้องส่งเพราะจะโดนอาจารย์ซักไซร้ไล่เรียง แต่ก็เลือกไม่ได้ เพราะจะมีระบุชื่อในห้องเรียนแต่ละห้อง ไม่เข้าเรียนก็จะโดนเช็คชื่อขาดเรียน

“เรียนกันแบบนี้จะเข้าใจได้อย่างไรล่ะครับ”   เจ้าทัชถาม ซึ่งยังคงดูตื่นเต้น 
 
“ก็เรียนเวลาเดียวกันไง  แต่จะมีแยกเป็นห้องๆไป นิสิตนักศึกษามีเป็นร้อยๆจะเรียนห้องเดียวได้ไง วิชาหนึ่งๆ ไม่ใช่แค่ ปี.1 เรียนนะ มันมีรุ่นพี่ๆสาขาวิชาอื่นที่มีเรียนรายวิชานี้ด้วย ก็จะต้องมาเรียนพร้อมกัน แบบที่เห็นนี่แหละ”

“อ้าว ทำไมไม่เรียนเหมือนพวกเราที่มัธยมล่ะครับ ปีใครปีมันไปเลย”  เจ้าตัวเล็กเอียงคอถาม

“มันไม่เหมือนกัน อย่างเช่น วิชา เศรษฐศาตร์พื้นฐาน พี่มีเรียนวิชานี้ ในปี2  ดังนั้นพี่ก็ต้องเรียนพร้อมกับเด็กรุ่นน้องปี1ที่เป็นสาขาวิชาเอกเศรษฐศาตร์  และสาขาวิชาอื่นที่มีเรียนในปีเดียวกัน ก็จะได้มาเรียนด้วยกันนี่แหละ” 

“ฟังดูแปลกๆนะเนี่ย “

“พี่ถึงบอกว่า ให้ขยันตั้งใจเรียนไง แล้วสอบมาเรียนต่อให้ได้ นะ พยายามตั้งใจเอาให้ได้นะ”  ผมทำท่าชูกำปั้นขึ้นแล้วศอกลมลงมาเป็นท่า สู้ๆ ให้เจ้าตัวเล็ก  เจ้าตัวเล็กก็ได้แต่ยิ้ม

“ผมจะพยายามครับ แต่ไม่รู้ผมจะสามารถตามรอยพี่ถึงระดับนี้ได้หรือไม่ ผมไม่เก่ง”

“เก่งไม่เก่งไม่เกี่ยว ขอเพียงตั้งใจมุ่งมั่นแน่วแน่ โอเคมั๊ย”

“จะพยายามครับ”  เจ้าตัวเล็กตอบพร้อมกับยิ้มกว้าง  ผมเอื้อมมือไปลูบหัวสองสามที

“สู้ๆนะ พี่จะคอยเป็นกำลังใจให้” 

“พี่นนท์ “    เสียงสาวที่ไหนเรียกผมเนี่ย  หันไปมองตามเสียงเรียก อ้อ น้องแป้ง น้องรหัสผมนั่นเอง

“สวัสดีค่ะ วันนี้มาเรียนหรือมาทำอะไรเอ่ย”  น้องแป้งไหว้ผมพร้อมกับทักทาย

“อ้าว น้องแป้ง มาอ่านหนังสือเหรอครับ พี่พาน้องมาเที่ยว”   ผมทักทายตามมารยาท เห็นมองมาทางเจ้าทัช ผมเลยรีบแนะนำตัวก่อน

“นี่ ทัช นะ  และ ทัช นี่พี่แป้งนะ เป็นน้องรหัสพี่  เรียนนิเทศศาตร์”

“สวัสดีครับ พี่แป้ง”   เจ้าทัชยกมือไหว้สวัสดี อืม ดีมาก มารยาทดีงามไม่เสียหน้าพี่ชายมัน

“สวัสดีค่ะ น้องทัช อยู่ชั้นอะไรแล้วคะ” น้องแป้งถาม

“ผม ม.6แล้วครับ”

“อ้อ อีกนิดเดียวเอง แล้วนี่จะสอบเรียนต่อที่นี่ไหมคะ”  เจ้าตัวเล็กหันมามองหน้าผม ผมก็ยิ้มให้

“ผมเรียนไม่เก่งครับ ไม่รู้จะสอบได้หรือเปล่า”

“ไม่ยากหรอกน้อง ตั้งใจ อ่านหนังสือเยอะๆ ให้พี่นนท์ติวให้เลย  เอ้อ พี่นนท์คะ น้องทัชนี่หรือคะ ที่เป็นน้องชายพี่ ”

“ไม่ใช่  เป็นลูกของป้าน่ะ  พี่ให้ลงมาเที่ยว พามาดูเผื่อจะเป็นการสร้างแรงจูงใจให้ขยันสอบเรียนต่อมหาลัยให้ได้”

“อ๋อ สู้ๆนะคะน้องทัช”

“ครับ ผมจะพยายามอย่างเต็มที่”

“พี่นนท์ เดี๋ยวน้องไปหาเพื่อนก่อนนะคะ วันนี้รุ่นพี่นัดติวกัน”

“อื้ม โชคดีนะ สู้ๆ”    น้องแป้งยกมือไหว้ เจ้าทัชก็ไหว้ลาแป้งด้วย

“ป่ะ ทัช เดี๋ยวเราเดินลัดอาคารนี้ผ่านอาคารคณะศึกษาศาตร์ไปหอสมุดกัน “

 ระหว่างเดินลัดผ่านตัวอาคารก็เจอเพื่อนต่างคณะสองสามคนที่เคยอยู่หอเดียวกันที่ ม.ใน ก็ทักทายกันตามประสาคนรู้จัก จนมาถึงอาคารหอสมุด ผมพาเจ้าตัวเล็กไปที่ซุ้มที่ขายอาหารและของชำ ใต้ตึกหอสมุด

“หิวยัง เดี๋ยวพี่สั่งกับข้าวให้  อาหารขึ้นชื่อคือ กะเพราไข่ดาว ฮ่าๆ  ก็มันมีไม่กี่อย่างหรอก”

“อะไรก็ได้ครับ ผมเอาเหมือนกันกับพี่นะครับ”

 ผมสั่งข้าวราดกะเพราไข่ดาวสองจานและเป๊บซี่คนละขวด นั่งกินข้าวกันใต้ตึกหอสมุด  กินไปก็คุยกันไป ผมชี้ให้ดูตึกอาคาร คณะแพทย์ศาสตร์ และคณะเภสัชฯ ซึ่งอยู่ติดๆกัน  ทิศเหนือติดอาคารคณะศึกษาศาตร์ ฝั่งตะวันออก เป็นอาคารคณะเกษตรศาตร์ ทิศตะวันตกเป็นคณะวิศวกรรมฯ และทิศใต้ เป็นคณะวิทยาศาตร์อาคารรวมหลังใหม่

“มหาลัยพี่กว้างมากเลยนะครับ”   เจ้าทัชเอ่ยขึ้นหลังจากมื้อกลางวันจบลง และนั่งพักกันที่กลุ่มโต๊ะม้านั่งหินอ่อน

“ไม่กว้างมากหรอก มหาลัยเชียงใหม่กว้างกว่านี้เยอะ ป่ะเดินขึ้นตัวอาคารกัน”

 ผมชวนเจ้าตัวเล็กขึ้นห้องสมุด ทำบัตรคนนอกแล้วผ่านเข้าไป ก็เดินรอบชั้นสองชั้นสาม และสอนให้รู้ถึงวิธีการหาหนังสือ ซึ่งเจ้าตัวเล็กก็บ่นว่า ทำไมมันยากเย็นแบบนี้  รอบๆหน้าต่างกระจกของอาคารหอสมุด จะมีคอมพิวเตอร์ให้ใช้ โดยใช้รหัสนิสิตในการล็อคอิน  ผมก็เข้ารหัสผมให้เจ้าตัวเล็กดู  ซึ่งเจ้าตัวก็ดูตื่นเต้นมาก  ผมชี้ๆให้ดูคณะของตัวเอง และเข้าส่วนภาควิชาภาษาศาตร์ และสาขาวิชาเอกตัวเอง ให้เห็นรูปคนสอน และอื่นๆจิปาถะ สอนให้รู้จักการการเล่นสนทนาผ่านโปรแกรม PIRCH ซึ่งเป็นที่นิยมในสมัยนี้ แต่ผมไม่ค่อยมีเวลาไปเล่นอะไรแบบนั้น ไม่มีแอคเคาท์ส่วนตัวด้วย เจ้าตัวเล็กดูจะตื่นเต้นมากกับโปรแกรมการสนทนาแบบนี้

“เขารู้ไหมครับพี่ ว่าเราอยู่ที่ไหน”

“ไม่รู้หรอก เราไม่ได้บอกเขานี่นา ส่วนใหญ่ก็เด็กมหาลัยเดียวกันนี่แหละ”

“ดีจังเลยนะครับ คุยกันแบบนี้ก็ได้ด้วยอ่ะ”

“อื้ม อย่าไปสนใจมันมากเลย พี่ไม่เห็นจะสนใจเลย”

“ผมจะพยายามตั้งใจเรียนและสอบเข้ามหาลัยให้ได้นะครับ”

“ดีมาก พี่ดีใจที่ได้ยินแบบนี้นะ”

“แต่.....”  เจ้าตัวหยุดชะงักคำพูดไป จนผมนึกสงสัย

“แต่อะไรเหรอ”

“ถ้าผมสอบที่นี่ได้จริง ก็ได้อยู่กับพี่อีกแค่ปีเดียว แล้วพี่ก็ต้องทิ้งผมไปอีก แล้วมหาลัยนี่ก็ต่างคนต่างเรียน ผมคงเหงาน่าดู” 
 พูดจบก็มีสีหน้าสลดลง  ผมก็สะอึกไปเล็กน้อย นี่เจ้าตัวเล็กมันยังติดผมขนาดนี้เลยรึ   

“โตแล้วน่า ระยะทางแค่นี้เอง พี่ขึ้นมาเที่ยวหาก็ยังได้เลย “

“สามปีที่ผ่านมาพี่ยังลืมผม ไม่กลับไปหาผมเลยนะ” 

“...............”      ผมเงียบ พูดไม่ออก มองหน้าเจ้าตัวเล็ก  เขาเองก็คงรู้ว่าถ้าขืนเป็นแบบนี้คงได้เงียบกันไปตลอดวันเป็นแน่ จึงพูดพร้อมหัวเราะออกมาเสียงดัง

“ ฮ่าๆ ไม่เป็นไรหรอกน่าพี่ ผมก็พูดไปงั้นแหละ  แต่ที่ผ่านมามันทำให้ผมเข้มแข็งขึ้นเยอะเลยล่ะครับ” 
 ผมรีบจุ๊ปากห้ามเกือบไม่ทัน

“เบาๆหน่อย นี่ห้องสมุดนะ”    เจ้าตัวเล็กเลยยกมือไหว้ขอโทษไปรอบทิศเลย และมีสายตาจากนิสิตบางคนหนัมามองทำตาดุๆใส่   ผมจึงชวนตัวเล็กไปชั้นสามแทน  แนะนำสถานที่กันไปแล้ว ก็พาไปดูตึกคณะ เกษตร์ศาตร์ศาตร์  ตามด้วย คณะวิศวกรรมศาตร์ รู้สึกเหมือนมีคนจ้องมองพวกผมอยู่ แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไร ต่อด้วยคณะวิทยาศาตร์อาคารใหม่ และ คณะแพทย์ฯ  ที่นี่แหละ ที่เจ้าตัวจะได้เห็นร่างอาจารย์ใหญ่เป็นครั้งแรก

“เดี๋ยวพี่จะพาไปไหว้อาจารย์ใหญ่นะ “  ผมบอกและเจ้าตัวเล็กก็ทำหน้า งงๆ

“มีอาจารย์ใหญ่ด้วยหรือครับ ทุกคณะมีหมดเลยหรือเปล่าพี่”   หึๆ เดี๋ยวก็รู้ ผมคิดในใจ พลางพาเจ้าตัวเล็กเดินขึ้นไปยังชั้นสี่ ฝั่งทิศใต้ของอาคารคณะแพทย์ศาตร์ ใกล้ๆกับห้องสมุด จะมีห้องอาจารย์ใหญ่ มีนิสิตคณะนี้อยู่ราวๆสิบคนเห็นจะได้ 
  เป็นเวลาบ่ายสี่โมงแล้ว บรรยากาศบริเวณนี้ยิ่งดูวังเวงยิ่งนัก ผมไม่ค่อยอยากมาเท่าไหร่ แต่เพราะอยากให้เจ้าตัวเล็กได้มาเห็น จึงตัดสินใจสลัดความรู้สึกกลัวทิ้งไป

“อ่ะ ถึงละ ห้องนี้แหละ  ก่อนเข้าไปให้สวมถุงมือยาง และผ้าปิดจมูกตรงนี้ก่อนพร้อมกับเสื้อกาวน์และรองเท้าที่เตรียมไว้”  ผมอธิบายและหยิบเสื้อกาวน์ให้เจ้าตัวเล็กใส่

“แค่มาไหว้อาจารย์ใหญ่ทำไมต้องใส่อะไรแบบนี้ ยังกะเป็นหมอเตรียมผ่าตัด”  เจ้าตัวเล็ก พูดด้วยความงง ผมไม่ตอบอะไร ได้แต่ส่งยิ้มให้ 
  เมื่อทุกอย่างพร้อม จึงก้าวเข้าไปยังห้องอาจารย์ใหญ่ ซึ่งจะมีผ้าม่านกั้นประตูอีกหนึ่งทางเข้าอีกหนึ่งชั้น พอย่างเท้าก้าวเข้ามาปุ๊ป กลิ่นน้ำยาดองศพฉุนลอยผ่านผ้าปิดปากมาเตะจมูกทันที  ผมยกมือขึ้นพนมไหว้ทำความเคารพ ก่อนเดินเข้าไปในเขตห้อง กวาดตามองรอบๆห้อง มีนิสิตแพทย์ห้าหกคนกำลังง่วนกันการศึกษาร่างของอาจารย์ใหญ่อย่างขะมักเขม้น  ผมหันไปมองเจ้าตัวเล็ก ซึ่งยืนอ้าปากค้างขาแข็งก้าวขาไม่ออกอยู่ด้านหลังผม

“ทัช ...ทัช...”   ผมเรียก อยู่นานสองสามครั้งจึงเดินเข้าไปหา เขย่าแขนเขาเล็กน้อย

“เป็นอะไรไป  ไม่ต้องกลัวนะ คนเยอะแยะ อยู่ใกล้ๆพี่นี่”

“พะๆ พี่นนท์ นี่คืออะไรครับ”   

“อ้าว ก็บอกว่าจะพามาไหว้อาจารย์ใหญ่นี่นา นี่ไง อาจารย์ใหญ่ ไหว้เสียสิ อย่าลบหลู่ท่าน เพราะท่านเหล่านี้บริจาคร่างกายเพื่อเป็นวิทยาทานให้นิสิตแพทย์ใช้ศึกษาร่างกายมนุษย์  เรียกกันว่า อาจารย์ใหญ่ คณะแพทย์ฯทุกคนจะให้ความเคารพ”   

  ผมอธิบายคร่าวๆแบบให้เข้าใจง่ายๆ เจ้าตัวเล็กพยักหน้า แต่ยังมีสีหน้าท่าทางหวาดกลัว ผมบีมมือเขาไว้ เพื่อให้กำลังใจ แต่เขายังคงเกาะแขนผมแน่น ก้าวเดินตามมาอย่างหวาดๆ

“พี่นนท์ เรากลับกันเถอะ พอแล้วผมเห็นแล้ว”  ยังไมทันได้เข้าไปดูใกล้ๆ เจ้าตัวเล็กก็ออกอาการทันที

“งั้น ไหว้ท่านอาจารย์ใหญ่ก่อนแล้วเราค่อยออกไปกัน”   เจ้าตัวเล็กทำตามทันที แล้วรีบเดินนำออกไปก่อน
 พอออกมาได้ รีบสูดหายใจตรงระเบียงอยู่พักใหญ่  ผมเห็นแล้วก็อดขำปนสงสารไปด้วยไม่ได้

เมื่อเดินลงมาถึงชั้นใต้ถุนด้านล่างอาคาร ผมเดินไปที่ซุ้มโค้ก ซื้อมาสองแก้ว ยื่นให้ตัวเล็ก

“ผมกินไม่ลงพี่ ยังไม่หิวตอนนี้ “   พร้อมกับทำหน้าพะอืดพะอม

“ขนาดนั้นเลยหรือ ติดตาหรือเปล่าเนี่ย กลัวเหรอ”  ผมถาม

“ไม่กลัวหรอกครับ แต่มันบอกไม่ถูก พี่กินคนเดียวเถอะ”   พูดพร้อมกับยกมือปัดเป็นการบอกว่าไม่กินไอ้ที่ผมซื้อมาให้ ผมเลยต้องซดคนเดียว

“นี่แหละ ชีวิตคนเรามันก็แค่นี้แหละ ตายไปก็เอาอะไรไปไม่ได้ แต่ยังมีความดีสุดท้ายคือบริจาคร่างกายเพื่อเป็นการศึกษาให้กับวงการแพทย์ไทย เราเองก็อย่าประมาท หมั่นทำความดีรู้ไหม”

“คร้าบคุณพ่อ”  เจ้าตัวเล็กตอบออกมาหนึ่งประโยคทำเอาผมแทบสำลักน้ำโค้ก  แต่มันกลับหัวเราะชอบใจ     

    ไอ้แทน........  ไอ้แทนมันเคยคุยหยอกเล่นกับผม แล้วผมก็เรียกมันว่า ลูก ตอนที่มันงอแงจะนอนหนุนแขนผมเมื่อครั้งที่ผมขึ้นไปเที่ยวหามันที่บ้านหลังจากถูกรถชน  ภาพนั้นยังติดตาอยู่ ...

“พี่นนท์ ....”    ผมตกใจกับเสียงไอ้เจ้าตัวเล็ก มันจะตะโกนทำไมกัน

“เห้ย จะบ้าเหรออยู่ใกล้แค่นี้จะตะโกนทำไม”   ผมทำท่าจะเขกหัวมัน มันก็รับโพล่งขึ้นมา

“พี่นั่นแหละ เป็นบ้าอะไรครับ ผมเรียกสี่ห้าครั้งแล้วนะ”  เจ้าตัวเล็กขมวดคิ้ว

“อ้าวเหรอ”

“พี่เป็นอะไรหรือเปล่า”

“เปล่าๆ ป่ะ งั้น เรากลับกันเถอะ เย็นแล้ว หิวยัง”

“ไม่หิวครับ”

 ผมเดินนำเจ้าตัวเล็กที่ไม่เล็กแล้ว เดินลัดผ่านตึกคณะเภสัชฯ ผ่านโรงอาหาร1 ผ่านตึกกองกิจการนิสิต ออกมารอรถ ปอ.สาย12 โดยไม่ลืมที่จะหันหน้ายกมือไหว้องค์พระนเรศวร เจ้าตัวเล็กก็ทำตาม  จนกระทั่งรถมาผมให้เจ้าตัวเล็กนั่งเบาะด้านใน ปล่อยให้เขาได้มองผ่านกระจกรถดูวิวรอบมหาวิทยาลัย เจ้าตัวถึงกับครางออกมา  ......

 “นี่หรือ คือ มหาวิทยาลัย   ใหญ่โตจัง เราจะมีโอกาสไหมน้อ”    ผมได้ยินจึงตบบ่าและให้กำลังใจ

“พี่บอกแล้วไง ให้ตั้งใจให้มาก ขยัน เพืออนาคตของตัวเอง อย่าลืมที่พี่เคยสอนละกัน”  เจ้าตัวเล็กคว้ามือผมไปจับไว้ จนผมตกใจ แต่ก็ปล่อยให้เขาทำอย่างนั้น

“ผมรู้สึกอ้างว้างจังเลยพี่  ถ้าผมต้องมาอยู่มาเรียนคนเดียวเมื่อพี่จบไปแล้ว”  พร้อมกับทำหน้าเศร้าๆ  หึๆ  ตั้งใจสอบให้ติดก่อนน่า ผมคิดในใจ

“เอาน่ะ พยายามสิ ถ้าสอบติด พี่จะหางานทำอยู่แถวนี้ รอให้เราเรียนจบค่อยว่ากันดีไหม”   ผมยิ้มพร้อมกับใช้มือเสยผมเจ้าตัวเล็กไปด้านหลัง หน้าผากกว้างขึ้นนะเนี่ย ไม่ใช่หน้าผากล้านนะ ใบหน้ารูปเหลี่ยมคมเข้ม ยิ้มตอบผม จับมือผมแน่น
 
“จริงๆนะพี่  แต่เฮ้อ ผมคงต้องพยายามให้มากขึ้น พี่ก็อย่าทิ้งผมไปอีกนะ”   ผมทำได้เพียงยิ้มและใช้ไหล่ดันไหล่เจ้าตัวเล็ก

   

.
.
(ต่อ)

หัวข้อ: ทัช..สัมผัสใจ ตอนที่14.3 (12 ก.ค. 2560)
เริ่มหัวข้อโดย: thewa.arak ที่ 12-07-2017 21:25:35
ตอนที่ 14.3

.
.


กลับถึง ม.ใน  หกโมงกว่า ผมพาเจ้าตัวเล็กเดินลัดไปทางด้านหลังอาคารกิจกรรม เพื่อไปดูหอพักนิสิตชายที่ผมเคยอยู่ 

“ไม่ต่างอะไรกับหอเรานะครับ เพียงแต่มีหลายชั้น” 

 ผมเดินขึ้นไปชั้นสาม ไปหยุดตรงห้อง 303 ห้องที่ผมเคยอยู่กับไอ้ต๋องและไอ้เอก แต่ประตูห้องล็อค สงสัยคงยังไม่กลับมา  จึงพาตัวเล็กเดินกลับหอพักเซเว่น 

   “ทัช รออยู่ข้างล่างนี่แหละ เดี๋ยวพี่ขึ้นไปเอากุญแจรถก่อน เดี๋ยวพาไปไหว้พระวัดใหญ่ แล้วหาอะไรกินแถวนั้นแหละ”   เจ้าตัวเล็กพยักหน้า รับคำ ผมจึงเร่งฝีเท้ากึ่งเดินกึ่งวิ่งขึ้นไปชั้นสี่ และก็ต้องแปลกใจเล็กน้อย ที่ห้องของผมถูกไขล็อคกุญแจแล้ว   ไอ้เอก..... ผมคิดในใจว่าต้องเป็นมันแน่นอน เพราะมันคนเดียวที่ผมให้กุญแจสำรองไว้เผื่อมันมาอ่านหนังสือหรือมาเที่ยวหา

 “กูว่าละ ต้องเป็นมึง”  ผมทักทันที

“ใครวะ  ธวัช เด็กมัธยมด้วย”      หือ....อ้อ มันคงเห็นจากเสื้อที่ตากไว้สินะ

“น้องกูเอง ลูกป้า ที่เคยเล่าให้มึงฟังน่ะ เขามาเที่ยวหา กูพาไป ม.นอกมา เผื่อเป็นแรงบันดาลใจให้เขาตั้งใจสอบให้เข้ามหาลัยได้”   ผมอธิบาย

“ถ้ามันสอบได้ มันคงมาอยู่กับมึงสินะ “ 

“ก็ต้องงั้นสิวะ น้องกูนะเว้ยจะให้ไปอยู่ที่ไหนวะ”  ผมตอบพร้อมกับหัวเราะขำกับคำถามของมัน

“แล้วนี่น้องมึงอยู่ไหนวะ”

“อยู่ข้างล่าง กูเพิ่งกลับมา เมื่อกี้พาไปดูหอชาย เห็นห้องมึงล็อคอยู่ นี่กูขึ้นมาเอากุญแจ จะพาน้องไปวัดใหญ่แล้วคงหาไรกินแถวนั้นแหละ” 

“อืม งั้นเดี๋ยวกูก็กลับละ พาน้องไปไหว้พระด้วยสิ”

“เออ รู้แล้ว มึงอย่าลืม ปิดเลื่อนบานกระจกตรงระเบียงด้วยนะ คราวก่อนมึงมาเปิดทิ้งไว้ ยุงกัดกูจนแขนลาย”  ผมส่ายหน้าบ่นใส่มันก่อนจะคว้ากุญแจแล้วรีบวิ่งลงบันได แต่ยังทันได้ยินเสียงไอ้เอกตามหลัง

“มีความสุขนะมึง”    อะไรของมันวะ ความสุขเหี้ยไร  ผมคิดในใจแต่ไม่ได้สนใจอะไรกับคำพูดของมัน   ไอ้เอกเป็นเพื่อนสนิทผมตอนผมย้ายมาอยู่หอพักชาย  แต่มันเป็นคนไม่ค่อยพูดส่วนใหญ่มีแต่ผมที่เป็นฝ่ายพูดขึ้นมาก่อนตลอด
 ลงมาถึงชั้นล่างมองหาเจ้าตัวเล็กไม่เจอ มันไปไหนของมันเนี่ย สักพักเห็นมันเดินลงมาทางบันได ผมแปลกใจจึงถามมัน

“อ้าว ไปไหนมา”

“ผมไปห้องน้ำมา พอดีเห็นชั้นสองมีห้องน้ำเลยเข้าไปใช้” ตอบพร้อมกับเดินมาโดยไม่มองหน้าผม แต่ผมไม่ได้เอะใจอะไรสตาร์ทรถมอไซค์ฮอนด้าดรีมสีแดงแล้วพากันออกจากหอพักไป

     หกโมงเย็น สมัยนี้คนขับใส่หมวกคนซ้อนใส่ไม่ใส่ก็ไม่เห็นจับ แต่ครั้งนี้ผมไม่ได้ใส่หมวกพยายามขับลัดตามทางรถไฟแล้วเลี้ยวซ้ายหลังห้างท้อปแลนด์ ไปออกหน้าวัดใหญ่ พาเจ้าตัวเล็กไหว้องค์พระ แล้วหาอะไรกินหน้าวัด  เดินไปไม่ไกลนัด มีร้านก๋วยเตี๋ยวห้อยขา คือแบบ นั่งตรงชั้นบนแล้วห้อยขาลงมา ชมวิวทิวทัศน์ยามเย็นริมน้ำน่าน ผมสั่งก๋วยเตี๋ยวต้มยำสองชามให้ตัวเล็ก ตามด้วยน้ำเก๊กฮวย ซดกันจนอิ่ม นั่งชมวิวสักพัก แล้วต่อด้วยไปนั่งกินนมปั่นหน้าวัดใหญ่ ตรงลานที่เทปูนเป็นขั้นบันไดลงไปยังแม่น้ำน่าน นั่งกินนมไปก็ชมทิวทัศน์ริมน้ำน่านไป ซึ่งสองฝั่งริมน้ำน่านตรงข้ามวัดใหญ่ จะเป็นศาลากลางที่ตั้งเสาหลักเมือง  เต็มไปด้วยร้านนมปั่น ขนมปัง จิปาถะ เรียงรายตามแนวริมน้ำน่าน

“เป็นไงมั่ง อิ่มไหม อยากินอะไรอีกหรือเปล่าเดี๋ยวพี่พาไป”

“โอ้ยพี่ อิ่มจนเต็มท้องแล้ว กินต่อไม่ไหวแล้วล่ะครับ พี่มานั่งกินกันแถวนี้บ่อยเหรอ”

“ไม่นะ นานๆทีพี่ถึงมา ดูดิคนเยอะแยะ ยิ่งถ้าเป็นช่วงปีใหม่ มีงานวัด คนจะยิ่งแน่นมากกว่านี้”

 หนึ่งทุ่มกว่า ผมขับมอไซค์พาเจ้าตัวเล็กไปตลาดไนท์บาซาร์ เดินเล่นดูของขาย พอไปถึงร้านเสื้อผ้าและกางเกง ผมเลือกกางเกงยีนส์ลีวายสีดำ (ของปลอมหรือของแท้ก็ไม่อาจรู้ได้) ดูตัวที่เอว 28-29 เพราะเจ้าตัวเล็กใส่ไซส์นี้  ส่วนผม 30-32 เจ้าตัวเล็กก็หยิบโน่นจับนี่ดูไปตามเรื่องตามราว เมื่อผมเลือกได้แล้วก็ต่อรองราคา แพงเอาเรื่องนะเนี่ย 450บาท (แสดงว่าของปลอมชัวร์) จ่ายเงินแล้วก็หันไปถามเจ้าตัวเล็ก

“ทัช อยากได้เสื้อผ้าหรือกางเกงตัวไหนก็เดินเลือกดูนะ”

“ไม่เอาพี่ แค่ดูๆก็พอครับ” เจ้าตัวเล็กตอบ
เดินผ่านร้านเสื้อ เห็นสวยดีจึงแวะหยิบมาทาบกับเจ้าตัวเล็ก มีสกรีน Only You ติดอยู่พร้อมกับรูปสนูปปี้

“ตัวเล็ก สวยป่าว”  ผมถาม

“อื้มก็สวยดีพี่”

“อ่ะ เบอร์เอ็ม ใส่ได้ป่าว”

“ใส่ได้ พี่จะซื้อให้เหรอครับ ไม่ต้องหรอก มีเยอะแล้ว” ตัวเล็กพูดออกแนวเกรงใจ

“พี่เลือกตัวสีครีมละกัน ชอบมั๊ยสีนี้” 

“ครับ สีนี้ก็สวยดี”   

 ผมเลือกสีนี้เพราะมันดูเหมาะเข้ากันดีกับกางเกงยีนส์ลีวายสีดำที่ซื้อมาก่อนหน้านี้ ตัวเล็กใส่แล้วเข้ากันแน่นอน ผมคิดในใจ แต่ยังไม่บอกว่าซื้อให้เขา

“เหนื่อยยัง หาของหวานๆกินกันดีกว่า”

“สามทุ่มแล้วพี่ มันจะมีขายหรือครับ”

“มีสิ ตรงปั๊มน้ำมันเชลล์เก่ามีเจ้าอร่อย เดี๋ยวพาไป  ทับทิมกรอบอร่อยมาก”

ขับรถออกมาจากไนท์บาร์ซาร์ไม่ถึงห้านาทีก็ถึงปั๊มเชลล์เก่าทางที่จะไปแมคโคร สั่งของหวานกินกันคนละสองถ้วย อิ่มแปร้เลยทีเดียว
   สุดท้ายกลับถึงหอพักเกือบสี่ทุ่ม เลยรีบเร่งให้ตัวเล็กอาบน้ำซึ่งก็งอแงจะอาบพร้อมกันเหมือนเดิม แต่คราวนี้ผมออกปากเด็ดขาดให้อาบเอง ผมอ้างว่าจะทำการบ้าน จึงยอมฟังความกันแต่ก็งอนเดินตุปั๊ดตุเป๋เข้าไปอาบน้ำ  ผมจึงรีบซักกางเกงและเสื้อตัวที่ซื้อมาจากไนท์บาร์ซาร์ให้ทันที พอผมจะล้างน้ำสุดท้ายแล้วเตรียมบิดตากเจ้าตัวก็โผลมาพอดี

“พี่ทำอะไร ไหนบอกจะทำการบ้านไงครับ”    เจ้าตัวเล็กนุ่งผ้าเช็ดตัวเปลือยท่อนบนออกมา จากแสงไฟทำให้เห็นกล้ามท้องเป็นมัดๆชัดเจน ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมากจริงๆ ไม่เหมือนเด็กกะโหลกที่วิ่งเล่นไล่จับกับผมตอนมัธยม   

“เสร็จพอดีเลย อ่ะลองดูสิ ไซส์นี้ทัชต้องใส่ได้แน่นอน”   ผมสะบัดกางเกง แล้วจับตรงเอวกางเกงทาบกับเอวเจ้าตัวเล็ก

“พี่ซื้อให้ผมหรือครับ บอกแล้วอย่าซื้อๆ มีเยอะ ก็ไม่เชื่ออีก”

“ก็เรามีตัวเดียวนี่นา นี่ๆ ชุดนี้ใส่ขากลับพรุ่งนี้ไง”

“เอว29ผมใส่ได้อยู่แล้วล่ะพี่ ผมเองก็ไม่ชอบคับๆ อยากใส่ที่สบายๆมากกว่า”

“ก็พี่รู้ไงว่าเราน่ะใส่เบอร์อะไรได้บ้าง แต่เสื้อพี่ไม่แน่ใจเลยถามก่อน”

“เอ้า เสื้อนี่ก็ของผมเหรอครับ”

“อื้ม เสื้อสีครีมคงขับผิวเราน่าดูเลยนะ ยิ่งผิวเข้มๆด้วย”   ผมพูดพลางหัวเราะ 

“พี่ดูแลผมดีมากเลยครับ ผมคิดไม่ผิดเลยที่รักพี่”  ว่าแล้วก็เข้ามากอดผมเฉยเลย

“เห้ย  รักเริก อะไรกัน ก็ทำหน้าที่พี่ชายที่ดีไง แล้วนั่น เอากางเกงในออกไปห่างๆเลยนะ แหวะ” 

  มันกอดรัดผมซะแน่นโดยที่ในมือมันยังคงกำกางเกงในหลังอาบน้ำอยู่ในมือ แล้วอยู่ก็ยกขึ้นมาใส่หน้า

“ผมซักแล้ว หอมนะพี่ “   

“ไอ้เด็กเวร  ไปไกลๆเลย”   ผมรีบผลักมันออกห่างทันที  ฮึ่มมันจะมากไปแล้ว แต่เห็นมันหัวเราะชอบใจที่ได้แกล้งผม ผมก็ได้แต่ยิ้มไปกับมัน แล้วก็ตากผ้า พร้อมกับแย่งกางเกงในจากมือมันมาตากเอง

“เฮ๊ยพี่ ผมทำเอง เกรงใจพี่มากแล้วนะเนี่ย” 

“พูดมาก พี่อยู่นอกระเบียงอยู่แล้วก็ทำๆซะทีเดียว เราก็รีบๆไปแต่งตัวเถอะดึกแล้ว”

ผมไล่ให้เจ้าตัวเล็กเข้าไปแต่งตัว แล้วผมก็หยิบผ้าเช็ดตัว เตรียมตัวเข้าหฟ้องน้ำ ก็ยังเห้นเจ้าตัวเล็กยังไม่แต่งตัว ผมส่ายหน้าแต่ไม่สนใจ เดินเข้าห้องน้ำไป ยังไม่ทันจะปิดประตูห้องน้ำ เจ้าตัวเล็กก็เดินตามมาขัดประตูไว้

“อ้าว ตามมาทำไม ไปแต่งตัวสิ”

“อาบด้วยกัน”

“ไอ้เด็กเวร อาบแล้วไม่ใช่เหรอ” 

“อาบแล้วแต่จะอาบอีก”

“ออกไปเลย ไม่งั้นพี่จะไม่คุยด้วยนะ”

“พี่นนท์ ใจร้ายอ่ะ”

“ไปๆๆ ไปแต่งตัว อย่ามาทำตัวเป็นเด็กนะ” 

 ผมรุนหลังแล้วไล่ให้ไปแต่งตัว แล้วรีบปิดประตุล็อคกลอน  ไอ้บ้าเอ้ย เป็นเด็กไปได้ เฮ้อ เหนื่อยจังกับไอ้เจ้าตัวเล็กนี่ ไม่ค่อยเชื่อฟังกันเลยแฮะ รู้สึกเริ่มโตขึ้นก็เริ่มจะขี้เง้าขี้งอน ผมผมอาบเสร็จออกจากประตู เจ้าตัวเล็กก็ยื่นเสื้อยืดคอกลมสีขาวตราห่านคู่กับกางเกงในและกางเกงนอนขาสั้นมาให้ 

“โห... รู้ได้ไงว่าพี่จะใส่แบบนี้นอน”

“ไม่รู้ครับ แต่อยากให้ใส่แบบนี้แหละ” ว่าแล้วก็ยื่นมาให้  ผมเลยเข้าห้องน้ำไม่ลืมที่จะล็อคกลอนแล้วจัดแจงแต่งตัวเสร็จสรรพ ออกมาเอาผ้าเช็ดตัวไปตาก แปลกใจที่เจ้าตัวเล็กไม่เปิดทีวีดูเลย  ผมล้มตัวนอนคว่ำบนเตียง หยิบหนังสือข้างเตียงมาอ่านเล่น 
“พี่ทำการบ้านเสร็จแล้วหรือครับ”   เจ้าตัวเล็กถาม

“ยังไม่ทำ พรุ่งนี้ค่อยทำ”    ผมตอบโดยไม่หันไปมอง แล้วเขาก็เอนตัวลงนอนหงายเอาหัวมาหนุนตรงบั้นเอวผม ผมเห็นเงียบไปพักใหญ่ไม่มีเสียงตอบ คิดว่าเผลอนอน แต่พอเหลียวมามอง ต้องรีบคึว้าสิ่งของในมือเขาไว้แทบไม่ทัน

“ทัช... ไปหยิบมาจากไหน อันนี้สมุดบันทึกส่วนตัวพี่ ห้ามอ่านนะ”

“ผมไม่รู้นี่ครับ  เห็นมันอยู่ตรงนี้ เลยหยิบมาอ่าน”

“อ่านไปแค่ไหนแล้วเนี่ย”

“หน้าเดียวเองครับ”

“แน่ใจ”   ผมมองหน้าคาดคั้นคำตอบ  เจ้าตัวมองผมแว่บเดียวแล้วก็นอนคว่ำเอาหมอนมารองตรงช่วงอก และไม่ตอบอะไร

“พี่นนท์ อยู่กับใครครับ”  อยู่ๆก็ถามขึ้นมาแบบนี้ผมก็อดแปลกใจไม่ได้

“ทำไมถามแบบนั้นล่ะ”

“ก็ผมอยากรู้ พี่ตอบผมได้ไหม”   พลิกตัวนอนหงายพร้อมเอื้อมมือมาจับแขนผมเขย่าแขนผมสองสามที

“พี่อยู่คนเดียว”   ผมมองหน้าเจ้าตัวเล็กแล้วตอบตามตรง

“แล้วพี่คนเมื่อตอนเย็น เขามาทำไมอ่ะครับ”   

  พอเจอคำถามนี้ ผมเริ่มปะติดปะต่อเหตุการณ์ช่วงเย็นที่กลับมาจาก ม.นอก ที่ผมเห็นเขาเดินลงบันไดมา หมายความว่า เขาขึ้นมาบนห้องแล้วเจอไอ้เอกสินะ

“ อ๋อ รู้ละ เมื่อตอนเย็นที่พี่ขึ้นมาเอากุญแจเราเดินขึ้นมาด้วยเหรอ”   เจ้าตัวไม่ตอบ แต่พยักหน้าแทน

“นั่นไอ้เอก ไง ที่พี่พาไปดูหอพักชาย  เพื่อนสนิทพี่เอง อยู่ห้อง303 ที่พี่พาขึ้นไปดูแล้วห้องล็อคอยู่น่ะ  พี่ก็อยู่ห้องเดียวกับมันตอนพี่อยู่หอพักชาย แล้วนี่ได้คุยอะไรกับไอ้เอกบ้างเนี่ย ”   

“ ก็ทักทายทั่วไป แล้วทำไมเขามาห้องพี่ล่ะครับ”

“อืม บางทีมันก็มาอ่านหนังสือที่นี่ บางทีก็ขี้เกียจกลับก็นอนที่นี่เลย”

“พี่เขานอนหนุนแขนพี่หรือเปล่าครับ”    คำถามไอ้ตัวเล็กทำเอาผมหลุดขำไม่ได้  นี่เขาคิดอะไรของเขาอยู่เนี่ย แต่เห็นเขาไม่ขำด้วย ผมเลยนอนคว่ำลงข้างๆตัวเขา มองหน้าแล้วพูดโดยไม่ละสายตาจากใบหน้าของเขา

“ เด็กน้อยเอ้ย  ไอ้เอกกับพี่เป็นเพื่อนสนิทกันนะ แต่มันไม่เหมือนเราสองคนหรอก  และก็เป็นผู้ชายด้วยกัน โตๆกันแล้วจะมานอนหนุนแขนกันได้ไง  เราก็เหมือนกันโตแล้วจะมานอนหนุนแขนพี่อีกทำไมก็ไม่รู้”  ผมพูดพลางเอามือลูบหัวเขา
“อืม.. ก็ผมหวงพี่นี่ครับ”

“ห้ะ  หวง  หวงทำไมจะบ้าเหรอพูดยังกะคนเป็นแฟนกัน”  ผมพูดไปก็ขำไป นี่เขาคิดอะไรของเขาอยู่กันแน่เนี่ย ผมไม่ได้มีความรู้สึกอะไรอื่นใดกับเขาเลยนอกจากความรักและความห่วงใยแบบพี่น้องจริงๆ

 
“ไม่ใช่แบบนั้น ครับ คือผมไม่อยากให้พี่ดีกับคนอื่นไม่อยากให้พี่แบ่งความรู้สึกอบอุ่นให้คนอื่น”  เจ้าตัวเล็กพูดออกมาทั้งๆที่ไม่ได้มองหน้าผม

“พี่ก็ไม่เคยทำแบบนั้นกับใครเลยนะ”   ผมพยุงตัวเองขึ้นแล้วเอนหลังพิงผนังหัวเตียง

“ผมขอโทษ ผมอาจเห็นแก่ตัว แต่ผมไม่อยากเห็นพี่ทำแบบนั้นกับคนอื่นที่ไม่ใช่ผม”

“คิดมากไปแล้วเราน่ะ ป่ะ นอนกันเถอะ”

“ผมรักพี่นนท์นะครับ”  เจ้าตัวเล็กมองหน้าผมและพูดประโยคนี้ออกมา

“..............”  ผมอึ้งไปเล็กน้อย ด้วยไม่รู้ว่าเจ้าตัวเล็กเข้าใจความหมายของมันในแบบไหน

“พี่ก็รักเรานะ ไอ้น้องชายตัวดี”   ผมย้ำคำว่า น้องชายชัดเจน

“ผมรักพี่มากๆ ถือว่าพี่เป็นพี่แทนของผมได้เลยล่ะครับ”    อืม แบบนี้ค่อยยังชั่ว นึกว่าจะคิดอะไรลึกซึ้งเสียอีก ดีแล้ว เขายังเด็ก แม้ร่างการจะโตตามวัยแต่ยังไงก็คือเด็ก และผมก็รักเขาแบบน้องชายจริงๆ ไม่มีความคิดเป็นอย่างอื่นเลย แม้บางครั้งเวลาที่อยู่ใกล้ชิดกันก็เป็นเรื่องธรรมชาติของร่างกาย แต่ในส่วนลึกของจิตใจแล้ว ไม่มีความคิดอื่น นอกจาก รักและห่วงใย เท่านั้น

“ แล้วพี่เป็นพี่ชายที่ดีไหมล่ะ”  ผมแกล้งถามแบบขำๆ 

“ดีมากเลยล่ะครับ ดีจนผมหวงนี่ไง  พี่นนท์ผมขออะไรหนึ่งอย่างได้ไหมครับ ”

“หือ  ขออะไรเหรอ”   ผมหันหน้าไปถามเจ้าตัวเล็ก

“ผมไม่อยากให้พี่นนท์ มีน้องชายอีก ได้ไหมครับ”   คำขอของเจ้าตัวเล็กทำเอาผมหลุดขำ

“ไม่มีหรอก มีเราคนเดียวนี่แหละ ที่พี่รักมากๆเลยรู้ไหม แล้วทำตัวดีๆล่ะ กลับไปก็ตั้งใจเรียนนะ”

“ผมจะตั้งใจครับ”

“ เอ้อ แป๊ปนึง ลุกมานี่สิ พี่มีอะไรดีๆให้ลองทำ “  ผมนึกอะไรบางอย่างจึงคว้าแขนเจ้าตัวเล็ก

“อะไรเหรอครับ”    เจ้าตัวเล็กดูงงๆ แต่ผมดึงข้อมือเขา ฉุดให้ลุกขึ้นโดยไม่รอฟังคำตอบ ตรงไปยังตู้เสื้อผ้า หยิบชุดนักศึกษาออกมา

“อ่ะลองใส่ดูสิ พี่อยากเห็น”   ผมยื่นชุดให้ เจ้าตัวเล็กยัง งงๆ แต่ก็หยิบไปอย่างว่าง่าย

“พี่ช่วยถอดเสื้อให้หน่อย”   

“เว่อร์ไปละ น้อยๆหน่อย ทำเองดิ”  ผมมองหน้าเอาเรื่อง เจ้าตัวเล็กก็ยิ้มเยาะ อยู่ๆก็ถอดกางเกงนอนออกเหลือแต่กางเกงในสีขาว แล้วหยิบกางเกงไปใส่

“ไอ้นี่  จะไปถอดในห้องน้ำไม่ได้หรือไง”  ผมทำเสียงดุ

“พี่ก็  เราทำแบบนี้มาตั้งแต่มัธยมแล้วนี่นา จะอายอะไร “

“เออๆ รีบๆใส่” 

“พี่ใส่เสื้อให้ผมหน่อยสิ”    ผมรู้สึกรำคาญเลยหยิบเสื้อมา มันก็คว้าก็ไปใส่เอง แต่ให้ผมติดกระดุมให้  อืมมันจะเกินไปแล้วจริงๆ  แต่ผมขี้เกียจต่อล้อต่อเถียง เลยปล่อยตามเลย

“เอาชายเสื้อใส่ในกางเกง”    ผมบอก เจ้าตัวเล็กก็ทำตาม เสร็จแล้วผมยกแขนทั้งสองข้างของเขาขึ้นแล้วกางแขนออก ทำแบบนั้นสองครั้ง แล้วดูความเรียบร้อยตรงเอวกางเกงและชายเสื้อ แต่ไม่ใส่เข็มขัด 

“อืม ดูเข้าท่านะเนี่ย เป็นนิสิตได้เลย”

“กางเกงพี่ใหญ่กว่าเอวผมนะ”

“แหม่ 29-30  มันก็ไม่ต่างอะไรมากกับ 32 หรอกน่า”  ผมตอบอย่างรำคาญใจ  เจ้าตัวเล็กยิ้ม ส่องกระจกใหญ่เลย  อืม ดูดีเลยทีเดียว เจ้าตัวเล็กกับชุดนักศึกษา ผมพิศดูรอบๆตัว อยู่ๆก็นึกถึง ไอ้แทนขึ้นมา ถ้าไอ้แทนยังอยู่ มันคงสอบมาเรียนต่อกับผมได้แน่ๆ  แต่ก็ยังคงหวังว่าเจ้าตัวเล็กนี่จะสามารถสอบเข้ามาเรียนต่อได้

“พี่นนท์  เหม่ออีกแล้วนะครับ ผมเรียกตั้งสามครั้งแล้วนะ”

“อ้อ เหรอ ว่าไง”   ผมได้สติ จึงดึงตัวเองกลับมาสู่ปัจจุบัน

“พี่กำลังคิดอะไรอยู่ ผมใส่ชุดนี้แล้วหล่อใช่ไหม อึ้งเลยอ่ะดิ”   เจ้าตัวเล็กยิ้มแล้วชี้มือมาที่ผมพร้อมทำหน้าล้อเลียน  ผมขยับตัวเข้าไปกอดเขาไว้ ดูเขาตกใจเล็กน้อย แต่ก็กอดผมตอบ

“ ทัช..”

“ครับ” 

“ตั้งใจเรียนนะ  พี่จะรอนะ รอวันที่พี่จะได้เห็นทัชใส่ชุดนักศึกษาเต็มตัวแบบนี้”

“ผมจะพยายามนะครับ ผมจะพยายาม”

“อืม โอเค..  โห้ หล่อฉิบหายเลยว่ะ  หล่อมาก เท่มาก”

“ตกลงพี่ชมหรือว่าอะไรครับ”

“ชมสิ เออ ชม ชม ชม”   เราสองคนหัวเราะไปพร้อมกัน  เก็บชุดนักศึกษาแล้วเจ้าตัวเล็กก็ล้มตัวลงบนเตียงเลยทันที

“เอาล่ะ  พี่จะปิดไฟนอนแล้วนะ”   

 ว่าแล้วก็ปิดไฟและเดินไปล้มตัวลงนอนข้างเจ้าตัวเล็ก และไม่ลืมหน้าที่ตัวเอง โดยที่เจ้าตัวเล็กไม่ต้องขอ ก็คือ ให้เขาหนุนแขนผมนั่นเอง

“ขอบคุณมากครับ ที่พาผมไปหลายที่เลย” 

“นอนได้แล้วนะ พรุ่งนี้ไปดูหนังกัน”

“อะไรก็ได้พี่ แต่ไม่ต้องเปลืองเงินมาก เกรงใจพี่จังเลย”

“เอาน่ะ พี่รู้ขอบเขตตัวเอง เรามันคนบ้านนอกคอกนา ต้องประหยัด”

“ดีมากครับ ผมนอนละนะ กอดผมด้วย” ว่าแล้วก็ดึงแขนผมไปกอด แบบเดิมแบบที่เคยทำ

ผมขยับตัวเล็กน้อยพอให้ไม่รู้สึกอึดอัด แล้วกางแขนกอดเจ้าตัวเล็กเอาไว้  รู้สึกอบอุ่น และอยากดูแลปกป้องเขาไว้นานๆ   ทำไมผมถึงได้รักและผูกพันกับเจ้าตัวเล็กนี่จัง ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน หาคำตอบไม่ได้ รู้แต่ว่า รักเขามากจริงๆ  อนาคตจะเป็นอย่างไรก็ช่างมันเถอะ ตอนนี้เขาอยุ่กับผม ผมจะดูแลเขาตามหน้าที่สัญญาใจต่อกันให้ดีที่สุด  ผมคิดไปเรื่อยเปื่อย นานจนเจ้าตัวเล็กคงหลับไปแล้ว  ผมมองหน้าเขา ใช้ฝ่ามือลูบใบหน้าเบาๆ  เจ้าตัวเล็กของผม มีหนวดอ่อนๆบางๆขึ้นเหนือริมฝีปาก 

   ... ตั้งแต่รู้จักกันมา เห็นมาตั้งแต่เล็กจนโต ได้เห็นพัฒนาการแต่ละวัยของเขา ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านมา กิจกรรมต่างๆ ที่เคยทำด้วยกัน มันยังคงกระจ่างชัดอยู่ในความทรงจำ  ผมอดใจไว้ไม่ได้ จึงหอมแก้มเขาไปหนึ่งครั้ง
   ทัช...พี่รักเรามากจริงๆ พี่ไม่รู้ว่าความรู้สึกนี้มันลึกซึ้งมากแค่ไหนแล้ว และไม่เคยสนใจไปมากกว่า ความรักระหว่างพี่น้องที่อาจจะดูมากกว่าพี่น้องทั่วๆไป เราอาจจะยังเด็กนัก  รู้แค่ว่า พี่รักและเป็นห่วงเรามากๆ ก็พอนะ ... แล้วเป็นเด็กดีด้วยล่ะ  ...
 ผมพูดแทบกระซิบ ใบหน้าอยู่ไม่ห่างจากเขามากนัก แล้วก็นอนกอดเขาไว้กระชับแน่นขึ้น แบบไม่อยากให้จากไปไหนอีกแล้ว  ในอนาคตผมไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป  แต่ผมจะรักเขาแบบนี้ไปตลอด

....


(ต่อ)
.
.


หัวข้อ: ทัช..สัมผัสใจ ตอนที่ 14.4 (12 ก.ค. 2560)
เริ่มหัวข้อโดย: thewa.arak ที่ 12-07-2017 21:32:10
ตอนที่ 14.4

.
.


เสริมท้าย..... เกลียดช่วงเวลาเช่นนี้จัง...


      วันอาทิตย์ ตื่นสายกันพอสมควร ผมพาเจ้าตัวเล็กไปห้าง บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ ทานข้าว ดูหนังที่ห้างบิ๊กซีซูเปอร์เซ็นเตอร์ โรงภาพยนตร์ธนาซีเนเพล็กซ์  เรื่อง The Truman Show  เจ้าตัวเล็กตื่นเต้นน่าดูเพราะที่บ้านนอกผมนั้น  ไม่มีโรงภาพยนตร์  ผมเองก็ชอบแนวหนังแบบนี้ สุดท้ายก็พลิกล็อคกลายเป็นรายการเรียลลิตี้โชว์  ผมพาเจ้าตัวเล็กไปดูชุดนักเรียน ผมชื้อให้อีกหนึ่งชุด เจ้าตัวบ่นใหญ่ ว่ามีเยอะ แต่ผมอยากซื้อให้ เดินจนทั่วแล้ว ก็พากันกลับมาที่หอ แวะซื้อน้ำเย็นและของทานเล่นเล็กๆน้อยๆติดมือขึ้นห้องไปด้วย

 “ทัช .. เอาโต๊ะพับตรงซอกตู้เสื้อผ้ามาให้พี่ที”   เจ้าตัวเล็กก็ไปหยิบมาให้ ในขณะที่ผมเดินไปตรงริมระเบียงเพื่อหยิบชุดที่ผมซื้อมาจากตลาดไนท์บาซาร์ให้ตัวเล็ก พร้อมกับชุดนักเรียนที่ตากไว้ 

“เห้ยย พี่นนท์ไม่ต้องรีดครับ ใครบอกให้รีดเสื้อยืด”   เจ้าตัวเล็กร้องห้าม แต่ผมไม่สนใจ  รีดอย่างรวดเร็ว กางเกงยีนส์ ก็รีด แต่รีดแบบไม่เอากลีบ ตามด้วยชุดนักเรียน

“พี่นนท์ ชุดนักเรียนผมรีดเองนะครับ”

“นั่งอยุ่เฉยๆเถอะ ว่างมากก็ไปหยิบ แตงปอกเปลือกหั่นใส่จานมาแบ่งกันกินป่ะ” ผมออกความเห็น เจ้าตัวเล็กก็คล้อยตาม รีบทำตามอย่างว่าง่าย ผมรีดกางเกงนักเรียนไปครึ่งทางเจ้าตัวเล็กก็ยกจานแตงเย้ามา จิ้มแล้วยื่นมือมาทางผม

“ลองชิมดูสิครับ”

“เห้ย เดี๋ยวพี่กินเอง รีดผ้าอยู่เห็นไหมเนี่ย”

“ไม่เอา ลองชิมดูสักชิ้นก่อนสิครับ นะๆ อ่ะ “  ว่าแล้วก็ยื่นมือมาใกล้ปากผม เลยอ้าปากงับชั้นแตงเย้าเข้าไปหนึ่งคำอย่างเสียมิได้  อืม รสชาติหวานดีแท้ เจ้าตัวเล็กจะจิ้มอีกชิ้นมาให้ แต่ผมสั่งห้าม จนผมรีดกางเกงนักเรียนเสร็จ เจ้าตัวเล็กก็งอแงทันที

“พี่นนท์ เสื้อผมรีดเอง มานี่ “  แล้วก็จัดแจงแย่งเตารีดไป ผมก็เลยตามใจเขา แต่เจ้าตัวเล็ฏก็ยังไม่วายใช้ผมให้ป้อนแตงเย้าให้  ผมก็บ้าจี้ทำตามอีก  อืม แต่เวลาแบบนี้ผมเองก็มีความสุขมากๆ นานมากแล้ว นานเหลือเกินที่เราไม่ได้ทำอะไรแบบนี้กัน

“พี่นนท์ ชุดนักศึกษารีดหมดทุกตัวแล้วหรือครับ”   เงยหน้าถามเมื่อเจ้าตัวรีดเสื้อนักเรียนเสร็จ

“อื้ม พี่รีดหมดแล้ว”  ผมรีบตอบทันที กลัวว่าเดี๋ยวมันจะรีดให้  แต่ไม่ทันจะอ้าปากพูดต่อ เจ้าตัวเล็กก็เดินจ้ำอ้าวไปเปิดตู้

“นี่ไง มีตั้งสองตัวยังไม่รีดเลย เดี๋ยวผมรีดให้นะ”

“ไม่ต้อง พี่ทำเอง แต่ยังไม่อยากทำตอนนี้”

“ไม่เอา ผมอยากรีด นี่คือชุดนักศึกษา ผมเคยช่วยพี่รีดชุดนักเรียนแล้ว ผมอยากรีดชุดนักศึกษาของพี่บ้าง”     เจ้าตัวเล็กให้เหตุผลแบบนี้ ผมก็ใจอ่อน ยอมให้เขารีดตามใจ  อืมก็ดีเหมือนกัน เผื่อมันจะช่วยเป็นตัวกระตุ้นให้เขามีกำลังใจในการตั้งใจเรียนและสอบมาเรียนต่อมหาลัยให้ได้

“รีดยากอยู่นะพี่ “  เจ้าตัวบ่นเล็กน้อย

“ชุดนักเรียนมันต่างกับชุดนักศึกษานี่นา ดูดิ แขนยาวกับแขนสั้น”

“อื้ม เสร็จแล้วพี่ เป็นไงครับ ฝีมือน้อง”  หยิบใส่ไม้แขวนแล้วมาโชว์ผม

“เออ เรียบดีนะ  ว้าแย่จัง เขาจะกลับแล้วนี่นา ยังงี้พี่ก็เหนื่อยตามเดิม ว่าจะให้ใครบางคนมารีดให้ทุกวันอยู่แล้วแท้ๆเลย”   ผมพูดแหย่หยั่งเชิง

“พี่จะให้ พี่คนนั้นมารีดเหรอครับ”   แป่ว ประโยคนี้ของเจ้าตัวเล็กทำเอาผมหมดอารมณ์ขัน

“ไอ้บ้า ใครเขาจะมารีดให้ ต่างคนต่างทำป่ะ  ชีวิตมหาลัย เร่งรีบ ทุกคนต้องทำเพื่อตัวเอง”

“ผมพูดเล่นน่า พี่ก็.. เป็นจริงเป็นจังไปได้”   เจ้าตัวเล็กยิ้ม 

  จนกระทั่งห้าโมงเย็น ผมพาเจ้าตัวเล็ก ไปวัดใหญ่อีกครั้ง ไปไหว้พระขอพร เพราะวันนี้ตัวเล็กต้องเดินทางกลับแล้ว และกินข้าวเย็นที่ริมตลาดรถไฟ

 
    สี่ทุ่มครึ่ง เจ้าตัวเล็กทำธุระเสร็จแล้ว เตรียมข้าวของเสร็จแล้ว ก็ถึงเวลาต้องกลับแล้วสินะ  เป็นช่วงเวลาที่อึมครึมเหลือเกิน ผมล่ะเกลียดเวลาเช่นนี้ที่สุด เพราะไม่ร็เลยว่าอีกนานแค่ไหน ที่ผมจะได้เจอเจ้าตัวเล็กคนนี้อีก ผมดึงเขาเข้ามา จูบหน้าผาก  พร้อมกับกอดเขาแน่นและนานที่สุด ตัวเล็กก็กอดผมแน่นเลย พร้อมๆกับที่ต่างฝ่ายต่างก็มีน้ำตาคลอ ผมเป็นผู้ใหญ่กว่าจึงสามารถอดกลั้นได้ แม้จะเสียงสั่นเครือ
 
 “ กลับบ้านไปแล้วอย่าลืมส่งจดหมายมาหาพี่บ่อยๆนะ”

“พี่ต้องเขียนมาหาผมบ่อยๆนะครับ อย่าเงียบไปเหมือนคราวที่แล้วนะ”

“ครับ พี่จะเขียนไปหาเราบ่อยๆนะ”

“ผมขอโทษนะครับ”

“หืม  ขอโทษอะไร”

“ผมอ่านบันทึกของพี่หมดแล้วล่ะครับ”     นั่นไง กูนึกแล้ว  ...

“............”  ผมอึ้งไปเล็กน้อย

“ไม่เป็นไร พี่ก็เขียนถึง เรานั่นแหละ”

“ผมรู้ ว่าพี่เขียนให้ผม พี่ก็คิดถึงผมใช่ไหมครับ”

“อื้ม ใช่ เพราะพี่คิดถึงเรามาก  มากเหลือเกิน”

“ผมก็คิดถึงพี่นะครับ  คิดถึงมากกว่าที่พี่คิดถึงผมอีก”   เจ้าตัวเล็กพูดเสียงสะอื้น

“อื้ม ต่างคนก็ต่างคิดถึงกันนะ”

 “พี่อย่าให้ใครมาหนุนแขนพี่นะครับ” 

“ฮ่าๆ บ้าแล้วเราน่ะ คิดมาก ไม่มีหรอก พี่สัญญา พี่จะไม่ให้ใครมาหนุนแขนพี่อีก”

เจ้าตัวเล็กก็ยิ้มออก   และผมเองก็ไม่รู้เกิดบ้าอะไรขึ้นมา แทนที่จะจูบหน้าผากเขา กลับกลายเป็นว่า.. จูบเจ้าตัวเล็ก......... ไม่ผิดแน่นอน  ใช่ครับ ผมจูบเจ้าตัวเล็ก ผมเองก็ยังงงว่าทำอะไรลงไป เจ้าตัวเล็กก็สะดุ้งเล็กน้อย แต่เขาก็ไม่พูดอะไร กลับกอดผมแน่นขึ้น ผมได้สติเร็ว  จึงจูบหน้าผากอีกหนึ่งที แล้วรีบผละออกจากกัน  นี่เราเป็นอะไรไปเนี่ย ทำแบบนั้นไดไง น้องมันจะคิดอะไรหรือเปล่า คงตกใจน่าดู

“เอ่อ เมื่อกี้ พี่ขอโทษนะ มันไม่ได้ตั้งใจ ..ไม่ใช่.. คือจริงๆแล้วว่าจะจูบหน้าผากเหมือนที่เคยทำ”
 ผมระล่ำระลักพูดออกไปอย่างตะกุกตะกัก

“ไม่เป็นไรครับพี่ ผมก็ชอบ มันหมายถึงพี่ก็รักผมใช่ไหมครับ พี่เป็นห่วงผม ผมดีใจมาก”   เจ้าตัวเล็กอธิบาย  อืม เขาคงจะยังไม่เข้าใจในความรักอีกแบบหนึ่งกระมัง แต่ดีแล้วล่ะ เพราะผมเองก็ไม่ได้ รักเขาในแบบนั้น ตอนนี้ ยังไม่คิดเรื่องแบบนั้น 

 “อื้ม พี่รักเรานะ ไอ้น้องชายตัวดี อย่าลืมทำตามสัญญานะ ตั้งใจเรียนด้วย”

“ครับ” 

    ผมขับรถมอเตอร์ไซค์มาส่งเจ้าตัวเล็กที่ พิษณุโลกยานยนต์  รถออก เที่ยงคืนครึ่ง  น่าจะถึงที่เวียงคำ ราวๆ ห้าหกโมง เพราะรถไปแบบช้าๆ  ก่อนขึ้นรถไป เจ้าตัวเล็กเดินมากอดผมอีกครั้ง คราวนี้ผมเห็นน้ำตาของเขาแล้วผมรู้สึกปวดใจจัง ผมเองก็ซึมๆไป
 
“เดินทางกลับโดยสวัสดิภาพนะ ปลอดภัยนะ คุณพระคุณเจ้าคุ้มครอง” 

   ผมให้พร  เจ้าตัวเล็กมียิ้มมุมปากทั้งน้ำตา ขึ้นไปนั่งตรงที่นั่งของตัวเอง มองลงมาทางผม ผมก็มองเขาไม่วางตา เจ้าตัวเล็กยกแขนโบกมือ บ้ายบาย  ผมถึงกับน้ำตาไหลอาบแก้ม เกลียดช่วงเวลาเช่นนี้เหลือเกิน ผมทำท่าเขียนจดหมายแล้วชี้มาที่ตัว เป็นการบอกว่า ให้เขียนจดหมายมาหาผมบ่อยๆ เจ้าตัวเล็กพยักหน้าและทำแบบที่ผมทำ ผมก็พยักหน้า จนรถเริ่มเคลื่นตัวออกไป ผมกึ่งเดินกึ่งวิ่งโบกมือตาม จนกระทั่งรถเลี้ยวลับถนนไปแล้ว ผมก็ยังยืนอยู่ที่เดิม  หยดน้ำตาไหลออกมามากกว่าเมื่อครู่  ตัวเล็ก พี่ขอโทษ พี่ขอโทษ จริงๆแล้ว พี่รักตัวเล็กมากนะ มากเกินกว่าความรู้สึกเดิมที่เคยเกิดขึ้นเมื่อตอนมัธยม แต่ไม่รู้ว่าเจ้าตัวเล็กจะคิดตรงกันหรือไม่  แต่ผมก็จะไม่บังคับเขา  ให้เขารักและเทิดทูนผมเหมือนพี่ชายคนหนึ่งตามเดิมจะดีกว่า  และผมก็รักและ ห่วงใยเขาอยากให้เขาได้ดี มากกว่าความปราถนาเป็นอย่างอื่น เอาไว้เราโตขึ้นอีกหน่อย คงจะเข้าใจพี่นะ ...

   ผมยืนอยู่ตรงที่เดิมนานพอสมควร จนตั้งสติได้ จึงเดินกลับไปขับมอไซค์กลับหอ ไม่มีอารมณ์แวะที่ใดทั้งสิ้น ถึงห้องก็ล้มตัวลงบนเตียงหยิบหมอนที่เจ้าตัวเล็กใช้หนุนมากอด พลันก็เห็นกระดาษใบหนึ่งที่ปลิวตามแรงดึงหมอนเล็กน้อย 
  ..หืม...กระดาษอะไรน้อ... ผมคิดในใจ พลางใช้หมอนหนุนอกและเอื้อมมือไปหยิบกระดาษแผ่นนั้น



  .....พี่นนท์ ... 

      ผมกลับไปแล้วพี่ต้องดูแลตัวเองดีๆนะครับ ขอบคุณที่พาผมเที่ยวรอบมหาวิทยาลัย  ผมคงไม่มีโอกาสนั้นแน่ๆเลย ผมเรียนไม่ค่อยเก่งครับ ผมรู้ตัวเองดี แต่ถ้าพูดต่อหน้าพี่ ผมกลัวว่าพี่จะเสียใจ ยังไง พี่ก็เป็นคนที่ผมรักเสมอนะครับ ผมคิดถึงพี่มากๆ พี่อย่าลืมผมนะครับ เขียนจดหมายมาหาผมบ้างนะครับ และอย่ามีน้องชายคนอื่นมานอนหนุนแขนนะครับ ผมไม่มีพี่ชายแล้วจึงอยากให้พี่เป็นพี่ชายของผม และผมก็รักพี่มากๆ ยังไงผมจะพยายามตั้งใจเรียนครับ

  รักและคิดถึงพี่มากๆครับ

..(ท้ายแผ่นกระดาษ มีขีดฆ่าและวนเป็นวงๆอ่านไม่ออก แต่ไม่สำคัญ แต่บรรทัดต่อจากนั้น ทำเอาผมซึ้งจนน้ำตาไหล)
   ป.ล.    ขอโทษนะครับ ผมแอบอ่านบันทึกของพี่หมดแล้ว  ผมดีใจมากๆเลยครับที่พี่ยังคิดถึงผมอยู่เสมอ  แต่ว่าสเน่ห์แรงนะพี่ชายผม  แต่ผมไม่อยากให้พี่คิดแบบนั้นกับคนอื่น  ผมไม่รู้ความหมายของความรักแบบนั้น และไม่อยากให้พี่ไปคิดแบบนั้นกับคนอื่น มันรู้สึกหวงพี่มาก ยังไงก็ขอให้มีแค่ผมนะ มีผมคนเดียวก็พอนะครับ  กลอนเพราะจังเลย เดี๋ยวกลับไปผมจะลองแต่งบ้างครับ  ...

  จบประโยคทั้งหมดด้วยรูปสัญญลักษณ์หัวใจสองดวงและมีลูกศรปัก ... ผมล่ะขำทั้งน้ำตา ขำในความเป็นเด็กของเขา และซาบซึ้งไปในคราวเดียวกัน ผมกอดหมอนใบนั้นแน่น หยาดน้ำตาแห่งความตื้นตันหยดลงบนหมอนเป็นนดวงๆ

   ตัวเล็กของพี่  ไอ้น้องชาย  พี่รักเรามากเหลือเกิน พี่พร้อมแล้วล่ะ ไม่ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร พี่ยินดีรับผลของมัน แต่มีหนึ่งสิ่งที่จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง สิ่งนั้นคือ ความรักความห่วงใยที่พี่มีให้กับเรานะ ทัช....   ผมจูบหมอนอีกครั้งกอดแน่น จนเผลอหลับไป


.

.

หัวข้อ: ทัช..สัมผัสใจ ตอนที่15 (13 ก.ค. 2560)
เริ่มหัวข้อโดย: thewa.arak ที่ 13-07-2017 19:11:07
ตอนที่15



สับสน....... Part นนท์ / เอก…



 
     ปีสี่ ปีสุดท้ายของการศึกษาในรั้วมหาวิทยาลัยแห่งนี้  สาขาวิชาเอกของผม เราไม่มีวิทยานิพนธ์ แต่ในปลายภาคการศึกษาจะต้องทำเล่มรายงาน  รายวิชาการฝึกงาน  ปีนี้ ไอ้เอกมันย้ายออกมาอยู่กับผมชั่วคราว เพื่อเตรียมตัวฝึกงานกับบริษัทไอทียักษ์ใหญ่ของเมืองไทย สาขาพิษณุโลก
      ต้นภาคการศึกษา  ผมมีชั่วโมงเรียนน้อยมาก แทบจะว่างตลอด ต้องตื่นมาเรียนวิชาเอกของตัวเองตอน 8โมงถึง10โมง จากนั้นว่างยาว จนถึง บ่ายสามถึงมีเรียนอีกครั้ง ว่างมากแต่ขี้เกียจเดินทางไปๆมาๆ บางครั้งผมก็ไปแอบนอนงีบที่หอเพื่อน ที่ ม.นอกนั่นแหละครับ บางทีก็ไปโต๋เต๋ อ่านหนังสือที่หอสมุดกลาง  และบางครั้งก็ไปนั่งดูวีดีทัศน์เพื่อการเรียนการสอนภาษา ที่ห้องสมุดของภาควิชาภาษาวิชาเอกของผม   ซึ่งจะมีวีดีโอหนังภาษาญี่ปุ่น ภาษาจีน ด้วย ผมก็ดูจนเกือบจะครบทุกเรื่อง รวมทั้งคอนเสริ์ตงานตรุษจีนปี1999 ที่ผมชอบดูเป็นพิเศษ ฟังเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง แต่ก็ดูหลายรอบมาก   จนกระทั่งปลายภาคการศึกษา ที่ผมต้องไปฝึกงานเป็นเวลาสามเดือนเศษ โดยที่ผมเข้าฝึกงานในส่วนงาน QA ของบริษัทญี่ปุ่นแห่งหนึ่ง ในจังหวัดพิษณุโลก
   เย็นวันศุกร์ ปลายเดือนพฤศจิกายน  ไอ้เอกมันชวนผมออกไปงานเลี้ยงเพื่อนมัน เพราะขากลับมันไม่มีรถกลับ ผมเองก็ไม่อยากไปโดยให้เหตุผลเพียงว่าเพราะผมไม่รู้จักเพื่อนมันเลยสักคน แต่มันก็คะยั้ยคะยอให้ไปเป็นเพื่อน ผมก็จิ๊ปากอย่างรำคาญ สุดท้ายก็ต้องตามมันไป  ขาไป มันเป็นคนขับมอไซค์ผมไป ขับยาวไปจนถึงหลัง ม.นอก ซึ่งไกลจาก หอพักผมซึ่งอยู่ในส่วน ม.ใน  ผมก็บ่นไปตลอดทาง ส่วนมันก็ผิวปากไปตลอดทาง เราไม่มีใครสวมหมวกกันน้อค เพราะออกมาเส้นทางที่จะไปบึงพระ แต่ตัดกลับไปออก แม็คโคร ผ่าน วัดจุฬามณี ขับเร็วจนผมต้องเตือนหลายครั้ง

“ไอ้เอก กูบอกให้มึงขับช้าลงหน่อย มึงจะรีบไปแดกเหล้าหรือรีบไปตาย แต่อย่าเอาชีวิตกูมาเสี่ยงด้วย”
       
“ไอ้เหี้ย ปากมึงนี่มงคลเหลือเกินนะ”

  ถึงม.นอกมันแวะกินเหล้าบ้านเพื่อนมัน เพื่อความสบายใจของผม ผมเลยขอไปหาเพื่อน

“ไม่ได้ มึงมากับกู มึงจะไปไหนอีก กูไม่ให้มึงไป”   มันดึงกุญแจออกและไม่ยอมให้ผมไปหาเพื่อน

“ไอ้เอก เพื่อนมึงกูไม่รู้จักนะเว้ย มึงไปนั่งกินเหล้ากัน แล้วให้กูไปนั่งเป็นคนใบ้อยู่ในวงเพื่อนมึงน่ะเหรอ”  ผมให้เหตุผล

“ไอ้วิทย์ ไอ้เอ  มึงรู้จักนี่ มันเคยมาห้องเราหนนึง”

“กูจะไปจำได้มั๊ย ยังไงก็ไม่ใช่เพื่อนป่าววะ”

“ไปเหอะน่า อย่าเรื่องมาก มึงไปกับกู พวกมันก็ต้องรู้ว่าเป็นเพื่อนกูสิวะ เพื่อนของเพื่อนก็คือเพื่อนเว้ย”

“มึงนี่แม่ง โคตรเอาแต่ใจ”   ผมชี้หน้าด่ามัน แต่มันก็คว้าแขนผมลากตามมันไปจนได้ 

   หอเพื่อนมัน ที่ ม.นอกมีระเบียงที่กว้างพอสมควร เป็นหอพักเอกชนแค่ห้าชั้น ห้องเพื่อนมันอยู่ชั้นสาม เข้าไปแล้ว ในห้องก็ดูกว้างดีหลังคาสูง แต่รกรุงรัง ข้าวของวางกระจัดกระจาย สมกับเป็นห้องของเด็กวิศวะ เพื่อนที่มันพูดถึงอยู่ไหนวะ มีแค่สองคนเอง   คนหนึ่งนั่งดูทีวี คนหนึ่งเตรียมอะไรสักอย่างในส่วนของครัว ตรงระเบียง  ผมคิดในใจ ชวนมากินเหล้าเหี้ยไรวะคนแค่นี้..

“อ้าว ไอ้เอก มาได้สะที กูรอมึงนานละ   เอ เตรียมของมาได้เลยมากันละ”     อ้อ เรียกคนที่อยู่ตรงระเบียงว่า เอ  แสดงว่า ไอ้หมอนี่ก็ชื่อ วิทย์ สินะ  ผมลอบมองและประเมินคนสองคนนี้อยู่ในใจ ตัวสูงกว่าผมนิดหน่อย น่าจะราวๆ 172เซ็น สักพักหนึ่ง คนชื่อ เอ ก็เดินออกมาพร้อมกับจานขนมและถั่ว สูงเท่าๆกับผม ตัวขาวๆไว้ทรงผมรองทรงยาว คือยาวกว่ารองทรงสั้นนั่นแหละ ไม่ร็จะอธิบายยังไงดี

 “เออ กว่าจะมาได้ เนี่ย ไอ้นนท์มันบ่นตลอดทาง  เห้ย ไอ้นนท์  นี่ไอ้วิทย์เพื่อนกู  ส่วนนั่น ไอ้เอ อยู่คณะวิดยา”

“เออ หวัดดีเว๊ย กูกับไอ้เอเคยไปหอมึงละ แต่มึงอาจจะจำกูไม่ได้”    ไอ้คนชื่อวิทย์บอก

“หวัดดีนนท์ ตามสบายนะ”  ไอ้คนชื่อ เอทักผมบ้าง

“ดีๆ ทีนี้ก็รู้จักกันแล้วนะ  คือวันนี้วันเกิดไอ้วิทย์มัน เลยชวนมาฉลองกันนิดหน่อย”   ไอ้เอกอธิบาย  และผมเองก็ปากไวเลยเผลอโพล่งสวนออกไป

“วันเกิดเพื่อนมึงแท้ๆ แล้วมึงชวนกูมาทำไม”   แต่ทันเท่าความคิด เมื่อรู้สึกตัวก็เลยต้องเอ่ยปากขอโทษเจ้าของวันเกิดกันยกใหญ่

“เห้ย เอ่อ เราขอโทษนะ คือ เรางง ว่าทำไมไม่เรียกเพื่อนๆที่คณะมาฉลองกันเอง”    ผมอธิบาย แต่คำอธิบายของผมมันฟังดูเหมือนห่างเหิน ดูเหมือนไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไหร่

“คิดมากน่า เราฉลองไปก่อนหน้านี้แล้วกับเพื่อนในคณะ อันนี้ ไอ้เอกมันอยากมาแบบพิเศษๆน่ะ”    วิทย์ อธิบาย
“อ้าว แสดงว่าวันนี้ไม่ใช่วันเกิดน่ะสิ “  ผมท้วง

“ไม่ใช่หรอก เมื่อวานต่างหาก”  เอ ตอบแทนเจ้าตัว

“อ้อ อย่างนี้นี่เอง “  ผมทำทีพยักหน้ารับรู้  พร้อมกับหันไปทางไอ้เอก ใช้สายตาจ้องมันเป็นการคาดโทษ

“อะไรวะไอ้นนท์ มาๆ มานั่งกับกูนี่  ไอ้วิทย์ เอาเบียร์มา”   หันไปสั่งเพื่อน แต่เป็นเจ้าเอ ไปหยิบมาให้ พร้อมถังน้ำแข็งที่เตรียมไว้แล้ว 

“ขากลับ กูไม่ขับให้มึงนะ” ผมบอกไอ้เอก 

“อะไรของมึงว้า “ บ่นเพียงแค่นั้นแล้วมันก็เทเบียร์มาให้ผมและยื่นให้คนวิทย์กับเอ คนละแก้ว

“เห้ย เอก กูไม่กินเบียร์ กูเคยบอกมึงแล้วนี่”    ผมไม่รับแก้วจากมันมันก็คะยั้ยคะยอ แต่ผมยืนกราน แม้เจ้าของวันเกิดจะอ้อนวอนอีกแรงผมก็ไม่ใจอ่อน

“ไม่ได้จริงๆเพื่อน ขอบคุณมากนะ เราเคยลองแล้ว อ้วกไม่เป็นท่าเลย และเมาแอ๋เลยล่ะ เราคออ่อนน่ะ แค่สปาย สองขวดยังเมาเลย”   ผมอธิบายเพิ่มเติม แต่เข้าทางเจ้าวิทย์จนได้

“เห้ย  มีๆ เอ จัดมาให้หน่อย”   วิทย์สั่งเอ และเจ้าเอนี่ก็ดูท่าทางจะว่านอนสอนง่ายทำตามทุกอย่างไม่มีบ่น 

“อ่ะ นนท์ คนละขวดนะ “  เอยื่นขวดสปายไวน์คูลเลอร์มาให้ผม ผมก็รับอย่างเสียมิได้

“ขวดเดียวก็พอแล้วครับ ผมไม่ใช่คอทองแดง เดี๋ยวต้องขับรถกลับอีก”   ผมบอกเหตุผลไปตามความจริง เพราะตัวเองกินเหล้าไม่เก่ง ยิ่งเบียร์นี่ ไม่ชอบเลย เหม็นกลิ่นมาก

“เรียนเอกญี่ปุ่น เท่ห์ว่ะ  ไหนนายลองพูดให้ฟังบ้างสิ  เซมากูเตะ เซมากูเตะ  ฮ่าๆ”   เจ้าวิทย์มันถามหรือมันกำลังล้อเลียนผมกันอยู่วะเนี่ย  ถ้าเป็นเพื่อนกันผมจะเตะมันสักป้าป

“นายอย่าไปพูดเรื่อยเปื่อยนะ  คำนี้มีความหมายนะ แปลว่า  แคบ แต่ออกเสียงใหม่ตรงคำว่ากู เปลี่ยนเป็น ข และ สระอุ “   ผมอธิบายอย่างเสียมิได้ รู้สึกตะหงิดๆที่โดนเอาวิชาเอกมาล้อเล่น

“เฮ๊ยจริงดิ “   เสียงทั้งสามคนพูดเกือบจะพร้อมๆกัน 

“เออ นายเขียนชื่อเราให้หน่อยดิ เป็นภาษาญี่ปุ่นนะ “ วิทย์พูดพร้อมกับลุกเดินไปหยิบสมุดพร้อมปากกามาให้ผมเขียนให้
   
“สุวิทย์  นามสกุล  จันทร์สว่าง   ชื่อเล่นก็ วิทย์ตรงตัว”  เจ้าตัวเขียนชื่อตัวเองลงในสมุด แล้วยื่นให้ผม

“เราด้วยๆ   เอนก  นาคำวงศ์   ชื่อเล่นก็ เอ”    เอก็ร่วมวงด้วย

“ปกติ เวลามีงานสัปดาห์ญี่ปุ่น เราจะตั้งโต๊ะเขียนชื่อให้กลุ่มนิสิตที่สนใจ ชื่อละ 1 บาทนะ”  ผมยิ้ม

“ไอ้นนท์ กับเพื่อนกู บาทเดียวมึงยังจะคิดเหรอวะ”  ไอ้เอก โพล่งขัดคอขึ้นมา ผมเลยย้อนคืน

“ใครบอก กูกะจะคิดชื่อละร้อยเว้ย”

“ฮ่าๆๆ  ขนาดนั้นเลย”  วิทย์หัวเราะชอบใจ ทำท่าจะหยิบสมุดไปเก็บที่เดิม

“เฮ๊ย เราล้อเล่น  มาๆ เราเขียนให้”

   วงสนทนาดำเนินไปเรื่อยๆ ถามไถ่แลกเปลี่ยนประสบการณ์บ้าง จริงๆแล้วก็ไม่ได้เน้นเบียร์อะไรแต่อย่างใด สรุป ผมกับ เอ กินสปายกันไปคนละสองขวด แต่แค่สองขวดก็ทำผมเริ่มมึนๆตึงๆ แต่รู้ตัวและมีสติตลอดเวลา ส่วนอีกสองคนนั่น ซัดเบียร์กันไปคนละสองขวด ไม่รู้เมาหรือไม่เมา เพราะผมไม่เคยกินเบียร์แบบจริงๆจังๆ  แต่เดาเอาว่า สองขวดก็คงมึนตึ้บพอสมควร
       ระหว่างเปิดทีวีดูกันสองคนกับ ไอ้เอก  กับวิทย์ไปยืนสูบบุหรี่ด้านนนอกระเบียง  เอเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้น ทำให้ผมได้รู้อะไรดีๆอีกเพียบเลย

“นายมาจากXXXใช่ไหม”   เอถาม

“อื้มใช่ อย่าบอกนะว่าไอ้เอกเป็นคนบอก”   ผมอดแปลกใจไม่น้อย เมื่อคำตอบที่ได้กลับมาคือ ไอ้เอกมันคงเล่าอะไรเกี่ยวกับผมให้เพื่อนสองคนนี้ฟังอยู่พอสมควร รู้ผมมาจากไหน เรียนคณะอะไร เอกอะไร ชอบอะไรไม่ชอบอะไร 

“เขาก็พูดถึงนายบ่อยๆนะ  เอ้อ เราถามอะไรอย่างได้ไหม”   เอเอ่ยถามขึ้นมา

“อื้ม ได้สิ ถามมาเลย ไม่เอาคำถามกวนๆแบบที่วิทย์ถามนะ”   ผมหัวเราะในลำคอ

“ฮ่าๆ ไม่หรอก เราถามจริงๆ” 

“อื้ม ว่ามาสิ”

“เอ่อ นายกับเอก รู้จักกันมานานหรือยัง”

“ก็สองปีกว่าแล้วนะ รู้จักตอนเราย้ายมาอยู่ หอ ม.ในน่ะ”

“อืม เห็นเอกเล่าให้ฟังว่านายมีสเน่ห์จนพวกพยาบาลติดกันงอม”    ..นั่นไงกูว่าแล้ว ไอ้เอกมึงเล่นกูซะแล้ว..

“เห้ย  ยังไงอ่ะ ไม่ขนาดนั้นหรอก เพื่อนของเพื่อนรุ่นน้องน่ะ ก็แซวๆกันไปเรื่อย”  ผมรีบปฏิเสธทันที

“เราว่า เอกเขาชื่นชมนายมากเลยนะ”

“นายกำลังจะบอกอะไรเรารึเปล่า ไอ้เอกกับเรามันไม่ได้สนิทกันมากขนาดนั้นนะ
แม้จะอยู่หอเดียวกัน แต่มันก็ไม่ค่อยพูดเท่าไหร่” 

“เหรอ อืม  นายมีแฟนหรือยัง”   เอถามแปลกๆ  อยู่ๆมาถามเรื่องแฟน

“ยังไม่มีอ่ะ ไม่ค่อยมีเวลาหรอก เรียนภาษามันไม่ค่อยมีเวลาให้ใคร”

“อืมๆ ก็ลองเปิดใจดูกว้างๆ บางทีนายอาจจะมองข้ามอะไรที่อยู่ใกล้ตัวนายไปก็ได้นะ”    เอพูดจาแปลกๆ อีกแล้ว เขาต้องการจะบอกอะไรผมกันแน่

“เห้ย นี่พูดเรื่องอะไรกัน  นี่นายคงไม่คิดว่าเราจะเป็นแบบ เอ่อ พวกนั้นใช่ไหม”   ผมเอียงหน้า ที่มึนๆตึงๆถามเออย่างเอาจริง
“ฮ่าๆๆ อย่าคิดมากน่า เราก็พูดไปเรื่อยเปื่อยแหละ แต่ลองเอาไปคิดดูนะ อย่างที่เราบอกแหละ ลองเปิดใจดูบ้างเผื่อนายจะได้สัมผัสถึงอะไรบางอย่างรอบตัวนาย”  ผมเริ่มไม่อยากฟังสิ่งที่เอพูดแล้ว  บอกตามตรงผมเป็นคนเส้นลึก ถ้าไม่พูดไม่อธิบายให้ฟังตรงๆก็จะตามไม่ค่อยทัน

“คุยอะไรกันสองคน”  ไอ้เอก โผล่มาตอนไหนไม่รู้ แต่สภาพมันเดินไม่ตรงเท่าไหร่นัก

“มึงสูบบุหรี่ด้วยเหรอวะ ไอ้เอก”  ผมไม่ตอบคำถามมัน แต่ถามย้อนมันแทน

“กูสูบเป็นบางโอกาสเท่านั้นแหละ ทำไมไม่อยากให้สูบเหรอ”   ว่าพลางก็ยื่นหน้ามาใกล้ ผมได้กลิ่นเบียร์เต็มๆ เลยชักสีหน้าไม่พอใจ 

“เรื่องของมึงเหอะ  แล้วนี่มึงเมาป่ะเนี่ย กลิ่นเบียร์แม่ง”   นี่มันคงออกไปกระดกกันอีกตรงระเบียงแน่ๆ ผมมัวแต่คุยกับเอจนลืมนึกถึงพวกมันสองไปเลย

“ทำไมวะ มึงรังเกียจกูมากนักเหรอ”  ไอ้เอกไม่พูดเฉยๆ มันก้มตัวลงมายื่นหน้ามาใกล้พ่นลมหายใจใส่หน้า

“ไอ้เอกกูว่ามึงไม่ไหวแล้วว่ะ เรากลับกันเถอะ”

“กูไหวเว้ย  มึงตอบกูมาสิวะ มึงรังเกียจกูมากเหรอ”     ท่าทางแบบนี้มันเรียกว่าไหวเหรอวะ ผมคิดในใจ  โดยไม่ทันตั้งตัว ไอ้เอกมันยื่นหน้ามาจูบปากผมเต็มๆ  ผมตกใจเบิกตาโต  สตั๊น อึ้งเป็นไก่ตาแตกไปชั่วครู่ เหมือนมีเสียงวิ้งๆ เข้ามาในหัวแล้วทุกสิ่งก็หยุดอยู่ตรงที่มันจูบปากผม

 “ไอ้เหี้ยเอก มึงทำเหี้ยไรวะ”   ผมชกหน้ามันไปหนึ่งทีพร้อมกับผลักมันจนเซไปชนเจ้าเอ ดีที่เจ้าเอมันรั้งตัวไว้ทัน ไม่งั้นคงได้หัวทิ่มจอทีวี

“เห้ย นนท์ เบาๆ ไอ้เอกมันคงเมาน่ะ อย่าไปถือสามันเลย”   วิทย์พูดแทรกขึ้นมาพร้อมกับเข้ามาช่วยเอพยุงร่างไอ้เอก ในขณะที่ผมยังคงตัวชา จับต้นชนปลายไม่ถูก คล้ายๆจะสร่างจากความเมาสปายก็บอกไม่ถูกนัก

“หึๆ กูรู้  มึงคงรักแต่ไอ้เด็กนั่นคนเดียวสินะ”  ไอ้เอกยังคงไม่สิ้นฤทธิ์ สองคนที่เข้ามาพยุงมันถึงกับอ้าปากเหวอมองไอ้เอกแบบต้องการฟังต่ออย่างใจจดใจจ่อ

“ไอ้เอก มึงเมามากแล้วล่ะ  ถ้ามึงไม่ไหว กูกลับเองได้ มึงนอนห้องเพื่อนมึงนี่แหละ  วิทย์เราฝากมันด้วยนะ”  ว่าแล้วผมก็เตรียมตัวทำท่าจะเดินไปทางประตูห้อง แต่วิทย์เข้ามาคว้าแขนผมไว้

“เห้ย นนท์ ใจเย็นๆ มันคงเมามากจริงๆ เรารู้ว่ามันก็อึดอัดใจเช่นกัน ขอโทษแทนมันด้วย แต่อย่าทิ้งมันไว้ที่นี่ เอามันกลับไปด้วย”    วิทย์เว้นจังหวะไว้ช่วงหนึ่งก่อนจะเอ่ยต่อ

“มันไม่ค้างที่นี่หรอก เอ่อ คือ เรากับเอ....เป็นแฟนกันน่ะ มันคงไม่สะดวกใจจะค้างหอเราหรอก” 

ผมยิ่งอึ้งมากขึ้นไปอีก เมื่อรู้ความจริงจากปาก วิทย์  แล้วคำพูดของไอ้เอกก็ลอยมาเข้าหู 

  ....“ขนาดเพื่อนคณะวิศวะเรา แมนๆหนวดเคราเฟิ้ม ยังเป็นแฟนกันได้เลย”.......   

 นี่มึงหมายถึงไอ้วิทย์เนี่ยเหรอ หนวดเครามีตรงไหนวะ ไอ้เออีกคน  นี่มันอะไรกันวะเนี่ย ชีวิตผมจะวนเวียนอยู่แต่กับสิ่งเหล่านี้เหรอเนี่ย  อย่าบอกนะ... ไอ้เอก...มึงก็อีกคน  กูไม่อยากจะเชื่อ... ผมคิดในใจ มองไปทางไอ้เอกซึ่งโดนไอ้วิทย์ เหวี่ยงไปทางเตียงและนอนเงียบไปแล้ว

  “ไอ้เอก ไปล้างหน้า กลับ ม.ใน”    เงียบ ไม่มีเสียงตอบ

“ไอ้เอก”   เงียบเหมือนเดิม

“ไอ้เอก”   เงียบเช่นเคย  ผมรำคาญมากจึงตบแก้มมันเบาๆสองสามที ให้วิทย์ช่วยพยุงมันไปล้างหน้าให้มันสร่างๆ มันก็ยังคงเดินไม่ตรง

“วิทย์  มันจะไหวเหรอวะ ซ้อนท้ายเราไป เดี๋ยวมันร่วงกลางทางเราซวยเลยนะ”   ผมให้เหตุผล

“ไม่หรอก เชื่อสิ มันไม่ใช่จะขาดสติขนาดนั้น มันก็รักตัวกลัวตายอยู่หรอก”  วิทย์ตอบ

“ไอ้เอก ไอ้เอก”  ผมเรียกมันสองสามที มันก็ปรือตามองแล้วก็ปิดตาลงเหมือนเดิม

“ไหวแน่เหรอวะเนี่ย”   ผมยังคงย้ำคำเดิม เพราะกลัวมันจะร่วงกลางทางจริงๆ

“กูไหว มึงรีบพากูกลับเถอะ กูอยากนอนเต็มที่แล้ว” ไอ้เอกมันเงยหน้ามาแล้วทำท่าจะลุกแต่ก็เซลงบนเตียงเช่นเดิม
 
“เห้ย กูว่าไม่มั๊ง มากูจัดการเอง” 

   ผมจัดแจงฉุดลากมันขึ้นมาอย่างทุลักทุเล ให้ไอ้วิทย์ช่วยพยุงมันไปห้องน้ำ แล้วตักน้ำราดหัวมันเลย แว่บหนึ่งผมนึกถึงไอ้แทนขึ้นมาในหัว ทำไมผมต้องมาทำอะไรแบบนี้อีกวะเนี่ย ไอ้เอกมันดิ้นๆอยู่แต่ผมล็อคคอมันไว้ แล้วตักน้ำตบๆหน้ามันเบาๆ แล้วลากมันออกมาจากห้องน้ำ ตามันตื่นน่าจะพอทำให้สร่างได้

“เอาล่ะ วิทย์ เราไม่กวนนายแล้ว ดึกละ กลับเลย ไปนะ เอ  เอ้อ วิทย์ สุขสันต์วันเกิดนะ”

“อื้ม ขอบใจ ดูแลมันให้ดีๆด้วยนะ ฝากด้วย  เห้ย ไอ้เอก มาเดี๋ยวกูช่วย” 



.

.

(ต่อ)



หัวข้อ: Re: ทัช..สัมผัสใจ ตอนที่ 15 (ต่อ)
เริ่มหัวข้อโดย: thewa.arak ที่ 13-07-2017 19:15:58
.

.

(ต่อ)


ผมเดินลงมาชั้นล่างโดยมีไอ้วิทย์ช่วยพยุงร่างไอ้เอก ที่แม้จะสร่างบ้างแล้ว แต่น่าจะยังมึนๆตึงๆ สตาร์ทรถ แล้วไอ้วิทย์ก็ลากไอ้เอกขึ้นมาซ้อนท้าย ร่ำลากันแล้วผมค่อยๆขับรถออกมาโดยกลับทางเดิม กลางดึกแบบนี้ อากาศเย็นเสียด้วย ผ่านหน้าลานสมเด็จพ่อฯ ผมทำได้เพียงก้มหัวอธิษฐานและขับออกไป  พอถึงถนนใหญ่ ต้องยูเทิร์นกลับ ไอ้เอกมันขยับมาใกล้มากขึ้น แล้วกอดเอวผมแน่นเลย

“ไอ้เอก มึงจะกอดกูทำไม จั๊กกะจี้”

“กูหนาว มึงไม่กลัวกูตกรถเหรอ อย่าบ่นขับไป เอาปลอดภัยนะ”  มันขยับเข้ามาใกล้แล้วพูดใส่หูผมจนผมสะดุ้ง

“มึงตะโกนเอาก็ได้มั๊ย ทำแบบนี้เพื่อ? กูตกใจเดี๋ยวก็ได้ขับรถล้มขึ้นมาหรอก แล้วขยับออกไปห่างๆได้ป่ะ กูอึดอัด”

มันไม่ตอบแต่กลับกอดเอวผมแน่นขึ้นอีก ผมหันไปมองมันแว่บหนึ่งเห็นมันก้มหน้าอยู่ซบแผ่นหลังผมอยู่ จึงสงบศึกกับมันชั่วคราว อย่างน้อยก็ขับรถอยู่มันตราย จนกระทั่งถึงเซเว่นตึกหอพักผม

“ไอ้เอก มึงจะเอาอะไรไหม กินอะไรร้อนๆป่าว จะได้สร่าง”  ผมถาม

“อืม กินโอวัลติลร้อนก็ดี เดี๋ยวกูไปด้วย”    ไอ้เอกตอบแล้วเดิมเซตามมา ผมอดไม่ได้ที่จะพยุงแขนมันไว้ จนพนักงานมองหน้ากันแต่ผมไม่สน  ได้ของที่ต้องการแล้ว ออกมายืนหน้าเซเว่น  มันกินโอวัลตินร้อน ผมซื้อแลคตาซอยกินแก้หิว เพราะไปหอไอ้วิทย์มีแต่เหล้าเบียร์ ผมกินไปหน่อยเดียวก็หยุด ไม่ใช่แนวผม ประคองกันจนขึ้นมาถึงห้องตัวเองอย่างทุลักทุเล

“มึงไปอาบน้ำก่อนเลย”  ผมตบบ่ามันเบาๆ ไล่ให้ไปอาบน้ำก่อน เพราะกลัวว่า ถ้าผมอาบก่อน มันคงนอนแอ้งแม้งคาเตียงและไม่ลุกมาอาบเป็นแน่แท้

“มึงช่วยกูอาบหน่อยได้ไหมวะ “  ผมเดินเซมาจะล้มแหล่มิล้มแหล่ จนผมต้องกระโจนเข้ามาคว้าร่างมันไว้

“กวนตีนนะมึง ไม่ต้องพูดมาก อาบซะ กูจะนอน ดึกแล้ว”  ผมทั้งผลักทั้งรุนหลังมันจนเข้าไปในห้องน้ำได้ เล่นเอาเหนื่อย

“อาบเสร็จเรียกกู เดี๋ยวกูเอาผ้าเช็ดตัวให้”  ว่าแล้วผมก็ไม่สนใจที่จะอยู่รอฟังคำตอบ เดินออกไประเบียง หยิบผ้าเช็ดตัวของตัวเองและของมันด้วย  ไอ้เอกมันอาบน้ำนานมากนานจนผมนึกว่ามันจะหกล้มหัวฟาดพื้นห้องน้ำตายไปแล้ว  .... ไอ้แทน.... ผุดขึ้นมาในหัว ... หรือว่า ไอ้เอกมันจะหกล้มในห้องน้ำจริงๆ  แต่มันก็คงไม่เมาจนถึงกับคุมสติไม่ได้นี่นา คงแค่มึนตึงๆมั๊ง 

  ปังๆๆ...

“ไอ้เอก มึงแม่งอาบน้ำนานเกินไปป่าววะ” 

เงียบ .. ผมเคาะอีกสองสามครั้งก็เงียบ  ผมเริ่มใจไม่ดี วิ่งไปหยิบกุญแจตรงเก๊ะในตู้เสื้อผ้ามาไขล็อคประตู  ภาพที่เห็นทำเอาผมตกใจ

 “ไอ้เหี้ยเอก....” 

 สภาพไอ้เอกมันนอนคว่ำหน้ากับพื้น ผมพยุงร่างมันพลิกหงายหน้าขึ้นมา ตรวจดูจนทั่วตัวไม่มีร่องรอยบาดแผลหรือหยดเลือด ผมตบหน้ามันเบาๆสองสามทีเอาน้ำราดใส่หน้า  ภาพ ไอ้แทนผุดขึ้นมาในสมอง   ไม่สิวะ มันต้องไม่ใช่แบบนี้ 

“ไอ้แทน “  ผมตบหน้าไอ้แทนสองสามที เขย่าตัวมันเรียกชื่อมันตลอด 

“ไอ้แทนมึงจะจากกูไปแบบนี้ไม่ได้นะ มึงอย่าเป็นอะไรไปนะ”   เลือดสดๆไหลออกมาจากตัวไอ้แทนจนเลอะแขนขาผม

“ไอ้นนท์ กูเจ็บ”

 ผมได้ยินเสียงเรียกจึงเงยหน้ามอง

“ไอ้แทน มึงฟื้นแล้ว ไอ้แทน”   ผมดีใจน้ำตาไหลกอดมันแนบอก 

“ไอ้นนท์ กูเจ็บ” 

“ไม่เป็นไร กูอยู่นี่แล้ว มึงไม่เป็นอะไรแล้ว”  ผมตอบและกอดมันแน่น

“ไอ้นนท์..... กูเจ็บ”    ไอ้เอกมันผลักผมจนเซไปด้านหลังแต่มันยังคงคว้าร่างผมได้ทันไม่หงายหลังหัวฟาดพื้น  มันเขย่าผมแรงจนผมเซไปมาตามแรงมัน

“ไอ้นนท์ .. มึงมองกูดีๆ กูเอง  กู  ชื่อ  เอก” ไอ้เอกมันพูดทีละคำเน้นชัดเจน  ผมขยี้ตา สองสามครั้ง สะบัดหัวสองสามที มองหน้าคนตรงหน้า

“กูเอง เอก มึงเป็นเหี้ยอะไร ทำยังกะกูจะตาย”

ผมได้สติ จึงรีบถอยตัวออกห่างมัน

“เออ ไอ้เอก แล้วมึงเป็นเหี้ยไรไปนอนอยู่ที่พื้น นานมากกูเคาะประตูหลายครั้งก็ไม่ตอบ จนกูนึกว่ามังหกล้มหัวฟาดพื้นตายไปแล้ว เอากุญแจไขเข้ามาเห็นมึงนอนกองกับพื้นเนี่ย”

“เหรอ กูคงเผลอหลับอ่ะ โทษที เออ ไหนๆก็เข้ามาละ อาบพร้อมกันเลยละกัน”  ว่าแล้วมันก็รีบล็อคประตูคว้าสายยางฝักบัวเปิดน้ำราดตัวผมทันทีทั้งที่ยังไม่ถอดเสื้อผ้า

“ไอ้เหี้ยเอก มึงเห็นมั๊ย กูยังไม่ได้ถอดเสื้อผ้า”   มันไม่ตอบและอาบน้ำของมันต่อไปไม่สนใจฟังอะไรจากผมทั้งสิ้น

  อืม ไอ้เอก เห็นมันชัดๆแบบนี้ มันก็หุ่นดีใช้ได้เลยนะนี่ เปลือยท่อนบน กางเกงบอลท่อนล่าง ผิวขาว ผมปล่อยให้มันอาบของมันเองจนเสร็จ มันก็ไม่พูดจาอะไร ผมเปิดประตูให้มันออกไปโดยง่าย มันก็ออกไปโดยง่ายดายไม่พูดจาอะไรสักคำ  แปลกพิลึกคน
 ผมเองก็ไม่สนใจ จัดการธุระของตัวเองจนเสร็จและซักผ้าที่เปียก ไปตากที่ระเบียง ไอ้เอกมันนอนไปแล้ว ไม่รู้แกล้งหลับอีกหรือเปล่า แต่ผมก็ไม่สนใจจะเรียกมัน  มองดูนาฬิกา ตีหนึ่งครึ่งแล้ว ผมเดินไปปิดไฟ ล้มตัวลงนอนติดฝั่งระเบียง ในใจก็คิดถึงคำที่ไอ้เอกมันเคยบอก จนกระทั่งได้ไปเจอ ไอ้วิทย์เพื่อนมัน 

  “ไอ้เอก ..”   ผมหันไปมอง เห็นมันหลับอยู่ ท่าทางจะเมาได้ที่หัวถึงหมอนก็หลับเป็นตาย แต่ผมก็ยังบ่นไปเรื่องตามเรื่องตามราวของผม พูดไปโดยไม่สนใจปฏิกิริยาคนที่นอนอยู่ข้างๆ

 ....เฮ้อ...คนเรา ไม่อยากจะเชื่อเลยคือเรื่องจริง หรือสมัยนี้มันเป็นเรื่องปกติไปแล้วรึไง....

  บ่นไปตามเรื่งอตามราวจนเคลิ้มจะหลับอยู่แล้ว จู่ๆ ไอ้เอกก็เอาเท้ามาพาดเอวผม  ผมตจกใจเล็กน้อยหันไปมองมันก็เห็นมันยังคงหลับตานอนอยู่ สักพักผมค่อยๆยกขามันออก แล้วพลิกตัวนอนตะแคงหัวหน้าไปทางระเบียงห้อง นึกในใจว่าทุกทีมันก็เคยมานอนไม่เห็นมันจะเป็นแบบนี้สงสัยเมามากล่ะมั๊ง  ยังไม่ทันจบความคิด ไอ้เอกก็พาดขามาอีกครั้ง คราวนี้เข้ามาใกล้เลย พร้อมกับพาดแขนมากลางลำตัวผมด้วย ผมรีบพลิกกลับมาแบบกึ่งตะแคงกึ่งนอนหงาย มองหน้ามัน จากแสงสลัวๆของม่านหน้าต่างระเบียงที่เปิดแง้มไว้ เห็นว่ามันยังคงหลับตาอยู่

“ไอ้เอก.. แม่ง หนัก เอาออกไป”   ผมโพล่งขึ้นพร้อมกับยกขายกแขนมันออก พร้อมกันพลิกตัวนอนตะแคงหันหน้าไปทางไอ้เอก ดูว่ามันจะยกมาพาดอีกไหม เป็นไปตามที่คิด ไอ้เอกมันพาดทั้งแขนทั้งขามาอีก ผมเลยรีบยกแขนยกขามันออก แต่ทันใดนั้นโดยที่ผมไม่ทันตั้งตัว ไอ้เอกมันกอดผมแน่นเลย และสิ่งที่ไม่คาดคิดมาก่อนว่ามันจะกล้าทำแบบนี้  มันจูบผม...
ใช่...ไม่ผิดแน่ มันจูบผม  ผมทั้งงงทั้งอึ้งแข็งทื่อ เสียงเหมือนคนใช้มือวนบนแก้วน้ำแล้วมีเสียงวิ้งๆ และทุกอย่างเงียบ สติหลุดไปชั่วครู่ ผมตาโตปากเบี้ยวไปตามแรงจูบของมัน จนสติกลับมาได้ ผมรีบผลักมันออกพร้อมกับถีบกลางท้องมันอย่างลืมตัว  ย้ำว่าลืมตัว  ด้วยความตกใจ จนมันเซตกเตียงไปเลย 

 “เฮ๊ย ไอ้เอก กูขอโทษ เจ็บป่าว  แล้วมึงมาทำเหี้ยไรแบบนี้วะ “  ผมบอกไม่ถูกเลยว่าตัวเองอยู่ในอารมณ์ไหน ทั้งโกรธ ทั้งงุงงงทั้งสับสน

“กู ขอโทษ “  ไอ้เอก ลุกขึ้นและกระโจนเข้ามากอดผมไว้

“ไอ้เอก มึงปล่อยกูเลยนะ มึงทำแบบนี้ทำไมวะ”   ผมพยายามแกะมือมันออก แต่มันกลับกอดผมแน่นมากขึ้น ผมสังเกตหน้ามันมีหยดน้ำตา  ไอ้เหี้ยเอก...  ไอ้เหี้ยเอกมันร้องไห้ คนอย่างมันเนี่ยนะจะมีวันร้องไห้ให้ผมเห็น

“ไอ้เอก มึงปล่อยกูก่อน ถ้ามึงเมากูจะไม่ถือสามึงนะ แต่กูขอล่ะ มึงปล่อยกูก่อน”  ผมอ้อนวอน

“ไม่..กูรู้ว่ากูทำผิดกับมึง แต่มึงฟังกูก่อนได้มั๊ย”  ไอ้เอกพูดโดยไม่เงยหน้ามองผม

“อะไรของมึง” 

“ไอ้นนท์ กูขอโทษ มึงคงจะรู้แล้วสินะ “  ก้มหน้าพูดเหมือนเดิม

“เฮ๊ยไม่เอาอย่างนี้สิวะ มึง วิศวะนะเว้ย มาทำแบบนี้ได้ไงวะ”  ผมด่ามันเพียงเฟื่อหวังให้มันฮึดฮัดและปล่อยผมด่าผมก็ยังดี เพราะพวกวิศวะ มันห่วงศักดิ์สรีมันยิ่งกว่าอะไร

“วิศวะแล้วไงวะ  วิศวะก็เป็นคนป่าววะ  มีหัวใจเหมือนกัน รู้สึกเจ็บปวด ร้องไห้เป็นเหมือนกันนะโว้ย”

ผมอึ้งกับคำพูดของมัน อืม มันก็จริงนะ คนเราไม่ว่าจะเข้มแข็งแข็งแกร่งขนาดไหน ก็เจ็บได้ร้องไห้เป็น แม้จะเป็นผู้ชายก็เถอะ 

“ไอ้เอก...มึงอย่าบอกนะ “   ผมเงียบ เว้นจังหวะไปชั่วครู่ ไอ้เอกเองก็เงียบไม่พูดอะไร

“ว่ามึง..เอ่อ..ชอบกูด้วยเหรอ”   ผมพูดตะกุกตะกักขาดตอน

...............  เงียบไม่มีเสียงตอบ

“มึง....คิดกับกูเกินเพื่อนเหรอ” 

 คราวนี้ไอ้เอกมันเผชิญหน้ากับผมโดยตรงแต่แขนมันยังคงไม่คลายจากคอผม

“ใช่  กูชอบมึง  ไอ้นนท์  กูชอบมึงได้ยินไหม ตั้งแต่ตอนอยู่หอ ม.ใน ที่ไอ้ปุ๊มันบอกชอบมึง รวมทั้งไอ้ต๋อย และพวกพยาบาลพวกนั้น แต่กูไม่พูดเฉยๆ กูหวงมึง แต่กูยังไม่แน่ใจตัวเอง จนกูมาเห็นมึงกับไอ้ต๋อยกอดกันในห้อง กูรู้สึกว่ากูหวงมึงมาก รู้อย่างนี้แล้ว มึงจะทำทุกทางให้กูเกลียดมึง ทำทุกทางเพื่อให้กูออกไปจากมึงเหมือนที่มึงเคยทำกับไอ้ต๋อยมั๊ย”      ไอ้เอกแม่งพูดอธิบายเสียยาวเหยียด ในขณะที่ผมยืนอึ้งได้อีก ภาพที่ไอ้ปุ๊มันเคยดักผมตรงประตูห้องน้ำที่ หอพักชาย ม.ใน แล้วมาสารภาพความในใจ จนถึงเรื่องไอ้ต๋อย ไอ้เอกมันกอดคอผมแน่นขึ้นไปอีก

“ไอ้เอก..”  ผมเรียกมันแต่มันยังคงเงียบ

 ........... ผ่านไปเป็นห้านาที ยังคงเงียบกันอยู่

“ไอ้เอก...”

“ว่าไง กูฟังอยู่”   ปากก็พูด แต่มันยังไม่ปล่อยผมออกเป็นอิสระเลย

“มึงเมาอยู่ใช่ไหม  ใช่ๆมึงเมาแน่ๆ กูจะไม่ว่าอะไรมึงนะ กูเข้าใจ”   ผมปลอบโดยที่ยังไม่เชื่อว่าสิ่งที่มันพูดออกมานั้นเป็นความจริง

“กูพูดจากใจจริงเลย ไอ้นนท์  จริงๆแล้วกูชอบมึงมาตั้งแต่วันที่มึงเข้ามาอยู่เป็นรูมเมทกูแล้วนะ แต่กูไม่รู้ตัวเอง จนกระทั่งพวกพยาบาล ไอ้ปุ๊และไอ้ต๋อยเข้ามา  สมุดบันทึกของมึง และไอ้เด็กคนนั้นอีก แล้วในห้องน้ำ มึงยังเรียกกูเป็น ไอ้แทนอีก กูเลยคิดว่ามึงคงจะเข้าใจกู”

“ไอ้เด็กคนนั้นที่ไหน นั่นมันน้องกู”   ผมจะผลักมันออกแต่มันกอดผมแน่นเกินจนเริ่มร้อนแล้ว

“น้องเหี้ยไร สนิทสนมกันขนาดนั้น ถึงกับต้องเขียนบันทึกแต่งกลอนให้เลยเนี่ยนะ”

“เฮ๊ย ไอ้เอก..มึงปล่อยกูเลยนะ มึงมาแอบอ่านบันทึกกูได้ไง มันเป็นของส่วนตัว”    ถึงตอนนี้ผมเริ่มมีน้ำโหแล้ว จากที่ งุนงง อึ้ง จนเริ่มร้อนและมีน้ำโหเพราะมันมาแอบอ่านของของผม

“กูรู้ ว่ามึงรักมันมากใช่ไหม “   ผมไม่ตอบและพยายามดิ้นจนสามารถหลุดจากการครอบครองด้วยวงแขนของไอ้เอกจนได้

“ทัชเขาเป็นน้องของไอ้แทน เพื่อนที่กูรักมาก ไอ้แทนเขาเสียไปแล้ว ล้มในห้องน้ำเหมือนมึงเนี่ย กูก็ไม่เข้าใจที่เห็นมึงเป็นไอ้แทน  กูสัญญากับไอ้แทนไว้ รวมทั้งพ่อและแม่มันด้วย ว่าจะดูแลมันให้ดี และกูกับธัชก็สนิทกันมาก  เรามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน เป็นความผูกพัน อย่างที่มึงอาจจะไม่เคยมีกับใครมาก่อน  แต่มึงหยุดความคิดแบบนั้นไว้ได้เลย กูกับธัชไม่ได้เป็นอะไรมากกว่า ความรักแบบพี่กับน้อง  ใช่ กูรักมันมาก แต่มันเป็นความรักที่อยากให้เขาได้ดิบได้ดี มีแต่ความห่วงใย ไม่ใช่รักแบบที่มึงเข้าใจ  มึงหัดพูดถึงเขาในทางที่ดีด้วย มึงว่ามัน ก็เท่ากับมึงว่ากูด้วย”

  ผมอธิบายยาวเหยียด ไม่เชิงอธิบายแต่น่าจะเรียกว่าตะคอกใส่ด้วยซ้ำไป

“กูขอโทษ ที่กูเข้าใจผิดและคิดเอง เออ เองไปแบบนั้น แต่กูขอร้อง มึงให้โอกาสกูบ้างได้ไหม มึงอย่าทำกับกูแบบที่มึงทำกับไอ้ปุ๊ไอ้ต๋อยได้ไหม”   เอกอ้อนวอนและเขย่าแขนผมหลายครั้ง

“ไอ้เอก มึงฟังกูนะ  กูเองก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงมีแต่พวกผู้ชายมาจีบกู กูไม่ได้รังกียจอะไรเลยนะเว้ย แต่กูยังไม่เคยคิดอะไรแบบนั้น กูกลัว  นี่กูยังไม่เชื่อเลยนะ ไหนมึงบอกกูชัดๆว่าที่กูได้ยินนั้นมึงแค่แกล้งกูเฉยๆ หรือเป็นเพราะมึงเมา มึงเห็นเพื่อนมึงอยู่กับแฟนมันแล้วมึงเกิดอยากแกล้งเล่นกูใช่ไหม”     ผมเขย่าแขนมันบ้าง และจ้องหน้ามันถามมันออกไปตรงๆ   ไอ้เอกมันเอามือสองข้างจับแก้มผมไว้

“กูไม่ได้พูดเล่น  ไอ้นนท์ กูชอบมึงจริงๆ “   

..................   ผมเงียบครับ อึ้งจริงๆ มันไม่ได้พูดเล่น  ไอ้เอก นี่มึงก็เป็นไปกับเขาด้วยเหรอเนี่ย ผมแทบไม่อยากจะเชื่อ  ไอ้เอกมันเป็นคนหน้าตาดีนะ คมเข้ม ผิวเข้ม มาดขรึมๆสูงไล่เลี่ยกับผม แต่ผมไม่เคยคิดเลยว่ามันจะคิดกับผมเกินเพื่อน  ที่ผ่านมามันกับผมก็ไปไหนด้วยกันมาก็บ่อย โดนตัวกันรึก็มีบ่อยแต่ไม่เห็นมันจะมีปฏิกิริยาอะไรเลยสักครั้ง นี่แหละที่ทำให้ผมสับสน ไม่ใช่ว่าผมไม่ชอบมันนะ แต่มันไม่ใช่ความชอบแบบนั้นอ่ะ แล้วนี่ผมควรจะทำอย่างไรดี ....

“ไอ้เอก ไม่ใช่กูไม่ชอบมึงนะ”    อ้าวเวรแล้วไงกรู  ไหงกลายเป็นพูดแบบนี้วะ

“เอ้ย ไม่ใช่ คือหมายถึง กูไม่ได้คิดอะไรกับมึงแบบนั้นเลย แต่ไม่ใช่ว่ากูจะเกลียดอะไรมึง  โว้ย กูจะพูดยังไงดีวะ”

“มึงไม่เกลียดกู กูก็ดีใจแล้ว แต่เรื่องที่กูพูดไป กูชอบมึงจริงๆ ที่ผ่านมากูไม่กล้าบอกเพราะกูอาย แต่ไอ้วิทย์เพื่อนกูมันบอกว่า ให้บอกมึงไปเลย มันบอกว่า มึงอ่ะไม่ว่าอะไรกูแน่นอน”

“ไอ้วิทย์เพื่อนมึงรู้จักกูดีหรือไงถึงมาบอกมึงแบบนั้น”

“ยังไงก็แล้วแต่ กูได้พูดในสิ่งที่กูพูดออกไปแล้ว มึงให้โอกาสกูหน่อยเถอะนะ”

ผม ไม่รู้จะตอบอย่างไรดี เพราะใจจริงก็ไม่ใช่ไม่ชอบมัน ผมก็แอบชื่นชมมันอยู่กลายๆ แต่ ธัชล่ะ ผมสัญญากับธัชไว้ ว่าจะไม่ให้ใครมานอนกอดผมหรือหนุนแขนผม  แล้วผมควรจะทำอย่างไรดี

“ไอ้เอก กูก็รู้สึกดีกับมึงนะ แต่กูขอเวลาหน่อยเถอะ ตอนนี้กูสับสนว่ะ”   ไอ้เอกเดินมากอดคอผม ผมเองก็งงตัวเองว่าทำไมคราวนี้ถึงยอมให้มันกอดโดยดี

“ ขอบใจมาก ขอบใจที่มึงเข้าใจกู มึงรอกูตรงนี้แปป”  ไอ้เอกวิ่งไปที่ตู้เสื้อผ้า เปิดไฟแล้วหยิบกระเป๋าตังค์ของมันออกมา

“มึงจะทำอะไรของมึง เงินซื้อความรักกูไม่ได้นะเว๊ย”  ผมแกล้งแซวมัน มันก็หัวเราะ

“มึงหลับตาก่อน “   ไอ้เอกเดินมาใกล้ผมแล้วบอกให้ผมหลับตา แต่ผมรู้สึกไม่ไว้ใจมันเอาเสียเลย

“มึงคิดจะทำอะไรของมึงเนี่ย ไม่เอากูไม่เล่น”   ผมปัดแขนของมันออกพัลวัน

“หลับตาก่อน กูมีบางอย่างจะให้มึงช่วยกูเก็บเอาไว้  มันสำคัญสำหรับกูมาก” 

“ไอ้ห่า สำคัญกับมึงทำไมมึงไม่เก็บเองวะ”   ถามด้วยความงุนงงสงสัย...ไหนว่าพวกวิศวะห่วงศักดิ์ศรีตัวเองนักหนาแล้วจะเอาของสำคัญมาให้คนอื่นทำไม

“หลับตาก่อน นะ  แล้วยื่นมือมา”  ผมเริ่มรำคาญจึงทำตามอย่างว่าง่าย  ผมรู้สึกถึงเหรียญกลมๆวางลงบนฝ่ามือผม ลืมตาขึ้นดู มันคือเฟืองนั่นเองสีทอง ผมสงสัยว่ามันจะเอาเฟืองมาให้ทำไม

“อืม มันเป็นของสำคัญของเด็กวิศวะน่ะ  เกียร์อยู่ที่ใจ ใจอยู่ที่เกียร์ เด็กวิศวะจึงมักมอบให้แฟนเก็บไว้ ให้รู้ว่าเขาคือคนสำคัญของคนที่มอบมันให้ ”

“แล้วมึงมาให้กูทำไม  ..เดี๋ยวนะ ให้แฟนงั้นเหรอ  นี่มึงจะหมายความว่า...”

 ผมยังพูดไม่ทันจบ ไอ้เอกก็จูบผมอีกหนึ่งครั้ง และผมก็งงอีกเช่นเคยที่ปล่อยให้มันทำอย่างนั้น โดยที่ไม่ได้ด่าอะไรมันเลย

“เพราะกูรักมึงไง ไอ้นนท์ กูอยากให้มึงเก็บไว้ วันไหนที่มึงคิดได้ว่ามึงไม่ได้คิดอะไรกับกูมึงค่อยเอามาคืนกูก็ได้” 

“.........................”    ผมยังคงเงียบ พูดอะไรไม่ออก

“กูได้พูดในสิ่งที่กูอยากพูด อยากบอกมึงมานานแล้ว ที่เหลือ มึงก็ช่วยรับฟังหน่อยละกัน” 

 ดูมันสิ เหมือนบังคับเรากลายๆนะเนี่ย  แล้วมันก็ลากสังขารมันไปนอนต่อที่เตียง โดยทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยสักนิด ทิ้งให้ผมเงียบและอึ้งอยู่คนเดียว  ไอ้เหี้ยเอกเนี่ยนะ ชอบผม....อึ้งไม่หาย ก็จะไม่ให้อึ้งหรือใบ้แดกได้ไงล่ะ  ไม่มีวี่แววเลยสักนิด มันไม่เคยพูดไม่เคยแสดงอาการอะไรที่บ่งบอกว่ามันชอบผมเลย  แล้วนี่มันเสือกจูบผมสองครั้งโดยที่ผมก็มัวแต่นิ่งอึ้ง และไม่ได้ด่าหรืออะไรกับมันเลย มันจะได้ใจไหมเนี่ย  แล้วผมควรจะทำอย่างไรต่อไปดี ...ธัช...พี่ควรจะทำอย่างไรดี คนนี้ก็รักมากห่วงใยมาก  เจ้าตัวก็ยังไม่เข้าใจในความรักมากนัก  ส่วนอีกคนจู่โจมเราก่อนเลย กับไอ้เอกก็รู้สึกดีนะ แต่มันคงต้องใช้เวลา รอให้อะไรชัดเจนกว่านี้ก่อนละกัน  ผมคิดในใจ หันไปมองดูไอ้คนที่นอนไปแล้ว มีเสียงกรนแต่ไม่ดังมาก แปลกนะ ทุกทีมันไม่เคยกรน  ผมเดินกลับไปที่เตียงยืนข้างที่มันนอน

“ไอ้เอก มึงคงต้องรอนานหน่อยนะ”    ผมกระซิบเบาๆ  ถอนหายใจสองสามเฮือกแล้วล้มตัวลงนอนฝั่งของตัวเอง แต่กว่าจะนอนได้ก็ระแวงมันอยู่นานมากเลยทีเดียว..


.......

หัวข้อ: ทัช..สัมผัสใจ ตอนที่16
เริ่มหัวข้อโดย: thewa.arak ที่ 13-07-2017 19:19:55
ตอนที่ 16


ออกจากรั้วมหาวิทยาลัยสู่โลกแห่งความจริง....


       หลังจากที่ส่งเล่มรายงานและพรีเซ้นท์รายงานไปแล้ว ผมก็เข้าเดินทางเข้าสู่กรุงเทพเมืองมหานครของประเทศไทยเพื่อมาหางานทำ  ไอ้เอกมันไปสมัครงานกับบริษัทคอมพิวเตอร์แห่งหนึ่ง ส่วนผมคงหนีไม่พ้นงานที่ต้องใช้ภาษา ก็จบมาทางสายนี้นี่นา
     
 ผมมาอยู่กับน้าที่ลาดพร้าว 48 ระหว่างที่บริษัทเรียกสัมภาษณ์งาน งานน่ะมีเรียกมาเยอะมาก แต่พอไปแล้วกลายเป็นขายประกันบ้าง งานที่เกี่ยวข้องกับภาษาที่เรียนมาก็ไปเสียไกล ระยองบ้าง อยุธยาบ้าง ซึ่ง ณ ตอนนั้นผมยังหนุ่มวัยรุ่น เพิ่งเข้ากรุงยังไม่คิดจะออกไปทำงานที่ต่างจังหวัด เลยตอบปฏิเสฐงานที่เรียกเข้ามาทั้งหมด 

   ในกรุงเทพ ผมไปสมัครทิ้งไว้หลายที่มาก ทั้งๆที่เป็นเขตที่อยู่ใกล้ๆกัน แต่ตอนนั้น (ในปี 2544 ยังไม่มีรถไฟฟ้า) เดินทางลำบาก อากาศก็ร้อน ผมชักจะถอดใจ เงินที่มีติดตัวก็เริ่มร่อยหรอลงทุกที  เคยมีครั้งหนึ่ง ไปสัมภาษณ์งานแถวๆอโศก กับ รัชดา ต้องนั่งแท็กซี่ไป เพราะไม่รู้ทาง แบบว่า เด็กบ้านนอกเพิ่งเข้ากรุง อุโมงค์อุเมิงยังไม่มี รถไฟฟ้าก็ยังไม่มี กลับจากสัมภาษณ์งาน รถแท็กซี่มาปล่อยไว้ที่ รัชดาไม่รู้ว่าซอยอะไร รู้แต่ว่ามันมีทางลัดไปลาดพร้าว48ได้ ณ ตอนนั้น เหลือเงินติดกระเป๋าอยู่เพียง 5 บาท  ฟังไม่ผิดหรอกครับ  มีเหลือเพียงเหรียญห้าบาท ติดกระเป๋าจริงๆ  ท้อใจมากๆ เดินขึ้นสะพานลอย มองลงมาบนท้องถนน รถราก็ติด ควันมลพิษก็เยอะ อากาสก็ร้อน  ท้อใจสุดๆจนถึงกับน้ำตาไหลออกมาด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจในโชคชะตา ในระหว่างที่มองลงมาบนท้องถนนมองดูชีวิตผู้คนที่ต้องต่อสู้ในเมืองกรุง และรถราที่แน่นนขนัดเต็มท้องถนน  ทำไมชีวิตเราต้องมาตกระกำลำบากเช่นนี้หนอ สมัยเรียนไม่เคยเจออะไรแบบนี้  สุดท้าย ต้องยอมเสียเหรียญห้าบาทหยอดตู้โทรศัพท์สาธารณะ เรียกให้คนงานของน้าเอารถมอเตอร์ไซค์ออกมารับ  และต้องยืมเงินน้ามาสามพันในระหว่างที่ต้องเดินทางไปสัมภาษณ์งาน

   จนสุดท้ายได้ทำงานในบริษัทเซลล์โรงงานอุตสาหกรรม รุ่นพี่แนะนำว่าให้ทำไปก่อน เก็บเงินก่อน ผมจึงต้องจำใจทำ จริงๆแล้วไม่ชอบและไม่ถนัดอย่างมากงานเซลล์ สุดท้ายทำได้แค่หกเดือนก็ลาออก เพราะสวัสดิการต่างๆไม่มี และไม่ชอบงานเซลล์  บริษัทจัดหางานก็ใจดีร่อนใบรีซูเม่ไปหา บริษัท ล๊อตเต้ ช่วงปีนั้น หมากฝรั่ง โนไทม์ กำลังมาแรง มีดารา ใหม่ มอส นัท มีเรีย ออกโฆษณาอยู่ แต่ดันเป็นงานการตลาดที่ต้องออกงานกับชาวต่างชาติ  สัมภาษณ์ที่สีลม  แต่โรงงานอยู่ที่ชลบุรี อ่ะก็ไปครับ และเค้าก็รับแล้วด้วย แต่เงินเดือนน้อยมั๊ง (ถึงอย่างนั้นก็เหอะแต่ก็ยังได้เยอะกว่าบริษัทเซลล์โรงงานอุตสาหกรรมละกันน่า)
 
 บริษัทจัดหางานเลยส่งตัวไปที่โรงงานใน นิคมอุตสาหกรรมนวนคร เป็นโรงงานอุตสาหกรรมอิเล็กโทรนิคส์  ไปสัมภาษณ์แบบเรื่อยเปื่อย  เขียนเงินเดือนไปแบบไม่ตั้งใจจะเอาเพราะถือว่าได้งานล๊อตเต้แล้ว แต่เดชะบุญ สัมภาษณ์เสร็จปุ๊บจะให้เซ็นสัญญาเลย ซะงั้น  โทรกลับมาปรึกษากับบริษัทจัดหางานว่าจะทำอย่างไรดี  เค้าก็คงอยากได้ค่านายหน้าเยอะเลยบอกให้เซ็นสัญญากับที่นวนคร ส่วนล๊อตเต้เขาจะหาคนใหม่ให้  ก็เลยตามเลย และนั่นเป็นครั้งแรกที่ออกมาทำงานในโรงงาน ขึ้นรถบัสติดแอร์ที่อนุสาวรีย์ชัยฯ  ที่นี่ค่อนข้างโหด ล่ามแต่ละคนก็ขับเคียวกันมาก คนต่างชาติที่นี่ เวลาประชุมทีมีตบโต๊ะตบแผ่นกระดานรองจดข้อความของล่ามจนกระเด็นหลุดจากมือ บางที หนักมากๆมีถึงขั้นก็เขวี้ยงแปรงกระดานใส่  ไม่ไหวครับแบบนี้ สอบถามจากหลายๆคนตามเว็บก็ให้เหตุผลทำนองเดียวกันว่าที่นี่ โหด สุดท้ายก็ทำเพียงหนึ่งปี แล้วไม่เซ็นสัญญาต่อ

    และจากการทำงาน จึงเป็นครั้งแรกที่ทำให้ผมได้รู้จักกับโทรศัพท์มือถือ  โนเกียคือมือถือที่ทำให้ผมรู้จักกับคำว่าโทรศัพท์มือถือและได้ใช้งานเป็นครั้งแรก โนเกีย3310 ในปี2544 ราคา 13900บาท  โคตะระแพงสุดๆ

  ในช่วงนี้ พวกเพื่อนๆที่จบมา ก็ไปทำงานที่ อยุธยาบ้าง ตามนิคมอุตสาหกรรมต่างๆบ้าง เพื่อนที่รู้จักกันแต่ต่างคณะ ก็ไปทำงานตามบริษัทต่าง บริษัททัวร์บ้าง สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติบ้าง  ส่วนไอ้เอก รูมเมทผม ก็ไปทำงานฝ่ายคอมพิวเตอร์กับบริษัทมือถือคลื่น1800   ไอ้เอกนี่แหละที่เป็นคนแนะนำเครื่องมือถือตัวที่ผมใช้อยู่นี่  และยังคงติดต่อกันอยู่ตลอด

จนกระทั่งผมได้ทำงานกับบริษัทแห่งหนึ่งที่ค่อนข้างได้เงินเดือนดีมาก จัดหาที่พักให้พร้อม แต่ยังคงเป็นงานแบบเซ็นสัญญาทุกๆสามเดือนครั้ง จนผ่านไปสาม  ก็ถึงเวลาที่ต้องให้โอกาสตัวเองลอง ไปทำฟรีแลนซ์ในที่ที่อยู่ห่างไกล เป็นที่แรก คือ อำเภอศรีมหาโพธิ์ จังหวัดปราจีนบุรี เป็นบริษัทเปิดใหม่ รับหลายตำแหน่งมาก ผมจึงชวนไอ้เอกลองมาทำดู เพราะที่นี่ต้องการคนวางระบบคอมพิวเตอร์ด้วย และมันก็ตกลงลองออกมาทำดู ที่นี่เป็นอะไรที่ดีที่สุดเท่าที่ผมเคยทำงานมา เงินเดือนไม่ต้องเอ่ยปากขอ เขาเสนอมาให้เอง และผมก็ยินดีสนอง เพราะถือว่าทำแค่ หกเดือน  ปรากฏว่าชาวต่างชาติที่มาติดตั้งอุกรณ์เครื่องจักรจำนวนหลายสิบคน ทำงานไม่เสร็จต้องอยู่ต่อ  ทางบริษัทจึงขอให้อยู่ช่วยอีกและเพิ่มเงินเดือนให้อีก ผมก็ตกลง แต่ที่อยู่อาศัยผมต้องจัดการเอง ก็ไม่ได้มีปัญหา สบายอยู่แล้วสำหรับผม อย่างน้อยก็ยังมีเพื่อนอยู่ด้วย

 แต่เนื่องด้วยระบบงานคอมพิวเตอร์ และตำแหน่งของไอ้เอก มันไม่เหมือนฟรีแลนซ์อย่างผม เมื่อครบปี ผมไม่ต่อสัญญา แต่ไอ้เอกมันต้องทำต่อไปอีกสามเดือน ผมจึงต้องกลับเข้ามาที่กรุงเทพคนเดียว พักงานไปสามเดือน อยู่เฉยๆไม่ทำอะไร ไปสมัครฟิสเนสสามเดือน   ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างผมกับไอ้เอก ก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม ยังไม่ได้พัฒนาไปถึงไหน แต่สนิทกันมากกว่าเพื่อนธรรมดา

“ขอเพียงมีมึงอยู่ใกล้ๆกู กูก็ดีใจแล้ว”   ไอ้เอกมันเคยพูดแบบนี้  และต่างคนต่างก็ต้องทำมาหากิน  โตๆกันแล้ว จึงไม่ค่อยมีเวลามานั่งคุยเรื่องราวแบบนี้อย่างเป็นเรื่องเป็นราว 

  ครบสามเดือนแล้ว ทางบริษัทขยายโรงงาน ไอ้เอกมันจะลาออก แต่เขาขอไว้ และเพิ่มเงินเดือนให้ ผมก็ยุให้มันอยู่ต่อ เพราะอยู่โรงงานในต่างจังหวัด มันเก็บเงินได้เยอะกว่า

“มึงไม่คิดถึงกูเหรอ กูคิดถึงมึงแทบแย่”   มันก็ยังคงเป็นฝ่ายเข้ามาหาผม และเสมอต้นเสมอปลาย แต่ผมก็ยืนยันที่จะให้มันทำต่อ อีกหกเดือน

“ถ้ามึงรักกู  มึงต้องอยู่เก็บเงินให้ได้ อยู่ต่อไปอีก เขาเพิ่มเงินให้ขนาดนั้นมึงทำๆไปเถอะ คิดถึงมากๆ เสาร์อาทิตย์มึงก็กลับมาเที่ยวหากูที่กรุงเทพก็ได้ “ 

 ผมให้เหตุผลกล่อมมันไปแบบนั้น มันก็เชื่อฟังครับ จนบางครั้งผมก็เริ่มรู้สึกใจอ่อนอยู่บ้าง แต่ติดตรงที่ผมยังคงคิถึงคนบางคนอยู่  ใช่ครับ  ทัช ... น้องชายคนดีของผม ไม่ใช่ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาผมลืมเขานะ ยังคงคิดถึงเขาอยู่เสมอในทุกครั้งที่คิดถึง  แต่ก็ไม่อยากแก้ตัวว่าเพราะด้วยหน้าที่การงานและช่วงที่หางานทำมันลำบากมาก จนอาจจะเผลอลืมไป  อ้อ ที่สำคัญผมมาทราบข่าวทีหลังว่า น้องเขาสอบเรียนต่อไม่ได้ และเข้ามาทำงานใน กรุงเทพ แต่ผมยังไม่รู้ว่าเขาทำงานที่ไหน

  ช่วงที่ไอ้เอกกลับมา ที่ กทม  ผมไม่ขัดข้องที่ไอ้เอกมันจะมาอาศัยอยู่ในอาคารคอนโดเดียวกับผม แต่อยู่กันคนละชั้น  ผมอยู่ชั้น 9 ไอ้เอกอยู่ชั้น 12  คอนโดผมเช่าต่อของเจ้าของ เดือนละ 7500 ถือว่าไม่แพงสำหรับห้องกว้างขนาดนี้ แยกส่วนห้องนั่งเล่นกับมุมครัว  ห้องน้ำในตัว ระเบียงสองฝั่งทั้งทางฝั่งหลังมุมครัว และฝั่งห้องนอน  นอกจากนี้ มีห้องเก็บของที่กั้นแยกไว้สำหรับเก็บของ แต่ไม่มีประตู   บางครั้งไอ้เอกมันก็มานอนห้องผมบ้าง ผมไปนอนห้องมันบ้าง แต่เราก็ยังคงความสัมพันธ์แบบเดิมที่มากกว่าเพื่อนแต่ยังไม่ถึงขั้นเรียกเป็นอย่างอื่น   ไอ้เอกมันเข้าทำงานกับบริษัทคอมพิวเตอร์ยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่ง ส่วนผมยังคงติดใจในการทำงานแบบฟรีแลนซ์ จึงเข้าทำงานกับบริษัทต่างขาติแห่งหนึ่งในจังหวัดปทุมธานี และได้เดินทางไปต่างประเทศบ่อยๆเพราะมีการนำฝ่ายเอ็นจิเนียร์ไปอบรมเทรนงานที่ต่างประเทศอยู่บ่อยครั้ง

   ที่ที่ผมอยู่นั้น ถือว่าไม่ไกลทั้งจากที่ทำงานผมและที่ทำงานไอ้เอก แต่ผมต้องตื่นเช้ากว่าเพราะรถมารับเช้ามาก หกโมงเช้า ผมถือว่าเช้ามากครับ เมื่อเทียบกับไอ้เอกที่มันได้ตื่นไปทำงานตอนสิบโมง แต่ผมจะกลับมาไวกว่า เพราะไอ้เอกเลิกงานสองทุ่ม
 
   การดำเนินชีวิตเป็นไปอย่างปกติสุขเรื่อยมาเป็นปี จนกระทั่ง ในปี 2552 เจ้าเอกต้องเดินทางไปอบรมศึกษาและดูงานระบบสื่อสารที่ต่างประเทศเป็นเวลาถึงหกเดือน และผมกลับบ้านในช่วงปีใหม่ตรุษจีน จึงถือโอกาสกลับไปเยี่ยมบ้าน ทัช  แต่เจ้าทัชไม่ได้กลับบ้านในปีนี้ จึงได้เบอร์มือถือมาแทน 

  ถนนหนทางขึ้นมาบ้านของทัช ยังคงเป็นเช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลงไปเลยแม้แต่น้อย ทางบ้านของทัช มีการต่อว่าผมเล็กน้อยที่เงียบไปไม่ส่งข่าวคราวใดใด ได้ความว่า ธัชเองก็ติดต่อผมไม่ได้ เขาอยากขอโทษที่ไม่สามารถสอบเรียนต่อตามสัญญาที่เคยให้ไว้กับผม  ผมเองก็รู้สึกผิดเมื่อนึกย้อนกลับไปยังวันเวลาที่ผ่านมา ผมไม่ได้โทษตัวเอง เนื่องด้วยภาระหน้าที่ที่ผมต้องเผชิญจึงอาจหลงลืมไป แต่ผมรู้ดีว่า ในใจผม ผมไม่เคยลืมน้องชายที่ผมรักมากคนนี้ได้เลย  ยังคงคิดถึงอยู่เสมอ และเรื่องนี้ผมก็คุยกับไอ้เอกและต่างคนก็เข้าใจในกันและกัน ผมไม่เคยทำตัวเหลวแหลก ไอ้เอกก็เช่นกัน เป็นมันด้วยซ้ำที่กลายเป็นคนมีอารมณ์โรแมนติก ขี้งอนมากขึ้น เปลี่ยนเป็นคนละคนกับเมื่อสมัยเรียนที่มหาวิทยาลัย



.......

หัวข้อ: ทัช..สัมผัสใจ ตอนที่ 17
เริ่มหัวข้อโดย: thewa.arak ที่ 13-07-2017 19:31:02
ตอนที่17




...นี่กระมัง ที่เรียกว่า ความรัก..... Part นนท์ / ทัช...



    ถือเป็นการพบกันครั้งแรกในรอบสี่ปีที่เราไม่เคยได้เจอกันเลย ผมเองก็เดินทางไปต่างประเทศบ่อยมาก เบอร์ที่เคยมีก็หายไป นี่ถ้าผมไม่กลับไปเยี่ยมบ้าน ก็คงไม่ได้เบอร์ติดต่อเป็นแน่ 
 ผมอดทนนั่งรอที่ด้านในอาคารผู้โดยสารหมอชิต  บรรยากาศแบบนี้ไม่ค่อยได้มาสัมผัสบ่อยนัก  ตั้งแต่ที่กลับเข้ามาทำงานใน กรุงเทพ ก็บินไปทำงานต่างประเทศอยู่บ่อยๆจึงไม่เคยเดินทางด้วยรถบัสรถทัวร์อีกเลย ถ้าหากไม่ใช่เพราะต้องมารอใครบางคน ผมคงไม่มานั่งอยู่ในที่นี้นานเป็นชั่วโมงแน่ๆ 
 จนกระทั่งสองทุ่มสี่สิบนาที เจ้าตัวเล็กของผมก็โทรเข้ามา ผมบอกว่ารอรับอยู่ที่ด้านในอาคารผู้โดยสาร ผมมองไปตรงทางเดินเท้าขาเข้า  ไม่ถึงห้านาทีเจ้าตัวเล็กของผมก็เดินเข้ามา ผมยังจำเขาได้แม้จะใส่แว่นตาดำ  ชุดกางเกงยีนน้ำเงิน เสื้อยืดขาวพิมพ์ลายและเสื้อกันหนาวทับ ที่แปลกตาคือ ตัดรองทรงดูเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น   แต่ที่ยังไม่เปลี่ยนแปลงคือ ยังคงเป็นคนตัวเล็กที่ตัวเล็กกว่าผมเหมือนเดิม ผมโบกมือให้สัญญาณ ตัวเล็กก็ยกมือโบกตอบ พอมาถึงตัวผมมันก็กอดคอผมทันที ผมตกใจเล็กน้อยตบบ่าเบาๆ  ผมไม่ชินกับสายตาคนรอบข้าง จึงบอกทัชว่าเราจะต้องเดินไปด้านหน้าอาคาร เพื่อไปขึ้นแท็กซี่กลับ พอคลายแขนออกผมถึงเห็นว่าเขามีน้ำตาไหลออกมาผมอึ้ง วินาทีนั้น ผมไม่สนใจสายตารอบข้างแล้ว สองทุ่มสามทุ่มคนไม่มากเพราะไม่ใช่ช่วงเทศกาล   ผมคว้าข้อมือเขาแล้วเดินออกไปยังด้านหน้าอาคารโดยเร็ว ไม่ใช่เพราะอายสายตาคนอื่น แต่ผมเองก็เริ่มจะสู้กับม่านฝนในดวงตาไม่ไหว การที่ผู้ชายสักคนเกิดความรู้สึกในใจจนต้องร้องไห้ออกมานั้น  ผมไม่ถือเป็นเรื่องของความอ่อนแอเลย แต่เพราะมันมีอะไรในใจที่มันอัดอั้นตันใจจุกอยู่ในอกจนเจ็บคอ ต็มไปด้วยความรู้สึกต่างๆ จนอดทนไม่ไหวเมื่ออยู่ต่อหน้าคนที่เรารู้สึกดีๆ  หยดน้ำตาจึงพร่างพรูออกมาดั่งสายนที

   บนแท็กซี่ระหว่างทางกลับ ต่างคนต่างเงียบได้ยินเพียงเสียงแอร์รถ ผมมองคนข้างๆผม ผมดีใจนะที่ได้เจอทัช  ไอ้ตัวเล็กของผม  เขาหันหน้าไปทางนอกหน้าต่างรถ  เดาไม่ถูกเลยว่าเจ้าตัวกำลังคิดอะไร แต่อะไรก็ช่างเถอะ คนที่ผมเฝ้าคิดถึงมาตลอด จากที่เมื่อก่อนไม่รู้ใจตัวเองจนกระทั่งได้เรียนรู้อะไรต่างๆที่ผ่านเข้ามามันทำให้ฉุกคิดได้ว่า ความรู้สึกเหล่านี้มันเคยเกิดขึ้น เพียงแต่ตอนนั้นเราต่างไม่รู้ว่ามันคืออะไร  แต่ไม่ว่าอะไรก็ตาม ตอนนี้เขาอยู่ข้างๆผมแล้ว  ใจผมแทบอยากจะโอบกอดเขาไว้แน่นๆ

    รถแท็กซี่เลี้ยวมาส่งผมที่คอนโด ซอย25 แยก 12 ผมกดลิฟต์ขึ้นไปชั้น9  ระหว่างทางไม่มีเสียงใครพูดอะไรเลย คงเพราะต่างรู้ว่า ถ้าพูดอะไรออกประโยคเดียวคงได้ยินเสียงร่ำไห้กันตรงนั้น   ขึ้นมาถึงห้องผมก็เปิดประตูห้องเข้าไปและช่วยยกเอากระเป๋าเป้ไปวางไว้บนโต๊ะมุมนั่งเล่น

“ เอาอะไรมาบ้างเนี่ย เยอะแยะไปหมดเลย ฮึ  บ้าหอบฟาง ทิ้งให้นอนค้างคืนที่หมอชิตดีมั๊ยเนี่ย”  ผมพูดติดตลกและหัวเราะในลำคอเป็นเชิงหยอกล้อในขณะที่มือก็เปิดกระเป๋าหยิบเสื้อผ้าออกโดยไม่หันไปมองคนข้างหลัง เพื่อเตรียมใส่ไม้แขวน แต่นานพอสมควรไม่มีเสียงตอบใดใด จึงหยุดชะงักไปนิดนึง  ไม่ถึงอึดใจ เจ้าตัวเล็กถลาเข้ามากอดผมจากด้านหลัง และไม่ต้องถามอะไรใดใด เสียงที่ผมรู้สึกเจ็บปวดใจไม่แพ้กันก็ดังออกมาพร้อมเสียงสะอื้น   

 “ที่ผ่านมา ผมคิดถึงพี่มาตลอดเลยนะ พี่ต่างหากที่ทิ้งผมไป พี่ รู้ไหม  ผมต้องอดทนมากแค่ไหนที่จะพยายามไม่จดจำเรื่องต่างๆที่มีพี่อยู่  เข้าใจบ้างไหม ทำยังไงมันก็เอาภาพพี่ออกไปจากสมองไม่ได้ พี่เข้าใจไหม เข้าใจไหม”   

ทัชตะโกนใส่ผมด้วยด้วยความรู้สึกประหนึ่งว่าอัดอั้นตันใจมานานเหลือเกินแล้ว ผมปล่อยให้เขาระบายความอัดอั้นตันใจตลอดสามสี่ปีนั้นของเขาออกมา  แต่ก็รู้สึกจุกอยู่ในลำคอ มันแทบจะพูดไม่ออกเมื่อเขาพูดออกมาขนาดนี้  ผมผิดมากใช่ไหม ผมคือคนผิดใช่ไหม  ผมหันกลับมาอัตโนมัติพร้อมกับกอดเขาไว้แน่น ไม่อยากเห็นตัวเล็กร้องไห้เลย รู้สึกเจ็บปวดใจจัง

 “พี่ขอโทษ ทัชคิดว่าพี่ลืมทัชงั้นหรือ ไม่เลย พี่ไม่เคยลืมเราเลยนะ ใช่.. บางครั้งพี่ยุ่งจนอาจจะมีเผลอลืมไปบ้าง แต่เชื่อเถอะ ไม่เคยมีสักวันที่พี่ไม่คิดถึงทัช”   
  ผมรู้สึกเจ็บจี๊ดขึ้นจมูกจนไม่อาจกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้  รู้สึกเจ็บปวดไม่ต่างกับคนตรงหน้า หยาดน้ำใสใสร่วงเผาะลงจากดวงตา  สองมือจับบ่าคนตัวเล็กเอาไว้

“แล้วตลอดเวลา พี่ทำอะไร ไปอยู่ที่ไหน  มันเจ็บปวดแค่ไหนที่ต้องอยู่ไปแบบเหงาๆ โดยไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายเป็นอยู่อย่างไร  ผมคิดถึงพี่ ผมคิดถึงพี่มาก คิดถึงอยู่ตลอด”

  ผมไม่มีคำพูดใดใดนอกจากดึงเจ้าตัวเล็กของผมมากอดแน่น อีกมือก็ประคองศรีษะที่ชุกอยู่ตรงซอกคอ ปล่อยให้เขาร้องไห้ออกมา จนรู้สึกได้ถึงหยดน้ำตาที่ไหลลงมาถึงซอกคอผม ผมรู้สึกเจ็บปวดไม่ต่างกับตัวเล็กเลย

“ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไร พี่อยู่ตรงนี้แล้ว ไม่ไปไหนแล้ว”    ผมลูบหัวเจ้าตัวเล็กปลอบใจ เขายังคงกอดผมไว้แน่น ราวกับว่าตัวผมจะสลายหายไปอีก

 “พี่นนท์ ผมทำตามสัญญาไม่ได้ ผมขอโทษนะครับ”  ตัวเล็กพูดพร้อมกับกอดผมแน่นขึ้นอีก จนเริ่มหายใจติดขัด

“ทัช คลายแขนพี่หน่อยพี่หายใจไม่ออก มานี่มา มานั่งนี่ “
 ผมคลายแขนเจ้าตัวเล็กออกแล้วคว้าข้อมือเขาพาเดินมาที่โซฟามุมรับแขกส่วนผมนั่งชันเข่าหันหน้าเข้าหาเขาพร้อมกับยกฝ่ามือปาดหยดน้ำใสๆออกจากตาและแก้ม  ตัวเล็กของผมเป็นหนุ่มน้อยเต็มตัวแล้ว  ผมรองทรงสั้นนี่ผมไม่ค่อยคุ้นเลยแต่ก็ดูหล่อไปอีกแบบ  ผมใช้มือทั้งสองข้างประคองแก้มเจ้าตัวเล็กไว้ เอื้อมมือข้างหนึ่งเวยผมให้เขา  พิศดูแล้วเค้าเดิมที่ยังเป็นเด็กๆหายไป  ดูคมเข้มขึ้นมากเลยทีเดียว

“ไหน ขอโทษพี่ทำไม ฮึ เราไม่ได้ทำอะไรผิดเสียหน่อย”  ผมมองหน้าแล้วพูดปลอบใจ

“ก็..ผมสอบไม่ติดที่ไหนเลย”    เจ้าตัวก้มหน้า เว้นจังหวะไปนิดนึงก่อนพูดต่อโดยไม่มองหน้าผม

“ผมกลัวพี่จะผิดหวังในตัวผม”   พูดแล้วก็ตามมาด้วยเสียงสะอื้นอีก  ผมเลยโอบกอดเขาไว้ทั้งๆที่อยู่ในท่าชันเข่า  รู้สึกได้ถึงร่างกายที่สั่นเทาของเขา

“อย่าคิดมากเลย เราไม่ทำอะไรผิด สอบได้ไม่ได้มันไม่ใช่ตัวชี้วัดว่าคนจะประสบความสำเร็จ แต่มันเป็นแค่ใบเบิกทางที่ช่วยให้เราสามารถเข้าทำงานที่ยินดีรับในคุณสมบัติของเรา  อย่าเสียใจไปเลย คนที่จบแค่ ม.6 แต่ทำมาหาเลี้ยงตัวเองตั้งแต่เด็ก เรื่องการทำธุรกิจ เรื่องการตัดสินใจ เรื่องการเอาตัวรอดในสังคมที่เลี้ยงชีพด้วยการขายแรงงานนั้น เขาสามารถทำได้ดีกว่าบางคนที่จบปริญญาตรีเสียอีก”  ผมอธิบายเสียยืดยาวให้เจ้าตัวเล็กฟัง

“พี่นนท์รักผมไหมครับ” 

“............”    ผมชะงักไปเล็กน้อย  คลายอ้อมแขนจากการโอบกอดตัวเขา แล้วจัมมือพร้อมกับสบตาเขา

 “รักสิ รักมากด้วย พี่รักเรามากเลยนะ เราคงคิดไม่ถึงเลยล่ะ “  ผมมองหน้าเขาและพูดออกไปจากใจจริงๆ

“สองครั้งแล้วที่พี่เงียบหายไป วันที่ผมไม่สามารถสอบได้ ผมรู้สึกท้อแท้มาก ผมไม่กล้าสู้หน้าพ่อกับแม่เลย คิดถึงพี่มาก แต่ก็กลัวพี่จะด่าผม “   ตัวเล็กระบายความอัดอั้นตันใจพร้อมกับสะอึกสะอื้นไป ทำเอาผมกลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้

“พี่ขอโทษนะ พี่ทำผิดกับทัชอีกแล้ว  พี่ขอโทษที่ไม่ได้อยู่ในช่วงที่ ทัชต้องการกำลังใจ” 

 คำพูดนี้ ทำเอาผมสะอึกและเจ็บจี๊ดขึ้นมากกว่าเดิมเมื่อนึกถึงครั้งที่ผมเคยพูดคำนี้ต่อหน้าโลงศพไอ้แทน  ซึ่งผมโทษตัวเองมาตลอดสำหรับการจากไปของไอ้แทน

“พี่ขอโทษจริงๆ ตอนนี้พี่อยู่ตรงนี้แล้ว หากมันจะทำให้ตัวเล็กสบายใจมากขึ้น ปล่อยมันออกมาให้หมด ระบายออกมาให้หมด เอามาใส่บนบ่าพี่นี่ เดี๋ยวพี่แบกไว้ให้เอง” 

  ฟังดูเหมือนดูดีมากๆกับประโยคนี้แต่..ผมรู้สึกอย่างนั้นจริงๆนะ  ส่วนเจ้าตัวเล็กก็ปล่อยออกเต็มแม็กเลยทีเดียว ผมปล่อยให้ตัวเล็กระบายความอัดอั้นออกทางนัยน์ตาจนแห้งเหือด หยิบขวดน้ำจากตู้เย็นส่งให้ทัช  เจ้าตัวเล็กดื่มรวดเดียวหมดขวด  คงจะเหนื่อยมาก ผมจึงให้ตัวเล็กไปอาบน้ำ และเหมือนเช่นเคยที่จะขอให้ผมอาบน้ำเป็นเพื่อนด้วย แต่ผมบอกว่ามีธุระกับแม่บ้านที่ดูแลนิติบุคคลคอนโด   แต่จริงๆแล้วมีจุดประสงค์อื่น  ผมเก็บเสื้อผ้าของตัวเล็กไปแขวนในตู้เรียบร้อยแล้วจึงเคาะประตูห้องน้ำบอกว่าจะลงไปทำธุระสักครู่ 

 จริงๆแล้วผมตั้งใจลงไปซื้อข้าวให้ตัวเล็ก   คอนโดอยู่ซอย12 เรียกมอเตอร์ไซค์จากปากซอยไป ตลาดซอย9 ซื้อกะเพราะหมูสับไข่ดาวอาหารโปรดของทั้งผมและตัวเล็กมาคนละกล่อง พร้อมน้ำส้มกล่องตราทิปโก้ของโปรดของเจ้าตัวเล็ก (จริงๆแล้วผมชอบเลยคะยั้ยคะยอให้ตัวเล็กกินตามจึงติดใจไปด้วย)  กลับขึ้นมาบนคอนโด เจ้าตัวเล็กคงอาบน้ำเสร็จแล้ว ใส่กางเกงบอลสีเหลืองเสื้อยืดสีขาวกำลังนั่งดูทีวีช่องฟุตบอลซึ่งเป็นกีฬาโปรดของเขา

“ตัวเล็ก ทำไมไม่ใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อย อาบน้ำเสร็จนานรึยังเนี่ย”

“เอ่อ แหะๆ ยังไม่ได้อาบครับ  รอพี่อยู่”   ผมไม่พูดอะไรต่อ ส่ายหน้าแล้วเดินเลยไปที่มุมครัวหยิบจานสองใบช้อนส้อมสองชุด

“โอ้โห ข้าวผัดกระเพราะหมูสับไข่ดาว “  พูดพร้อมกับทำท่าสูดดมกลิ่นอาหารจากในจาน

“บ้าไปแล้ว ทัช  เป็นหมาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย”  ผมแซวขำๆ

“พี่อ่ะ ใจร้ายมาว่าผมเป็นหมาได้ไง” 

“มันดึกแล้วแทนที่จะรีบๆอาบ ทำตัวเป็นเด็กๆไปได้”  ผมยังไม่วายแขวะเจ้าตัวเล็ก

“ก็ผมอยากอาบพร้อมพี่นนท์อ่ะครับ ไม่รู้แหละกินข้าวเสร็จแล้วต้องไปอาบพร้อมกัน”  ทัชพูดพร้อมกับยกจานข้าวไปตรงหน้าทีวีและวางกับข้าวไว้บนโต๊ะกระจก   ผมเปิดตู้เย็นหยิบขวดน้ำเย็นเทใส่แก้วสองใบเดินตามไป ที่โซฟา

“เราน่ะ โตๆกันแล้วนะ ขนขึ้นกันหมดแล้วไม่ใช่เด็กๆที่จะต้องมาช่วยกันอาบน้ำเหมือนตอนมัธยม”   ผมพูดติดตลกเพื่อไม่ให้ดูเป็นการตัดรอนจนเกินไป

“ขนเขินอะไรกัน โว้   พี่นนท์บ้า”   ตัวเล็กยิ้มเขินท่านี้แล้วมันดูเป็นเด็กเป็นตัวเล็กคนเดิมของผมขึ้นมาทันที

“เอ้ากินข้าวกันเถอะเดี๋ยวมันจะเย็นซะก่อน แล้วจะได้รีบอาบน้ำ”   ผมเร่งให้ตัวเล็กกินข้าวโดยเร็ว เจ้าตัวก็ยังคงกินไปเล่นไป ไม่สนใจทีวี  บางช่วงก็ทำท่าจะป้อนใส่ปากผมผมก็รีบปิดปากไว้ แต่เจ้าตัวเล็กมันจิ้มใส่ปากผมเลย  ผมก็ประเคนมะเหงกให้เบาๆ

“ทัช วางไว้ตรงนั้นแหละ แล้วรีบไปอาบน้ำซะ เดี๋ยวพี่ล้างจานเอง”

“ไม่ได้  พี่อุตส่าห์ลงไปซื้อมาให้”

“ตามใจ งั้น พี่จะอาบก่อนละนะ”

พอผมพูดคำนี้ยังไม่ทันจบประโยค เจ้าตัวเล็กกระเด้งตัวรีบวิ่งมาทันที

“อ้าว ไหนบอกว่าจะล้างจานไง”

“เอาน่าพี่  เดี๋ยวผมกลับมาล้างให้ใหม่”   พูดไปก็แทรกผ่านตัวผมและพุ่งตรงไปยังห้องน้ำ  เห้อ เจ้าตัวเล็กมันยังเป็นเด็กอยู่นะเนี่ย ผมส่ายหัวแล้วตามเข้าไป จัดแจงอาบน้ำเหมือนกับช่วงสมัยมัธยม  บรรยากาศเหมือนเพิ่งผ่านไปเมื่อวานนี้เอง  ต่างกันที่แต่ละคนโตตามวัยมากขึ้นจนเห็นได้ชัด

“พี่นนท์ มีที่โกนหนวดไหมครับ” 

“อะไร เรามีหนวดกับเขาด้วยเหรอ ไหนมาดูหน่อย”   ผมว่าพลางก็ใช้ฝ่ามือพลิกแก้มเขาไปมา ก็ไม่เห็นมีหนวดนะ  มีแค่แบบขนอ่อนขึ้นรำไรๆ 

“ผมจะโกนให้พี่ไง พี่หนวดขึ้นเยอะแล้ว”  เจ้าตัวเล็กใช้หลังนิ้วชี้และนิ้วกลางถูลากตามแนวเคราของผม

“เห้ยไม่ต้อง พี่ไม่ใช้มีดโกนหนวดหรอก มันเจ็บ”

“อ้าวแล้วพี่ตัดมันออกยังไงครับ”   เจ้าตัวเอียงคอถาม

“พี่ไปร้านตัดผมให้เค้าใช้ปัตตาเลี่ยนไถเอาน่ะ”

“แล้วมันจะออกหมดเหรอครับ”

“ไม่หมดหรอก แต่มันไม่เจ็บ ใช้มีดโกนเดี๋ยวก็บาดหรอก แสบด้วย  มาๆ อย่ามาสนใจอะไรกับหนวดพี่นักหนา”    ผมพูดพร้อมกับใช้ทำท่าให้ตัวเล็กก้มลงเล็กน้อย แล้วผมก็ใช้สายฝักบัวล้างทำความสะอาดเส้นผมให้  แล้วก็ถูตัวให้ ถูรักแร้ให้  ทำเหมือนตอนเรียนด้วยกัน แต่ตอนนี้ เจ้าตัวเล็กมีขนรักแร้ขึ้นแล้ว แม้จะไม่มาก แต่ก็ดูแปลกตา

“มาครับ ผมถูให้พี่บ้าง”   เจ้าตัวเล็กดันตัวผมให้หันหลังแล้วก็จัดแจงถูหลังให้ด้วย  และก็เป็นเจ้าตัวเล็กเพียงคนเดียวที่ผมยินยอมก้มหัวให้เขาช่วยสระผมให้

“อ่ะ พอแล้วรีบล้างตัวได้ละ  กางเกงทั้งหมดถอดไว้ในถังนะเดี๋ยวพี่จัดการให้”

“แช่ไว้ตรงนี้นะพี่ เดี๋ยวผมมาซักเอง”

ผมใช้ผ้าเช็ดตัวเช็ดผมให้จนแห้งหมาดๆแล้วก็ไล่ตัวเล็กออกไป

“อ่ะ เสร็จละ ออกไปก่อนได้เลย”

“พี่จะทำอะไรต่ออ่ะ”

“เอ๊ะไอ้เจ้านี่ ไปๆ พี่ปวดท้องอึ”

“แหวะเหม็น”  ทำท่าปิดจมูก

“ก็รีบไปสิ จะมานั่งดมรึไง ไปๆออกไปได้แล้ว”     ผมทำธุระส่วนตัวเสร็จออกมา ก็พบว่าเจ้าตัวเล็กเปลี่ยนชุดเรียบร้อยแล้ว เป็นเเสื้อกล้ามสีขาว กางเกงขาสั้นสีขาว อืม ขับผิวให้เข้มขึ้นไปอีก ผมเช็ดหัวตัวเองลวกๆ เจ้าตัวเล็กก็วิ่งมาก้มหัวให้

“อะไร จะเล่นอะไรอีก”

“เช็ดผมให้ผมอีกหน่อยครับ” 

“เอ้า มันแห้งแล้วจะเช็ดทำไม”

“ยังไม่แห้งอ่ะ นะๆ พี่เช็ดให้อีกหน่อย”   ผมเลยเช็ดนั่นเช็ดนี่แกล้งทำให้ทรงผมเจ้าตัวเล็กยุ่งเหยิงแล้วก็เอาผ้าไปตาก

 นั่งเล่นตรงโซฟาดูทีวีซีรีส์ฝรั่งกันไปเจ้าตัวเล็กมานอนหนุนตักผม เจ้านี่อยู่ไม่เป็นสุขจริงๆ

“พี่นนท์ครับ มีคอตตอนบัดไหม” 

“จะให้ควักขี้หูอีกล่ะสิ”  ผมถามแต่เจ้าตัวเล็กพยักหน้ายิ้มๆ ผมหัวเราะหึๆตามและตบกะโหลกไปเบาๆด้วยความหมั่นไส้

“ใครเขามาควักขี้หูกันตอนนี้ห้ะ”

“ก็แค่อยากให้พี่ทำอะไรๆให้ผมเท่านั้นเอง ผมไม่ได้เจอพี่มานานมากแล้วนะ คิดถึงสมัยก่อนแล้วอยากย้อนเวลากลับไปจัง”  เจ้าตัวเล็กเริ่มมาโหมดความเศร้า

“แต่จะให้มาควักขี้หูกันตอนนี้เนี่ยนะ เดี๋ยวได้เลือดไหลกันพอดี”  ผมพูดพร้อมกับลูบหัวและจัดทรงผมให้เขาใหม่

“เจ้าตัวเล็กเอ้ย ตัวก็โตขึ้นมาแล้ว แต่ทำไมยังทำตัวเป็นเด็กไปได้นะเรา”    ทัชจับข้อแขนผมไว้ตรงรอบคอเขา

“ก็ผมรู้สึกว่าเวลาที่เราได้อยู่ใกล้กันนั้น มันช่างเดินไวเสียเหลือเกินนี่ครับ  ถ้าย้อนเวลาได้ ผมอยากจะอยู่ชั้นมัธยมต่อไป ไม่อยากให้มีอนาคตเลยถ้ารู้ว่าพี่จะต้องมาทิ้งผมไปแบบนี้  ตลอดเวลาที่ผ่านมาพี่ลืมมันไปหมดแล้วหรือครับ”    ผมชะงักไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินสิ่งที่ทัชพูดออกมา

“ทัชเอ้ย มันเป็นไปไม่ได้หรอกนะ คนเราก็ต้องมีหนทางที่ต้องเดินไปข้างหน้าเรื่อยๆ”  ผมเว้นจังหวะนิดหน่อย แต่ตัวเล็กกลับแทรกขึ้นมาก่อน

“ คนเรามันจะต้องอะไรนักหนาอ่ะพี่ เกิดแก่เจ็บตายนะพี่  ผมชินแล้ว ผมยังนึกถึงตอนพี่แทนทำเบ็ดตกปลาให้ผมอยู่เลย ถ้าเราไม่ต้องดิ้นรนอะไร อยู่กันอย่างที่เรามี พี่แทนก็อาจจะไม่จากผมไป”

“ทัช คิดแบบนั้นไม่ได้หรอกนะ คนเราเกิดมาแล้วถ้าไม่สู้ชีวิตจะเกิดมาทำไม เราต้องเรียนรู้และปรับตัวให้เขากับสถานการณ์ต่างๆที่พานพบ มันเป็นการสั่งสมประสบการณ์ ประสบการณ์จะสอนให้เราเข้มแข็งและหาทางออกให้กับปัญหาตามวิถีทางและปัญญาของเรา”

“ผมก็แค่ไม่อยากให้พี่ไปจากผมแค่นั้นเอง”    เจ้าตัวเล็กพูดเสียงอ่อยๆ

“พี่ยังไม่ตายง่ายๆหรอกน่า”  ผมแกล้งหยอกขำๆ

“เห้ยยย ผมไม่ได้หมายความอย่างนั้น   หมายถึงอยากอยู่ใกล้ๆพี่ชายคนนี้ไปตลอดต่างหาก”   ผมมองหน้าเขาและลูบผมเขาเบาๆ

“พี่ก็อยู่ตรงนี้แล้วไง เอาล่ะ เราไปนอนกันดีกว่า ดึกแล้ว ห้าทุ่มกว่าแล้ว”  ผมเหลือบมองดูนาฬิกาแล้วเร่งเตือนเจ้าตัวเล็ก พร้อมกับปิดทีวี ซึ่งเปิดทิ้งไว้ไม่มีใครสนใจทีวีกันเลยทั้งพี่ทั้งน้อง

“อ่ะ ทัช นอนห้องนี้นะ”   ผมแกล้งชี้ไปยังห้องเก็บของที่กั้นไว้เฉยๆไม่มีประตู  เจ้าตัวเล็กอึ้งไปพักใหญ่

“พี่นนท์จะให้ผมนอนตรงนี้ก็ได้ครับ”  แหน่ะ มาละ น้ำเสียงขี้งอนแบบนี้  ผมทำทีเป็นหยุดเงียบไปสักพัก เจ้าตัวเล็กเห็นเงียบไปนานจึงหันมาทำหน้าเหลือสองนิ้ว

“พี่จะให้ผมนอนตรงนี้จริงๆเหรอครับ”  พูดจบทำท่าเหมือนจะร้องไห้  ผมเลยรีบตัดบทเดี๋ยวจะมีดราม่ากันอีก

“บ้าน่า ล้อเล่น  ใครจะกล้าให้เรานอนตรงนี้คนเดียวล่ะอยากนอนกับพี่ อยากหนุนแขนพี่ไม่ใช่หรือไง”  ผมพูดพร้อมกับเอียงเอียงคอยักคิ้วเป็นเชิงแกล้งหยอก

“รู้ดีจริงๆเลยพี่เรา” เจ้าตัวเล็กยิ้มเขินๆ ผมเลยลูบหัวเบาๆ

“เอ๊าพี่เป็นใคร ทำไมจะไม่รู้ ฮ่าๆ”   ในขณะที่ผมเตรียมจะไปปิดไฟเจ้าตัวเล็กก็ก้าวเข้ามากอดเอวผมไว้แน่น

“ผมคิดถึงพี่มากๆเลยนะครับ รู้สึกอบอุ่นเสมอที่ได้อยุ่ใกล้ๆพี่”   ผมหยุดชะงัก กอดตอบ ตบบ่าลูบหัวลูบหลัง

“พี่ก็คิดถึงเรานะ ทัช  คิดถึงมากๆเป็นห่วงอยู่เสมอ ป่ะ  ปิดไฟ เข้าห้อง นอนกันได้แล้วล่ะ”  ผมเดินไปปิดไฟเช็คความเรียบร้อยแล้วเข้าห้อง

“ผมนอนข้างนี้นะครับ”  เจ้าตัวเล็กเลือกที่นอนติดข้างฝาห้อง ให้ผมนอนติดประตู 

“อื้ม นอนได้เลยนะ เราเดินทางมาเหนื่อยๆ ต้องนอนพักเยอะๆ แอร์เย็นมั๊ย อ่ะ พี่วางรีโมทไว้บนหัวเตียงฝั่งเราละกันนะ ถ้าไม่เย็นก็ปรับเอาได้เลย”  ผมพูดพลางวางรีโมทแอร์ไว้บนหัวเตียงฝั่งเขา

“ไม่ต้องปรับหรอกครับ แค่นี้ก็พอแล้ว ถ้าหนาวมากก็มีพี่กอดผมอยู่แล้วนิ” 

“ไม่เอาอ่ะ  ร้อน”   ผมแกล้งแหย่เล่นพร้อมเอื้อมมือไปปิดไฟ  เจ้าตัวรีบขยับมาใกล้ทันที

“พี่นนท์ ขอแขนหน่อย” 

“เอ้า มาขอได้ไง แล้วพี่จะเอาแขนที่ไหนมาใช้” 

“บ้าละพี่อ่ะ”   ว่าแล้วเจ้าตัวก็จัดแจงดึงแขนผมไปหนุนเองเสร็จสรรพ

“ฮ่าๆ รู้งานเหลือเกินนะเรา”   ผมหัวเราะขำ ท่าทางเขาที่ดูเหมือนตอนมัธยมไม่มีผิด ภาพเหล่านั้นยังคงติดตา ฉายชัดเจนในความทรงจำในทุกครั้งที่นึกถึง เตียงสองชั้นหลังนั้น ผ้าห่มผืนนั้น กับไอ้ตัวเล็ก ยิ่งคิดก็ยิ่งขำ เพราะเขานอกจากจะตัวโตขึ้นตามวัยแต่ท่าทางและการกระทำยังคงเหมือนตอนนั้นไม่มีผิดเพี้ยน

 “อ่ะ  ไม่แกล้งละๆ”  ผมเอื้อมมืออีกข้างลากผ้าห่มขึ้นมาปิดถึงอก พร้อมกับวาดแขนไปกอดเขาไว้โดยวางแขนทับบนผ้าห่มอีกที  แต่เจ้าตัวเล็กกลับดึงแขนผมให้สัมผัสกับเขาช่วงกลางลำตัวแทน

“พี่นนท์ ต้องให้ผมบอกด้วยหรือครับ ว่าพี่ต้องกอดผมยังไง หือ”   แน่ะ มีการทำเสียงฟึดฟัดใส่เราอีก ผมได้แต่ยิ้มส่ายหน้าพร้อมกับตบหัวเขาเบาๆและลูบไปมา

“ทัช เราน่ะ 20ปีแล้ว ไม่ใช่เด็กแล้วนะ เฮ่ยยย”  ผมจงใจถอนหายใจเสียงดังใส่หน้าเขา

“ก็ผมไม่อยากโตอ่ะ อยากให้พี่ดูแลแบบนี้ไปนานๆ ฮ่าๆ”

“เฮ้อ กับไอ้แทน มันต้องทำแบบนี้ด้วยมั๊ยเนี่ย”

“ก็นอนด้วยกันนะพี่ แต่พี่แทนเค้าไม่ค่อยมากอดผมหรอกมีแต่นอนดิ้นมาถีบผมตลอด”

“หืม ไอ้แทนเนี่ยนะนอนดิ้น”    ผมอดสงสัยไม่ได้  เพราะที่ผ่านมา ไอ้แทนไม่เคยนอนดิ้นเลย ออกจะนอนเรียบร้อยเสียด้วยซ้ำไป
 
“ถ้าพี่แทนยังอยู่ แล้วพี่จะให้ผมนอนหนุนแขนไหมครับ” 

“..............”   ผมอึ้งไปเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าตัวเล็กจะถามแบบนี้

“ไอ้แทนมันคงไม่ยอมหรอกมั๊ง  .. เว้ยยยย  ไอ้นี่ ถามอะไรแปลกๆ”  ผมเคาะหัวเจ้าทัชไปเบาๆ

“ที่ภูเวียงวิทยา พี่กับพี่แทนนอนด้วยกันใช่ไหมครับ”    ยัง  มันยังไม่ยอมจบอีก

“อืม ทำไมล่ะ พี่ก็เคยบอกไปตั้งนานแล้วนี่”  ผมพยุงตัวขึ้นเอนหลังพิงกับหัวเตียง แสงไฟจากหน้าต่างกระจก(กระจกแบบที่ติดตั้งตายตัวเปิดปิดไม่ได้) ทำให้พอมองเห็นหน้าเจ้าทัชมันได้

“มันคงเป็นโชคชะตานะครับ ที่พี่แทนอยากให้ผมมาอยู่กับพี่แทนเขา”  ตัวเล็กเขยิบขึ้นพิงหัวเตียงตามผม 

 
.

.
(ต่อ)
หัวข้อ: ทัช..สัมผัสใจ ตอนที่17 (ต่อ)
เริ่มหัวข้อโดย: thewa.arak ที่ 13-07-2017 19:31:53
.

.
(ต่อ)


........นั่นสินะ มันอาจเป็นโชคชะตาอย่างที่ทัชว่า หรือบางทีมันอาจเป็นแค่อุปาทาน อย่างที่ผมเคยได้ยินเสียงแว่วๆข้างหู ว่า ....ฝากด้วยนะ...อยู่บ่อยๆ หรือมันจะเป็นสิ่งที่ไอ้แทนมันอยากพูดกับเรา ..ฝากด้วยนะ..  หมายถึง ฝากดูแลไอ้เจ้าทัชด้วยนะ งั้นหรือ ...บ้าไปแล้ว

“พี่นนท์....”  เจ้าตัวเล็กเอามือสองข้างมาบีบหน้าผม

“โอ้ยยย เจ็บ ทำไรเนี่ย”   ผมแหวใส่

“ก็พี่นนท์อ่ะ เป็นไรไปอีก ทำไมชอบเหม่อตลอดเลย บางทีอยู่กับผมก็เหม่อตลอด พี่เป็นอะไรครับ”

“เปล่าๆ ไม่มีอะไร แค่นึกย้อนไปตอนที่เราอยู่มัธยม แค่นั้นเอง”

“ตอนมัธยม? (ทำเสียงสูง) .. กับผม หรือกับพี่แทนครับ”  เจ้าตัวเล็กเอียงคอถามแบบคาดคั้นคำตอบเต็มที่

“กับเรานั่นแหละ  แต่มันก็เหมือนๆกันนะ”  ผมตั้งใจจะอธิบายแบบยาวๆ แต่เจ้าธัชพูดขัดขึ้นมาก่อน

“เหมือนยังไงพี่  ทุกอย่างที่เราเคยทำมา กับพี่แทน ก็ทำด้วยกันเหรอครับ” 

“อื้ม คล้ายๆกัน แต่ไม่มากเท่ากับทัชนะ  รู้สึกได้เลยว่า ไม่เท่ากัน”   ผมมองหน้าเจ้าตัวเล็กจากแสงสว่างนอกหน้าต่างกระจก ทำให้มองเห็นสีหน้าเต็มไปด้วยคำถามและความกระหายใครรู้

“ก็ พี่กับไอ้หมอนั่นน่ะ อายุรุ่นราวคราวเดียวกัน มันเลยเหมือนเป็นเพื่อนสนิทกันไง”  ผมรีบตอบเพื่อเสริมความเข้าใจ

“อาบน้ำ ทำกับข้าวซักผ้าหาฟืน ทำเหมือนกันไหมพี่”

“ชีวิตเด็กหอชาวดอยอย่างเรา อยู่ไหนมันก็เหมือนๆกันนะทำมาหมดแล้ว”

“อืม งั้นผมเข้าใจละครับ”   เจ้าทัชพยักหน้าสองสามครั้ง

“เข้าใจอะไร หือ”   ผมหันมองหน้าเขาและถามออกไป อยากรู้ว่า เจ้าตัวเล็กนี่เข้าใจความรู้สึกเหล่านั้นว่าอะไร

“ก็ผมถึงรู้ไง ว่าพี่แทนคงรักพี่มาก แต่ผมก็รักพี่นะ ผมว่ามากกว่าที่พี่แทนรักพี่อีก” เจ้าตัวพูดอย่างหนักแน่น ทำเอาผมอึ้งบอกไม่ถูกว่าความรู้สึก ณ ตอนนั้นมันเป็นอย่างไร คำว่า รัก ของเจ้าตัวเล็ก มีความหมายอย่างไร ผมไม่กล้าถาม

“เจ้าบ้า ไอ้หมอนั่นมันบอกหรือไงว่า รักพี่น่ะ”  ผมไม่รู้จะพูดอะไรจึงถามออกไปแก้เก้อ

“ไม่รู้สิครับ แต่ผมรู้สึกได้ ว่าพี่เขาคงรักพี่มากๆ พี่นพพี่เนก็เคยบอก”

“ห้ะ ... ไอ้สองตัวนั่นมันพูดอะไรแบบนี้ด้วยเหรอ”

“ก็บอกว่าพวกพี่สนิทกันมากจนบางครั้งพี่ๆเขาแกล้งบอกว่าเป็นแฟนกัน”

“แล้วเราก็เชื่อตามเขาเหรอเนี่ย”  ผมตบหัวเขาเบาๆ และหัวเราะขำ เพราะจริงๆแล้ว ผมกับไอ้แทนสนิทกันมากก็จริง แต่ไม่ได้คิดอะไรกับเขาเกินเลยกว่าความเป็นเพื่อน มันบอไม่ถูกหรอก แต่หากไอ้แทนยังไม่จากโลกนี้ไป ก็ไม่แน่ว่าระหว่างผมกับเขาจะกลายเป็นอะไรในปัจจุบัน

“พี่นนท์ ผมพูดจริงๆนะ เวลาพี่มาบ้านผม พี่แทนเขาจะดูมีความสุขมากเลยนะ แต่ก็นั่นแหละ พี่แทนน่ะ ชอบทำๆดุ”   คนพูดดูมีสีหน้ากลัวๆเล็กน้อย

“ม่ต้องทำหน้าขนาดนั้นก็ได้  ไอ้แทนมันก็ทำขี้เก๊กไปอย่างนั้นแหละ พี่รู้นิสัยมันดี”   

“ไม่รู้อ่ะ แต่ยังไงผมก็รักพี่มากกว่าพี่แทนแหละ“  เจ้าตัวพูดดูท่าทางมั่นใจเสียเหลือเกิน

“เหรออออ (ลากเสียงยาว) พูดบ่อยจังนะ รู้เหรอ ว่ารักแปลว่าอะไร ไหนบอกพี่มาซิ รัก ที่เราพูดเนี่ยหมายความว่าไง”  ผมเผลอพูดออกไปแล้ว แต่ไหนๆก็ได้พูดแล้ว เลยตามเลยละกัน  ใจจริงก็อยากรู้ว่าเจ้าตัวหมายความว่าไง

“ก็..ยังไงดี ก็หวงพี่ไง ไม่ได้อยุ่ใกล้ๆ ก็คิดถึง ไม่อยากให้สาวๆคนไหนอยู่ใกล้พี่ไง  ไม่อยากให้พี่ไปทำดีกับคนอื่นอ่ะ  เดี๋ยวผมจะดูแลพี่เองดีไหมครับ”
 
   นั่นไง ผมนึกแล้วว่าเจ้าเด็กนี่คงไม่เข้าใจหรอก พูดไปก็คงไม่ได้เรื่องได้ราว
 
“หึๆ เด็กน้อยเอ้ย โตจนขนหมอยขึ้นแล้วยังมีความคิดเป็นเด็กๆอีก”  ผมลูบหัวเจ้าตัวเล็กเบาๆ

“ไม่เด็กนะพี่ โตแล้ว นี่ๆ หนวดก็มีแล้ว”  พูดพร้อมกับจับมือผมไปลูบๆตรงบริเวณเหนือริมฝีปาก มันก็จริงนะ ที่มีหนวดขึ้นรำไรๆ แต่มันน่าจะเป็นขนอ่อนมากกว่านะ เด็กน้อยจริงๆเล้ย เจ้าทัชเอ้ย

“ขี้เกียจเถียงด้วยแล้ว นอนกันเถอะ ดึกมากแล้ว”  ผมขยับตัวลนหนุนหมอนทำท่าจะนอน ตะแคงขวาไปทางประตู เจ้าตัวเล็กเอามือมาพาดกลางลำตัวผมไว้  แปลกนะ ทุกทีจะเป็นผมกอดเขามากกว่า

“พี่นนท์ มีแฟนหรือยังครับ”

 นั่นไง...มันยังไม่ยอมจบ ยังจะชวนคุยต่ออีก

“เอาไว้พรุ่งนี้ค่อยคุยกันมั๊ย ดึกแล้วนะ ไม่ง่วงเหรอ เราเดินทางมาไกลด้วย”  พูดไปงั้นแหละครับจริงๆอยากคุยกับเจ้าตัวเล็กทั้งคืนยังได้ แต่ไม่อยากตอบคำถามนี้ จึงแกล้งพูดไปอย่างนั้นเอง

“ยังไม่ง่วงอ่ะพี่ ผมไม่ได้เจอพี่มาตั้งนานนะครับ อยากคุยกับพี่นานๆอ่ะ”    เจ้าทัชพูดโพล่งขึ้นมาเหมือนเดาใจผมออกเลยนะเนี่ย

“อืม แล้วเราจะอยากรู้ไปทำไมล่ะ”  ผมยังคงหยั่งเชิงดูท่าทางเขา

“ก็...อยากรู้อ่ะพี่ นะๆๆ บอกผมเถอะ”  จากแขนที่พาดกลางลำตัวผมเปลี่ยนมาจับบ่าผมแล้วโยกไปมา จนผมต้องพลิกนอนหยายแทน  เจ้าทัชใช้มือข้างเดิมพลิกใบหน้าผมให้หันมาเผชิญหน้ากับเขา

“พี่ นนท์ มี แฟน หรือ ยัง”   เขาถามผมช้าๆทีละคำ

“แล้วตลอดเวลาที่ผ่านมา เราเคยเห็นแฟนพี่ไหมล่ะ”  ผมไม่ตอบแต่ถามย้อนแทน

“อืม ผมก็ไม่เคยเห็นนะ”

“หึ แล้วคิดว่ามีมั๊ย”  ผมแค่นหัวเราะอย่างผู้กำชัยชนะ

“พี่อาจจะไม่ได้พามาอยู่ด้วยเฉยๆไง อาจจะไปมาหาสู่กันเอาอะไรแบบเนี้ย”    โห...ช่างคิดได้นะ ทีความรู้สึกตัวเองกลับพูดไม่ออกบอกไม่ถูกมันน่าตีนักเชียว....ผมได้แต่คิดในใจ

“ไอ้บ้า คิดเพ้อเจ้อไปแล้ว ไม่มีโว๊ย  ก็พี่รักเราอยู่คนเดียวนี่ไง จะให้ไปรักใครอีกล่ะ”  ผมแกล้งหยอกคืนบ้าง

“หา ..รักผมเลยไม่มีแฟนเหรอ จริงเหรอครับ”   เจ้าตัวเล็กกระเด้งตัวลุงขึ้นนั่ง จนผมเองก็ตกใจกับอาการที่อยู่ๆก็ทำแบบนั้นของเขา

“เวิ่นเว้อเกินไปแล้วนะเรา  นอนๆ นอนได้ละ”   ผมดึงตัวเขาลงมานอนเหมือนเดิมแต่ก็ยังไม่วายชวนคุยต่อ  นี่จะไม่ให้หลับให้นอนกันเลยใช่มั๊ย หือ..

“พี่นนท์ครับ”  เจ้าตัวเล็กทำท่าแบบเดิมแต่คราวนี้ใช้สองมือทำท่าเหมือนจะบีบแก้มผมแต่เปล่า..เขาแค่แตะแก้มผมเบาๆ

“หืม  มีอะไรอีกรึ ไม่หลับไม่นอนนะเรา”

“พี่นนท์รักผมไหมครับ”

“หืม ทำไมถามแบบนี้”

“ตอบผมก่อนครับ”

“แล้วคิดว่าพี่รักเราหรือเปล่าล่ะ”

“ผมอยากได้ยินจากพี่อ่าครับ”

“........”

“.........”    ต่างคนต่างเงียบไปพักใหญ่ ผมจึงเอ่ยขึ้นมาบ้าง ทำท่าแบบเขาแต่แกล้งใช้สองมือแนบหน้าเขาแน่นๆเล็กน้อย

“รักสิครับ พี่เคยบอกแล้วไง ว่าพี่รักและเป็นห่วงทัชมาก โอเค บางครั้งบางช่วงพี่อาจจะลืมไม่ได้ติดต่อเรา แต่ขอให้รู้ไว้ว่า พี่ยังรักและเป็นห่วงเราเสมอนะ”   

“ผมเคยมีแฟนนะพี่”

“อืม น้องห้องเดียวกันน่ะหรือ ชื่ออะไรนะ ดาวหรืออะไรสักอย่าง”

“ดาว ครับ ชื่อดาว แต่ไม่ใช่คนนี้หรอกพี่”

“อ้าวแล้วคนไหนล่ะ แหม่ เสน่ห์แรงนะเรา”

“ชื่อกาญจนา รุ่นน้องตอนผมอยู่ม.4ครับ”

“อ้อ ไม่เห็นเคยบอกพี่เลยนะเรื่องนี้”

“ผมไม่อยากทำให้พี่ไม่สบายใจไงครับ”

“หือ ทำไมคิดแบบนั้น”

“เพราะผมรู้ว่าพี่รักผมมาก และตลอดช่วงผมอยู่ ม.ปลาย เวลาฝนตกผมต้องทำอะไรเองหมดทุกอย่างหลังจากพี่จบไป ก็ไม่ได้กินข้าวเป็นกลุ่มๆแบบเดิม ผมไปหาฟืนเองคนเดียว”    ทัชเว้นคำพูดไว้หนึ่งช่วง

“พี่รู้ไหม มันทำให้ผมคิดถึงพี่มากๆเลยครับ เสร็จจากสนามบอลต้องเดินกลับคนเดียวผ่านหน้าลานเลี้ยงปลา ยิ่งนึกถึงพี่ขึ้นมาแล้วมันเศร้ามากเลยอ่ะ ผมหัดเกากีตาร์ดีดเพลงที่ชอบจนเป็นแล้วนะครับ”

“ตัดใจไม่ลงน่ะเหรอ”   ผมพูดแทรกขึ้นมา

“ใช่ๆพี่   ไม่รู้นะครับ ว่าตอนพี่เล่นเพลงนี้ พี่คิดถึงใคร แต่เวลาที่ผมเล่นแล้ว ผมคิดถึงพี่มากเลย ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านมาผมจดจำได้หมดเลย ผมคิดถึงพี่มากๆ แต่พี่ก็ช่างใจร้ายมากไม่ติดต่อกลับมาเลย พี่รู้ไหมผมเคยแอบร้องไห้ที่ลานเลี้ยงปลาด้วยนะ”

    เจ้าตัวคนพูดเองอยู่ๆก็มีน้ำตาไหลรินออกมา ผมได้เห็นได้ฟังแล้วจุกจนพูดไม่ออก  หยาดน้ำอุ่นใสๆไหลรินออกมาโดยไม่รู้ตัวเช่นกัน

“ผมไม่เข้าใจว่า ที่ผมรู้สึกกับพี่นั้นมันคืออะไร พี่รู้ไหม ผมบอกไม่ถูกว่ามันเป็นอย่างไร ผมรู้ว่าผู้ชายต้องรักกับผู้หญิง แต่ทำไมผมไม่รู้สึกดีๆกับน้องกาญจน์แบบที่ผมรู้สึกดีกับพี่  ผมไม่รู้จะบอกยังไงดี  ผมรักพี่และหวงพี่มาก แต่มันจะรักกันอย่างไร ผมก็เป็นผู้ชาย พี่ก็เป็นผู้ชาย และพี่ก็เหมือนพี่ชายของผม พี่ก็รักและเป็นห่วงผมเหมือนน้องคนหนึ่ง  ผมไม่รู้ ผมคิดจนปวดหัวมาก คิดแต่อยากอยู่ใกล้ๆกับพี่  พี่บอกผมได้ไหม มันคืออะไรครับ ผมไม่เข้าใจว่าทำไมถึงคิดถึงพี่มากกว่าน้องกาญจน์เสียอีก สุดท้ายก็ต้องให้เขาไปคบกับคนอื่น”   

   เจ้าตัวเล็กปล่อยโฮออกมา ผมไม่อยากให้เขาร้องไห้ เพราะทุกครั้งที่เขาร้องไห้ ร่างของเขาจะสั่นสะท้านเหมือนลูกแมวตกน้ำ  ผมเองก็รู้สึกจุกอกเจ็บ แทบอ้าปากพูดอะไรออกมาไม่ได้ เสียงมันไม่ออก ทำได้เพียงดึงร่างเขามากอดไว้แน่น ราวกับจะไม่ปล่อยให้เขาหนีหายจากไปไหนอีก สองคนกอดกันร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวร  นานจนผมเริ่มตั้งสติได้

“ทัช  พี่ก็รักเรานะ ไม่ต่างจากที่เรารักพี่หรอก   รู้ไหม  พี่ตามหาความหมายมานานว่าความรู้สึกที่เคยเกิดขึ้นระหว่างเราตอนชั้นมัธยมมันคืออะไร พี่รู้แล้วว่ามันคือความรัก พี่รักทัช แต่พี่อาจจะโตกว่า พี่เรียนรู้ที่จะรักทัชในแบบของความเป็นพี่น้องกันห่วงใยกัน ผู้ชายนี่เนาะ มันก็รักกันได้แบบนี้แบบเดียว แต่ขอให้รู้ไว้ ไม่ใครจะเรียกมันว่าอะไร แต่ความรักก็คือความรัก รู้แค่ว่า พี่รักทัชมากๆ ก็พอแล้วนะ”

“ผมดีใจมากเลยครับ”

“พี่ก็ดีใจนะ ที่รู้ว่า เราเองก็รักและหวงพี่มากเช่นนี้” 

 ผมจูบตรงหน้าผากไปสองสามครั้ง แล้วดึงเขามากอดแน่น เขาเองก็กอดผมแน่น

“พี่เคยสัญญาแล้วนะครับ ว่าจะไม่ทำดีกับใครอีก”

“พี่สัญญาครับ  เชื่อใจพี่เถิด” 

“ผมก็รักพี่นะครับ พี่ชายที่ดีที่สุดของผม”  พูดพร้อมกับกอดกันแน่น นานจนหยาดน้ำตาแห้งเหือด ผมจึงบอกให้เขาลุกไปล้างหน้าล้างตา แต่สุดท้ายก็คะยั้นคะยอให้ไปพร้อมกันจนได้

  ความรู้สึกที่มีอยู่นี้ มันคือความรักเป็นแน่แท้  แต่ผมไม่อยากจะไปนิยามว่ามันเป็นความรักในมุมมองแบบไหน รู้เพียงว่า มีความสุขที่ได้อยู่ใกล้ๆคนที่เรารู้สึกดี รู้สึกห่วงใยต่อเขา มีแต่ความปราถนาดีให้กับเขา  นี่กระมัง ที่เรียกว่าความรัก
  คืนนี้ผมรู้สึกโล่งใจ และมีความสุขมากที่สุด ที่ได้นอนกอดคนที่ผมรักและเฝ้ารอมานานแสนนาน   



........


หัวข้อ: ทัช..สัมผัสใจ ตอนที่18
เริ่มหัวข้อโดย: thewa.arak ที่ 14-07-2017 21:13:11
ตอนที่18



 ภาระที่ต้องรับผิดชอบ ....Part นนท์/ทัช...



     ผมต้องเดินทางไปประเทศญี่ปุ่นทำหน้าที่ล่ามต๊อกต๋อยกับบริษัทชิพอิเล็กโทรนิคส์แห่งหนึ่ง เป็นระยะเวลาสามปี ถือว่านานที่สุด งานไม่ได้ยากลำบากอะไร แต่เหนื่อยที่ต้องเดินทาง เฉลี่ยแล้ว ค่าเดินทางแพงกว่าที่พักเสียอีก  จึงไม่ได้ติดต่อกับ ทัช อีกเลย  บางทีอาจเป็นเพราะผมที่ไม่รอบคอบและไม่ใส่ใจเท่าที่ควร อย่างที่เขาเคยต่อว่าผมก็เป็นได้ โทรต่างประเทศก็แสนแพง อีกอย่างเป็นเพราะผมจำเบอร์โทรศัพท์เขาไม่ได้เลย 
  กระนั้นก็ตาม ใช่ว่าผมจะลืมทัชเสียเมื่อไหร่ ผมยังคงคิดถึงเขาอยู่เสมอ ผ่านตัวอักษรในบันทึกบ้าง ผ่านกลอนสมัครเล่นบ้าง ผมรู้ตัวเองดี ว่าไม่มีเลยสักวันที่ผมจะไม่คิดถึงเขา แต่ด้วยภาระหน้าที่และอยู่ห่างไกลกันตั้งครึ่งค่อนฟ้า จึงไม่อาจจะติดต่อถึงกันได้ แต่ผมเชื่ออย่างหนึ่งว่า เขาเอง ก็จะคิดถึงผมเช่นเดียวกัน 
 จบภาระกิจที่แดนปลาดิบ กลับมาช่วง ปีใหม่ตรุษจีนพอดี ได้มีโอกาสกลับไปเยี่ยมบ้าน เลยถือโอกาสไปเยือนบ้านเจ้าทัชอีกครั้ง    ถนนหนทางยังคงเป็นแบบเดิม ทางลูกรังลัดเลี้ยวขึ้นเขาแบบเดิม ดินแดงเหมือนเดิม นี่ถ้าผมขับมอเตอร์ไซค์มาคงได้หัวแดงแน่ๆ  ถึงบางช่วงบางตอนที่เป็นไร่ชาวบ้านที่มีการปลูกกระต๊อบไว้นอนเฝ้าไร่ ก็แวะพัก ลงไปถ่ายรูปบรรยากาศรอบๆ  ยังคงสามารถที่จะกางแขนและสูดเอาอากาศบริสุทธิ์เข้าเต็มปอด  เดือนกุมภาพันธ์ยังคงมีความหนาวเย็นปกคลุมอยู่ทั่วขุนเขา หลับตานึกถึงเรื่องราวต่างๆที่ผ่านมา ทุกๆภาพฉายชัดในความทรงจำเป็นภาพที่ผุดขึ้นมาเป็นฉากๆ ตั้งแต่ครั้งแรกที่มากับไอ้แทน จนกระทั่งถึงครั้งที่มากับเจ้าทัชด้วย  มองลงไปเบื้องล่างนั่น ห้วยวังถ้ำ ยังคงเขียวขจีสวยใสและดูน่าเกรงขามไปในตัว
     การไปเยี่ยมในครั้งนี้ของผม ทำให้ผมเซอร์ไพรซ์ยิ่งกว่าครั้งไหนๆ เจ้าตัวเล็กของผมมีลูกแล้วหนึ่งคน เหมือนกับที่ผมก็เผลอไปมีอะไรกับสาวชาวเขาในหมู่บ้าน  เนื่องจากพ่อแม่ฝ่ายหญิงมาเห็นตอนเรานอนกับลูกสาวเขา เลยโดยจับคลุมถุง แต่แม่ผมรู้ว่าฝ่ายหญิงเขาไม่ได้มีผมแค่คนเดียว เลยไม่ยอมให้แต่ง จึงเสียผีให้ตามธรรมเนียมประเพณี  ซึ่งผมเองก็ไม่อยากจำเรื่องราวนี้ จึงพยายามที่จะไม่รื้อฟื้น ทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น  เมื่อผมไปเยี่ยมที่บ้านเขา ผมโดนต่อว่าสาระพัดจากแม่หมวง และน้องสาวไอ้แทน (พี่สาวเจ้าทัช)  ส่วนอารุจน์แกไม่ได้ว่าอะไร  และดูเหมือน อาเหมย จะเข้าใจอะไรต่อมิอะไร ระหว่างผมกับเจ้าทัชเป็นอย่างดี แต่เนื่องด้วยสถานะและธรรมเนียมประเพณี จึงไม่สามารถจะพูดจะเอ่ยถึง  ผมยอมรับโดยดีที่ไม่สามารถติดต่อทัชได้จะด้วยจากสาเหตุอันใดก็แล้วแต่ แต่ก็ไม่เคยไปแก้ตัวต่อหน้าแม่หมวง อย่างไรเสีย ผมก็ได้เบอร์เจ้าทัชมาจนได้ ทราบมาว่ายังคงทำงานอยู่กับเพื่อนกับญาติแถวๆบางบอนเช่นเดิม  ทุกอย่างยังคงเดิม ที่นอนที่ผมเคยนอนกับไอ้แทน กับเจ้าทัช  ยังคงเหมือนเดิมไม่มีการเปลี่ยนแปลง 
  อาเหมยเองก็กลับมาเยี่ยมบ้านช่วงตรุษจีน  ก่อนที่ผมจะกลับ อาเหมยได้คุยกับผมเล็กน้อย ผมถามไถ่สาระทุกข์สุกดิบพอเป็นพิธี  อาเหมยรู้เรื่องราวระหว่างผมกับทัช   เขาคงคิดถึงผมมากไม่กล้าคุยกับใคร  ...แต่มาคุยกับพี่สาวมันเนี่ยนะ....เฮ้อ...  สาเหตุที่พลาดพลั้งจนมีลูกได้ก็คงเพราะเมามาก ไม่มีพิธีแต่งงานใดใดทั้งสิ้น  ทัชมันไม่ยอมแต่งแต่จะรับผิดชอบลูกที่เกิดมา  อืมก็ยังดีที่มีจิตใจเป็นผู้เป็นคนเป็นคนดีมีศีลธรรม ทางฝ่ายนั้นเค้าไม่ให้ลูกมาอยู่กับฝ่ายคนของเรา  ผมเองก็ชินกับวัฒนธรรมแบบนี้แล้ว ไม่ใช่มีแค่ผมกับทัช  แต่มีอีกหลายคู่ที่เป็นแบบนี้ แบบเลิกรากันไปโดยที่มีลูกติดไปด้วย แต่ลูกน่ะรู้ว่าใครคือพ่อที่แท้จริง   อาเหมยตัดพ้อผมอยู่หลายประโยคก่อนที่ผมจะลากลับบ้าน 
   ผมขับรถห่างจากหมู่บ้านต้นไผ่พอสมควร จึงจอดรถข้างทางและโทรหาใครคนหนึ่งทันที
โทรครั้งแรกไม่ติด ครั้งที่สองติดแต่ยังไม่มีคนรับ  จนมารับเอาสายที่สาม

“ฮัลโหล นั่นใครครับ”   เสียงเจ้าทัช เสียงนี้ผมคุ้นเคยดี  หัวใจผมพองโตขึ้นมาทันทีที่ได้ยินดสียงเขาอีกครั้ง นานแค่ไหนกันนะที่ไม่ได้ยินเสียงนี้เลย

“อืม ทำไมไม่กลับมาตรุษจีนที่บ้านล่ะ”  ผมดัดเสียงเล็กน้อย

“นั่นใครอ่ะ อาโหล เหรอ ใช่ป่ะ”   เสียงผมเหมือนอาโหลมากเลยเหรอเนี่ย ...ผมคิด....

“ตอบมาก่อนทำไมไม่กลับมาตรุษจีนที่บ้าน”  ผมถามย้ำอีกครั้ง

“เอีย (แปลว่า “ผม” ใช้เรียกตัวเอง) ยังเก็บเงินได้ไม่มาก และวันหยุดมันไม่พอลากลับ เลยไม่อยากกลับ”   ทัชอธิบายยาว

“อ่อ แล้วเป็นไงบ้างสบายดีไหม งานหนักป่าว ได้ข่าวว่ามีลูกแล้วนิ ร้ายนะเรา”

“......................”   ทัชเงียบไปชั่วอึดใจ

“อ้าวไม่ตอบอีก”

“นั่นใครอ่ะ ไม่ใช่อาโหลนี่ “  เจ้าตัวเสียงแข็งเล็กน้อย ฟังดูมีแววโกรธอยู่กลายๆ

“พี่เอง จำเสียงพี่ไม่ได้เหรอ”   ผมพูดด้วยโทนเสียงราบเรียบตามปกติ ไม่ดัดเสียงอีก

“พี่นนท์.....”   ได้ยินแค่เสียงเรียกชื่อผม แล้วสายก็ตัดไป   ผมโทรไปอีกสามรอบไม่ติด เพิ่งเห็นสัญญาณมือถือว่า คลื่นมันมีแค่ขีดเดียว   เดินไปมารอบๆบริเวณสัญญาณหายบ้างขีดเดียวบ้าง เลยขับรถลงดอย กะว่าถึงเขตหมู่บ้านชนพื้นเมืองด้านล่างตีนดอยแล้วค่อยโทรหาอีกครั้ง แต่ยังไม่ถึงตีนดอยดี ก็มีสายเข้า

“ฮัลโหล  พี่นนท์ใช่ไหมครับ  ตัดสายทำไม  พี่นนท์ใช่ไหม พี่กลับมาแล้วเหรอ ไปเที่ยวหาผมที่บ้านเหรอครับ ทำไมไม่โทรมาบอก ทำไมไม่ติดต่อมาเลย พี่สัญญากับผมกี่ครั้งแล้วทำไมถึงทำแบบนี้ พี่ทิ้งผมไปหลายครั้งแล้วนะ พี่ลืมผมแล้วเหรอครับ”     
 ทัชอัดใส่ผมซะยาวเหยียดแทบไม่เว้นจังหวะหายใจ

“ทัชๆ เดี๋ยวนะ หยุดหายใจนิดนึง พี่ขับรถลงดอยอยู่ รออีกนิดเดี๋ยวพี่โทรกลับ” 

“ไม่ต้องวางสายเลยนะพี่  รีบๆจอดรถเลย”   แน่ะ มีออกคำสั่งอีกนะ  ผมเลยแวะจอดริมทางลูกรัง

“อ่ะ พี่จอดรถแล้ว จะด่าอะไรพี่อีก พี่ยินดีฟังนะ”  ผมพูดเชิงหยอกล้อ

“ถ้าผมอยู่ใกล้ๆผมจะต่อยพี่ให้คว่ำไปเลย  พี่อ่ะ ชอบหนีหายจากผมอยู่เรื่อย ติดต่อก็ไม่ติดต่อมา รู้ไหมว่ามีคนเป็นห่วง”

“อืมๆ แล้วไปทำอีท่าไหนล่ะถึงไปทำคนอื่นท้องได้”

“พี่ไม่ต้องพูดถึงมันได้ป่ะ ผมไม่ชอบ”    มีน้ำเสียงตะคอกตะคั้นด้วยนะ 

“อ่ะๆ โอเคๆ พี่จะไม่พูดถึง แต่ฟังพี่ก่อน”

“..................”   เงียบไปสักพัก ผมจึงพูดต่อ

“ทัช”    ผมเว้นจังหวะไว้ช่วงหนึ่ง

“ทัช ฟังพี่ดีดีนะ  พี่ไม่รู้ว่าเราตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ แต่เรื่องมันเกิดขึ้นแล้ว เด็กมันเกิดออกมาแล้ว เราต้องรับผิดชอบเขานะ มันเป็นหน้าที่ของเรา เข้าใจไหม”

“แล้วพี่ล่ะ ของพี่เองพี่เคยรับผิดชอบไหม”   ธัชมันรู้ครับ เพราะผมเคยเล่าให้ฟังแล้ว

“พี่ก็รับผิดชอบไปแล้ว เสียผีไปแล้วตามธรรมเนียมที่เขาเรียกร้องมา แถมปีใหม่บางปีพี่ก็ให้เงิน”

“ใช่สิครับ ผมมันไม่ได้จบสูง ผมมันจน ผมไม่มีเงินมากพอที่จะให้เขาเหมือนพี่นี่” 

“ทัช...ทัชใจเย็นๆก่อนครับ ตั้งสติ ใจเย็นๆ ค่อยๆพูดกับพี่  เอาเป็นว่าเรื่องนี้พี่จะไม่ถามทัชอีก ส่วนจะด่าพี่เรื่องที่หายเงียบไป พี่ขอโทษ พี่ไม่รู้จะหาคำไหนมาพูดได้ดีเท่าคำนี้  เพราะพี่รู้สึกแบบนั้นจริงๆ แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมา พี่ไม่เคยลืมเรื่องราวของเราเลยนะ  พี่ไม่เคยลืม พี่คิดถึงทัชอยู่เสมอ แม้จะทำเบอร์หายไป แต่ก็กลับมาที่บ้านเพื่อมาขอเอากับแม่หมวงใหม่  ทัชก็รู้ว่าพี่รักเรามากแค่ไหน ทำไมพี่จะลืมเราไปล่ะ อะไรทำให้คิดแบบนั้น”    ผมรู้สึกจุกในขณะที่อธิบายให้ฟัง

“ก็ผมคิดถึงพี่ตลอดเวลา ติดต่อก็ไม่ได้ พี่ก็อยู่ต่างประเทศ ผมก็เหงาเป็นนะ พี่เงียบหายไปแบบนี้พี่ไม่คิดถึงใจผมบ้างเหรอ”

“ฟังนะ พี่รักทัช รักและ เป็นห่วงทัชมาก เราน่ะเป็นคนเดียวในใจพี่ ไม่ต้องห่วงเลย ไว้กลับ กรุงเทพแล้วเดี๋ยวพี่จะโทรไปหานะ แล้วเราค่อยคุยกัน”

“พี่จะกลับวันไหน”

“กลับวันพรุ่งนี้ “

“งั้นวันศุกร์ผมไปหาพี่นะ “

“เห้ย ไม่ทำงานหรือไง”

“มันติดวันเสาร์อาทิตย์ด้วย  ผมลาพักร้อนหนึ่งวันครับ ยังไม่ได้ใช้เลยปีนี้”

“อืม ตามใจเลย จะให้พี่ไปรับที่ไหนก็บอกละกันนะ พี่ต้องกลับละ เดี๋ยวจะค่ำซะก่อน”

“พี่นนท์ “

“หืม ว่าไง”

“ผมคิดถึงพี่มากนะ”

“ครับ เช่นกัน พี่ก็คิดถึงเราเหมือนกันนะ ไว้เจอกัน”

“ขับรถดีๆนะพี่  แล้วเจอกัน พี่เจอดีแน่ หึหึ”  ยังมีคำขู่ก่อนวางสายไปอีกนะ ผมยังไม่ทันจะพูดอะไรสายก็ตัดไปแล้ว จึงขับรถกลับบ้านเลย  รู้สึกหัวใจพองโต จิตใตกระปรี้กระเปร่ามีชีวิตชีวาขึ้นมาทันทีทันใด  ในขณะเดียวกันก็อดคิดไม่ได้ว่าเขาจะทำโทษอะไรผม

..................

   
   วันศุกร์ช่วงเย็น ผมไปรับทัชที่หน้าหมอชิต เวลาเดิมสองทุ่มกว่า  หนุ่มน้อยไว้ผมยาวรองทรงยาวกว่าครั้งที่มาหาผมครั้งแรก กางเกงยีนน่าจะเป็นตัวที่ผมเคยซื้อให้เมื่อตอนอยู่มหาวิทยาลัย เสื้อยืดสีขาว  ผมใจเต้นโครมครามทุกครั้งที่ได้เจอกับเขา คนที่ผมรักมากคนนี้ มันตื่นเต้นเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา

“หวัดดีครับ พี่นนท์”  ยังไม่ทันจะทักตอบ เจ้าทัชโยนกระเป๋าไปที่เบาะหลังแล้วกึ่งพุ่งตัวจะข้ามเบาะมากอดคอผมแน่นเชียว

“เอ่อม ทัช ๆ ใจเย็นๆครับ พี่เจ็บคอ “  โดยขโมยหอมแก้มไปทีนึง ผมก็อดไม่ได้ที่จะเอาคืน และลูบหัวเขาสองสามที

“ไหนดูซิ ผมยาวเกินไปแล้วนะเนี่ย ไม่หล่อเลย พรุ่งนี้พี่พาไปตัด”   ผมบอก แต่เจ้าตัวรีบเอียงตัวหลบไปที่เบาะตัวเอง

“ไม่เอาอ่ะพี่นนท์ “

“ไม่ได้ มันดูไม่เหมาะเลย แล้วจะแสกกลางเพื่ออะไร ทรงแบะหีควายเหรอ”  ผมหัวเยาะเยาะ

“ฮ่าๆ พี่นนท์ก็ พูดเหมือนอาจารย์สมฤทธิ์เลยนะ”  เจ้าตัวหัวเราะรื่น ทำเอาผมยิ้มแก้มแทบปริ

“ป่ะ ไปกันเถอะ  หาข้าวกินกัน พี่หิวแล้ว”

  พาเจ้าทัชผ่านมาทานข้าวแยกเกษตรตัดรามอินทรา

“พี่นนท์ ไม่อร่อยเลยเนี่ย หวานปะแล่มๆ มันแห้งเกินไปเนื้อก็ค้างคืนนะเนี่ย”  เจ้าทัชบ่น

“กินๆไปเถอะน่า” ผมหยิบหมูสะเต๊ะอีกหนึ่งไม้ทำท่าจะยื่นใส่ปาก เจ้าตัวรีบปัดออกทันที

“แหวะ ไม่เอาแล้วพี่ ผมจะอ๊วก” 

“เห้ย อย่านะ เสียดายของกินให้หมดเลย ไม่หมดจะทิ้งไว้ตรงนี้แหละ ไม่พากลับ”   ผมพูดขู่แกมหยอก แต่สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นทำให้ผมต้องเสียใจไม่น้อย

“............”    เจ้าตัวเล็กเงียบเสียงลงไปทันที

“ทัช... พี่ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นนะ แค่ล้อเล่นน่ะ”    พอผมพูดจบ เพียงชั่วอึดใจ เขาเงยหน้ามองผม  นัยน์ตาคลอด้วยน้ำใสๆ  พูดพร้อมเสียงสะอื้น

“ตลอดเวลาที่ผ่านมา พี่ยังคิดว่าผมไม่เหงาพอหรือครับ พี่ทิ้งผมไว้คนเดียวกี่ครั้งแล้ว ผมต้องอดทนมากแค่ไหน ปลอบใจตัวเองว่าพี่จะกลับมา แต่ผ่านวันเป็นเดือนเป็นปี ก็ไม่มีแม้แต่เงาพี่ แม้แต่เสียงก็ไม่ได้ยิน พี่คิดว่าผมจะเจ็บมากแค่ไหน”    พูดไปสะอื้นไป และน้ำตาก็พร่างพรูออกมา จนโต๊ะข้างๆเริ่มสังเกตอาการทางโต๊ะผม

“ทัช พี่ขอโทษครับ พี่ปากไม่ดีเอง พี่ไม่ได้ตั้งใจจริงๆนะ”   ผมลุกขึ้นมานั่งทางฝั่งเขา ใช้มือซ้ายโอบรวบแก้มเขาดึงมาซบตรงไหล่ผม และผมก็ไม่อายสายตาโต๊ะข้างๆแต่อย่างใด ลืมไปเลยว่าไม่ได้มีเพียงแค่เราสองคน

“โอ๋ๆ คนดี ตัวเล็กของพี่  ไม่เอานะ อย่าร้องไห้อีกเลย พี่ก็เจ็บไม่แพ้ทัชหรอกครับ”  ผมโอบบ่าเขาไว้กระชับแน่นๆ รู้สึกได้ถึงร่างกายที่สั่นของเขา  ผมเข้าใจ ภายนอกที่ดูกำยำของเขาซุกซ้อนความอ่อนไหวเอาไว้ภายใน เหมือนผมไม่มีผิด  เขารู้สึกเจ็บปวดมากทีเดียว

“ตัวเล็ก อิ่มหรือยัง เรากลับกันเลยมั๊ย “   ทัชพยักหน้า ผมจึงบอกให้เขาเช็ดน้ำตา  ผมเดินไปจ่ายเงินแล้วพาเขากลับไปที่คอนโด

“จะแวะซื้ออะไรที่เซเว่นก่อนไหม”      เจ้าตัวไม่ตอบ ทำเพียงส่ายหน้า ผมจึบขับผ่านเลยไปยังคอนโด ระหว่างทางกลับมาคอนโด เจ้าตัวเล็กไม่พูดไม่เอื้อนเอ่ยอะไรออก  นั่งเงียบมาตลอดทาง ถามก็พยักหน้าส่ายหน้าตอบแทนคำพูด

  เข้าห้องปุ๊ปผมล้อคประตูแล้วรีบเดินไปโอบกอดตัวเจ้าตัวเล็กจากด้านหลัง กอดแบบแน่นที่สุด เจ้าตัวเล็กปล่อยกระเป๋าเป้ร่วงตกลงสู่พื้น

“พี่คิดถึงเรามากเลยนะ ตัวเล็ก คิดถึงมากๆ คิดถึงมากจริงๆ”   ผมพร่ำพูดคำว่าคิดถึงเจ้าตัวเล็กหลายครั้งจนรู้สึกได้ถึงความร้อนตรงขอบตา คัดจมูกขึ้นมาทันที เจ้าตัวเล็กคลายแขนผมออกแล้วหันกลับมาโอบแขนรอบคอผม

“พี่คิดว่าผมไม่คิดถึงพี่เหรอครับ คิดถึงจนแทบจะไม่เป็นอันทำอะไรเลยนะผมผ่านอะไรมาก็เยอะ พี่ก็ไม่ได้อยู่ใกล้ให้ผมได้ปรึกษา แต่ผมก็คิดถึงพี่ตลอด พี่เป็นกำลังใจของผมนะรู้มั๊ย”   พูดพลางใช้มือปาดน้ำตาให้ผม

“ขอบคุณนะ ตัวเล็ก ที่ไม่เคยลืมพี่”

“ผมจะลืมพี่ได้ไง  พี่นั่นแหละที่ลืมผม”

“ไม่นะครับ สาบานเลย พี่ไม่เคยลืมเราเลยนะ มานี่สิ”  ผมดึงมือเจ้าตัวเล็กไปยังห้องนอน หยิบเอาสมุดบันทึกที่ซ่อนอยู่ตรงหัวเตียงยื่นให้

“เนี่ย จะรู้ว่าพี่ไม่เคยลืมเราเลย เราน่ะ อยู่ในใจพี่เสมอนะ”

“ไม่ต้องหรอกพี่  ผมรู้ ผมเชื่อพี่”   ทัชเอาสมุดบันทึกผมโยนเบาไว้บนเตียง

“ผมดีใจมากเลยครับ ที่ผมเลือกคนไม่ผิด”

“เดี๋ยวนะ  เลือก?   หมายความว่าไงหรือ”

“ผมคิดว่าพี่เข้าใจที่ผมพูดนะครับ ผมยอมรับว่าผมเคยลองมาหมดแล้ว แต่ วันนี้ นาทีนี้ ผมจะบอกพี่ว่า พี่คือคนเดียวในใจผม ผมไม่เคยรู้สึกมีความสุขและเจ็บปวดในเวลาเดียวกันเมื่อคิดถึงพี่ ผมอบอุ่นใจทุกครั้งที่มีพี่อยู่ข้างๆผม  ผมรู้แล้วว่ามันคือ ความรัก สิ่งที่พี่อยากจะบอกผมตั้งแต่สมัยที่พี่อยู่มหาลัย ตอนนี้ผมเข้าใจทุกอย่างแล้ว  และผมเลือกพี่ แม้เราจะเป็นผู้ชายเหมือนกัน   แล้วไงล่ะครับ ผมก็รักพี่อ่ะ  แค่เป็นผู้ชายเหมือนกันจะรักกันไม่ได้หรือ อย่างน้อยก็รักกันเหมือนพี่น้องไง”   

   ทัชเป็นฝ่ายพูดเสียยาวเหยียดเลยทีเดียว ผมน้ำตาหยุดไหลไปตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ แต่ความรู้สึกทึ่งและอึ้งกลับเข้ามาแทนที่  เขาเข้าใจทุกอย่าง เขารู้  เขาโตแล้ว

“ทัช เข้าใจในสิ่งที่พี่ทำมาตลอดด้วยหรือนี่ พี่ดีใจมากเลยครับ ดีใจมากๆ แต่พี่รักทัชเหมือนน้องชายนะครับ เป็นความรักที่มีแต่ปรารถนาให้ชีวิตของทัชพบเจอแต่เรื่องดีๆ พี่ไม่รู้ว่า เราจะเข้าใจตรงนี้ไหม”

“การมาเจอกับพี่อยู่กับพี่นี่ไงครับ คือเรื่องดีๆที่ผมพบ และผมก็เข้าใจมันแล้ว”

พูดจบ เขายกมือเช็ดคราบน้ำตาให้ผม  โดยที่ไม่ทันตั้งตัว เขาใช้ช่วงข้อศอกโน้มคอผมลงมา แล้วจูบผมเบาๆ  ใช่ ภาพนั้นเป็นภาพภาพที่ผมประทับใจไม่รู้ลืม ผมโอบกอดเขาแน่นและจูบตอบเบาๆ

“ผมรักพี่ ผมไม่รู้ว่าพี่กับผมจะรักกันไปอย่างไร แต่ผมจะพยายาม”   ว่าพลางก็ขยับถอยไปที่เตียงในขณะที่มือและแขนยังคงรั้งคอผมไว้ จนล้มลงบนเตียงในสภาพที่ผมกดทับเจ้าตัวเล็กอยู่

“ทัช...จะทำอะไร รู้ตัวไหมว่ากำลังทำอะไรอยู่”   ผมเอ่ยเตือนสติ แต่ไม่ทันแล้ว เจ้าตัวเล็กประกบปากผม และพร่ำพูด

“ พี่นนท์อย่าเพิ่งพูดอะไรครับ อย่าพูดอะไรทั้งนั้น”     

แล้วก็จูบผมแบบไม่ทันตั้งตัว ผมเองก็รู้สึกทั้งมีความสุขและรู้สึกผิดในคราวเดียวกัน แต่ไม่ว่าจะเป็นความคิดอะไรก็แล้วแต่ ผมก็ห้ามความปรารถนาในใจไม่ได้อีกต่อไป ผมใช้มือลูบตรงหน้าผากเจ้าตัวเล็ก  ตั้งแต่เขาตัวเล็กๆ จนเรียนด้วยกัน ผ่านอะไรต่างๆมาด้วยกัน วันนี้ เขาเองก็พร้อมที่หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับผม ผมจูบหน้าผากเขาหนึ่งครั้ง

 “พี่รัก ทัชนะครับ รักมากๆ รักมากที่สุด” พูดไม่ทันจบดี เจ้าตัวเล็กก็โน้มคอผมลงไป ประกบปากกับเขา

“พี่นนท์ ผมไม่รู้ว่าต้องทำอย้างไรบ้าง เอาเป็นว่า พี่ค่อยๆทำนะ”  ผมไม่ทันได้อธิบายอะไรเขาก็เอื้อมมือมาปลดเสื้อผมออกพร้อมกับเสื้อของตัวเอง

“นี่เราคงไม่ได้ทำผิดกันอยู่ใช่ไหม   แน่ใจแล้วนะ”  ผมเอ่ยเตือนอีกครั้ง แต่เจ้าตัวเล็กกลับขยับเขามากอดผมและจูบผมต่อ

“แล้วเรื่อง ลูกของทัชล่ะ เรา..” ยังไม่ทันจะพูดจบเจ้าตัวเล็กเอาฝ่ามือมาปิดปากผมไว้

“ผมรักพี่ ปล่อยให้มันเป็นเรื่องของความรักนะครับ”

“...............”   ผมหยุดเงียบไปชั่วอึดใจ  อืม มันเป็นความรัก เรารักเขาเราห่วงใยเขา มันไม่ใช่เกิดจากความใคร่  หลังจากวันนี้ไป แม้จะมีอะไรเกิดขึ้นผมก็จะไม่เสียใจ   ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามความรู้สึกที่ต่างฝ่ายต่างมีให้กัน  ครั้งแรกของกันและกัน แม้เจ้าตัวเล็กจะมีเสียงคร่ำครวญเหมือนเจ็บปวด แต่ผมก็อ่อนโยนกับเขาที่สุด เขาบอกว่าเขารู้ตัวและยินดีกับสิ่งที่กำลังทำ บอกผมว่าอย่าคิดมาก

มันไม่ใช่เรื่องผิดแต่อย่างใด ซึ่งผมเองก็ยังรู้สึกทึ่ง ว่าเขาไปเรียนรู้คำพูดพวกนี้มาจากไหน  มันเป็นช่วงเวลาที่ผมมีความสุขมาก ทัชเองก็ไม่ต่างจากผม  ผมมองหน้าเขาจูบหน้าผากเขา หอมแก้มเขา แล้วยิ้มอย่างมีความสุข  คนที่นอนอยู่ข้างๆผม เป็นน้องชายของเพื่อนผม เพื่อนที่ผมก็รักเขามากเช่นกัน  ผมเองก็ไม่อยากจะคาดเดาว่า หากไอ้แทนยังอยู่ ไม่แน่ว่าคนที่นอนอยู่ข้างๆผม อาจจะเป็นไอ้แทนก็เป็นได้  อย่างไรก็ตาม ผมเองก็รักเจ้าตัวเล็กมากไม่แพ้ไอ้แทน ออกจะรักน้องชายมันมากกว่าด้วยซ้ำไป  คงเป็นเพราะเขาตัวเล็กกว่า และเป็นคนที่อายุน้อยกว่า ผมจึงรักเขาเอ็นดูเขามากเป็นพิเศษ

 “คราวนี้ เราเป็นหนึ่งเดียวกันแล้วนะครับ ต่อไปพี่อย่าทิ้งผมไปอีกนะครับ”    ทัชหันมากอดผมแน่น ผมเองก็สอดแขนใต้คอเขากอดเขาเอาไว้ 

“ไม่มีทางหรอก พี่น่ะ รักเรามากเลยนะรู้ไหม จนป่านนี้ยังไม่เข้าใจอีกเหรอครับ หืม เมื่อกี้ยังบอกว่าเข้าใจพี่ทุกอย่างเลยนะ”  ผมหยอกเขาเล่น

“เข้าใจครับ แค่อยากย้ำให้พี่รู้ตัว เพราะพี่ชอบหนีผมไปประจำ”

“ไม่เอานะตัวเล็ก อย่างคิดอย่างนั้นเด็ดขาด พี่ไม่เคยลืมเราเลย ไม่เคยแม้สักวันเดียว”

“พี่ไปอาบน้ำก่อนนะ เดี๋ยวผมจะทำอะไรให้กิน”

“อ้าว แปลกนะ ทำไมครั้งนี้ไม่คะยั้นคะยอให้ไปอาบด้วยกัน”  ผมมองหน้าเขา เขาหลบตาผมด้วยแฮะ เป็นครั้งแรกนะนี่ ที่ผมได้เห็นอาการขวยเขินของเขาแบบนี้ ดูน่ารักไปอีก  ถึงตอนนี้ผมไม่หวั่นเกรงอะไรอีกต่อไป  ผมจะต้องพยายามทำให้ดีที่สุด เพราะผมมีอีกหนึ่งชีวิตเข้ามาให้ผมได้ดูแล เป็นภาระที่ผมยินดีและเต็มใจอย่างยิ่งที่จะดูแลชีวิตนี้ตลอดไป

.......

   ผมออกมาจากห้องน้ำเห็นเจาตัวเล็กนุ่งผ้าเช็ดตัวอยู่ในส่วนครัวกำลังทำอะไรสักอย่าง

“ตัวเล็ก ยังไม่ไปอาบน้ำอีก”  ผมเดินไปโอบกอดเขาจากด้านหลัง ธัชกอด วงแขนผมไว้

“เนี่ย ต้องโทษพี่นะ ที่ผมกินไม่อิ่ม”

“อ้าว แหม  เรานี่ก็นะ พี่นึกว่าอิ่มแล้ว ไหน ทำอะไรเนี่ย”

 เจ้าตัวเล็กของผม ทำต้มจืดไข่น้ำใส่วุ้นเส้น ของโปรดผมเลย  ผมมองหน้าเขาแล้วยิ้ม

“เก่งจัง ว่าแต่จะอร่อยไหมน้อ”

“ลองชิมสิครับ”  ว่าแล้วก็ตักมาหนึ่งช้อนป้อนใส่ปากผม

“อื้มอร่อยนะเนี่ย  ป่ะ เรารีบไปอาบน้ำเลย ดี๋ญวออกมากินด้วยกัน”

“พี่ต้องไปช่วยผมอาบสิครับ”

“เอ้า อะไรกัน ให้พี่ไปอาบก่อนแล้วยังจะให้ไปอาบด้วยกันอีก”

“เอาน่ะพี่ มาๆ”    ว่าแล้วก็ดึงแขนผม ไปห้องน้ำ จัดแจงถอดผ้าขนหนูออกเอาสายฝักบัวเปิดน้ำราดใส่หัวผมทันที

“เฮ๊ย  พี่อาบแล้ว”

“ไม่เอา อาบอีกนะพี่”

“ไม่เอาแล้ว  มาๆ อยากให้อาบให้ใช่ไหม ได้ๆ”  ผมพูดจบก็คว้าแชมพูและอุปกรณ์อาบ้ำ ชะโลมทั่วร่างกายเจ้าตัวเล็ก พร้อมกับสระผมให้เขา เขาก็ถูตัวจัดการให้ตัวเอง

“โอ้ย..”    เจ้าตัวเล็กร้องออกมาพร้อมกับทำสีหน้าเจ็บปวด

“เป็นอะไรไป “  ผมถามด้วยความตกใจ

“มันเจ็บอ่ะพี่ โดนน้ำแล้วมันแสบ”  เจ้าตัวเล็กเอามือข้างหนึ่งไพล่ไปด้านหลัง ผมรู้ทันทีว่าเขาหมายถึงอะไร

“พี่ขอโทษ เจ็บมากไหม”

“ไม่เป็นไรครับ พี่อย่าไปทำแบบนี้กับใครนะครับ รู้ไหมผมหวงนะ”

“เว่อจัง พี่จะไปทำกับใครล่ะ พี่มีเรา แค่นี้ก็ยุ่งจนเวียนหัวแล้วค้าบ “  ผมขยี้หัวเขาเบาๆ

“จริงๆ นะครับ”

“อื้ม ไม่มีแน่นอน รีบอาบน้ำเถอะครับคุณหนู เดี๋ยวแกงเย็นจะไม่อร่อย”  ผมแซว เลยโดนเจ้าตัวเล็กเอาหัวฝักบัวทุบแขนเบาๆ........

 ผมปล่อยให้ตัวเล็กกินข้าวจนอิ่ม ไล่ให้ไปแปรงฟัน  แล้วมานั่งดูทีวีกัน  ตัวเล็กบ่นปวดท้อง ผมก็เกรงว่าจะมีอาการแทรกซ้อนหรือไม่ จึงบอกว่า ไปหาหมอดีไหม เจ้าตัวบอกไม่เป็นไร มันแค่ปวดหนึบๆ ไม่ใช่ปวดเพราะอย่างอื่น  พูดจนผมเข้าใจ  ผมเองก็รู้สึกผิด ขนาดอ่อนโยนที่สุดแล้ว เขายังต้องทนเจ็บเพื่อผม ผมกอดและจูบหน้าผากเขาหนักๆ

“พี่รักทัชนะครับ “

“ผมก็รักพี่ครับ รักมากด้วย “  หอมแก้มผมหนึ่งที แล้วไปเข้าห้องน้ำ

“พี่ปิดทีวีแล้วนะ นอนรอละกันครับ” เจ้าตัวคงได้ยินผมแหละ ผมทึกทักเอาเอง

กลับเข้ามาในห้อง ผมสังเกตุเห็นกระดานไม้ตรงหัวเตียงปิดไม่สนิทจึงเปิดดู  ปลายกระดาษคั่นหน้าหนังสือถูกปะตูกระดานไม้หนีบเอาไว้นั่นเอง ผมหยิบมันขึ้นมาเปิดดู เห็นลายมือไม่คุ้น เพราะเดิมทีมีแต่ตัวหนังสือผมทั้งสิ้น แต่ข้อความนั้นผมรู้ทันทีว่าใคร และเป็นข้อความที่ผมอ่านแล้วยิ้มแก้มแทบปริ และมีความสุขที่สุด

    .... ..... ผมรักพี่นนท์นะครับ รักมากๆ พี่อยู่ในใจผมเสมอ และจะเป็นคนเดียวที่อยู่ในใจผมตลอดไป  ตอนนี้พี่เป็นมากกว่าพี่ชายผมนะครับ  หลังจากนี้ไป ผมสัญญาว่าผมจะเชื่อฟังพี่ และจะพยายามตั้งใจทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด จะไม่ให้พี่ผิดหวังในตัวผมนะครับ 
ป.ล. รักผมให้มากกว่าพี่แทนด้วยนะครับ   (ด้านข้างมีรูปตาและรูปปากทำท่าแลบลิ้น)
    รักพี่นนท์ที่สุดเลยครับ         
               /จากตัวเล็กของพี่ไง


  ผมเอาสมุดมาแนบอก หัวใจพองโตอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน และรีบเก็บสมุดไว้ที่เดิม ก่อนที่เจ้าตัวเล็กจะเดินกลับมานอน  ผมไม่รอช้า กอดเขาแน่น สอดแขนให้เขาหนุน  จูบหน้าผากเขาแล้วกระซิบข้างหู

“พี่รักทัชนะครับ รักมากที่สุด”  ผมพูดอย่างหนักแน่น

“ผมก็รักพี่ครับ” เขาหอมแก้มผมหนึ่งครั้ง  ผมกอดเขาเอาไว้แน่น ต่อจากนี้ไปไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมพร้อมจะปกป้องดูแลเจ้าตัวเล็กคนนี้ของผมอย่างดีที่สุด  นั่นคือภาระที่ผมต้องทำให้ดีที่สุด ผมบอกตัวเองว่าต้องทำให้ได้

.........

หัวข้อ: ทัช..สัมผัสใจ ตอนที่19
เริ่มหัวข้อโดย: thewa.arak ที่ 14-07-2017 21:24:13
ตอนที่ 19




 ช่วงเวลาแห่งความสุข  Part นนท์/ทัช...



  วันเสาร์ ผมชวนเจ้าตัวเล็กไปเที่ยวทะเล ดูท่าทางเขาจะตื่นเต้นดีใจเป็นอย่างยิ่ง ผมเองก็ไม่ค่อยได้ไปเที่ยวที่ไหนในเมืองไทย ไกลๆ เลยสักครั้ง ชวนตัวเล็กไปเที่ยวทะเลด้วยกัน อย่างน้อยก็จะได้พักผ่อนไปในตัว และมีเวลาสำหรับเราสองคนที่จะกระชับความรู้สึกให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
   ขับรถผ่านเส้นทาง มอเตอร์เวย์และออกไปทางฉะเชิงเทรา ผ่านอำเภอแกลง เส้นทางนี้สวยงามดี  ผมเลือกที่จะไปทะเลที่ใกล้ๆแค่ที่ระยอง  ถึงที่พัก ในหาดแสงจันทร์ เกือบบ่ายสาม เลือกที่พักโซนหันหน้าหาวิวทะเล  ไม่แพงมากเพราะไม่ใช่ช่วงฤดูการท่องเที่ยว   เมื่อจัดแจงกับสัมภาระเสร็จแล้ว

 “ตัวเล็ก อยากไปเล่นน้ำทะเลไหม”   ผมถามพร้อมกับหยิบเสื้อยืดและกางเกงขาสั้น

“ผมไม่ค่อยอยากเล่นครับพี่  แค่ไปนั่งชมวิวก็พอแล้ว” 

“หืม มาถึงทะเลทั้งที ไปเล่นกันเสียหน่อยเถอะน่า”  ผมทำเสียงอ้อน

“ถ้าพี่อยากเล่น ก็ได้ครับผมเล่นเป็นเพื่อน  เดี๋ยวไปเอาเสื้อก่อน”  ว่าแล้วก็จัดแจงกระเป๋าตัวเองพร้อมหยิบเสื้อและกางเกงเตรียมพร้อมลงทะเล

“เออ  หรืออยากไปสวนสน  ขับรถกินลมชมวิวก่อนดีไหม”   ผมถามความเห็น

“ไม่ต้องไปไกลหรอกครับพี่ เล่นที่นี่แหละ พี่จะได้พักผ่อนด้วย ขับรถมาไกล”   ตัวเล็กให้เหตุผล  ดูท่าเขาคงไม่อยากเล่นน้ำจริงๆ คงแค่อยากมาเห็นวิวทะเลจริงๆกระมัง

“ตามใจ พี่น่ะไม่เหนื่อยหรอก แต่อยากพาเรามาเที่ยวน่ะ เห็นสมัยเรียนเคยบ่นว่าอยากไปเที่ยวทะเล”

“พี่จำได้ด้วยเหรอเนี่ย  ฮ่าๆ”    ทัชหัวเราะเบาๆ  นั่นสินะ ผมเองก็ลืมไปแล้ว ว่าเจ้าตัวเล็กของผมเคยพูดว่าอยากไปเที่ยวทะเล   เอ...พูดตอนไหนหว่า นึกไม่ออกสักที 

 บริเวณชายหาดยามนี้ เห็นกลุ่มฝรั่งมังค่า ชาวต่างชาติเยอะพอสมควร  ห้าโมงกว่าแล้ว ยังร้อนอยู่เลย ผิวไหม้แน่ๆงานนี้  ไม่ทันที่ผมจะได้ระวังตัว  เจ้าธัชก็วิ่งมาลากแขนผมลงทะเล  วักน้ำทะเลสาดใส่กันยังกะน้ำจืด

“แหวะ มันเค็มๆเหม็นๆยังไงไม่รู้นะพี่นนท์”

“ฮ่าๆ ใครบอกให้กินน้ำทะเลวะ ไอ้เด็กบ้า”

“ก็ผมอยากรู้นี่ครับ”

“อ่ะ งั้นก็กินไปอีกสักสองสามอึกดีไหม”  ว่าแล้วผมก็วักน้ำทะเลสาดใส่  เจ้าตัวก็ไม่ยอมแพ้ วักน้ำทะเลมาสาดใส่ผม  เราสองคนเล่นน้ำทะเลกันสนุกสนาน จนเหนื่อยไปตามๆกัน จึงเปลี่ยนมาเป็นเดินเล่นริมชายหาดแทน เดินไปก็แวะซื้อไอติมนมแท่ง ปลาหมึกย่าง ผมยังไม่ค่อยหิว แต่เจ้าธัชกินเยอะมากไม่มีทีท่าว่าจะอิ่ม

“ทัช นั่งตรงนั้นไหม เสื่อริมชายหาด กินส้มตำกัน”  ผมชวน

“โห พี่นนท์ มาถึงทะเลยังจะหาส้มตำกินอีกนะ” 

“อ้าว มันมีกฏห้ามด้วยเหรอว่ามาเที่ยวทะเลห้ามกินส้มตำน่ะ”   ผมแย้ง  พร้อมยักคิ้วชักสีหน้าใส่แบบคนชนะ

“ช่างเถอะ ตามใจพี่ อยากกินไรก็ตามใจ”   เห้ย มันงอนเราด้วยเว้วเห้ย แต่ผมไม่สนใจ เดินนำหน้าไปนั่งที่เสื่อผื่นที่ใกล้ชายหาดที่สุด สักพักมีสาวสวยมารับออเดอร์ ผมก็สั่งไปสิครับ ยำไข่แมงดา ส้มตำลาว ปลาหมึกย่างสามรส และของกินเล่นอีกสองสามอย่าง เข้าใจว่าสาวสวยต้องเชียร์เบียร์ด้วย แต่บังเอิญผมกับทัชไม่กินเบียร์ไม่กินเหล้า เลยแห้วไป  สั่งเป็นน้ำโค้กมาแทน

“ลมแรงมากเลยนะพี่ หนาวแล้วเนี่ย”  เจ้าตัวเล็กพูดพร้อมทำท่าทางสั่นๆ ผมอดขำไม่ได้

“เว่อร์ไป ตัวเล็ก ทำยังกะหน้าหนาว ลมทะเลมันไม่หนาว มันร้อนและรู้สึกเหนียวเหนอะหนะ”

ผมตบหัวเขาเบาๆ 

“พี่นนท์ กินปลาหมึกไหม เดี๋ยวผมตักให้”    ว่าแล้วก็ตักปลาหมึกย่างที่ราดด้วยน้ำจิ้มซีฟู้ดมาจ่อที่ปาก ผมมองหน้าเขาแว่บหนึ่งก่อนจะอ้าปาก 

แต่เจ้าทัชกลับชักมือกลับแล้วส่งปลาหมึกย่างเข้าปากตัวเองแทน แถมยังทำหน้าตาล้อเลียนและหัวเราะเสียงดังสนุกสนาน ผมแยกเขี้ยวใส่ด้วยความหมั่นไส้ แต่เมื่อได้เห็นรอยยิ้มของเขา มันทำให้ผมกลับทำได้เพียงยิ้มตอบ  ผมอยากให้เขามีความสุขแบบนี้อยู่เสมอ ใบหน้าเปื้อนยิ้มพร้อมเสียงหัวเราะสนุกสนาน ทำให้ใบหน้าที่เข้มดูเคร่งขรึมอมเครียดของเขา ดูผ่อนคลาย มันทำให้ผมรู้สึกสดชื่นขึ้นเยอะเลยทีเดียว

“อ่ะๆ พี่นนท์  ผมไม่แกล้งพี่ละ อ่ะ นี่คำสุดท้าย ให้พี่ละกันครับ”   พร้อมกับตักปลาหมึกย่างมาจ่อที่ปากผม ผมปิดปากส่ายหน้าสองสามที เจ้าตัวก็ยังคงจ่อที่ปากผม ผมจึงค่อยๆเปิดปาก แล้วรีบงับปลาหมึกย่างทันทีจนฟันกระทบช้อน

“โอ๊ย เจ็บ เลือดจะออกไหมเนี่ย”   ผม แกล้งเอาคืนโดยการปิดปากแล้วใช้มือบังปากเอาไว้ พร้อมกับทำสีหน้าให้ดูเจ็บปวดที่สุด

“โอ้ยย  ใครจะไปรู้ว่าจะไม่แกล้ง พี่ก็งับซะเต็มแรงเลย โอ้ยย”  ผมแสดงละครต่อ

“ พี่นนท์ เจ็บมากไหม ขอผมดูหน่อย”   พร้อมกับขยับเข้ามาเอามือแกะมือผมออก ผมก็ขืนเต็มที่ยื้อยุดฉุดดึงกันอยู่อย่างนั้น  แขนข้างหนึ่งไม่ยันเสื่อปูพื้นแต่ทรายยุบตัวทำให้ เกิดอาการหงายหลัง ลงไปกองกับพื้น โดยมีเจ้าตัวเล็กทับครึ่งอกของผม

“อ๊ะ พี่นนท์ ผมขอโทษ เจ็บไหมครับ”

“ไม่หรอก ไม่เจ็บเลย เราล่ะเป็นอะไรหรือเปล่า”

“ผมไม่เป็นอะไรครับ “ จังหวะนั้นเราต่างอ้ำๆอึ้งๆกันอยู่สักพัก จนผมเริ่มรู้สึกตัวก่อน จึงตั้งใจจะผลักให้เขาพยุงตัวลุกขึ้น แต่ว่าเขากลับทำตรงข้าม  ทัช โน้มใบหน้ามาจูบผม โดยไม่ทันระวังตัว ผมก็ตกใจสิครับ เลยผลักเขาออก เขาเองก็ตกใจ และเป็นผมที่คืนสติได้เร็วกว่า จึงรีบแก้ตัวแทบไม่ทัน

“ทัช  เจ็บหรือเปล่าพี่ผลักแรงไปไหม พี่ตกใจน่ะ มันเป็นปฏิกิริยาอัตโนมัติน่ะ แบบ ด้วยความตกใจ เลยผลักไปแบบนั้น เอ่อ ”  ผมอธิบาย ตะกุกตะกัก   กลุ่มที่นั่งเสื่อถัดไปสามผืนก็มองเราสองคนแว่บหนึ่ง

“เอ้อ ผมก็ตกใจเหมือนกัน ขอโทษนะครับพี่นนท์ “ 

“เฮ๊ย ไม่เป็นไร อ้อ อย่าไปสนใจคนที่แอบมองเรานะ ทำเป็นไม่เห็นซะ”   ผมบอกเขา เพราะกลัวว่าเขาจะไม่ชินกับสายตาคนรอบข้าง แต่เขาก็ยิ้มๆไม่ว่าอะไร

“ไม่เห็นเป็นไรนี่ครับ ตรงโน้นก็ยังมีคนจูงมือกันเดินเลย นั่นอีก”   ผมมองไปตามมือชี้  ชาวต่างชาติชายสองคนเดินจูงมือกันริมชายหาด  กลุ่มที่นั่งบนเสื่อของร้านเจ้าอื่น ก็มีผู้ชายนอนตักกัน   อืม

“ทัช จะบอกพี่ว่า เห็นคนอื่นทำเลยอยากทำบ้างงั้นเหรอ”   ผมแกล้งถาม

“เปล่าครับๆ ไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นเลย มันแค่เผลออ่าครับ ลืมไปนึกว่าเราอยู่ในบ้าน”

แว่บหนึ่ง ผมคิดว่า เขาเองอาจจะยังไม่เคยชินกับอะไรแบบนี้ในที่สาธารณะ

....

 หลังจากจ่ายเงินเสร็จแล้วก็กลับที่พักอาบน้ำ ออกมานั่งเล่นอยู่ที่คานระเบียง

“อืม  นอนกินลมชมวิวไปก่อนละกันนะ แสงอาทิตย์จะลับทะเลแล้ว “ ผมนั่งหลังพิงผนังพลางชี้ไปทางทะเลที่ ยามนี้กลายเป็นสีส้มด้วยแสงจากพระอาทิตย์ที่กำลังจะจมลงทะเล

“สวยอ่ะพี่นนท์ “  ว่าพลางเอนตัวลงนอนตรงระเบียงหัวหนุนตักผมเฉยเลย

“เล่นงี้เลยเนอะ คนเรา”   ผมว่าพลางเอามือลูบหัว แล้วช้อนมือวางตรงคางของทัช เจ้าตัวเอื้อสองมือมาจับมือผมไว้

“ผมมีความสุขมากเลยพี่นนท์ ขอบคุณมากนะครับที่พามา”

“เหมือนพี่จำได้ว่า เราเคยบอกว่าอยากมาเทีย่วทะเล เมื่อสมัยเรียน”

“นานขนาดนั้น พี่ยังจำได้อีกเหรอ”  เจ้าตัวเล็กยีผมเล็กน้อยเงยหน้าขึ้นแหงนมองหน้าผม ผมยิ้มให้พร้อมกับเปลี่ยนจากช้อนคางมาแนบตรงแก้มเขาทั้งสองข้าง

“เรื่องของทัช ส่วนใหญ่พี่จำได้หมดแหละคร้าบ  ไม่เคยลืมเลย”

“พี่นนท์น่ารักที่สุดเลย”  เจ้าตัวเอื้อมมือมาจับแขนผมไว้

“เราล่ะ จำเรื่องราวของพี่ เอ่อ...ของเราได้บ้างไหม”  ผมก้มหน้าลงจูบหน้าผากเขาเบาๆ

“ผมจำเรื่องของเราได้หมดเลยนะ ตั้งแต่ครั้งแรกที่ผมเห็นพี่ ผมถามพี่นพแล้วว่า ใช่พี่จริงๆ ผมถึงอยากมาอยู่หอสามกับพี่ แต่พี่กลับจำผมไม่ได้”   พร้อมกับเอานิ้วชี้เอื้อมมาจิ้มแก้มซ้ายผม

“หืม แล้วตอนนั้นทำไมไม่ทักพี่ก่อนล่ะ”   ผมแย้ง

“ตอนแรกก็กลัวทักผิดไงครับ  เอ้อ พี่นนท์ ถามจริงๆนะ”  เจ้าตัวยันกายช่วงบนพิงอกผมจนหัวเขาชนคางผมเต็มๆ

“โอ้ย ทำอะไรเนี่ย เจ็บนะ”  ผมบ่น

“ขอโทษ ครับ ผมไม่ได้ตั้งใจ”

“อืม  ว่าแต่ จะถามอะไรล่ะ ตอบได้จะตอบ ตอบไม่ได้ ห้ามเซ้าซี้นะ”  ทันทีที่ผมพูดจบ เจ้าตัวเล็กของผม เงยหน้าขึ้นมองผมพร้อมกับคำถามของเขา

“ผมหน้าเหมือนพี่แทนไหม” 

“................”    ผมอึ้งไปเล็กน้อย

“ว่าไงครับ ผมเหมือนพี่แทนไหม”   

“อืม “  ผมทำท่าครุ่นคิด แกล้งปล่อยให้เขาแหงนคอนานๆ   มองใบหน้าเขาเต็มๆ

“ก็มีส่วนคล้ายนะ ทั้งรูปหน้า นิสัย และจมูก”    ทัชผิวเข้มกว่าไอ้แทน ใบหน้าคมเข้ม ส่วนไอ้แทน ผิวขาวเหลือง ไม่ขาวเท่ากับผมแต่ก็ขาวกว่าเจ้าตัวเล็ก

“แล้ว พี่แทน...เอ่อ..เคยทำอะไรกับพี่แบบที่พี่ทำกับผมไหมครับ”   ห้ะ...ไอ้เจ้านี่ มันถามอะไรของมันแบบนี้ ....  ผมเงียบ ไปพักหนึ่ง ใช้เวลากับคำตอบเล็กน้อย

“เอ่อ  ผมหมายถึง กอดกัน หอมแก้มกัน หรือจูบกัน อะไรแบบนี้ครับ”  เจ้าตัวผุดลุกขึ้นนั่งเต็มตัว กลัวว่าคำถามจะทำให้ผมโกรธล่ะมั๊ง

“บ้าเหรอ พี่ไม่เคยทำอะไรแบบนั้นกับไอ้แทนนะ อย่างที่ทัชเห็นนั่นแหละ มีกอดกันบ้าง หอมแก้มเหรอ...ไม่มีนะ เอ๊ะ หรือมีหว่า จำไม่ได้”   ความจริงผมก็จำไม่ได้จริงๆ อยู่ๆก็นึกถึงเรื่องแบบนี้กับไอ้แทนไม่ได้  ผมกับไอ้แทนเคยหอมแก้มกันไหม..  เอ.. มีหรือเปล่าหว่า

 ไม่น่าจะมี...หรือเคยมีแต่จำไม่ได้... โอ๊ยยย นึกไม่ออก

“ตกลงยังไงครับ มีหรือไม่มี “

“มาถามแบบนี้ได้ไง ไอ้แทนเป็นพี่ชายเรานะ “  ผมย้อน

“ผมแค่อยากรู้” 

“รู้ไปทำไม”   ผมมองหน้าและถามย้ำ เพราะอยากรู้จริงๆว่าเขาคิดอะไรอยู่

“ถ้าพี่แทนยังอยู่ ผมก็คงจะยินดีกับพี่แทนนะครับ ที่มีคนรักและห่วงใยอย่างพี่อยู่ข้างๆ”   ทัชพูดโดยไม่มองหน้าผม

“พี่ก็รักไอ้แทนมันนะ รักมาก เป็นเพื่อนที่พี่สนิทที่สุด แต่ช่วงเวลามันสั้นนะ ความผูกพัน เมื่อเทียบกันแล้ว พี่ถือว่าไม่ต่างกันนะ แม้พี่จะมีเวลากับทัชมากกว่า แต่เวลาของเราสองคนมันสั้นเกินไป แต่ถึงจะอย่างนั้น ความผูกพัน พี่ถือว่าเท่ากันนะ มันเป็นอะไรที่ไม่สามารถเอามาวัดค่าหรือเปรียบเทียบกันได้หรอก พี่รักเธอทั้งสองคนเท่าๆกัน  เพียงแต่ว่า ทัชยังอยู่ และอายุน้อยกว่า พี่จึงให้ความสำคัญมากกว่า ห่วงใยมากกว่า”   ผมอธิบายยาวเหยียด หวังว่าเจ้าตัวเล็กของผมจะเข้าใจ 

“แต่ผมกับพี่ เอ่อ..เราเป็นของกันและกันแล้วนะครับ พี่ต้องรักผมให้มากนะ เพราะผมรักพี่มากๆ”    ว่าแล้วก็เอนหลังเอาหัวพิงกับอกผมแล้วเอามือเขามาดึงแขนผมไปโอบทับแขนเขาไว้

“ทัช... ไม่ว่าทัชจะเป็นอย่างไร พี่ก็รักเรานะ รักมากนะครับ ข้อนี้ขอให้จำไว้ให้ดี ตลอดเวลาที่ผ่านมา พี่ไม่อยากจะแก้ตัวหรือโทษอะไรทั้งนั้น รู้แค่ว่า พี่ไม่เคยลืมเราเลย  ทัชเป็นคนเดียวที่อยู่ในใจพี่ตลอดมา และจะอยู่ในใจพี่ตลอดไปนะ พี่สัญญา”   

“ขอบคุณมากนะครับ “  ทัชพูดด้วยเสียงสะอื้น จนผมเองก็จุกอยู่ที่อก

“อย่าร้องไห้นะ คนดี พี่จะไม่หนีไปไหนอีก ต่อไปนี้ เราจะต่อสู้ด้วยกันนะ”  ผมก้มลง คางแนบตรงซอกคอเขา หอมแก้มเขาเบาๆ ขยับตัวเขาให้ขึ้นพิงอกผมเต็มๆ และกอดเขาไว้แน่นๆ

   ตะวันกำลังจะลับขอบฟ้าและทะเลแล้ว แสงสีส้มแดงทาทาบท้องฟ้าดูสวยงามยิ่งนัก  ลมทะเลพัดมาเป็นระยะๆ  คนสองคนโอบกอดกันอยู่ตรงระเบียง ยืมมองตะวันที่กำลังจะตกทะเล เป็นภาพที่อบอุ่นยิ่งนัก

.........

   ร้านเล็กๆริมทะเล ที่แออัดไปด้วยชาวต่างชาติ เรียงรายตามแนวยาวของชายหาด  ผมเลือกร้านที่คนไม่มาก สั่งเครื่องดื่มให้เขาได้ลองรสชาติ นอกจากเหล้าขาว เหล้าข้าวโพด และ แม่โขง หรือ แสงทองที่เขาเคยดื่ม

“เป็นไงบ้างล่ะ ได้มาเที่ยวทะเลสมใจแล้ว”  ผมเสียงดังพอสมควรเพราะต้องแข่งกับเสียงเพลงที่ร้านเปิด และเสียงจากบรรดาแขกโต๊ะรอบข้าง

“สนุกดีครับพี่ อันนี้อร่อยดีนะพี่ มันเรียกว่าอะไรครับ”

“บลู ฮาวาย    มั๊งนะ  เอาอีกไหม” 

“หมดแก้วก่อนครับ” 

   นั่งชิลๆท่ามกลางวิวทะเลยามกลางคืน (ซึ่งมีแต่แสงไฟริมชายหาด และแสงไฟจากเรือหาปลาวับๆแวมๆเท่านั้น หาได้มองเห็นความสวยงามไม่)   ดึ่มดำกับบรรยากาศสถานที่ท่องเที่ยวยามกลางคืนริมทะเล จน เมื่อผมรู้สึกว่าได้ที่แล้ว จึงพาเดินกลับ ผมนะไม่เมาหรอกแค่มึนๆ เจ้าตัวเล็กเองไม่เมาเลยสักนิด คอทองแดงมากๆ   กลับกลายเป็นว่า  คนตัวเล็กต้องมาคอยพยุงคนตัวโตกว่าซะงั้น 

  ถึงห้องพัก แปรงฟันเสร็จแล้วผมก็เดินรี่ไปที่เตียงทันที เวลาผมเมาหรือมึนๆ ผมจะนอน นอน และนอนเท่านั้น 

 “พี่นนท์ อย่านะ อาบน้ำก่อนครับ”  เจ้าทัชถลามาคว้าตัวผมไว้ บังคับถอดเสื้อผ้าไปอาบน้ำด้วยกันให้ได้

“เฮ้ย ยังจะให้อาบน้ำอีกเหรอ เมื่อกี้ก่อนออกไปก็อาบน้ำแล้วนะ”  ผมจิ๊จ๊ะปาก ทำโมโหใส่

“ไม่ได้ กลิ่นเหม็นผมไม่ให้นอนด้วย”

“นอนโซฟาก็ได้วะ”  ผมถลาไปทางโซฟา เจ้าตัวเล็กก็บังคับดึงมาทางห้องน้ำ

“ไม่ได้ครับ อย่าดื้อนะครับ มาเลย”   เจ้าตัวเล็กมันลากผมไปจนได้

“พอเห็นว่าพี่ไม่มีแรงนี่ บังคับกันจังเลยนะ ไอ้ตัวเล็ก”  ผมแกล้งมันไปอย่างนั้นแหละครับ

แกล้งเมา จริงๆไม่เมาแค่มึนๆ แต่ทำเป็นเดินโซเซ อยากรู้ว่าเขาจะปฏิบัติกับผมอย่างไรเท่านั้นเอง  ผมเดินไปนอนลงอ่างอาบน้ำเปิดฝักบัวใส่รอให้มันเต็ม เจ้าตัวเล็กก็เดินตามลงมาอีก

“เฮ๊ย ทัช จะทำอะไร พี่จะนอนแช่น้ำอุ่น อยากอาบไปอาบตรงฝักบัวนู้น”  ผมแกล้งแหย่เล่น

เจ้าตัวไม่พูดพล่ามทำเพลง เดินลงมาแล้วนอนพิงหลังกับอกผม เหมือนตอนนั่งชมวิวพระอาทิตย์ตกทะเลเมื่อตอนเย็น

“อ่างนี่น่านอนดีนะพี่ ผมไม่เคยอาบน้ำกับพี่แบบนี้มาก่อนเลย ”   

“หึ  ทัช.. นี่เราไม่ได้อยู่มัธยมกันแล้วนะ เราโตกันแล้ว”

“พี่หยุดพูดสักแป๊ปนึงได้ไหมครับ ผมขออยู่แบบนี้สักพัก”

“............”

  ผมจึงหยุดพูด มีเพียงเสียงน้ำจากฝักบัวในอ่างที่ค่อยๆเพิ่มปริมาณมากขึ้นตามลำดับ  ผมโอบกอดเขาไว้ เขาเองก็กุมแขมผมไว้  เราสองคนอยู่ในท่านั้นนานเท่าไหร่ไม่รู้

ผมมีความสุขมากเหลือเกิน ผมจะเก็บภาพทุกอย่างไว้ในความทรงจำตราบนานเท่านาน เพราะหลังจากนี้ใครจะไปคาดคิดว่าจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นบ้าง  จนกระทั่งน้ำล้นอ่างจึงรู้สึกตัว  ผมรู้สึกสบายตัวขึ้นมากเมื่อได้แช่น้ำอุ่น  จากนั้นต่างช่วยกันอาบน้ำ ภาพสมัยมัธยม หวนกลับมาอีกครั้ง
 
     ทัชเลือกนอนติดผนังริมหน้าต่าง ผมยังไงก็ได้ ให้เขาได้นอนสบายๆเต็มที่

“พรุ่งนี้เราจะกลับกันแต่เช้านะทัช รีบนอนได้แล้วนะ”   ผมเอ่ยเตือน

“พี่นอนก่อนเลยครับ เพราะพี่ต้องขับรถนะ พักผ่อนให้เต็มที่นะครับ”  ว่าพลางก็จัดแจงดึงแขนผมไปหนุน ทำเหมือนสมัยมัธยมทุกอย่าง ดึงแขนเราไปกอดตัวเขาบ้าง หนุนบ้าง ทำเองเสร็จสรรพ

“เป็นเด็กไปได้น่ะ  ทัช “

“ผมคิดถึงสมัยมัธยมจังเลยพี่ เราผ่านอะไรกันมาเยอะเลยเนอะ พี่ว่าไหม”

“อืม ไม่อยากเชื่อว่าเราจะผ่านมันมาได้  เรานี่ก็ถือว่าเก่งนะ”

“พี่เองก็เช่นกัน จบมามีงานทำ ได้ขนาดนี้ผมก็ยินดีด้วยนะพี่ เฮ้อ ผมเองเรียนไม่เก่ง อยากไปให้ไกลได้เท่าพี่ สักครึ่งหนึ่งก็ยังดี”

“อย่าพูดอย่างนั้นเลย ทัช มันเป็นเพียงแค่โอกาส โอกาสคนเราไม่เท่ากัน แต่เราจะทำมันให้ดีที่สุด เราอาจเคยเดินนอกเส้นทาง จนป่านนี้เราเองก็อาจจะทำผิดอยู่นะ แต่ไม่ว่าอย่างไร พี่จะพยายามทำให้เต็มที่”

“เราไม่ได้ทำผิดนะพี่ ผมรักพี่ และพี่ก็รักผม เราสองคนรักกัน ผมรู้แค่นั้นก็มากพอสำหรับผมแล้ว เวลาผมทุกข์ใจผมจะนึกถึงพี่เสมอ ช่วงที่พี่หายไป ผมเหงาแทบตาย”   ผมเห็นท่าโหมดฌสร้าจะมาจึงชวนคุยเรื่องอื่น

“เอ้อ ที่ทำงานเป็นไงบ้าง ลำบากมากไหม”

“ก็พอทำได้นะพี่ อยู่กับคนแถวบ้านเดียวกันแหละครับ อาโหลด้วย”

“ทำที่เดียวกันเลยใช่ไหม”

“ครับ อยู่ด้วยกันหมดเลย ”

“แล้วนี่  มานี่พวกเขารู้หรือเปล่า”

“รู้ครับ ผมบอกญาติๆไว้แล้วว่าจะมาหาพี่”

“อืม ก็ดีนะ เขาจะได้หมดห่วง”

“เอ้อ ก๋อไหน ก็ฝากความคิดถึงมาด้วยนะ ลืมบอกเลย”

“คนไหนอ่ะพี่จำไม่ได้”

“ตอนงานศพพี่แทน คนที่สอนพี่ตอกเจี้ยมเจ้(กระดาษสำหรับพิธีส่งวิญญาณผู้เสียชีวิต)นั่นไง”

“อ๋อ คนนั้นเหรอ อืม จำไม่ได้เลยแฮะ นานแล้วเนาะ”    ผมนึกภาพเหล่านั้นได้ แต่ชื่อคนผมจำไม่ค่อยได้ เวลามีงานอะไรสักอย่างบรรดาญาติมาจากทั่วทุกทิศ เยอะมาก จำได้ไม่หมด ผมเลือกจำเฉพาะคนที่สำคัญกับผมเท่านั้น

“เฮ้อ  พรุ่งนี้ผมก็ต้องจากพี่ไปอีกแล้วสิเนี่ย คงคิดถึงพี่แย่เลยอ่ะครับ”

“เฮ้ย ไม่เอาดิ ทัช อย่าพูดแบบนี้ “  ผมตบหัวเขาเบาๆ

“นั่นแหละ พี่ต้องคิดถึงผมให้มากๆนะครับ จำได้ไหม พี่เคยสัญญาว่าจะไม่มีน้องชายคนไหนอีก”   ทัชหันหน้ามาทางผม จ้องหน้าผมแล้วถามจริงจัง

“คร้าบผม (ลากเสียงยาว) ไม่ลืมครับ พี่มีน้องชายคนเดียว และรักมากด้วย อยู่ในอ้อมแขนพี่นี่ไง และพี่จะไม่ยอมปล่อยเขาไปไหนอีกเด็ดขาด”

“บ้าแล้วพี่ พรุ่งนี้ผมต้องกลับแล้ว”   โอ๊ย...เข้าใจในสิ่งที่พูดหรือเปล่าเนี่ย

“เฮ้อ เด็กหนอเด็ก”

“ผมไม่เด็กแล้วนะ พี่ก็เห็นแล้วนิ”   จู่ๆก็โพล่งคำพูดนี้มา ทำเอาผมสะดุดกึกในความคิดไปเลยทันที  ไอ้เจ้าบ้าเอ๊ย

“เออๆ ไม่เด็กก็ไม่เด็ก”    อืม จริงๆแล้วเขาก็พูดถูกของเขา เขาไม่เด็กแล้วจริงๆ ไม่ใช่ตัวเล็กของผมสมัยมัธยมอีกต่อไป  ตอนนั้นยังไม่รู้อะไร ยังรักเขามากขนาดนั้น ตอนนี้ผมคงรักเขามากขึ้นอีกเป็นสิบเท่า

“ผมรักพี่นนท์ครับ รักมากจริงๆ ผมมีความสุขที่ได้อยู่กับพี่ รู้สึกอบอุ่นใจมาก”  ว่าพลางก็หอมแก้มผมแถมด้วยจุมพิศหน้าผาก ผมล่ะทึ่งในสิ่งที่เขาทำ  ผมได้แต่ยิ้มปนขำ

“พี่ก็รักทัชครับ  รักมากที่สุดเลย”  พร้อมกับทำตามแบบที่เขาทำเมื่อสักครู่  แต่เขากลับหันตะแคงมาหาผม และจูบปากผมทันที ผมอึ้งเล็กน้อย แต่ก็ยินดีจูบตอบเขา และลูบหัวเขาไปด้วยอย่างอ่อนโยน

“พี่ทำเบาๆนะครับ”  ทัชถอนริมฝีปากพร้อมกับกระซิบข้างหู และจูบผมต่อ ผมทำตัวไม่ถูกเลย ที่ถูกจู่โจมหนักแบบนี้

“ทัช เมารึเปล่า รู้ไหมกำลังทำอะไรอยู่ “

“รู้ครับ ผมรักพี่ พี่ก็รักผม ทำเหมือนวันนั้นนะครับผมมีความสุขมาก แต่ขอเบาๆนะครับ”

“...........” 

 ผมอึ้งไปเลยกับคำพูดของตัวเล็ก  จิตสำนึกบางอย่างบอกว่า หยุดนะ อย่าทำ อีกใจก็คล้อยตาม ในเมื่อคนรักกันก็ย่อมไม่ผิดที่จะแสดงความรักต่อกันตามความรู้สึกที่มีให้กัน สุดท้ายผมก็ปล่อยตามความรู้สึกของตัวเอง  แม้จะเป็นการทรยศใจตัวเอง และทรยศต่อความรู้สึกที่มีให้เขา เหมือนอย่างที่เคยพูดไว้ แต่ ในเมื่อทุกอย่างเกิดจากความรักทั้งสิ้น จึงปล่อยให้เป็นไปตามความรู้สึกที่มีต่อกัน  ในเมื่อเราต่างเป็นของกันและกันแล้ว ผมต่างหากที่ต้องรักษาความรู้สึกนี้ไว้ 

  เนิ่นนานผ่านไป ผมจ้องมองใบหน้าของคนข้างล่าง เขามองตอบผม ยิ้มให้กัน  ผมประคองแก้มทั้งสองข้างและจูบเขาเบาๆ  ทัชเองโอบกอดผมไว้

“ผมรักพี่นนท์ ผมรักพี่นนท์ที่สุดเลย”

“ครับ  พี่รู้แล้ว จำไว้ ไม่ว่าจะทุกข์จะสุข ให้นึกถึงพี่นะครับ จำไว้ว่า ยังมีพี่คนนี้ ที่จะเป็นทั้งพี่ชายและเป็นคนที่รักทัชตลอดไป”

    เป็นอีกคืนที่ผมมีความสุขมากกว่าครั้งไหนๆ ที่ได้มีโอกาสมาเที่ยวพักผ่อนริมทะเลกับคนที่เรารักและห่วงใยที่สุด  ผมจะไม่มีวันทำร้ายคนคนนี้เด็ดขาด ผมจะรักและทะนุถนอมคนคนนี้ตลอดไป

                              .......เพราะว่า ผมรักเขามากเหลือเกิน..........



.

.
หัวข้อ: ทัช..สัมผัสใจ ตอนที่20
เริ่มหัวข้อโดย: thewa.arak ที่ 14-07-2017 21:33:14
ตอนที่ 20



เพราะรักจึงต้องจากลา ....Part นนท์/เอก......


    ช่วงกลางปี เดือนกันยายน เอกกลับมาทำเอกสารอะไรสักอย่างเกี่ยวกับงานที่ทำอยู่ ซึ่งต้องกลับมาสองสัปดาห์ จึงได้มีโอกาสได้ไปเที่ยวห้างและดูหนังด้วยกันอยู่บ้าง ผมเองหากช่วงไหนว่างๆก็ขึ้นไปช่วยดูแลห้องให้เพื่อนผมเสมอ   บางสิ่งบางอย่างที่วางตรงหัวเตียง ..ผมหยิบรูปสมัยมหาลัยผมกับเขา ที่ห้องสมุดขึ้นมาดู แล้วนึกย้อนกลับไป ในช่วงเวลาที่ผ่านมา  เป็นอีกเรื่องที่ผมก็หนักใจอยู่พอสมควร ผมรู้ว่าไอ้เอกมันชอบผม ผมก็บอกไม่ถูกว่าเคยมีช่วงที่ชอบไอ้เอกหรือไม่ แต่ยังมีความรู้สึกดีๆให้เอกเสมอ ไอ้เอกเองก็รู้ว่าผมรักและห่วงใยทัชมากขนาดไหน แต่มันก็ไม่เคยพูดไม่เคยเอ่ยถึง เพราะมันยังคงเข้าใจว่าผมรักและห่วงใยทัชแบบน้องชายคนหนึ่ง ซึ่งเป็นความรักที่มากกว่าพี่น้องธรรมดาทั่วไป แต่ไม่รู้ลึกซึ้งอะไรมากขนาดนั้น   ผมวางกรอบรูปไว้ตรงที่เดิมเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามา

“มึงทำอะไรอยู่วะ “

“เปล่า มาดูความเรียบร้อยให้ด้วยความเคยชิน” 

“มาช่วยกันทำกับข้าวดีกว่า วันนี้กูจะทำมักกะโรนีให้ เอาไหม”

“เฮ๊ย ไม่เอานะ กูไม่ชอบ”

“เอ้า มึงชอบกินอาหารประเภทเส้นไม่ใช่รึไง  นี่ก็เส้น ลองหน่อย สูตรนี้กูไปเอามาจากเมืองนอกเลยนะ”   เจ้าตัวอธิบายสาธยายอย่างภาคภูมิ

“ เอก ไม่ต้องหรอก กูไม่กินมักกะโรนี  ยกเว้นไว้อย่างหนึ่งเถอะนะ เอางี้ มึงเคยกินของนอกมาแล้ว เดี๋ยวกูทำของไทยๆให้กินเอง”

“อะไรวะ”

“เออ เดี๋ยวมึงรอชิม”

ผมว่าพลางก็จัดแจงเข้าครัวเสียเอง มองหาส่วนประกอบ ได้แล้วก็จัดการทันที สุดท้ายออกมาดูน่ากิน (เหรอ)

“ผัดไทเนี่ยนะ”   ไอ้เอกร้องเสียงหลง

“ทำไมวะ อันนี้แหละที่กูชอบ กูอุตส่าห์ทำมา ดังนั้นมึงต้องกินให้หมด”  ผมพูดแกมบังคับ

“ไม่ต้องห่วง ถ้าเป็นมึงทำ อะไรกูก็กินได้หมดแหละ”  ไอ้เอกมันพูดพร้อมกับทำหน้ากะลิ้มกะเหลี่ย ผมล่ะเพลียใจกับมัน

“ไอ้เอก มึงไม่ต้องมาหวานแหววกับกูได้ป่ะ จะอ้วก” 

“โห่ว มึงหัดทำโรแมนติกกับกูบ้างไม่ไหรือไงวะ”   พูดพลางดึงจานที่ผมตักผัดไทให้ไปนั่นตรงโซฟาหน้าจอทีวี  ผมก็ตามมันไปแทบจะทันทีเช่นกัน

“ เออ ว่าแต่งานมึงเป็นไงมั่ง โอเคป่าว”   ผมลืมไปเลยว่าตัวเองก็อยากรู้การไปเรียนไปอบรมงานทางฝั่งยุโรปมันจะเหมือนโซนเอเชียหรือไม่

“สบายๆว่ะ ที่โน่นทำงานกันแบบสบายๆ ไม่เรื่องมากเหมือนบ้านเรา แต่ถ้ามึงโดนงานแล้วมึงต้องทำให้ได้นะ คือแบบมึงต้องมีผลงานให้ดูอ่ะ มันเหนื่อยตรงนี้ เพราะเราก็ไม่รู้จักใคร ต้องเกาะกลุ่มเฉพาะพวกที่ไปด้วยกัน”

“แล้วอาหารการกินล่ะ แต่อย่างมึงกูว่าคงไม่มีปัญหาหรอกเนอะ”

“โคตรน่าเบื่อ ขนมปังจืดชืด กูเบื่อจนหันมากินจังค์ฟู้ดจนอ้วนละเนี่ย”  พูดไปก็ลูบท้องตัวเองไป

“ไอ้เอก อย่างมึงเรียกอ้วน แล้วกูจะเรียกอะไรวะ”    ความจริงผมก็ไม่ได้อ้วนนะ ยังหุ่นดีกำลังน่ารัก แต่เริ่มมีพุงนิดๆ นิดๆจริงๆ นั่งปุ้ปเห็นพุงเลย ฮ่าๆ แต่พอยืนขึ้นก็ไม่มีนะ  เอ๊ะ อย่างนี้เรียกอ้วนไหม...

“อิ่มยังเอามา เดี๋ยวกูแช่ทิ้งไว้แล้วล้างเอง”  ไอ้เอกพูดจบก็ดึงจานไปจากผมทันที ยังเหลืออีกนิดหน่อยบนจาน

“ไอ้เหี้ยเอก.. กูยังกินไม่หมดเลย”

“พอละ กูไม่อยากให้มึงอ้วน”

   อ้าว..พูดงี้... ผมคิด แต่ไม่ทันละ มันออกไปเป็นเสียงพูดเรียบร้อย

“กูอ้วนไม่อ้วนเกี่ยวไรกะมึง”

 “ถึงมึงจะอ้วนกว่านี้ กูก็เลี้ยงไหวนะ “  นั่นไง ไอ้เอกมันยังคงไม่เลิกคิดกับผมแบบนั้น

“มึงพอเลยนะ หยุดพูดเรื่องพวกนี้ซะที กูเบื่อฟัง”   ผมพูดไล่ตามหลังมันไป มันก็เอาจานเทลงบนซิ้งค์เสียงจานช้อนกระทบกันเหมือนมันประชด   รูปแบบห้องในคอนโดนี้มันเหมือนๆกัน ห้องมันก็คล้ายๆห้องผม จึงพอจะรู้ว่าส่วนไหนเป็นอะไร 

“นนท์ กูน่ะ รักมึงจริงๆนะ กูสาบานได้เลยว่า ที่ผ่านมากูไม่เคยมองใครไม่เคยคบใครเลย มึงอาจจะไม่เชื่อ แต่กูเป็นแบบนั้นจริงๆ”    ไอ้เอกมันนั่งลงบนโซฟาใกล้ๆผม เอื้อมมือมาจับมือผมทั้งสองข้างเขย่าเล็กน้อยในขณะที่พูดออกมา

“ไอ้เอก มึงก็รู้ว่า กูมีทัชอยู่  และกูก็รู้ว่ามึงรู้ว่ากูรักน้องเขาแค่ไหน....”  ผมเว้นจังหวะเล็กน้อยแต่ยังไม่ทันพูดต่อ ไอ้เอกก็แย่งซีนไปก่อน

“กูเข้าใจ ถึงแม้ตอนแรกกูจะนึกว่ามึงคงเหมือนกูที่ยังไม่รู้ตัวเอง แต่บางครั้งที่กูเห็นมึงคุยกับพวกไอ้ต๋อยแล้วกูก็ตะหงิดๆ จนกระทั่งมารู้ว่ามึงมีใครอีกคน ก็คือไอ้เด็กนั่น .....เอ่อ ขอโทษ กูหมายถึงน้องคนนั้น  กูถึงมั่นใจว่ามึงคงเหมือนๆกู”    ไอ้เอกอธิบาย

“เอาตรงๆนะเอก ถ้ากูเจอมึงก่อน กูก็คงตกลงกับมึงแหละนะ แต่กูอยากให้มึงเข้าใจกูบ้าง กูไม่ได้รังเกียจมึงนะเว้ย กูก็ชอบมึงอยู่นะ”   

“  เอาเถอะ เมื่อไหร่กูก็รอได้”   มันพูดขณะนั่งลงบนโซฟาใกล้ๆผม จับมือผมทั้งสองข้างขึ้น ผมงงกับการกระทำของมัน แต่ก็ไม่พูดอะไร จนมันเอ่ยปาก

“เออ ก่อนกลับไปลุยงาน คืนนี้ กูจะพามึงไปเที่ยว”  ไอ้เอกบอก

“เห้ย มึงก็รู้ว่ากูไม่ชอบเที่ยวกลางคืน จะพากูไปไหน”  ผมตอบพร้อมกับชักมือตัวเองกลับ

“เอาน่า กูอยากให้มึงไปเปิดหูเปิดตาบ้าง” 

“เปิดหูเปิดตาอะไร กูไม่ไป มึงอย่ามาชวนเสียให้ยาก “ ผมตอบหนักแน่น

“ไอ้นนท์ .. กูอยากให้มึงรู้ว่ากูก็เหงาเป็น กูอยากไปไหนต่อไหนกับมึงบ้าง กูอยู่ที่โน่น กูคิดถึงมึงมากเลยนะ”

“เออๆ  กูไปก็ได้ แต่ไม่ไปพวกผับพวกเทคนะ กูไม่ชอบจริงๆ”   ผมพูดตัดบทเพราะไม่อยากให้มันมาดราม่าใส่ผม เลยตัดบทสนทนากลางคัน ไม่อยากได้ยินสิ่งที่จะออกมาจากปากมัน

“งั้นไปหาอะไรนั่งดื่มกันชิลๆ “

“เออ เดี๋ยวกูลงไปอาบน้ำรอ มึงเสร็จแล้วค่อยลงไปเรียกกูละกัน” ผมรีบเดินลงมาเลยไม่รอฟังประโยคคำพูดขแองมันที่ไล่ตามหลังมาแต่ฟังไม่ได้ศัพท์


  ผมเองก็ไม่อยากทำร้ายจิตใจไอ้เอกมัน  มันดีกับผมทุกอย่าง ตั้งแต่มันสารภาพว่าแอบชอบผมอยู่ด้วยแล้ว ผมก็จำได้ว่าเคยพยายามที่จะทำให้มันเกลียดเหมือนตอนที่ทำกับไอ้ต๋อย แต่สุดท้ายก็คิดได้ว่ามันไม่มีประโยชน์  ผมรักมันเหมือนเพื่อนรักคนหนึ่ง เคยสนิทกันอยู่ช่วงหนึ่งจริง  นี่มันเหมือนกับความผูกพันระหว่างผมกับไอ้แทนหรือเปล่าน้อ   นี่ถ้าหากมันยังอยู่แล้วผมก็รักไอ้ตัวเล็กไปแล้ว แล้วผมกับมันจะอยู่ในฐานะอะไร  อืม กับไอ้เอกนี่คงเทียบกันไม่ได้  ผมเคยชื่นชมมันอยู่ในใจ ออกแนวอิจฉาด้วยซ้ำไป ที่มันเกิดมาหน้าตาดีกว่าผม แถมเรียนคณะวิศวะ ที่สาวๆคณะผมชอบกันนักกันหนา 

   ผมเปิดตู้เสื้อผ้า ใช้นิ้วไล่นับไปตามไม้แขวนเสื้อจนถึงเสื้อนักศึกษาที่ยังคงเก็บเอาไว้โดยมีเนคไทสีเทาที่ผูกเรียบร้อยห้อยทับไว้  ผมล้วงไปที่กระเป๋าเสื้อ สร้อยพร้อมจี้เกียร์ ที่รับมาจากไอ้เอก ยังคงอยู่ในนั้น  อดไม่ได้ที่จะรำพึงรำพันออกมา ..... ไอ้เอกเอ้ย กูขอโทษนะ ที่มึงเห็นกูเป็นคนที่มีค่าสำหรับมึง ถึงกับฝากของที่เด็กวิศวะหวงนักหนาไว้ที่กู  แต่มึงจะให้กูทำอย่างไร กูมีคนที่กูรักแล้ว และกูก็รักเขามากด้วย แต่ทำไมนะ กูก็ไม่อาจปฏิเสธความรู้สึกของมึงได้จริงๆจังๆ  นี่กูเห็นแก่ตัวไปไหม กูรู้ แต่กูก็ไม่อยากเสียคนดีๆอย่างมึงไป

  ผมสลัดความคิดออกไป และอาบน้ำทำธุระส่วนตัวจนเสร็จนั่งรออยู่สักพัก จนไอ้เอกลงมา  สรุปว่าเอารถไอ้เอกไป เพราะผมกลัวเมาแล้วขับไม่ไหว



 ................



     สถานที่นั่งดื่มชิลๆ ลานเบียร์ ติดกับโรงพยาบาลนนทเวช ใกล้ๆห้างดังย่านงามวงศ์วาน   ผมเองไม่ถนัดดื่มเบียร์จึงขอเป็นโค๊กผสมเหล้าแทน  (ยอมรับว่า ผมไม่เก่งในการดื่มของมึนเมา เพราะรู้ตัวเองดีว่า เมาแล้วจะหาเรื่องนอนลูกเดียว เอาเถอะ ได้มีโอกาสออกมานั่งชิล กับเพื่อนหน้าตาดีๆแบบนี้ก็ดีไปอย่าง สังเกตเห็นพวกสาวๆ และไม่สาวจ้องมองมาทางโต๊ะผมอยู่บ่อยๆ ผมก็ยกมือทักทายบ้าง ยิ้มบ้าง โดยที่ไม่รู้ว่า ทั้งสาวๆและไม่สาวพวกนั้นกำลังสนใจใครกันแน่ ระหว่างนี้ มีบริกรหน้าตาดีมาเสริฟ ผมก็ถามไปเรื่อยเปื่อย จนเริ่มรู้สึกได้ว่าไอ้เอกมันออกอาการ จึงแกล้งมันต่อ ผมยกแก้วเหล้ายื่นให้บริกร

“อ่ะ น้อง ดื่มเป็นเพื่อนพี่สักแก้วดิ เห็นเดินเสริฟไปมาคงเหนื่อย อ่ะ พี่เลี้ยงแก้วหนึ่ง”

ผมยื่นแก้วให้  บริกรก็ทำหน้าเกรงใจ แต่ก็รับไป ผมยื่นแก้วไปชนแก้วกับบริกร

“เอ้าชน  หมดแก้วเลยนะ”  ผมบอก

“ขอบคุณครับพี่”  ไอ้หนุ่มนั่นตอบพร้อมกับซดเหล้าทีเดียวหมดแก้ว แม่งเด็กเสริฟทุกคนดื่มเก่งกันหมดทุกคนไหมวะเนี่ย

“เอ้อ น้องชื่ออะไร”   ผมเกาะคอถามเด็กหนุ่มบริกร 

“หนึ่งครับ” 

“อ้อ  หนึ่งเป็นคนกรุงเทพเหรอ”  ผมถามต่อ

“เปล่าครับ บุรีรัมย์ครับ”

“โห มาทำงานไกลจัง”

“ไอ้นนท์ มึงนั่งลง ปล่อยน้องมันไปทำงาน”  ไอ้เอกมันดึงแขนผมให้นั่งลง

“ขอบคุณมากครับพี่ ผมขอตัวก่อนนะครับ”  ไอ้หนึ่งเด็กบริกร พูดพร้อมกับขอตัวออกไป

“มึงคิดจะทำเหี้ยไร ไอ้นนท์”

“ทำอะไร กูทำอะไร  เปล๊า”  ผมตอบแบบกวนๆ

“ก็กูเห็นว่ามึง...ทำท่าจะจีบเด็ก”  ไอ้เอกมันเว้นจังหวะเล็กน้อยก่อนพูดจบประโยค

“ฮ่าๆๆ มึงหึงกูเหรอวะ ไอ้เอก”  ผมพูดพร้อมกับขยับไปนั่งตักมัน ทำท่าทางล้อเลียน

“โอ๋ๆๆ ช่วยไม่ได้ก็คนมันหล่อนี่หว่า มึงดูเด่ะ สาวๆพวกนั้นหันมามองกันใหญ่ มึงว่าพวกนั้นสนใจมึงหรือกู”  ผมถาม

“ไอ้นนท์ กูว่า มึงคงจะเริ่มเมาแล้วล่ะ “   ไอ้เอกมันพูดพร้อมกับดันตัวผมลุกขึ้นและประคองผมไปนั่งที่เก้าอี้ของตัวเอง

“ไอ้เอก กูไม่เมานะโว้ย กูรู้ตัวเองดี มึงอย่าหวังจะมอมกูได้”  ผมพูดหยอกทีเล่นทีจริงกับมัน

“เออ กูไม่เคยคิดจะมอมมึงอยู่แล้ว มึงเองเถอะ อย่าแดกให้มันมาก”

“มึงอย่าพูดมากเลย มาสนุกกัน มึงเป็นคนชวนกูมาเองนะ มาๆดื่มๆ”  ผมยกแก้วชนกับมันจนเหล้าแทบกระฉอก หกออกมา
  จนผมเริ่มรู้สึกมึนๆเข้าให้แล้วจริงๆ มันคุมสติแทบไม่ได้ คือว่ารู้ตัวแต่มันไม่ค่อยมีเรี่ยวแรง สุดท้ายจึงขอตัวเข้าห้องน้ำ แล้วก็ไม่รับรู้อะไรอีกเลย



  .. ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน.. 



“ไอ้นนท์  ไอ้นนท์...”  ผมเริ่มรู้สึกตัวและเจ็บแปล๊บๆตรงใบหน้า

“ไอ้นนท์ ได้ยินกูไหม ตื่นๆ” เสียงไอ้เอกมันเรียกผม  ผมลืมตาตื่นจากการหลับไหล

“อะไรวะ กูจะนอนมาปลุกกูทำเหี้ยไร”  ผมตอบพลางปัดป่ายมือมันออกจากตัว

“ไอ้นนท์ ตื่นๆ” 
“โอ๊ย ไอ้เหี้ยเอกมึงตบกูทำไม”  ผมร้องเสียงหลง ไอ้เอกมันตบหน้าผมเบาๆด้วยฝ่ามือของมัน แต่คงเพราะฤทธิ์เหล้าบวกกับเรี่ยวแรงหายไปไหนหมด มันทำให้รู้สึกเจ็บแปล๊บๆแม้จะแตะเบาๆ

“ไอ้นนท์ ตื่นๆ กลับบ้านกันเถอะ”    ห๊ะ กลับบ้าน?..  ผมลืมตาที่ค่อนข้างจะหนักอึ้ง

“พี่ครับ นี่ผ้าเย็น พี่เขาจะได้รู้สึกตัวครับ”   เสียงเด็กที่ไหนอีกวะเนี่ย  แล้วอะไร กลับบ้าน  นี่เรานอนอยู่ที่บ้านไม่ใช่หรือไง ผมรู้สึกเย็นวาบที่ใบหน้า ไอ้เอกมันเอาผ้าเย็นมาเช็ดหน้าให้

“ไอ้เอก นี่มันอะไรกัน มึงเข้ามาห้องกูได้ไง”  ผมยังคงสะลึมสะลือ

“ไอ้นนท์ ไอ้เจ้างั่งเอ๊ย มึงมานอนทำห่าอะไรในห้องน้ำร้านเขา”  ผมได้ยินดังนั้น ก็ตาสว่าง แม่งเหี้ยละ ผมในท่านอนพิงผนังห้องน้ำ รอบๆมีพนักงานและคนมุงดูสองสามคน   เหี้ยยย  กูมานอนนี่ตั้งแต่เมื่อไหร่

“กูมานอนนี่ได้ไงวะ”  ผมยิงคำถามงงๆ

“เออ นั่นสิ กูน่าจะถามมึงมากกว่า แม่ง เล่นเอาซะกูเป็นห่วงแทบแย่ มึงนะมึง เขาตามหามึงกันให้ควั่ก ดีนะ ที่น้องเค้าบอกว่ามีคนอยู่ในนี้”   ไอ้เอกอธิบาย

“พอดีผมเห็นเท้าโผล่ออกมา ตอนแรกก็ตกใจว่าคงมีเหตุร้ายอะไรเกิดขึ้นน่ะครับ”  เด็กพนักงานเสริฟตอบ

“อ้าว ไอ้หนึ่ง เออ กูจำหน้ามันได้ มาๆ ชนแก้วกันอีก” 

“ไอ้เหี้ยนนท์ เมาหนักละมึง”

“ใครเมา กูคอทองแดง กูยังไหว”

“น้อง ช่วยพี่พยุงหน่อยครับ”   
ไอ้เอกหันไปบอกเด็กเสริฟมาช่วยพยุงผม พนักงานและคนที่มาเที่ยวสองสามคนมองพวกผมกันใหญ่  ..นี่เรื่องจริงหรือนี่  ผมเนี่ยนะ มาแอบหลับอยู่ในห้องน้ำ ร้านเหล้า ...อายชะมัดเลย

“ไอ้นนท์ มึงไหวป่าว ไปล้างหน้าเสียหน่อยไป”   ผมพยักหน้าเดินไปทางอ่างล้างหน้าแต่เซ ไอ้เอกรีบถลาเข้ามาประคองไว้
“เห้ย กูแกล้ง กูไม่เมา”  ผมพยายามฝืนตัวเอง แต่ไม่เป็นผลสุดท้ายจึงยอมให้มันประคองไปล้างหน้า โอยยย  เย็นยะเยือก มันเหมือนคนป่วยไข้แล้วโดนน้ำ  ไอ้เอกพยุงผมออกจากร้าน

“น้องครับ อันนี้พี่ให้ทิปครับ ขอบคุณมากนะ” 

“ไม่เป็นไรครับพี่”

“เอาไปเถอะ พี่ให้”

“ขอบคุณครับ”   ผมได้ยินเสียงบทสนทนาแต่ฟังไม่ค่อยได้ความนัก และไม่รู้เป็นบ้าอะไรขึ้นมา ผมกอดคอมันไว้แล้วทำท่าอ้อน
“พาพี่กลับบ้านเถอะน้อง พี่ไม่ไหวแล้ว”  ได้ผล มันหันมามองผมแล้วยิ้มใหญ่  กระนั้นผมก็ยังไม่วายลองของ

“ไปก่อนนะครับ สุดหล่อ วันหลังมาบริการพี่อีกนะ”  ผมหันไปยักคิ้วใส่ พนักงานเสริฟ และก็ได้ผล ไอ้เอกมันกระชากแขนผมออกจากร้านทันที

“มึงเมาหนักมากแล้วไอ้นนท์ อย่าหาเรื่อง”  มันพูดเสียงดังใส่ผม ผมยิ่งได้ใจ

“ทำไมวะ เหอะๆ กูรู้ มึงหึงกูใช่ม้า..” ลากเสียงยาวพร้อมกับเอามือผลักหัวมันเล่น

“มึงเข้าไปนอนหุบปาก เงียบๆ เดี๋ยวถึงบ้านกูปลุกเอง”  ไอ้เอกมันผลักหัวผมเข้าไปนั่งด้านหลัง
 ผมก็เอนตัวนอนขวางตรงเบาะด้านหลังทันที

ถึงปากซอยคอนโดมันหยุดซื้อโอวัลติลร้อนให้ผมด้วย  อืมมึงนี่เป็นคนดีจริงๆนะ  จนกระทั่งถึงคอนโด มันพาผมขึ้นห้องทันที ซึ่งผมก็ไม่รู้แล้วว่าห้องผมหรือห้องมัน

“มึงพอมีแรงมั๊ย ถอดเสื้อสิ เดี๋ยวกูเช็ดตัวให้”  ไอ้เอกบอก แต่ผมไม่อยากทำอะไรทั้งนั้น อยากนอนลูกเดียวจึงไม่สนใจมัน เดพินเข้าห้องนอนถึงเตียงก็ล้มตัวลงนอนทันที

“ไอ้นนท์ เชี่ย เช็ดตัวก่อน” 

“กูจะนอน “ ผมพูดได้สองสามคำ ก็ไม่รู้สึกตัวอีกเลย 

 รู้สึกตัวอีกทีก็มีอะไรเย็นๆมาถูๆที่ลำตัว ไอ้เอกนั่นเองมันกำลังช่วยผมเช็ดตัว แต่ๆ ทำไมผมเหลือแค่ กางเกงในตัวเดียว ไอ้เชี่ยเอก..

“ไอ้เอก มึงจะทำอะไร”  ผมอ้าปากจะด่ามัน แต่มันกลับประกบปากจูบผมทันที มือมันก็ไม่อยู่นิ่งจับสะเปะสะปะ ผมเอง ทั้งๆที่รู้ตัว แต่ยอมรับว่าไม่มีเรี่ยวแรงพอที่จะขัดขืนอะไรได้ ซ้ำร้ายร่างกายส่วนล่างกลับทรยศ  ตอบสนองต่อการกระทำของมันเฉยเลย จนผมทนไม่ไหว จิตใต้สำนึกรู้ดีว่าทำผิดอย่างมหันต์ แต่ร่างกายกลับไม่เป็นไปตามที่ใจคิด  ไอ้เอกมันจัดการส่วนล่างของผมเองพร้อมกับกลืนกินมันลงไปอย่างที่ผมก็แทบไม่เชื่อตาตัวเอง จนผมอดทนไม่ไหว ร่างกายต่อต้านกับจิตใต้สำนึกอย่างแรง ทุกสิ่งทุกอย่างผ่านไปอย่างรวดเร็วจนผมก็นึกอะไรไม่ออก

 กระทั่งเวลาสายๆของอีกวัน ผมลืมตาตื่นขึ้นมาก็รู้สึกเวียนหัว หลอดไฟมันดูแปลกๆ ที่นอนก็แปลกตา ขยี้ตาสองสามทีก็นึกได้ว่านี่มันไม่ใช่ห้องของตัวเอง แต่เรี่ยวแรงแทบจะไม่มี
“อ้าว ตื่นแล้วเหรอ ไอ้นนท์ เดี๋ยวนะ รอแปป “  ผมหันไปมองตามเจ้าของเสียง ไอ้เอกในสภาพเปลือยท่อนบน ส่วนล่างนุ่งกางเกงบอลสีขาวตัวเดียว  สมองของผมคิดสั่งการได้ฉับไว รีบเลิกผ้าห่มสำรวจร่างกายของตัวเอง เปลือยกายท่อนบนเช่นกัน และใส่กางเกงบอลเช่นเดียวกับไอ้เอก  หัวสมองรีบประมวลผลอย่างรวดเร็ว ว่าเมื่อคืนนี้ เกิดอะไรขึ้นบ้าง  แต่ก็นึกไม่ออก และรู้สึกเวียนหัว

“ไอ้นนท์ มึงกินโอวัลติลร้อนๆก่อน กูรู้ว่าสมองมึงน่าจะยังมึนๆ”  ไอ้เอกยื่นแก้วโอวัลติลมาให้  ผมก็รับไว้อย่างงงๆ

“ร้อนนะ ระวังจะลวกปาก”  มันร้องเตือน

“ไอ้เอก ...”   ผมมองหน้ามัน และมันก็จ้องผมตอบ แถมทำท่าเลิกคิ้วขวาพร้อมกับยกมุมปากขึ้น เล็กน้อย

“ว่าไง” 

“เมื่อคืน ...เอ่อ...มีอะไรเกิดขึ้นบ้าง”   ผมถามตะกุกตะกัก

“อ๋อ ...”   ไอ้เอกมันพยักหน้าสองสามที เงยหน้าทำท่าเหมือนครุ่นคิด ก่อนตอบคำถามผมแบบยาวเหยียด

“เมื่อคืน มึงเมามาก แล้วเข้าไปนอนในห้องน้ำร้านเขา เออ กูก็ลืมถายรูปมึงว่ะ แม่งสภาพทุเรศชิบหาย กูรึก็อุตส่าห์เป็นห่วง นึกว่าโดนใครลากไปซะแล้ว”

“อย่ามา..”   ผมยังพูดไม่ทันจบ ไอ้เอกก็พูดแทรกต่อทันที

“กูยังเล่าไม่จบ แล้วพอร้านเลิกนะ กูก็มองหามึงไปเถอะ  มึงรู้ป่าววินาทีนั้น กูใจหายมากเลยนะที่มองหามึงไม่เจอเลย แทบจะไม่อยากคิดเลยว่ามึงอาจจะโดนลากไปรุมตี หรืออะไรก็แล้วแต่ นี่กูเป็นห่วงมึงมากจริงๆนะ”

“เออ แล้วไงต่อล่ะ”

“ก็ร้านเค้าเลิกปุ๊ป ก็ก็มองหามึง กูเข้าไปห้องน้ำรอบนึงแล้วนะ แต่มองแบบเผินๆไม่เห็นมี นอกร้านก็ไม่มี พอดี ไอ้เด็กเสริฟที่มึงไปอ่อยสเน่ห์มันน่ะ มันบอกว่า เห็นมีคนอยู่ในห้องน้ำเว้ย  กูรีบวิ่งไปดูเลย เห็นขามึงโผล่มาข้างหนึ่งเว้ย มึงรู้ป่าว กูแม่ง ใจหายหมด นึกว่ามึงจะเป็นลมล้มหัวฟาดพื้นตายคาห้องน้ำ”   

       ไอ้เอกมันหยุดหายใจเล็กน้อย ผมได้ทีจึงยื่นเท้าไปเตะหน้าแข้งมันหนึ่งที

“ไอ้ห่า แช่งกู กูไม่ตายง่ายๆหรอก”

“ไอ้เด็กนั่นก็ใจดี หาเก้าอี้มา กูเลยปีนขึ้นไปปลุกมึง โห มึงรู้ป่าวช่วงเวลานั้นกูตกใจแทบแย่ มึงนี่ก็เนาะ แม่ง หลับง่ายชิบหาย ง่วงก็ไม่บอก กูจะได้พากลับ คิดๆแล้วก็ยังนึกขำ มึงนี่แม่ง ได้ใจกูไปเต็มๆเลย”   ไอ้เอกอธิบายยืดยาว ผมได้แต่ยิ้มแหยๆ  ..นี่กู ทำเหี้ยอะไรลงไปวะ แม่งโคตรอายเลย กูเนี่ยนะ ไปหลับคาห้องน้ำร้านเหล้า รู้ถึงไหนอายถึงนั่น  แต่เดี๋ยวนะ  มันใช่เรื่องที่กูอยากรู้มั๊ยเนี่ย..

“ไอ้เอก...”   ผมคว้าแขนมันไว้หนึ่งข้าง มืออีกข้างผมก็วางแก้วโอวัลติลลงโต๊ะหนังสือข้างเตียง

“ที่กูอยากรู้ไม่ใช่เรื่องนั้น  กูมานอนห้องมึงได้ไง ทำไมไม่พากูกลับไปนอนที่ห้องกู”

“เอ่อ ก็มึงเมามากอ่ะ กูเลยพามานอนนี่เลย จะได้เช็ดตัวให้ด้วยมึงจะได้สบายตัว อ้อ แล้วมึงก็อ้วกใส่กูด้วยนะ”  มันบอก

“ไม่จริงอ่ะ กูไม่เคยเมาแล้วอ้วก”

“เออ กูล้อเล่น”

“ตกลงมึงจะบอกกูมั๊ยว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง”   ผมมองหน้ามันคาดคั้นเอาคำตอบให้ได้

“มึง..จำอะไรไม่ได้เลยเหรอ”  ไอ้เอกมันพูดโดยไม่มองหน้าผม

“ไอ้เชี่ย กูถึงได้ถามมึงอยู่นี่ไง”  ผมเริ่มจะหมดความอดทน

“มึง..ถ้ากูพูดออกไป มึงอย่าโกรธกูนะ”  ไอ้เอกหันมามองหน้าผม ทำไหน้าตาละห้อย  ผมชักจะหวั่นๆ  แม่ง..อย่าบอกว่ามึงทำอะไรกูนะ..

“ว่ามา”

“เอ่อ...กูบอกตามตรงนะ กูก็ยังไม่เคยนะ”     เชี่ย.. ไม่เคยอะไรวะ ผมอยากจะลุกไปกระโดดถีบยอด อกมันเสียจริง ชักช้าน่ารำคาญ มันเองก็คงเดาสีหน้าผมออก

“มึงคงจะเมาจริงๆ กู..เอ่อ กูทำให้มึงตั้งนานกว่ามันจะ..(ละไว้ในฐานที่เข้าใจ) ..แล้วหลังจากนั้น เอ่อ..มึงจะให้กูพูดจริงๆเหรอ”   ไอ้เอกหันมามองหน้าผมสีหน้าดูหวั่นวิตกและมีแววตาน่าเห็นใจ

“อืม..มึงพูดมาเถอะ กูไม่โกรธมึงหรอก”  ผมสบท และถอนหกายใจแรงๆ ผ่อนคลายอารมณ์ลงในที่สุดและพูดกับมันดีๆ

“กูเคยบอกมึงแล้วไง ว่ากูรักมึง กูไม่รังเกียจสิ่งที่มันออกมาจากตัวมึง แต่มันคาวๆเค็มๆเลี่ยนๆอ่ะนะ”

“เอ่อ  มึงไม่ต้องบอกกูขนาดนั้นก็ได้ กูแค่อยากรู้ว่า เอ่อ...”  ผมเองก็กระดากปากที่จะพูดออกมา

“อืม หลังจากนั้นนะ มึงแม่ง กูไม่อยากเชื่อว่ามึงจะเมา เล่นซะกูเจ็บแทบตาย แต่เอาเถอะเพื่อมึงกูทนได้”   

“เชี่ย......นี่หมายความว่า...”   ผมชี้หน้ามัน และมันก็มองหน้าผม

“อืม มึงได้กูแล้วก็อย่าทิ้งกูไปนะ นะจ๊ะ ที่รัก”   มันพูดพร้อมทำท่าทางล้อเลียนจนผมจะยกเท้าถีบมัน มันก็กระโจนหนี

“เชี่ยเอก มันใช่เวลามาเล่นมั๊ยเนี่ย  มึง พูดจริงเหรอเนี่ย”    ผมจ้องหน้ามันแบบคาดคั้นเอาความจริง

“เฮ้อ..”  ไอ้เอกถอนหายใจเบาๆ พร้อมกับจับบ่าผมกดตัวผมให้นั่งลงบนเตียง

“กูสาบาน ว่าที่กูพูด จริงทุกคำทุกประโยค ซึ่งกูเองก็ยังงงว่าทำแบบนั้นกับมึงลงไปได้ยังไง กูไม่โทษมึงหรอกนะ จริงๆกูก็อยากลองกับมึงอยู่แล้ว แต่ไม่คิดว่ามันจะเลยเถิดถึงขั้นนั้น  กูยอมรับว่ากูรักมึงนะ แต่ไม่เคยคิดถึงขั้นนั้นจริงๆ  ไอ้นนท์ กูแค่รู้สึกดีที่มีมึงอยู่เคียงข้างกู สำหรับมึง มันมากกว่าเพื่อนว่ะ  เมื่อมึงรู้แล้ว มึงจะรังเกียจกูกูก็ไม่โทษมึงหรอก กูยอมรับผลนั้น “
   ไอ้เอกมองหน้าผมพร้อมกับอธิบายระบายสิ่งที่อยู่ในใจ ออกมา ผมเองก็ท้งโล่งใจทั้งหวั่นใจในขณะเดียวกัน คือโล่งใจที่ยังไม่เสียความบริสุทธิ์  แม่งไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้ เลยว่ะ... และก็หวั่นใจ กับความสัมพันธ์ระหว่างมันกับผม  ตอนอยู่หอ เซเว่นสมัยมหาลัย มันก็เกือบจะเกิดเหตุการณ์นี้ไปรอบหนึ่ง ผมเองก็อธิบายไม่ถูก ว่ารู้สึกอย่างไรกับมัน แล้ว ทัชล่ะ ทัชคนที่ผมรักมาก ถ้าเขารู้ เขาจะเสียใจแค่ไหน  ยิ่งคิดก็ยิ่งเวียนหัว

“ไอ้เอก กูปวดหัวมากเลยว่ะ ขอกูไปนอนก่อนนะ มึงอย่าตามลงไปล่ะ”

พูดจบปุ๊บผมไม่รอฟังคำตอบกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกทางประตูและไม่รอลิฟต์ วิ่งลงทางบันไดไปยังห้องของตัวเองอย่างรวดเร็ว  ปิดล้อกประตูพร้อมกับล้มตัวลงนอนบนเตียง

  พยายามนึกลำดับเหตุการณ์ทั้งหมดที่ผ่านมา ตั้งแต่ร้านเหล้า ส่วนความทรงจำที่ไปนอนในห้องน้ำ มันหายไปไหน ผมนึกไม่ออก  และที่ไอ้เอกมัน...ทำกับน้องชายผม ผมจำได้แค่นั้น ที่เหลือผมนึกไม่ออก  ผมไม่โทษไอ้เอกมันหรอก ผมต่างหากที่ผิดเอง ผิดที่ไม่ยับยั้งชั่งใจตัวเอง ปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล  ผมรู้สึกผิดมหันต์ต่อเจ้าตัวเล็กของผม  ทัช พี่ขอโทษ พี่ผิดเอง ...ไอ้เอก กูขอโทษ มึงไม่ผิดหรอก ...แล้วสติผมก็ดับวูบลง

 
.

.
(ต่อ)

หัวข้อ: Re: ทัช..สัมผัสใจ ตอนที่20 (ต่อ)
เริ่มหัวข้อโดย: thewa.arak ที่ 14-07-2017 21:34:02
.
.
(ต่อ)



 รู้สึกตัวอีกทีก็ค่ำแล้ว ผมตื่นเอนกายพิงหัวเตียง สลัดหัวไปมาสองสามทีไล่ความมึน  มองออกไปทางกระจกหน้าต่าง  อาคารข้างเริ่มเปิดไปให้แสงสว่างยามค่ำคืน  ไอ้เอก มันทำอะไรอยู่หนอ .. แล้วผมควรจะทำอย่างไรดี ผมสลัดความคิดทิ้ง ลุกเดินไปยังห้องน้ำเพื่อชำระร่างกาย แต่สายตาพลันเห้นเศษประดาษสอดเข้ามาที่ใต้ประตู  ผมเดินไปหยิบมันขึ้นมา ในใจก็คิดว่าคงไม่มีใครอื่น ต้องเป็นไอ้เอกแน่ๆ  และผมก็เดาถูก

   ....ไอ้นนท์  มึงยังโกรธกูอยู่เหรอ กูขอโทษนะสำหรับเรื่องเมื่อคืน  มึงจะโกรธหรือรังเกียจกู กูก็จะไม่โทษมึงเลย แต่มึงจงรับรู้ไว้เถิด ไม่ว่าจะอย่างไร มึงก็เป็นคนที่สำคัญสำหรับกูนะ กูยังรักมึงอยู่เสมอ แม้จะรู้ว่าไม่เคยได้หัวใจมึงเลยก็ตาม  แต่กูก็ยังคงรักมึงเสมอ  กูไปต่างจังหวัดสองสามวันนะ มีอะไรก็โทรมาที่เบอร์กูก็แล้วกัน    กู..ขอโทษอีกครั้ง ดูแลตัวเองด้วยนะ   ..

 ....เอก..คนที่รักมึงอยู่เสมอ...


           ผมอ่านแล้วถึงกับน้ำตาซึม รู้สึกจุกที่คอหอย ทำไมเรื่องเหล่านี้ถึงมาเกิดกับผมด้วยนะ แล้วผมผิดมากเลยใช่ไหม ที่ไม่อาจตัดใจตัดความสัมพันธ์กับมันได้  ผมเองก็รักมันนะ มันเป็นมากกว่าเพื่อนจริงๆ แต่ผมก็มีคนที่ผมรัก และผมก็รักเขามาก เมื่อคิดถึงธัชขึ้นมา น้ำตาผมก็ไหลออกมาเอง ความรู้สึกทุกอย่างมันประเดประดังเข้ามา จนทรุดลงกับพื้นปล่อยน้ำตาไหลออกมา ไม่ฝืนกลั้นมันต่อไป





เสริมท้าย.......
สุดท้าย ...แต่ไม่ท้ายสุด



    หลังจากวันนั้น ทั้งตัวผมและไอ้เอกก็ทำตัวตามปกติ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นระหว่างเรา ไอ้เอกต้องเดินทางไปดูงานที่ต่างประเทศและ ผมไปส่งมันที่สนามบิน ทั้งมันและผมก็มีน้ำตาซึมๆ

“มึงดูแลตัวเองด้วยนะ อย่ากินเค็มมาก กูเป็นห่วงนะ”   ไอ้เอกพูดแทบเป็นเสียงกระซิบ

“อืม มึงก็ดูแลตัวเองด้วยนะ อดทน สู้ๆ อีกสามเดือนก็ได้กลับมาแล้ว”

“ เอ่อ...มึง..คิดถึงกูบ้างนะ”  ไอ้เอกพูดอายๆ

“อืม ..เอาไว้คิดถึงมากๆก็โทรมาบ้างก็ได้ ถ้ากูติดงานอยู่กูจะโทรกลับทีหลัง” ผมตอบ

“กู..ยังรักมึงอยู่เสมอนะ”  ไอ้เอกพูดยิ้มๆและมีน้ำตาซึมๆ แล้วมันก็กอดผมแน่น ผมเองก็กอดตอบเช่นกันพร้อมกับตบบ่ามันเป็นการให้กำลังใจ

“กูก็รักมึงนะ อย่างที่มึงเข้าใจนั่นแหละ กูยังคงเดิม มึงคงเข้าใจนะ”  ไอ้เอกพยักหน้าเข้าใจในสิ่งที่ผมจะสื่อ 

รู้สึกใจหายเช่นกัน ที่มันกำลังจะบินไปทำงานใช้ชีวิตอยู่เมืองนอก แม้จะไปแค่ไม่นาน แต่ก็คงทำให้ผมหงอยๆได้บ้างเช่นกัน  ส่งเจ้าเอกเสร็จแล้ว ผมยืนเหม่อบนอาคารผู้โดยสารขาออกอยู่สักพัก จึงขับรถกลับ ระหว่างทางก็อดคิดถึงเรื่องราวๆต่างๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิต แล้วน้ำตาก็ไหลออกมาเองอีกจนได้  แต่ผมก็ยิ้มรับกับทุกสิ่งที่ผ่านเข้ามา  หลังจากนี้มันอาจจะมีอะไรที่สาหัสรอที่จะเข้ามาหา และผมก็พร้อมที่จะตั้งรับมันอย่างไม่ท้อถอย 

   ผมโชคดี ที่ผมมีคนที่รักผมถึงสองคน แม้ใครจะมองว่าเป็นเรื่องที่เห็นแก่ตัว แต่ผมเองก็ไม่อาจอธิบายให้ใครฟังได้ คนหนึ่งผมทั้งห่วงใยทั้งรักเขาเต็มหัวใจ อีกคนก็รักมากกว่าเพื่อนแต่เป็นเหมือนเพื่อนที่คอยช่วยเหลือกันตลอดมา
.
.






........................
ปล่อยให้หัวใจได้อยู่กับไฟฝัน
แม้คืนและวันจะผ่านไปนานสักเพียงไหน
ก็ไม่อาจเปลี่ยนความรู้สึกในใจ
ที่ยังคงอ่อนไหวอยู่เรื่อยมา
เหน็ดเหนื่อยในบางครั้ง
เคยหมดหวังกับการที่ต้องค้นหา
ท้อแท้เหลือเกิน ที่ต้องมาคอยนับวันเวลา
เพียงเพื่อจะตามล่า  ไขว่คว้าฝัน
ปลดปล่อยจิตใจที่อ่อนแอ
กลบเกลื่อนรอยแผลในใจนั้น
ยิ้ม..หัวเราะ..สนุกไปกับมัน
แม้จะเป็นแค่การได้อยู่กับไฟฝันก็สุขใจ
...........................

หัวข้อ: ทัช..สัมผัสใจ ตอนที่ 21
เริ่มหัวข้อโดย: thewa.arak ที่ 14-07-2017 21:45:40
ตอนที่ 21



 เซี่ยงเหียงแป้งออน  ตรุษจีน 2547 มาพร้อมกับความตึงเครียด .......
                                                                      Part นนท์ / ทัช…




     วันนี้ ถือเป็นวันดี  22 มราคม 2547 วันตรุษจีน (เซี่ยงเหียงแป้งออน แปลว่า สุขสันต์วันขึ้นปีใหม่) ทุกครัวเรือนจะทำการปัดกวาดบ้านและซื้อข้าวของเพื่อเตรียมการกันมาตั้งแต่เมื่อวาน  วันนี้ผมตื่นแต่เช้าตรู่ จะเรียกว่าตื่นแต่เช้าก็ไม่เชิง เพราะบ้านกำนันที่ถือเป็นบ้านใหญ่ของชุมชนในหมู่บ้านเขาทำพิธีไหว้เจ้าไหว้บรรพบุรุษกันตั้งแต่ตีสี่ครึ่ง เสียงกลองเสียงปี่รวมทั้งเสียงประทัดเป็นแพๆดังเปรี้ยงปร้างตลอดจนต้องลุกตื่นขึ้นมาแต่เช้า ล้างหน้าปรงฟันเสร็จอย่างรวดเร็วภายในหนึ่งนาที เสร็จแล้วก็กุลีกุจอ หอบเอาประทัดเป็นลังออกไปจุดหน้าบ้าน  แม่บอกให้เอาไปจุดหลังบ้านด้วย ผมก็ทำตาม 

     สักพักหนึ่งผมก็วิ่งไปที่บ้านกำนัน เพื่อร่วมทำพิธีไหว้เจ้าที่บ้านใหญ่ จากนั้นก็วนไปตามบ้านที่มีเจ้าใหญ่ๆเวลาทำพิธีต่างๆก็จะไปตามบ้านเหล่านี้จนครบ ก็ตีห้าครึ่งพอดี บางบ้านก็เริ่มต้มไข่ขนาดเล็ก ซึ่งเตรียมกันไว้แต่เช้า ส่วนบ้านผมถือเป็นคนชาวเขาเพียงครึ่งเดียวจึงไม่ได้มีพธีอะไรในบ้าน นอกจากเดินไปบ้านย่า ภาษาที่บ้านเรียกว่า อากู๋  เพื่อไปดูพวกน้าๆย้อมไข่แดงกัน 

  ไข่แดง คือไข่ไก่ ลูกขนาดเล็กกว่าปกติ นำมาต้ม แล้วย้อมกับ “อ้วมพิ้น” หรือสีผสมอาหาร ที่มีสีออกชมพูเข้ม แต่เมื่อย้อมเสร็จแล้วจะเรียกกันว่า ไข่แดง ซึ่งเอาไว้แจกลูกหลานหรือญาติพี่น้องพ้องเพื่อน เพื่อเป็นศิริมงคล ตามประเพณีของชนเผ่า ซึ่งผมก็ลงมือเอาไข่ลงไปในถ้วย อ้วมพิ้น พร้อมกับคนคลุกเคล้าจนสีติดเปลือกไข่ดีแล้ว ก็เอามาวางไว้ตรงแผงรังไข่ ให้สะเด็ดและแห้ง จากนี้ไป จะเป็นช่วงที่ผมทั้งชอบและทั้งรำคาญ ซึ่งก็คือใช้ด้ายที่ปักโครเช สีขาวบ้าง สีเขียวบ้างแล้วแต่ความชอบมาสานเป็นตาข่ายตามขนาดรูปไข่ แล้วนำไข่แดงใส่ลงไปพอได้ขนาดพอดีแล้วก็มัด ให้แน่น ซึ่งทำแบบนี้ตามจำนวนไข่แดง  บางบ้านก็ย้อมกันครั้งหนึ่งเป็นร้อยลูก แล้วแต่ว่าญาติพี่น้องในครองครัวตัวเองนั้นใหญ่แค่ไหน  ส่วนของผม สี่สิบกว่าลูก แต่ผมเก็บเอาไว้เพียงห้าลูกไว้ให้เพื่อน และ ทัช ซึ่งกะไว้ว่าช่วงบ่ายๆค่อยไปหา

  ช่วงเช้า พวกเราเดินเท้าเข้าออกบ้านญาติพี่น้องเพื่อไปคาราวะผู้ใหญ่และดื่มเหล้าในพิธีซึ่งจะเป้นเหล้าขาว หรือเหล้าข้าวโพดที่ชนเผ่าทำกันขึ้นมาเองกับมือ  และรับประทานอาหารบ้านนั้นบ้านนี้พอเป็นพิธี ญาติผู้ใหญ่ก็มีซองแดงแจกเด็กๆ ลูกหลานของตน สายๆหน่อยก็ เตรียมไก่ต้มและข้าวของในพิธี ไปไหว้บรรพบุรษ ซึ่งคล้ายกับการทำบุญเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้บรรพบุรุษที่จากไป

 ส่วนขนมตามพิธี จะมี “จั้วด๊าว”   และ “จั้วจง”    จั้วด๊าว จะเป็นข้าวเหนียวใส่ผงดำและเนื้อหมูติดมันแล้วห่อกับใบไม้ที่มีขนาดเล็กและยาวเรียว มัดด้วยตอก ประมาณหกส่วน แล้วนำไปต้มจนสุก  ส่วน จั้วจง จะเป็นขนมที่ทำจากแป้งข้าวเหนียวเอาไปแช่น้ำตำด้วย “ตาบต๋อย” ซึ่งก็คือกระดานไม้ตำข้าวของชนเผ่า(คล้ายๆกระเดื่อง ซึ่งสมัยนี้ไม่มีให้เห็นแล้ว) ตำให้ละเอียดแล้วเอามาคลุกแป้งหมัก ทำเป็นวงกลมขนาดเท่าชามก๋วยเตี๋ยวห่อด้วยใบตอง เอาลงนึ่งจนสุก  แต่ขนมทั้งสองอย่างนี้ ผมชอบตอนมันเย็นตัว แล้วเอาไปปิ้ง จั้วด๊าวก็เอาไปปิ้งให้มีรอยใหม้ๆเล็กน้อยแล้วจิ้มเกลือกิน อร่อยสุดๆ ได้รสชาติเค็มๆมันๆจากไส้ในที่มีเนื้อหมูติดมันอยู่  ส่วน จั้วจง ก็เอาไปทอดหรือปิ้งแล้วจิ้มกับนมข้นหวาน อร่อยอย่าบอกใครเชียว 

   ในงานนี้ เด็กๆเคยที่ถูกผู้ใหญ่ห้ามกินเหล้าก็ได้มีโอกาสเมาได้  จากการกิน “ติ้วกาม”   แปลเป็นภาษาไทยว่า เหล้าหวาน  หรือที่มีลักษณะคล้ายข้าวหมากของไทย ส่วนมากจะได้กินก็ตอนมีพิธีสำคัญๆแบบตรุษจีน งานแต่ง งานพิธีสะเดาะเคราะห์หรือ งานพิธีกรรมต่างๆเท่านั้น ผมเองก็ซัดไปเยอะเลยทีเดียว แต่มันไม่ใช่เบียร์หรือเหล้าเลยไม่เมาเหมือนที่เคยมีประสบการณ์อันน่าอับอายมาแล้ว

   เสร็จจากพิธีไหว้บรรพบุรุษในครอบครัวตัวเอง ก็ถึงเวลารวมญาติรับประทานอาหารพร้อมเพรียงกัน จนทำให้รู้สึกว่า ครอบครัวเราก็ใหญ่โตพอสมควรนะเนี่ย ขอพรให้พรและได้แต๊ะเอียกันไปตามๆกัน   ช่วงบ่ายพ่อกับแม่เอารถผมไปช่วยงานบ้านญาติ ผมก็ออกเดินทางด้วยฮอนด้าเวฟของน้องชาย ไปต่างหมู่บ้าน    ใช่แล้วครับ ไปบ้านเจ้าทัช   บ่ายสามพอดี

  และนี่ก็เป็นอีกครั้งที่มาเยือนบ้านต้นไผ่อีกครั้ง แต่ครั้งนี้ผมเลือกที่จะไม่ผ่านเส้นถนนวังถ้ำ เพราะก่อนกลับบ้านมา ทัชบอกว่า ถนนยังคงเป็นลูกรังเหมือนเดิม  เส้นที่ผมจะไปนั้นเป็นทางลูกรังเช่นกัน เขาสูงคดเคี้ยวและชันเป็นระยะๆ แต่ระยะทางใกล้กว่าเส้นถนนวังถ้ำมาก

 เนื่องจาก อากาศยังคงเย็นๆ ผมจึงใส่กางเกงยีนส์ ใส่ชุดประจำเผ่าทับเสื้อเชิ๊ตสีฟ้า คอห้อยเต็มไปด้วยไข่แดงสามลูก จะเอาไปฝากพ่อแม่และทัช

  ผมขับมอเตอร์ไซค์ค่อยไต่ขึ้นไปช่วงเย็นๆในเดือนนี้ยังคงมีความหนาวเย็นจากลมที่พัดมาปะทะใบหน้า เป็นระยะๆ สองข้างทางยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ว่าเวลาจะผ่านมานานหลายปี ธรรมชาติยังคงสดชื่นอยู่เสมอ ผมล่ะอยากกลับมาใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางธรรมชาติแบบนี้เมื่อตัวเองอายุถึงวัยเกษียณ  ป่านนี้ ที่บ้านของทัช หมู่บ้านนั้นจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปไหมน้อ  ผมชื่มชมธรรมชาติไปแบบไม่หยุดแวะพักที่ใด เพราะใจมันไปถึงบ้านเขาแล้ว

    เมื่อมาถึงหมู่บ้าน ก็ได้วินเสียงปีเสียงกลองที่คุ้นเคย อืม บ้านต้นไผ่ก็มีกิจกรรมตรุษจีนเช่นกันแฮะ ผมเร่งเครื่องขึ้นตามเนินเขาจากโรงเรียนบ้านต้นไผ่ขึ้นไปยังบ้านของทัช มองจากภายนอก ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม  ทัช ในชุดประจำเผ่าเต็มยศ ดูแปลกตาไปอีกแบบ  พอเห็นผมก็โบกมือให้  มันทำให้หัวใจผมพองโตสดชื่นยิ่งกว่าธรรมชาติรอบข้างเป็นร้อยเป็นพันเท่า แต่ทำไมดูท่าทางเขาเหมือนอมทุกข์อยู่ในใจ  ผมจอดรถมอเตอร์ไซค์ไว้ข้างบ้าน ยังไม่ทันดับเครื่องสนิท ก็มีคนมาตบไหล่ผมอย่างแรง

“ไอ้นนท์ “   เสียงคุ้นๆนะเนี่ย   ผมดังเครื่องยนต์แล้วหันมามอง เฮ๊ย ใช่อย่างที่ผมคิด

“ไอ้นพ”   ผมจอดรถกระโดดกอดคอมันด้วยความดีใจ

“เป็นไงวะมึง ได้ข่าวว่า ล่ำซำใหญ่ละนะ ไปเติบโตถึงเมืองนอกเมืองนา กูยินดีกับมึงด้วยจริงๆ”  ไอ้นพตบบ่าผมสองสามที เอ่ยทักทายด้วยความดีใจ

“แหม่ ไม่ขนาดนั้นหรอก แล้วมึงล่ะ เป็นไงบ้างสบายดีป่าว ทำงานที่ไหนวะ”   ผมสังเกตดู ไอ้นพมันขาวขึ้นนะ หุ่นล่ำกว่าเดิมเยอะเลย

“กูสอนพละอยู่ ภูเวียงเนี่ย”   ไอ้นพพูดพร้อมกับยิ้มๆ

“ เฮ๊ย จริงดิ โรงเรียนเก่าเราเนี่ยนะ โห มึงเจ๋งอ่ะ” 

“พี่นนท์ เข้าบ้านก่อนไหม ไปคุยกันข้างในดีกว่า”   ทัชเรียก

“เอ้อ แล้วพ่อกับแม่ไม่อยู่เหรอ”

“ครับ  ไปงานบ้านญาติน่ะ เดี๋ยวห้าหกโมงก็คงกลับมาละ”   

  น้องคนหนึ่งเอา ก้อม มาให้นั่ง(ก้อม หมายถึง เก้าอี้หวายลักษณะทรงกลมสูงจากพื้นถึงประมาณหน้าแข้ง) ผมเดาได้ทันทีว่าคงเป็นเจ้าธีร์แน่นอน   ได้ความว่า ได้แฟนที่จังหวัดสุรินทร์ ไปช่วยกันขายน้ำเต้าหู้แถวนั้น รายได้ก็ดีพออยู่ได้ อืม ผ่านมาแค่ สิบปี แต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝากันไปหมด ไม่เหลือร่องรอยของเด็กขี้อายเมื่อครั้งที่ผมมาครั้งแรกกับไอ้แทน  ผมหันไปมองยังฝั่งที่ผมคุ้นเคยที่สุด เป็นที่ที่ผมเคยซุกหัวนอน ทั้งกับไอ้แทน และเจ้าทัช มันดูเปลี่ยนแปลงไปแล้ว เพราะก่อบล็อคปูนขึ้นมาแทน  ตอนกลางคืนคงหนาวน่าดู  รูปไอ้แทนถูกย้ายไปรวมอยู่กับรูปบรรพบุรุษตรงหิ้งไหว้เจ้า ... ไอ้แทน กูกลับมาแล้วนะ มึงเป็นไงบ้าง กูยังคิดถึงมึงอยู่นะ..มึงคงสบายดีนะ... ทัชคงรู้ว่าผมกำลังอยู่ในภวังค์ จึงเดินมาสะกิดเรียกผม

“พี่นนท์ กินอันนี้สิ ผมทำเองเลยนะ “   ขนม จั๊วด๊าว นั่นเอง ผมรับมาแต่ยังไม่แกะกิน  ผมยื่นไข่แดงให้ทัช

“อ่ะ พี่ให้  และอีกสองลูกนี่ให้พ่อกับแม่นะ  เออ ไอ้นพ กูไม่รู้ว่ามึงมา เลยไม่ได้เตรียมเลย”

“โอ๊ย  กูไม่เอาหรอก มึงแลกกันไปเถอะ ล้าสมัยว่ะ” 

“แหม่ ไอ้ลืมชาติบ้านเกิด”  ผมหยอกมันไปแรงๆ
 
“เอ้อ ลืมไปเลย ไอ้นนท์  นี่ ฝ้าย แฟนกูเอง”   ไอ้นพ แนะนำตัวผู้หญิงใส่ชุดธรรมดาหน้าตาดูดี  ทักทายกันสองสามประโยคพอเป็นมารยาท

“แหม่ ไอ้นพ มึงนี่ ก่อนเพื่อนเลยนะ  เอ้อ แล้ว ไอ้เน เป็นไงมั่ง”  ผมแซว และถามถึงน้องชายฝาแฝดของมัน

“พี่เน อยู่กรุงเทพอ่ะพี่ กลับมาไม่ได้ เมียท้องใกล้คลอดละ”   เจ้าทัชเป็นคนตอบเอง

“ห้ะ  อะไรกัน พวกมึงแต่ละคนทำไมรีบร้อนกันจังวะ”  ผมทึ่งกับข่าวที่ได้ยิน แต่ก็รู้สึกยินดีไปกับเพื่อนด้วย

“มึงนั่นแหละ ช้าเกินไป ไม่ทันพวกกูนะ “    ไอ้นพ มันพูดเว้นวรรคไปเล็กน้อยก่อนพูดต่อ ทำเอาผมแทบอยากจะชกหน้า
   
”เออ กูลืมไป  ไอ้ทัชมันคงไม่ให้มึงรีบหาเมียหรอก  ใช่ป่ะ”   ว่าแล้วก็หันไปทางเจ้าทัช  คนถูกเรียกยิ้มเขิน  โอ้ยกูจะบ้าตาย แล้วเจ้าตัวเล็กจะเขินอะไรกับเขาทำไมเนี่ย

“ไอ้นพ มึงหยุดเลย พูดเหี้ยไร .. เอ่อ ขอโทษนะ”   ผมเผลอพูดคำหยาบโดยลืมไปว่าน้องฝ้ายแฟนไอ้นพยืนอยู่ข้างๆ  แฟนมันก็สอนวิชาสังคมศึกษาที่ภูเวียง เช่นกัน 

“เอ้อ พี่นนท์ อยากไปหาพี่แทนไหม นานๆมาทีไปดูหน่อยก็ดีนะผมว่า”  ทัชเอ่ยตัดบทสนทนากลางคัน ซึ่งผมก็ยินดี

“เออ ดีว่ะ ไปดิ เดี๋ยวพาฝ้ายแวะไปดูรอยพระพุทธบาทด้วย”  ไอ้นพพูดและน้องฝ้ายเองก็ดูท่าทางตื่นเต้นเช่นกัน
 
 พวกเราจึงเดินออกไปยังไร่ของไอ้แทน ฝั่งตรงข้ามกับรอยพระพุทธบาท เดินเท้าไปพอประมาณจนถึงจุดจุดหนึ่งที่เป็นที่ฝังกระดูกของไอ้แทน มีป้ายอักษรจีนเขียนติดว่า

 “สงบสุข นิรันดร์”

 ผมย่อตัวคุกเข่าลงกับพื้น เอามือแตะหลุม... ไอ้แทน ..กูมาหามึงนะ  มึงอยู่นี่คนเดียวเหงาไหมวะ มึงคงหนาวมากเลยใช่ไหม... ความรู้สึกมันมาจุกอยู่ที่คอ หยาดน้ำใสๆมันปริ่มๆอยู่ริมขอบตา จนต้องเงยหน้าสู้กับมันไม่ให้ไหลออกมา  ผมนั่งสงบนิ่งอยู่ตรงนั้นสองสามนาที จนทัชเข้ามาแตะไหล่

“พี่นนท์ครับ  ไม่เป็นไรนะ พี่แทนเค้าคงรู้แหละครับ”   ผมเงยหน้ามองเขา ทัชใช้มือปาดน้ำตาให้เล็กน้อยแต่ผมก็รู้สึกตัว เงยหน้ายืนขึ้นและใช้ปลายนิ้วปาดเช็ดน้ำตาออกไป  ลมเย็นๆพัดมากระโชกใหญ่ หอบเอากลิ่นอายของความบริสุทธิ์สดชื่นเข้าจมูก ผมกางแขนออกทั้งสองข้างสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าไปเต็มปอด  .. เอาเลย ไอ้แทน กูอยู่ตรงนี้แล้ว  มึงมากอดกูได้เลย  ราวกับมีปาติหารย์ ลมพัดมาแรงๆอีกสองสามครั้ง น้ำตาผมไหลออกมาอีกครั้ง

“ไอ้แทน กูขอให้มึงไปดีนะเพื่อน ตอนนี้กูกลับมาสอนที่ภูเวียง โรงเรียนที่เราเคยเรียนด้วยกัน กูกลับไปดูหอพัก ทุกอย่างยังเหมือนเดิมนะ “ ไอ้นพเดินเข้ามากอดคอผม แล้วพูดต่อ

“ ส่วนไอ้เนี่ย มึงไม่ต้องห่วง มันสบายดี ได้ดิบได้ดีแล้ว แถมมันดูแลน้องมึงอย่างดีด้วย มันเคยสัญญากับกูแล้ว”  ไอ้นพหันไปตบบ่าเจ้าทัชและหันมามองหน้าผม  ผมได้แต่ยิ้มทั้งน้ำตา

“อืม ไม่ต้องห่วงนะ กูสัญญา กูจะดูแลไอ้ตัวเล็กให้ดีที่สุด”   ว่าแล้วก็ดึงเจ้าทัชมากอดคอด้วยกันสามคน น้องฝ้ายยืมมองอยู่ห่างๆ  เธอคงรู้ว่าคนในหลุมนี่คือใคร ไอ้นพคงเล่าให้ฟังแล้ว

ผมใช้ช่วงเวลานี้ จับมือเจ้าตัวเล็กแนบข้างลำตัวโดยที่ไม่ให้อีกสองคนเห็น เหมือนกับจะตอกย้ำว่า ผมจะรักและดูแลเจ้าตัวเล็กให้ดีที่สุด เรายืนสงบนิ่งอยู่สักพักจึงกลับ

“กูไปก่อนนะ ไว้มีโอกาสกูจะกลับมาเยี่ยมมึงใหม่นะ ถ้ามึงคิดถึงกูมึงก็ตามกูไปได้ทุกที่เลยนะ”  ผมแตะป้ายหลุมไอ้แทน พูดทิ้งท้ายก่อนเดินออกมา



  ....อย่าปล่อยเขาไป.....


  เเหมือนผมจะแว่วๆได้วิยเสียงใครมากระซิบข้างหู  ผมสะดุ้งเล็กน้อย หันมองซ้ายขวา  ไอ้นพ และเจ้าทัช ก็ทำหน้า งงๆ ผมจึงหันไปทางหลุมไอ้แทน ไม่รู้มันจะบอกอะไรผม แต่คงไม่มีอะไร ...มันคงเป็นอุปาทาน..อีกแล้ว..  และลมก็พัดมาอีกหอบใหญ่  เราสี่คนเดินกลับไปยังฝั่งตรงข้ามเพื่อให้ น้องฝ้ายแฟนไอ้นพได้ดู  แต่ผมไม่ดู ปล่อยให้มันสองคนเดินไปดูกันเอง ผมกับทัชยืนรออยู่ปากทาง  ซึ่งก็ไม่ห่างมันมากนัก แค่สิบกว่าก้าวก็ถึงแล้ว  และในช่วงเวลาที่มีเพียงน้อยนิดนี้ ผมจับมือเจ้าตัวเล็กอีกครั้งและเขาเองก็จับมือผมแน่น เราต่างไม่มีคำพูดอะไรใดใด แค่ภาษากายที่ส่งถึงกันก็เพียงพอแล้ว  ผมมองหน้าเขาและเขาก็มองตอบมา เราต่างยิ้มให้กัน  ผมมีความสุขที่สุด  ไอ้แทน..กูหวังว่ามึงจะอวยพรให้เราสองคนนะ  พอดีกับที่สองคนนั้นเดินมา เราจึงทำตัวตามปกติ และเดินกลับลงมาที่บ้าน  พอดีกับที่แม่หมวงกับอารุจน์กลับมาแล้ว

 “สวัสดีครับ อา สวัสดีครับ แม่หมวง สบายดีนะครับ”  ผมทักทาย ทั้งสองท่านก็ทักทายผมิย้มแย้มแจ่มใส่

“มาตั้งแต่เมื่อไหร่ เนี่ยสบายดีไหม ขาวขึ้นเยอะเลยนะเนี่ย”   แม่หมวงทักทายผม แต่ผมรู้สึกว่า สีหน้าท่าทางของแม่หมวงดูไม่ค่อยมีความสุขเท่าไหร่นัก

“ผมมาได้สักพักแล้วครับ พอดีชวนกันไปหาเจ้าแทนมันมา”  ผมอธิบาย

“อ้อ แม่ไม่ค่อยมีเวลาไปดูแลเลยมันคงจะรกอยู่บ้าง “

“ก็ดูสะอาดดีครับ “

“ถ้าแทนยังอยู่คงดีนะ ป่านนี้เราคงได้อุ้มลูกอุ้มหลานกันแล้ว ดูสิตานพตาเนก็มีลูกเมียกันหมดแล้ว เออ แล้วนนท์ล่ะเป็นไงบ้าง ไม่พาเมียมาด้วยเหรอ”    ได้ยินแม่หมวงพูดเช่นนี้ ผมรู้สึกอึ้งไป

“เอ่อ ผมยังไม่มีหรอกครับแม่ ทำแต่งาน”

“โอ๊ย แม่หมวง อย่าไปใส่ใจมันเลย มันทำแต่งานในโรงงานไม่มีเวลาไปดูสาวที่ไหนหรอกแม่”   เออ...ขอบใจนะไอ้นพ ที่พูดแทรกขึ้นมา

“อ้าวเหรอ อืม แก่แล้วนะ อายุมากขึ้นน่าจะหาเมียและมีลูกได้แล้วเดี๋ยวแก่มาไม่มีใครดูแลนะ” 
แม่หมวงเกริ่นมาเสียยาว

“ครับ ผมจะลองๆดูครับ”

“เอ้อ แล้วนี่กินอะไรกันหรือยัง เดี๋ยววันนี้มีต้มไก่ ลาบไก่ เดี๋ยวเรามากินพร้อมกันเลย เอามาจากบ้านญาติน่ะ”  อารุจน์พูด พร้อมกับส่งถุงพะรุงพะรังให้เจ้าธีร์   พอดีกับได้นพที่ขอตัวกลับไปก่อน จึงเหลือเพียงเรา ห้าคน  เจ้าธีร์จัดสำรับเรียบร้อยแล้ว จึงได้เวลารับประทานอาหาร ผมสังเกตเห็นว่ามีบางสิ่งบางอย่างไม่ปกติ คือ เจ้าทัช เงียบผิดปกติ จำได้ว่าตั้งแต่เข้ามาบ้านไม่ได้ยินเสียงเจ้าทัชเลย พอผมมองหน้าเขาเขาก็เพียงแต่ยิ้มให้  ช่วงเวลาเกือบสามสิบนาทีในวงอาหารเย็นผมรู้สึกถึงความอึดอัดเป็นอย่างยิ่ง ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น   

“ธีร์อ่ะ เซียวเอี๊ยนมิ่งหย๋าวอะโอ่”   แม่หมวงเอ่ยบอกให้เจ้าธีร์เก็บสำรับกับข้าวแล้วทำความสะอาด ส่วนพ่อเจ้าทัช หรืออารุจน์ ขึ้นไปบ้านอาแปะ

“ทัช เอ้ย เราได้บอกพี่เขาไปหรือยังเนี่ย เรื่องนั้น”  แม่หมวงเอ่ยขึ้นมาแบบไม่มีปีไม่มีขลุ่ย แต่ทำเอาเจ้าทัชถึงกับเหวอ ผมเองก็งุนงงสงสัย  เรื่องอะไรกันหรือ

“เอ่อ “  เจ้าทัช อ้ำอึ้ง เป็นผมที่พูดแทรกขึ้นมาแทน

“เรื่องอะไรหรือครับ “ ผมยิ้มปั้นหน้าสู้ อยากรู้ขึ้นมาเต็มที่

“อ๋อ เรื่องดูตัวน่ะ”  แม่หมวงหันมาทางผมพร้อมกับรอยยิ้ม แต่ผมอึ้งใบ้แดกเงียบสนิท

“แม่ก็ ดูตงดูตัวอะไรกัน สมัยนี้แล้ว”  เจ้าทัชพูดแทรกขึ้นมา ทำให้ผมดึงสติกลับมาได้  ผมนึกว่าเป็นผมคนเดียวนะที่ยังโดนคลุมถุงชนหรือเรื่องบังคับดูตัว  นี่ประเพณีแบบนี้มันยังคงมีอยู่อีกหรือ แม้แต่ในหมู่บ้านเล็กๆของชนเผ่าในหุบเขาเนี่ยนะ

“ดีใจไหมลูก น้องมันจะได้เป็นฝั่งเป็นฝา แม่เองก็จะได้สบายใจ”  แม่หมวงหันมาทางผมและอธิบายให้ฟัง ผมเริ่มเข้าใจในสิ่งที่คุกรุ่นอึมครึมกับบรรยากาศในวงอาหาร  ถึงว่าเจ้าตัวเล็กเงียบมาตลอด แสดงว่าเมื่อวานก็คงคุยกันมาแล้วสินะ  แล้วไม่โทรบอกผมสักคำ

“แม่ คืนนี้ผมขอไปเที่ยวบ้านพี่นนท์นะครับ เนาะพี่นนท์ พี่จะพาไปดูน้ำตกใช่ไหม ที่เคยบอกไง”  เจ้าทัชเขย่าแขนผม  ผมมองหน้าเขา เห็นสีหน้าแว่บเดียวก็รู้ความหมาย

“เอ่อ ครับ ผมก็ว่าจะขออนุญาติพาทัชไปเที่ยวที่บ้าน เพราะยังไม่เคยพาไปเลย”

“มันเย็นแล้วนะ หนทางมันก็ไกลอยู่ แล้วนี่ก็ใกล้ค่ำแล้ว นนท์น่าจะรีบกลับนะ เดี๋ยวทางบ้านเป็นห่วง” ได้ยินคำพูดประโยคนี้ของแม่หมวงทำเอาผมอึ้งสะดุดคำพูดไปเล็กน้อย

“ผมบอกแม่ไว้แล้วครับว่าจะมาที่นี่”   ผมโกหกออกไปหน้าด้านๆ

“นะครับแม่ ผมขอนะ”  เจ้าทัชจับแขนแม่หมวงเขย่าสองสามที  แม่หมวงมองหน้าผมทีสลับไปมองทัชที

“นนท์ “  แม่หมวงมองหน้าผม ยกมือซ้ายลูบหัวผม

“แม่น่ะ เข้าใจ และรู้ว่าลูกน่ะดีกับลูกของแม่มาก ทั้งสองคนเลย ทั้งแทนและทั้งทัช แม่รู้ว่าลูกรักกันแค่ไหน  แต่เราคงรักกันได้เหมือนญาติเหมือนพี่เหมือนน้องนะ นนท์ก็ทำหน้าที่เหมือนแทนพี่ชายชองเจ้าทัช  เจ้าทัชมันเล่าให้แม่ฟังหมดว่านนท์น่ะ ดีกับเขาเป็นอย่างมาก  แม่ไม่รู้หรอกว่าลูกทั้งสองคนจะสนิทกันมากแค่ไหน  แค่ครองครัวเรามันเชื้อสายจีนนะ ลูกชายต้องมีครอบครัวมีลูกไว้สือสกุลต่อไป แม่หวังว่านนท์คงเข้าใจที่แม่พูดนะ” 

 แม่หมวงพูดยาวมาก อธิบายจนผมเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมเจ้าทัชถึงได้เงียบสงบเจียมตัว  ผมรู้สึกสงสารเขาจับใจ   ผมอยากจะคว้าข้อมือเขาแล้วลุกหนีไปด้วยกัน แต่ทำแบบนั้นมันจะไม่เป็นผลดีกับเขาแน่ๆ

“เอ้อ แล้วดูตัววันไหนครับ”  ผมถามพยายามทำเสียงปกติ

“พรุ่งนี้น่ะ ดูตัวก่อนที่ทัชจะกลับไปกรุงเทพ”   แม่หมวงอธิบาย

“ทัชจะกลับพร้อมกับผมครับ  เราคุยกันแล้ว”  ผมตอบแทน

“แม่เกรงใจน่ะ  พอดีญาติทางบ้านเราก็มีคนลงกรุงเทพเช่นกัน เลยจะให้ทัชไปกับพวกญาติๆ”

“ไม่ครับแม่ ผมจะกลับพร้อมกับพี่นนท์นะครับ ผมบอกแม่แล้วนะ ไม่งั้นพี่เค้าต้องกลับคนเดียว ผมเป็นห่วงเขา”  ทัชให้เหตุผล กับคนตรงหน้าผู้เป็นมารดา ผมถึงกับจุกและซาบซึ้งยิ่งนัก

“แม่หมวงไม่ต้องห่วงนะครับ ผมจะขับช้าๆไม่อันตรายครับ ผมสัญญาผมจะดูแลทัชอย่างดีครับ”

“แม่รู้นนท์ แม่รู้ ว่าลูกสามารถดูแลลูกแม่ได้  โอเค แม่ให้ไปเที่ยวบ้านพี่เขา แต่พรุ่งนี้ลูกต้องกลับมาที่บ้านเราก่อนนะ”  แม่หมวงบอกทัช  แต่เขาไม่ได้ตอบ ลุกไปเก็บกระเป๋า  แม่หมวงจึงหันมาหาผมแทน

“นนท์ แม่ฝากทัชกับลูกด้วยนะ แม่รู้ว่าเราน่ะรักน้องมาก น้องก็เหมือนน้องชายคนหนึ่งนะ ยังไงก็ดูแลด้วยนะ  แม่ไว้ใจนนท์นะลูก”  แม่หมวงมองหน้าผมพูดและลูบหัวเบาๆ ผมเข้าใจในสิ่งที่แม่หมวงพูดทุกอย่าง  ผมเข้าใจดี  เพราะผมก็เคยโดนมาแล้ว เรื่องดูตัว

     ออกมาจากหมู่บ้านต้นผึ้งได้สักสิบนาที ผมไม่พูดอะไรเลย ทัชก็ไม่พูดอะไรเลย  เป็นเวลาน่าจะราวๆหกโมงครึ่ง บนดอยจะค่ำไวมาก แต่ยังคงพอมองทางและธรรมชาติรอบข้างได้ ผมคิดว่าเจ้าตัวเล็กคงจะหนาวเลยจับมือเขาให้มากอดเอวผมไว้ เท่านั้นแหละ เจ้าตัวเล็กกอดผมแน่นเลย และทำให้ผมไดรู้ว่า เจ้าตัวเขาร้องไห้ด้วย  ผมจึงหยุดแวะพักระหว่างทางที่เป็นตูบ หรือเพิงริมทางที่ชาวไร่ชาวสวนทำไว้พักผ่อน  ทัชยังคงนั่งอยู่บนรถผมยืนอยู่ผมโอบกอดเขาไว้แน่นเขาก็ซุกหน้าตรงช่วงไหล่ข้างซ้ายผม กอดตอบแน่นเช่นกันพร้อมกับปล่อยโฮออกมาเต็มๆ ผมไม่มีเสียงพูดอะไรเล็ดลอดออกมาจากปาก มีแต่หยดน้ำตาที่ไหลออกมาเองด้วยความรู้สึกที่จุกและเจ็บปวดรวดร้าวยิ่งนัก ผมเข้าใจทัชดีว่าเขาจะรู้สึกอย่างไร ได่แต่ปล่อยให้เขาได้ระบายออกมาเต็มที่
   
“พี่นนท์ครับ ผมจะทำอย่างไรดี ผมควรจะทำอย่างไรดี”  ทัชพูดทั้งน้ำตา ผมยังคงเงียบมันรวบรวมรวมคำพูดหรือเรียงคำพูดไม่ค่อยถูก  เขากอดผมแน่นและเขย่าตัวผมไปมาพร้อมกับพูดประโยคเดิม ซ้ำๆ

“ทัช ใจเย็นๆก่อน มองหน้าพี่ ใจเย็นๆก่อนนะ ค่อยๆเล่าให้พี่ฟัง ว่ามันเกิดอะไรขึ้น”

ผมจับบ่าทั้งสองข้างของเขา ใช้ฝ่ามือปาดน้ำตาให้เขา ผมรู้สึกจุกและเจ็บปวดไม่แพ้กัน แต่ผมเป็นผู้ใหญ่กว่า ต้องแสดงความเข้มแข็งให้เขาเป็นที่พึ่งได้  แม้จะพูดทั้งเสียงที่สั่นเครือก็ตาม

“ไอ้ธีร์ ...พี่ ...”  ทัชพูดด้วยเสียงสะอื้น 

“ไอ้ธีร์มันเอาสมุดบันทึกของผมให้แม่อ่าน”  ทัชพูดแค่นั้น ก็สะอื้น ผมจึงเริ่มเข้าใจสามารถจะปะติดปะต่อเรื่องราวได้โดยที่เขาไม่ต้องเอ่ยอธิบายใดใดออกมากอีก

“แม่รู้แล้ว พี่นนท์ ฮือ... แม่รู้ว่าผมรักพี่ ไม่ใช่รักแบบพี่น้องกันอีก”  ทัชยังคงสะอื้นไห้ ผมพูดอะไรไม่ออก

“แม่ถามผมเมื่อวาน ถามคาดคั้นจนผมต้องพูด แม่บอกไม่อยากเชื่อว่าพี่จะทำกับผมและทำลายความเชื่อใจของแม่  ผมก็อธิบายให้ฟังแล้วว่ามันไม่ใช่ความผิดของพี่ ผมผิดเอง  ฮือ..”

 ผมเจ็บปวดจนกลั้นน้ำตาไม่ได้  ..ไม่นะ เรื่องนี้จะให้ทัชรับผิดชอบคนเดียวได้ไง ผมคิดทบทวนซ้ำๆหลายครั้ง แม้จะกลับมาที่บ้านแล้ว ก็ยังคิดไม่ตก ผมรักทัชมากจริงๆ และรู้ว่าเขาก็รักผมมาก จากความกล้าหาญที่เขาพูดต่อหน้าแม่หมวง ผมกลับขี้ขลาดที่ไม่พูดให้แม่หมวงเข้าใจ

 คืนนั้นผมกับทัชคุยกันเกือบทั้งคืน ผมพยามหาเหตุผลเกลี้ยกล่อมให้ทัชยอมไปดูตัวตามที่แม่หมวงบอก เพราะผมเองก็ไม่อยากทำลายความไว้เนื้อเชื่อใจของผู้ใหญ่ และเราก็สัญญากับเขาไว้  แต่เจ้าตัวเล็กยืนกรานไม่ยอมท่าเดียว บอกให้ผมกลับกรุงเทพเลยโดยไม่ต้องแวะไปบ้านเขาอีก ผมต้องใช้ความพยายามอดทนอย่างมาก ในการที่จะอธิบายให้เขาฟัง ทั้งเจ็บปวดทั้งละอายต่อแม่หมวงด้วย  แต่อย่างหลังมีน้ำหนักมากกว่า จึงต้องยอมเฉือนหัวใจตัวเอง เพื่อความถูกต้องตามธรรมเนียมปฏิบัติที่ครอบครัวอีกฝ่ายเอ่ยย้ำอยู่บ่อยๆ  จนในที่สุด วันรุ่งขึ้น เขาก็ยอมไปกับผม แต่คงไม่เต็มใจนัก เนื่องจากไม่ยอมคุยกับผมเลยตลอดทาง  ถามคำตอบคำ


  .. ไอ้แทน กูทำแบบนี้ ถูกต้องแล้วใช่ไหม...


.
.

หัวข้อ: ทัช..สัมผัสใจ ตอนที่ 22 (15ก.ค. 2560)
เริ่มหัวข้อโดย: thewa.arak ที่ 15-07-2017 23:57:10
ตอนที่ 22




ความรัก ...กับความถูกต้อง....Part นนท์/ทัช..



     ผมเองก็อยากจะเห็นฝ่ายผู้หญิงที่แม่หมวงไปทาบทามไว้  ผมบอกทัชว่า อย่าทำหน้าเศร้า เราต้องตอบแทนคุณบิดามารดา  ฝ่ายผู้หญิงเป็นสาวแรกรุ่น ผิวพรรณดีหน้าตาก็ดูดี เป็นลูกสกุลจ๋าว บ้านวังถ้ำ  ผมรู้ว่าตัวเขาไม่มีความสุขเลย ผมเองก็เจ็บปวดรวดร้าวที่ต้องพาคนที่ตัวเองรักมากมาส่งงานดูตัว ผมได้แต่อยู่ด้านนอกกลางลานบ้านส่งสายตาให้กำลังใจ ฝ่ายญาติผู้ใหญ่เขาคุยกัน ห้าหกคนในนั้น รวมทั้งอารุจน์  อารุจน์ยังคงคุยกับผมเป็นปกติ แม่หมวงก็คุยกับผมอย่างมีเหตุมีผล ไม่มีทีท่ารังเกียจอะไร แต่ไม่ใช่กับเจ้าธีร์  เจ้าธีร์ไม่คุยกับผมเลย
   ผ่านไปร่วมชั่วโมงจึงออกมาด้านนอก ประกาศว่าพิธีดูตัวเสร็จสิ้นแล้ว รอสร้างตัวอีกหนึ่งปี ตรุษจีนปีหน้าหากไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงจะทำพิธีหมั้นและแต่งตามประเพณี  ผมได้ยินถึงกับจุกอยู่ในใจ รู้สึกได้ถึงคำพูดที่ว่าน้ำตาตกในนั้นเป็นอย่างไร  แต่ต้องฝืนปั้นหน้าเอาไว้ และยิ้มให้ดูสดใสที่สุด  ทัชเองไม่มีสีหน้ายินดียินร้ายใดใดเลย ญาติคนไหนถามไถ่ก็แค่พยักหน้าบ้างยิ้มแหยๆบ้าง เรามองสบตากันเล็กน้อย ผมรู้สึกได้ถึงความผิดหวัง สิ้นหวังในสายตาของเขา ผมสงสารเขาจับใจ  หลังจากเสร็จพิธีของทางญาติผู้ใหญ่แล้ว ผมก็เตรียมตัวจะกลับ แม่หมวงเดินเข้ามาหาพร้อมกับทัชพร้อมกับอารุจน์และเจ้าธีร์ ผมรู้สึกถึงบรรยากาศที่ไม่ค่อยเป็นปกติ แต่พยายามทำใจดีสู้เสือ

“นนท์  ดีใจกับน้องไหมลูก แม่ดีใจมากๆ แม่พยายามทำหน้าที่ของแม่ให้ดีที่สุดแล้ว หวังว่าลูกจะเข้าใจแม่นะ “  แม่หมวงอธิบาย
 
“นี่เราจะกลับวันนี้กันแล้วใช่ไหม” อารุจน์ถาม  ผมทำได้เพียงพยักหน้า ไม่มีเสียงเล็ดลอดออก เพราะรู้ตัวว่าถ้าผมเอ่ยปากแม้เพียงคำเดียว ผมจะกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ได้ จึงทำได้เพียงพยักหน้า อารุจน์เข้ามากอดผมตบบ่าผมเบาๆ

“ขอบใจมากนะลูก ที่ดูแลน้องมันเป็นอย่างดีตลอดมา”  ผมได้รับความอบอุ่นจากอ้อมกอดคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อ ผมถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้ ช่างมันเถอะ ปล่อยมันไหลออกมา  มันควรจะเป็นน้ำตาแห่งความยินดีสิ เราต้องยินดีกับเขา ผมลอบมองหน้าทัช เขาก็มีน้ำตาซึมๆและเบือนหน้าหนีผม ผมรู้สึกเคว้งมาก แทบจะอยากหยุดเวลาไว้แล้วคว้าข้อมือเขา แล้วออกไปจากตรงนั้นไปให้ไกลที่สุด เท่าที่จะไกลได้

“ผมขอแสดงความยินดีด้วยครับ  ยินดีด้วยเป็นอย่างยิ่ง ที่น้องชายที่ผมรักมากคนหนึ่งจะได้เริ่มต้นเรียนรู้การสร้างครอบครัว  ยินดีด้วยจริงๆ จากนี้ไปผมก็จะยังคงรักและดูแลเขาต่อไปครับ ไม่ต้องห่วง”
 ผมรู้ตัวว่าตัวเองนั้นต้องพยายามอย่างมากในการฝืนสู้กับน้ำตาและพยายามปรับเสียงและสีหน้าให้ราบเรียบตามปกติ  แต่ที่ทำให้ผมถึงกับเข่าจะอ่อน จนแทบทำอะไรไม่ถูก เมื่อผมพูดจบ แล้ว ทัชก็แทรกขึ้นมา

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ในเมื่อพี่ได้พูดแสดงความยินดีกับผมแบบนี้  ผมก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว  เราคงไม่มีอะไรต้องเกี่ยวข้องกันอีก พี่ไปเถอะ ผมไม่กลับ ผมจะไปกับรถญาติคืนนี้ ขอให้เดินทางปลอดภัย”  ทัชพูดพร้อมกับน้ำตา และสั่งให้เจ้าธีร์ขับมอเตอร์ไซค์พาเขากลับไปตามทางขึ้นหมู่บ้าน โดยไม่หันมาคุยกับผมอีก 

  ช่วงนาทีนั้น ทุกอย่างมันดับสนิท หยุดอยู่กับที่  พร้อมเสียงวิ้งๆในหู ผมทำอะไรไม่ถูก ตัวชา ทั้งเจ็บปวดรวดร้าวและทั้งอายกับสายตาคนรอบข้าง แม้คนอื่นจะไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่ผมก็รู้สึกอ่อนล้ามาก ผมตั้งสติ บอกอารุจน์ตามไปที่รถผม และผมก็หยิบกระเป๋าของทัชส่งให้

“นี่กระเป๋าของทัชครับ พ่อครับ ผมขอโทษที่อาจทำอะไรเป็นการทำลายความไว้เนื้อเชื่อใจของทุกคน แต่ผมรักเขามากจริงๆ  รักมาก ถ้าหากสิ่งนี้จะทำให้เขามีความสุข ผมก็ยินดีกับเขาครับ ผมขอโทษจริงๆครับ”  ผมพูดทั้งน้ำตาและเป็นครั้งแรกที่ผมเรียกอารุจน์ว่า พ่อ  ผมไหว้ขอโทษ แต่อารุจน์พยุงตัวผมลุกขึ้น

“นนท์  พ่อเข้าใจนะ ตั้งแต่ครั้งที่นนท์อยู่กับแทน พ่อเข้าใจว่าลูกทั้งสองคนรักกัน แต่ประเพณีบ้านเรา ลูกชายต้องสืบสกุล พ่อรู้ว่านนท์เข้าใจ พ่อภูมิใจในตัวนนท์นะ ลูกพ่อไม่ติดเหล้าติดยาเหมือนลูกบ้านอื่นๆ เพราะมีนนท์นะ พ่อก็รักนนท์เหมือนลูกคนหนึ่ง และพ่อก็รู้ว่าเจ้าทัชนั้นเขาเป็นคนตรงและจริงใจ พ่อรู้ว่าเขารักนนท์มาก ถึงอย่างไรก็ฝากดูแลน้องต่อไปด้วยนะ หลังจากนี้ถ้ามีปัญหาอะไรก็ค่อยๆคุยกันนะ  ” 

 ผมไหว้ขอบคุณอารุจน์อีกครั้ง ที่เข้าใจในผม  กลับกลายเป็นอารุจน์ ที่เข้าใจและไม่โกรธไม่เคือง  คงเพราะความจริงใจของผมที่ท่านคงเห็นมาเนิ่นนาน หรือเพราะท่านมีความคิดสมัยใหม่ก็ไม่อาจทราบได้  ผมจึงหยิบมือถือโนเกีย เครื่องสำรองให้อารุจน์ฝากไปให้ทัช

“นนท์เอ้ย อย่าขับรถเร็วนะ ค่อยๆไป ไม่ไหวก็แวะค้างคืนกลางทางนะ พ่อเป็นห่วงอย่าฝืนนะ  สัญญากับพ่อนะ”

“ครับพ่อ”  ผมปาดน้ำตาไหว้ลา อารุจน์และเดินไปไหว้ลาแม่หมวงและญาติทางฝ่ายแม่หมวง และเดินกลับมาที่รถ สตาร์ทรถและออกไปจากที่นั่นโดยเร็ว  ขับผ่านไปตามเส้นถนนวังถ้ำบางช่วงเป็นหลุมเป็นบ่อ บางช่วงเป็นถนนลาดยาง

 ผมขับออกมาได้ราวๆครึ่งชั่วโมง แวะจอดข้างทางและปลดปล่อยน้ำตาให้ทะลักล้นออกมา  หมดแล้วใช่ไหม ความรักของผมจบสิ้นแล้วใช่ไหม จุดประสงค์เดิมตั้งแต่สมัยมัธยมคือ ผมรักและห่วงใยเขา อยากให้เขาได้ดี เมื่อคิดถึงจุดนี้  แม้ผมจะต้องเจ็บปวดรวดร้าว หากมันทำให้เขามีชีวิตที่ดีตามที่ครอบครัวคาดหวัง ผมก็คงทำได้เพียงร่วมยินดีกับเขาไม่ใช่หรือ ผมควรจะดีใจใช่หรือไม่ ผมปลอบใจตัวเองไม่เก่งนัก แต่ชีวิตข้างหน้ายังคงต้องสู้ต่อไป หากในอนาคตถ้าเขาจะต้องไปมีครอบครัว ผมก็ควรจะเข้าใจและร่วมยินดีไปกับเขาสิ
   ผมขับรถช้าๆ ค่อยๆไป  เพราะสภาพจิตใจไม่ค่อยดี  รู้สึกคว้างมาก จนกระทั่งถึงพิษณุโลกในตอนเย็นราวๆบ่ายสาม จึงตั้งใจที่จะแวะพักที่นี่หนึ่งคืน โดยไม่บอกใครเลย  ผมเลือกที่จะพักในโรงแรมพิษณุโลกธานี สมัยทีเรียน ม.น. ผมเคยมาพักที่นี่กับเพื่อนๆ สภาพยังคงไม่แตกต่างจากเมื่อห้าหกปีก่อน  จากนั้นผมขับรถออกไปยัง ม.นอก ไหว้องค์สมเด็จฯและขับรถวนรอบมหาวิทยาลัย  เปลี่ยนแปลงไปมากเลยทีเดียว จากที่เห็นแค่เสาของตัวอาคารที่จะสร้างเป็นอาคารทางการแพทย์ (ปัจจุบันเป็นโรงพยาบาลของมหาวิทยาลัย) ข้างสระ เยื้องหน้าอาคารคณะเภสัชฯ  ผมขับวนไปข้าง ม.แวะทักทายป้าเจ้าของหอพักที่เคยอยู่อาศัย  วนไปรอบมหาลัย เกือบทุกจุดที่เคยพาเจ้าทัชมา  หกโมงเศษ ผมกลับไปหาทานข้าวตรงริมน้ำน่าน เดินดูตลาดนัดริมน้ำที่เริ่มมาตั้งแผงกันแล้ว แต่จิตใจไม่ค่อยสบายนักจึงรีบกลับโรงแรมหวังจะพักผ่อน  มีข้อความเข้ามา ซึ่งเป็นเบอร์แปลกๆ 


   ข้อความที่1......ทำไมคุณเป็นคนแบบนี้ ทิ้งคนที่บอกว่าคุณรักได้อย่างไร ไหนว่ารักเขามากไง   
   ข้อความที่2... ทำไมคุณเป็นคนใจร้ายเช่นนี้ ไม่เคยคิดเลยว่าคุณจะเป็นคนแบบนี้
   ข้อความที่3.... ถ้าคุณรักเขาจริง คุณต้องไม่ทำแบบนี้


  สองทุ่มแล้ว ผมแปลกใจมาก ที่อยู่ๆมีข้อความจากเบอร์ที่ไม่รู้จักส่งข้อความมา สองสามข้อความ ผมจึงโทรตามหมายเลขที่ปรากฏ โทรไปครั้งแรกถูกตัดสาย ครั้งที่สองถูกตัดสาย ครั้งที่สามและสี่ด้วย ผมจึงส่งข้อความกลับไปแทน

        1...ผมไม่รู้ว่าคุณเป็นใคร และคุณไม่รู้หรอกว่าผมรักเขามากแค่ไหน แต่ผมไม่อยากทำร้ายครอบครัวเขา
        2... ผมไม่อยากทำลายความไว้วางใจและความไว้เนื้อเชื่อใจที่ครอบครัวเขามีให้กับผม 
        3...ไม่ใช่ผมไม่รักเขา ผมรักเขามาก มากยิ่งกว่าสิ่งใด แต่คุณไม่ใช่ผมคุณจะมาเข้าใจอะไร   
        4... สภาพจิตใจผมไม่ดี หากไม่ประสงค์ดี อย่ามาทำร้ายกันเลย ผมขอร้อง

 จากนั้น ผมก็เฝ้ารอ ว่าจะมีข้อความส่งกลับมาอีกหรือไม่ จนรู้สึกกระวนกระวาย สักพักก็มีข้อความส่งกลับมา
     ...หากคุณรักเขาจริง คุณต้องต่อสู้อยู่เคียงข้างเขา ไม่ใช้ทิ้งกันไปแบบนี้..... ผมจึงส่งข้อควมตอบกลับไป

     ....อาเหมยใช่หรือเปล่า พี่คิดว่าอาเหมยเข้าใจพี่มากที่สุดแล้วนะ  ทำไมถึงด่าพี่แบบนี้........

เสียงมือถือผมดัง เห็นเป็นเบอร์ขึ้นต้น 054 จึงรีบรับสายโดยเร็ว

“นนท์เหรอลูก”    อารุจน์นั่นเอง

“ครับ” 

“ถึงไหนแล้ว พ่อเป็นห่วง “

“ขอบคุณมากครับ ผมรู้สึกปวดหัว เลยแวะพักค้างคืนที่ พิษณุโลกครับ กะว่านอนพักก่อนพรุ่งนี้เช้าค่อยเดินทางต่อ” ผมตอบพยายามปรับน้ำเสียงให้เป็นปกติ

“ดีแล้ว อย่างงั้นพ่อก็สบายใจ ยังไงก็พักผ่อนให้เต็มที่นะ และเดินทางปลอดภัยนะ”

“ขอบคุณครับ...พ่อ”  ผมเว้นจังหวะเล็กน้อย ก่อนที่อารุจน์จะวางสายไป

   ตั้งสติได้แล้วผมจึงหันมาสนใจกับเรื่องข้อความจากเบอร์ที่ไม่รู้จักอีกครั้ง  แต่ไม่ว่าจะโทรไปหากี่ครั้งก็ถูกตัดสายทุกครั้ง  รู้สึกทั้งจุกทั้งเจ็บปวดจนปวดหัว จึงเข้าไปสงบสติอารมณ์ในห้องน้ำ และอาบน้ำ  ล้มตัวลงนอนหวังจะพักผ่อนเต็มที่พรุ่งนี้จะได้เดินทางโดยสวัสดิภาพ  ก็พอดีมีสายเข้า เป็นเบอร์ที่ผมโทรไปนั่นเอง แต่พอผมรับ ปลายสายก็รีบวางสายไป ผมจึงโทรกลับ สายแรกถูกตัด  จึงคิดว่า อย่างไรเสียเรื่องก็มาถึงขนาดนี้แล้วเอาไงเอากัน  ผมนึกในใจว่า ผมจะโทรจนกว่าแบตของอีกฝ่ายจะหมดละกัน...

ครั้งที่สองติดแต่ไม่รับ  เว้นไปสามนาที จึงโทรอีกครั้ง ติดและยาวนานจนคิดว่าสายจะตัดไปเองแต่สุดท้ายปลายสายก็รับ

“ฮัลโหล นั่นใครครับ”   ผมถามอยู่เช่นนั้น สามสี่รอบ ก็ยังไม่ยอมตอบ แต่ได้ยินเสียงเหมือนพัดลมหรือแอร์หรือเครื่องยนต์เบาๆ
 
“ฮัลโหล อาเหมยหรือเปล่า คุยกับพี่หน่อยเถอะนะ ”  ผมเริ่มรู้สึกสั่นไปทั้งตัว แต่ยังคงตั้งสติไว้

“ผมเอง” ปลายสายพูดเพียงแค่นั้น ทำเอาผมอึ้ง สตั๊นท์ไปชั่วครู่

“ทัช ..นั่นทัชเหรอ ทำไมไม่ใช้เครื่องที่พี่ฝากไว้ที่พ่อให้ล่ะ”

“...............”

“ทัช...ได้ยินพี่ไหม”   ผมเดินไปหยุดยืนริมหน้าต่างเผื่อสัญญาณจะชัดเจนขึ้น

“ผมเปลี่ยนเบอร์  เอาซิมพี่ออก ซื้อซิมใหม่ที่เวียงคำ”    ทัชอธิบาย น้ำเสียงขึ้นจมูกผมรู้ว่าเขาก็คงเสียใจจนร้องไห้หนักแน่ๆ

“ทัช...มาถึงไหนกันแล้ว  พี่เป็นห่วงนะ” 

“เป็นห่วงผมแล้วทิ้งผมทำไม”   ทัชเริ่มมีเสียงสะอื้น

“ทัช .. พี่ไม่อยากทำเช่นนั้นเลย แต่ ณ เวลา นั้น ญาติพี่น้องของทัชอยู่กันเต็มไปหมด ทัชคิดว่าพี่จะกล้าทำลายน้ำใจ ความไว้เนื้อเชื่อใจของแม่หมวงได้หรือ  ทัชต้องเข้าใจพี่บ้าง”   ผมอธิบายยาวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“พี่น่าจะพูดให้แม่เข้าใจ” 

“ทัช... ฟังพี่ก่อนนะ  พี่รักเรามากนะ  เราก็รู้ดี  แต่เราสองคนเป็นผู้ชายเหมือนกัน และครอบครัวทัชก็คงรับไม่ได้ เราต้องพูดกันด้วยเหตุผล สังคมบ้านเรามันก็แค่นั้น หากเราทำอะไรผิดไป พ่อกับแม่และครอบครัวจะทำอย่างไร”   ผมอธิบายด้วยน้ำเสียงที่ปกติที่สุดพยายามไม่ให้ฟังดูเหมือนบีบคั้นเขา

“แต่ผมรักพี่นนท์  ผมไม่ได้รักคนอื่น พี่จะยอมให้คนที่พี่บอกว่ารักมาก ไปอยู่กับคนอื่นได้เหรอ ไหนพี่บอกพี่แทน สัญญากับพี่แทนว่าจะรักและดูแลผมตลอดไปไง พี่ไม่รักผมแล้วใช่ไหม” 

  ทัชร้องไห้อีกแล้ว  ผมยิ่งเจ็บปวดเหลือเกิน ผมถือว่าโตเป็นผุ้ใหญ่แล้วได้รู้ได้เห็นอะไรมามาก เข้าใจถึงสภาพหรือสถานะทางสังคมที่อาจมีการยอมรับบ้าง แต่สำหรับชนบทและชนเผ่าอย่างพวกเรา ใครจะยอมรับเรื่องแบบนี้ได้  แล้วผมควรจะทำอย่างไรดี  ทำตามที่หัวใจต้องการแล้วหักหน้าคนในครอบครัวพ่อแม่ของคนที่เรารักได้หรือ เราเห็นแก่ตัวขนาดนั้นได้หรือ ... ผมควรทำอย่างไรดี

 “ทัช.. อย่าร้องไห้เลย พี่ก็เจ็บปวดไม่แพ้เราหรอกนะ  แล้วนี่มากับญาติใช่ไหม ตอนนี้ถึงไหนกันแล้ว   ขับรถระวังๆกันด้วยนะ”
 
“ถึงอุตรดิตถ์แล้ว”

“ออกมากันตั้งแต่กี่โมงเนี่ย”

“ห้าโมง”

“อืม...บอกญาติแวะพักตามปั๊มบ้างนะ ถึงกทม แล้วโทรหาพี่ด้วยนะ พี่เป็นห่วง”

 “เป็นห่วงคงไม่ทิ้งผมหรอก พี่ทิ้งผมมากี่ครั้งแล้ว”   ได้ยินประโยคนี้ยิ่งจุกและ มันแปล๊ปๆในใจ มันเจ็บปวดขนาดนั้นเลยทีเดียว  พูดไม่ออก

“พี่..พี่ขอโทษครับ”

“แล้วพี่ถึงไหนแล้ว”  ทัชเอ่ยถาม

“พี่รู้สึกร่างกายไม่ไหว  เลยแวะพักไหว้เสด็จพ่อองค์ดำ และค้างคืนที่นี่เลย กะว่าพรุ่งนี้เช้าค่อยเดินทาง ร่างกายจะได้ไม่เพลีย” 
“.............”   ทัชเงียบไปพักใหญ่

“ทัช ...เป็นอะไรไป ได้ยินพี่ไหม”   

“ไม่มีอะไร ญาติมา แค่นี้นะครับ ค่อยโทรไปใหม่”  แล้วก็วางสายไปเลย 

  ตลอดเวลาที่คุยกับผม ทัชไม่มีคำว่าครับสักคำและน้ำเสียงยังคงแข็งๆตลอดตั้งแต่ต้นสายจนวางสาย   แต่ผมดีใจนะที่เขาโทรมาหา และยังอุตส่าห์ไปซื้อซิมส่งข้อความมาตัดพ้อผมอีก แค่นี้ผมก็รับรู้ได้แล้วว่าเขารักผมมากแค่ไหน  แล้วผมล่ะ ทำไมผมถึงเลือกที่จะผลักความรักของตัวเองแล้วเลือกความถูกต้องตามทำนองคลองธรรม นี่ผมทำถูกแล้วใช่ไหมครับ ช่วยบอกผมที   
 
    ทีวีเปิดทิ้งไว้แต่หาได้สนใจหน้าจอทีวีแต่อย่างใดไม่ สมองมันอื้ออึงและปวดหัวตึ้บๆ ปล่อยไว้แบบนี้คงไม่ไหว จึงขับรถออกจากโรงแรมไปซื้อยาที่เซเว่น ซึ่งไม่ไกลกันนักเพราะเป็นเส้นถนนสนามบิน และผมคุ้นเคยดี  มีนักศึกษาบางส่วนนั่งทานข้าวร้านอาหารริมทาง นึกถึงสมัยที่ตัวเองยังเรียนอยู่ ก็ให้รู้สึกไม่อยากโตเป็นผู้ใหญ่เลย ไม่อยากรับรู้ปัญหาใดใด ผมดื่มโอวัลติลร้อนและขนมปัง พร้อมซื้อน้ำเปล่ากับพาราเซ็ตตามอลหนึ่งแผง กลับถึงโรงแรมค่อยกินยาก่อนนอน

     และเมื่อมาถึงห้องก็ต้องแปลกใจ ที่เห็นมือถือโชว์สาย ไม่ได้รับถึงเจ็ดสาย เหลือบมองดูนาฬิกาข้างฝาผนัง อีกสิบนาทีห้าทุ่ม  เอาอีกแล้วเรา  ทัชจะเข้าใจผิดอีกแน่ๆ ผมรีบกดโทรออกไป เป็นดังคาด เขาตัดสายผมสามรอบรวด ผมจึงต้องส่งเป็นข้อความไปแทน

 ....ทัช พี่ขอโทษครับ พอดีพี่ปวดหัวเลยออกไปซื้อยาที่เซเว่นไม่ได้เอามือถือไปด้วย ยังไงรับสายพี่ด้วยนะครับ เป็นห่วงนะ....

   รอจังหวะเวลาชั่วครู่จึงโทรกลับไปอีกครั้ง คราวนี้รับสายครับ  ผมโล่งอก

“ทัช ฟังพี่ก่อนนะครับ พี่ไม่ได้เอามือถือไปด้วย พี่ขอโทษนะ”

“ไม่เป็นไร พี่นอนหรือยังตอนนี้”   ผมได้ยินเสียงดังมาจากรอบๆบริเวณ

“เดี๋ยวกินยาก็คงนอนแล้วล่ะ  ทัช ถึงไหนแล้วเนี่ย” 

“เอ่อ..แวะปั๊ม...”  เขาพูดเพียงแค่นั้นแล้วก็เงียบไป

“ถึงไหนแล้ว หมายถึงจังหวัดไหนแล้ว”  ผมถามย้ำอีกครั้ง

“............”   เงียบ ไม่มีเสียงตอบ

“ฮัลโหล ทัช ได้ยินพี่ไหม”   

“พี่นนท์มารับผมได้ไหม”    หืม..มารับงั้นหรือ ผมงงเล็กน้อย

“มารับ? .. ทัชอยู่ไหนเนี่ย”  ผมเริ่มเป็นห่วง

“ผมอยู่ที่ท่ารถ”   เขาตอบสั้นๆ

 ผมอึ้งไปเล็กน้อย แต่ก็รีบถามย้ำทันที

“ทัช.. ทัชอยู่ที่ไหน พี่เป็นห่วงนะ อย่าล้อเล่นแบบนี้สิ”

“ไม่ล้อเล่น ผมอยู่ที่สถานีขนส่งพิดโลก”  ทัชตอบเพียงเท่านั้น ผมรีบหยิบกุญแจแทบกระโจนออกจากห้อง  เขาคิดอะไรอยู่เนี่ย ทำไมถึงมาลงที่นี่ ไอ้เด็กบ้า ทำอะไร ไม่คิดบ้างว่าคนเป็นห่วง แล้วอยู่ๆญาติก็ปล่อยให้ลงงั้นหรือ  อะไรกัน

“ทัช รอพี่แป๊ปนึงนะ พี่กำลังจะรีบไป” 

“รีบมานะพี่ ผมหนาว” แล้วก็ตัดสายไป  ในใจไม่ได้คิดหรอกว่า เขาจะแกล้งแก้แค้นผมหรือเปล่า เพราะเมื่อตอนเย็นผมบอกว่าผมปวดหัวจะพักค้างคืนค่อยเดินทางต่อ  หืม.. เขารู้เขาเลยขอญาติลงที่นี่งั้นหรือ แล้วเขาจะบอกญาติว่าอะไรกัน พิษณุโลกมีเพื่อนมีญาติเขาที่ไหนกัน  ไอ้เด็กบ้า ไม่คิดหรือว่าผมอาจจะแกล้งบอกไปแบบนั้นเอง  ผมสลัดความคิดทิ้งไป จะแกล้งผมหรือไม่ช่างมัน ถ้าเป็นเขา ยังไงผมก็จะไป

   ผมจอดรถที่ข้างร้านก๋วยเตี๋ยว แล้วรีบเดินลงไปตามหาพร้อมกับโทรเข้าเบอร์เขา โทรติดแต่ไม่รับ ผมก็กดโทรซ้ำและหันซ้ายขวามองหาเขา แต่ก็ไม่เจอ หรือเขาจะแกล้งผมจริงๆ  ผมโทรเข้าเบอร์อีกสามครั้ง ติด แต่ไม่รับ ผมรู้สึกจุก นั่งลงบนเก้าอี้พลาสติสีส้ม น้ำตาไหลออกมา นี่ผมกับทัช เราต้องจากกันแล้วจริงๆใช่ไหม   

  แต่.. มันยังไม่ถึงกับเป็นวันที่เลวร้ายของผม  เมื่อมือเย็นๆโอบกอดผมไว้จากด้านหลัง พร้อมกับเสียงสะอื้น

“พี่นนท์  พี่นนท์มาหาผมจริงๆ”   ทัชพูดพร้อมโอบกอดผมแน่น รู้สึกได้ถึงน้ำตาที่หยดลงมาตรงคอผม ผมลุกขึ้นหันกลับไปกอดเขาไว้แน่น  แน่นจนเขาร้องแอ่ก

“ทัช .. ใช่ทัชจริงๆด้วย” ผมประคองใบหน้าเขา ใช้ฝ่ามือปาดน้ำตาให้  ใบหน้ารวมทั้งแขนเขาเย็นมาก ผมล่ะนึกสงสารขึ้นมาจับใจ

“ดูดิ๊ ไอ้เด็กบ้า ทำไมไม่ใส่เสื้อหนาวไม่ใส่กางเกงยาวๆ”   ผมดีดจมูกเขาเบาๆ  รู้สึกสงสารจับใจ กับเสื้อเชิ๊ตแขนสั้นและกางเกงขาสั้น พร้อมกระเป๋าสะพายข้าง  ไอ้เด็กน้อยเอ๊ย ทำไมถึงทำแบบนี้  ผมสงสารเขาเหลือเกิน โอบกอดเขาไว้แน่นน้ำตาแห่งความดีใจไหลออกมาเป็นทาง  ผมนึกว่าจะสูญเสียเขาไปเสียแล้ว  ตอนนี้เขากลับมาอยู่ในอ้อมกอดผมอีกครั้ง  ห้าทุ่มกว่าๆคนไม่ค่อยมีและผมก็ไม่อายสายตาใครเพราะคงไม่มีใครรู้จักผมหรอก 

“หิวมั๊ย  คงจะยังไม่ได้กินอะไรมาสินะ”

“กินนมแล้ว บนรถเขาแจกนมกล่องกับขนมปัง”

“ไม่หิวแน่นะ”  ผมลูบหัวเขาเบาๆ

“ก็นิดหน่อยอ่ะ”

“งั้นพี่พากินผัดไทยตีหัวหมา  เจ้านี้อร่อย”  ทัชพยักหน้าผมจึงพาไป ร้านผัดไทยเจ๊เค็งยังคงเปิดอยู่ ผมสั่งมาให้ทัช แต่ตัวเองไม่กิน แย่งกินกับทัชเพียงเล็กน้อย   ก่อนพากลับโรงแรม

“พี่นนท์ ทำไมถึงเรียกว่าผัดไทตีหัวหมา”  เจ้าตัวเล็กถามด้วยความสงสัย

“อ๋อ คืองี้ เมื่อก่อนสมัยเรียน พวกพี่เคยมากินตอนดึกๆ แกทำอร่อยนะ แต่มีเรื่องเล่าต่อๆกันมาว่าขณะที่แกกำลังผัดอยู่ มีคนเห็นแกเอากระบวยก๋วยเตี๋ยวเคาะหัวหมาที่มากินเศษอาหารตรงผ้าและดาษหนังสือพิมพ์ที่แกปูไว้สำหรับทิ้งเศษอาหารและเปลือกไข่ ไง เลยถูกตั้งฉายาว่า เจ๊เค็งผัดไทตีหัวหมา”   

ผมอธิบายยาวๆ ทัชหัวเราะออกมา ผมก็โล่งใจ ที่เห็นเขาผ่อนคลายมากขึ้น
ถึงโรงแรมผมบอกให้เขาไปอาบน้ำ แต่สุดท้ายก็คะยั้นคะยอให้อาบพร้อมกัน ผมเองไม่อยากอาบเพราะรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว แต่ไม่อยากขัดใจ และไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้อยู่ใกล้ชิดกับเขาอีกหรือเปล่า   
 
 ผม กินยาไปสองเม็ด ทัชก็ขอกินด้วย ผมให้เขากินแค่เม็ดเดียว  ยังดีที่ผมเลือกห้องที่เตียงมีขนาดกว้างพอดีนอนสองคน ปกติ โรงแรมก็มีผ้าห่มหมอนเครื่องนอนสองชุดอยู่แล้ว จึงพอดีกับเราสองคน

 “ทัช เป็นไงบ้าง ทำไมถึงมาลงที่นี่ได้  ถ้าพี่แกล้งพูดขึ้นมาล่ะ เราก็จะเคว้งอยู่ที่นี่คนเดียวเลยนะ ทำไมถึงกล้าทำอะไรแบบนี้”    ผมถามด้วยความสงสัย

“พ่อบอกว่าพี่แวะพักค้างที่นี่”   ทัชตอบ

“อืม..เอ้อ แล้วนี่เราขอลงแล้วญาติเราก็ให้ลงด้วยหรือ”   ผมถามต่อ

“ผมมาคนเดียว มารถทัวร์”   พระเจ้า ไอ้เด็กบ้า ชอบทำให้เป็นห่วงอีกแล้ว มาคนเดียวได้ไง แล้วดูชุดที่มันใส่มาวันนี้สิ โอ๊ย ผมละอยากจะเขกหัวมันจริงๆ  แต่ก็ได้แต่คิดในใจ  เขาอุตส่าห์ลงมาเพื่อมาตามผม โดยที่ไม่ได้คิดว่า แม้ผมจะบอกอารุจน์ไปแบบนั้น แต่ถ้าหากผมไม่แวะพักขึ้นมาจริงๆเจ้าเด็กนี่ก็ต้องคว้างเลยสินะ  เฮ้อ ถือว่าเป็นโชคดีอย่างยิ่ง

“เด็กบ้าเอ๊ย ถึงแม้จะได้ยินพ่อบอกแบบนั้น แต่ถ้าหากพี่ไม่ได้แวะพักที่นี่ แต่อาจจะไปนครสวรรค์แทน พอเรามาลงที่นี่แล้วใครจะดูแลล่ะ ทำไมถึงทำแบบนี้นะ”

“ก็พี่บอกผมเองนะ ว่าพี่พักค้างคืนที่นี่ อีกอย่างที่นี่ก็เป็นที่ที่พี่เคยมาเรียน ยังไงพี่ก็ต้องพักที่นี่อย่างแน่นอน”  ทัชพูดด้วยความมั่นใจ  อืม รู้ใจผมจริงๆเจ้าเด็กคนนี้   ผมกอดเขาแน่น

“ทัช พี่ขอโทษนะครับ พี่ผิดเองจริงๆ ที่พี่ทิ้งเรามาแบบนี้ แต่พี่ก็ทำตัวไม่ถูกนะ เข้าใจพี่บ้างเถอะนะ”  ผมพูดพร้อมกับลูบหัวเขาเบาๆ  ทัชก็ปล่อยโฮออกมาทันที

“ผมก็ขอโทษพี่ด้วยนะครับ ที่ผมทำตัวไม่ดีไล่พี่ไปแบบนั้น ตอนนั้นผมแค่น้อยใจ”

“แต่รู้มั๊ย พี่ใจไม่ดีเลยนะ พี่กลัวว่าการตัดสินใจของพี่ จะทำให้พี่สูญเสียเราไป พี่คงต้องเจ็บไปจนวันตายเลยทีเดียว”  ผมพูดจากใจจริง  ทัชผลักผมออกเล็กน้อยเอามือมาเช็ดน้ำตาให้ผม

“พี่รักผมไหม”  ทัชถามทั้งน้ำตา

“โธ่เอ้ยเด็กน้อย ถามทำไม รู้อยู่แล้วว่าพี่รักเรามากแค่ไหน รักมากถึงกับต้องยอมเสียสละเพื่อความถูกต้อง หากมันจะทำให้ครองครัวของทัชไม่ต้องอับอายที่...”  ผมยังพูดไม่ทันจบ  ทัชใช้ฝ่ามืออุดปากผมไว้

 “อย่าพูดนะพี่  ผมเคยคิดว่าผมควรจะรักพี่อย่างไรดี ผมเองก็เคยสับสน แต่สุดท้ายก็รู้ว่าผมคิดถึงพี่มาตลอดผมอยากอยู่ใกล้พี่ มีความสุขที่อยู่กับพี่ นั่นเพียงพอไหมที่จะเรียกว่ารัก  มันจะช่วยให้พี่มองเห็นความรักของผมไหม แม้ผมจะเป็นผู้ชายเหมือนพี่ แต่เพื่อพี่ผมทำได้ทุกอย่าง”   ทัชพูดไปสะอื้นไป  ผมทั้งจุกทั้งเจ็บปวดทั้งดีใจระคนกัน  ผมโชคดีเหลิอเกิน ผมมีคนที่ผมรักและเขาก็รักผม

“ยังไงพี่ก็ขอโทษด้วยนะ ทำให้ทัชผิดหวังในตัวพี่”

“ไม่เป็นไร ช่างมันเถอะครับ ผมเข้าใจ พี่นอนเถอะ พี่ต้องพักผ่อนพรุ่งนี้ต้องขับรถไกลนะ” 

“อื้ม แต่ว่า ที่ปวดๆหัวอยู่นี่ พี่รู้สึกว่ามันหายแล้วนะ ทุกสิ่งทุกอย่าง ความกังวลใจความเป็นห่วงมันหายไปแล้ว หายไปเมื่อ  ทัชมาอยู่เคียงข้างพี่ ในตอนนี้”   ผมตอบพร้อมกับตะแคงหันมากอดเขาไว้จูบหน้าผากเขาหนึ่งครั้ง  เขากลับจูบปากผมแทน และนาน ผมปล่อยให้เขาทำตามใจปรารถนา สักพัก

“ อืม.. คืนนี้พี่อย่าปล่อยผมนะ”  ทัชพูดพร้อมกับนอนหงายและจะดึงผมไปหาเขา ผมรู้ว่าเขาจะสื่อถึงอะไร แต่ผมไม่อยากทำแบบนั้น กับเขาในตอนนี้  ยิ่งเขาแสดงอะไรให้เห็นว่าเขาคิดกับผมอย่างไร ผมยิ่งรู้สึกผิดเป็นอย่างมาก ผมจึงได้แต่กอดเขาไว้แน่น

“อื้ม พี่จะกอดเราไว้อย่างนี้ทั้งคืนเลยนะ ไม่ปล่อยไปไหนอีกแน่นอน นอนเถอะ พี่รู้สึกเมื่อยล้ามาก พักผ่อนนะคนดี”  ผมจูบเขาเบาๆ และจูบหน้าผากเขาอีกครั้ง และกอดเขาไว้อย่างนั้น

 วันนี้เราต่างเจออะไรกันมาหนักพอสมควร  ผมยังคงนอนไม่หลับนึกถึงเรื่องราวที่ผ่านไปเมื่อเช้า มันเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่นี้เอง  ทัชหลับไปแล้ว เขาคงเหนื่อยมาก  ผมขยับตัวเล็กน้อยคลายแขนให้พอหายเมื่อย ผมมองหน้าเขา พิศดูยามเขาหลับใหล หลังจากนี้ไปผมยังคิดไม่ตกว่าควรจะตัดสินใจอย่างไรดี  ผมรักเขามากเหลือเกิน แต่ในความรักของผมมันเริ่มมาจากความผูกพันและความห่วงใยสานต่อมาเป็นความรักในตัวตนของเขา อยากดูแลเขาไปตลอด

   ...เด็กน้อยของพี่ ตั้งแต่พี่รู้ตัวว่าพี่รักเรา แต่พยายยามทำทุกอย่างโดยไม่ครอบครอง รักแบบพี่น้องที่มีแต่ความห่วงใยอยากให้ทัชได้ดี จนกระทั่งเราบอกความรู้สึกกับพี่ พี่จึงตัดสินใจแน่วแน่ว่าพี่จะไม่ปล่อยเราไปไหนอีก  เราได้มอบกายมอบใจซึ่งเป็นสิ่งที่เราอาจจะลำบากใจ แต่เรากลับเสียสละมอบให้พี่ พี่ซึ้งใจนัก พี่เองก็ไม่ได้หวังแบบนั้น พี่รักเรามากจริงๆ  พี่ขอโทษนะที่ไม่เคยให้ความมั่นใจกับเราเลย พี่ขอโทษจริงๆ แต่หลังจากนี้ พี่จะพยายามทำให้ดีที่สุดนะครับ
พี่รักเรานะ  ทัช....เด็กน้อยของพี่... 
        ผมพึมพำกระซิบข้างหูเขา แล้วจูบหน้าผากเขาเบาๆ และโอบกอดเขาไว้   ทัชขยับตัวเล็กน้อย แต่ก็หลับสนิท ในอ้อมกอดผม
 


.......












                  เรื่องราวดีดีในวารก่อน
                  กับช่วงเวลาที่ร้าวรอนจนอ่อนล้า
                  เราต่างร่วมฝ่าฟันด้วยกันมา 
                   ต่างสัญญา รักมั่นนิรันดร
             ........................................................
หัวข้อ: ทัช..สัมผัสใจ ตอนที่ 23 (15ก.ค. 2560)
เริ่มหัวข้อโดย: thewa.arak ที่ 16-07-2017 00:04:51
ตอนที่ 23



การตัดสินใจครั้งสำคัญ....Part นนท์/เอก/ทัช...



        ถึงกรุงเทพ ผมไม่ให้ทัชไปอยู่บางบอนแต่ให้เขามาอยู่กับผม  เจ้าตัวขอไปบอกญาติก่อน ต้องลาออกจากงานและเคลียร์ อะไรอีกหลายอย่าง ผมจะขับรถไปส่งก็ไม่ยอม จึงได้แต่ตามใจเขา  สุดท้ายก็ลาออกจากงานจริง แต่ไม่ได้มาอยู่กับผม ช่วยญาติเขาขายน้ำเต้าหู้แทน ผมบอกให้มาก็ไม่ยอมมา  จนผมต้องอ้อนวอนอย่างจริงจัง ถึงมาอยู่กับผม ผมให้ไปสมัครงานอยู่บนห้างดังในนทบุรี อยู่แผนกกีฬา เหมาะสมกับตัวเขาแล้ว 

 ผมรู้สึกสบายใจมากขึ้นที่เขายังคงอยู่ในสายตาของผมผมจะได้ไม่เป็นห่วงเขามาก เราอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข  ต่างช่วยเหลือกันเรื่องซักผ้าไม่มีแล้วเพราะมีร้านซักรีดใต้คอนโด ก็มีทำความสะอาดห้องบ้าง ขัดห้องน้ำบ้าง แต่ก็ช่วยกันทำ ส่วนกับข้าว ถ้ามีเวลาเราจะออกไปหาซื้อมาทำกินกันเองโดยผมเป็นเชฟให้ ผมไปรับเขากลับทุกวันเมื่อเขาเลิกงาน ชีวิตมีความสุขมาก แต่ก็ไม่นาน เพราะหลังจากนั้นให้หลังสามเดือน ผมก็ต้องไปทำงานที่ญี่ปุ่นสองเดือน พาเอ็นจิเนียร์ไปเทรนนิ่งเครื่องจักรใหม่  ผมคิดถึงเขามากแทบอยากบินกลับมาเร็วๆ  ช่วงสองเดือนนั้น มันบ่งบอกได้เลยว่า ผมรักเขามากแค่ไหน คิดถึงเขาอยู่ตลอดเวลา
  พอครบช่วงเวลานั้นก็กลับมาเป็นปกติ อยู่ด้วยกันเกือบหกเดือนก็มีอันต้องห่างกันอีก ผมต้องไปญี่ปุ่นหนึ่งปี ทัชคงเหงามากเขาอยู่คนเดียวไม่ได้ จึงขอไปอยู่กับญาติที่บางบอนเหมือนเดิม ผมขอร้องก็ไม่ฟัง สงสารเขาเช่นกัน แต่คงห้ามเขาไม่ได้ เพราะเขาอยู่คนเดียวก็คงคิดถึงผมมาก ผมคิดเช่นนั้น จึงยอมให้เขาไปอยู่กับญาติ แต่ขอให้เขาสัญญากับผมว่าเมื่อผมกลับมา เขาต้องกลับมาอยู่กับผมเหมือนเดิม  ทัชก็ให้ผมสัญญากับเขาเช่นกันว่าผมจะไม่ทิ้งเขาไปอีก ซึ่งไม่มีวันที่ผมจะปล่อยเขาไปอีกเด็ดขาด
       
  ปี2550 ผมกลับมาและไปรับทัชกลับมาอยู่ด้วยกันเหมือนเดิม ทุกอย่างกลับมาเป็นปกติ ทัชก็ทำงานบนห้างเหมือนเดิม แต่อยู่คนละแผนกแต่ก็เป็นแผนกกีฬาเหมือนเดิม เอ๊ะ พูดแล้วงง แต่บางอย่างทำให้เกิดความเข้าใจผิดขึ้นจนได้  ในเย็นวันที่ เจ้าเอกกลับมา  เขามาเล่นห้องผมเป็นปกติ เพียงแต่ตัวเขายังไม่รู้ว่า  ทัชมาอยู่กับผมแล้ว

 “ไอ้นนท์  กูว่าห้องมึงดูเปลี่ยนไปนะ กูมาเอากุญแจที่ฝากมึงไว้น่ะ”

“เดี๋ยวรอกูแปป เดี๋ยวกูหยิบให้”   ผมพูดพลางเดินเข้าไปหยิบกุญแจ ที่วางอยู่ในเก๊ะตรงหัวเตียงโดยไม่ทันสังเกตว่าไอ้เอกมันเดินตามมา

“ไอ้นนท์ กูคิดถึงมึงมากเลยว่ะ”   มันเข้ามาพร้อมกับกอดผมจากด้านหลัง

“เฮ๊ย ไอ้เอก มึงนี่ เล่นอะไรวะ มาไม่ให้สุ้มให้เสียง  มึงปล่อยกูเลย”  ผมรีบแกะคลายมือมันออก

“ไอ้นนท์ “  มันปล่อยผมให้เป็นอิสระโดยไว  แล้วพลิกตัวผมหันมาเผชิญหน้า

“อะไรของมึงเนี่ย”  ผมหลบสายตา

“ใครมานอนกับมึง “   ไอ้เอกจ้องหน้าผม

 “ตอบมาดิวะ”  ไอ้เอกคะยั้นคะยอ

“ทัช ไง  มึงน่าจะจำได้นะ น้องมัธยมที่มึงเคยเจอตอน..” ผมพูดยังไม่ทันจบไอ้เอกก็ตัดบท

“เออ ไม่ต้องพูด กูรู้แล้ว”
 
“อืม จำได้ใช่ไหม น้องเค้ามีเรื่องกับที่บ้านมานิดหน่อย”   ผมรีบหุบปาก กลัวว่าจะพูดเรื่องที่คนที่ไม่เกี่ยวไม่ควรรู้ 

“แล้วไอ้เด็กนั่น ... เอ่อ  เขาจะมาอยู่นานไหม”   ไอ้เอก หยุดเว้นวรรคเล็กน้อย แต่ก็ยังเสียงกระด้าง

“อะไรกัน มึงนี่ “ 

“เขาจะมาอยู่นานไหม”    ไอ้เอกเสียงอ่อนลง

“ก็นานแหละ น้องเขามาอยู่กับกูเลย กูให้น้องเขามาเอง ไม่อยากให้อยู่ไกล ช่วงนี้มีปัญหากับที่บ้านด้วย”  ผมเปลอพูดออกมาอีกแล้ว

“ปัญหาอะไรวะ”

“อืม มึงไม่ต้องรู้หรอก เปลืองสมองเปล่าๆน่า”

“ไอ้นนท์  มึงก็รู้ว่า กูก็เป็นคนหนึ่งที่รักมึงนะ ที่ผ่านมากูรู้ตลอดว่ามึงยังรักเจ้าเด็กนั่น แต่กูก็ไม่เคยปริปาก เพราะกูเข้าใจมึงไง แต่มึงเข้าใจกูบ้างไหมว่ากูก็เจ็บเป็น”    ไอ้เอกเริ่มจุดชนวนมาแนวดราม่า

“กูก็รู้ ว่ามึงคิดยังไงกับกู ไม่ใช่ว่ากูไม่รักมึงนะ  แต่มึงก็ต้องเข้าใจว่ากูรักเขา รักมานานมากเพียงแต่ไม่เคยรู้ว่ามันคือรัก กูรู้ว่ามึงคงเจ็บปวด แล้วที่ผ่านมากูเคยทำอะไรนอกสายตามึงไหม กูหมายถึง กูนอกใจมึงไหม ก็ไม่ เพราะกูไม่ได้เป็นคนแบบนั้น”    ผมอยากจะเขกหัวมันสักที ที่อยู่ๆโผล่มาก็ดราม่าใส่ผมซะแล้ว

“แล้วแบบนี้มึงคิดว่ากูจะรู้สึกอย่างไร”   

“กูเข้าใจมึงนะ ไอ้เอก แต่กูต้องให้เขาอยู่กับกู  มึงไม่รู้หรอกเราสองคนผ่านอะไรมาบ้าง แต่เชื่อเถอะว่ากูก็รักมึงไม่แพ้น้องเขาหรอก ถึงอย่างไรกูก็อยากให้มึงอยู่ใกล้ๆเช่นกัน  มันอาจฟังดูเห็นแก่ตัว แต่ถ้ามึงอึดอัดใจ มึงบอกกูได้เลยนะ สำหรับกูมึงมากกว่าเพื่อนนะ”   ผมอธิบาย

“แต่ไม่ใช่แฟน”   ไอ้เอกมันตอกกลับและจ้องหน้าผม 

“กูก็ไม่เคยเรียกคำนี้กับน้องเค้าเลยนะ รู้แค่เราสองคน”

“เราสองคน”   ไอ้เอกย้ำประโยคเดิมของผม

“นั่นสินะ พวกมึงสองคน งั้นกูก็คงเป็นส่วนเกิน”   ไอ้เอกพูดด้วยเสียงโทนต่ำและสั่น

“ไม่ใช่อย่างนั้น ไอ้เอก  กูไม่รู้จะอธิบายอย่างไรว่ะ  น้องเค้ากับกูเรามีเรื่องราวที่ผูกพันกันมาตั้งแต่สมัยรุ่นพี่ชายเขา พอพี่ชายเขาจากไป อะไรหลายๆอย่างมันทำให้น้องเขามาเจอกูอีก มาอยู่ในความดูแลของกู ตอนนั้นพวกเราไม่รู้หรอกว่ามันคืออะไร พอกูมาอยู่มหาลัยจึงมีโอกาสได้เรียนรู้เว้ย และกูบอกตามตรง ก็ดีใจที่มีมึงเป็นรูมเมท กูเองยังเคยแอบปลื้มมึงอยู่นะ หากเปิดใจให้กว้างย้อนกลับไปดู  ความผูกพันกับมึงมันก็มีอยู่  แต่พอกูรู้ตัวว่าอะไรเป็นอะไร น้องมันก็เข้ามาอยู่ในใจกู  ความจริงเขาอยุ่มาตลอดแหละ  และตอนนี้ แม่เค้าดูจะรู้เรื่องของกูกับเขา เลยบังคับให้เขาดูตัว มึงรู้มั๊ย ว่าวันนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง กูไม่อยากพูดถึง มึงเข้าใจกูบ้างเถอะ” 

  ผมเป็นฝ่ายลากมันออกมาพูดคุยกันที่โซฟาหน้าโต๊ะทีวี   ไอ้เอกฟังแล้วก็เงียบ เงียบไปนานมาก จนผมก็อึดอัด

“ไอ้เอก เป็นอะไร”   ผมเอ่ยขึ้นเพื่อทำลายบรรยากาศที่ดูเหมือนจะตึงเครียดขึ้นทุกที

“กูเข้าใจแล้ว กูคงต้องยอมรับในสิ่งที่เป็นความจริง สิ่งที่กูกลัวมาตลอด วันนี้มันเป็นความจริงแล้ว กูแค่ต้องยอมรับมัน กูมันมาทีหลัง”

“ไอ้เอก กูไม่เคยคิดว่าใครจะมาก่อนมาหลัง  เพียงแต่เค้าไม่มีที่พึ่ง เค้ายังเด็ก กูหมายถึงว่า เค้ายังไม่แข็งในวงสังคม กูเป็นห่วงเขา แต่ก็ไม่ใช่หมายคาวมว่ากูไม่ห่วงมึง โอ๊ย กูจะพูดยังไงดีวะเนี่ย”   ผมเองก็เริ่มสับสน ว่าควรจะพูดอะไรดี มันจับต้นชนปลายไม่ถูก

“เอาเป็นว่ากูเข้าใจมึงละกัน  เดี๋ยวมึงไปตลาดประชาขื่นกับกูนะ”   ผมงงกับการเปลี่ยนเรื่องของไอ้เอกแบบไม่มีปีไม่มีขลุ่ย

“ไปทำไม จะซื้ออะไร”

“ซื้อของ  วันนี้กูเลี้ยง กูจะโชว์ฝีมือเอง”  ไอ้เอกบอก  ผมก็ไม่อยากจะขัดศรัทธา

“ว่าแต่มึงนึกอะไรขึ้นมาเนี่ย กูล่ะงง ตามมึงไม่ทัน”
 
“เอาน่า กูคิดไว้ตั้งแต่เมื่อคืนละ  แต่ก็ดี จะได้ต้องรับน้องมึงด้วย”   

“เฮ๊ย มึงอย่าทำอะรไม่ดีนะ กูขอร้อง”   ผมรู้สึกกังวลเล็กน้อยจนออกนอหน้าเกินไปหรือเปล่าเจ้าเอกมันถึงจับสังเกตได้

“ไอ้บ้า กูไม่มีอะไรจริงๆ  กูตั้งใจจะทำ แต่พอดีมีข่าวดี ก็ถือว่าเลี้ยงต้อนรับน้องมันไปในตัว”  ไอ้เอกตบบ่าผมเบา ๆ

“มึงแน่ใจนะ” 

“เออสิวะ  กูเคยโกหกมึงด้วยเหรอ”   มันมองหน้าผมส่งสายตาเย้ยๆเหมือนเอาเรื่อง

“อืม กูเชื่อมึง และก็ไว้ใจมึง”

“ตามนั้น” 

  ผมตกลงไปจ่ายตลาดกับมันสองคน แต่ช่วงหัวค่ำผมต้องไปรับธัช ซึ่งมันก็เข้าใจ

 
   ผมไปรับเจ้าตัวเล็กกลับมาแล้วจึงได้เห็นกับข้าวเพียบ มีทั้งปลานึ่งมะนาว ลาบคั่วที่ผมโปรดปรานมากที่สุด ไอเอกมันรู้ดีว่าผมชอบกินอะไร   และอาหารอีดกหลายอย่าง แต่ที่ผมสงสัยคือ มันทำทั้งหมดนี่เองคนเดียวเนี่ยนะ

“พี่นนท์  ...”   เสียงเจ้าตัวเล็กพูดพร้อมกับเงียบไป ผมก็รู้ว่าเจ้าตัวเล็กกำลังคิดอะไรอยู่

“ไอ้เอกเพื่อนสนิทพี่ไง  รู้สึกว่าเราจะแอบวิ่งขึ้นไปเจอมันมาแล้วนิ ที่หอหน้าเซเว่น  ม.ในน่ะ”

 ผมอธิบายลวกๆพอให้จำกันได้

“สวัสดีครับ  ผมรู้ครับ ผมเคยเห็นพี่แล้วครับ  แต่ว่า..เอ่อ” 

“อ่ะ คืองี้นะ “   ไอ้เอกเดินทาหยุดที่หน้าเจ้าธัทัชและตบบ่าสองสามที

“พี่เพิ่งกลับมาจาก ต่างประเทศ นานๆไม่เจอกันเลยจะทำกับข้าวกินกัน  เลีย้งต้อนรับเราด้วยไง”   ไอ้เอกเป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อน และก็ช่วยต่อลมหายใจผมไปได้อีกครึ่งกิโลเมตรเลยทีเดียว

“หรือครับ แล้วพี่รู้ได้ไงว่า พี่นท์อยู่ที่นี่”  เขาถามน้ำเสียงราบเรียบปกติ  ผมลอบมองหน้าไอ้เอกแว่บหนึ่ง

“พี่ก็พักอยู่ที่นี่นะ อยู่มาพร้อมกับไอ้นนท์ของเรานี่แหละ แต่พี่อยุ่คนละชั้น”   

“ใช่ๆ พี่เอกเค้าอยู่ชั้นข้างบน ห่างจากเราไปสามชั้น”  ผมอธิบายเสริม   แต่บรรยากาศก็ไม่ได้ตึงเครียดอะไรอย่างที่คิด ถือว่าโล่งอก

“พี่ทำกับข้าวเป็นด้วยหรือครับเนี่ย หลายอย่างเลยครับ มา..เดี๋ยวผมช่วย”   

“เสร็จแล้ว ตั้งแต่ตอนที่ไอ้นนท์มันไปรับเราน่ะ”  ไอ้เอกอธิบายพร้อมกับหยิบจานชามนั่นนี่ อย่างคล่องแคล่ว ทำราวกับว่าเป็นห้องมันเอง

“พี่เอก ดูท่าทางจะคุ้นเคยกับห้องนี้ดีนะครับ”    นั่นไง ผมนึกแล้ว

“นนท์ ไปอาบน้ำก่อนไหม จะได้มากินข้าวกันเลย”   ผมพูดตัดบท ไม่อยากให้มีบทสนทนากันมาก เกรงว่าจะทำให้บรรยากาศตึงเครียด ซึ่งไอ้เอกก็เห็นตาม แถมบอกว่าจะลงไปซื้อเบียร์มาเพิ่ม ผมเริ่มใจไม่ดี

“พี่นนท์มาอาบพร้อมกันสิครับ เหมือนทุกวันอ่ะ ”   ผมมองหน้าเจ้าธัชแว่บหนึ่งเม้มมุมปากเล็กน้อยเป็นการปรามว่า อย่าพูดแบบนี้ต่อหน้าคนอื่น แม้ไอ้เอกมันจะเพิ่งพ้นประตูแหล่มิพ้นแหล่

“เรานี่นะ  เป็นเด็กดื้อแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่ พี่เคยบอกแล้วไงว่า พี่กับเขาเราเป็นเพื่อนสนิทกัน อย่าคิดมากไปนะน่า”   ผมปรามเจ้าตัวเล็ก ซึ่งตอนนี้เจ้าตัวทำทองไม่รู้ร้อน เข้าไปอาบน้ำเฉย

 จัดการธุระส่วนตัวกันเสร็จ เจ้าเอกก็ลงมาพร้อมกับถือเบียร์ถือสปาย ส่วนเหล้าผมมีแล้ว ซื้อทิ้งไว้จิบเล็กๆน้อยๆก่อนนอนพอเป็นกษัย    ผมยกเก้าอี้จากระเบียงเข้ามาเสริมหนึ่งตัว นั่งกินข้าวกันไปก็คุยกันไป

“กับข้าวนี่พี่เอกทำเองหมดเลยหรือครับ”  เจ้าตัวเล็กเป็นฝ่ายเอ่ยเริ่มบทสนทนา

“อื้อ ใช่แล้ว เป็นไงล่ะ อร่อยไหม”   ไอ้เอกยิ้มตอบ

“อร่อยดีครับ  อร่อยกว่าคนแถวๆนี้ทำเสียอีก”  พูดแบบลอยหน้าลอยตา

“น้องเค้าไม่ได้ว่ามึง มึงอย่าร้อนตัว”   ไอ้เอกมันหันมาพูดใส่หน้าผม

“กูยังไม่ได้พูดอะไรสักคำเลย”  ผมตอบอย่างหัวเสีย

“ผมไม่ได้ว่าพี่นนท์นะคร้าบ  ผมหมายถึงร้านอาหารแถวนี้ (ลากเสียงยาว ปลายเสียงจบลงตรงหน้าผมอีกต่างหาก)”   
 
“เหรออออ “  ผมตอบพร้อมลากเสียงยาว แล้วตักข้าวยัดใส่ปากตัวเล็กทันที

“เออ แล้วนี่เราทำงานอะไรบนห้างน่ะ หมายถึงอยู่แผนกไหน”  ไอ้เอกถามขึ้นบ้าง

“ผมอยู่กับซัมซุงอิเล็กโทรนิคส์แล้วครับ ช่วงนี้ทีวีขายดี”

“อ้าว แล้วแผนกกีฬาไม่ทำแล้วเหรอ”  ผมถามด้วยความแปลกใจ

“เพิ่งย้ายมาสัปดาห์นี้แหละครับ”

“แล้วทำไมไม่บอกพี่ล่ะ”  ผมจ้องหน้าจริงจังเหมือนจะเอาเรื่อง

“เอ้า ก็ผมกะจะเอาไว้เซอร์ไพรซ์เผื่อพี่ขึ้นมาแล้วไม่เจอผมไง” 

 “ทำเป็นเด็กไปได้นะเรา”   ผมใช้ฝ่ามือตบหน้าผากบริเวณผมด้านหน้าเขา จริงๆไม่ได้คิดจะตบหัวเขาหรอกแค่จะให้โดนปลายผมเฉยๆ

“โอ๊ยยย พี่นนท์ใจร้าย” 

“เว่อร์ไปแล้ว ไม่โดนสักหน่อย”

“อ่ะ ตัวเล็ก กินปลาบ้างนะเรา”    ไอ้เอกตักปลานึ่งมะนาว ที่เจ้าตัวภูมิใจในฝีมือนักหนาให้ทัช
 
“ขอบคุณครับ  พี่ก็เรียกผมว่าตัวเล็กด้วยหรือครับ”

“อ้อ ก็เห็นไอ้นนท์มันเรียกเลยเรียกตามน่ะ”

 บทสนทนาต่างๆพรั่งพรูออกมา รวมถึงถามไถ่เรื่องการทำงานของไอ้เอกบ้าง สลับกันถามไปมา และดื่มกันแบบเบาๆ เพราะผมยังต้องทำงาน ไอ้ตัวเล็กก็ต้องทำ ส่วนไอ้เอกยังได้หยุดงานอยู่  จนตอนท้าย ที่ไอ้เอกชวนขึ้นไปบนห้องของมัน มันบอกว่ามีอะไรอยากจะคุยกับผมส่วนตัว

“ทัช พี่ขอเวลาสักครู่นะ  และบนโต๊ะนี่ พี่ฝากด้วยนะ”  ไอ้เอกบอก  นั่นหมายถึงให้ตัวเล็กจัดการเก็บถ้วยชามและเคลียร์โต๊ะ

“พี่นนท์ ..”  เจ้าตัวเล็กรั้งข้อแขนผมไว้

“หืม ว่าไง” 

“ผมรออยู่ข้างล่างนะ” 

“โอ๊ย  พวกมึงนี่ หมั่นไส้ว่ะ แค่แป๊บเอง”  ไอ้เอกตะโกนด่าอย่างหัวเสีย

“อือๆ  เดี๋ยวพี่มานะ”  ว่าแล้วผมก็ตามออกไป

 
        ...ตัดมาที่ห้องเจ้าเอก ผมนั่งลงตรงโซฟา ไอ้เอกหยิบขวดน้ำออกมาจากตู้เย็นส่งให้ทั้งขวด
ผมก็รับไว้เฉยๆไม่ได้ดื่มในทันที  โดยไม่ทันระวังตัว ไอ้เอกคุกเข่าลงหน้าผมแล้วโอบกอดผมไว้ ผมเองก็ไม้ทันระวังตัว ตกใจเล็กน้อยแต่ไม่ได้ปัดป้องแต่อย่างใด เพราะผมก็เข้าใจเขาดี

“ขาดความอบอุ่นเหรอมึงอ่ะ”   ผมผลักหัวมันออกเบาๆ

“ไอ้นนท์ กูเข้าใจมึงดีทุกอย่างนะ เรื่องน้องเค้ากูก็เข้าใจ เด็กมันคงหวงแกมาก”

“ไอ้เอก  มึงต้องการจะพูดจะบอกอะไรกูหรือเปล่าเนี่ย”   ไอ้เอกมันคลายกอดผมแล้วลุกขึ้นนั่งข้างๆผม 

“กูจะบอกมึงว่า กูต้องไปทำงานที่อินเดียว่ะ” 

“อ้าวเหรอ เมื่อไหร่”  ผมถามด้วยความแปลกใจ เพิ่งกลับมาแท้ๆ จะไปอินเดียอีกแล้ว

“กูก็พยายามปฏิเสธแล้วนะ  แต่บริษัทเค้าต้องการคนไปดูระบบพร้อมกับHeadฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ เค้าไปเรียนระบบ CSR อะไรสักอย่าง”

“เพิ่งกลับมาจากยุโรปแท้ๆ มึงนี่ชีพจรลงเท้าจังวะ กูอิจฉา ได้เที่ยวรอบโลก”

“แต่กูจะต้องไปอยู่ที่นั่นหนึ่งปีเลยนะ”

“นานขนาดนั้นเลยเหรอวะ”

“เค้ามีพนักงานที่ต้องอบรมเรียนรู้ระบบงานของเขา สองช่วง ช่วงละ หกเดือน ดังนั้นกูเลยต้องอยู่หนึ่งปี”

“แล้วมึงจะทำไง เอ่อ กูหมายถึงข้าวของ”   ผมห่วงแค่ว่ามันจะเอาข้าวของไปไว้ไหน จริงๆมันก็ไม่ได้เยอะแยะอะไรมากมาย

“กูให้พ่อกูมาขนกลับบ้าน พวกทีวีตู้เย็น และข้าวของบางส่วน นอกนั้นก็เอาไปด้วย”   

“แล้วจะไปเมื่อไหร่เนี่ย”

“สัปดาห์หน้า”

“หา.. ทำไมมันเร็วขนาดนั้นวะ"

“..........”

 ต่างคนต่างเงียบกันไปครู่ใหญ่ ผมเองก็ไม่รู้จะพูดอะไรดีจึงทำได้เพียงจ้องหน้ากันและไม่มีใครปริปากเอ่ยอะไรใดใดออกมา จนกระทั่งเสียงมือถือดังขึ้น

“มึงรับก่อนสิ เผื่อเป็นน้องมันโทรมา”   ไอ้เอกตบไหล่ผมเบาๆ   ผมจึงดึงสติกลับมาได้และรีบรับสาย

 [ว่าไงตัวเล็ก ]

 [อีกนานไหมครับ ]

 [สักพักหนึ่งนะ มีอะไรหรือเปล่า]

 [ผมจะไปซื้อของที่เซเว่น ]

 [ซื้ออะไรเหรอ ]

[ซื้อของเล็กๆน้อยๆ ไว้เดี๋ยวกลับมาแล้วถ้าไม่เห็นพี่ค่อยโทรไปอีกที ]

 [อื้ม ระวังๆตัวด้วยนะ ]

 [ครับ เอ้อพี่นนท์]

 [หืม ว่าไงมีอะไรหรือเปล่าเนี่ย ]

 [อย่าลืมที่พี่เคยให้สัญากับผมนะครับ  ]

  [........... ]

  [โอเค ไปละครับ เดี๋ยวมา ]


....................

“มีเรื่องอะไรด่วนหรือเปล่า มึงลงไปหาน้องเขาก็ได้นะ”    ไอ้เอกเอ่ยขึ้นมาเมื่อผมวางสาย

“ไม่มีอะไร ทัชเขาจะออกไปเซเว่นน่ะ”

“เดินออกไปก็ไกลอยู่นะ มึงไม่ไปส่งน้องมันหน่อยเหรอ” 

“ไม่เป็นไร แหม่ มึงก็นะ น้องมันโตแล้วเถอะ วินมอเตอร์ไซค์ก็มีป่าววะ” ผมตัดบท

“อืม กูก็นึกว่ามึงจะเป็นห่วงน้องมันมากจนรีบกุลีกุจอลงไปเลย”   น้ำเสียงออกแนวถากถางเล็กๆ

“ มึงหัดเป็นคนคิดเล็กคิดน้อยตั้งแต่เมื่อไหร่วะ”  ผมหยิบขวดน้ำเปิดฝาและดื่มน้ำเข้าไปอึกใหญ่

“ไอ้นนท์ กูไปคราวนี้ นานมาก กูไม่รู้จะบอกมึงอย่างไรดี เพราะเราเคยพูดกันมานานแล้ว”

“อืม กูก็ใจหายนะ เราเคยต่อสู้กันมาผ่านอะไรมาด้วยกันก็มากโขอยู่”

“แต่คงสู้น้องมึงไม่ได้”

“ไอ้เอก กูกับมึงเป็นเพื่อนกันนะ กูก็รักมึง มึงมากกว่าเพื่อนนะ กูก็ไม่รู้อนาคตหรอกว่าน้องมันจะไปทิศทางใด ยังไงก็ยังถือว่ามันยังเด็กอยู่ ยังมีโอกาสอีกเยอะ แต่ตอนนี้กูมีเวลาได้ดูแลเขา กูก็อยากทำหน้าที่ของกูให้ดีที่สุด ในขณะเดียวกัน กูก็ไม่อยากเสียเพื่อนรักอย่างมึงไปเช่นกัน  มึงอาจจะมองว่ากูเห็นแก่ตัว  แต่ทำไมวะ คนเรามีทั้งคนที่เรารักและคนที่เรารู้สึกดีๆไม่ได้เลยเหรอวะ มันผิดมากเหรอ”   ผมพูดออกไปยาวเหยียด ไอ้เอกก็นิ่งเป็นผู้ฟังที่ดี

“เพราะกูเข้าใจมึงไง ไอ้นนท์ กูก็ไม่รู้หรอกนะว่าทำไมถึงตัดมึงออกไปไม่ได้”

“ถึงกับต้องตัดกันเลยเหรอ”

“ฟังก่อนสิ มึงต้องเข้าใจกูด้วย แม้พวกมึงจะรู้จักกันมาก่อน แต่ตอนนั้นมึงไม่ได้รู้สึกเป็นอื่นกับเขานะ จนมึงมีเรื่องราวพวกนั้นมา เอ่อ ความจริง กูดูออกตั้งแต่แรกแล้วว่ามึงเป็นคนอย่างไร แต่เห็นน้องพวกนั้น ไอ้ต๋อยด้วย มันจีบมึงอยู่กูเลยไม่ได้พูดออกไป จนกระทั่งมีเรื่องกูถึงกล้าบอกว่าคิดอย่างไรกับมึง หากพูดถึงเรื่องความรักที่รู้สึกรัก ไม่ใช่แค่ห่วงใยล่ะก็ กูถือว่ากูมาก่อนน้องมึงด้วยซ้ำไป แต่เอาเถอะ กูเข้าใจ จริงๆนะ กูเข้าใจ ขอเพียงกูได้มองเห็นมึงอย่างนี้ อยู่เคียงข้างมึงอย่างนี้คอยดูความเป็นไปของมึง กูก็มีความสุขมากแล้ว”     

    ช่วงท้าย น้ำเสียงไอ้เอกแปร่งนิดๆมันคงต่อสู้กับหยาดน้ำที่ทำท่าจะไหลออกมาด้วยกระมัง  ผมเองก็จุกเช่นกัน  หันไปเผชิญหน้ากับเจ้าตัว ผมดึงตัวมันมาใกล้และกอดมันไว้ 

“กูเข้าใจมึงนะ กูเข้าใจดีเลยและขอบใจมึงมากที่เข้าใจกู”   ไอ้เอกมันกอดผมตอบ หอมแก้มผมแล้วปล่อยโฮออกมา  ผมทำอะไรไม่ได้มากไปกว่ากอดตอบเขาแน่นและตบหลังตบไหล่ปลอบใจ นานพอสมควร

“พรุ่งนี้กูจะไประยองว่ะ ไปพักผ่อนสักสองวัน”

“กูไปกับมึงไม่ได้นะ กูต้องทำงาน ลาบ่อยแล้ว”

“กูแค่บอกมึงไว้เฉยๆ ไม่ได้จะบังคับให้มึงไปด้วย อีกอย่างช่วงสองวันนี้พอพ่อกูลงมาขนของเสร็จกูก็คงต้องไปแล้ว”   

“อืม กูเข้าใจ พักผ่อนให้เต็มที่นะ” 

“อือ มึงกลับห้องไปเถอะ เดี๋ยวน้องมันรอนาน มันจะโกรธมึงเปล่าๆ”   ไอ้เอกให้ความเห็น

“น้องมันเป็นคนมีเหตุผลน่า”  ผมแย้ง

“เด็กก็คือเด็ก กูไม่เป็นไร กูมีเรื่องจะบอกมึงแค่นี้แหละ”

“วันเดินทางเดี๋ยวกูลางานไปส่งมึงเอง”

“เอางั้นเหรอ”

“อืม  มึงก็เป็นคนที่กูรักเช่นกัน กูไม่ไปแล้วใครจะไปวะ”  ผมตอบหนักแน่น  ก่อนที่ผมจะก้าวออกไปจากประตูห้อง ไอ้เอกกอดผมแน่นอีกครั้ง ผมก็ไม่ผลักใสแต่อย่างใด ตบหลังเบาๆให้กำลังใจ  ผมรู้ว่าหลังจากที่ผมออกจากห้องมาแล้ว ไอ้เอกคงทำนบเขื่อนแตกแน่ๆ นั่นก็เป็นเรื่องที่ผมเจ็บปวดใจไม่น้อยเลยทีเดียว แต่เรายังมีคนที่เราต้องแคร์เขาด้วยเช่นกัน  ไอ้เอก กูขอโทษนะ

...

   กลับมาที่ห้อง เจ้าทัชกลับมาตั้งนานแล้วมั๊งเนี่ย นั่งจ้องจอทีวีอยู่

“อ้าว ตัวเล็ก กลับมาแล้วทำไมไม่โทรหาพี่ล่ะ” 

“ผมไม่ได้ไปไหนสักหน่อย” เจ้าตัวเล็กตอบลอยหน้าลอยตา

“อ้าว แล้วบอกไปเซเว่นชื้อของไง”  ผมปิดประตูก้าวยาวๆมานั่งลงตรงโซฟาข้างๆเขา

“ผมรอพี่อ่ะ” 

“รอพี่?” เสียงสูงเล็กน้อยด้วยความสงสัย

“ก็อยากเดินไปกับพี่ไง ไปคนเดียวผมกลัว”   เฮ้อ เจ้าเด็กคนนี้ ขี้อ้อนแล้วมั๊ยล่ะเนี่ย

“อ่ะ จะซื้ออะไร เดี๋ยวพี่พาไป”  ผมมองดูนาฬิกา สี่ทุ่มครึ่ง เตรียมหยิบกุญแจรถ

“ไม่ไปแล้วพี่  ผมพูดเล่นเฉยๆ”  เจ้าตัวเล็กปิดทีวีเสียดื้อๆ  กำลังจะก้าวเดินฉับๆไปทางห้องนอนอย่างไว แต่ช้ากว่าผม ผมคว้าข้อแขนเขาออกแรงดึงเพียงเล็กน้อย ร่างคนตัวเล็กกว่าก็เซมาทางผมทันที

“มานี่เลยเจ้าตัวดี คิดจะแกล้งพี่ใช่ไหม นี่ๆ”  มือข้างหนึ่งของผมโอบเอวเขาไว้ และใช้มืออีกข้างจี้สะเอว เจ้าตัวเล็กจั๊กกระเดียมจนต้องหัวเราะพร้อมกับปัดป้องพัลวัน แต่คนตัวเล็กหรือจะสู้แรงคนตัวใหญ่ ผมจิ้มสะเอวไปรอบๆจนเจ้าตัวหัวเราะร่าลงไปกองอยู่บนโซฟา

“พอแล้วพี่ พอแล้วเดี๋ยวสำลักตายพอดี”  พอช่วงจังหวะผมเผลอเขาก็รวบแขมผมทั้งสองข้างไว้ด้านหลัง แล้วใช้ฟันขบกัดตรงบริเวณหน้าอกผมเบาๆ

“โอ๊ย แกล้งเหรอ เล่นทีเผลอเหรอ”  ผมดิ้นหนีให้หลุดจากพันธนาการ แต่เจ้าตัวเล็กรีบปล่อยแขนและวิ่งไปทางห้องนอนจนได้ ผมจึงตามไปกดตัวเขาคว่ำลงคว้าแขนทั้งสองข้างไขว้มาทางด้านหลังแล้วจิ้มสะเอวต่อ เจ้าตัวเล็กหัวเราะจนตัวงอ ผมแกล้งจนพอใจจึงปล่อยเขา  เจ้าตัวเล็กทุบหลังผมเบาๆสองสามที ผมรีบลุกไปอาบน้ำ

“ผมอาบด้วย” เจ้าตัวเล็กรีบวิ่งแจ้นตามมาติดๆโดยที่ไม่ได้ถืออะไรมาเลย

“อาบแล้วยังจะอาบอีกนะคนเรา”

“ก็เหงื่อออกอ่ะพี่ ใครล่ะมาแกล้งผม”  เจ้าตัวพูดพลางชี้ไปที่เสื้อตัวเอง ผมถอนหายใจเล็กน้อยก่อนจะช่วยถอดเสื้อให้   ช่วงหลังๆมานี้อาบน้ำด้วยกันจะเป็นคนเป็นฝ่ายบริการให้ซะส่วนใหญ่

“มายืนตรงนี้” ผมดึงแขนตัวเล็กมาอยู่ใต้ฝักบัวเปิดน้ำใส่แล้วจัดแจงตามขั้นตอนการอาบน้ำ ตัวเล็กก็จัดการให้ผมด้วยเช่นกัน 

  ...

  ผมเช็คความเรียบร้อยแล้วจึงปิดไฟเดินเข้าห้องนอน

“พี่นนท์ ผมถามอะไรหน่อย”

“อื้ม ว่ามาเลย”

“พี่เอกเขาเรียกพี่ไปทำไมครับ ทำไมไม่คุยกันในห้องเราไปเลย”  เจ้าตัวเล็กยันกายลุกขึ้นครึ่งตัวแขนเท้าคาง อีกมือก็มาเสยผมของผมเล่น

“อ้อ เรื่องงานน่ะ “

“เรื่องงาน  (เสียงดังเล็กน้อย)  ทำไมไม่คุยห้องเรามันมีอะไรที่เป็นความลับเหรอครับ”

“ไม่เป็นความลับหรอก ก็เรื่องทั่วๆไป เรื่องให้ช่วยดูแลห้องจนกว่าพ่อมันจะมาขนของกลับ”

“ขนของ (ตัวเล็กทำเสียงสูง)  ขนของไปไหนอ่ะครับ”

“ไอ้เอกมันต้องไปทำงานที่อินเดีย งานบริษัทมันน่ะ ไปนานเลยทีนี้ ตั้งปีหนึ่งแน่ะ”

“แค่ปีเดียวเองพี่ แล้วห้องเขาจะทำไงล่ะครับ”

“ก็คืนนิติฯไป แต่อาจจะโดนปรับตามสัญญาเช่ามั๊ง ไว้เดี๋ยวรายละเอียดมันคงบอกทีหลัง”

“อืม..พี่นนท์”   เจ้าตัวเล็กขยับเข้ามาใกล้ ใช้ปลายนิ้วชี้จิ้มหน้าผากผมเบาๆลางลงมาตรงกึ่งกลางใบหน้าจนถึงปาก

“หืม  ว่าไง มีอะไรจะถามอีกไหม”

“พี่เอก เขาชอบพี่เหรอครับ”

“บ้าน่า  มันกับพี่เป็นเพื่อนสนิทกัน มีอะไรช่วยเหลือกัน ทำไมเราถึงคิดแบบนั้น”

 เจ้าตัวเล็กทำท่าครุ่นนคิดเล็กน้อย

“ไม่รู้ครับ ก็เห็นสนิทกันมากไง เหมือนพี่กับผม ผมเลยหวง”  ผมยกมือลูบผมด้านหน้าของเขาและเสยขึ้นเบาๆ

“ความคิดเด็กๆนะเรา  คิดมากเกินไปแล้ว”

“เขาเคยมานอนกับพี่นี่นา”  ตัวเล็กยังคงไม่พ้นเรื่องไอ้เอก

“อื้มใช่ แต่ไม่ใช่แบบที่ตัวเล็กคิดหรอกน่า มาๆ นอนได้แล้วพรุ่งนี้ต้องทำงาน”  ผมดึงตัวเขาลงมานอนตะแคงหันหน้ามาทางผม  สอดแขนไว้ใต้คอเขา จูบหน้าผากเขาเบาๆ

“จำไว้นะ ทัชคืนคนที่พี่รักมากที่สุดและห่วงใยมากที่สุด  ไอ้เอกมันเป็นเพื่อนที่พี่รักและสนิทมากเช่นกัน แต่เราน่ะเป็นคนที่พิเศษที่สุดของพี่นะ พี่รักทัชนะครับ”

พูดพร้อมกับจูบเขาเบาๆหนึ่งที แต่ตัวเล็กกลับกอดผมแน่น และจูบตอบผมเบาๆสองครั้ง

“ผมเชื่อพี่ครับ และผมก็รักพี่มากนะ”  พร้อมกับดึงแขนอีกข้างของผมไปโอบรอบคอเขาไว้ และจูบผมอีกสองสามครั้ง
“ตัวเล็ก มันดึกแล้วนะครับ พรุ่งนี้ทำงานนะ” ผมพูดแทบไม่เป็นภาษา มีแต่เสียงอู้อี้ลอดออกมาห้ามแล้วก็ไม่เป็นผล จึงปล่อยเลยตามเลย  ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเพราะความรักเป็นเกณฑ์  จึงปล่อยให้เป็นไปตามครรลองของความรักที่ต่างฝ่ายต่างแสดงความรักต่อกัน

.
.


  วันที่ผมไปส่งไอ้เอกที่สนามบิน  บรรยากาศเดิมๆก็หวนกลับมาอีกครั้ง ผมล่ะเกลียดการร่ำลาจริงๆ แม้จะเป็นการร่ำลาจากกันชั่วคราวก็เถอะ มันหดหู่ยังไงพิกล  แต่เราต่างก็โตพอที่จะรู้ว่ามันคืองานที่เราต้องทำ ส่วนเรื่องห้องเช่าที่คอนโด ผมช่วยจัดการจนเสร็จเรียบร้อย

  เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วจนกระทั่งไอ้เอกกลับมาแล้ว และไปอยู่เชียงใหม่ทำระบบตามที่บริษัทส่งไป ผมเองก็ต้องมีเรื่องราวที่ดำเนินต่อไปเช่นกันแม้จะไม่ราบรื่นนัก

.
.
หัวข้อ: ทัช..สัมผัสใจ ตอนที่ 24 (15ก.ค. 2560)
เริ่มหัวข้อโดย: thewa.arak ที่ 16-07-2017 00:19:16
ตอนที่ 24




ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปแล้ว  Part นนท์/ทัช .....




   ในส่วนของตัวผมเองก็มีโปรเจกต์ที่ต้องไปญี่ปุ่นด้วยเช่นกัน จึงคุยกับทัช ว่าไม่อยากให้เขาไปไหน อย่างน้อยก็อยู่ที่เดิม เพราะมันคือที่ของเราสองคน แม้เขาจะเป็นคนขี้เหงาอยู่บ้าง ผมเองก็เป็นห่วงเขาอยู่ไม่น้อยที่ต้องอยู่คนเดียวนานหลายเดือน  แต่ทัชก็โตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น พูดจาเข้าใจกันมากขึ้น และเขาก็ยังคงทำงานที่เดิมแต่วนเวียนไปตามแผนกแล้วแต่หัวหน้าจะให้เวียนไปทำ 
       ผมกลับมาจากญี่ปุ่น ซื้อนาฬิกาให้เขาหนึ่งเรือนและรองเท้ากีฬาที่เขาชอบ ดำเนินชีวิตต่อไปอย่างมีความสุข จนกระทั่งเมื่อผมรู้ว่าต้องไปอยู่ญี่ปุ่นนานหนึ่งปี เพราะบริษัทมีการส่งเอ็นจิเนียร์ไปเทรนงานและรับเครื่องจักรสองช่วง จึงให้ผมอยู่ที่นั่น ซึ่งผมก็ต้องเตรียมตัวครั้งใหญ่เพราะไปคร้งนี้อยู่นานเป็นปี  และยังต้องเคลียร์กับเจ้าตัวเล็กของผมด้วย รายนั้นจะไม่อยู่ให้ได้เลยทีเดียว

“แค่ปีเดียวไงครับ เหมือนที่ตัวเล็กเคยพูดกับไอ้เอกน่ะ”

“มันไม่เหมือนกันนะครับ เราอยู่กันมาดีๆแล้วผมต้องมาอยู่คนดียวเป็นปี พี่ไม่สงสารผมบ้างหรือ”

“แต่มันเป็นงานของพี่นะครับ เราก็ทำงานของเราไปนะ ต่างคนต่างมีหน้าที่ พยายามทำหน้าที่ของตัวเองให้เต็มที่นะ ปีเดียวมันไวมาก สัญญานะครับ ว่าจะไม่ทิ้งพี่ไปไหน”   

ผมขอร้องแกมบังคับให้เขาสัญญากับผม เจ้าตัวเล็กก็ให้สัญญาเป็นดิบดี  แต่ผ่านไปเพียงสามเดือน เจ้าตัวเล็กทนอยู่ไม่ไหว น้าสาวเขาชวนไปค้าขายที่ กาฬสินธุ์ เขาจึงตอบตกลง  ผมไม่สามารถจะห้ามเขาได้ ใจก็สงสารที่เขาต้องอยู่คนเดียว ผมจึงบอกให้เขาย้ายออกไปอยู่หน้าปากซอยแทน โดยให้ป้าแม่บ้านมาช่วยขนย้าย ซึ่งผมเคยเกริ่นกับป้าแม่บ้านไว้แล้ว ค่าใช้จ่าย ให้ผ้าจัดการให้เสร็จสรรพ  และเมื่อผมกลับมาจึงค่อยดำเนินการจัดการเคลียร์ทุกอย่างจนเสร็จเรียบร้อย   

   ผมกลับมาก็ไม่ค่อยได้มีเวลามากนักเพราะญี่ปุ่นตามมาติดตั้งเครื่องจักร ต้องทำงานทำโอทีเกือบทั้งวันทั้งคืน  บางครั้งต้องทำจนข้ามคืนข้ามวัน แล้วอีกวันถึงค่อยได้พัก  เพราะช่วงติดตั้งเครื่องจักรมันมีปัญหาหลายๆอย่างที่ต้องจัดการ เนื่งอจาก คณะญี่ปุ่นที่มาติดตั้งเครื่องจักรนั้นมีระยะเวลาในการอยู่ในประเทศไทยอย่างจำกัด  บางคืนผมกลับมาก็เหนื่อย ว่าจะโทรหาเจ้าตัวเล็กก็ดันลืมเบอร์โทรอีกเนื่องจากมือถือหาย จนต้องซื้อเครื่องใหม่ จำเบอร์ใครไม่ได้เลย ประกอบกับงานรัดตัวแทบไม่มีเวลาพัก จึงไม่ได้ติดต่อทัชเลย

      หลังจากจบโปรเจ็กต์งานไปหมาดๆ ก็ต้องต่อด้วยโปรเจกต์ที่สอง และสามตามมา ซึ่งต้องเดินทางไปญี่ปุ่นบ่อยมาก หกเดือนบ้าง สามเดือนบ้าง ไม่มีเวลาติดต่อใครเลย เหนื่อยกับงานเป็นอย่างมาก แม้จะรายได้ดีจนแทบจะกระโดดลอยขึ้นฟ้าเมื่อได้รับสลิปเงินเดือน แต่รู้สึกไม่ค่อยคุ้มกับสุขภาพจิตที่เสียไป

 ผ่านไปสองปี และในปี 51 ผมกลับไปเที่ยวบ้านช่วงตรุษจีน แต่ไม่มีการจัดงานเหมือนเมื่อก่อน ผมได้มีโอกาสกลับไปเยี่ยมบ้านเจ้าตัวเล็ก โชคไม่ดีที่เจ้าตัวเล็กไม่อยู่ แม่หมวงต้อนรับขับสู้เป็นอย่างดี แม้ท่านจะดูอ่อนล้าลงไปเยอะ ที่ผมแปลกใจคือ ท่านไม่ได้กีดกันอะไรผมอีกแล้ว และที่ทำเอาผมเซอร์ไพรซ์คือ เจ้าตัวเล็กของผม มีน้องแล้ว หนึ่งคน  จากเรื่องราวคลุมถุงชนเมื่อครั้งที่ทำให้ผมกับทัชต้องทะเลาะกันครั้งใหญ่เลยทีเดียว  ผ่านไปเพียงสองปี ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปมากขนาดนี้เลยหรือ ผมทั้งตกใจทั้งประหลาดใจ ที่ทราบเรื่องการมีน้องของเจ้าตัวเล็ก  แต่สุดท้ายก็ต้องแยกกันอยู่ เพราะเขาแผลงฤทธิ์เอาไว้  แม่อยากได้ลูกไว้สืบสกุลเขาก็ทำให้แล้ว จึงไปอยู่กับน้าสาวที่ กาฬสินธ์ไม่กลับมาอีกเลย

“แม่น่ะเข้าใจลูกทั้งสองคนแล้วนะ สุดแล้วแต่ลูกจะคิดอ่านประคับประคองกันไป   ทัชน่ะ บทเขาจะหัวดื้อก็แทบชนฝาไม่ฟังเสียงใครใดใดทั้งสิ้น แล้วนี่เค้ารู้ไหมว่าลูกกลับมาแล้ว”

“ไม่ทราบเลยครับ ผมต้องขอโทษด้วย งานผมมันยุ่งมากจริงๆ และมือถือผมก็หายด้วย  เลยมาขอเอาใหม่”

“เดี๋ยวนะ แม่จดเอาไว้อยู่ “  แม่หมวงลุกไปหยิบสมุดมาเปิดดู และให้เบอร์ผมมา  ผมอยู่คุยกับท่านเล็กน้อยจึงขอตัวกลับ
ธรรมชาติสองข้างทางยังคงงดงามเช่นเคย ผมจอดรถข้างทางตรงเพิงแห่งเดิมแล้วจึงโทรออกไปตามเบอร์ที่แม่หมวงให้ไว้

 “ฮัลโหล “   เสียงทัชครับ   ผ่านไปสองปีไม่ได้ยินเสียงกันเลยแต่ผมยังจำได้ แม้เสียงเขาจะใหญ่ขึ้นก็ตาม

ทัชพูดฮัลโหลย้ำๆอีกสองครั้ง ผมจึงค่อยๆตอบ

“เป็นไงบ้างเนี่ย สบายดีมั๊ย”

“นั่นใครน่ะ”   แม๊จำเสียงผมไม่ได้ซะงั้น

“จำพี่ไม่ได้เหรอครับ เจ้าตัวเล็ก”  ผมแกล้งใส่สำเนียงยียวนกวนประสาท

“พี่นนท์  นนท์ใช่ไหม พี่กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมไม่โทรหาผม”

“เดี๋ยวๆ ช้าๆ หายใจบ้างนะ “

“พี่นนท์ใจร้ายทิ้งผมไว้คนเดียวอีกแล้ว”

“เด็กบ้า ทิ้งที่ไหนล่ะ ตัวเองนั่นแหละที่ทิ้งพี่ไป หนีไปทำธุรกิจซะงั้น เป็นไงล่ะกิจการดีมั๊ย”

“พี่ไม่ต้องเปลี่ยนเรื่องเลย พี่ไม่รู้หรอกที่ผ่านมาผมเจออะไรบ้างไม่มีคนคอยปรึกษาเลย อ้อ แล้วนี่ แม่คงบอกพี่ไปหมดแล้วสินะ”

“อื้ม พี่รู้แล้วร้ายไม่เบาเลยนะ สองปีเองมีลูกตั้งคนหนึ่งแล้ว”

“อย่าพูดแบบนั้นนะ ผมแค่ทำตามที่ทางบ้านต้องการ แต่ผมไม่ได้รักเขานี่ครับ”

“แล้วหนีปัญหาไปแบบนี้ ไม่อยู่ดูแลแม่ ไม่สงสารแม่เหรอ”   ผมยังคงเถียงไม่ลดละ

“พี่ทำไมไม่ถามว่าผมอยู่ยังไงสบายดีไหม มาไล่ๆถามแบบนี้ไม่คิดบ้างว่าผมจะรู้สึกอย่างไร”  ทัชเสียงแข็งใส่ผม

“ค้าบผม พี่ผิดไปแล้ว พี่สำนึกผิดแล้วค้าบ”    ลากเสียงยาวเป็นเชิงล้อเลียน

“เดี๋ยวเดือนหน้าผมค่อยลงไปหาพี่นะ ตอนนี้ช่วยน้าชายกับน้าสะใภ้ขายของ”  ทัชบอก

“ขายดีไหมล่ะ” 

“ก็ดีนะครับ”

“เอ่อ แล้ว ไปแอบหลงรักใครแถวนั้นหรือเปล่าเนี่ย พี่...หวงนะ”  ผมเว้นวรรคนิดหนึ่งเพื่อหยั่งเชิง

“พี่นนท์”  เสียงแข็งทันที และผมก็รู้ว่าผมไม่ควรไปแหย่เขาอีก

“ครับๆ พี่ก็ถามไปอย่างนั้น เห็นหนีพี่ไป ก็นึกว่า”   ผมยังพูดไม่ทันจบ สายก็ตัดไปเลย สงสัยจะโกรธผมจริงๆ  โอ้ย กูงี่เง่าแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันวะเนี่ย  ต่อสายกลับไปอีก จนกระทั่ง สายที่ห้าถึงยอมรับสาย

“ถ้าพี่นนท์ผูดกับผมแบบนี้ พี่จะไม่ได้เห็นผมอีกตลอดไป”  ทัชตะคอกใส่ตามสายมาถึงผม

“ไม่เอาสิ อย่าพูดแบบนี้นะ พี่ล้อเล่นเอง ขอโทษนะค้าบ พี่น่ะ คิดถึงเรามากเลยนะ แต่เราสิหนีพี่ไปเฉยเลย”   ผมทำเสียงงอนๆบ้าง

“ไม่ได้ทิ้งนิ อย่าเข้าใจผิดนะ ผมแค่อยู่คนเดียวไม่ได้ ถ้าไม่มีพี่”  เจ้าตัวตอบด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูหนักแน่น แค่นี้ผมก็ใจชื้นขึ้นมา
“เอ้อ  พี่ถามหน่อย แล้วลูกล่ะ ทำไง อยู่กับเราหรืออยู่กับเขา”  ผมถามจริงจัง

“เสียผีแล้วพี่ ฝ่ายนั้นเขาก็บอกว่าถ้าเราอยากเลี้ยงก็ไปรับมาได้  แม่น่ะอยากให้ไปรับมา แต่ผมกลัวว่าจะไม่มีใครดูแล ที่บ้านก็มีแต่คนเฒ่าคนแก่”

“อืม สงสารแม่หมวงอยู่เหมือนกันนะ แต่พี่ก็เคารพการตัดสินใจของเราละกันนะ “  ผมพูดอะไรไม่ได้มากเท่านี้ เพราะผมเองก็เคยเป็นแบบนี้มาแล้ว แต่เลือกที่จะไม่จำอดีตในส่วนนี้ จึงไม่ขอพูดถึง  ต่อจากนี้ไป ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นผมก็จะไม่ทิ้งหัวใจผมอีกแล้ว เพราะที่ผ่านมา ทุกอย่างมันบอกได้ชัดเจนแล้ว ว่าเราสองคนต่างก็รักกันอย่างจริงใจ

“พี่อยากมาดูผมขายของป่ะ ขายดีมากเลยนะพี่”  ธัชพูดด้วยน้ำเสียงเจือความตื่นเต้น

“พี่งานยุ่งน่ะ นี่มือถือหาย ติดต่อใครไม่ได้ เลยกลับมาบ้าน เพื่อมาขอเบอร์เราด้วย”  ผมอธิบาย

“พี่ชอบทำของสำคัญหายประจำเลยนะ นี่ถ้าผมหายไปพี่จะทำไง” 

“ทัช (เสียงแข็ง) ทำไมชอบพูดแบบนี้  หลายครั้งแล้วนะ พี่ขอเถอะ ต่อไปอย่าพูดแบบนี้อีก แล้วไม่ต้องมาแขวะว่าพี่ลืมเราอีกนะ พี่เบื่อฟัง” 

“หึ “   ทัช พูดมาแค่นั้น

“วันอาทิตย์นี้พี่ก็กลับ กทม แล้ว งานยุ่งจัด ยังไงถ้าเราลงมาแล้วอย่าลืมโทรบอกพี่ด้วยนะ บอกล่วงหน้าด้วย จะได้เตรียมตัว”

“ไม่เอา ถึงเมื่อไหร่ค่อยโทรบอก ไม่แน่หรอก อาจจจะไปโผล่ที่หน้าห้องเลยก็ได้”

“ไม่เปิดประตูให้เด็ดขาด ไม่ชอบเซอร์ไพรส์”

“พี่นนท์ ..งั้นก็อย่ามาคุยกับผมอีก”

“โอ๋ๆๆๆ   เด็กบ้า  ขี้งอนอย่างนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย  ล้อเล่นน่า พี่ล่ะอยากให้มาถึงไวๆ คิดถึงจะแย่แล้ว  ไม่เอานะๆๆๆ เด็กดี หายงอนนะ”

“เหอะ “

“น่านะ เดี๋ยวพาไปทะเลอีก”

“เย้ๆ จริงๆนะ”

“ค้าบ เจ้าชาย กระหม่อมจะรับใช้เจ้าชายอย่างสุดความสามารถเลยค้าบ”  ผมลากเสียงยาวล้อเลียน

“ดีมาก  ไว้ผมไปถึงแล้วจะโทรบอกครับ”

“อืม ดูแลตัวเองด้วยนะ “

“พี่นนท์ ขับรถกลับดีๆนะครับ “

“ค้าบ”

“คิดถึงพี่นะ คิดถึงมากๆ”

“ค้าบพ้ม พี่ก็คิดถึงเรานะ “

  ....

 กลับมาถึง กทม และทำงานอย่างหนักหน่วงยาวไปสองสัปดาห์ทั้งโอทียันเสาร์อาทิตย์ พักผ่อนน้อยจนร่างกายอ่อนล้า ขอบตาเป็นหมีแพนด้า  ชีวิตคนเรา ไม่อาจจะรู้ล่วงหน้าได้เลยว่าสิ่งที่ยากเกินความสามารถจะยอมรับได้นั้นกำลังคืบคลานเข้ามาแล้ว
.......

  เสียงมือถือดังปลุกขึ้นยาม เที่ยงคืนครึ่ง  ผมงัวเงียรับสาย  เตรียมใจไว้แล้วว่าอาจจะถูกเรียกเข้างาน เพราะช่วงที่ผ่านมา แม้จะกลับจากที่ทำงานแล้ว ก็มีบ่อยครั้งที่โดนเรียกกะทันหัน ต้องเดินทางไปเข้างานจนเช้า แต่บริษัทก็ให้พักข้ามวัน ไปเข้างานอีกวันได้   แต่เอ๊ะ  นี่มันวันศุกร์นี่  และญี่ปุ่นที่มาติดตั้งเครื่องจักรก็กลับประเทศไปกันแล้ว หมดโปรเจกต์แล้ว ทำเอาเราสมองเบลอไปเลย  ใครกันโทรมาเอาป่านนี้  ผมไม่ทันสังเกตหน้าจอด้วยซ้ำไป

“ฮัลโหลล  ใครน่ะ โทรมาป่านนี้”

“พี่นนท์ เดี๋ยวเหอะ  ออกมารับผมด้วย ที่เดิมนะ”  เสียงเจ้าตัวเล็กปลุกผมตื่นจากภวังค์ ยังไมทันได้ตอบอะไรก็วางสายไปเสียแล้ว ผมตบหัวตัวเองเบาๆสองสามครั้ง แล้วต่อสายไปใหม่

“ทัช อยู่ตรงไหน”

“ที่เดิมครับพี่”  เสียงดังราวกับตะโกนแข่งกับเสียงจ้อกแจ้กจอแจรอบข้าง

“พี่บอกว่าไง ให้โทรมาบอกล่วงหน้าไม่ใช่เหรอ  ถ้าพี่เผลอปิดมือถือจะทำไงล่ะ”

“รีบๆมานะพี่  หนาว”  แล้วก็ตัดสายไปเลย  ไอ้เด็กบ้านึกจะพูดก็พูดนึกจะวางก็วาง เดี๋ยวจะทำโทษให้เข็ดเลย  ผมรีบจัดแจงล้างหน้าล้างตาแล้วบึ่งรถออกไปทันที 

  ทัช ในชุดเสื้อเชิ๊ตสีขาว กางเกงยีนส์ ผมรองทรง รองเท้าหนัง  จัดเต็มมาเชียว ผมเป็นคนแนะนำให้ลองใส่เสื้อผ้าแบบนั้นเอง ผมชอบแบบนั้น ชอบที่ให้เขาแต่งตัวแล้วดูเหมาะกับเจ้าตัว ซึ่งเจ้าตัวเองก็ชอบด้วย ผมจอดรถด้านหน้า ทัชขึ้นมาปุ๊ปก็ออกรถทันที 

“ตัวเล็ก เดินทางเหนื่อยๆ  หิวมั๊ยเนี่ย”  ผมทักขณะกำลังยิ้นบัตรให้พนักงานตรงทางออก  พอรถออกตัวยังไม่ทันจะเลี้ยวซ้ายออกถนนใหญ่ เจ้าตัวเล็กก็ทำเซอร์ไพรซ์ทันที

“เฮ๊ย เป็นบ้าไรเนี่ย เดี๋ยวรถก็เสียหลักหรอก นั่งดีๆแล้วก็รัดเข็มขัดด้วย”   ผมปรามเบาๆ เมื่อเจ้าตัวเล็กแอบจุ๊บแก้มผมไปเต็มแรง
 
“คิดถึงอ่ะครับ คิดถึงพี่มากๆเลย” 

“รู้แล้วๆ  รัดเข็มขัดเร็วๆ เดี๋ยวตำรวจจับ พี่ไม่จ่ายให้นะ”

“บ้าแล้ว พี่นนท์ ดึกป่านนี้ตำรวจเค้าจะมายืนจับอยู่แถวนี้เหรอ”  ว่าแล้วก็ทำลอยหน้าลอยตา

กวนประสาทใส่เราอีก

“เพื่อความปลอดภัยน่า”   ผมเสียงแข็งใส่

“ค้าบ คุณพ่อ”  ทัชทำเสียงล้อเลียน ผมเลยเขกหัวไปเบาๆหนึ่งที

“พี่นนท์ ขับรถดีๆ ดูทางด้วย”

“เดี๋ยวถึงบ้านก่อนเถอะ จะลงโทษให้เข็ดเลย”  ผมชี้หน้าเจ้าตัวเล็กเป้นเชิงคาดโทษ

“โอ๊ย กลัวแล้วค้าบ กลัวจริงจริ๊ง “  .... ดูมันทำสิ ลอยหน้าลอยตากวนประสาทอีกแล้ว เออ เดี๋ยวถึงบ้านก่อนเถอะ จะคิดบัญชีทบต้นทบดอกเลยทีเดียวเชียว   

“ตัวเล็ก  แวะกินข้าวต้มก่อนมั๊ย หิวมั๊ยเราน่ะ”  ผมถามเมื่อเลี้ยวรถกลับตรงแยกแคราย

“พี่นนท์หิวเหรอครับ”

“ไม่หิวหรอก แต่กลัวเราจะหิวน่ะ”

“อืม ก็นิดหน่อยอ่ะพี่ รถทัวร์แวะพักกลางทางแต่ไม่รู้จะกินอะไรดี มันไม่อร่อยและเหมือนบูดๆ”

“น่าสงสารจังเลยว่ะ  เดี๋ยวพี่พากินข้าวต้มร้านเดิมละกัน”

“พี่อยากกินกุ๋ยช่ายขาวล่ะสิ”
 
“ทำมาเป็นรู้ดี”

“เอ้า ผมเป็นใคร ทำไมจะไม่รู้ว่าพี่ชอบอะไรไม่ชอบอะไร”   เสียงแข็งใส่ผม ผมทำไดก้แต่หัวเราะหึๆในลำคอ จริงสินะ เจ้าตัวเล็กเคยบ่น ว่าผมชอบทำแต่อาหารประเภทเส้นให้กินเป็นประจำ

“ครับๆ พี่ไม่เถียงละ”



.
.
(ต่อ)


หัวข้อ: ทัช..สัมผัสใจ ตอนที่ 24 (ต่อ) (15ก.ค. 2560)
เริ่มหัวข้อโดย: thewa.arak ที่ 16-07-2017 00:20:37
(ต่อ)

.
.

จบจากร้านข้าวต้มริมทางถึงค่อยขับรถลัดเข้าซอยออกไปด้านในแล้วค่อยเลี้ยวกลับออกมาที่ปากซออย จนทัชสงสัย ผมถึงค่อยอธิบายว่าขี้เกียจไปวนรถกลับเลยลัดเข้าซอยเอา มันสามารถทะลุถึงกันได้  และเนื่องจากเหนื่อยๆกันทั้งสองคนจึงรีบอาบน้ำและเข้านอนทันที ธัชเองก็คงเหนื่อยมาก หัวถึงหมอยคุยได้ไม่ทันไรก็หลับผลอยไปเลย ผมมองดูในหน้าเขา ลูบหน้าผากเสยผมขึ้นเบาๆ  ดูคล้ำลงไปมาก สงสัยคงตากแดดบ่อย รู้วึกสงสารเขาขึ้นมาจับใจ 

...ไอ้เด็กโง่เอ๋ย อยู่ใกล้พี่นี่ก็ดีอยู่แล้ว จะไปลำบากทำไม อยู่กับพี่พี่เคยขาดตกบกพร่องที่ไหนกัน..ผมเอานิ้วชี้ทั้งสองข้างจิ้มแก้มเขาเข้าหากัน  ..รู้ไหม พี่น่ะ คิดถึงเรามากแค่ไหน ต่อไปอย่าดื้อกับพี่อีกนะ... ผมกระซิบเบาๆข้างหู ไม่สนว่าจะได้ยินหรือไม่ พร้อมกับจูบหน้าผากเบาๆ แล้วล้มตัวลงนอน สอดแขนใต้คอเขาและโอบกอดเขาไว้แน่นๆ ใกล้จนได้ยินเสียงลมหายใจ
.
.

 สายๆของวันเสาร์ สัปดาห์ถัดมา เป็นวันที่ผมต้องลำบากใจอีกครั้ง เมื่อ แม่หมวงและคนที่ได้ชื่อว่าเป็นเมีย(อดีตเมีย)เจ้าตัวเล็กพร้อมกับลูกน้อยอายุขวบเศษๆ ลงมาเที่ยวหาญาติที่บางบอน แต่ขอมาพักห้องผมหนึ่งคืน คงเพราะแม่หมวงอยากมาเห็นที่อยู่และความเป็นไปของลูกชายกระมัง  ผมเองก็หวั่นๆรู้สึกเหมือนมีลางสังหรณ์อะไรสักอย่าง  ผมเช่าห้องว่างชั้นสองให้หนึ่งคืน พร้อมกับพาไปทานข้าว ดูแลอย่างดี และในคืนนั้นเองสิ่งที่ผมไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นจนได้

“ทัช ลงไปเล่นกับลูกบ้าง อย่างน้อยตัวเองก็ได้ชื่อว่าเป็นพ่อ”   แม่หมวงขึ้นมาเรียก แกเดินไปรอบห้อง และเปิดระเบียง เสื้อผ้าผมและเจ้าตัวเล็กตากอยู่ด้านนอกระเบียง ปลิวไหวๆตามแรงลม

“เขาก็อยู่ของเขาไปสิแม่ เราทำตามประเพณีเราแล้วเขาเองก็ควรจะเข้าใจ”  ทัชอธิบาย

“แต่ยังไงเราก็เป็นพ่อเด็กนะ ไม่คิดจะลงไปเล่นไปคุยกับลูกบ้างหรือ”

“คุยน่ะคุยได้นะแม่ แต่อย่ามาบอกให้ผมลงไปนอนด้วยนะ”

“แม่ก็ไม่ได้คาดหวังอย่างนั้นสักหน่อย แต่ถ้าทำได้ก็จะดี นนท์คงไม่ห้ามใช่ไหมจ๊ะ แม่ก็นอนอยู่ด้วยนะไม่ต้องห่วงหรอก”  แม่หมวงพูดดักคอ

“เอ่อ ผม..”

“พี่นนท์เขานอนคนเดียวไม่ได้ แม่อย่าบังคับเลย เราเคยคุยกันแล้วนะเรื่องนี้”  ธัชเสียงเข้มทันที จนผมต้องเอื้อมมือไปตบบ่าเขาเบาๆเป็นเชิงห้าม
“ นนท์ คงไม่ต้องให้แม่พูดมาก นนท์โตแล้วน่าจะเข้าใจนะ”

“ผมเข้าใจครับ  ทัช ลงไปเล่นไปคุยด้วยก็ไม่เห็นจะเป็นไรเลย อย่าคิดมากน่า”   ผมตอบแม่หมวงและหันไปบอกเจ้าตัวเล็ก

“เล่นด้วยน่ะได้อยู่แล้ว พี่นนท์ต้องลงไปด้วยนะ”

“อืม ก็ดีเหมือนกัน งั้นไปพร้อมกันเลย”  แม่หมววงคล้องแขนเจ้าตัวเล็กเดินนำลงไปก่อน

 ผมล็อคห้องเดินตามไปทีหลัง ผมอยู่ชั้นห้า  แม่หมวงและน้องคนนั้นอยู่ชั้นสอง ที่นี่ไม่มีลิฟต์ เดินขึ้นลงบ่อยๆก็ให้นึกสงสารแม่หมวงขึ้นมาทันที

  ในห้อง เด็กน้อยกำลังนั่งดูทีวี เงียบกริบไม่ซนเหมือนเด็กทั่วๆไป เจ้าตัวเล็กของผมเข้าไปเล่นกับเด็กน้อย  รู้ว่าชื่อ เกาเฟย  คุยกันไปได้สักพัก

“ยังฮอยอะบัวมิ่งบางบอนโล่ (พรุ่งนี้พวกเราจะไปบางบอนแล้วนะ)”  แม่ของเด็กเอ่ยขึ้น

“ใช่ พรุ่งนี้ก็ไปแต่เช้า ไปเยี่ยมญาติที่นั่นน่ะ”  แม่หมวงตอบรับ

“ให้ผมไปส่งไหมครับ”  ผมอาสา

“ไม่ต้องหรอกค่ะ ไม่อยากรบกวน หนูไปกับแม่ เดี๋ยวขึ้นรถตู้ไป”   น้องเค้าบอกด้วยความเกรงใจ

“เอ้อ แม่ว่าจะให้ทัชไปส่งด้วยน่ะ พรุ่งนี้ก็ไปพร้อมกับแม่เลยนะ”  แม่หมวงเอ่ยขึ้น

“ทำไมต้องให้ผมไปด้วยล่ะ”  เจ้าตัวเล็กเสียงเข้มขึ้นมาทันที

“พวกเราไม่รู้ทาง ลูกไปส่งน่ะถูกแล้ว  นะ ถือว่าแม่ขอร้อง”  แม่หมวงเขยิบเข้ามานั่งใกล้ทัช เขาเงยหน้ามองมาทางผม

“เอ่อ  ทัชไปส่งก็ได้มั๊ง มันไม่ได้ไกลมากมายขนาดนั้น ใช่ไหม”  ผมพูดเสียงราบเรียบ แต่เจ้าตัวเล็กมองผมตาขวาง

“พี่นนท์เราเคยคุยกันแล้วนะครับ”  ทัชเสียงเข้มกับผม เป็นครั้งแรกที่เขาทำเสียงดุเสียงเช้มกับผมอย่างจริงจัง

“เอ่อ แม่ครับ ทางมันไกล ยังไงให้ผมขับรถไปส่งดีกว่าไหมครับ”   ผมพูดเสียงราบเรียบปกติอาสาไปส่งอีกรอบ

“ไม่เป็นไรจ้ะนนท์  ทางนั้นมีญาติเยอะหลายคน เกรงว่าจะไม่สะดวก เดี๋ยวต้อนรับได้ไม่ดี”   แม่หมวงอธิบายเสียงปกติ  แต่ผมรู้สึกได้ถึงการกีดกัน  นึกถึงสมัยที่เจ้าตัวเล็กของผมไปดูตัวที่บ้านวังถ้ำ ภาพวันนั้นผมยังจำได้ติดตา   

“ทำไมแม่ต้องให้ผมไปด้วย เราเคยคุยกันแล้วนะครับ ผมคิดว่าแม่จะเข้าใจแล้วเสียอีก”  ธัชเริ่มมีเสียงเข้ม ผมจึงทำเสียงกระแอมกระไอเพื่อเป็นเชิงปราม

“แม่เข้าใจนะ แต่นี่มาไกลๆมาถึงขนาดนี้ แค่ให้ไปส่งนี่มันไม่ลำบากขนาดนั้นหรอกมั๊ง  ดูนั่นสิ ดู นั่นคือเด็กที่เกิดจากเราเองนะ”  แม่หมวงเริ่มมีเสียงเข้มเช่นกัน

“เรารับผิดชอบตามประเพณีแล้วนะครับ  อาเฝย  ขอถามหน่อยเถอะ เธอต้องการอะไรกันแน่ถึงทำแบบนี้”  ทัชหันไปถามหญิงสาวคนนั้น 

“เอีย (แปลว่า ฉัน) ไม่ได้คิดอะไร เพียงแต่เอียจะลงมาเที่ยวหาญาติเอีย แล้วแม่ก็บอกให้มาแวะมาเที่ยวหาเท่านั้นเอง”  หญิงสาวคนนั้นตอบ  ผมเริ่มรู้สึกว่าบรรยากาศชักจะมึนตึงกันไปกันใหญ่

 “เอ่อ เดี๋ยวผมขึ้นไปเอาน้ำดื่มมาให้นะครับ เผื่อหิวน้ำกัน”    จบคำผมก็ไม่มีเสียงตอบใดใด ผมจึงพยักหน้าค่อยๆก้าวออกจากห้องเดินขึ้นไปชั้นบนห้องตัวเอง  ..นี่มันอะไรกันอีกเนี่ย ..แม่หมวงคิดจะทำอะไร ผมควรจะทำอย่างไร 

   ...จากนี้ไปพี่จะไม่ทิ้งผมใช่ไหม....เสียงเจ้าตัวเล็กผุดขึ้นมาวนเวียนอยู่ในสมอง ..

 ...พี่จะดูแลผมใช่ไหม พี่จะไม่ทำให้ผมเสียใจใช่ไหม....... ประโยคต่างๆจากเจ้าตัวเล็กผุดฉายวนซ้ำ จนผมต้องยกมือกุมขมับ  ผมควรจะทำอย่างไรต่อไปดี  ระหว่างที่เอาน้ำสองขวดลงไปผมเอาหน้าแนบผนังห้องส่วนที่ใกล้กับประตูกลอนซึ่งจะสามารถได้ยินเสียงจากด้านในได้ แต่ต้องตั้งใจฟังเป็นอย่างยิ่ง  ยังคงพอทันได้ยินเสียงแม่หมวงกับทัชคุยกัน เป็นการคุยกันที่ไม่สู้ดีนัก

“ลูกจะอยู่อย่างไร แก่ตัวมาจะทำอย่างไร ใครจะดูแล พี่เขาจะดูแลเราไปได้ตลอดหรือ ทำไมลูกแม่กลายเป็นแบบนี้”

“ผมเคยบอกแม่แล้ว แม่เข้าใจผมแล้ว ทำไมถึงทำแบบนี้ ผมผิดตรงไหน แค่ผมรักพี่เขาและพี่เขาก็รักผม เรารักกันมันผิดตรงไหนครับ”

“ผู้ชายสองคนจะรักกันได้อย่างไร รักกันแบบพี่น้องจะไม่ว่าสักคำ รู้จักกันมาก็นานแม่ไม่เคยคิดเลยว่าจะมาทำให้ลูกแม่กลายเป็นคนแบบนี้”

“แม่ไม่ต้องไม่ว่าพี่เขาเลย  พี่เขาเป็นคนดี เรารู้จักกันมานาน พี่เขารักและห่วงใยผมมาตลอด แม่ไม่เข้าใจหรอกว่าเขาดีกับผมยังไง  ถ้าแม่บังคับผมผมจะตายให้ดู”     ทัชพูดเสียงกระแทกใส่แม่หมวง ผมรู้สึกใจหายวาบ นี่มันชักจะเลยเถิดแล้วนะ ..

 ผมเคาะประตูสองที  เจ้าตัวเล็กมาเปิดประตูให้ ผมลอบมองสีหน้าเขาแว่บหนึ่ง หยาดน้ำตาปริ่มๆอยู่ตรงขอบตา ผมสงสารเขาจับใจ  ผมทำตัวไม่ถูก บรรยากาศอึมครึมมาก และผมก็ทันได้เห็นแม่หมวงปาดน้ำตา ยิ่งทำให้ผมใจหายและรูสึกว่าตัวเองทำผิดมหันต์

“นนท์  แม่รู้ทุกอย่างนะ แม่เข้าใจที่ลูกสองคนรักกัน แต่ยืนยันกับแม่สิ ว่าลูกรักกันแบบพี่น้อง ลูกเคยสัญญากับแม่ว่าจะดูแลกัน แต่นี่มันไม่ใช่ มันเกินไป ไหนลูกบอกแม่มาสิว่ามันเป็นอย่างไร” 

แม่หมวงพูดด้วยเสียงเครือ  อาเฝยกอดลูก น้อยตรงฝั่งหัวเตียง ทัชยืนอยู่ข้างๆผม ขยับมาเกาะแขนผมแน่นราวกับจะบอกว่า อย่าทิ้งเขาไว้เหมือนที่ผมเคยทำมาแล้ว  ผมเองก็อึ้งทำตัวไม่ถูก แทบไม่รู้ตัวเลยว่าก้มลงกรามแม่หมวงตอนไหน

“แม่ครับ ผมขอโทษ จริงๆแล้ว ผมรักเจ้าตัวเล็กมากเลยครับ รักและห่วงใยเขามาก หวงแหนเขามาก เราผูกพันกันมาตั้งแต่มัธยม ผมไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไรดี แต่ผมรักน้องเขามากจริงๆ ที่ผ่านมาผมเคยทำผิดกับเขา เขาก็ยังอดทนรอผมมาตลอด ผมเองก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงรักเขาได้ ทั้งๆที่เป็นผู้ชายเหมือนกัน แต่วคามรู้สึกรักมันห้ามไม่ได้นี่ครับ  มันก็แค่เป็นผู้ชายเหมือนกัน ผมขอให้แม่มองข้ามมันไปได้ไหมครับ “    ผมอธิบายยาวเหยียด แม่หมวงและเฝยจิ้งมองผมตาค้าง

“ไม่ได้เด็ดขาด ผู้ชายจะรักกันได้อย่างไร เราจะมองหน้าบรรพบุรุษเราได้อย่างไร แก่ตัวมาใครจะดูแล เราก็โตๆกันแล้วนะ แม่เลี้ยงลูกแม่มาไม่ได้ให้มาทำแบบนี้  ไหนบอกแม่สิ แม่ผิดตรงไหน แม่เลี้ยงลูกมาไม่ดีตรงไหน”  แม่หมวงพูดด้วยน้ำตานองหน้า

  ผมกลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้ เจ้าตัวเล็กคุกเข่าลงข้างผมโอบกอดผมไว้จากด้านหลัง  แม่หมวงเห็นดังนั้นก็ผลักเราสองคนกระเด็นออกไปคนละทาง ทัชร้องไห้ ผมเสียใจเป็นอย่างยิ่ง  รู้สึกเจ็บปวดที่ไม่สามารถโอบกอดคนที่ตัวเองรัก   อีกคนก็เป็นผู้มีพระคุณ เป็นแม่ของคนที่ตัวเองรัก  ผมไม่รู้เลยในสถานการณ์นี้ผมควรทำอย่างไรดี  เหตุการณ์คล้ายๆวันที่ที่ธัชต้องดูตัวทำให้ผมต้องขับรถกลับกรุงเทพคนเดียวมันย้อนวนกลับเข้ามาในห้วงความทรงจำ และแว่บหนึ่ง เสียงเจ้าตัวเล็ก ดังก้องอยู่ในใจ

....พี่อย่าทิ้งผมไปอีกนะ..... อย่างทิ้งผมให้ต้องสู้เพียงลำพังคนเดียว.......

“ผมขอโทษจริงๆครับแม่ แต่ให้เลิกรักกันผมคงทำไม่ได้  ขนาดผมไปอยู่ญี่ปุ่นผมยังคิดถึงน้องเขาทุกวัน ทำมือถือหายก็พยายมหาทางกลับไปขอเบอร์ติดต่อมา ผมสัญญาว่าผมจะรักและดูแลน้องเขาตลอดไปจนกว่าผมจะหมดลมหายใจ “   ผมก้มลงกราบแม่หมวงอีกครั้ง  แม่หมวงขยับเท้าหนี

“แม่ทำใจไม่ได้ ที่ลูกจะเป็นแบบนี้ แม้จะเคยเข้าใจ แต่เอาเข้าจริงๆก็ทำใจไม่ได้”  แม่หมวงพูดทั้งน้ำตา ผมเองก็เจ็บปวดไม่แพ้กัน เจ้าตัวเล็กของผมด้วย ผมสงสารเขาเหลือเกิน ผมจับมือเขาบีบแน่นเป็นเชิงบอกว่า ผมจะไม่มีวันทำแบบนั้นแน่นอน ผมจะไม่มีวันทิ้งเขาให้เผชิญกับสถานการณ์ที่หัวใจเกินจะรับไหวแบบนี้ อีกเด็ดขาด  พอดีเสียงมือถือโนเกียของแม่หมวงดัง ผมจึงถือโอกาสลา

“แม่พักผ่อนให้สบายนะครับ  น้องด้วยนะ พรุ่งนี้ผมจะไปส่งที่หมอชิตครับ”  ผมพูดจบก็คว้ามือของทัชให้เขาลุกเดินตามมา แต่แม่หมวงรั้งแขนอีกข้างของเขาไว้

“อาเกา (ชื่อภาษาถิ่นของทัช) อยู่คุยกับแม่ก่อนนะลูก”  แม่หมวงไม่รอคำตอบหันไปคุยโทรศัพท์ต่อ เจ้าตัวเล็กมองหน้าผม ผมบีบมือเขาเป็นกำลังใจ

“พี่จะรอนะ”   ผมกระซิบบอกเขา และเขาก็พยักหน้า ผมเดินออกไปโดยไม่ได้พูดอะไรเลย เดินขึ้นห้องด้วยจิตใจที่แสนจะสับสน  นี่มันอะไรกัน เราเพิ่งกลับมาจากบ้านกันแท้ๆ ทำไมเรื่องราวมันถึงกลายเป็นแบบนี้  หรือน้าของทัชจะโทรไปบอกแม่ ว่าทัชตามลงมาหาผม  ญาติๆของทัชรังเกียจผมมากเลยหรือนี่...
.
.

  แม้จะกลับมาที่ห้องของตัวเองแล้วก็ตาม แต่จิตใจผมมันร้นรนกระวนกระวาย เดินไปเดินมาเป็นสิบรอบ ในหัวมันคิดอะไรวุ่นวายสับสนไปหมด ....ทัช จะถูกหว่านล้อมอะไรอีกบ้างหรือไม่ ทำไมผมไม่ดื้อดึงอยู่กับทัชคอยอยู่ข้างๆเขา เออ ใช่สิ แม้จะเป็นแม่ผู้มีพระคุณ แต่เราสัญญากับเขาแล้วว่าเราจะไม่ปล่อยให้เขาต้องต่อสู้อยู่คนเดียวนี่นา ..คิดได้ดังนั้น ก็กำลังจะเปิดประตูออกไปก็พอดีกับที่ ทัชกำลังจะเข้ามา  ผมรีบดึงตัวเขาเข้ามาและไม่ลืมที่จะล็อคประตู  ผมดึงเขาเข้ามากอด แน่น

 “ตัวเล็ก มีอะไรหรือเปล่า เกิดอะไรขึ้น คุยอะไรกับแม่บ้าง”

 เจ้าตัวเล็กของผมปล่อยโฮออกมา ผมรู้สึกเจ็บจุกจนแน่นหน้าอก  ผมโทษตัวเองที่มปล่อยให้เขาต้องต่อสู้กับความรู้สึกบีบคันคนเดียวอีกแล้ว

“โธ่โว๊ย”   ผมโมโหลืมตัวหันไปชกฝาผนังจนมือถลอก ทัชเข้ามากอดผม ร้องไห้สะอึกสะอื้น

“พี่นนท์อย่าทำแบบนี้”   ผมหันมา สองมือประคองไหล่เขา

“ทัช บอกพี่มานะ ว่าคุยอะไรกันไปบ้าง”

“พรุ่งนี้แม่จะให้ผมไปบางบอนด้วย แต่ไม่ให้พี่ไปด้วย เพราะญาติทางนั้นเค้าพอรู้เรื่องบ้างแล้วเค้าคงไม่ยินดีถ้ารู้ว่าพี่เป็นใคร”  เจ้าตัวเล็กพูดไปทั้งน้ำตาและสะอึกสะอื้น

“...........”     ผมพูดอะไรไม่ออก ไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกอะไร ทั้งจุกทั้งเจ็บทั้งแค้นใจน้องใจ ปนเปกันไปหมด  ไหนแม่หมวงเคยบอกว่าเข้าใจพวกเราแล้วไง ทำไมถึงทำแบบนี้  นี่ผมต้องเลือกระหว่างทำให้ถูกต้องตามประเพณีต้องรักษาหน้าตาให้อีกฝ่าย โดยที่ต้องยอมทรยศต่อความรู้สึกของตัวเอง และทรยศต่อวคามรู้สึกของคนที่ผมรักและเคยสัญญาต่อกันอย่างนั้นหรือ ทำไม ทำไมมันต้องเป็นแบบนี้ 


  ในที่สุดวันที่ผมไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นก็เกิดขึ้นจนได้  แม่หมวงจะพาทัชไปจากผม ผมรู้ว่ามันจะเป็นแบบนั้น ผมเข้าใจ ที่แม่เคยมาขอคำสัญญากับผม  และหวังว่าสิ่งที่ผมทำนั้นจะเป็นทางเลือกและทางออกที่ดีที่สุดสำหรับเราทั้งสองคน

“ ทัชไปเถอะ ทำตามที่แม่ผู้มีพระคุณต้องการ พี่มันก็แค่คนคนหนึ่ง ที่ในอนาคตยังไม่รู้เลยว่าจะดูแลตัวเล็กได้ดีอย่างที่มันเคยสัญญาไว้หรือเปล่า และพี่เองก็ไม่อยาดให้ตัวเล็กต้องกลายเป็นลูกอกตัญญู  เชื่อฟังแม่ ตอบแทนคุณความดีของผู้มีพระคุณ สำหรับพี่ พี่เข้าใจ”  ผมพูดทั้งน้ำตา ไม่รู้เลยว่าตัวเองพูดอะไรแบบนี้ออกไปได้อย่างไร

“ทำไมพี่พูดแบบนี้ ผมไปส่งเฉยๆ เดี๋ยวผมก็กลับมาครับ ผมสัญญานะ”

“อืม อย่างนั้น พี่จะรอนะ”    ผมก็พูดไปอย่างนั้นเอง

    รู้ทั้งรู้ว่า เมื่อเจ้าตัวเล็กไปแล้ว คงยากที่ทางฝ่ายนั้นจะปล่อยตัวออกมา  แต่ผมไม่อยากทำร้ายเขา เขาอาจจะมีชีวิตที่ดีกว่า ไปสร้างครอบครัวตามแบบที่บรรพบุรุษของเขาต้องการ  ซึ่งผมเองก็ไม่เข้าใจว่า ในเมื่อคุยกันจบไปแล้วทำไมยังตามมารังควานคนของผมด้วย  แต่เพื่อความถูกต้องและไม่ถูกตราหน้าว่าเป็นคนทำให้ครอบครัวเขาแตกแยก แม้ผมจะรักเขามากแค่ไหน ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปแล้ว หรืออาจจะกำลังเปลี่ยนไป ผมรู้ว่า เขารักผม และผมก็รักเขามากแค่ไหน  แต่เพื่อความถูกต้องผมยินดีที่จะให้มันเป็นไปแบนี้ ยินดีที่จะคอยเฝ้ามองความสำเร็จของเขา ตามความตั้งใจเดิมที่เคยคิดว่ารักและห่วงเขาอยากให้เขาได้ดี  ผมคงไม่ได้ทำผิดใช่ไหมที่ปล่อยเขาไป  ไม่ใช่เพราะผมไม่รักเขา  แต่เพราะรักจึงต้องทำแบบนี้   ผมพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ ไปส่งเขาขึ้นรถแท็กซี่ 

“พี่รอผมด้วยนะ เดี๋ยวผมจะโทรมา พี่ต้องรีบมารับผมนะ”  ทัชพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ผมรู้ว่าเขาเองก็กลั้นน้ำตาเอาไว้อย่างอดทน  ผมทำได้เพียงฝืนยิ้มให้

“ครับ พี่จะรอนะ”  อีกแล้ว ผมพูดอะไรแบบนี้อีกแล้วเหมือนกับยังคงมีความหวังว่าจะได้เจอเขาอีก   ไหว้ลาแม่หมวง ที่ดูครั้งนี้แม่หมวงจะเพียงรับไหว้ไม่พูดจาใดใด สีหน้าไม่เหมือนทุกครั้งไม่เหมือนคนที่เคยรู้จักกัน

 ผมมองส่งเขาจนแท็กซี่ห่างออกไปไกลลับตา  และน้ำตาก็ไหลออกมาไม่อายสาตาใครในปากซอย...ทัช ..พี่รักทัชนะ ..รักมาก...โปรดรับรู้ไว้  ทัชเป็นคนเดียวที่พี่มอบให้หมดทั้งหัวใจ  ดูแลตัวเองด้วยนะ..

 ผมรำพันกับตัวเอง  แทบจะรู้สึกยืนอยู่ไม่ไหวจึงรีบเดินเข้าอาคาร ขึ้นห้องตัวเอง ล้มตัวลงนอนปลดปล่อยความรู้สึกที่อัดอั้นตันใจออกมา


 
 เสริมท้าย
 


    และแล้วก็เป็นจริงอย่างที่ผมคาดไว้   ทัชถูกกักตัวไว้จริงๆ แม้แต่เบอร์โทรก็ถูกตัดออก ผมโทรแล้วไม่ติดเลยสักครั้งเป็นสัญญานฝากข้อความทั้งหมด ผมเฝ้าโทรครั้งแล้วครั้งเล่าวันแล้ววันเล่า จนเริ่มท้อ มันเหนื่อยเหลือเกิน มันปวดใจเหลือเกิน ทำไมมันถึงได้ทรมานแบบนี้  จากวันเป็นเดือน ผมก็ไม่สามารถติดต่อกับเขาได้เลย


จนกระทั่งวันหนึ่ง ...


 “พ่อหนุ่ม มีคนมาหาแน่ะ อยู่ตรงที่รอแขกน่ะ”   แม่บ้านเรียกผมเมื่อเห็นผมกำลังจะขึ้นห้องหลังจากกลับมาจากที่ทำงาน  ใครกันมาหา พอผมเดินไปเห็นหน้าเท่านั้นแหละ ผมทั้งตื่นเต้นตกใจปนสงสัยแทบจะกระโดดกอดเลยทันทีแต่อายแม่บ้าน จึงรีบพาเจ้าตัวเล็กเดินขึ้นห้องไปแทบจะกระโดดก้าวข้ามขั้นบันได้เลยทีเดียว  ถึงห้องได้ก็โผกอดกันต่างคนถึงกับมีน้ำตาไหลพรั่งพรูออกมาเหมือนไม่ได้เจอกันมานานหลายสิบปี

“มาได้ยังไงเนี่ย ทัช  พี่ดีใจเหลือเกิน ชาตินี้พี่นึกว่าจะไม่ได้เห็นหน้าทัชอีกแล้ว”  ผมปาดน้ำตาออก พิศดูใบหน้าเขา  เขาดูอิจโรยใบหน้าซุบไปมากทีเดียว  ความรู้สึกผิดแล่นเข้ามาจับขั้วหัวใจผมอย่างจัง

“ผมบอกว่าจะกลับบไปช่วยน้าขายขนมปังและน้ำเต้าหู้ แต่จะขอกลับบ้านก่อนไปเอาของ ”

“แล้วแม่หมวงล่ะ”

“กลับไปตั้งนานแล้วครับ”

“อืม ดูสิ หน้าซูบไปมากเลย  พี่ขอโทษนะ พี่มันแย่ที่ไม่เคยต่อสู้อยู่เคียงข้างทัชเลย” ผมพูดจากความรู้สึกจริงๆ

“ผมเข้าใจนะครับ ผมโตแล้ว ผมเข้าใจพี่นนท์ทุกอย่าง ไม่ต้องห่วงนะครับ ผมไม่โกรธพี่เลย”

“อ้อ แล้วนี่ไปทำอะไรมาทำไมผมมันสั้นเตียนขนาดนี้”   ผมก็เพิ่งสังเกตว่าผมเขาสั้นมากผอดปกติเหมือนเพิ่งโป่งออกมาไม่นาน
 
“ผมไปบวชมาครับ”

“ผ่านไปเดือนกว่า อะไรก็เปลี่ยนไปมากเลยนะ”

“ผมขอโทษนะครับที่ไม่ได้ติดต่อมาเลย ผมไม่มีเบอร์พี่เลย จำไม่ได้ด้วย น้าผมเขายึดมือถือไปแล้วคงเอาซิมพี่ไปทิ้งแล้ว”   อย่างนี้นี่เองถึงติดต่อไม่ได้

“พี่ก็รู้แล้วล่ะ โทรไปเป็นสิบฝากข้อความตลอด จนท้อ รู้ไหม พี่นึกว่าชาตินี้พี่จะไม่ได้เจอเราอีกแล้ว”

“ไม่เอานะครับ อย่าพูดแบบนี้  ผมก็มาอยู่กับพี่แล้วนี่ครับ เราย้ายที่อยู่กันเถอะครับ ผมไม่อยากให้ใครตามหาผมอีก”

“แล้ว แม่จะว่าอย่างไรล่ะ”  ผมรู้สึกเป็นกังวลอยู่ในใจ

“ผมได้บวชทดแทนบุญคุณแล้ว หลังจากนี้ผมจะทำตามหัวใจของตัวเองบ้าง พี่อย่าไปคิดถึงคนอื่นเลย พี่ยังรักผมอยู่ไหม”   ผมหันขวับมาทันที

“ทำไมพูดแบบนี้  ทำไมพี่จะไม่รักเราล่ะ ต่อให้ทุกข์ทนแค่ไหนพี่ก็จะไม่มีวันปล่อยให้เราต้องลำบากแน่ๆ”

“หลังจากนี้ไปเราจะไม่จากกันไปอีกนะครับ”

“ไม่  พี่จะไม่ให้ทัชไปไหนอีกแล้วนะ ไม่มีวัน”

“สัญญานะครับ”

“พี่สัญญา”

...

 ทัชอยู่กับผมสองวันเองก็กลับบ้านเกิดเพื่อไปเอาสิ่งของบางอย่าง  ระหว่างนี้ผมก็จะหาที่อยู่ใหม่ ขยับลึกเข้าไปด้านซอย แต่ไม่ลำบากสำหรับเราสองคน ผมมองไว้อยู่สองที่ เพราะแถวนี้ผมรู้จักดี  จากนี้ไปไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมตั้งปณิธานอย่างแน่วแน่ ว่าจะต่อสู้กับคนที่ผมรัก เราจะอยู่เคียงข้างร่วมต่อสู้ไปด้วยกัน

..... ผมคิดเช่นนั้น....


     เย็นวันหนึ่ง เสียงมือถือผมดังขึ้นเช่นทุกครั้งที่ผมรีบกุลีกุจอรับโทรศัพท์ แต่สิ่งที่ทำให้ผมแปลกใจคือ แม่หมวงเป็นคนโทรมา
 
“นนท์ นี่แม่เองนะ จำได้ไหม”  เสียงแม่หมวงเกริ่นให้ผมรู้ว่าเป็นใคร

 “จำได้ครับ สวัสดีครับแม่ เป็นอย่างไรบ้างครับ สบายดีไหมครับ”

“แม่ไม่อยากพูดมากเรื่องของลูกทั้งสองคน ลูกของแม่แม่ก็รัก แต่เมื่อมันเป็นแบบนี้แม่ก็คงทำอะไรไม่ได้”

“เอ่อ.... ครับ”  ผมไม่รู้จะพูดอะไรดีนอก ตอบรับไป แต่ก็ยัง งงๆ

“แม่จะพยายามทำความเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่แม่ขออะไรสักอย่างได้ไหม”   แม่หมวงเน้นเสียงหนักเน่น

“ครับ?”  ผมยังคงตั้งตัวรับไม่ทัน ทำตัวไม่ถูก

“ช่วงไหนถ้าว่าง ขึ้นมาที่บ้านสิ แม่จะนัดพ่อหมอ*มาทำพิธีกว๋าตัง**ให้ลูกทั้งสองคน ลูกต้องเข้าพิธีนี้เสียก่อน แม่ถึงจะยอมให้ลูกทำในสิ่งที่ต้องการ “    แม่หมวงเอ่ยประโยคที่ทำเอาผมทั้งอึ้งทั้งตกใจทั้งสับสนและ ดีใจระคนกัน

“เอ้อ.. ผมไม่ค่อยมีความรู้เรื่อง พิธีกว๋าตังเท่าไหร่นะครับ แต่ถ้ามันจะทำให้เป็นเรื่องที่ดีผมก็ยินดีครับ ไว้ผมจะเคลียร์งาน แล้วจะแจ้งให้ทราบนะครับ” 

“อืม งั้นก็ค่อยโทรมาบอกทางแม่ละกันนะ”

“ครับ” 

  หลังจากวางสาย ผมยังคงงุนงงกับสิ่งที่แม่หมวงบอกมา  พิธีกว๋าตังงั้นเหรอ .. มันเกี่ยวอะไรกับเรื่องระหว่างผมกับทัชน้อ ผมได้แต่เก็บความสงสัยอยู่ในใจ ไว้มีโอกาสจะลองถามเจ้าตัวเล็กดู  ..ผมคิดในใจ..











----------------------------------------------------------------------------------------------
 *หมอผีหรือหมอขวัญสำหรับทำพิธีกรรมต่างๆ 
**พิธีกว๋าตัง คล้ายกับพิธีบวชบรรลุนิติภาวะ  ให้บรรพบุรุษรับรู้ ชี้แนะแนวทางที่ถูกต้อง และได้รับการยอมรับจากผู้หลักผู้ใหญ่ในสังคม
----------------------------------------------------------------------------------------------



หัวข้อ: ทัช..สัมผัสใจ ตอนที่ 25 (29 ก.ค. 2560)
เริ่มหัวข้อโดย: thewa.arak ที่ 29-07-2017 21:33:47
ตอนที่ 25


ไม่มีชื่อตอน ....Part นนท์/ทัช..... 
 


        ผมแจ้งเรื่องย้ายออกกับแม่บ้านไว้และหาอาพาร์ตเม้นต์ใหม่เตรียมเผื่อไว้สองที่ หลังคอนโดซอย12 ที่เคยอยู่และอีกที่เป็นคอนโดเช่นกันแต่อยู่ฝั่งตรงข้ามถนนใหญ่ ในระหว่างที่รอเจ้าตัวเล็กกลับลงมาจากบ้านผมก็ยังคงอยู่ที่เดิม ทำงานตามปกติ  ใช้ชีวิตเร่งรีบอยู่กับงานแบบที่เคยเป็นมา เหมือนเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันไปแล้ว

  ผ่านไปเป็นสัปดาห์ ผมรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ เพราะเจ้าตัวเล็กน่าจะลงมาได้แล้ว แต่ก็ไม่มีวี่แววใดใด โทรไปก็ไม่มีสัญญาณ ผมเริ่มใจไม่ดี ร้อนรนจนแทบทนอยู่ไม่ได้ ไม่รู้ว่าเจ้าธัชจะพบเจออะไรเกิดอะไรขึ้นหรือไม่ การที่เราไม่สามารถติดต่อกับคนสำคัญได้นั้นมันเป็นอะไรที่ทรมานจิตใจมากๆ ร้อนรนกระวนกระวายแทบไม่เป็นอันทำมาหากินเลยทีเดียว ใจนี่แทบอยากจะตามกลับไปถึงบ้านเลยทันที แต่ด้วยภาระหน้าที่ จึงไม่อาจปลีกตัวไปไหนได้  ได้แต่ภาวนาว่าขออย่าให้มีอะไรเกิดขึ้นเลย ขอให้ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี     

 สัปดาห์ที่สองก็ยังติดต่อไม่ได้ ผมรู้สึกไม่ดีเอามากๆ มันไม่ใช่แล้วล่ะ มันน่าจะเกิดอะไรขึ้นแน่ๆ จนกระทั่งช่วงหัวค่ำวันหนึ่งมีสายโทรเข้ามา เป็นสายโทรศัพท์บ้าน รหัส 054 ผมก็ยัง งง ว่าใครโทรมากันล่ะเนี่ย พอรับสายได้ยินเสียงปลายสายจึงรู้ว่าใครโทรมา  มันทั้งดีใจทั้งเป็นห่วง

“ฮัลโหล ตัวเล็ก ทำไมเพิ่งโทรมา แล้วพี่โทรไปทำไมปิดโทรศัพท์ล่ะ มีอะไรหรือเปล่า”    ผมรัวคำถามติดๆกันด้วยความเป็นห่วง
 
“ พี่....”      เจ้าตัวเล็กพูดเพียงคำเดียวก็เงียบไป แต่ผมรู้สึกได้ถึงเสียงที่สั่นเครือ  มันยิ่งทำให้ผมรู้สึกเป็นห่วงยิ่งขึ้นไปอีก

“ทัช....เป็นอะไรไป มีอะไรเกิดขึ้นครับ ใจเย็นๆ หายใจลึกๆ แล้วค่อยๆพูดนะ”

“พี่นนท์ “    เพียงแค่คำพูดเดียวเท่านั้น สิ่งที่ผมคิดอยู่ก็เป็นจริงดังคาด  เจ้าตัวเล็กปล่อยโฮออกมาเหมือนอัดอั้นตันใจมานาน

“ตัวเล็ก วางสายก่อนนะ เดี๋ยวพี่โทรกลับอยู่ในตู้นั่นแหละอย่าไปไหน” 

  (สมัยนั้น หมู่บ้านเขามีตู้โทรศัพท์แดงตั้งอยู่ ตรงทางเข้าหมู่บ้านใกล้กับโรงเรียนบ้านต้นไผ่  อยู่ตรงข้ามกันเยื้องขึ้นไปทางหมู่บ้านเล็กน้อย  ซึ่งเป็นตู้โทรศัพท์ที่สามารถโทรเข้าได้ด้วย  แล้วแต่ว่าใครอยู่ใกล้บริเวณนั้น ได้ยินแล้วมารับแล้วไปตามคนที่เป็นเจ้าของสาย  โดยการจ่ายเงินให้คนที่ช่วยมาตาม ครั้งหนึ่งก็สิบบาทยี่สิบบาท ว่ากันไป) 
  เสียงโทรศัพท์ดังไม่ถึงวินาที ทัชก็รับสาย

“ฮัลโหล อื้ม ว่าไง เป็นไงบ้าง ตัวเล็ก ตั้งสติดีๆนะ ค่อยๆพูดนะ ทำจิตใจให้สงบ”  ผมพูดประโยครวมทั้งคำถามใส่เจ้าตัวเล็กของผมเป็นชุดและเร็วแบบไม่ปล่อยช่วงจังหวะหายใจ  เจ้าตัวเล็กยังคงสะอื้น เสียงดังก้องอยู่ในตู้โทรศัพท์

“ทัช เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า เป็นอะไรไป”  ผมถามอีกครั้งด้วยความเป็นห่วง เพราะเจ้าตัวเล็กเอาแต่ร้องไห้

“แม่ไม่ยอมให้ผมลงไป กรุงเทพอีกแล้วครับ”  พูดปนเสียงสะอื้น

“..................”   ผมพูดอะไรไม่ออก แต่พอจะทำใจเผื่อไว้แล้วว่าอาจจะต้องเกิดเหตุการณ์เช่นนี้

“เกิดอะไรขึ้นเหรอ  ใจเย็นๆนะ ไหนเล่าให้พี่ฟังซิ ค่อยๆพูดนะ พี่อยู่ตรงนี้ไม่ได้ไปไหน”   ผมพยายามพูดปลอบใจเขา

“แม่ไม่ให้ผมลงกรุงเทพ แม่จะให้ผมกับพ่อไปขายของที่ขอนแก่น เดินทางวันเสาร์นี้แล้ว” 

“แล้วเราตอบแม่หมวงไปว่าไงล่ะ”  ผมถาม ใช้น้ำเสียงราบเรียบตามปกติ

“ผมบอกว่า ถ้าบังคับผม ผมจะฆ่าตัวตาย” เจ้าตัวเล็กพูดไปสะอื้นไป แต่ทำเอาผมสะดุ้ง

“อะไรนะ ทำไม ทัชพูดแบบนี้ ไม่ได้นะ พูดแบบนี้กับแม่ได้ไง นั่นแม่นะ”  ผมเผลอทำเสียงดุใส่ตัวเล็ก

“พี่นนท์ พี่เคยบอกว่าเราจะยืนเคียงข้างกันไงครับ แล้วทำไมพี่มาพูดแบบนี้”  ธัชสะอื้นพร้อมเสียงตัดพ้อด้วยความน้อยใจ

“เอ่อ พี่ขอโทษนะทัช “  ผมเสียงอ่อนลง

“พี่นนท์ ผมควรทำอย่างไรดี”

“แล้วเรื่อง พิธีกว๋าตังล่ะ พี่ลางานไว้เรียบร้อยแล้วนะ”

“พี่ไม่ต้องไปคิดถึงมันหรอกไอ้พิธีอะไรนั่นน่ะ ถ้าทำแล้ว เดี๋ยวแม่จะมาบอกว่า บรรพบุรุษไม่ยอมรับอีกหรอก”  เจ้าตัวเล็กอธิบาย

“แต่แม่หมวงบอกว่า เข้าพิธีกว๋าตังแล้วถือว่าเป็นผู้ใหญ่ และจะไม่บังคับเราสองคนแล้วนี่นา” ผมเถียงบ้างแต่ด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบปกติ

“โอ๊ย พี่นนท์ไม่ต้องไปนึกถึงมันเลย แม่ก็พูดไปงั้นแหละ ผมนี่อยู่ที่บ้านโดนค่อนขอดประชดประชันเป็นประจำ”

“แต่ถ้าลองทำดูมันก็ไม่เสียหายอะไรมั๊ง”  ผมยังคงพยายมเกลี้ยกล่อมเจ้าตัวเล็กให้คล้อยตาม

“ผมขี้เกียจเถียงกับพี่แล้ว ยังไงผมก็จะพยายามหาทางลงไปให้ได้” เจ้าตัวเล็กพูดหนักแน่น  แต่ความเด็ดเดี่ยวนั่นทำให้ผมรู้สึกทั้งอึดอัดและเป็นห่วง  ไหนจะเรื่องศีลธรรม ไหนจะเรื่องหัวใจตัวเองรู้สึกว่าตัวเองยังคงไม่เด็ดเดี่ยวพอ

“ทัช อย่างเพิ่งคิดมาก  กรุงเทพน่ะ จะลงมาตอนไหนก็ได้ เราคงไม่ถูกรั้งตัวไว้ตลอดเวลาหรอกนะ  เรายังมีเบอร์ของพี่ เรายังติดต่อกันได้นะ ตอนนี้อย่างเพิ่งคิดทำอะไรผลีผลาม ตั้งสติดีๆนะทัช”    ผมพยายามหาคำพูดมาปลอบใจ แต่มันช่างยากเย็นเสียเหลือเกิน  พูดไปตามไปที่คิดได้ ในตอนนั้นๆ

“พี่นนท์  “ เสียงตัวเล็กพูดชื่อผมแล้วเงียบไป

“ว่าไงครับ “ 

“พี่รักผมไหมครับ”  เสียงทัชเบามากเมื่อพูดประโยคคำถามนี้  บรรยากาศรอบข้างเงียบสนิทจนกระทั่งได้ยินแม้เสียงจิ้งหรีดร้องนอกตู้โทรศัพท์ฝั่งเจ้าตัวเล็ก

“รักสิครับ ทัช  พี่รักเรามากแค่ไหน ตลอดเวลาที่ผ่านมาทัชยังไม่รู้หรือว่าพี่รักเรามากขนาดไหน”

 ผมเว้นประโยคไว้เล็กน้อย และยังคงมีความเงียบ ได้ยินเพียงเสียงสะอื้นเป็นช่วงๆ

“พี่ไม่เคยแคร์ใครมากเท่าเรานะ  มีแต่ทัชเท่านั้นที่พี่รู้สึกห่วงใย ใส่ใจในทุกเรื่อง กับคนอื่นพี่ไม่เคยเป็นแบบนี้ เพื่อนๆยังว่าพี่เห็นแก่ตัวด้วยซ้ำไป แต่กับทัช  พี่รู้เกือบทุกอย่างเกี่ยวกับตัวทัชนะ ชอบอะไรไม่ชอบอะไร ขี้น้อยใจอย่างไร พี่รู้หมดเลย  พี่รักเรามากนะ เข้าใจไหม” 

“ผมก็รักพี่นะครับ รักมากด้วย พี่อย่าทิ้งผมไปนะครับ”

“หยุดร้องไห้นะครับ กลับบ้านไปล้างหน้าล้างตา  ทำตามที่แม่หมวงบอกนะ แล้วเราค่อยหาแนวทาง ค่อยเป็นค่อยไป มีอะไรรีบโทรหาพี่ อย่าคิดเอง เออเองเด็ดขาดเข้าใจไหม พี่เป็นห่วงนะครับ”

“ครับ พรุ่งนี้ผมจะโทรหาพี่นะครับ”   ผมได้ยินเสียงเจ้าตัวเล็กของผมสุดลมหายใจและเสียงสะอื้นที่ยังคงหลงเหลืออยู่ 
 
“อย่าลืมว่ายังมีพี่อยู่นะ พี่ยังรอทัชอยู่เสมอนะครับ จำเอาไว้ให้ดีนะ พี่จะรออยู่ที่นี่ นะครับ”  ผมพูดย้ำๆออกไปสองสามครั้ง

“ครับ พี่ต้องรอผมนะครับ อย่าทิ้งผมไปไหนนะ”

“ครับ พี่จะรอ”

“ครับ”    เจ้าตัวเล็กตอบกลับมาสั้นๆเพียงประโยคเดียว ได้ยินเสียง กริ๊ก แล้วสายโทรศัพท์ก็ตัดไป  ผมยืนขาแข็งอยู่ที่เดิม  นึกภาพเจ้าตัวเล็ก ถ้าไม่ปั่นจักรยานออกมาถึงตู้โทรศัพท์ ก็คงเดินมา ระยะทางน่าจะ ห้าหกร้อยเมตร แต่เป็นทางเลี้ยว ขึ้นลง ผมมองดูนาฬิกา บอกเวลาทุ่มครึ่ง  เวลานี้ที่หมู่บ้านต้นไผ่น่าจะมืดแล้ว  ผมรู้สึกเป็นห่วงทัชขึ้นมาจับใจ 

  ผมมานึกย้อนดูวันที่แม่หมวงมาที่หอผม แล้วช่วงหนึ่งที่ผมปล่อยให้แม่ลูกเขาได้คุยกัน  และอีกช่วงเวลาหนึ่งที่ ทัชเคยพูดกับผมว่า อย่าทิ้งให้เขาต้องเผชิญอะไรอยู่คนเดียว  ผมตบหัวตัวเอง ทำไมผมถึงปล่อยให้คนที่ผมรักต้องเผชิญเรื่องหนักหนาสาหัสคนเดียวแบบนี้นะ  เรารักเขามากแต่ทำไมเรากลับทำแบบนี้   แต่ ณ ช่วงเวลาเช่นนั้น คุณธรรมและความถูกต้องกลับสั่งให้เราทำในแบบนั้นอยู่เสมอ  ความรูสึกรับผิดชอบชั่วดี ความรู้สึกถูกต้องตามสังคมนิยม และความรู้สึกส่วนตัวมันสวนทางกัน แต่ ณ ช่วงเวลานั้นก็ไม่รู้ว่าทำไมเลือกตามความรู้สึกรับผิดชอบชั่วดีก็ไม่รู้

  วันเสาร์เป็นวันที่ผมเฝ้ารอคอย เป็นการรอคอยที่ดูยาวนานแสนนานเหลือเกิน  ผมรอตั้งแต่เช้าจนสาย จนบ่าย จนกระทั่งเย็น ก็ไม่มีเสียงจากเจ้าตัวเล็กของผมเข้ามาสักที จนรู้สึกร้อนใจกระวนกระวายไม่เป็นอันทำอะไรเลย   จนกระทั่วราวๆหกโมงเย็น มีเสียงโทรศัทพ์ดัง ผมเห็นเป็นเบอร์โทรที่ธัชเคยใช้ จึงรีบรับสายทันที

“นนท์ใช่ไหม  นั่นนท์ใช่ไหมลูก”   ผมแปลกใจที่เป็นเสียงแม่หมวง

“เอ่อ  ผมเองครับ แม่มีอะไรหรือเปล่าครับ”  ผมรู้สึกใจคอไม่ดี

“ทัช.. เอ่อ น้องเขาขับมอเตอร์ไซค์ออกไปตั้งแต่บ่ายสี่โมงแล้ว น้องได้โทรมาหานนท์หรือเปล่า”   คำตอบจากแม่หมวงทำเอาผมใจสั่น

“น้องขับรถไปไหนครับแม่ เอ่อ เขายังไม่ได้โทรหาผมเลยนะครับ ผมเองก็......เอ่อ ..รอโทรศัพท์จากเขาอยู่ครับ”   ผมเว้นจังหวะเล็กน้อย คิดอยู่ว่าจะพูดหรือไม่พูดดี แต่สุดท้ายก็พูดออกไป

“วันนี้แม่กับพ่อจะไปอีสานกับญาติๆน่ะ แต่ทัชเขาขับรถออกไปเลย ไม่บอกอะไรสักอย่าง แม่เห็นผิดสังเกตเลย อยากโทรมาถามนนท์” 

“ผมรอโทรศัพท์จากน้องเขาแต่เช้าแล้วครับ  น้องยังไม่โทรมาเลย”

“นนท์  แม่ถามจริงๆนะ นนท์คุยอะไรกับน้องไปเหรอลูก นนท์ได้บอกเขามั๊ยว่าให้เขาไปอยู่กับนนท์”   แม่หมวงถามผม และผมก็ทันได้ยินเสียงถอนหายใจ

“ไม่ได้พูดอะไรเลยครับ เมื่อวานน้องเขาโทรมา บอกว่าแม่จะให้ไปขอนแก่น ผมก็บอกว่าให้ทำตามที่แม่หมวงต้องการ เขาร้องไห้แล้วก็วางสายไป”  ผมตอบไปตามตรงแต่ไม่ทั้งหมด

“แล้วน้องได้พูดอะไรอีกบ้างไหม”

“ไม่นะครับ  เอ่อ แม่ครับ ผมรู้ว่ามันอาจจะเป็นเรื่องที่แม่ยอมรับได้ยาก แต่เราสองคนรักกันจริงๆนะครับแม่ และผมก็พร้อมที่จะดูแลน้องเขา แม่อย่าพรากเขาไปจากผมเลยนะครับ”    ไหนๆก็มาถึงขั้นนี้แล้ว ผมพูดออกไปโดยที่ไม่เกรงใจความรู้สึกของแกเหมือนครั้งที่ผ่านๆมา

“นนท์ พูดอะไรออกมา เมื่อก่อน แทนลูกของแม่กับนนท์ ก็เป็นเหมือนกันใช่ไหม” 

“ไม่ใช่นะครับ ไอ้แทนกับผมเราเป็นเพื่อนสนิทกัน ไม่ใช่อย่างที่แม่คิดเลยครับ”

“ผู้ชายจะมารักกันได้อย่างไรล่ะลูก มันผิดผี บรรพบุรุษเราจะว่าอย่างไร นนท์ไม่อายบ้างเหรอ”   แม่หมวงเริ่มเสียงเข้มขึ้น

“แม่ครับ ความรักมันไม่มีผิดหรอกครับ เราห้ามความรักไม่ได้ ผมถามแม่ได้ไหมครับ ว่าแม่รักทัชไหมครับ”

“ลูกของแม่แม่ก็รักก็หวง ไม่อยากให้เดินผิดทาง”  แม่หมวงพูด

“อะไรที่คิดว่าผิดทางครับ เพราะบ้านเราไม่เคยมีแบบนี้งั้นหรือครับ  แม่ไม่อยากให้ทัชมีความสุขหรือครับ ทุกวันนี้ สิ่งที่แม่ทำ แม่คิดว่า ทัชเขามีความสุขหรือครับ แม่ควรจะยินดีที่เขามีความสุขไม่ใช่หรือครับ แล้วแม่จะบังคับเขาทำไม”   ผมเผลอตัวหลุดสติพูดด้วยความโมโหและน้อยใจ

“นนท์เห็นแก่ตัว คิดเหรอว่าจะอยู่ด้วยกันได้ แก่ตัวมาใครจะดูแล สังคมตราหน้าประจาน พ่อแม่อับอายไปทั่วหมู่บ้าน นนท์ทนได้เหรอที่จะเห็นพ่อแม่เป็นแบบนั้น “

“แล้วทำไมจะต้องไปสนใจคนอื่นด้วยล่ะครับ ลูกของเรามีความสุขเราก็ควรจะมีความสุขด้วยไม่ใช่หรือครับ”  น้ำตาของผมไหลออกมาไม่รู้ตัว เสียงสั่นด้วยความโมโหและน้อยใจระคนกัน  นึกภาพออกเลยว่าทัชของผมจะต้องเจอกับอะไรบ้าง ผมนี่งี่เง่าสิ้นดี ทำไมปล่อยให้คนที่ตัวเองรักเผชิญกับสิ่งเหล่านี้ลำพัง ผมมันโง่สิ้นดี

“นนท์ แม่ขอร้องนะ ถ้าน้องโทรมา ช่วยบอกว่าพ่อกับแม่เป็นห่วงมาก ให้โทรกลับมาด้วยพ่อกับแม่และญาติๆรออยู่”

“ถ้าเขาโทรมา ผมจะบอกให้เขามาอยู่กับผม แม่จะไม่ได้เห็นเขาอีก  ไหนแม่เคยบอกว่าให้พวกผมเข้าร่วมพิธีกว๋าตังกันแล้วจะยอมรับพวกเราไงครับ ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้”   ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมพูดตะคอกเสียงดังใส่แม่หมวงไปแบบนั้น รู้ตัวอีกที ผมก็ตัดสายไปนานแล้ว

 นี่มันบ้าอะไร ผมต้องตั้งสติให้ดีกว่านี้ ผมบอกตัวเอง  เมื่อกี้ผมทำอะไรลงไป ทำไมผมถึงได้กล้าพูดแบบนั้นออกไปนะ ใจหนึ่งก็รักคนของตัวเองมาก อีกใจก็แย้งกันอยู่กับเรื่องของความถูกต้อง เรื่องวัฒนธรรม  ผมควรจะทำอย่างไรดี  สายโทรศัพท์เข้า เบอร์บ้านแปลกๆ ผมได้แต่หวังว่าจะเป็นทัช

“พี่นนท์”   โอ้ว โล่งใจ เจ้าตัวเล็กจริงๆด้วย

“ทัช นี่เราทำอะไรน่ะ  อยู่ที่ไหน พ่อกับแม่ เอ่อ และพี่เป็นห่วงนะ”

“อ๋อ เมื่อกี๊แม่คงโทรมาหาพี่แล้วสินะ”   เอ๊ะ ผมคิด ..ทำไมเสียงเจ้าตัวเล็กมันดูใหญ่ๆหนาๆ อย่าบอกนะ

“ทัช..  กินเหล้าทำไม”

“ผมไม่เมาหรอกน่าพี่ ขอร้องอย่ามาเสียงดังใส่ผมได้ไหม พี่ควรจะอยู่ข้างผมนะ”   เจ้าตัวเล็กตะโกนใส่ผม   ผมตั้งสติ สูดหายใจ

“นี่ เจ้าตัวเล็ก ฟังพี่นะ ตั้งสติ พี่บอกแม่หมวงไปหมดแล้ว และพี่ก็ขอร้องให้แม่เห็นใจเราสองคน พี่สัญญากับแม่ว่าจะดูแลเรา เราจะดูแลกันไปตลอด”

“แล้วแม่เห็นด้วยเหรอครับ  พี่จะรู้อะไร ผมอยู่บ้านไม่มีความสุขเลย โดนด่าไล่ตั้งแต่ปู่ย่าญาติโกโหติกา พี่รู้ไหมผมเจ็บแค่ไหน”  เจ้าตัวเล็กเริ่มเสียงสั่นเครือ

“ตัวเล็ก ใจเย็นๆนะ พี่รักเรามากนะ และอะไรที่พี่เคยทำผ่านมาแล้วมันขัดใจ พี่ขอโทษพี่ยอมรับผิดทุกอย่างนะ แต่จากนี้ไปพี่จะไม่ทำตัวเป็นคนงี่เง่าอีกแล้ว เราจะสู้ไปด้วยกันนะ เราต้องผ่านมันไปให้ได้ แม่หมวงบอกจะให้เราเข้าร่วมพิธีกว๋าตัง แล้วจะปล่อยให้เราทำตามสิ่งที่เราต้องการ”

“พี่นนท์ พี่เชื่อเหรอว่าแม่คิดแบบนั้นจริงๆ”  เจ้าตัวเล็กเสียงดังใส่ผมอีกแล้ว

“แล้วทำไมต้องตะคอกด้วยล่ะ ใจเย็นๆ  ทำไมทัชถึงคิดแบบนั้น”

“ช่างเถอะ พูดไปพี่ก็คงไม่เข้าใจหรอก ผมรู้แค่ว่าผมไม่อยากอยู่ที่บ้านอยากไปให้ไกลๆ”

“ใจเย็นๆนะ ครอบครัวเราทั้งนั้น ที่นั่นก็เป็นที่ที่บรรพบุรุษเราตั้งรกรากกันมา อยุ่ท่ามกลางธรรมชาติ พี่ว่าดีกว่าที่ไหนๆอีก”  ผมพยายามอธิบายใช้ภาษาที่ฟังนุ่มนวลที่สุด

“พี่นนท์รักผมอยู่ไหม”  เขาแทบจะตะโกนถามผมเสียงดัง

“ทำไมถามแบบนี้ เราก็รู้ดี ว่าพี่รักเรามากแค่ไหน อย่าเพิ่งพูดอะไรตอนนี้เลย โทรหาแม่หมวงด้วยนะ พี่ขอร้อง ท่านเป็นแม่ของเรา เชื่อพี่เถอะ โทรบอกท่านเสียหน่อย แล้วจะทำอย่างไรต่อค่อยว่ากันอีกทีนะ”    ผมพูดด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบอ่อนโยนที่สุด
 
“ผมรักพี่  รักมากนะครับ รู้ไหม ผมจะไปหาพี่ รอผมด้วย”

“ตัวเล็กเดี๋ยวก่อน”  ผมรีบตะโกนห้ามเพราะนึกได้ว่าลืมบอกเรื่องสำคัญ

“ครับ”  ทัช ตอบน้ำเสียงเนิบๆ

“เมามากไหม หยุดพักก่อนได้ไหม บ้านเพื่อนก็ได้ นะ พี่ขอร้อง รักพี่ใช่ไหม เชื่อพี่นะ พี่ขอ พักบ้านเพื่อนก่อนนะ อย่าขับต่อเลยนะ”   ผมพูดประโยคทั้งหมดนี้ออกไปด้วยความรู้สึกเบาโหวง มันใจหายยังไงบอกไม่ถูก ความเป็นห่วงมันพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว
 
“พี่เป็นห่วงผมเหรอครับ”

“อื้ม พี่เป็นห่วงเรานะ เชื่อพี่นะครับ พี่ไม่ได้หนีไปไหนพี่ยังอยู่ที่เดิม  พี่รักเรามากนะ เชื่อพี่นะครับคนดีของพี่” 

“อื้ม ครับ ต่อไปนี้เราจะไม่จากกันอีกนะครับ ผมจะเชื่อฟังพี่นะ ผมรักพี่นะครับ”

“ครับ จำไว้ให้ดีๆนะ พี่รักเรานะ รักมากด้วย จำเอาไว้ห้ามลืม”

“ครับ”  เป็นคำพูดเดียวพยางค์เดียวที่ออกมาจากเจ้าตัวเล็ก แล้วสายก็ตัดไป  ผมรู้สึกเหมือนยังไม่จบประโยคจึงโทรกลับไป แต่มันคงไม่เหมือนตู้โทรศัพท์ในหมู่บ้าน ที่สามารถโทรเข้าได้ 

  เสียงสายไม่ว่าง ดังก้องอยู่ในหู   ผมยังคงอยู่ที่เดิม แข้งขาสั่นระทวยแทบจะทรุดลงกับพื้น  ผมยกมือไหว้พระหัวเตียง  สาธุ ได้โปรดคุ้มครองเจ้าตัวเล็กของผมด้วย อย่าได้มีอะไรเกิดขึ้นกับเขา ได้โปรด 
   หลังจากที่ผมได้คุยสายกับเจ้าตัวเล็ก  พออะไรๆที่มันหนักอยู่บนบ่าถูกยกออกไป ความโล่งใจก็บังเกิด และพอมีแรงลงมาหาอะไรกินรองท้อง โดยไม่ได้หยิบเอาโทรศัพท์ติดมือไปด้วย

“แหม...พ่อหนุ่มหายหน้าหายตาเลยนะพักนี้”   ป้าแม่บ้านทัก   

“ช่วงนี้งานยุ่งครับ ไม่ค่อยได้ออกไปไหนเลย”   ผมโกหกหน้าด้านๆเป็นตั้งแต่ตอนไหนนี่

“ไม่สบายหรือเปล่า หน้าซูบเชียว” 

“อ่อ..เปล่าครับ สงสัยเพิ่งตื่นมังครับ วันนี้หลับทั้งวัน นอนกลิ้งไปกลิ้งมา ว่าจะตื่นหลายทีละไปๆมาๆก็เผลอนอนอีก”   ผมยังคงแถไปได้อย่างหน้าด้านๆ

“อืมๆ พักผ่อนเยอะๆน่ะดี แต่อย่านอนมาก มันจะปวดหัว”   ป้าแม่บ้านเอ่ยขึ้นพร้อมกับหอบเอาผ้าห่มไปเก็บในห้องเก็บของ  ผมมองดูเวลา สองทุ่มแล้วแกคงจะไปเก็บเอาลงมาจากดาดฟ้า

“ผมลงไปหาอะไรรองท้องก่อนนะครับ”  ผมบอกไปงั้นๆ โดยไม่ได้สนใจว่าแกจะตอบหรือไม่

“เอ้อ นี่พ่อหนุ่ม ไอ้น้องคนนั้น ป้าว่าเขาดูหงอยๆนะ ทะเลาะอะไรกันหรือเปล่า”   ป้าหยุดตรงบันไดขั้นที่สาม ผมเองก็ชะงัก

“เปล่านะครับ ไม่มีอะไรเลย น้องเขากลับบ้านน่ะครับ อีกวันสองวันถึงจะลงมา”  ผมหันมาตอบแบบกระชับที่สุด

“อืมๆ  แต่ป้าว่า เขาดูแปลกๆนะ หน้าตาไม่มีความสุข มันไม่เหมือนอย่างที่ป้าเคยเห็น”   แกยังคงบ่นไปตามประสาและผมเองก็ไม่ได้ใส่ใจ

“ป้าเอาอะไรไหมครับ ผมจะซื้อมาฝาก”  ผมเอ่ยตามมารยาท

“ไม่เอาหรอก ป้าอิ่มแล้ว หนุ่มไปหาอะไรกินเถอะ”

“ครับ”  ผมตอบและลงบันดันกึ่งเดินกึ่งวิ่ง   ออกจากอาคารไปหน้าถนนหน้าห้างสรรพสินค้า

ผ่านตลาดนัด ผู้คนขวักไขว่ แต่ผมไม่สนใจ เดินตรงดิ่งไปยังจุดหมายปลายทางที่ต้องการ


...
 

 ผมจัดการกับก๋วยเตี๋ยวปากซอยวัดบัวขวัญไปสองชามจนอิ่มแปร้ แวะซื้อของใช้ส่วนตัวที่เซเว่นอิเลฟเว่น เดินกลับมาทางเดิม ตลาดนัดเริ่มจะวาย บางร้านเริ่มเก็บของ แต่ก็ยังอีกหลายร้านที่ยังมีลูกค้าเลือกซื้อของอยู่ ผมเองก็เดินแวะดูเสียหน่อยเผื่ออยากได้อะไร  และก็ได้มาจริงๆ ผมเลือกซื้อผ้าขนหนูลายฟุตบอลให้ตัวเล็กเผื่อเขาลงมาจะได้ใช้ พร้อมกับไม้แขวนเพิ่มเติม และของใช้อีกเล็กน้อย  ความจริงแค่กะว่าจะเดินเพื่อย่อยอาหาร เอาเข้าจริงๆมันก็มีของให้ต้องคิดว่าจำเป็นจนซื้อติดมือมาจนได้

   สี่ทุ่มครึ่งแล้วหรือนี่ เดินจนลืมดูเวลาเลยนะเนี่ย ร้านรวงเก็บของกันไปค่อนตลาดแล้ว ผมรีบเดินกลับห้องทันทีไม่แวะที่ไหนอีก
เมื่อถึงบ้านก็เห็นแม่บ้านยืนอยู่กับ รปภ. คงจะคุยสัพเพเหระตามประสาคนสูงอายุ พมเห็นผมเดินมา ได้ยินเสียง รปภ บอกว่า  โน่นไง มาโน่นละ

“พ่อหนุ่ม รีบๆมาเลย”  ป้าแกร้องเรียกผมดูท่าทางร้อนรน

“มีอะไรครับป้า”  ผมถามด้วยความสงสัย

“โทรศัพท์หนุ่มน่ะสิ ดังอยู่นานเลย ห้องข้างๆเขาโทรลงมาบอกป้าเนี่ย” 

“อ้าว  เออ ใช่ ผมไม่ได้เอามือถือมาด้วย”  ผมล้วงมือลงไปในกางเกงแต่ก็พอจะตั้งสติได้ว่าไม่ได้เอาติดมือไป
“เนี่ย มันดังหลายครั้งมาก  ปกติห้องนั้นน่ะเป็นคนเงียบๆ นี่เขาคงเหลืออดเลยโทรลงมาบอกป้า”  ป้าอธิบาย หน้าตามีรอยย่นตรงหน้าผากตามอรงขมวดคิ้ว

“ขอโทษครับ จะรีบขึ้นไปเดี๋ยวนี้เลยครับ “

 ผมรีบวิ่งขึ้นบันได้ไปยังห้องของตัวเอง  ก็ทันได้ยินเสียงมือถือผมดัง  นี่คงจะดังมาตลอดเลยสินะ เสียงออกมาข้างนอกดังมากจริงๆ ปกติตอนกลางวันคงไม่ดังขนาดนี้ นี่มันสี่ห้าทุ่มแล้วนิ

 ทัชต้องโทรมาแน่ๆเลย ผมรีบเปิดประตูถลาเข้าไปยังโต๊ะตรงหัวเตียง  สายเข้าจากเบอร์ที่คุ้นเคย ผมรีบกดรับสายทันที

“ว่าไงตัวเล็ก พี่ขอโทษนะ ลงไปกินข้าวไม่ได้เอามือถือไปด้วย”  ผมกดรับแล้วพูดกรอกสายลงไปเลยโดยไม่ได้ให้ปลายสายเป็นฝ่ายพูดก่อน  แต่เสียงที่ได้ยินทำเอาผมตกใจ

“พี่นนท์  ฮึกๆ”  เสียงเจ้าตัวเล็กแหบและค่อยมากฟังไม่ค่อยได้ยิน

“ว่าไงล่ะเรา ทำคนที่บ้านเป็นห่วงกันแทบแย่นะ เดี๋ยวมาถึงพี่จะตีให้เข็ดเลยทีเดียว” ผมแกล้งแหย่เล่น

“ฮึกๆ ฮึกๆ”  เจ้าตัวเล็กไม่พูดอะไรเอาแต่สะอึกสะอื้นอย่างเดียว

“เป็นไรตัวเล็ก ร้องไห้ทำไม มีอะไรอย่างงั้นหรือ”  ผมรู้สึกเป็นห่วงขึ้นมาจับใจ

“ผมไม่ได้ไปหาพี่แล้วนะครับ ฮึกๆ”  ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือเปล่า แต่กว่าเจ้าตัวเล็กจะพูดจบผมรู้สึกว่าทำไมมันใช้เวลายาวนานเสียจริง 

“ทำไมล่ะ แม่หมวงไม่ให้มาแล้วหรือ”   ผมถามออกไปถึงสองสามครั้งว่า ทำไม แต่ไม่มีแม้แต่เสียงตอบกลับมา

  และที่ยิ่งทำให้สะดุ้งตกใจ คือเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมาระหว่างการสนทนาของผมกับเจ้าตัวเล็ก  ผมหงายหน้าจอมือถือดู  เอ๊ะ เป็นเบอร์เดิมนี่นา สายถตัดไปตั้งแต่ตอนไหน  แต่ผมก็ไม่รอให้ความสงสัยนี้มันก่อตัวไปมากกว่านี้ ผมรีบกดรับสายทันที

“เจ้าเด็กบ้านี่ ตัดสายไปก็ไม่บอกพี่นะ” ผมพูดกรอกหูลงไปน้ำเสียงทีเล่นทีจริง แต่เสียงที่ดังตอบกลับมาทำเอาผมชะงักไปเล็กน้อย

“ฮือๆๆๆ นนท์  นี่แม่เอง”   นี่ไม่ใช่เสียงเจ้าตัวเล็กนี่นา แม่หมวงโทรมา  แล้วร้องไห้ทำไม

“นนท์  ฮือๆ ”  แม่หมวงพูดไปสะอื้นไป

“ เอ้อ มีอะไรหรือครับ แม่ครับ ใจเย็นๆก่อนนะครับ”  ผมค่อยๆพูดน้ำเสียงอ่อนนุ่มสุภาพ

“แม่ไม่โทษลูกหรอกนะ นนท์ “ แม่หมวงยังคงพูดสะอึกสะอื้น

“เอ่อ ครับ  นี่มันเรื่องอะไรกันครับ”  ผมยังคง งงงัน

“ฮือๆๆ แม่ไม่โทษนนท์ แต่ทำไมลูกแม่ทั้งสองคนต้องมาเกี่ยวข้องกับนนท์”  แม่หมวงร้องไห้ไม่หยุด ผมได้ยินเสียงคนพูด
โหวกเหวกวายวาย  ได้ยินเสียงอารุจน์บอกว่า เขาไม่รู้เรื่องด้วยอย่าไปโทษใครเลย แล้วสายโทรศัพท์ก็เปลี่ยนไปอยู่ในมืออารุจน์แทน

“นนท์ นี่พ่อเองนะ”   เสียงอารุจน์นั่นเอง

“ค..ครับ พ่อครับ เกิดอะไรขึ้นครับ ทำไมเสียงรอบข้างมันดูแปลกๆ”  ผมถามด้วยความร้อนรนและสงสัย

“คือ.. นนท์ฟังดีๆนะ ตั้งสติดีๆ “   ผมเตรียมรอฟังอยู่แทบจะไม่ไหวแล้ว  เสียงอารุจน์เว้นวรรคไปช่วงหนึ่งก่อนที่จะพูดออกมาแล้วทำให้ผมแทบใจสลาย

“คือว่า ทัช.. เอ่อ  น้องถูกรถชน”   อารุจน์พูดแค่นั้น ผมแทบจะเข่าทรุด

“ห๊ะ  อะไรนะครับ อะไรนะครับ  ทัชถูกรถชน  ยังไงครับตอนไหนเมื่อไหร่ พ่อ.. แล้วน้อง เอ่อ เมื่อกี้เขายังคุยกับผมอยู่เลย เพิ่งวางสายเนี่ยครับ ผมก็นึกว่าสายตัด แล้วนี่น้องอยู่ที่ไหนครับ ตอนนี้เป็นยังไงบ้างครับ”   เสียงผมตะกุกตะกักริมฝีปากสั่น เข่าอ่อน รู้สึกตัวว่าข้าวของที่ซื้อมาหล่นกระทบพื้นแตกกระจาย


.

.






หัวข้อ: Re: ทัช..สัมผัสใจ ตอนที่25 (ต่อ) (29 ก.ค. 2560)
เริ่มหัวข้อโดย: thewa.arak ที่ 29-07-2017 21:35:09
ตอนที่ 25 (ต่อ)

.
.
“เขาจะโทรได้ไง  เอ่อคือ น้องเขา เอ่อ...คือ พ่อเสียใจด้วยนะ น้องจากเราไปแล้ว..”  อารุจน์พูดเพียงแค่นี้   

“พ่อ พ่อว่าไงนะครับ ไม่จริง ไม่จริงใช่ไหมครับ” 

“แค่นี้ก่อนนะลูก พ่อต้องไปรับน้องกลับบ้าน”    แล้วสายก็ตัดไป ผมโทรกลับไปอีกหลายสายก็ไม่มีคนรับ จนกระทั่งไม่มีสัญญาน  ผมทำอะไรไม่ถูก เข่าอ่อนทรุดลงกับพื้น เขื่อนทำนบน้ำตาพังทลายออกมา ผมหยิบรูปตัวเล็กที่ถ่ายคู่กับผมมากอดไว้แน่น  ปล่อยโฮเต็มที่   ไอ้ตัวเล็ก...ไอ้ตัวเล็กต้องไม่เป็นอะไรนะ  พี่บอกแล้วไงว่าให้แวะนอนบ้านเพื่อนก่อน สัญญากับพี่แล้วนะว่าจะมา สัญญากันแล้วนะว่าจะไม่จากกันไปไหนอีก ทำไมถึงเป็นแบบนี้ 

  ไม่นะ เป็นไปไม่ได้ ตัวเล็กเชื่อฟังผมเสมอ ไม่จริงใช่ไหม ผมฝันไปแน่ๆ มันต้องไม่ใช่อย่างนี้  ผมตบหน้าและหยิกแก้มตัวเองแรงๆ   เจ็บ.. ไม่ใช่ฝัน ..

  ผมคอยกดโทรศัพท์ติดต่อไปเกือบทุกนาที แต่... ว่างเปล่า ติดต่อไม่ได้เลย ผมคว้างไปหมด ทั้งตกใจเสียใจสับสนระคนกันไปหมด  ผมพนมมือไหว้พระที่วางไว้บนหลังตู้เสื้อผ้า  ภาพเมื่อครั้งไอ้แทนอยู่ในอ้อมแขนผมเต็มไปด้วยเลือดผุดขึ้นมาอีกครั้ง    ... ไอ้แทน... ไม่จริงใช่ไหม กูหวังให้เป็นเพียงเรื่องโกหก แม่หมวงไม่อยากให้ทัชมาอยู่กับกูเลยโกหกออกไปแบบนั้นใช่ไหม ขอร้อง มึงอย่าเอาทัชไปจากกูเลยนะ  ได้โปรด ช่วยไอ้ตัวเล็กด้วย ดลใจให้มันไปนอนบ้านเพื่อนมันซะ อย่าให้มันขับรถไปไหนนะ ไอ้แทน กูเสียมึงไปคนหนึ่งแล้ว กูไม่อยากเสียไอ้ตัวเล็กไปอีก ได้โปรดช่วยกูด้วย ช่วยไอ้ตัวเล็กด้วย ขออย่าให้มีอะไรเกิดขึ้นเลยนะ  กลับมาหาพี่เถอะนะ ได้โปรด พี่จะไม่ยอมปล่อยให้ไปไหนอีก คราวนี้แม้แต่แม่หมวงก็เถอะ  พี่จะไม่ปล่อยหัวใจของพี่ไปอีกเด็ดขาด  ทัชต้องมาหาพี่นะ ตามที่สัญญากันไว้นะ   ได้โปรด 

...
“อื้ม ครับ ต่อไปนี้เราจะไม่จากกันอีกนะครับ ผมจะเชื่อฟังพี่นะ ผมรักพี่นะครับ”

....
   เสียงทัชยังดังอื้ออึงอยู่ในหู

 ผมเข่าทรุดนั่งลงข้างเตียงกอดรูปทัชกับผมไว้ในอ้อมกอด ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมา ภาพเมื่อครั้งไอ้แทนถูกรถชนวนย้อนกลับมาในความทรงจำ  อีกหนึ่งความทรงจำที่แต่งภาพไอ้แทนหกล้มหัวฟาดขอบอ่าง  รู้สึกเจ็บในอก  แล้วครั้งนี้อะไรอีก  ทำไม ทำไมต้องเป็นทัชของผมด้วย    ผมนึกภาพไม่ออกว่าเจ้าตัวเล็กจะถูกรถชนอย่างไร เสียชีวิตอย่างไร ในช่วงค่ำคืนอันหนาวเย็นเช่นนั้น  ความรู้สึกครั้งสุดท้ายก่อนสิ้นใจของเขา เขาจะคิดถึงผมหรือเปล่า  ขณะที่ฝั่งหนึ่ง ในเมืองหลวง ผมกำลังออกไปหาอะไรกินและเดินตลาดนัด  ในขณะที่อีกฝั่งหนึ่ง เด็กชายคนหนึ่งกำลังประสบอุบัติเหตุ   โดยที่ผมไม่รู้เรื่องอะไรเลย ไม่ได้กล่าวลา ไม่ได้พูดอะไรต่อกัน  ไม่ได้เจอกันเป็นเดือน หลังจากที่เขากลับบ้านนอกไป  ผมนึกภาพไม่ออก ในระหว่างที่เขาถูกรถชน เขาคงเจ็บปวดมาก ระหว่างนั้น เขาจะคิดถึงผมหรือไม่ เขาจะรู้ไหมว่ามีผมที่ยังคอยเขาอยู่ เขาล้มลงบริเวณนั้น อยู่ตรงนั้นตัวคนเดียว คงหนาวเหน็บมาก ต่อสู้กับความเจ็บปวดคนเดียว 

ภาพที่ไอ้แทนหกล้มหัวฟาดขอบอ่างผุดขึ้นมาอีกครั้ง  เหมือนกันเลย ทั้งสองคน ต่างเพียงสถานการณ์ ทั้งสองคนอยู่ในเหตุการณ์ที่ต้องต่อสู้เพียงลำพัง  ทำไมนะ ทำไมต้องมาเกิดเหตุการณ์แบบนี้ด้วย ผมไม่ได้อยู่ใกล้ๆเขาเลย ทั้งสองคน  ทำไม สวรรค์ช่างโหดร้ายเช่นนี้ พรากเจ้าตัวเล็กของผมไปทำไม ผมเหลือเขาแค่คนเดียว คนเดียวเท่านั้น

  ผมนอนกอดรูปเจ้าตัวเล็กแล้วหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย รุ่งขึ้น ผมโทรหาเบอร์เดิมอีกครั้ง และหัวใจก็พังสลาย เจ้าตัวเล็กจากผมไปแล้วจริงๆ  เมื่อคืนที่เขาโทรมาคืออะไร จิตวิญญาณหรือ เขาคงคิดถึงผมมาก  ทัช เจ้าตัวเล็กของพี่ พี่ก็คิดถึงเรามากนะ  ผมสอบถามวันทำพิธี และวันเสียศพ ผมกะว่าจะลางานขึ้นไปเมื่อวันเสียศพ แต่เจ้าธีร์น้องชายคนเล็ก ตะคอกขู่ไว้ ว่าถ้าผมไป เขาจะฆ่าผม มีแต่อาเหมย และอารุจน์ที่คุยกับผมตามปกติ แต่คนอื่นไม่คุยกับผมเลย  แม่หมวงไม่ยอมคุยกับผม  แล้วถ้าหากผมกลับไปช่วงนี้ ผมจะทำตัวอย่างไร ผมจะไปสู้หน้าใคร ญาติเขาแต่ละคนคงประนามหยามเหยียดผมที่เป็นตัวต้นเหตุทำให้ทัชต้องจากไปแบบนี้  ผมควรจะทำอย่างไรดี  ผมตั้งใจว่าจะไปในวันเสียศพ  ใจหนึ่งก็เจ็บช้ำที่ต้องไปเจอกับเขาในสถาพนี้ เหมือนตอนไปงานไอ้แทน  ไม่เคยคิดว่าจะต้องไปอีกครั้ง  กับงานของคนที่ผมรักมากเช่นนี้  อีกใจก็นึกรังเกียจตัวเองที่จะมาทำใจกล้าอะไรตอนนี้ ตอนที่เขาจากไปแล้ว  ตอนที่เขายังอยู่ทำไมผมไม่กล้าเผชิญกับญาติของเขาพร้อมๆกับตัวเขา ทำไมผมไม่ร่วมต่อสู้กับเขา นึกแล้วก็ให้รู้สึกเกลียดตัวเองยิ่งนัก  จะมาพูดอะไรตอนนี้ มันสายไปแล้ว  เขาไม่ฟื้นกลับมาหาแล้ว...


หัวข้อ: ทัช..สัมผัสใจ ตอนจบ (29 ก.ค. 2560)
เริ่มหัวข้อโดย: thewa.arak ที่ 29-07-2017 21:57:49
ตอนที่ 26 (ตอนจบ)




...กลับมายืนที่เดิม.....คนเดียว ....



    ผมลางานสามวัน จุดหมายปลายทางคือบ้านต้นไผ่ คนที่ผมรักสองคนยังอยู่บนนั้นรอผมอยู่บนนั้น ผม ในชุดกางเกงยีนสีดำเสื้อเชิ๊ตคอปกสีดำ ลงเครื่องที่สนามบินเชียงราย เช่ารถ ขับออกไปยังจุดกหมายปลายทาง โดยไม่ได้แจ้งใครแม้แต่อารุจน์เอง   ผมเลือกเส้นทางที่ไปบ้านวังถ้ำ เพราะเป็นถนนลาดยางไปครึ่งทาง แต่ระหว่างรอยต่อบ้านวังถ้ำขึ้นไปบ้านต้นไผ่นั้น ลูกรังเหมือนเดิมและชันกว่าเส้นที่ผมคุ้นเคยประจำ  แต่ในใจผมไม่คิดอะไรทั้งนั้น เร่งให้ถึงจุดหมายปลายทางโดยเร็ว

      เป็นเวลาสี่โมงเย็น ผมจอดรถทิ้งไว้ที่ โรงเรียนบริเวณสนามตะกร้อ ที่ที่ผมเคยมาออกค่ายกัน ผมสอบถามเด็กแถวนั้นถึงงานของตัวเล็ก และผมก็เดินขึ้นไป ไม่ลืมที่จะสวมแว่นตาดำ เดินเข้าไปปะปนอยู่ในระหว่างแถวชาวบ้านที่มาร่วมงาน เป็นช่วงที่อารุจน์และอาแปะและญาติฝ่ายพ่อและแม่ช่วยกันแบกโลงตั้งแถวเดินพีธี ไปยังสถานที่ที่เสียศพ  ผมนึกในใจว่าคงเป็นที่เดียวกับไอ้แทนแน่ๆ

   ....ทัช  เจ้าตัวเล็กของพี่ พี่มาหาแล้วนะครับ พี่อยู่ตรงนี้นะ เห็นพี่ไหม  ผมน้ำตาไหลเป็นทาง เดินปะปนไปกับแถวญาติๆ ไม่สนใจเสียงปี่เสียงกลองประจำงาน   เป็นอย่างที่ผมนึกไว้ เป็นสถานที่ที่เดียวกับที่เคยมางานไอ้แทน แต่อยู่คนละฝั่งไอ้แทนอยู่ฝั่งตะวันออก  ทัช อยู่ทิศเหนือ ผมมองเห็นบุคคลที่หน้าตาคุ้นๆ ไอ้ นพและไอ้ต๋อง เพื่อนรักผมนั่นเอง ผมพยายามเดินแทรกไปถึงตัวและสะกิดให้เขาถอยห้างออกมาจากแถว  มันทำหน้างงๆ แต่พอผมถอดแว่นออก มันก็เกือบจะร้องอุทานออกมา ดีที่ผมเอามืออุดปากมันไว้ทัน

“ขอร้อง ไอ้นพ อย่าเสียงดังได้ไหม กูมาไม่ได้บอกใครเลย กูเกรงว่าถ้ามีใครรู้ กูจะอยู่ไม่ได้ ขอร้องเถอะนะอย่าบอกใคร และกูขอยืนกับกลุ่มมึงนะ” 
ผมพูดยาวๆและรวบรวมคำและประโยคให้สั้นที่สุด  ไอ้นพกับไอ้ต๋องมองหน้าผม พยักหน้าให้ และตบไหล่ผมเบาๆ

“กูเข้าใจ ป่ะ ไปรวมกับกลุ่มเพื่อนกู”   ผมเดินไปตามที่ไอ้นพบอก และรวมอยู่กับกลุ่มของมันโดยที่ผมไม่ถอดแว่นตาดำออก กลมกลืนไปกับกลุ่มซึ่งมีทั้งเพื่อนและญาติของมันที่ผมไม่รู้จักใครเลย  แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมสนใจ

  ช่วงที่เปิดฝาโลงให้เพื่อนๆและญาติมาดูเพื่อร่ำลาเป็นครั้งสุดท้าย  ผมสะกิดให้ไอ้นพกับไอ้ต๋องพาไปเป็นกลุ่มกับเพื่อนของมัน  ครั้งนี้แตกต่างจากงานไอ้แทน ผมพยายามก้าวเดินให้ไว เพื่อไม่เป็นจุดสนใจของคนอื่น เมื่อไปถึง ก่อนที่ผมจะก้าวไปถึงแท่นที่วางโลง ผมสะกิดไอ้เนอีกครั้ง

“ไอ้นพ ไอ้ต๋อง มึงอยู่ข้างๆกูก่อนได้ไหม อยู่หลังกูก็ได้ อย่าให้คนอื่นเห็นว่ากูกำลังทำอะไรนะ”

“อืม กูจะช่วยมึงเต็มที่นะ ไอ้นนท์ ไปเถอะ น้องมันรอมึงอยู่”  มันพยักหน้าให้ผม เมื่อเราเข้าใจกันแล้ว ผมก้าวขายาวๆไปถึงหน้าโลงของทัช

  น้ำตากลั้นไว้ไม่ได้ เหมือนครั้งที่ผมเดินมาส่งไอ้แทน  ครั้งนี้ต่างออกไป ด้วยเพราะเป็นคนที่ผมรักมากที่สุด  ทัช...ในชุดชนเผ่าเต็มยศ ใบหน้าด้านซ้ายมีร่องรอยจากการหกล้มบนพื้นถนน  ผมรู้สึกโลกทั้งโลกหยุดหมุน  กลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ได้ รู้สึกเจ็บปวดมากเหลือเกิน จนแทบจะหายใจไม่ออก ผมเอื้อมมือลูบหัวเขา เอาฝ่ามือแนบกับแก้มข้างที่เป็นแผลถลอกจากอุบัติเหตุ   

   ...เจ็บมากไหม เจ้าตัวเล็ก  พี่อยู่นี่แล้วนะ พี่มาแล้ว ทำไมเราถึงได้ดื้อดึงนัก พี่บอกให้พักผ่อนก่อนไง พี่ไม่ได้หนีไปไหนเลย พี่ยังรอเราเสมอ ไม่ต้องรีบร้อนแบบนี้ก็ได้  พี่เสียใจมากนะ เสียใจมากจริงๆ ถ้าพี่เจ็บแทนเราได้พี่จะยอมทุกอย่าง  ผมกุมมือเขาไว้ ก้มลงจูบหน้าผากเขาและจูบที่ริมฝีปากหนึ่งครั้ง  ....พักผ่อนให้สบายนะ  พี่สัญญา พี่จะไม่มีวันลืมทัชเด็ดขาด พี่จะยังรอเราอยู่เสมอนะ  พี่จะรักตัวเล็กของพี่ตลอดไป ...

“ไอ้นนท์ระวัง”   

ผมได้ยินเสียงไอ้ต๋องกับไอนพูดเกือบพร้อมกัน แต่ยังไม่ทันจะได้ระวังตัว ก็พอดีกับที่เจ้าตัวเล็กอีกคนกระชากผมออกมาและต่อยตรงข้างแก้มผมอย่างจัง จนแว่นตากระเด็น  ผมมึนงงไปชั่วครู่ เกิดเหตุการณ์ชุลมุนเล็กน้อย ญาติๆมาห้าม อารุจน์เมื่อเห็นว่าเป็นผม แกเข้ามาห้ามและกันผมออก ไอ้เนก็เข้ามาบังผมไว้

 “นนท์จะกลับมาทำไม ลูกแม่สองคนก็จากไปหมดแล้ว สมใจแล้วใช่ไหม”  แม่หมวงตบหน้าผมอย่างแรง คนอื่นๆที่ไม่รู้เรื่องต่างก็งงไปตามๆกัน

“ผมขอโทษครับ ผมยอมรับผิดทุกอย่าง จะลงโทษอะไรผมก็ได้ครับ”  ผมยกมือไหว้พ่อและแม่ของคนสองคนที่ผมรัก  แต่เป็นไอ้นพที่พยุงผมไว้ไม่ให้เซจนล้ม

“ทุกอย่างเป็นเพราะผมเอง ที่ทำให้น้องต้องจากไป ผมผิดเอง”   

“ไม่ใช่นนท์หรอกลูก พ่อรู้ดี อย่าโทษตัวเองเลย น้องมันไม่เชื่อฟังเอง พ่อเชื่อว่านนท์ก็ไม่ได้ยุยงน้องอย่างที่นนท์พูดใช่ไหมลูก”   อารุจน์โอบกอดผม ตบหลังและปลอบใจ อาเหมยก็นิ่งเงียบ

“ผมบอกให้เขานอนพักที่บ้านเพื่อนก่อน ไม่คิดเลยจะเป็นเช่นนี้”  ผมพูดเสียงเบาพร้อมเสียงสะอื้นที่แทบจะกลบกลืนคำพูดตัวเองไปเสียสิ้น

“ไม่เชื่อหรอก มึงต้องชักชวนโน้มน้าวพี่กูแน่ๆ แล้วดูสิ สิ่งที่มึงทำ ผลมันออกมาเป็นยังไง สะใจมึงหรือยัง”    เจ้าธีร์พูดประโยคนี้ ผมเองก็จุกพูดไม่ออก

“ไอ้ธีร์ พูดจาระวังด้วย”  อาเหมยปรามน้อง

“พี่เหมยจะเชื่อคนอย่างมันทำไม มากินนอนบ้านเรา แต่มาทำให้คนในบ้านเราต้องตาย”  เจ้าธีร์น้องคนสุดท้องพูดตะคอกเสียงดัง ทำเอาผมแทบเข่าอ่อน กับคำพูดของเจ้าธีร์

“พี่ไม่ได้คิดเช่นนั้นนะ ไม่เคยคิดเลย”   ผมเองก็เจ็บปวดใจไม่น้อย ที่ต้องยืนอยู่ตรงกลางต้องเลือกระหว่างหัวใจตัวเองและความถูกต้อง มันเจ็บปวดเหลือเกิน

“ไม่ต้องมาพูดหรอก ไอ้พวกผิดเพศ มึงจำไว้เพราะมึงทำให้พี่กูต้องตายถึงสองคน” เจ้าตัวเล็กคนสุดท้องชี้หน้าด่าผม ผมเองก็รู้สึกจุกพูดอะไรไม่ออก  อาเหมยเข้าไปดึงตัวเจ้าคนเล็กออกไป

“กลับไปเถอะ อย่ามาที่นี่อีก แม่ขอร้อง ชาติหน้าถ้ามีจริง ขอให้เขามาเกิดเป็นลูกของแม่และอย่าได้พบได้เจอกับนนท์อีก”  แม่หมวงผลักผมรุนหลังผมออกไป  ผมทั้งเจ็บใจ เจ็บจนชาไปทั้งตัว

“พ่อขอนะแม่ ลูกเขารักกัน ขอให้เขาอยู่ส่งลูกเราเป็นครั้งสุดท้ายด้วยเถิด เห็นแก่ความรักของลูกเถอะนะ นนท์เขาก็ตั้งใจขึ้นมาแล้ว ไล่เขากลับไปไอ้เจ้าทัชมันก็ไม่ฟื้นขึ้นมาหรอก”  อารุจน์โอบกอดแม่หมวงและพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ผมก้มลงกราบแทบเท้าแม่หมวง

“ขอโอกาสให้ผมได้ส่งน้องด้วยเถอะครับ ผมจะได้พบกับเขาอีกครั้งเดียวในชีวิต ผมเองก็เสียใจไม่แพ้กันครับ ผมเข้าใจในหัวอกคนเป็นแม่  แต่เขาก็เป็นคนที่ผมรักมากเช่นกัน และผมก็เชื่อเหลือเกินว่าเขาเองก็รักผมมากด้วยเช่นกัน  ขอผมได้อยู่ส่งเจ้าตัวเล็กด้วยเถอะครับ นะครับแม่”   ผมคุกเข่าอยู่อย่างนั้นอ้อนวอนทั้งน้ำตา

“เอาน่ะแม่ เห็นใจลูกๆนะ ถือเป็นครั้งสุดท้าย”  อารุจน์ตบบ่าปลอบใจ

ไอ้นพ กับไอ้ต๋อง เข้ามาช่วยพูดอธิบาย เรื่องราวต่างๆที่ผม กับไอ้แทน และ ทัช ต่างร่วมฝ่าฟันกันมา และยังช่วยพูดด้วยว่า เจ้าตัวเล็กของผมนั้นรักผมมากแค่ไหนผมเองก็เช่นกัน ไอ้นพมันเป็นผู้ใหญ่มาก พูดจามีหลักการ มีเหตุและผล พูดไม่ให้บัวช้ำน้ำไม่ให้ขุ่น

"ขอบคุณมาก ไอ้นพ แต่กูก็ผิดจริงๆ ที่เป็นต้นเหตุให้เขาทั้งสองคนต้องจากไป" ผมกลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้อีก

แม่หมวงเริ่มมีท่าทีอ่อนลง โน้มตัวลงมาพยุงผมลุกขึ้น  ผมโผเข้าสวมกอดแม่หมวงปล่อยโฮออกมาเต็มที่ อย่างน้อยผมก็ได้กอดคนที่ได้ชื่อว่าเป็นแม่ของคนที่ผมรักสุดหัวใจ และขอโทษแม่ขอให้แม่ให้อภัยทุกอย่าง

 “แม่ขอโทษนะ เจ็บไหมนนท์”  แม่หมวงลูบแก้มข้างที่ตบผมไป

 ผมส่ายหน้า  ..แค่นี้ไม่เจ็บเท่าความรู้สึกของแม่ที่เสียลูกไปหรอก  และไม่เจ็บเท่าการสูญเสียคนที่ผมรักไปอย่างไม่มีวันกลับ  ผมอยู่รอจนกระทั่งจุดไฟใส่โลงแผดเผาร่างอันไร้วิญญาณของเจ้าตัวเล็ก ผมน้ำตาไหลแทบขาดใจ ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ไปได้  เสร็จพิธี ผมไม่เดินกลับไปที่บ้าน ยังคงอยู่ตรงเพิงพิธี ร่ำลาบรรดาญาติของเจ้าตัวเล็ก ญาติบางคนก็มองผมด้วยสายตาเหยียดหยาม ผมไม่สนใจสายตาเหล่านั้น มีเพียงไอ้นพ ไอ้ต๋องกับเพื่อนๆมันอีกสองคนที่อยู่กับผม ณ ตอนนี้

 “ไม่อยากจะเชื่อเลยนะ ว่ามันจะจากไปเร็วแบบนี้”  ไอ้ต๋องพูด

“กูเจ็บมากไอ้นพไอ้ต๋อง น้องมันสัญญากับกูไว้ว่าจะมาหากู”  ผมยังคงสะอึกสะอื้น

“คิดถึงสมัยเราอยู่มัธยมนะ ตั้งแต่ไอ้แทน มาจน ไอ้ทัช”  ไอ้นพพยายามพูดทำลายบรรยากาศความเศร้า

“ไอ้เน ไม่ได้กลับมาเหรอ” 

“อืม มันทำงานเลี้ยงลูกแทนเมียมันอยู่ ไม่ได้กลับมาหรอก เดี๋ยวพรุ่งนี้กูก็ต้องไปสอนแล้ว”  ไอ้นพเอ่ยขึ้นต่อ

“แล้วนี่มึงกลับยังไง นอนบ้านกูก่อนก็ได้นะ เพื่อนกูมาด้วยสองคนนอนด้วยกันก็ได้”   เพื่อนไอ้นพอีกสองคนก็พยักหน้าเห็นด้วย แต่ผมปฏิเสธ มาบ้านต้นไผ่แล้วไม่เคยนอนบ้านคนอื่นที่ไม่ใช่บ้านไอ้แทนและเจ้าตัวเล็ก มันไม่คุ้น

“มึงกลับไปกันก่อนเลยก็ได้ กูขับรถมาเอง เดี๋ยวกูก็กลับละ ขอไปเยี่ยมไอ้แทนสักพัก”  ผมชี้ไปยังป้ายที่ปักบนเนินฝั่งตรงข้าง

“อืม มึงอยู่ได้แน่นะ”  ไอ้นพถาม

“อืม ขอบใจมากไม่ต้องห่วง กูอยู่ได้สบาย”

“งั้นกูพาเพื่อนกูกลับก่อนละนะ โชคดีนะมึงไว้เจอกัน เบอร์กูไม่ได้เปลี่ยน โทรมาได้ตลอด”

“อืมขอบใจมาก ไอ้นพ ฝากความคิดถึงไอ้เนด้วย”

“เออ จะบอกมันให้”

ผมไม่ลืมที่ขอเบอร์ไอ้ต๋องไว้   ร่ำลากับเพื่อนแล้ว  ผมยืมสงบนิ่ง อยู่ในเพิงพิธี ไฟที่แผดเผาร่างเจ้าตัวเล็กได้มอดดับลงแล้ว  แต่ยังคงมีควันหลงเหลืออยู่ มีเพียงสับปะเหร่อประจำหมู่บ้านสองคนที่คอยดูเพลิงไฟ พร้อมกับปิดตะกอน พร้อมกับกระดาษขวัญที่ผูกติดกับฟางข้าวที่ผ่านพิธีกรรมแล้ว  มัดล้อมรอบเชิงตะกอน คงเหมือนการเอาด้ายสายสิญจน์มาผูกไว้รอบๆนั่นแหละครับ

   ผมทรุดกายคุกเข่าลง มองไปยังเชิงตะกอน  บัดนี้ เจ้าตัวเล็กของผมกลายเป็นเถ้าถ่านไปแล้ว  จะไม่มีเจ้าตัวเล็กอยู่เคียงข้างผมอีกต่อไป  ภาพทุกภาพวนหมุนฉายชัดขึ้นมาในความทรงจำ ลาก่อนนะเจ้าตัวเล็กของพี่ แม้เราจะจากพี่ไปแล้ว แต่เราจะยังคงอยู่ในใจของพี่เสมอนะครับ พี่ยังรักและคิดถึงทัชอยู่เสมอ พี่จะเก็บเอาเรื่องราวของเราไว้ในความทรงจำตลอดไป ทุกภาพทุกบทตอนระหว่างเราจะไม่มีวันหายไปจากใจของพี่ ลมเย็นๆพัดมาปะทะใบหน้า ผมรู้สึกถึงความเย็นยะเยือกที่ไม่ใช่ความเย็นธรรมดา ผมหลับตาลง

   ...ขอบคุณนะที่มาร่ำลาพี่ ..ทัชจะไม่จากไปไหน จะยังคงอยู่ในใจพี่เสมอ และตลอดไป ......ลาก่อนเจ้าตัวเล็ก... ผมหลับตาลงอีกครั้งหยดน้ำตาไหลร่วงลงพื้นอีกครั้ง ผมหันหลังและก้าวเดินออกมาโดยไม่หันหลับไปมองข้างหลังอีก  ผมเดินตรงไปป้ายของไอ้แทน คุกเข่าลง ทักทายกับไอ้แทนอีกครั้ง

 ...ไงมึง สบายดีมั๊ย กูมาเยี่ยมมึงอีกครั้ง...ไอ้แทน มึงอิจฉาเจ้าตัวเล็กเลยมาเอามันไปอยู่ด้วยงั้นเหรอ  มึงใจร้ายมากเหลือเกิน ไอ้แทน... แล้วจากนี้กูจะอยู่กับใครล่ะ  ไอ้แทน กูเจ็บเหลือเกิน กูเหงา  ผมเอื้อมมือไปแตะที่ป้ายหน้าหลุมไอ้แทน   จากนี้ก็คงจะมีอีกหนึ่งเนินเพิ่มขึ้นมาทางทิศเหนือสินะ  มึงคงไม่เหงาแล้วสิ น้องมึงมาอยู่เป็นเพื่อนมึงแล้ว  แต่กูล่ะ จากนี้ไปกูจะอยู่ยังไง กูรักเจ้าตัวเล็กมันมากนะ กูขอมึงแล้วนะ มึงยังบอกว่า ฝากด้วย ไม่ใช่เหรอ  แล้วมึงมาเอาคืนทำไม...ผมทุบป้ายเบาๆ ปล่อยให้น้ำตาแห่งความโศกเศร้าไหลออกมา

“นนท์เอ้ย “  อารุจน์นั่นเอง

“ครับพ่อ”  ผมเรียกคำว่าพ่อเต็มปากเต็มคำ

“อย่าเสียใจไปเลยนะ พวกเขาสองคนได้นอนพักผ่อนสบายแล้ว ไว้ถ้าทำป้ายเจ้าทัชเสร็จ นนท์ก็อย่าลืมแวะขึ้นมาเยี่ยมมันบ้างนะลูก”  อารุจน์ตบบ่าผมเบาๆ ด้านหลังมีแม่หมวงยืนอยู่

“วันนี้ พักที่นี่ก็ได้นะ” แม่หมวงพูดแต่ไม่มองหน้าผม

“อื้ม ใช่ พี่นนท์นอนที่นี่ก็ได้นะ อย่าไปสนใจเจ้าธีร์มันเลย”  อาเหมยย้ำอีกครั้ง

“ไม่เป็นไรครับ”  ผมเองก็ไม่รู้จะอยู่ได้ไหม ไม่มีทั้งไอ้แทนและเจ้าตัวเล็ก ผมไม่รู้จริงๆว่าจะอยู่ยังไงไหว

“ไม่เป็นไรจริงๆ ผมลางานมาเพื่อมาส่งน้อง ช่วงนี้งานยุ่งจริงๆครับ วันนี้ต้องเดินทางกลับเลย” ผมอธิบายเหตุผลทั้งๆที่ยังมีน้ำตาไหลอาบแก้ม

“แม่ขอโทษนะนนท์ ที่ทำกับลูกแบบนั้น แต่แม่หวังว่านนท์จะเข้าใจแม่” แม่หมวงพูดเอื้อมมือมาจับมือผม

“ผมเข้าใจครับ ผมเองก็มีส่วนผิด และรู้สึกเสียใจไม่ต่างกัน”

“ช่างมันเถิด อย่าเพิ่งพูดอะไรกันตอนนี้เลย  ยังไง ถ้ามีเวลาแวะขึ้นมาเยี่ยมพ่อกับแม่ มาเที่ยวหาพวกเขาทั้งสองคนบ้างนะ” อารุจน์พูดปลอบใจผม

“เดี๋ยวแม่ไปทำพิธีเรียกขวัญก่อนนะ” แม่หมวงพูดและ อารุจน์ก็กำลังจะเดินไป

“ผมขอลาตรงนี้เลยนะครับ เดี๋ยวก็กลับเลยครับ”

“อืม ขับรถดีๆนะ ขอให้เดินทางปลอดภัย อย่าลืม ว่างๆแวะมาหาพวกเขาด้วย”  อารุจน์พูดและแม่หมวงก็ดึงแขนไปทางตะกอน
 
“พี่นนท์ หนูมีของจะให้พี่นะ”  อาเหมยเอ่ยขึ้นเมื่อพ่อกับแม่เริ่มเดินห่างออกไป

 ผมเอื้อมมือไปรับ เป็นสมุดบันทึกเล่มเล็กสีน้ำเงิน ผมพลิกผ่านๆ มีรูปของผมกับเจ้าทัชด้วย

“ขอบใจมากนะ เหมย ขอบใจที่เข้าใจพี่กับเจ้าตัวเล็กมัน”  ผมพูดพร้อมกับปาดน้ำตา

“มันผ่านไปแล้วพี่ ขอให้เก็บแต่สิ่งดีดีไว้นะคะ หนูขอให้พี่โชคดี”

“ขอบใจมาก ฝากขอโทษญาติๆทุกคนด้วย”

“ไม่เป็นไรหรอกพี่  ..เอ้อ.. ขอโทษแทนไอ้ธีร์มันด้วยนะ” 

“ไม่เป็นไร เขาทำถูกแล้ว เป็นพี่เองพี่ก็คงโกรธแบบนั้น” ผมเสริม

“ยังไง พี่กลับก่อนละนะ จะค่ำแล้ว เดี๋ยวทางจะมืดเสียก่อน”
 
“ค่ะ โชคดีนะพี่ วันข้างหน้า ถ้ามีโอกาสอย่าลืมขึ้นมาเที่ยวหาเขาทั้งสองคนด้วยนะคะ”

“เขาทั้งสองคนอยู่ในใจพี่เสมอแหละ”  ผมตอบพร้อมกับหันไปมองทั้งสองฝั่ง

อาเหมยยิ้มแทนคำตอบ และโบกมือลาผม   ผมเงยหน้าไปทางทิศเหนืออีกครั้ง ...


  ....ทั้งพี่ชายและน้องชาย....ไม่ผิดใช่ไหม.. ที่ผมจะรักพวกเขา ทั้งสองคน....









พริ้วไสวตามสายลมพรมพริ้วแผ่ว
เย็นแล้ว ช่างกระไรยังไหวไหว
ซู่ซู่  เสียงลมพัดสะบัดไกว
ชูช่อล้อลมไหว ใจวังเวง
คิดถึงเธอเหลือเกินในยามนี้
ดั่งราตรีมืดมิดสนิทแสง
ไร้น้ำค้างเกาะกิ่งยิ่งอ่อนแรง
ขอสายลมพัดไกวแกว่ง ให้หายเหงา
หวังเพียงให้ใจเธอ สงบสุข
ทิ้งความทุกข์ ทุกสิ่งที่แสนเศร้า
ภาพอดีตครั้งก่อนของสามเรา
ขอเก็บเอา ใส่ใจ ไว้ทรงจำ




 ...ลาก่อน ทัช...   ลาก่อนไอ้แทน   ว่างๆกูจะมาเยี่ยมอีก

ผมเอื้อมมือแตะกับป้ายฮวงซุ้ยของไอ้แทน ดอกหญ้ารอบๆฮวงซุ้ยโอนเอนตามแรงลม ราวกับจะโบกมือบอกลาผมอีกครั้ง    ผมตั้งใจไว้ว่าสักวันหนึ่งจะขึ้นมาเยี่ยมบ้านไอ้แทน และ ทัช อีกครั้ง
 
   ระหว่างทางลงเนินเขา ผ่านจุดที่ผมเคยมากับทัช   ภาพต่างๆเมื่อครั้งเราสองคนเคยมาด้วยกัน ลำน้ำลำห้วยที่เราเคยมาดำน้ำยิงปลาด้วยกัน  น้ำตาผมไหลออกมาอีกครั้ง ผมแวะจอดข้างทาง ก้มหน้ากับพวงมาลัยรถ และปล่อยโฮออกมาเต็มเสียง  ไม่มีอีกแล้ว จากนี้ไป ผมจะไม่มีเจ้าตัวเล็กมาอยู่เคียงข้างผมอีกแล้ว ..

    รถคนเล็กแล่นลงจากดอยสูงมุ่งสู่ตัวเมืองเชียงราย คนขับหัวใจแตกสลาย ทิ้งอีกร่างหนึ่งไว้บนขุนเขาให้กลับคืนสู่ธรรมชาติ กลับสู่อ้อมอกภูเขา   ทัช..เจ้าตัวเล็กของพี่ พักผ่อนให้สบายนะ สงบสุขอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ  พี่สัญญา  ทัชจะยังคงอยู่ในใจพี่เสมอ  หากคิดถึงพี่ ก็ฝากสายลมพัดพาความคิดถึงส่งมาหาพี่ได้เสมอนะ    พี่จะรอวันนั้น วันที่เราจะได้มาอยู่เคียงข้างกันอีกครั้ง .....สักวันหนึ่ง..เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม  ..


 สักวันหนึ่งนะ.. สักวันหนึ่ง

....................




  ตั้งแต่ทัชจากผมไป จนปัจจุบัน ปี2560  ก็ผ่านมาร่วมสิบปีแล้ว ทุกวันนี้ผมยังอยู่ตัวคนเดียวไม่มีใคร  เหงาไหม ตอบได้เลยว่าเหงามากกับการที่ต้องอยู่คนเดียว คนคนหนึ่งจะต้องพบเจอกับทุกๆอุปสรรคเพียงลำพัง เจ็บป่วยก็ต้องดูแลตัวเอง  เพราะหัวใจดวงนี้ของผม ยังคงรักทัช และ ทัชยังคงอยู่ในใจเสมอ  ไม่สามารถมีใครมาแทนที่เขาได้เลย ผมได้ก่อกำแพงไว้แน่นหนามาก มีคนเคยบอกให้ปลดปล่อยทัชไปเสียที เขาคงไม่มีความสุขถ้ารู้ว่าเรายังยึดติดอยู่กับเขาแบบนี้   แต่ไม่เป็นไร ผมอยู่กับความเหงานี้มาเป็นสิบๆปีแล้ว ผมชินชาเสียแล้ว  ความรักของผมมันหยุดลงตั้งแต่วันที่ทัชจากผมไปแล้ว นาฬิกาแห่งความรักหยุดเดินไปนานแล้ว  ไม่อยากเก็บใจช้ำๆให้คนที่จะเข้ามา จึงขอเก็บเอาทุกความทรงจำทั้งหมดไว้ ในไดอารี่ ไดอารี่เล่มนี้ มีชีวิต มีลมหายใจของทัชอยู่ ทุกครั้งที่ผมเปิดอ่าน รู้สึกได้ว่า เขายังอยู่กับผมเสมอในใจดวงนี้ 
ไม่มีเลยสักวันที่จะลืมเขาได้   ไม่เคยลืม




.................








หากเธอมองเห็นฉันได้  จากจุดที่เธออยู่
ฉันก็เชื่อเหลือเกิน ว่าสักวันหนึ่ง
  เราจะได้กลับมาพบกันอีก







เธออยู่ตรงปลายโค้งขอบฟ้า
ไกลเกินกว่าจะก้าวข้ามไปถึง
ได้แต่ปล่อยให้จมอยู่ในห้วงคำนึง
ไม่อาจยื้อยึดฉุดดึงขึ้นมา
ฉันเหนื่อย..ฉันอ่อนล้าเหลือเกิน
กับสิ่งที่ต้องเผชิญในวันข้างหน้า
บางอย่างคงเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา
แต่ทว่า..เธอยังมีคุณค่าอยู่ในใจ
เป็นอยู่อย่างไรสบายดีหรือเปล่า
เคยเหงาแล้วคิดถึงฉันบ้างไหม
ท้องฟ้าที่ตรงนั้นสีอะไร
หม่อนหมองเหมือนที่นี่ไหน คนอยู่ห่างไกลอยากรู้
รำพึงรำพันกับตัวเอง
ด้วยจิตใจที่แสนจะวังเวงและหดหู่
ด้วยไม่อาจบอกให้ใครได้รับรู้
หยดน้ำตาพร่าพรู..ด้วยเพราะเหงารวดร้าวใจ
อยากกู่ก้องบอกเธอทุกทุกสิ่ง
ถึงความเป็นจริงที่แอบเก็บซ่อนไว้
เนิ่นนาน..จนล่วงเลยผ่านไป
ได้แต่เก็บเอาไว้..ในส่วนลึกของใจเรื่อยมา
แต่ก็นะ..ใช่ว่าเธอจะอยู่ไกลแสนไกล
ก็แค่ตรงปลายโค้งขอบฟ้า
สักวันหนึ่งจะดั้นด้นสู้ฟันฝ่า
ข้ามขอบเวลา ข้ามขอบฟ้า ไปหาเธอ







พบ......      รู้จัก
รัก ........       พรากจาก
ช่างเป็นวัฏจักรที่น่าสงสารของมนุษย์ยิ่งนัก
แต่ ใครกันเล่า ที่จะอยู่ได้โดยปราศจากความรัก







.............................................

























.....................................................
 
ครั้นจะเอื้อมมือคว้าเอาไว้
เธอกลับห่างไกลออกไปเกินเอื้อมถึง
ทำได้เพียงกอดเก็บเธอไว้ในห้วงคำนึง
หลับตา..แล้วคิดถึงก็สุขใจ
........................................................







Talk

   ขอบคุณสำหรับท่านที่อ่านจนจบนะครับ อาจจะไม่มีอรรถรสเท่าที่ควร ต้อขออภัยที่ไม่ใช่นักเขียนตัวจริง 
   นักอ่านหลายท่าน อาจจะไม่ชอบและมักมีคำถามว่าทำไมภาพยนตร์หนือละครหรือซีรีส์แนวชายรักชายส่วนใหญ่ถึงจบไม่แฮปปี้  ผมคิดว่า ส่วนหนึ่ง ไม่สิ ส่วนใหญ่ก็มาจากชีวิตจริงของเราๆนี่แหละครับ ผิดหวังมากกว่าสมหวัง   เรื่องนี้ก็เช่นกัน เป็นเรื่องที่มีเค้าโครงเรื่องจริง เป็นเรื่องที่เหมือนกับอีกหลายๆเรื่องที่นักอ่านอาจไม่ชอบเพราะจบแบบที่กล่าวมา   
ผมเป็นประเภท ที่แม้ไม่มีคนอ่านก็จะลงจนจบทีเดียว  ไม่จำเป็นต้องรอให้มีคนมากดไลค์หรือคอมเม้นท์ ผมหวังเพียงแค่ได้แบ่งปันเรื่องราวของตนเองแค่นั้น

ขอบคุณครับ


 :pig4:



หัวข้อ: Re: (ตอนจบ) ทัช..สัมผัสใจ (ตอนที่26 ตอนจบ) 29 ก.ค. 2560
เริ่มหัวข้อโดย: zuu_zaa ที่ 23-09-2017 08:19:26
 :hao5:
หัวข้อ: Re: (ตอนจบ) ทัช..สัมผัสใจ (ตอนที่26 ตอนจบ) 29 ก.ค. 2560
เริ่มหัวข้อโดย: naezapril ที่ 24-09-2017 21:25:28
มันดีตรงที่เราเข้าใจคนเขียนในตอนสุดท้าย..
หัวข้อ: Re: (ตอนจบ) ทัช..สัมผัสใจ (ตอนที่26 ตอนจบ) 29 ก.ค. 2560
เริ่มหัวข้อโดย: thewa.arak ที่ 23-10-2017 14:10:50
 :L2: :pig4:

ขอบคุณมากครับ คุณ@zuu_zaa และคุณ@naezapril ที่กรุณาอ่านจนจบ
ขอบคุณ มากจริงๆ ตรงไหนที่ผิดพลาดไป ต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ



หัวข้อ: Re: (ตอนจบ) ทัช..สัมผัสใจ (ตอนที่26 ตอนจบ) 29 ก.ค. 2560
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 02-09-2018 18:16:26
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: (ตอนจบ) ทัช..สัมผัสใจ (ตอนที่26 ตอนจบ) 29 ก.ค. 2560
เริ่มหัวข้อโดย: สีหราช ที่ 23-09-2018 16:32:21
 :L1:
หัวข้อ: Re: (ตอนจบ) ทัช..สัมผัสใจ (ตอนที่26 ตอนจบ) 29 ก.ค. 2560
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 16-04-2020 14:48:47
 :pig4: