14
เริ่มรู้สึก
อธินประคองร่างอ่อนปวกเปียกมาจนถึงระเบียงชั้นสอง ใช้มือหนึ่งล้วงคีย์การ์ด อีกมือรวบเอวบางกอดไว้แนบแน่น เด็กตรงหน้าพิงมาที่เขาอย่างเผลอตัว ใกล้ชิดเสียจนเขาต้องเอ็ดไป
“นี่...ยืนให้มันดีๆ” แต่เจ้าของร่างก็ยังโงนเงนอยู่แบบนั้น อธินสอดคีย์การ์ดจนสำเร็จแล้วผลักประตูเข้าไป เขาให้เดียร์นั่งรออยู่บนเตียง จากนั้นตัวเองก็ลงไปที่ครัว
ร่างสูงกลับมาพร้อมกับผ้าเย็นในมือ เขายื่นให้เด็กตรงหน้าไปเช็ดตัว ก่อนจะเดินไปเลือกหาเสื้อผ้ามาให้อีกรอบ
“เปลี่ยนซะ”
คนเมาทำตัวว่าง่ายพยายามแกะกระดุมเสื้อตัวเองออก จนแล้วจนรอด คนที่ยืนมองดูก็อดไม่ได้จึงเข้าไปช่วย แต่อีกฝ่ายกลับดื้อ
“ทำเอง!” เจ้าตัวบอกเสียงยุ่ง พยายามลืมตาขึ้นมาจดจ่อกับแผงกระดุมเสื้อ ตั้งใจแกะมันแต่ก็อดรำคาญตัวเองไม่ได้
“หันมานี่” อธินเห็นภาพแล้วว่าไม่รอด หากมัวรอคืนนี้ก็คงไม่ได้นอน
“บอกว่าไม่ต้อง!” เดียร์ทำเสียงขึ้นจมูก ไม่ชอบให้หมอนี่เข้ามาใกล้สักเท่าไหร่นัก มือเรียวผลักอกอีกฝ่ายออกห่าง อธินไม่ยอมแพ้กับความดื้อรั้น เขากดไหล่เด็กตรงหน้าจนร่างจมลงกับที่นอน เดียร์โวยวายลั่นจนเหนื่อยหอบ กว่าจะรู้ตัวก็เผลอสบตากับร่างสูงนิ่งงัน
ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ มีเพียงลมหายใจคั่นกลางระหว่างคนสองคน
เดียร์หลับตาแน่นเมื่อไม่อาจหลีกเลี่ยงใบหน้าคมคายที่เริ่มโน้มลงมาใกล้ หายใจถี่รัวเมื่อนึกถึงการกระทำที่เคยผ่านมา ไม่นานจากนั้นก็สัมผัสได้ถึงริมฝีปากอุ่นร้อนที่ค่อยๆ ประทับลงมาแผ่วเบา
เด็กหนุ่มฝืนกลั้นหายใจ ต้องการระงับความร้อนรุ่นในอก ที่ทวีขึ้นอย่างไม่อาจห้ามได้ ความสับสนในก้นบึงของหัวใจ แท้จริงแล้วมันคือสิ่งใดกันแน่...พยายามคิดหาคำตอบจนสมองหนักอึ้ง แต่แล้วอีกฝ่ายกลับทำให้ทุกอย่างนั้นหายไปโดยการสอดลิ้นอุ่นๆ เข้ามา เดียร์ตอบรับอย่างว่าง่าย ยอมให้คนโตกว่าได้ทำอะไรตามใจชอบ
ร่างกายสั่นเทาไปตามจังหวะการเต้นของหัวใจอย่างไม่อาจห้ามได้ เมื่อรู้สึกว่ากระดุมเสื้อกำลังถูกปลดออกไปทีละเม็ดอย่างง่ายดาย และคนตรงหน้าเริ่มเปลี่ยนมาสนใจบริเวณซอกคอ เขาย้ำจูบซ้ำๆ อย่างแผ่วเบาจนทั้งร่างรู้สึกอ่อนแรง
อธินมองดวงตากลมโตที่ทอดมองเขาอย่างหวาดหวั่น ชายหนุ่มผุดยิ้มจางๆ กับท่าทางที่แตกต่างออกไปของเด็กดื้อรั้น มือข้างหนึ่งที่กดอยู่บนไหล่เปลี่ยนมาปัดปลายผมที่คลอเคลียอยู่บนหน้าผากให้อย่างเบามือ เขาสังเกตว่าอาการตื่นตระหนกนั้นหายไปแล้ว ส่วนมือที่กำแน่นบนตัวเสื้อก็คลายแรงลงเช่นกัน เขามองคนที่นอนตัวแข็งทื่ออยู่บนเตียงด้วยความเอ็นดู อดไม่ได้ที่จะก้มลงจูบเบาๆ บนหน้าผาก เดียร์หลับตาลงอีกครั้งเพื่อรับสัมผัส ได้ยินเสียงกระซิบเบาๆ ว่าหลับฝันดีตามมา หลังจากนั้นตัวเองก็ไม่กล้าลืมตาขึ้นมาอีกเลย ได้ยินเสียงอีกฝ่ายเอื้อมมือไปปิดไฟ แล้วทั้งห้องก็มืดสนิท
ความรู้สึกอบอุ่นปลอดภัย เกิดขึ้นตอนที่อีกฝ่ายล้มตัวนอนข้างๆ ความกังวลที่คอยรบกวนกันอยู่ทุกคืนคล้ายจะหมดไป เดียร์ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร แค่ได้ยินเสียงลมหายใจสม่ำเสมอของคนที่นอนอยู่เบื้องหลัง ความโดดเดี่ยวที่เคยมีก็หายไปแล้ว
ไม่อยากจะเชื่อว่าการบอกฝันดี...จะทำให้นอนหลับมีความสุขถึงเพียงนี้...
เดียร์ตื่นขึ้นมาเพราะเสียงนาฬิกาปลุกที่อีกฝ่ายตั้งไว้ หันมองในห้องไม่มีใครอยู่ คาดว่าเจ้าของคงไปทำงานแล้ว เด็กหนุ่มกวาดมองไปรอบๆ แสงแดดจางๆ สาดส่อง ดวงตาสะดุดกับกระดาษโน้ตสีส้มที่แปะทิ้งไว้ใกล้ๆ กับนาฬิกาปลุก
‘กุญแจชุดใหม่...ลองทำหายอีกสิ’
ข้อความท้าทาย อ่านแล้วรู้สึกหมั่นไส้คนเขียนขึ้นมา ลูกสนที่แขวนติดไว้กับกุญแจดูเทอะทะ จนเก็บไว้ในกระเป๋าเสื้อไม่ได้อีก
นึกถึงเจตนาคนให้แล้ว...ช่างใส่ใจรายละเอียดได้ดีจริงๆ
คาบแรกของวันนี้ถูกยกเลิกไปอีกแล้ว เนื่องจากอาจารย์ป่วยกะทันหัน พวกเขาเลยต้องแห่กันไปนั่งห้องสมุด เพื่อเขียนรายงานส่ง คนมาถึงทีหลังมองหาเพื่อน เห็นไอ้ภูพยายามโบกมือให้
“กูเสือกไปนั่งรออยู่ตั้งนาน!” คนเพิ่งมาถึงร้องบ่น เอาสมุดขึ้นมาพัดเรียกลม อากาศด้านนอกร้อนมาก ร้อนจนเหงื่อชุ่ม
“แล้วทำไมไม่โทรมาถามวะ”
“ใครจะไปรู้”
เนเฝ้ามองสีหน้าคนบ่นที่อารมณ์ดีผิดหูผิดตา เขายังไม่เลิกคิดเรื่องเมื่อคืน รู้สึกเคืองนิดหน่อยที่มันหันมาเห็นเขาแล้วแสร้งหลบตา
“เขาให้ทำไรมั่งวะ?” เดียร์ดึงงานของมันไปดูตัวอย่าง ไอ้เนเริ่มเขียนได้ไม่กี่ข้อ แล้วก็ถูกยึดกลับไปแบบไม่บอกกล่าว
“ขอดูก่อนดิ!”
“มึงได้ดูแน่ แต่หลังจากที่ตอบคำถามกูก่อน” คนฟังชะงักนิ่ง เสียวสันหลังวาบ ดวงตาของมันไม่มีแววล้อเล่นเลยสักนิด เห็นแล้วรู้สึกเย็นขึ้นมาทั้งตัว
“ไอ้หมอนั่นมันเป็นใคร?”
“หมายถึงใคร?” เดียร์แสร้งเป็นไม่รู้ แกล้งงงงัน มือหนึ่งก็หยิบปากกาขึ้นมาทำท่าจะเขียน แต่ไม่วายโดนแย่งไปอีก
“คนที่มารับมึงเมื่อคืน!” เนถามเสียงแข็ง เขาจริงจังกับเรื่องนี้มาก ยิ่งเห็นเพื่อนแสดงท่าทางเหมือนกำลังปิดบังกันอยู่ ก็อดไม่ได้
“อ้อ เอ่อ..เขาเป็น..แฟนเก่าของพี่ชายน่ะ..”
“แฟนเก่าพี่ชาย!...แล้วเลิกกันไปเมื่อไหร่?”
เดียร์คิดว่ามันจะหายสงสัยเสียอีก แต่ท่าทางมันคงไม่อยากจบง่ายๆ ด้วยแน่ๆ
“อันนั้นกูไม่รู้” เขาส่ายหัวปฏิเสธ ทำเป็นหันมาหนังสืออ่าน คิดว่ามันคงพอใจกับคำตอบแต่ที่ไหนได้
“รู้จักกับมึงนานรึยัง?”
“ก็...ตอนกูเรียนมอต้น” เขาตอบส่งๆ จำได้ว่าเคยเห็นอีกฝ่ายตอนมาหาพี่ปั้นที่บ้านแค่ไม่กี่ครั้ง พอเจอกันใหม่ก็จำเกือบไม่ได้ จะว่ารู้จักกันตั้งแต่ตอนนั้นก็ไม่น่าใช่
“สนิทกัน?”
“เอ่อ...” อันนี้ไม่รู้ว่าจะตอบไปยังไง พวกเขาไม่ได้สนิทกัน แต่เจอหน้ากันอยู่ทุกวัน แถมยัง...
“ถึงขนาดที่โทรตามมารับกันดึกๆ ได้ กูว่าก็คงสนิทล่ะ” เนสรุปให้อย่างง่ายดาย คนฟังใจคอไม่ดีไม่รู้ว่ามันมาไม้ไหน ดูเหมือนไม่พอใจที่เขาเลี่ยงไม่ยอมบอกความจริง
“แล้วมีเหตุผลอะไรที่แฟนเก่าพี่ชายต้องมายุ่งเกี่ยวกับมึง” มันมองตาเขาอย่างคาดคั้น ไม่อาจหลบเลี่ยงได้
“เอ่อ...” เดียร์เฝ้าคิด เรื่องนี้ไม่เคยนึกมาก่อนเลยด้วยซ้ำ ครั้งนี้ไม่เพียงแต่ตอบไม่ได้ แต่เขาเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน..ระหว่างหมอนั่น มันก็ถูกที่เราสองคนไม่มีเหตุผลใดๆ เกี่ยวข้อง แต่หากมองไปตั้งแต่เริ่มต้น
เหตุผลก็คงเป็นเพราะ...
ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นที่เข้ามาช่วยในคืนนั้น เดียร์ก็ไม่รู้ว่าชีวิตตัวเองจะผลิกผันได้เท่านี้หรือไม่ หากมีพวกมันสองคนอยู่ด้วย เขาก็คงจะเอาตัวรอดมาได้เหมือนทุกที แล้วไอ้คนพวกนั้นก็คงไม่ผูกใจแค้นเล่นงานเขาต่อเนื่อง หาความสงบไม่ได้จนถึงทุกวันนี้ ชีวิตคงปลอดภัยและเขาก็ไม่ต้องย้ายไปอยู่ที่นั่น และทุกอย่างคงเป็นปกติ
เพียงแต่ว่า...ต้องย้อนเวลากลับไปแก้ไขอดีต
“เงียบทำไม?”
“กู...” เดียร์อยากเล่าเรื่องจริงให้มันฟัง แต่ใจหนึ่งก็ยังไม่พร้อม คิดว่าถ้ามันรู้ก็คงหาทางให้เขาออกมาจากที่นั่นอย่างแน่นอน เดียร์รู้ว่าพวกมันช่วยเหลือได้ แต่ว่าตอนนี้...
“พอๆ จะหมดคาบแล้วไอ้ห่า พวกมึงรีบๆ ทำเลย!” ภูรีบขัด เมื่อเห็นเวลาทำงานเหลืออีกไม่มาก เขายื่นใบงานให้ไปดูแล้วอธิบายเพิ่มเติม การกระทำนี้เรียกว่าเป็นการป้องกันไอ้เดียร์อยู่กลายๆ ซึ่งไอ้เนก็ดูออกมันถึงมองหน้าเขาอย่างไม่พอใจ
ภูรู้ว่าไอ้เพื่อนตัวดีกำลังปิดซ่อนบางอย่างเอาไว้ และเจ้าตัวยังไม่พร้อมจะบอกให้ฟัง ส่วนไอ้เนก็ไม่ยอม มันร้อนใจมากก็เลยใช้วิธีบังคับ
เรื่องแฟนเก่าพี่ชาย...เขานึกถึงสายตาของไอ้หมอนั่นเมื่อคืน แม้จะเข้าใจยากแต่ก็ไม่ถึงกับว่าดูไม่ออก...
หลังสอบกลางภาคเป็นการเริ่มฤดูแห่งการแข่งขันกีฬามหาวิทยาลัย ทุกคณะต่างแข็งขัน หลังเลิกเรียนมีการรวมกลุ่มกันไปทำหน้าที่ของแต่ละฝ่ายที่จัดแบ่งไว้ ตั้งแต่ขบวนพาเหรด ซ้อมเชียร์ลีดเดอร์ คุมแสตน ส่วนนักกีฬาก็แยกย้ายกันซ้อมตามประเภท ทุกคนให้ความร่วมมือเพราะถือว่างานนี้ชี้วัดถึงพลังสามัคคีของเด็กในคณะ
ภูช่วยอำนวยความสะดวกในการซ้อมของนักกีฬา ทุกๆ เย็นขณะที่เพื่อนกำลังซ้อม ทีมของเขาจะรับผิดชอบจัดเตรียมน้ำดื่มไปให้บริการถึงที่ นอกเหนือจากนั้นยังมีผ้าเย็น พวกยาต่างๆ รวมถึงข้าวกล่อง ขาดเหลืออะไรก็แค่ให้บอก แม้แต่แฟนนักกีฬามาทะเลาะกันข้างสนามก็เข้าไปเคลียร์ให้จนจบ เขาทำได้ทุกอย่าง ขอให้ไม่มีอะไรมาเป็นอุปสรรคในการซ้อมของนักกีฬาก็พอ...
เนเป็นกัปตันทีมฟุตบอล พวกเขามีเวลาซ้อมในสนามช่วงหกโมงเย็นเป็นต้นไปจนถึงสามทุ่มครึ่งของทุกๆ วันศุกร์และเสาร์ รอบซ้อมหลังจากนั้นก็นัดแนะกันไปข้างนอก เพราะเป็นแชมป์เก่าถึงต้องทำให้ดีที่สุดเพื่อรักษาตำแหน่ง แต่ดูเหมือนว่าช่วงนี้เจ้าตัวจะไม่ค่อยมีสมาธิเท่าไหร่นัก เนมักจะใส่อารมณ์จนเพื่อนร่วมทีมต้องคอยเตือนอยู่บ่อยๆ เขาเป็นแบบนี้ทุกครั้งเมื่อมองไปรอบๆ แล้วไม่เห็นใครบางคนซ้อมวิ่งอยู่ในลู่ มันตีตัวออกห่างเขาทุกทีที่ทำได้ ยอมไปซ้อมข้างนอกเพื่อจะเจอหน้าเขาน้อยลง
ส่วนเดียร์พี่ต้นให้เขาลงแข่งกรีฑาระยะ 1,500 เมตร เท่ากับว่าเขาต้องวิ่ง 4 รอบสนามภายในเวลา 10 นาที ปีที่แล้วสถิติของอันดับที่ 1 อยู่ที่ 6:16.40 นาที ปีนี้ถ้าเดียร์อยากจะชนะ ก็ต้องซ้อมทำเวลาให้ได้น้อยกว่า 6 นาทีเป็นอย่างต่ำ ฟังรายละเอียดในที่ประชุมแล้วรู้สึกหืดขึ้นคอ เป็นครั้งแรกที่พี่ต้นตัดสินใจให้เขาลงแข่ง จากที่เคยวิ่ง 800 เมตรมาตลอด เขาค่อนข้างกังวล ซึ่งวันแข่งก็ใกล้เข้ามาทุกที
ในมหาวิทยาลัยไม่ว่าจะผ่านตึกไหนก็ได้ยินแต่เสียงเชียร์ร้องดังกระหึ่ม ทุกคณะเริ่มซ้อมใหญ่ บรรยากาศครึกครื้น ยิ่งช่วงเสาร์อาทิตย์บางคนถึงกับอยู่ในมหาวิทยาลัยจนถึงเช้าเลยก็มี นับเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่นักศึกษาส่วนใหญ่ให้ความร่วมมือ เพราะมันถูกปลูกฝังให้กลายเป็นประเพณีไปเสียแล้ว
เดียร์กลับมาถึงห้องก็ไม่มีแรงไปทะเลาะกับใคร รีบเข้านอนทุกคืนเพราะต้องตื่นแต่เช้าไปซ้อมวิ่งให้ร่างกายมันคุ้นเคย เหลือเวลาอีกอาทิตย์กว่าๆ เขาไม่คาดหวังว่าตัวเองจะชนะ ถือว่าทำสถิติให้ตัวเอง ให้คุ้มกับเวลาที่ซ้อมไปก็พอ
ท่าทางเช้านี้จะไม่ได้มีแค่เขาเพียงคนเดียวที่ตื่นแต่เช้ามารับแสงแรกของวัน ห่างไปไม่ไกลมีร่างสูงใหญ่กำลังขะมักเขม้นอยู่กับงานถ่ายภาพตรงหน้า เหมือนฝ่ายนั้นจะรู้ตัวก็เลยหันมา เป็นจังหวะเดียวที่เดียร์กำลังมองอยู่พอดี คราวนี้จะทำเป็นไม่เห็นก็กระไรอยู่ ก็เลยต้องวิ่งต่อไปแบบนั้น อย่างไม่มีอะไรเกิดขึ้น
อธินไม่ได้ทักทายด้วยคำพูด พอเห็นอีกคนเข้ามาใกล้ก็แกล้งขวางทางให้คนอารมณ์เสียเล่น นี่เป็นเรื่องที่เขาถนัด พอเด็กตรงหน้าจนใจก็หลีกทางให้ แม้จะโดนด่าว่าทำให้เสียเวลา แต่เขากลับรู้สึกพอใจที่ได้แหย่
คืนวันเสาร์นี้ที่คลับมีปาร์ตี้แต่เดียร์เป็นเด็กดีไม่ออกไปไหน หลังจากซ้อมวิ่งตอนเย็นก็กลับมาอาบน้ำเพื่อเตรียมลงไปกินข้าว ได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้นเสียก่อน แล้วก็ต้องงงเมื่อเห็นอันนาถือถุงใบใหญ่ยืนอยู่หน้าห้อง ในนั้นมีเครื่องดื่มเกลือแร่ น้ำหวาน ของกินบำรุงกำลังเต็มไปหมด ยังไม่ทันเอ่ยถาม ฝ่ายนั้นก็บอกมาว่าคุณอธินให้เอามาฝาก เดียร์อยากปฏิเสธแต่คนเอามาให้กลับถือวิสาสะเข้าไปเปิดตู้เย็นแล้วจัดเรียงของพวกนั้นลงไป สั่งกำชับว่าต้องกินให้หมด อย่าให้เสียของ
เดียร์ถอนหายใจ ทั้งเจ้านายทั้งลูกน้องนิสัยเดียวกันไม่มีผิด ชอบบังคับอะไรตามใจชอบอยู่เรื่อย
พอลับหลังฝ่ายนั้น เจ้าตัวก็วิ่งไปเปิดตู้เย็นสำรวจดูว่ามีอะไรแช่อยู่บ้าง คืนนี้ไม่ได้ออกไปเมาที่คลับก็จริง แต่ดูเหมือนว่าใครบางคนจะตั้งใจจะให้เขาเมาเกลือแร่ตายอยู่ที่ห้องมากกว่า เยอะขนาดนี้เอาไปอาบก็ยังได้
หนึ่งสัปดาห์ผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว วันนี้เป็นวันแรกของงานกีฬา ขบวนพาเหรดของแต่ละคณะถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ วงโยธวาทิตเล่นบรรเลงเพลงอย่างฮึกเหิม ดรัมเมเยอร์ของแต่ละคณะแข่งขันกันโยนไม้คฑาเรียกเสียงเชียร์จากผู้คนในสนาม เชียร์ลีดเดอร์หนุ่มสาวโชว์สเตปมืออย่างพร้อมเพียง ตามด้วยกองทัพนักกีฬาทยอยเข้าสู่รั้วสนามไปตามลำดับ สิ้นสุดการกล่าวเปิดงานของอธิการบดี สัญญาณเพลงเริ่มขึ้น พร้อมกับไฟในกระถางคบเพลิงที่ถูกจุดขึ้นแล้ว
เดียร์ใส่ชุดวอร์มประจำคณะนั่งดูการแข่งกันฟุตบอลในสนาม รอบคัดเลือกเข้าชิงแชมป์ในวันสุดท้าย คณะของเขาแข่งกับศึกษาศาสตร์ ฝั่งโน้นเล่นดีไม่น้อย หวิดจะทำประตูตีเสมออยู่หลายรอบ ถ้ากัปตันทีมอย่างไอ้เนหัดใจเย็นกว่านี้และไม่วู่วาม เดียร์นั่งนับใบเหลืองของมันตั้งแต่เริ่มแข่งมา หากผิดกติกาอีกครั้งนี้ได้ถูกไล่ออกจากสนามแน่ ไม่รู้ไปบ้าพลังมาจากไหน ถ้ายังระงับอารมณ์ไม่ได้ มีหวังทั้งทีมได้ซวยกันไปหมด
รอแข่งเสร็จ เขาตั้งใจจะเข้าไปเคลียร์ให้รู้เรื่อง
ทันทีที่เห็นหน้ากัน เนก็เดินหนีไปไม่ยอมพูดด้วย ตั้งแต่วันนั้นมันก็ดูหงุดหงิดตลอดเวลาที่เห็นหน้าเขา เดียร์เลยลองอยู่ห่างๆ เผื่อว่ามันจะดีขึ้น แต่กลับแย่ลง
“เป็นอะไรของมึง?” เดียร์ปิดก๊อกน้ำที่มันกำลังใช้ล้างหน้า เนหันมามองครู่หนึ่งแล้วหมุนตัวไปคว้าผ้าขนหนูมาซับเหงื่อ แต่เดียร์ไวกว่ารีบรั้งร่างของมันให้หันมาเผชิญหน้า
“กูไม่ชอบเลยที่มึงเป็นแบบนี้ มีอะไรก็พูดกันดีๆ สิวะ” เดียร์ตะโกนลั่น ทำเอาคนในนั้นหันมอง ร่างสูงใหญ่หันกลับมาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
“ไม่ชอบใจก็อยู่ห่างๆ จะมาเดือดร้อนทำไม!”
คนตัวเล็กกว่าเริ่มโมโห มือข้างหนึ่งดึงคอเสื้อมันมา ส่วนอีกข้างกำแน่น ถ้ามันยังพูดไม่รู้เรื่องเห็นทีต้องซัดให้หายโง่เสียแล้ว
"มึงนี่มัน!"
"กูก็เป็นแบบนี้ มึงไม่ต้องสนใจ" เขาหมายถึงว่าให้มันปล่อยเขาไปก่อน เมื่อไหร่ที่หายบ้าแล้ว ทุกอย่างจะกลับไปเป็นปกติเอง
เพียงแต่ไม่ใช่ตอนนี้ เพราะเขายังจัดการกับอารมณ์ตัวเองไม่ได้ หลังจากที่รับรู้อะไรบางอย่าง เรื่องที่มันตั้งใจปกปิดเขาไว้ ตั้งแต่วันนั้น...
"กูเป็นเพื่อนมึงนะ ไม่ให้สนใจได้ยังไง"
"กลับไปเถอะ กูยังไม่อยากคุยกับมึง"
"ไอ้เหี้ยเน!!" มือข้างหนึ่งเค้นลงไปอย่างสุดกำลัง เดียร์โมโหที่โดนมันปฏิเสธ กำมือแน่นเกือบจะชกมันไปเสียแล้ว
"บอกให้กลับไปไง พูดไม่รู้เรื่องรึไงวะ...” เนมองลึกเข้าไปในดวงตาคู่นั้นที่แดงรื้นขึ้นมาพร้อมหยาดน้ำใสๆ
เพราะทำอะไรไม่ได้ เจ้าตัวเลยคลายแรงลงและปล่อยมือในที่สุด เดียร์ไม่พูดอะไรหลังจากนั้นก่อนจะเดินออกไปแล้วทิ้งเขาไว้กับความเสียใจที่มีต่อกัน
เขาอาจจะใจร้อน บางคราวก็ไร้เหตุผล แต่ก็เป็นห่วงมันไม่แพ้ใคร เกลียดตัวเองทุกครั้งที่ทำให้มันเข้าใจผิด เพราะสำหรับเขาการนิ่งเงียบคือการตัดปัญหาได้ดีที่สุด แม้จะทำให้หงุดหงิดใจบ้าง แต่มันก็เป็นการหักดิบตัวเอง ระงับอารมณ์ไว้ ไม่ให้เผลอแสดงออกมากไป
เขาชอบมันมากกว่าคำว่าเพื่อน แต่ไม่ได้ต้องการเป็นมากกว่านั้น แค่เห็นมันยิ้มได้และใช้ชีวิตอย่างมีความสุขเขาก็ดีใจ
อยากเป็นคนสำคัญของมัน เป็นที่พึ่งพิงให้ยามเดือดร้อน อยากเป็นคนแรกที่มันนึกถึงเมื่อมีปัญหาเหมือนที่ผ่านมา
เนบอกขอโทษมันผ่านทางอากาศ มองตามแผ่นหลังนั้นไปอย่างรู้สึกผิดที่ครั้งนี้เป็นคนทำให้มันเสียใจอีกแล้ว
การแข่งขันดำเนินมาถึงวันที่สอง วันนี้พวกแข่งกรีฑาลงสนามครบเซต ทั้งประเภทลู่ ประเภทลาน ทั้งชายและหญิง เดียร์ลงแข่งเป็นรายการสุดท้ายต่อจากนักกีฬาฝ่ายหญิง เขาใจเต้นตึกตัก หวั่นๆ ว่ามันจะไปได้ดีรึเปล่า เมื่อหันมองนักกีฬาคนอื่นๆ ที่วอร์มร่างกายอยู่ข้างสนาม แต่ละคนหุ่นมาตรฐานทั้งนั้น ดูแข็งแรง พอเทียบกับตัวเองแล้วคนละเรื่องกันเลย
ภูเห็นมันมองคนอื่นแล้วใจแป้วก็เลยเข้าไปช่วยเรียกกำลังใจให้ บอกมันว่าไอ้พวกถึกๆ แบบนั้นใช่ว่าอึดทนทานเสียเมื่อไหร่ สู้ร่างเพียวบางแบบมันไม่ได้ ตัวเล็กกว่าได้เปรียบ เพราะฉะนั้นอย่าไปกลัว
พี่ต้นกับพี่คนอื่นๆ ในคณะแวะเข้ามาให้กำลังใจในระหว่างที่เดียร์กำลังรอคนอื่นๆ แข่งขัน พวกสาวๆ ก็ซื้อน้ำมาให้เพียบ แม้แรงเชียร์ล้นขอบสนามแต่ก็อดหวั่นใจไม่ได้อยู่ดี
“จะแข่งแล้วยังไม่รีบวอร์มอีก” จู่ๆ มือหนาก็โบกเข้าให้เต็มกะบาล เดียร์หันไปเห็นคนที่เพิ่งมาถึงแล้วดีใจจนลืมความเจ็บ วันนี้ไอ้เนอารมณ์ดีคิดว่าผีคงออกจากร่างแล้ว
“หายหัวไปไหนมาวะ?” เขารอมันอยู่ตั้งนาน คิดว่ายังโกรธกันเสียอีก ถ้ามันไม่มาเชียร์เขาล่ะก็ จบงานนี้ได้มีเรื่องกันแน่
“ไปสืบฝั่งคู่แข่งมาให้มึงนั่นแหละ”
“แล้วเป็นไงมั่งวะ”
“มีแต่พวกแรงควายทั้งนั้น”
“เหี้ยนี่ก็พูดให้มันใจเสีย” ภูหัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นไอ้ตัวเตี้ยสุดในกลุ่มหน้าซีดไป ที่ลงแข่งมีทั้งหมด 6 คณะ ล้วนเป็นหน้าประจำที่เคยแข่งชนะมาแล้วหลายครั้ง ส่วนไอ้เพื่อนของเขาปีนี้ถูกจับลงแข่ง 1,500 เมตร ปีแรก เรื่องความเร็วจากที่ซ้อมมามันก็ทำได้ดีอยู่ ที่เหลือก็ต้องมาวัดกันว่าคู่แข่งจะเป็นอย่างไร
เดียร์เริ่มเครียดอีกครั้งเมื่อเสียงประกาศให้นักกีฬาไปรายงานตัวก่อนการแข่งขัน ตอนนี้ต้องแยกจากเพื่อนๆ ไปรอในสนามแล้ว เขามองการแข่งขันที่เสร็จไปทีละรายการอย่างกังวล มือไม้เย็นเฉียบ ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องตื่นเต้นและกดดันได้ถึงขนาดนี้ ทั้งที่คนอื่นๆ เขาก็ดูเป็นปกติ ไม่แสดงอาการประหม่าออกมาให้เห็น โชคดีที่พี่ต้นเข้ามายืนเป็นเพื่อนคอยแนะนำและให้กำลังใจ แต่ดูเหมือนว่าคำพูดพวกนั้นแค่ผ่านหูไปเฉยๆ ไม่มีประโยชน์อะไรเพราะในหัวอื้ออึง ได้ยินก็แต่เสียงเชียร์กระหึ่มบนอัฒจันทร์
“เดียร์ มีคนโทรมา” พี่ต้นสะกิดเรียกเขาที่ยืนหลับตานิ่งพยายามควบคุมลมหายใจ ยื่นโทรศัพท์ที่ฝากไว้มาให้ รุ่นพี่ถึงกับขมวดคิ้วเมื่อเห็นชื่อคนโทรเข้า
“เหี้ยอธิน?”
เดียร์รีบคว้าไปทันทีอย่างไม่เชื่อสักเท่าไหร่ แต่พอเห็นเป็นชื่อนั้นจริงๆ ก็รีบกดรับก่อนที่มันจะตัดไป
“มีอะไร?”
“ใกล้แข่งแล้วนี่ ทำไมยังรับโทรศัพท์อีก”
“เอ้า แล้วจะโทรมาทำไมวะ?” เดียร์ถามกลับเสียงยุ่ง ได้ยินเสียงเชียร์ดังแว่วมาจากในสาย ก็คาดการณ์ได้ว่าหมอนั่นคงอยู่ในสนาม เด็กหนุ่มกวาดมองไปบนแสตนแต่ก็ไม่เห็น วันนี้คนเยอะเสียด้วย ว่าแต่หมอนั่นรู้ได้ยังไงว่าวันนี้ลงแข่ง ทั้งที่ไม่ได้บอกสักคำ
อธินไม่ตอบอะไร เพียงแต่กำชับว่าอย่าให้เขาเสียค่าเกลือแร่ไปเปล่าๆ ก็พอ...และหวังว่าคนบางคนจะไม่หมดแรงคาสนามเสียก่อน
หมอนั่นมันสบประมาทเขาชัดๆ เดียร์คิด ตอนแรกรู้สึกดีแล้วเชียว แต่พอได้ยินแบบนี้แล้วมันชักเดือด
เดียร์วางสายไปไม่นาน รู้สึกว่าอาการตื่นกระหนก กดดันมันหายไปแล้ว ความเครียดที่สะสมเอาไว้จนแทบระเบิดคล้ายถูกปลดปล่อย
คงต้องขอบใจไอ้คนที่โทรมาก่อกวนก่อนหน้านี้ล่ะมั้งที่หันเหความรู้สึกพวกนั้นไปจนหมด
เหลือก็แต่อาการดีใจ ...
...............................
น้องเดียร์สู้ๆ น้องเดียร์สู้ตาย วิ่งไปเลยค่ะลูก!! ^^ สู้ๆๆ