Dear to me >> 23 : Dear...Atin (End)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Dear to me >> 23 : Dear...Atin (End)  (อ่าน 11319 ครั้ง)

ออฟไลน์ Alchemist_toey

  • I'm Cassiopeia
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 62
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
Re: Dear to me >> 14 : เริ่มรู้สึก (02/05/2018)
«ตอบ #30 เมื่อ02-05-2018 23:13:15 »


14

เริ่มรู้สึก

                                                                                                 

                                                                   



อธินประคองร่างอ่อนปวกเปียกมาจนถึงระเบียงชั้นสอง ใช้มือหนึ่งล้วงคีย์การ์ด อีกมือรวบเอวบางกอดไว้แนบแน่น เด็กตรงหน้าพิงมาที่เขาอย่างเผลอตัว ใกล้ชิดเสียจนเขาต้องเอ็ดไป

“นี่...ยืนให้มันดีๆ” แต่เจ้าของร่างก็ยังโงนเงนอยู่แบบนั้น อธินสอดคีย์การ์ดจนสำเร็จแล้วผลักประตูเข้าไป เขาให้เดียร์นั่งรออยู่บนเตียง จากนั้นตัวเองก็ลงไปที่ครัว

ร่างสูงกลับมาพร้อมกับผ้าเย็นในมือ เขายื่นให้เด็กตรงหน้าไปเช็ดตัว ก่อนจะเดินไปเลือกหาเสื้อผ้ามาให้อีกรอบ

“เปลี่ยนซะ”

คนเมาทำตัวว่าง่ายพยายามแกะกระดุมเสื้อตัวเองออก จนแล้วจนรอด คนที่ยืนมองดูก็อดไม่ได้จึงเข้าไปช่วย แต่อีกฝ่ายกลับดื้อ

“ทำเอง!” เจ้าตัวบอกเสียงยุ่ง พยายามลืมตาขึ้นมาจดจ่อกับแผงกระดุมเสื้อ ตั้งใจแกะมันแต่ก็อดรำคาญตัวเองไม่ได้

“หันมานี่” อธินเห็นภาพแล้วว่าไม่รอด หากมัวรอคืนนี้ก็คงไม่ได้นอน

“บอกว่าไม่ต้อง!” เดียร์ทำเสียงขึ้นจมูก ไม่ชอบให้หมอนี่เข้ามาใกล้สักเท่าไหร่นัก มือเรียวผลักอกอีกฝ่ายออกห่าง อธินไม่ยอมแพ้กับความดื้อรั้น เขากดไหล่เด็กตรงหน้าจนร่างจมลงกับที่นอน เดียร์โวยวายลั่นจนเหนื่อยหอบ กว่าจะรู้ตัวก็เผลอสบตากับร่างสูงนิ่งงัน

ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ มีเพียงลมหายใจคั่นกลางระหว่างคนสองคน

เดียร์หลับตาแน่นเมื่อไม่อาจหลีกเลี่ยงใบหน้าคมคายที่เริ่มโน้มลงมาใกล้ หายใจถี่รัวเมื่อนึกถึงการกระทำที่เคยผ่านมา ไม่นานจากนั้นก็สัมผัสได้ถึงริมฝีปากอุ่นร้อนที่ค่อยๆ ประทับลงมาแผ่วเบา
 

เด็กหนุ่มฝืนกลั้นหายใจ ต้องการระงับความร้อนรุ่นในอก ที่ทวีขึ้นอย่างไม่อาจห้ามได้ ความสับสนในก้นบึงของหัวใจ แท้จริงแล้วมันคือสิ่งใดกันแน่...พยายามคิดหาคำตอบจนสมองหนักอึ้ง แต่แล้วอีกฝ่ายกลับทำให้ทุกอย่างนั้นหายไปโดยการสอดลิ้นอุ่นๆ เข้ามา เดียร์ตอบรับอย่างว่าง่าย ยอมให้คนโตกว่าได้ทำอะไรตามใจชอบ

 

ร่างกายสั่นเทาไปตามจังหวะการเต้นของหัวใจอย่างไม่อาจห้ามได้ เมื่อรู้สึกว่ากระดุมเสื้อกำลังถูกปลดออกไปทีละเม็ดอย่างง่ายดาย และคนตรงหน้าเริ่มเปลี่ยนมาสนใจบริเวณซอกคอ เขาย้ำจูบซ้ำๆ อย่างแผ่วเบาจนทั้งร่างรู้สึกอ่อนแรง

อธินมองดวงตากลมโตที่ทอดมองเขาอย่างหวาดหวั่น ชายหนุ่มผุดยิ้มจางๆ กับท่าทางที่แตกต่างออกไปของเด็กดื้อรั้น มือข้างหนึ่งที่กดอยู่บนไหล่เปลี่ยนมาปัดปลายผมที่คลอเคลียอยู่บนหน้าผากให้อย่างเบามือ เขาสังเกตว่าอาการตื่นตระหนกนั้นหายไปแล้ว ส่วนมือที่กำแน่นบนตัวเสื้อก็คลายแรงลงเช่นกัน เขามองคนที่นอนตัวแข็งทื่ออยู่บนเตียงด้วยความเอ็นดู อดไม่ได้ที่จะก้มลงจูบเบาๆ บนหน้าผาก เดียร์หลับตาลงอีกครั้งเพื่อรับสัมผัส ได้ยินเสียงกระซิบเบาๆ ว่าหลับฝันดีตามมา หลังจากนั้นตัวเองก็ไม่กล้าลืมตาขึ้นมาอีกเลย ได้ยินเสียงอีกฝ่ายเอื้อมมือไปปิดไฟ แล้วทั้งห้องก็มืดสนิท

 

ความรู้สึกอบอุ่นปลอดภัย เกิดขึ้นตอนที่อีกฝ่ายล้มตัวนอนข้างๆ ความกังวลที่คอยรบกวนกันอยู่ทุกคืนคล้ายจะหมดไป เดียร์ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร แค่ได้ยินเสียงลมหายใจสม่ำเสมอของคนที่นอนอยู่เบื้องหลัง ความโดดเดี่ยวที่เคยมีก็หายไปแล้ว

 

ไม่อยากจะเชื่อว่าการบอกฝันดี...จะทำให้นอนหลับมีความสุขถึงเพียงนี้...

 

 

เดียร์ตื่นขึ้นมาเพราะเสียงนาฬิกาปลุกที่อีกฝ่ายตั้งไว้ หันมองในห้องไม่มีใครอยู่ คาดว่าเจ้าของคงไปทำงานแล้ว เด็กหนุ่มกวาดมองไปรอบๆ แสงแดดจางๆ สาดส่อง ดวงตาสะดุดกับกระดาษโน้ตสีส้มที่แปะทิ้งไว้ใกล้ๆ กับนาฬิกาปลุก

 

‘กุญแจชุดใหม่...ลองทำหายอีกสิ’

 

ข้อความท้าทาย อ่านแล้วรู้สึกหมั่นไส้คนเขียนขึ้นมา ลูกสนที่แขวนติดไว้กับกุญแจดูเทอะทะ จนเก็บไว้ในกระเป๋าเสื้อไม่ได้อีก

นึกถึงเจตนาคนให้แล้ว...ช่างใส่ใจรายละเอียดได้ดีจริงๆ

 

คาบแรกของวันนี้ถูกยกเลิกไปอีกแล้ว เนื่องจากอาจารย์ป่วยกะทันหัน พวกเขาเลยต้องแห่กันไปนั่งห้องสมุด เพื่อเขียนรายงานส่ง คนมาถึงทีหลังมองหาเพื่อน เห็นไอ้ภูพยายามโบกมือให้

 

“กูเสือกไปนั่งรออยู่ตั้งนาน!” คนเพิ่งมาถึงร้องบ่น เอาสมุดขึ้นมาพัดเรียกลม อากาศด้านนอกร้อนมาก ร้อนจนเหงื่อชุ่ม

“แล้วทำไมไม่โทรมาถามวะ”

“ใครจะไปรู้”

เนเฝ้ามองสีหน้าคนบ่นที่อารมณ์ดีผิดหูผิดตา เขายังไม่เลิกคิดเรื่องเมื่อคืน รู้สึกเคืองนิดหน่อยที่มันหันมาเห็นเขาแล้วแสร้งหลบตา

“เขาให้ทำไรมั่งวะ?” เดียร์ดึงงานของมันไปดูตัวอย่าง ไอ้เนเริ่มเขียนได้ไม่กี่ข้อ แล้วก็ถูกยึดกลับไปแบบไม่บอกกล่าว

“ขอดูก่อนดิ!”

“มึงได้ดูแน่ แต่หลังจากที่ตอบคำถามกูก่อน” คนฟังชะงักนิ่ง เสียวสันหลังวาบ ดวงตาของมันไม่มีแววล้อเล่นเลยสักนิด เห็นแล้วรู้สึกเย็นขึ้นมาทั้งตัว

“ไอ้หมอนั่นมันเป็นใคร?”

“หมายถึงใคร?” เดียร์แสร้งเป็นไม่รู้ แกล้งงงงัน มือหนึ่งก็หยิบปากกาขึ้นมาทำท่าจะเขียน แต่ไม่วายโดนแย่งไปอีก

“คนที่มารับมึงเมื่อคืน!” เนถามเสียงแข็ง เขาจริงจังกับเรื่องนี้มาก ยิ่งเห็นเพื่อนแสดงท่าทางเหมือนกำลังปิดบังกันอยู่ ก็อดไม่ได้

“อ้อ เอ่อ..เขาเป็น..แฟนเก่าของพี่ชายน่ะ..”

“แฟนเก่าพี่ชาย!...แล้วเลิกกันไปเมื่อไหร่?”

เดียร์คิดว่ามันจะหายสงสัยเสียอีก แต่ท่าทางมันคงไม่อยากจบง่ายๆ ด้วยแน่ๆ

“อันนั้นกูไม่รู้” เขาส่ายหัวปฏิเสธ ทำเป็นหันมาหนังสืออ่าน คิดว่ามันคงพอใจกับคำตอบแต่ที่ไหนได้

“รู้จักกับมึงนานรึยัง?”

“ก็...ตอนกูเรียนมอต้น” เขาตอบส่งๆ จำได้ว่าเคยเห็นอีกฝ่ายตอนมาหาพี่ปั้นที่บ้านแค่ไม่กี่ครั้ง พอเจอกันใหม่ก็จำเกือบไม่ได้ จะว่ารู้จักกันตั้งแต่ตอนนั้นก็ไม่น่าใช่

“สนิทกัน?”

“เอ่อ...” อันนี้ไม่รู้ว่าจะตอบไปยังไง พวกเขาไม่ได้สนิทกัน แต่เจอหน้ากันอยู่ทุกวัน แถมยัง...

“ถึงขนาดที่โทรตามมารับกันดึกๆ ได้ กูว่าก็คงสนิทล่ะ” เนสรุปให้อย่างง่ายดาย คนฟังใจคอไม่ดีไม่รู้ว่ามันมาไม้ไหน ดูเหมือนไม่พอใจที่เขาเลี่ยงไม่ยอมบอกความจริง

“แล้วมีเหตุผลอะไรที่แฟนเก่าพี่ชายต้องมายุ่งเกี่ยวกับมึง” มันมองตาเขาอย่างคาดคั้น ไม่อาจหลบเลี่ยงได้

“เอ่อ...” เดียร์เฝ้าคิด เรื่องนี้ไม่เคยนึกมาก่อนเลยด้วยซ้ำ ครั้งนี้ไม่เพียงแต่ตอบไม่ได้ แต่เขาเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน..ระหว่างหมอนั่น มันก็ถูกที่เราสองคนไม่มีเหตุผลใดๆ เกี่ยวข้อง แต่หากมองไปตั้งแต่เริ่มต้น

 

เหตุผลก็คงเป็นเพราะ...

ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นที่เข้ามาช่วยในคืนนั้น เดียร์ก็ไม่รู้ว่าชีวิตตัวเองจะผลิกผันได้เท่านี้หรือไม่ หากมีพวกมันสองคนอยู่ด้วย เขาก็คงจะเอาตัวรอดมาได้เหมือนทุกที แล้วไอ้คนพวกนั้นก็คงไม่ผูกใจแค้นเล่นงานเขาต่อเนื่อง หาความสงบไม่ได้จนถึงทุกวันนี้ ชีวิตคงปลอดภัยและเขาก็ไม่ต้องย้ายไปอยู่ที่นั่น และทุกอย่างคงเป็นปกติ

 

เพียงแต่ว่า...ต้องย้อนเวลากลับไปแก้ไขอดีต

“เงียบทำไม?”

“กู...” เดียร์อยากเล่าเรื่องจริงให้มันฟัง แต่ใจหนึ่งก็ยังไม่พร้อม คิดว่าถ้ามันรู้ก็คงหาทางให้เขาออกมาจากที่นั่นอย่างแน่นอน เดียร์รู้ว่าพวกมันช่วยเหลือได้ แต่ว่าตอนนี้...

“พอๆ จะหมดคาบแล้วไอ้ห่า พวกมึงรีบๆ ทำเลย!” ภูรีบขัด เมื่อเห็นเวลาทำงานเหลืออีกไม่มาก เขายื่นใบงานให้ไปดูแล้วอธิบายเพิ่มเติม การกระทำนี้เรียกว่าเป็นการป้องกันไอ้เดียร์อยู่กลายๆ ซึ่งไอ้เนก็ดูออกมันถึงมองหน้าเขาอย่างไม่พอใจ

ภูรู้ว่าไอ้เพื่อนตัวดีกำลังปิดซ่อนบางอย่างเอาไว้ และเจ้าตัวยังไม่พร้อมจะบอกให้ฟัง ส่วนไอ้เนก็ไม่ยอม มันร้อนใจมากก็เลยใช้วิธีบังคับ

เรื่องแฟนเก่าพี่ชาย...เขานึกถึงสายตาของไอ้หมอนั่นเมื่อคืน แม้จะเข้าใจยากแต่ก็ไม่ถึงกับว่าดูไม่ออก...

 

 

หลังสอบกลางภาคเป็นการเริ่มฤดูแห่งการแข่งขันกีฬามหาวิทยาลัย ทุกคณะต่างแข็งขัน หลังเลิกเรียนมีการรวมกลุ่มกันไปทำหน้าที่ของแต่ละฝ่ายที่จัดแบ่งไว้ ตั้งแต่ขบวนพาเหรด ซ้อมเชียร์ลีดเดอร์ คุมแสตน ส่วนนักกีฬาก็แยกย้ายกันซ้อมตามประเภท ทุกคนให้ความร่วมมือเพราะถือว่างานนี้ชี้วัดถึงพลังสามัคคีของเด็กในคณะ

ภูช่วยอำนวยความสะดวกในการซ้อมของนักกีฬา ทุกๆ เย็นขณะที่เพื่อนกำลังซ้อม ทีมของเขาจะรับผิดชอบจัดเตรียมน้ำดื่มไปให้บริการถึงที่ นอกเหนือจากนั้นยังมีผ้าเย็น พวกยาต่างๆ รวมถึงข้าวกล่อง ขาดเหลืออะไรก็แค่ให้บอก แม้แต่แฟนนักกีฬามาทะเลาะกันข้างสนามก็เข้าไปเคลียร์ให้จนจบ เขาทำได้ทุกอย่าง ขอให้ไม่มีอะไรมาเป็นอุปสรรคในการซ้อมของนักกีฬาก็พอ...

เนเป็นกัปตันทีมฟุตบอล พวกเขามีเวลาซ้อมในสนามช่วงหกโมงเย็นเป็นต้นไปจนถึงสามทุ่มครึ่งของทุกๆ วันศุกร์และเสาร์ รอบซ้อมหลังจากนั้นก็นัดแนะกันไปข้างนอก เพราะเป็นแชมป์เก่าถึงต้องทำให้ดีที่สุดเพื่อรักษาตำแหน่ง แต่ดูเหมือนว่าช่วงนี้เจ้าตัวจะไม่ค่อยมีสมาธิเท่าไหร่นัก เนมักจะใส่อารมณ์จนเพื่อนร่วมทีมต้องคอยเตือนอยู่บ่อยๆ เขาเป็นแบบนี้ทุกครั้งเมื่อมองไปรอบๆ แล้วไม่เห็นใครบางคนซ้อมวิ่งอยู่ในลู่ มันตีตัวออกห่างเขาทุกทีที่ทำได้ ยอมไปซ้อมข้างนอกเพื่อจะเจอหน้าเขาน้อยลง

ส่วนเดียร์พี่ต้นให้เขาลงแข่งกรีฑาระยะ 1,500 เมตร เท่ากับว่าเขาต้องวิ่ง 4 รอบสนามภายในเวลา 10 นาที ปีที่แล้วสถิติของอันดับที่ 1 อยู่ที่ 6:16.40 นาที ปีนี้ถ้าเดียร์อยากจะชนะ ก็ต้องซ้อมทำเวลาให้ได้น้อยกว่า 6 นาทีเป็นอย่างต่ำ ฟังรายละเอียดในที่ประชุมแล้วรู้สึกหืดขึ้นคอ เป็นครั้งแรกที่พี่ต้นตัดสินใจให้เขาลงแข่ง จากที่เคยวิ่ง 800 เมตรมาตลอด เขาค่อนข้างกังวล ซึ่งวันแข่งก็ใกล้เข้ามาทุกที

ในมหาวิทยาลัยไม่ว่าจะผ่านตึกไหนก็ได้ยินแต่เสียงเชียร์ร้องดังกระหึ่ม ทุกคณะเริ่มซ้อมใหญ่ บรรยากาศครึกครื้น ยิ่งช่วงเสาร์อาทิตย์บางคนถึงกับอยู่ในมหาวิทยาลัยจนถึงเช้าเลยก็มี นับเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่นักศึกษาส่วนใหญ่ให้ความร่วมมือ เพราะมันถูกปลูกฝังให้กลายเป็นประเพณีไปเสียแล้ว

เดียร์กลับมาถึงห้องก็ไม่มีแรงไปทะเลาะกับใคร รีบเข้านอนทุกคืนเพราะต้องตื่นแต่เช้าไปซ้อมวิ่งให้ร่างกายมันคุ้นเคย เหลือเวลาอีกอาทิตย์กว่าๆ เขาไม่คาดหวังว่าตัวเองจะชนะ ถือว่าทำสถิติให้ตัวเอง ให้คุ้มกับเวลาที่ซ้อมไปก็พอ

ท่าทางเช้านี้จะไม่ได้มีแค่เขาเพียงคนเดียวที่ตื่นแต่เช้ามารับแสงแรกของวัน ห่างไปไม่ไกลมีร่างสูงใหญ่กำลังขะมักเขม้นอยู่กับงานถ่ายภาพตรงหน้า เหมือนฝ่ายนั้นจะรู้ตัวก็เลยหันมา เป็นจังหวะเดียวที่เดียร์กำลังมองอยู่พอดี คราวนี้จะทำเป็นไม่เห็นก็กระไรอยู่ ก็เลยต้องวิ่งต่อไปแบบนั้น อย่างไม่มีอะไรเกิดขึ้น

 

อธินไม่ได้ทักทายด้วยคำพูด พอเห็นอีกคนเข้ามาใกล้ก็แกล้งขวางทางให้คนอารมณ์เสียเล่น นี่เป็นเรื่องที่เขาถนัด พอเด็กตรงหน้าจนใจก็หลีกทางให้ แม้จะโดนด่าว่าทำให้เสียเวลา แต่เขากลับรู้สึกพอใจที่ได้แหย่

คืนวันเสาร์นี้ที่คลับมีปาร์ตี้แต่เดียร์เป็นเด็กดีไม่ออกไปไหน หลังจากซ้อมวิ่งตอนเย็นก็กลับมาอาบน้ำเพื่อเตรียมลงไปกินข้าว ได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้นเสียก่อน แล้วก็ต้องงงเมื่อเห็นอันนาถือถุงใบใหญ่ยืนอยู่หน้าห้อง ในนั้นมีเครื่องดื่มเกลือแร่ น้ำหวาน ของกินบำรุงกำลังเต็มไปหมด ยังไม่ทันเอ่ยถาม ฝ่ายนั้นก็บอกมาว่าคุณอธินให้เอามาฝาก เดียร์อยากปฏิเสธแต่คนเอามาให้กลับถือวิสาสะเข้าไปเปิดตู้เย็นแล้วจัดเรียงของพวกนั้นลงไป สั่งกำชับว่าต้องกินให้หมด อย่าให้เสียของ

เดียร์ถอนหายใจ ทั้งเจ้านายทั้งลูกน้องนิสัยเดียวกันไม่มีผิด ชอบบังคับอะไรตามใจชอบอยู่เรื่อย

พอลับหลังฝ่ายนั้น เจ้าตัวก็วิ่งไปเปิดตู้เย็นสำรวจดูว่ามีอะไรแช่อยู่บ้าง คืนนี้ไม่ได้ออกไปเมาที่คลับก็จริง แต่ดูเหมือนว่าใครบางคนจะตั้งใจจะให้เขาเมาเกลือแร่ตายอยู่ที่ห้องมากกว่า เยอะขนาดนี้เอาไปอาบก็ยังได้

 

หนึ่งสัปดาห์ผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว วันนี้เป็นวันแรกของงานกีฬา ขบวนพาเหรดของแต่ละคณะถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ วงโยธวาทิตเล่นบรรเลงเพลงอย่างฮึกเหิม ดรัมเมเยอร์ของแต่ละคณะแข่งขันกันโยนไม้คฑาเรียกเสียงเชียร์จากผู้คนในสนาม เชียร์ลีดเดอร์หนุ่มสาวโชว์สเตปมืออย่างพร้อมเพียง ตามด้วยกองทัพนักกีฬาทยอยเข้าสู่รั้วสนามไปตามลำดับ สิ้นสุดการกล่าวเปิดงานของอธิการบดี สัญญาณเพลงเริ่มขึ้น พร้อมกับไฟในกระถางคบเพลิงที่ถูกจุดขึ้นแล้ว

เดียร์ใส่ชุดวอร์มประจำคณะนั่งดูการแข่งกันฟุตบอลในสนาม รอบคัดเลือกเข้าชิงแชมป์ในวันสุดท้าย คณะของเขาแข่งกับศึกษาศาสตร์ ฝั่งโน้นเล่นดีไม่น้อย หวิดจะทำประตูตีเสมออยู่หลายรอบ ถ้ากัปตันทีมอย่างไอ้เนหัดใจเย็นกว่านี้และไม่วู่วาม เดียร์นั่งนับใบเหลืองของมันตั้งแต่เริ่มแข่งมา หากผิดกติกาอีกครั้งนี้ได้ถูกไล่ออกจากสนามแน่ ไม่รู้ไปบ้าพลังมาจากไหน ถ้ายังระงับอารมณ์ไม่ได้ มีหวังทั้งทีมได้ซวยกันไปหมด

รอแข่งเสร็จ เขาตั้งใจจะเข้าไปเคลียร์ให้รู้เรื่อง

ทันทีที่เห็นหน้ากัน เนก็เดินหนีไปไม่ยอมพูดด้วย ตั้งแต่วันนั้นมันก็ดูหงุดหงิดตลอดเวลาที่เห็นหน้าเขา เดียร์เลยลองอยู่ห่างๆ เผื่อว่ามันจะดีขึ้น แต่กลับแย่ลง

“เป็นอะไรของมึง?” เดียร์ปิดก๊อกน้ำที่มันกำลังใช้ล้างหน้า เนหันมามองครู่หนึ่งแล้วหมุนตัวไปคว้าผ้าขนหนูมาซับเหงื่อ แต่เดียร์ไวกว่ารีบรั้งร่างของมันให้หันมาเผชิญหน้า

“กูไม่ชอบเลยที่มึงเป็นแบบนี้ มีอะไรก็พูดกันดีๆ สิวะ” เดียร์ตะโกนลั่น ทำเอาคนในนั้นหันมอง ร่างสูงใหญ่หันกลับมาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

“ไม่ชอบใจก็อยู่ห่างๆ จะมาเดือดร้อนทำไม!”
 
คนตัวเล็กกว่าเริ่มโมโห มือข้างหนึ่งดึงคอเสื้อมันมา ส่วนอีกข้างกำแน่น ถ้ามันยังพูดไม่รู้เรื่องเห็นทีต้องซัดให้หายโง่เสียแล้ว

"มึงนี่มัน!"

"กูก็เป็นแบบนี้ มึงไม่ต้องสนใจ" เขาหมายถึงว่าให้มันปล่อยเขาไปก่อน เมื่อไหร่ที่หายบ้าแล้ว ทุกอย่างจะกลับไปเป็นปกติเอง
เพียงแต่ไม่ใช่ตอนนี้ เพราะเขายังจัดการกับอารมณ์ตัวเองไม่ได้ หลังจากที่รับรู้อะไรบางอย่าง เรื่องที่มันตั้งใจปกปิดเขาไว้ ตั้งแต่วันนั้น...

"กูเป็นเพื่อนมึงนะ ไม่ให้สนใจได้ยังไง"

"กลับไปเถอะ กูยังไม่อยากคุยกับมึง"

"ไอ้เหี้ยเน!!" มือข้างหนึ่งเค้นลงไปอย่างสุดกำลัง เดียร์โมโหที่โดนมันปฏิเสธ กำมือแน่นเกือบจะชกมันไปเสียแล้ว

"บอกให้กลับไปไง พูดไม่รู้เรื่องรึไงวะ...” เนมองลึกเข้าไปในดวงตาคู่นั้นที่แดงรื้นขึ้นมาพร้อมหยาดน้ำใสๆ
เพราะทำอะไรไม่ได้ เจ้าตัวเลยคลายแรงลงและปล่อยมือในที่สุด เดียร์ไม่พูดอะไรหลังจากนั้นก่อนจะเดินออกไปแล้วทิ้งเขาไว้กับความเสียใจที่มีต่อกัน

เขาอาจจะใจร้อน บางคราวก็ไร้เหตุผล แต่ก็เป็นห่วงมันไม่แพ้ใคร เกลียดตัวเองทุกครั้งที่ทำให้มันเข้าใจผิด เพราะสำหรับเขาการนิ่งเงียบคือการตัดปัญหาได้ดีที่สุด แม้จะทำให้หงุดหงิดใจบ้าง แต่มันก็เป็นการหักดิบตัวเอง ระงับอารมณ์ไว้ ไม่ให้เผลอแสดงออกมากไป

เขาชอบมันมากกว่าคำว่าเพื่อน แต่ไม่ได้ต้องการเป็นมากกว่านั้น แค่เห็นมันยิ้มได้และใช้ชีวิตอย่างมีความสุขเขาก็ดีใจ
อยากเป็นคนสำคัญของมัน เป็นที่พึ่งพิงให้ยามเดือดร้อน อยากเป็นคนแรกที่มันนึกถึงเมื่อมีปัญหาเหมือนที่ผ่านมา

เนบอกขอโทษมันผ่านทางอากาศ มองตามแผ่นหลังนั้นไปอย่างรู้สึกผิดที่ครั้งนี้เป็นคนทำให้มันเสียใจอีกแล้ว

 

 

การแข่งขันดำเนินมาถึงวันที่สอง วันนี้พวกแข่งกรีฑาลงสนามครบเซต ทั้งประเภทลู่ ประเภทลาน ทั้งชายและหญิง เดียร์ลงแข่งเป็นรายการสุดท้ายต่อจากนักกีฬาฝ่ายหญิง เขาใจเต้นตึกตัก หวั่นๆ ว่ามันจะไปได้ดีรึเปล่า เมื่อหันมองนักกีฬาคนอื่นๆ ที่วอร์มร่างกายอยู่ข้างสนาม แต่ละคนหุ่นมาตรฐานทั้งนั้น ดูแข็งแรง พอเทียบกับตัวเองแล้วคนละเรื่องกันเลย

ภูเห็นมันมองคนอื่นแล้วใจแป้วก็เลยเข้าไปช่วยเรียกกำลังใจให้ บอกมันว่าไอ้พวกถึกๆ แบบนั้นใช่ว่าอึดทนทานเสียเมื่อไหร่ สู้ร่างเพียวบางแบบมันไม่ได้ ตัวเล็กกว่าได้เปรียบ เพราะฉะนั้นอย่าไปกลัว

พี่ต้นกับพี่คนอื่นๆ ในคณะแวะเข้ามาให้กำลังใจในระหว่างที่เดียร์กำลังรอคนอื่นๆ แข่งขัน พวกสาวๆ ก็ซื้อน้ำมาให้เพียบ แม้แรงเชียร์ล้นขอบสนามแต่ก็อดหวั่นใจไม่ได้อยู่ดี

“จะแข่งแล้วยังไม่รีบวอร์มอีก” จู่ๆ มือหนาก็โบกเข้าให้เต็มกะบาล เดียร์หันไปเห็นคนที่เพิ่งมาถึงแล้วดีใจจนลืมความเจ็บ วันนี้ไอ้เนอารมณ์ดีคิดว่าผีคงออกจากร่างแล้ว

“หายหัวไปไหนมาวะ?” เขารอมันอยู่ตั้งนาน คิดว่ายังโกรธกันเสียอีก ถ้ามันไม่มาเชียร์เขาล่ะก็ จบงานนี้ได้มีเรื่องกันแน่

“ไปสืบฝั่งคู่แข่งมาให้มึงนั่นแหละ”

“แล้วเป็นไงมั่งวะ”

“มีแต่พวกแรงควายทั้งนั้น”

“เหี้ยนี่ก็พูดให้มันใจเสีย” ภูหัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นไอ้ตัวเตี้ยสุดในกลุ่มหน้าซีดไป ที่ลงแข่งมีทั้งหมด 6 คณะ ล้วนเป็นหน้าประจำที่เคยแข่งชนะมาแล้วหลายครั้ง ส่วนไอ้เพื่อนของเขาปีนี้ถูกจับลงแข่ง 1,500 เมตร ปีแรก เรื่องความเร็วจากที่ซ้อมมามันก็ทำได้ดีอยู่ ที่เหลือก็ต้องมาวัดกันว่าคู่แข่งจะเป็นอย่างไร

เดียร์เริ่มเครียดอีกครั้งเมื่อเสียงประกาศให้นักกีฬาไปรายงานตัวก่อนการแข่งขัน ตอนนี้ต้องแยกจากเพื่อนๆ ไปรอในสนามแล้ว เขามองการแข่งขันที่เสร็จไปทีละรายการอย่างกังวล มือไม้เย็นเฉียบ ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องตื่นเต้นและกดดันได้ถึงขนาดนี้ ทั้งที่คนอื่นๆ เขาก็ดูเป็นปกติ ไม่แสดงอาการประหม่าออกมาให้เห็น โชคดีที่พี่ต้นเข้ามายืนเป็นเพื่อนคอยแนะนำและให้กำลังใจ แต่ดูเหมือนว่าคำพูดพวกนั้นแค่ผ่านหูไปเฉยๆ ไม่มีประโยชน์อะไรเพราะในหัวอื้ออึง ได้ยินก็แต่เสียงเชียร์กระหึ่มบนอัฒจันทร์

“เดียร์ มีคนโทรมา” พี่ต้นสะกิดเรียกเขาที่ยืนหลับตานิ่งพยายามควบคุมลมหายใจ ยื่นโทรศัพท์ที่ฝากไว้มาให้ รุ่นพี่ถึงกับขมวดคิ้วเมื่อเห็นชื่อคนโทรเข้า

“เหี้ยอธิน?”

เดียร์รีบคว้าไปทันทีอย่างไม่เชื่อสักเท่าไหร่ แต่พอเห็นเป็นชื่อนั้นจริงๆ ก็รีบกดรับก่อนที่มันจะตัดไป

“มีอะไร?”

“ใกล้แข่งแล้วนี่ ทำไมยังรับโทรศัพท์อีก”

“เอ้า แล้วจะโทรมาทำไมวะ?” เดียร์ถามกลับเสียงยุ่ง ได้ยินเสียงเชียร์ดังแว่วมาจากในสาย ก็คาดการณ์ได้ว่าหมอนั่นคงอยู่ในสนาม เด็กหนุ่มกวาดมองไปบนแสตนแต่ก็ไม่เห็น วันนี้คนเยอะเสียด้วย ว่าแต่หมอนั่นรู้ได้ยังไงว่าวันนี้ลงแข่ง ทั้งที่ไม่ได้บอกสักคำ

อธินไม่ตอบอะไร เพียงแต่กำชับว่าอย่าให้เขาเสียค่าเกลือแร่ไปเปล่าๆ ก็พอ...และหวังว่าคนบางคนจะไม่หมดแรงคาสนามเสียก่อน

หมอนั่นมันสบประมาทเขาชัดๆ เดียร์คิด ตอนแรกรู้สึกดีแล้วเชียว แต่พอได้ยินแบบนี้แล้วมันชักเดือด

เดียร์วางสายไปไม่นาน รู้สึกว่าอาการตื่นกระหนก กดดันมันหายไปแล้ว ความเครียดที่สะสมเอาไว้จนแทบระเบิดคล้ายถูกปลดปล่อย

คงต้องขอบใจไอ้คนที่โทรมาก่อกวนก่อนหน้านี้ล่ะมั้งที่หันเหความรู้สึกพวกนั้นไปจนหมด

เหลือก็แต่อาการดีใจ ... 

 

 

 

 

                       

 ...............................

 

น้องเดียร์สู้ๆ น้องเดียร์สู้ตาย วิ่งไปเลยค่ะลูก!! ^^ สู้ๆๆ           

           

 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-05-2018 23:38:01 โดย Alchemist_toey »

ออฟไลน์ Alchemist_toey

  • I'm Cassiopeia
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 62
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
Re: Dear to me >> 15 : ไม่ใช่แค่เกลียด (02/05/2018)
«ตอบ #31 เมื่อ02-05-2018 23:35:52 »


15

ไม่ใช่แค่เกลียด

 

 

เสียงประกาศให้นักกรีฑาลงสนาม เดียร์เดินตามกรรมการไปยังลู่ของตัวเอง ระหว่างที่พีธีกรอ่านรายชื่อนักกีฬาทุกคน สายตาเขาก็คอยมองไปบนอัฒจันทร์ ผู้คนบนนั้นส่งเสียงกระหึ่ม เห็นลีดเดอร์คณะของตัวเองเต้นให้กำลังใจเดียร์ก็ยิ้มรับไว้ น้องๆ บนแสตนเชียร์ก็น่ารักช่วยกันแปรอักษรเป็นชื่อเขาภาษาอังกฤษ จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นรูปหัวใจสีแดง เจ้าตัวเห็นแล้วก็เขิน ได้แต่หัวเราะออกมา

เล่นประกาศชื่อกันให้คนรู้ทั้งสนาม ไม่ให้อายก็หน้าด้านเกินไปแล้ว...

ไอ้ภูกับไอ้เนยืนเชียร์อยู่ไม่ห่าง พวกมันคอยบริการเต็มที่ ได้ยินไอ้ภูตะโกนบอกมาว่าถ้าชนะจะพาไปเลี้ยง เรื่องกินฟรีฟังแล้วรู้สึกมีเรี่ยวมีแรงยังไงชอบกล เดียร์ยิ้มร่าเริงให้พวกมันก่อนจะกวาดสายตาไปรอบสนาม มองหาใครสักคนที่คิดว่าคงดูอยู่แน่ๆ แต่คนเยอะมาก มองไปแล้วรู้สึกตาลาย

 

 

จากมุมนี้ลงไปในสนามเขาเห็นทุกอย่างชัดเจน ร่างเพรียวบางสวมชุดวิ่งสีขาวติดหมายเลขประจำตัว ใบหน้ายิ้มแย้มร่าเริง อาการกังวล ไม่มั่นใจนั้นหายไปหมดแล้ว คนในภาพดูสดใสเป็นธรรมชาติ

คนที่นั่งถ่ายภาพได้ยินหลายคนชมว่าเด็กนั่นน่ารัก เขาอดไม่ได้ต้องหันไปมองคนพูด น่ารักก็จริงอยู่ แต่คนอื่นคงไม่มีโอกาสได้เห็นมุมอื่นๆ ของเด็กคนนี้อย่างที่เขาได้เห็นแน่นอน

ปัง!

เสียงเหนี่ยวไกเป็นครั้งสุดท้ายบอกสัญญาณ นักกีฬาทุกคนออกตัวไปอย่างพร้อมเพรียง อธินมองร่างเพรียวบางในสนามที่ดูตัวเล็กกว่าคนอื่นๆ ตามไปเป็นลำดับที่สี่ ในตอนนั้นเขาได้แต่ภาวนาขอให้เจ้าตัวรักษาระยะของตัวเองไว้ให้ดี เขาเชื่อมั่นว่าเด็กคนนั้นทำได้

คนตัวเล็กโดนคู่แข่งในลู่ที่สามวิ่งนำไปตอนถึงแนวโค้ง เดียร์ยังไม่ได้ถอดใจเพราะระยะทางยังไม่ถึงหนึ่งในสี่ เสียงเชียร์จากคนในคณะร้องดังไม่แพ้ใคร พวกนั้นตะโกนเป็นชื่อเขาเสียงดังสนั่น เดียร์เร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นในรอบที่สอง ทำให้เข้ามาติดอยู่ในลำดับที่สี่เหมือนเดิม

เสียงกรี๊ดดังลั่นเมื่อเดียร์ไล่นำมาเป็นลำดับที่สาม พี่เอกที่ค่อนข้างตัวสูงเหลือบมองเขานิดหน่อยเป็นผลทำให้เสียจังหวะ ฝ่ายนั้นก็เลยตกไปอยู่อันดับที่สี่แทน

เข้าสู่รอบที่สามเดียร์ออกแรงวิ่งมากขึ้นกว่าเดิม แต่ก็ยังออมไว้เผื่อรอบสุดท้ายก่อนจะเข้าเส้นชัย เขาเริ่มมีความหวังเมื่อคนที่วิ่งอยู่ในลำดับที่สองเรี่ยวแรงแผ่วลงเล็กน้อย เดียร์เรียกเสียงกรีดร้องกระหน่ำจากผู้คนในสนามเมื่อเข้ามาเป็นลำดับที่สอง เหลือระยะทางอีกครึ่งรอบสนาม ทุกคนนั่งไม่ติดพื้น ยืนส่งเสียงเชียร์ลั่น บางคนตื่นเต้นก็วิ่งลงมาเชียร์ข้างสนามแทน

ร่างเพรียวบางปล่อยเรี่ยวแรงไปสุดกำลัง สาวเท้ารวดเร็วสม่ำเสมอ มั่นคงในทุกฝีก้าว เดียร์รวบรวมลมหายใจแล้ววิ่งขึ้นนำเข้าสู่เส้นชัยในที่สุด ทุกคนเฮลั่น ประทับใจภาพสุดท้ายไม่มีลืม คนสนิทคนรู้จักวิ่งเข้ามารุมกอด คนที่ยืนหอบเป็นบ้าเป็นหลังแทบจะเป็นลมตายไปเสียก่อน พวกมันจับเขาขึ้นขี่คอจากนั้นก็มาบูมให้เสียงดังก้อง

กว่าจะปล่อยตัวกันได้ก็หลังจากยืนให้พวกมันเข้ามาล้อมถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึก ใครต่อใครมากหน้าหลายตาเล่นเอาเขางงไปหมด ไอ้ภูกับไอ้เนเอาน้ำกับผ้าเย็นมาให้ เห็นเขาเหงื่อโชก ตัวเปียกเหมือนวิ่งผ่านน้ำ ดูได้เสียที่ไหน

“กูไปเอาชุดวอร์มมาให้ มึงรออยู่นี่นะ” ไอ้เนบอกก่อนแยกตัวออกไป

อาจารย์ที่สอนเขาเอ่ยชมว่าทำได้ดีมากตอนคล้องเหรียญทองให้ เป็นตอนที่เดียร์รู้สึกภูมิใจอย่างที่สุด เด็กหนุ่มยิ้มแก้มปริ ชูเหรียญรางวัลขึ้นอวดใครต่อใคร เป็นนาทีเดียวกันที่ได้ยินกดชัตเตอร์ผ่านเข้ามา

คนถ่ายภาพเป็นคนเดียวกับที่เดียร์กำลังมองหา หมอนั่นให้เขาถือเหรียญไว้แล้วยิ้มให้กล้อง ก่อนจะหันไปบอกให้นักกีฬาร่างใหญ่สองคนที่เหลือเข้ามาถ่ายด้วยกัน

เดียร์อดหมั่นไส้ช่างภาพตรงหน้าไม่ได้ ยิ่งเห็นสายตาเป็นปลื้มของสาวๆ ที่มองมาแล้วรู้สึกตงิดใจชอบกล ถึงหมอนั่นจะแต่งตัวสบายๆ ไม่เหมือนตอนทำงาน แค่เสื้อยืดกับกางเกงซีดๆ ธรรมดาก็ยังกลบความโดดเด่นนั่นไม่ได้

“ยิ้มสิ” เสียงสั่งมาแต่ไกล เดียร์ถลึงตาใส่ไอ้ตากล้องที่ไม่ได้รับเชิญ แล้วยิ้มให้ไปแบบไม่เต็มใจเท่าไหร่นัก

 

เดียร์นั่งเชียร์ฟุตบอลที่คณะเขาลงแข่งรอบชิงชนะเลิศ โดยมีคนบางคนนั่งลงใกล้ๆ ทั้งที่ไม่บอกกล่าว ทั้งคู่ไม่ได้พูดอะไรหลังจากนั้น อธินก็ถ่ายรูปของตัวเองไป ส่วนอีกคนที่ได้แชมป์มาหมาดๆ ก็นั่งถ่ายรูปตัวเองคู่กับเหรียญรางวัล

จะมีก็ตอนที่ฝ่ายคณะของเขาประตูขึ้นทำนั่นแหละ เจ้าตัวโห่ร้องอย่างดีใจ คนที่นั่งอยู่ข้างๆ เห็นท่าทางแล้วอดขำไม่ได้ เดียร์มองอย่างคอดค้อนถามพลางถามเสียงขู่ว่าอยากมีปัญหานักใช่ไหม

อธินบุ้ยใบ้ เขาบอกว่าจะไปหาของกินระหว่างรองานเลิก ส่วนเดียร์จะกลับเมื่อไหร่ก็ให้โทรบอกทีหลัง

ฝ่ายนั้นเดินไปแล้วโดยไม่มีการถามไถ่ว่าคนอื่นจะหิวรึเปล่า เดียร์มองตามแล้วตะโกนไล่หลังว่าให้รอด้วย อธินหันมาและยืนรอ ไอ้ตัวดีรีบเก็บของ แล้วทั้งคู่ก็เดินออกไปพร้อมกัน

 

งานกีฬาประเพณีผ่านพ้นไปกว่าหนึ่งสัปดาห์ ไอ้สองตัวที่สัญญาว่าจะพาไปเลี้ยงก็ทำตามที่ว่านั้นจริงๆ เดียร์กินอิ่มติดต่อกันสองวันเต็มๆ กลับถึงหอก็ค่ำ แต่ดูเหมือนว่าคืนนี้ใครบางคนจะมีแขก

ที่ศาลาริมสระน้ำของเขาเห็นใครบางคนอยู่กับคนๆ เดิมที่มักจะแวะเวียนมาหากันบ่อยๆ หากไม่อยู่ที่ห้องอาหาร ก็เป็นในครัวเบเกอรี่ หรือไม่ก็ที่คลับ เดียร์ได้ยินมาว่าฝ่ายนั้นตั้งใจจะมาเรียนรู้สูตรขนมที่นี่ ส่วนหมอนั่นก็ดูคล้อยตามไปทุกเสียทุกเรื่องทั้งที่รู้จักกันก็ไม่นาน

เดียร์ไม่ได้อยากยุ่งเรื่องส่วนตัวของใคร ใครจะทำอะไร ที่ไหน ก็เป็นเรื่องของเขา เพียงแต่ว่าถ้าเกิดไม่ไปเห็นภาพหนึ่งเสียก่อน

 

คนที่กินอิ่มจนนอนไม่หลับออกมาเดินย่อยอาหารรับลมเย็นๆ ริมชายหาด เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้น เขาได้ยินแล้วใจไม่ดีค่ำมืดแบบนี้ก็รู้สึกวังเวง เด็กหนุ่มจะกลับห้องแล้วเชียวแต่ได้ยินเสียงพูดคุยลอยแว่วมา ก็เลยมองหาต้นตอของเสียงพิสูจน์ตัวเองว่าไม่ได้เพี้ยนจนหูฝาด และได้เห็นใครคนหนึ่งยืนระบายความทุกข์กับแผงอกแกร่ง คนที่ยืนหันหลังให้กอดฝ่ายนั้นเบาๆ และพูดจาปลอบประโลม จนคนที่ร้องไห้เสียใจนิ่งเงียบในที่สุด

เห็นแล้วใจมันแผ่วๆ เจ้าตัวไม่คิดอะไรมาก แต่ก็ยังยืนดูความเป็นไปต่อจากนั้น เขาไม่ได้ยินว่าทั้งสองคุยอะไรกัน แต่คำพูดของอธินทำให้ฝ่ายนั้นสงบลงไปอย่างมาก

หมอนั่นมีวิธีการพูดที่ดี จึงไม่แปลกที่คนร้องไห้จะเผลอยิ้มออกมา ผู้ชายอบอุ่นแบบเขาใครๆ ก็อยากเข้าใกล้ อยากอยู่ด้วยอยู่แล้ว

เดียร์ไม่ปฏิเสธหรอกว่ามันไม่จริง...

ก่อนที่จะละสายตาจากภาพนั้น คนตัวเล็กกว่าโน้มใบหน้าอีกฝ่ายลงมาใกล้ และริมฝีปากของทั้งคู่ก็แนบชิดกันในที่สุด

เขาจำภาพนั้นได้ติดตา แล้วความรู้สึกแย่ๆ ก็พัดเข้ามาในใจอย่างไร้สาเหตุ

 

 

 

 

คืนนี้สมาชิกในชมรมมาจัดปาร์ตี้กันริมชายหาด ตั้งวงปิ้งบาร์บีคิวแกล้มเบียร์รับลมเย็นๆ เสียงพูดคุยของพวกเพื่อนๆ มีไม่ขาดสาย เดียร์แยกออกมาจากกลุ่ม ล้มตัวนอนลงบนเสื่อ แหงนหน้าขึ้นไปดูดวงดาวบนท้องฟ้า คืนนี้ไร้แสงจันทร์ ทำให้มองเห็นดาวบนนั้นชัดเจน           

ทำไมยังเก็บเอามาคิด เรื่องไม่เป็นเรื่องที่ทำให้เขาไม่เป็นตัวเองมาหลายวัน ทั้งที่ควรจะลืมไปได้แล้ว

ความรู้สึกนี้ เขาเองก็ไม่ค่อยเข้าใจนัก

 

“เฮ้ย! รีบเก็บของ” พี่ต้นเดินมาบอก แต่คนนอนอยู่กลับนิ่งไม่ขยับ

“ผมยังไม่อยากกลับ”

“เที่ยงคืนแล้ว จะนอนนี่รึไง” พี่ต้นลากแขนรุ่นน้องขึ้นมานั่ง บอกว่าเห็นอาการหมาหงอยของเขาแล้วรู้สึกเซ็ง ถ้ามีปัญหาอะไรก็ควรรีบไปเคลียร์ ไม่ใช่มาฟุ้งซ่านแบบนี้ มันไม่ใช่ลูกผู้ชาย

“ผมไม่ได้มีเรื่องกับใครสักหน่อย”

“สารรูปดูได้เสียที่ไหน อาการเหมือนไอ้นัทไม่มีผิด” ประธานชมรมกรีฑาชี้ให้เขาดูผู้ชายอีกหนึ่งที่นั่งกอดเข่าอยู่ไม่ไกล เดียร์เห็นเงาของมันจากด้านหลังก็รู้ว่าฝ่ายนั้นคงกำลังร้องไห้

เดียร์ไม่ได้อกหัก ไม่ได้หลงรักใครแบบมัน และยังยืนยันว่าตัวเองเป็นปกติ

“กลับบ้านได้แล้วมึงน่ะ” รุ่นพี่บอกด้วยความห่วงใย เพราะก่อนหน้านี้ได้ยินเสียงโทรศัพท์ มีคนโทรเข้ามาตั้งหลายสาย

“ให้คนอื่นเป็นห่วงมันไม่ดีนะเว้ย”

กลุ่มเพื่อนที่เหลือทยอยไปขึ้นรถ พวกมันตั้งใจจะขับไปส่งเขาที่หอ แต่เดียร์ไม่อยากให้คนอื่นรู้ว่าตัวเองพักอยู่ที่ไหน

“เฮ้ย พวกกูไปส่ง ถ้าแม่มึงด่าเดี๋ยวกูรับหน้าให้เอง” พี่คิมยังคงยืนยันหนักแน่น จนแล้วจนรอด ก็ปฏิเสธไม่ได้

 

ทุกการกระทำอยู่ในสายตาของใครคนหนึ่ง อธินยืนรออยู่นานแล้ว ตั้งแต่ได้ยินเสียงรายงานมาจาก รปภ.ประตูทางเข้า ซึ่งเขาเน้นย้ำไว้เป็นพิเศษ ชายหนุ่มรอจนเด็กพวกนั้นกลับไปหมดแล้ว เขาถึงตามมา

 

เดียร์เดินขึ้นบันไดไปอย่างไม่รู้สึกถึงความผิดปกติ เมื่อไขกุญแจเข้าห้องไปแล้ว ก่อนที่จะปิดประตูใครบางคนก็ผลักมันไว้เสียก่อน

ร่างสูงยืนประจันหน้า ดวงตาคมปลาบจ้องเขามาเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ

“ไปไหนมา?”

“หลีก” เดียร์ออกแรงงับประตู แต่ฝ่ายนั้นดูเหมือนจะไม่ยอมให้เขาปิดง่ายๆ

“หายไปไหนมา?” ฝ่ายนั้นถามซ้ำอีกหน มือข้างหนึ่งยันขอบประตูไว้อย่างไม่กลัวจะถูกหนีบ

“จำเป็นต้องบอกทุกเรื่องด้วยรึไง?”

คำพูดนั้นยิ่งทำให้ชายหนุ่มโมโห เขาผลักประตูเข้ามาจนมันเปิดกว้าง

“ตราบใดที่ยังอยู่ที่นี่ นายก็ต้องอยู่ในกฎระเบียบ”

“ไปเที่ยวกับเพื่อนนี่ผิดระเบียบงั้นสิ” อีกฝ่ายย้อน เห็นสายตาที่ไม่พอใจนั่นแล้ว รับรู้ได้ทันทีว่าตัวเองกำลังถูกโกรธ

“ฉันไม่เคยห้ามเรื่องนั้น แต่นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว”

“ฉันดูแลตัวเองได้ ไม่ต้องห่วงหรอก” จะเอาเวลาไปทำอะไรก็เชิญตามสบาย ไม่ต้องกลัวว่าเขาจะทำเรื่องเดือดร้อนให้ “เอาเวลาไปดูแลเรื่องของตัวเองเถอะ มันจะดีมากถ้านายเลิกยุ่งกับฉัน” ประโยคนั้นฟังดูเหมือนกำลังประชด

“ดี! พูดได้ดี”

เดียร์ไม่โต้ตอบ แต่กลับปิดประตูใส่หน้าแขกที่ไม่ได้รับเชิญ ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร เพียงแต่ไม่อยากเห็นหน้า ไม่อยากคุยด้วย ไม่อยากได้ยินเสียง มันพาลให้นึกถึงภาพวันนั้น

แต่อาการที่คล้ายกับกำลังน้อยใจอยู่ลึกๆ นี่คืออะไร ไม่เข้าใจตัวเอง

 

 

หลังจากที่อธินกลับไปแล้ว สองลูกน้องและคนอื่นๆ ที่อยู่ห้องติดกัน ต่างแง้มประตูออกมาดู ถ้อยคำในบทสนทนานั้นยังคงวนเวียนอยู่ แน่นอนว่าไม่มีใครไม่ได้ยิน อย่าหาว่าพวกเขายุ่งเรื่องเจ้านายเลย ฟังดูก็รู้ว่านี่มันผิดปกติ

มีแต่ทั้งสองฝ่ายนั่นแหละที่ยังไม่รู้...

 

 

 

คืนวันศุกร์เขามีนัดกับเพื่อนในชมรม หลังจากวางสายไปได้ไม่นาน เดียร์ก็รีบค้นตู้เสื้อผ้าหาชุดใส่ไปงานวันเกิดพี่คิมทันที เขามีเวลาไปถึงโฮลิคคลับก่อนเวลานัดเกือบชั่วโมง ว่าแล้วก็รีบเข้าไปอาบน้ำแต่งตัวใหม่อีกรอบ

เด็กหนุ่มยืนสำรวจตัวเองหน้ากระจก เสื้อยืดสีขาวคลุมทับด้วยคาดิแกนสีเทาลายเกล็ดหิมะ กางเกงยีนส์สีดำรัดรูปอวดร่างเพรียวบาง เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว เจ้าตัวไม่ลืมฉีดน้ำหอมจนฟุ้งไปทั้งห้อง

กลิ่นรัมผสมกุหลาบหอมละมุนไปทั้งตัว...

เสร็จแล้วก็รีบออกจากห้องไปอย่างอารมณ์ดี

“จะไปไหน?” ใครบางคนเอ่ยทักตอนเขากำลังล็อคประตู เดียร์หันไปมองเจ้าของเสียงที่ยืนกอดอกขวางทางลงบันได

ทำหน้าที่ของตัวเองได้ดี สมกับที่เจ้านายไว้ใจจริงๆ เล่นมาเฝ้าถึงหน้าห้องกันแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่!

“เรื่องของฉันน่า”

“นี่มันก็ดึกแล้ว ถ้านายไม่อยากเดือดร้อนก็กลับเข้าห้องไปซะดีๆ” อันนาไม่ได้ขู่เลย ถ้าไม่ใช่เพราะคุณอธินสั่งไว้ล่ะก็...เขาเองก็ไม่ได้อยากเข้ามายุ่งกับเด็กนี่สักเท่าไหร่ แต่ขืนปล่อยไป เขากับเชนมีหวังจะซวยไปด้วยน่ะสิ

เดียร์ไม่อยู่ฟัง เขารีบเดินลงบันไดไปโดยไม่สนใจคำบอกของคนด้านหลังแม้แต่น้อย

“คุณอธินใกล้จะกลับมาแล้ว นี่นายไม่ได้ยินรึไง!” อันนาร้องบอก ก่อนจะรีบตามลงมาจากชั้นสาม

เดียร์ก็แค่ทำหูทวนลม นึกถึงไอ้หมอนั่นที่ออกไปส่งแขกคนสำคัญ จะกลับมาตอนไหนเมื่อไหร่ก็ยังไม่รู้ อย่าคิดจะเอามาขู่คนอย่างเขาเสียให้ยาก

“ฉันไม่สนใจหรอก ขอบใจนะที่เตือน” เดียร์หันหลังกลับมาบอกคนที่ดูจะเป็นเดือดเป็นร้อน

สำหรับเขา ไม่จำเป็นต้องไปฟังคำสั่งของไอ้คนพรรค์นั้นหรอก...

 

“มีอะไรกัน แล้วนั่นนายจะไปไหน?” เดียร์กรอกตาไปมาอย่างหมดความอดทนเมื่อชายร่างสูงอีกหนึ่งเข้ามาขวางทางไว้ นี่ก็อีกราย คนพวกนี้ตอแยกับเขาไม่เลิกจริงๆ

“หลีกไปเถอะน่า”

“ไม่ได้หรอก”

“เชน!!” เดียร์เรียกชื่อหมอนั่นอย่างหัวเสีย เมื่อฝ่ายนั้นยึดกระเป๋าสะพายเขาไว้ได้ ในนั้นมีบัตรประชาชน บัตรเครดิต อีกสารพัดเลยที่สำคัญ แถมโทรศัพท์ก็อยู่ในนั้น กุญแจห้องก็ด้วย

“เอาคืนมา!”

“ฉันคิดว่าคุณอธินจะคุยกับนายรู้เรื่องแล้วเสียอีก เรื่องที่ห้ามไม่ให้นายออกไปไหนตอนดึกๆ"

"ไม่ต้องห่วงหรอก ครั้งนี้ฉันไม่ได้จะไปเมาที่ไหน"

"ไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น ที่เตือนก็เพราะความปลอดภัยของนายเอง นายก็รู้ว่าคุณอธินเขาเป็นห่วง”

ใครจะไปรู้ว่าเป็นห่วงกันจริงหรือเปล่า! เดียร์อยากจะเถียงออกไป แต่พูดไม่ได้ ความน้อยใจมันตีล้นเข้ามาในอก ซึ่งไม่รู้ว่ามันเป็นไปแบบนั้นได้อย่างไรและตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ความรู้สึกนั้นค่อยๆก่อตัว

เพราะการคาดหวังถึงทำให้เป็นแบบนี้ เขาเกลียดที่ตัวเองสับสน เกลียดที่ให้คำตอบไม่ได้ว่าสิ่งที่เป็นอยู่คืออะไร ที่มันทำให้เขาอึดอัดจนแทบบ้าอยู่ทุกวัน อย่างน้อยการออกไปเจอเพื่อน ออกไปเจอสภาพแวดล้อมใหม่ๆ มันอาจจะช่วยลบล้างความคิดฟุ้งซ่านในใจนี้ได้

“ให้ฉันไปเถอะ...” น้ำเสียงอ่อนลง จนคล้ายจะเป็นการร้องขอ หน้าตาที่ดูซึมลงไปของเจ้าตัว ทั้งเชนและอันนาเห็นแล้วรู้สึกหดหู่ไปไม่ได้

ทั้งคู่มองตากัน ใช่ว่าจะไม่เข้าใจความรู้สึกของเด็กตรงหน้า คนนอกที่แค่มองดูก็รู้ทุกอย่าง เริ่มลำบากใจกับสถานการณ์ของคนทั้งสอง

“ฉันให้นายไปคนเดียวไม่ได้หรอก” เชนยืนยันหนักแน่น แต่กลับทำในสิ่งตรงข้าม เขาเปิดประตูรถคันเดิมที่เพิ่งขับเข้ามาแล้วเข้าไปนั่งประจำตำแหน่ง อันนาไม่พูดอะไรมาก รีบตามไปนั่ง เพราะรู้ว่าคงห้ามกันไว้ไม่ได้ อย่างน้อยมีพวกเขาไปด้วยก็คงดีกว่าปล่อยให้เด็กนั่นหายไปเพียงลำพัง

“ถ้าจะผิดก็ให้มันผิดกันทั้งหมดนี่ล่ะ” เชนบอกก่อนจะขับรถออกไป ครั้งนี้ขอทำอะไรที่นอกเหนือคำสั่งดูบ้างแล้วกัน

เหตุผลก็เพราะทนเห็นดวงตาเศร้าสร้อยคู่นั้นไม่ได้ และอันนาเองก็คงจะคิดเช่นเดียวกับเขา

ถ้ามันจะช่วยให้เด็กนั่นอารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง...

         

       

 

 

ออฟไลน์ janamanza

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 649
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-2
Re: Dear to me >> 14 : เริ่มรู้สึก (02/05/2018)
«ตอบ #32 เมื่อ02-05-2018 23:51:02 »

สนุกมาก เป็นพวกหัวแข็งกันทั้งคู่   :mew3: :mew3: :mew3: :mew3:

ออฟไลน์ Alchemist_toey

  • I'm Cassiopeia
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 62
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
Re: Dear to me >> 16 : พลาดไปแล้ว (02/05/2018)
«ตอบ #33 เมื่อ02-05-2018 23:53:31 »

16

พลาดไปแล้ว

 

 

 

“พวกฉันรออยู่ตรงนี้แล้วกัน แต่นายน่ะ สัญญาว่าต้องกลับก่อนเที่ยงคืนนะ” อันนาดูนาฬิกาบนข้อมือแล้วกะเวลาให้เสร็จสรรพ สามชั่วโมงนี้พวกเขาคงนั่งเสียวสันหลังวาบ ไม่รู้ว่าคุณอธินจะสงสัยหรือไม่ ที่หายไปแบบไม่บอกกล่าว หากเกิดรู้เรื่องขึ้นมาว่าเด็กนี่ไม่อยู่ด้วยล่ะก็ งานนี้เรียกว่าตายหมู่...

ก็ขอให้ผ่านไปได้ด้วยดีเถิด มันจะเป็นการฝืนคำสั่งครั้งแรก และครั้งเดียว เขาสัญญา

 

“มาช้าจังเลยนะมึง นึกว่าจะเบี้ยวซะอีก” เจ้าของวันเกิดรีบเดินเข้ามากอดไหล่ คืนนี้ดูพี่คิมจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษ พอเขามาถึงก็รีบจัดหาที่นั่งให้เป็นการใหญ่

“อยากกินไรสั่งเลย เดี๋ยวกูเลี้ยงเอง”

“ขอบคุณครับ”

เวลาผ่านไปเนิ่นนาน เขาถูกปล่อยทิ้งไว้ให้นั่งอยู่ลำพัง คนอื่นออกไปเต้น บ้างก็ไปจีบสาว เขาที่พาความเศร้ามาด้วยไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไร นอกจากนั่งเฉยอยู่อย่างนั้น นั่งมองเหล้าในมือที่ยังไม่พร่องไปไหน รู้สึกเบื่อจนไม่มีความรู้สึกอยากดื่มมันเข้าไป แม้แต่ผู้หญิงข้างๆ ที่ดูออกว่ากำลังสนใจในตัวเขามากแค่ไหน ก็ยังไม่ดึงดูดจนถึงขนาดที่อยากเข้าไปทำความรู้จัก อะไรๆ ก็ดูกร่อยไปหมด ไม่สนุกเหมือนทุกที

ในร้านดูครึกครื้น สถานที่ที่ทำให้เขารู้สึกดีเสมอเมื่อมีเรื่องทุกข์ใจ แต่ครั้งนี้กลับไม่ช่วยให้ดีขึ้นเลย หลายคนที่เข้ามาทักทายเพราะจำกันได้ เขากลับไม่อยากคุยกับใครเลย

“นี่ ทำตัวไม่คุ้มอีกแล้วนะมึง” มือหนาตบลงบนไหล่ เดียร์สะดุ้งตกใจเพราะกำลังเหม่อลอย

“พี่คิม!”

“เออ กูเอง เรียกแค่นี้ทำตกใจไปได้..." ฝ่ายนั้นเข้ามาใกล้จนได้กลิ่นเหล้า ใบหน้าแดงก่ำ พูดจาต่างไปจากทุกที

"มัวแต่คิดถึงแฟนอยู่รึไง?”

“แฟนที่ไหน ผมไม่มี” เดียร์ปฏิเสธอย่างตรงไปตรงมา

“อย่างมึงเนี่ยนะ ไม่อยากจะเชื่อ” พี่คิมเริ่มเข้ามาเกาะแกะ มืออุ่นแตะลงบนปลายคางของเขา แล้วจับพลิกซ้ายพลิกขวา เหมือนกำลังสำรวจ

เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกรำคาญคนเมา เริ่มเข้าใจหัวอกไอ้สองคนนั้นแล้วว่าทำไมถึงเขาเกลียดนัก คงทำตัวไม่ต่างจากรุ่นพี่นี่ล่ะมั้ง ทั้งที่ตอนปกติก็ดีอยู่หรอก

“พี่เมาแล้ว ลงมานั่งดีๆ เถอะ” เดียร์ฉุดแขนคนโตกว่าเข้ามานั่งด้วยกัน เกรงว่าถ้ายืนอยู่จะเซล้มลงเสียก่อน

“มึงไม่มีแฟนจริงๆ หรือวะ?” พี่คิมยังไม่เลิกเซ้าซี้ มือข้างนั้นก็ยังแนบแก้มเขาอยู่ ก่อนจะบังคับให้เขาหันมาตอบคำถามตรงๆ

“อื้ม”

“งั้นจีบมึงได้ไหม?” สีหน้าดูจริงจัง สองขาเริ่มขยับมาใกล้ คนที่นั่งอยู่ได้แต่ฟังตาค้าง ก่อนจะบอกตัวเองว่าอย่าไปถือสาคำพูดของคนเมา

“พี่เมาแล้วเหอะ” เดียร์ปัดมือนั่นทิ้ง คิดจะเดินไปตามพวกเพื่อนๆ ของพี่คิมให้มาดูแล เพราะได้เวลาที่เขาต้องกลับแล้ว แต่ใครจะรู้ว่าคนที่ดูเหมือนไร้เรี่ยวแรงกลับทำเรื่องที่ไม่คาดฝัน พี่คิมรั้งแขนข้างหนึ่งของเขากลับมา ก่อนจะดันเขาตัวไปชิดกับขอบโต๊ะ

“ไม่ได้เมา กูพูดจริงๆ!” ดวงตาคมเข้มเป็นประกาย ฝ่ายนั้นพยายามอ้อนวอนให้เขารับฟัง ซึ่งตัวเองต้องรวบรวมความกล้าเป็นอย่างมากกับการสารภาพในครั้งนี้ ทั้งที่เราก็เพิ่งจะรู้จักกันได้ไม่นาน

“พี่...” เดียร์สับสนไปหมด ไม่รู้ว่าเป็นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ตัวเองไม่ได้ดีใจกับคำบอกนั้น พี่คิมเป็นพี่ที่เขานับถือ ไม่เคยนึกถึงเรื่องแบบนี้ด้วยซ้ำ

“กูขอจูบมึง...ได้ไหม?”

“พี่คิม พี่เมามากแล้วนะ” คำขอที่ทำให้ตัวเองตกใจยิ่งกว่า เขาชักหวาดกลัวคนตรงหน้า พยายามเรียกสติพี่คิมกลับมา

“กูรู้เดียร์ กูรู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่”

“ปล่อยผมเถอะพี่” สองแขนเริ่มกักตัวเขาแน่นขึ้น ถ้าจะจูบกันจริงๆ หลังจากนี้คงมองหน้ากันไม่ติดแน่

“กูชอบมึงจริงๆนะ ชอบมาตั้งนานแล้ว ใครๆ ก็รู้ เรื่องนี้กูไม่ได้โกหก” ฝ่ายนั้นพยายามแสดงความจริงใจ น้ำเสียงกระเส่าเร่าร้อนพรั่งพรูออกมา เพราะปกปิดความในใจของตัวเองต่อไปไม่ไหว แววตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง สะท้อนภาพของเขาอยู่ในนั้น

หลายครั้งที่เดียร์เองก็เคยใช้สายตาแบบนั้นเฝ้ามองใครคนหนึ่ง

ชอบงั้นหรือ...

เขาชอบหมอนั่น

 

เมื่อพบคำตอบในหัวใจ ไม่รู้เพราะอะไร อยู่ดีๆ กลับรู้สึกเหมือนน้ำตาจะไหล เดียร์ไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่
ได้แต่หลงคิดว่ามันคือความเกลียดชัง ที่นึกถึงตลอดเวลาก็เพราะหลากหลายเรื่องราวที่หมอนั่นทำไว้

หยดน้ำใสในดวงตาเริ่มเอ่อคลอ ภาพคนตรงหน้าเริ่มเลือนราง แทบจะลืมไปแล้วว่าตัวเองอยู่ในสถานการณ์ไหน
นาทีที่รอบกายเคว้งคว้างว่างเปล่า กว่าจะรู้ตัวรุ่นพี่ก็โน้มกายเข้ามาใกล้ ริมฝีปากค่อยๆ แนบชิดอย่างอ่อนโยนและนุ่มนวลที่สุด
ทั้งหมดมาจากความรู้สึกที่อยากถ่ายทอดให้ไป

แต่อีกฝ่ายกลับไม่รู้สึกเช่นนั้น ซ้ำยังเฝ้าหวนคิดถึงใครอีกคน ในยามที่จูบกัน...

 

 

ภาพทั้งหมดอยู่ในสายตาของใครคนหนึ่งที่มาถึงนานแล้ว ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนถูกเล่นตลก ไม่มีคำพูดใดจะอธิบายกับสิ่งที่ได้เห็น

 

“ร้องไห้ทำไม เดียร์...” คิมร้อนรนเมื่อเห็นเด็กรุ่นน้องกำลังร้องไห้ ชายหนุ่มพยายามปลอบ สองมือประคองใบหน้า เช็ดน้ำตาให้อย่างรู้สึกผิด

“กูขอโทษ!” เขาไม่น่าทำแบบนี้กับมันเลย

เดียร์เพียงส่ายหน้าบอกว่าตัวเองไม่ได้เป็นอะไร เมื่อเห็นเช่นนั้นคนผิดก็รีบดึงร่างนั้นเข้าไปกอด เป็นจังหวะเดียวกันที่อันนาเดินเข้ามาพอดี
สีหน้าของเขาไม่สู้ดีนัก

“ขอโทษที่เข้ามาขัดนะ แต่ว่านาย...ต้องกลับแล้วล่ะ” ร่างบางยืนมองภาพคนกำลังกอดกันด้วยความรู้สึกที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก


เดียร์เห็นท่าทางร้อนรนของอันนาแล้วคิดว่าคงเดาอะไรหลังจากนี้ได้ไม่ยาก


นอกร้าน เชนซึ่งออกมารอยู่ก่อนแล้ว ถัดไปเป็นใครบางคนยืนที่กำลังมองมาด้วยสายตาที่ยากจะคาดเดา


รู้แต่เพียงว่า มันทำให้เขารู้สึกชาไปทั้งตัว...

ตั้งแต่เมื่อไหร่...


“นายก็ด้วยหรืออันนา” เสียงเย็นเยียบเอ่ยทัก คนทำผิดได้แต่ก้มหน้าน้อมรับ

“ครับ”

“อยู่กันครบเลยนี่ ดี!”


“เพราะผมเองครับ ผมเป็นคนพาทุกคนออกมา”

“พอ! ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น” เขาหันไปสั่งเชนที่คิดจะออกตัวแทน ก่อนจะเดินเข้ามาใกล้ หยุดลงตรงหน้าของตัวปัญหา
เจ้าของใบหน้าเศร้าซึมหรุบตาลงต่ำ ริมฝีปากเม้มแน่น เอาแต่ยืนก้มหน้านิ่งไม่ยอมพูดจาเหมือนทุกที

 

“สนุกไหม?” ประโยคแรกนั้นแสนเย็นชา พร้อมด้วยสายตาแข็งกร้าวมองคนดื้อดึง และชายหนุ่มก็ได้เห็นความโกรธเคืองที่ฉายชัดอยู่ในดวงตาคู่นั้น

ไม่จำเป็นต้องตอบคำถามไร้สาระพรรค์นั้นหรอก


“ฉันมาขัดจังหวะอะไรรึเปล่า?” อธินยังไม่เลิกกวนโทสะ ก่อนประโยคถัดมาจะทำให้เดียร์กำมือแน่น ทนยืนเฉยต่อไปไม่ไหว

“ถึงขนาดลงทุนทำให้ลูกน้องฉันใจอ่อน ยอมขัดคำสั่งพามาถึงนี่ได้...ไม่เลวเลยนะ”

“ไม่รู้อะไรก็อย่าพูด!” จบประโยคแขนข้างหนึ่งก็ถูกกระชากอย่างรุนแรงจนเจ้าตัวเผลอร้องออกมา แรงที่บีบเค้นกันอยู่ทำให้เจ็บจนต้องนิ่วหน้า

“ไม่ถูกตรงไหน? ในเมื่อนี่มันของจริง!” อธินดึงตัวคนดื้อเข้ามาปะทะอกแกร่ง เขาตะคอกใส่เด็กคนนั้น จนลูกน้องที่ยืนดูอยู่เห็นแล้วอดไม่ได้


“คุณอธินครับ พวกผมผิดเอ...”

“เงียบ!!” ร่างสูงตวาดทั้งที่ไม่หันไปมอง ดวงตาคมกล้าสนใจอยู่แต่เด็กตรงหน้าที่กำลังพยศใส่

“โมโหกูก็ด่ากูสิวะ! มึงจะไปลงที่คนอื่นทำไม!” เดียร์ตวาดกลับเมื่อชายหนุ่มเริ่มพาลไปทั่ว เขารู้ว่าหมอนี่ตั้งใจจะหาเรื่องเขา แต่ไม่พอใจที่มีคนมาออกรับแทน

จบคำพูดนั้นเขาก็ถูกผลักจนร่างไปติดผนังของร้าน ชายหนุ่มเข้ามาทาบทับ สองมือกดแน่นที่หัวไหล่คล้ายจะบีบให้แหลกคามือ

“ไอ้หมอนั่นมันใคร?” ฟังดูงี่เง่าที่เขาดึงเรื่องพวกนั้นมาเกี่ยว เมื่อเลือดในกายกำลังร้อนรุ่ม ไม่จำเป็นต้องให้เหตุผลในทุกๆ เรื่องที่ทำ
ไม่มีเวลาไตร่ตรองหรอกว่ามันสมควรหรือไม่

“จำเป็นต้องบอกทุกเรื่องรึไง?” เมื่อใกล้ชิด ก็ได้กลิ่นเหล้าฉุนจัดจนเขาต้องเบือนหน้าหนี ความรู้สึกนี้ผูกโยงไปถึงวันแรกที่เจอกัน เช่นเดียวกับคำพูดและการกระทำที่ไร้สติ

 

ดื่มมาตั้งแต่เมื่อไหร่?

 

เดียร์รู้สึกอัดกับคนตรงหน้าที่พยายามรุกใส่กันอย่างหนัก เขาไม่ชอบที่หมอนั่นเข้ามาชิด รับรู้ถึงอันตรายผ่านทางสายตาคู่นั้น

“ฉันถามว่าใคร?” เขาจำได้ว่าเห็นมันตั้งแต่วันแข่งกีฬา สายตาของมันเขารู้ว่าหมายถึงอะไร คืนที่มีคนมาส่งเด็กนี่ที่หอ มันก็เป็นหนึ่งในนั้น
ท่าทางเป็นห่วงเป็นใยจนเกินไป เจ้าตัวอาจไม่ทันสังเกตแต่เขารับรู้ทุกอย่าง ส่วนจิกซอว์ชิ้นสุดท้ายที่ทำให้ความสงสัยเขากระจ่างชัด
ก็ตอนที่สองคนนั้นจูบและกอดกัน

ยิ่งทำให้ความร้อนในใจพุ่งสูง ไม่รู้ว่าเพราะอะไร หากได้คำตอบที่สงสัย บางทีมันอาจจะช่วยให้อาการนี้หาย

 

อธินได้ยินก็แต่ความเงียบงัน เด็กตรงหน้าใช้ความเงียบเป็นการต่อต้าน ดวงตาคู่สวยจ้องมองเขาอย่างไม่ยอมแพ้

ในเมื่อไม่พอใจกัน คราวหลังเขาจะได้ไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว

 

“ถ้าการเชื่อฟังฉันมันยากนัก ต่อไปนี้อยากไปทำอะไรที่ไหนก็เชิญ!” แม้ปากจะพูดไปแบบนั้นแต่ในใจกลับสวนทาง หารู้ไม่ว่า...คนที่ได้ยินเสียใจมากกว่าแค่ไหน อธินมองเข้าไปในดวงตาคู่นั้นที่เริ่มเปลี่ยนความรู้สึก

 

เด็กหนุ่มแค่นยิ้มก่อนตอบ “ขอบใจที่เข้าใจ ในเมื่ออนุญาต กูจะได้เข้าไปสนุกต่อ” พูดจบก็ผลักหมอนั่นออกห่าง เดียร์เก็บซ่อนความน้อยใจเอาไว้ ดวงตากลมโตเหลือบมองเขาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเดินหนีไป

 

พูดประชดใส่กันได้เจ็บแสบ แต่คนที่เป็นฝ่ายอนุญาตกลับปล่อยไปจริงๆ ไม่ได้ ชายหนุ่มรั้งแขนอีกฝ่ายกลับมา แล้วใช้อารมณ์กระทำบางอย่าง

 

ร่างเล็กถูกกระแทกซ้ำลงบนผนัง มือหนาบังคับปลายคาง ส่วนอีกข้างล็อกต้นคออีกฝ่ายไว้ไม่ให้ถอยหนี ใช้ร่างกายทาบทับก่อนจะบดเบียดริมฝีปากเข้าหากันอย่างรุนแรง ไม่สนใจว่าการกระทำของตนเองจะทำให้อีกฝ่ายเจ็บปวดแค่ไหน

สองคนที่เห็นเหตุการณ์ ต่างตกตะลึงกับภาพที่เห็น

เดียร์พยายามผลักไสเจ้าของสัมผัสที่รุนแรงและเอาแต่ใจออกห่าง เมื่อรับรู้ถึงรสคาวเลือดจากริมฝีปากที่ถูกบดขยี้จากคนเห็นแก่ได้ เขาผลักหมอนั่นออกไปจนเป็นอิสระ เมื่อตั้งตัวได้ก็เงื้อมือตบหน้าคนเอาแต่ใจจนสุดแรง

ความเจ็บแสบเรียกสติเขากลับคืน อธินนิ่ง ก่อนจะหันกลับมามองเด็กตรงหน้าอีกครั้ง

“หยุดทำสันดานแบบนี้สักที! กูไม่ใช่คนที่มึงคิดจะจูบเมื่อไหร่ก็ได้ อยากทำนักก็ไปหาคนอื่นเอาสิวะ”คนตัวเล็กกว่าโกรธจัดจนทั้งร่างสั่นเทา
ยิ่งนึกถึงภาพในคืนนั้นบวกกับการกระทำที่ผ่านมาของไอ้คนเห็นแก่ตัว ความน้อยใจที่ปกปิดไว้ดูเหมือนจะถูกทลายออกมาจนหมด

คำพูดตรงไปตรงมา ทำเอาคนนอกที่ได้ยินถึงกับกลืนน้ำลายลงคอ ตกใจยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด ทั้งเชนและอันนา ยืนมองเด็กตรงหน้าสลับกับเจ้านายที่เพิ่งรู้สึกตัวว่าทำอะไรลง เห็นรอยเลือดจางๆ บนริมฝีปากของคุณอธิน และรอยแดงช้ำบนแก้มก็เริ่มปรากฏ

พวกเขาไม่ควรเข้ามาอยู่ในสถานการณ์นี้เลย

 

อธินสำนึกผิดที่ทำเรื่องเฮงซวยลงไป แต่ก็พูดอะไรไม่ออกจริงๆ เดียร์เดินหนีไปแล้ว ก่อนจะทิ้งสายตารังเกียจไว้ให้ ภาพเบื้องหน้าว่างเปล่า กว่าจะรู้ตัว ก็เห็นเชนวิ่งตามเด็กนั่นออกไปแล้ว

“แผลนั่น เดี๋ยวผม..” อันนาถามอย่างเป็นห่วง แม้ตัวเองจะเห็นใจเจ้านาย แต่ครั้งนี้กลับเลือกไม่เข้าข้าง คุณอธินทำเกินไป การเอาเปรียบเด็กนั่นต่อหน้าคนอื่น มันเหมือนไม่ให้เกียรติกัน เป็นใครก็รู้สึกแย่ ต่อให้สาเหตุที่ทำเพราะความหึงหวงแบบไม่รู้ตัวก็เถอะ

ไม่น่าเลยจริงๆ...

 

“ฉันไม่เป็นไร ไปดูเด็กนั่นเถอะ” เขาบอกอันนา ฝ่ายนั้นไม่รอช้า พอเจ้านายอนุญาตก็รีบวิ่งตามไปทันที

 

เดียร์วิ่งเข้าไปในตรอกหลังร้าน ก่อนสองขาจะหยุดลงบนพื้นที่โล่งแห่งหนึ่ง หากมองไปรอบๆ ถึงได้รู้ว่ามันคือที่ใด

สถานที่ที่เป็นจุดกำเนิดของเรื่องราวทั้งหมด

เด็กหนุ่มทรุดกายลงนั่งบนขั้นบันไดของตึกร้าง ปล่อยให้น้ำตาช่วยชะล้างความเสียใจ

เชนกับอันนาที่ตามมาถึงทีหลังยืนรอจนกว่าเสียงสะอึกสะอื้นนั้นหายไป ไม่เข้าไปวุ่นวาย หรือถามไถ่
เพราะรู้ดีว่าเวลานี้ควรปล่อยให้คนเสียใจอยู่ตามลำพัง

พวกเขาที่เฝ้ามองอยู่ห่างๆ ได้แต่ ภาวนาให้สักวันหนึ่งคุณอธินจะมองเห็นความรู้สึกนี้บ้าง

หวังว่าคงไม่นานเกินไป...

 

 

 

 

ออฟไลน์ Alchemist_toey

  • I'm Cassiopeia
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 62
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
Re: Dear to me >> 17 : ของสำคัญ (03/05/2018)
«ตอบ #34 เมื่อ03-05-2018 00:24:38 »

17

 ของสำคัญ

 

 
 


 

หลังจากเหตุการณ์คืนนั้นอธินก็ไม่เข้ามาวุ่นวายกับชีวิตส่วนตัวของเขาอีกเลย และดูเหมือนว่าฝ่ายนั้นเองก็กำลังยุ่งอยู่กับการเตรียมงานอะไรบางอย่าง ซึ่งมันก็ดีแล้วที่เขาจะได้เป็นอิสระสักที

เดียร์วิ่งกระหืดกระหอบมาจากชายหาด หลังจากพี่คิมโทรมาบอกว่าตอนนี้รออยู่ที่หน้าหอ พอวางสายปุ๊บเขาก็รีบวิ่งมาหา

ร่างสูงสง่ายิ้มให้มาแต่ไกล เสื้อเชิ้ตสีน้ำตาลขับให้ดูเด่น ใส่คู่กับกางเกงยีนซีดๆ ดูเซอร์ไปอีกแบบ

“พี่คิม มีอะไรหรือเปล่า?” คนเพิ่งมาถึงยืนหอบจนตัวโยน ถึงจะเป็นแชมป์กรีฑาปีนี้ก็เถอะ ต่อให้อึดแค่ไหน หากได้ลองวิ่งมาจากชายหาด แล้วไต่บันไดชันๆ มาจนถึงนี่ ไม่สะดุดขาขวิดก็บุญมากแล้ว

“กูได้ยินมาว่ามึงชอบไปถนนคนเดิน” เขาบอก มองแก้มแดงๆ ของมัน ก็รู้ว่าคงจะเหนื่อยมาก เขาเองก็ใจร้อน ที่จริงน่าจะโทรมาบอกกันก่อน มันเองจะได้มีเวลาเตรียมตัว

“ผมเหรอ ใครบอก?”

“ไอ้ต้นไง กูก็เลยจะมาชวน”

“ไอ้พี่ต้นมั่วแล้ว” เดียร์โบกมือปฏิเสธ อย่างเขานี่นะ ชวนไปเมายังง่ายกว่า

“อ่าว...” อีกฝ่ายยิ้มเก้อ หน้าเจื่อนไปเสียสนิทตอนได้ยินความจริงจากปากเจ้าตัว

“พี่อยากไปหรือ?”

“แต่มึงไม่ได้อยากไปนี่” พี่คิมทำหน้าเสียดาย เดียร์เห็นอาการนั้นก็เลยอดไม่ได้ อย่างน้อยพี่มันก็อุตส่าห์ถ่อมาถึงนี่

“ให้ไปเป็นเพื่อนก็ได้”

“มึงไปจริงดิ” เขายิ้มหน้าบาน ทั้งที่ตอนแรกคิดว่าแห้วแล้วแท้ๆ

“อื้ม...แต่รอผมแต่งตัวก่อนนะ”

อีกฝ่ายพยักหน้ารับ เรื่องรอน่ะไม่มีปัญหา เดียร์เดินกลับไปที่ห้องด้วยอารมณ์ที่ดีขึ้นมากในรอบสัปดาห์ บังเอิญเดินสวนทางใครบางคนเข้าพอดี ไอ้ความรู้สึกแย่ๆ พวกนั้นก็โถมเข้ามาใส่อีกเป็นกอง

ทั้งที่คิดว่าจะไม่เจอกันแล้วเชียว

เด็กหนุ่มใบหน้าเศร้าหมอง เพราะนึกคาดหวังอะไรบางอย่างจากสายตาคู่นั้น คิดอยากให้เขาพูดด้วยสักคำ แต่เหมือนจะเป็นการรอเก้อ ฝ่ายนั้นทำเฉย ไม่มีการทักทาย ไม่มีการแสดงออกว่าแต่ละฝ่ายมีตัวตน

สุดท้ายแล้วต่อให้โกรธเคืองอย่างไร เดียร์ทำไม่ได้ สายตาของเขาไม่เคยละไปจากหมอนั่น…

ก็เพราะว่าชอบไปแล้วจริงๆ

อยากได้ความห่วงใยกลับคืนมา อยากได้ยินประโยคต่อว่าที่มักจะแฝงความห่วงใยมาด้วยเสมอ

แล้วก็จูบนั้น...ที่บอกว่าไม่เคยต้องการ ที่จริงยังคงคิดถึง...อาจกลายเป็นความเคยชิน ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่

แล้วเขาจะรู้สึกเหมือนกันไหม...

 

 

 

สายฝนตกลงมาโปรยปราย ความเย็นกระทบลงบนผิวหน้า สะกิดเขาให้กลับมาอยู่ในโลกความเป็นจริงอีกครั้ง เดียร์รู้สึกตัวอีกทีตอนที่พี่คิมคว้าข้อมือรีบพาเขากลับไปที่ลานจอดรถ รุ่นพี่เปิดประตูให้เขาขึ้นไปนั่งก่อน พอเก็บของเสร็จแล้วก็รีบตามมา

“เช็ดตัวก่อน” สายฝนด้านนอกลบเลือนทุกอย่าง กระทั่งตอนที่พี่คิมส่งผ้าขนหนูมาให้ เขาไม่รู้ตัวว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ ภาพตรงหน้ามันพร่ามัวไปหมด ไม่ใช่เพราะน้ำฝน แต่เป็นเพราะน้ำตาของตัวเอง

แอร์ในรถเย็นฉ่ำ ฝนกำลังตกหนักไม่ขาดสาย มองออกไปเห็นเพียงแต่น้ำฝนไหลลงมากระทบบนกระจก เพื่อไม่ให้บรรยากาศในรถเงียบเหงาจนเกินไป คิมเปิดเพลงฟังในระหว่างรอให้ฝนซาลง

“มึงยังคิดมากเรื่องที่กูบอกหรือ?”

เดียร์หันมองคนด้านข้างใหม่อีกรอบ ใบหน้าของพี่คิมเริ่มเปลี่ยนเป็นจริงจัง

“ไม่หรอกครับ”

“คืนนั้นกูพูดจริงนะ อาจจะทำให้มึงตกใจ แต่กูไม่ได้คาดหวังอะไรหรอก แค่มึงมองกูเหมือนพี่ชายคนหนึ่งก็พอแล้ว กูรักมึงอย่างจริงใจนะ แล้วก็อยากให้มึงสบายใจตอนอยู่กับกู ส่วนเรื่องจูบ กูไม่คิดจะขอโทษหรอก แต่พอเห็นมึงเอาแต่เศร้าแบบนี้ ก็อดเป็นห่วงไม่ได้”

“ไม่เกี่ยวกับพี่หรอกครับ”

“แล้วมันเป็นเพราะใคร?”

“ไม่มีอะไรหรอกพี่” เดียร์ไม่รู้หรอกว่าใช้น้ำเสียงแบบไหนตอนนึกถึงหมอนั่น แต่คนที่ได้ยินกลับเข้าใจอาการนั้นได้ดี คิมชักอยากรู้เสียแล้วว่าไอ้คนที่ทำให้รุ่นน้องของเขาตกอยู่ในอาการเช่นนี้มันเป็นใคร

“รู้สึกยังไงก็แค่พูดออกไปสิวะ” เหมือนที่เขาบอกไปว่าชอบมัน จะเป็นอย่างไรก็ช่างมัน อย่างน้อยได้ทำตามความรู้สึก

“หมายความว่าไง?”

“ก็คิดเอาเองสิ” คิมส่ายหน้าระอาใจ ปล่อยให้มันได้ไตร่ตรองเองก็แล้วกัน...

“พี่..ผมยังไม่อยากกลับหอตอนนี้ ช่วยไปส่งที่คลับได้ไหม?”

“ตอนนี้เนี่ยนะ?”

“อื้ม”

“เออ...ไปก็ไป”

 

ในคืนที่ฝนตกหนัก แต่ผู้คนที่โฮลิคคลับยังคงหนาแน่นไม่เปลี่ยน เด็กหนุ่มเดินเข้าไปในนั้นด้วยความคุ้นเคย หลายคนเดินเข้ามาทักทาย เขาเพียงแค่ยิ้มให้ ก่อนจะแยกออกไปนั่งเพียงลำพัง และบอกให้พี่คิมกลับไปก่อนแม้ว่ารุ่นพี่จะไม่เห็นด้วยก็ตาม

เรื่องราวมากมายเกิดขึ้นที่นี่ หากย้อนเวลากลับไปแก้ไขได้ก็คงดี เขาจะได้ไม่กลายเป็นคนอ่อนแอ เพียงเพราะการได้เจอกับใครคนหนึ่ง

“นี่นาย....”

คนที่นั่งซึมเซา เหม่อมองสายฝนที่ตกลงมานอกหน้าต่าง เหลือบหันไปมองผู้มาใหม่ด้วยสายตาเรียบนิ่ง อย่างคนไม่ต้องการผูกมิตรกับใคร

“ฉันชื่อวินซ์” ชื่อนั้นเรียกความสนใจจากเด็กตรงหน้าได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น ก่อนเดียร์จะหันกลับมาจมจ่อมในโลกของตัวเอง

“ขอนั่งด้วยคนสิ”

“ขอโทษนะ ช่วยไปที่อื่นได้ไหม ตอนนี้ฉันต้องการความเป็นส่วนตัว” ถ้าหากยังพูดมากไม่หยุดล่ะก็ เห็นทีจะต้องเปลี่ยนที่นั่ง

“โห...” วินซ์มองอย่างไม่เชื่อสายตา เขาชักชอบนิสัยตรงไปตรงมาของเด็กคนนี้ซะแล้วสิ “ท่าทางนายอารมณ์ไม่ดีแฮะ งั้นเอาไว้เจอกันคราวหน้าก็ได้”

เดียร์มองอีกฝ่ายยื่นมือมาตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ เจตนาของผู้ชายคนนี้คืออะไรกันแน่ อยากผูกมิตรกับเขาหรือ?

“ไม่ดีกว่า” เขาส่ายหน้าอย่างเอือมระอา ก็ดีแล้วที่พอปฏิเสธไปหมอนั่นก็ไม่อยู่กวนใจเขาอีกเลย เด็กหนุ่มถอนหายใจ


อารมณ์ไม่ดีอีกแล้ว รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองเลย...

 

เดียร์กลับถึงหอซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่เห็นอธินกำลังจะออกไปส่งใครบางคน เมื่อเห็นเขากลับดึกชายหนุ่มก็รีบลงจากรถ เดียร์ยืนหลบฝนอยู่ในลานจอด พอเห็นอีกฝ่ายก็คิดจะเดินหนี แต่คนโตกว่ารีบคว้าข้อมือไว้ให้เขาเข้ามาหยุดอยู่ในร่มคันเดียวกัน

แสงสีส้มอ่อนจากเสาไฟฟ้าขับให้เจ้าของใบหน้าขาวเนียนดูโดดเด่น หยดน้ำฝนบนแก้มยังไม่จางหาย และดวงตาคู่นั้นที่บวมช้ำจนผิดปกติ

คิดว่าคงเป็นเพราะสายฝน...

เด็กนั่นพยายามแกะมือที่เกาะกุมอยู่อย่างดื้อดึง เขาเพ่งมองอีกครั้ง คราวนี้ถึงรู้ว่าสาเหตุของหยดน้ำใสๆ ในดวงตาคู่นั้นไม่ได้เป็นเพราะสายฝน

แต่เป็นเพราะ...

“ร้องไห้ทำไม?” เสียงของเขาอ่อนโยน ฟังแล้วรู้สึกอบอุ่นไปทั้งใจ ช่วยขับไล่ความหนาวรอบกาย

“ไม่ได้ร้อง!”

“ก็เห็นอยู่นี่” มือหนาประคองไหล่อีกฝ่ายให้หันมา มองเจ้าของอาการนั้นอย่างนึกเอ็นดู ที่เคยบอกว่าจะไม่ยุ่งเรื่องส่วนตัว เห็นทีจะทำแบบนั้นไม่ได้แล้ว

“นายจะสนใจทำไมล่ะ?”

“ดื่มมาอีกหรือ?” หมอนั่นยื้อแขนข้างหนึ่งไว้ เดียร์ทำได้แต่หันหลบ พอสู้ไม่ได้ก็คิดหนี เพราะน้ำเสียงของเขา สายตาที่แสดงออกว่าห่วงใยนั้นทำให้ตัวเองพ่ายแพ้

ไม่ไหวเลย...

“ไม่ใช่เรื่องของนายนี่”

“แต่นายอยู่ที่นี่ อยู่ในความดูแลของฉัน” แล้วอาการน้อยใจก็ปกปิดเอาไว้ไม่มิด เดียร์หันไปมองใครบางคนที่กำลังรออธินอยู่บนรถ ที่คิดว่าจะไม่สนใจแล้วแท้ๆ แต่ก็อดไม่ได้

“พอเถอะ จะไปไหนก็ไป!”

“เรื่องคืนนั้นฉันขอโทษ”

เดียร์ไม่รอฟังคำต่อจากนั้น หากยังอยู่ที่เดิมคงต้องเผลอแสดงความอ่อนแอมาให้เห็นแน่

อธินมองตามแผ่นหลังที่วิ่งหายไปด้วยความเป็นห่วง ตอนนี้เขารู้แล้วว่าผิด ชายหนุ่มกลับไปที่รถ เขาเห็นใบหน้าเศร้าสร้อยของคนที่นั่งรออยู่ โดยไม่คิดจะอธิบายเรื่องราวให้เจ้าตัวฟังแม้แต่น้อย

 


 

งานประมูลผ่านเข้ามาอีกครั้ง แขกเหรื่อในโรงแรมดูหนาตาขึ้นกว่าปกติ ค่ำคืนนี้เขาต้องทำหน้าที่สำคัญแทนคุณพิมพ์ นั่นก็คือการดูแลทุกคนภายในงานและกิจกรรมทุกอย่างให้เป็นไปอย่างราบรื่น

สายตาคมกริบมองเห็นความผิดปกติในงานได้อย่างรวดเร็ว เขาเห็นร่างเพรียวบางของเด็กหนุ่มที่แสนดื้อรั้นปะปนอยู่กับกลุ่มคน

“ใครปล่อยให้เด็กนั่นเข้ามาวุ่นวายในนี้”

“พวกผมเองครับ” ทั้งเชนและอันนาถึงกับมองหน้ากันเลิ่กลั่กเมื่อเจอสายตาดุๆ คู่นั้นส่งมา

“นายสองคนนี่มัน!”

งานคืนนี้จัดขึ้นริมสระว่ายน้ำ ส่วนเวทีประมูลก็ยื่นลงมาในสระ บรรดามาเฟียรุ่นใหญ่ๆ ทั้งหลายนั่งกันเป็นกลุ่มก้อนบนเบาะโซฟา ส่วนพวกหนุ่มๆ สาวๆ ก็เปลื้องผ้าอวดหุ่นลงเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน อธินเดินสำรวจความเรียบร้อย พบปะพูดคุยกับคนนั้นคนนี้ไปเรื่อย แต่สายตาก็ยังไม่วายจับจ้องอยู่ที่คนสำคัญ

หวังอย่างเดียวว่าจะไม่ไปมีเรื่องกับใครเข้า

 

ลู่ชิงได้เจอคนรู้จักก็คิดจะไปทักทาย ครั้งนี้เขายังตามคุณพ่อมาเที่ยวด้วย เพราะได้รับการต้อนรับที่ดีจากที่นี่ พอมีการคำเชิญเข้ามา จึงไม่ลังเลที่จะตอบตกลง

“อธิน อธิน” เสียงสดใสของลู่ชิงเรียกให้ใครหลายคนหันไปมอง แม้กระทั่งคนที่ยืนห่างออกไปอีกฝั่งก็ยังอดหันมองภาพของคนสองคนไม่ได้

ทั้งคู่คุยกันอย่างเพลิดเพลิน ถึงจุดหนึ่งอธินสังเกตใบหน้าของคู่สนทนาที่ดูเปลี่ยนไป ทั้งที่พูดกับเขาแต่สายตากลับเพ่งมองไปที่ใครคนหนึ่ง

“รู้จักหรือ?”

“ฉันรู้จักเขา แต่เขาไม่รู้จักฉันหรอก”

อธินจับจ้องที่ร่างสูงใหญ่ ฝ่ายนั้นนั่งลงบนเก้าในโซนพิเศษริมสระ สายตามองเรื่อยไปในงาน เจอคนรู้จักเข้ามาทักทายก็แค่พยักหน้าตอบรับ ไม่สนใจผูกมิตรหรือเลือกสนิทสนมกับใครเป็นพิเศษ ท่าทางจะโลกส่วนตัวสูงพอตัว

“ทำไมไม่เข้าไปทักทายล่ะ?”

“ไม่จำเป็นหรอก หลี่จื้อหาวเองยังบอกว่าฉันควรตัดใจได้แล้ว”

“แต่ก็ทำไม่ได้สินะ”

“เขาเคยเป็นความทรงจำที่ดี”

“งั้นก็รีบไปเถอะ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้เจอกันอีก นี่เป็นโอกาสที่ดีนะ”

“นั่นสินะ” ลู่ชิงยิ้มให้ก่อนจะรวบรวมความกล้าหมุนตัวกลับไปยังทิศทางที่หัวใจตัวเองเรียกร้อง ส่วนเขาก็ได้แต่ภาวนาให้ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี ก่อนจะมองหาเจ้าตัวยุ่งที่ไม่รู้ว่าไปหลบอยู่ตรงไหนของงาน


ท่าทางเด็กนั่นจะกลายเป็นจุดสนใจของผู้คนไปเสียแล้ว นอกจากจะลงไปป่วนเล่นน้ำในสระ แถมยังถูกพวกสาวๆ เปลื้องผ้าให้เหลือแต่กางเกงขาสั้นกับเสื้อกล้ามให้พอไม่หนาวจนเกินไป เขามองตาขวางเมื่อเห็นหลายคนจับจ้องอยู่ที่หุ่นเพรียวบางของเด็กนั่น แม้คนที่ไม่มีรสนิยมชอบเพศเดียวกัน เห็นแล้วยังต้องลอบกลืนน้ำลาย เขาอยากจะไปลากให้ขึ้นมาจากสระเดี๋ยวนี้เลยด้วยซ้ำ ถ้าไม่ใช่เพราะต้องรีบไปกล่าวเปิดงานแทนคุณพิมพ์บนเวทีก่อน


 แสงไฟสว่างถูกหรี่ลงให้เห็นเพียงเลือนราง จุดโฟกัสเดียวในค่ำคืนนี้คือเวทีเล็กๆ ริมสระ ซึ่งมีสร้อยเพชรน้ำดีเป็นสินค้าประมูลชิ้นแรก อธินไม่ได้สนใจกับเหตุการณ์บนเวที เขาปล่อยให้พิธีกรเป็นฝ่ายดำเนินการต่อไปหลังจากหมดหน้าที่เขา

 

เด็กหนุ่มนั่งขดตัวอยู่บนโซฟา พร้อมผ้าขนหนูที่พนักงานเตรียมไว้ให้ เฝ้าคอยลุ้นเหล่าเศรษฐีที่แข่งกันประมูลสินค้าในราคาสูงลิบลิ่ว ซึ่งดูเหมือนจะไม่มีใครยอมใคร

น่าสนใจดีแฮะ

บริกรหนุ่มเดินผ่านไป เดียร์เรียกไว้แล้วขอไวน์แดงมาดื่ม ฝ่ายนั้นได้ยินเสียงสั่งเป็นภาษาไทยก็ค่อนข้างแปลกใจเล็กน้อย เพราะผู้คนในงานเป็นแขกต่างชาติทั้งนั้น

เดียร์ค่อยๆ ดื่มไปอีกหลายแก้ว รสชาติเข้มข้นจนฝาดลิ้นทำให้เขาต้องหลับตาปี๋ทุกครั้งก่อนกลืน กลิ่นผลไม้หอมหวานเสียจนต้องยกขึ้นมาดื่มอีกรอบและอีกรอบ รู้ตัวอีกทีทั้งร่างก็หนักอึ้งจนแทบจะลุกไม่ขึ้น

งานประมูลตรงหน้ายังคงดำเนินไปเรื่อยๆ ไม่รู้อะไรดลใจให้ตัวเองเดินอ้อมไปหลังเวที

สินค้ารายการสุดท้ายถูกยกออกไปหลังจากเศรษฐีชาวฮ่องกงชนะราคาประมูลไปอย่างขาดลอย ก่อนที่ทุกคนจะได้ลุกออกจากที่นั่ง  เสียงประกาศของพิธีกรเรียกความสนใจขึ้นมาอีกครั้งกับสินค้าพิเศษที่ไม่ได้อยู่ในรายการ หลายคนต่างเข้ามารุมล้อมเมื่อพิธีกรย้ำว่า ใครได้เห็นจะต้องตื่นตะลึงอย่างแน่นอน

คนในงานเริ่มแปลกใจ ก่อนจะร้องฮือฮาเมื่อเห็นว่าเป็นใครที่ยืนอยู่บนนั้น…

“คุณอธินครับ นั่นมัน..” อันนาชี้ให้เจ้านายที่ยืนรวมกลุ่มสนทนากับบรรดาญาติพี่น้อง หันไปดูร่างที่ยืนมึนตึงอยู่บนเวที บ้าไปแล้ว เด็กนั่นคิดจะทำอะไร!

เหตุใดถึงเอาตัวเองขึ้นไปเป็นสินค้าประมูลบนเวที!

อธินไม่รู้จะสบถออกมาเป็นคำไหนดีให้รู้ถึงความวุ่นวายที่จะเกิดขึ้นในไม่ช้านี้ ในหูเขาก้องไปด้วยเสียงเสนอราคากันอย่างคึกคะนองของพวกที่สนใจ

เด็กนั่นมองมาที่เขาด้วยสายตาของคนกำลังต้องการความช่วยเหลือ สีหน้าคล้ายคนอยากจะร้องไห้

ร่างสูงกอดอกยืนมองเด็กดื้อที่ยืนตัวสั่น โดยมีการ์ดสองคนล็อคตัวไว้เบื้องหลังไม่ให้เจ้าตัวคิดหนี ลองได้ขึ้นชื่อว่าเป็นสินค้าแล้ว ไม่มีทางจะลงจากเวทีได้จนกว่าจะสิ้นสุดการประมูล

“ไม่ช่วยหน่อยหรือครับ”

“อยากขึ้นไปนัก ก็ให้หาทางลงมาเอง”

“แต่นั่นมันอันตรายนะครับ” เชนชี้ให้ดูพวกกลุ่มเศรษฐีที่แข่งปั่นค่าตัวกันแบบมหาโหด ถ้าคุณอธินจะใช้วิธีนี้ดัดนิสัยเด็กนั่นล่ะก็...คงโหดเกินไปแล้ว

 

เดียร์มองจากเวที เห็นหมอนั่นหันหลังกลับ เดินออกไปจากงานแบบไม่คิดมาสนใจไยดี

และคนที่ชนะไปในครั้งนี้ ก็คือผู้ชายร่างสูงใหญ่ ที่เสียงพูดของเขาเรียกสายตาให้คนในงานต้องหันมอง

“ชางเฟิง!” ลู่ชิงที่ยืนดูเหตุการณ์ถึงกับพูดไม่ออก ผู้ชายในอดีตที่ตนเองกำลังมองหา คนที่ไม่เคยใส่ใจใครเป็นพิเศษอย่างเขา ทำไมถึงเลือกสนใจคนๆ นั้น...

 

ร่างเพรียวบางที่ยืนอยู่บนเวทีถึงกับทรุดฮวบลงกับพื้น ไม่ได้ยินอะไรอีกแล้ว

จะทำยังไงดี...

 

 

 

 

 

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-05-2018 14:12:59 โดย Alchemist_toey »

ออฟไลน์ kun

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +122/-10
Re: Dear to me >> 17 : ของสำคัญ (03/05/2018)
«ตอบ #35 เมื่อ04-05-2018 19:35:50 »

เย้ๆๆๆๆๆ ในที่สุดก็มา อิอิ

ออฟไลน์ kun

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +122/-10
Re: Dear to me >> 17 : ของสำคัญ (03/05/2018)
«ตอบ #36 เมื่อ05-05-2018 11:23:15 »

มีใจให้แล้ว อิอิ ยังไงต่อ
จงมาๆๆๆ

ออฟไลน์ Alchemist_toey

  • I'm Cassiopeia
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 62
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
Re: Dear to me >> 18 : ค่าตัว (05/05/2018)
«ตอบ #37 เมื่อ05-05-2018 14:06:10 »


18

ค่าตัว


 

 

            เดียร์นั่งนิ่งอยู่อย่างนั้นไม่ยอมลุกไปไหน แม้คนของชางเฟิงจะเข้ามาพาตัวไปก็ยังดื้อดึง ขัดขืนจนถึงที่สุด เห็นหน้าตี๋ๆ ของพวกมันแล้วอยากจะร้องไห้ ไม่คิดเลยว่าเรื่องจะมาถึงขั้นนี้ แม้พยายามขอร้องสักเท่าไหร่ แต่ดูเหมือนว่าพูดไปก็ไม่มีใครเข้าใจภาษา

“ลุกขึ้น” สำเนียงภาษาไทยแบบแปร่งๆ ทำให้เขารีบหันไปมอง ผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ใบหน้าเรียบเฉย ดวงตาเรียวสวยมองมาที่เขานิ่งงัน พร้อมด้วยลูกน้องชุดดำอีกจำนวนหนึ่งเข้ามาล้อมรอบ

“ไม่!” น้ำเสียงฟังดูเอาแต่ใจ ไม่สนด้วยว่าคนตรงหน้าจะยิ่งใหญ่มาจากไหน ยังคงนั่งอยู่อย่างนั้น

“แต่นายถูกซื้อมาแล้ว” คนพูดลอบยิ้มขบขัน ดวงตาเป็นประกาย คนที่นั่งก้มหน้าไม่มีทางได้มองเห็น

“ไม่จริง!”

“ขัดขืนไปก็ไม่มีประโยชน์หรอกนะ” ชางเฟิงรู้สึกสนุก เด็กคนนี้น่าสนใจนัก เขาคิดถูกจริงๆ ที่ตัดสินใจเข้ามาเล่นเกมด้วย เหลือก็แต่รอเวลาเท่านั้น

“ฉันไม่ไปไหนทั้งนั้น”

“แล้วจะรอให้ใครมาช่วยล่ะ?” เขาลองหยั่งเชิง ซึ่งก็ได้เห็นดวงตาคู่นั้นเริ่มหม่นลง

 

ยอมรับแล้วว่าผิด...งี่เง่าเองที่คิดอะไรที่มันเป็นไปไม่ได้ คิดไปว่าจะมีค่าพอให้ใครบางคนเห็นความสำคัญ เพราะอยากรู้ว่าหมอนั่นรู้สึกยังไงก็เลยตัดสินใจทำอะไรลงไปโดยไม่คิด คราวนี้ก็ชัดเจนแล้วว่ามีแต่ตัวเองที่คิดอะไรไปฝ่ายเดียว

เจ็บปวดไปหมด...

“ก็ช่วยไม่ได้นะ ฉันจ่ายเงินไปแล้ว” ชางเฟิงบอกแค่นั้นพลางสั่งให้คนพาเด็กหนุ่มไปที่ห้อง

เดียร์น้ำตาซึมอยู่เงียบๆ หลังจากผู้ชายสองคนเข้ามาประชิดตัวแล้วสั่งให้ลุกขึ้น ขัดขืนไปก็เท่านั้น ความสามารถและชั้นเชิงในการต่อสู้ของพวกมันดีกว่าเขาที่ทำตัวกร่างไปวันๆ นับสิบเท่า แขนทั้งสองข้างจึงถูกล็อกไว้อย่างง่ายดาย ไม่มีช่องว่างให้ขัดขืน เขาไม่อยากจินตนาการถึงเหตุการณ์หลังจากนี้เลย

โง่เองแท้ๆ

 

ชางเฟิงออกไปเจรจาตามคำเชื้อเชิญของเจ้าภาพ เหมือนที่คิดไว้ตั้งแต่แรกว่าหมอนั่นคงไม่มีทางอยู่เฉยแน่นอน คนอย่างเขาชอบสังเกต ใช้เวลามองเพียงปราดเดียวก็รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ระหว่างการเดินทางทำให้เข้าใจอะไรหลายอย่าง ทั้งวิถีชีวิต ลักษณะนิสัยของคนในต่างแดน นั่นเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งที่เขาอยากศึกษาเรียนรู้ จึงไม่แปลกที่จะไม่มองข้ามความสัมพันธ์ระหว่างสองคนนั้น ซึ่งน่าสนใจมากทีเดียว

“ยินดีที่ได้เจอคุณครับ ผมชื่อชางเฟิง” เขายื่นมือ ทำการแนะนำตัวอย่างเป็นมิตร คนที่นั่งรออยู่ก่อนยืนขึ้นเต็มความสูงและยื่นมือมาตอบรับ

ชางเฟิงนั่งลงตามคำเชื้อเชิญ เขาสังเกตเห็นความกังวลจากชายหนุ่มตรงหน้า อาการร้อนรนในดวงตาคู่นั้นมีมากไม่น้อย และเขาก็เข้าใจมันดี

“ท่าทางผมคงทำให้คุณลำบากตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันเลยสินะ”

“ทางเราเองก็ต้องขออภัยด้วย” อธินกล่าว ก่อนอธิบายต่อไปว่า

“สินค้าประมูลชิ้นสุดท้ายที่คุณได้ไปในคืนนี้ เกิดจากความผิดพลาดของทางเรา ผมขออภัยอย่างยิ่ง ที่การซื้อขายในครั้งนี้ต้องเป็นโมฆะ”

“แล้วเงินที่ผมเสียไปล่ะครับ คุณจะรับผิดชอบยังไง?” เกิดรอยยิ้มขึ้นบนมุมปาก ชางเฟิงนั่งรอคนตรงหน้าตัดสินปัญหาด้วยท่าทีผ่อนคลาย

“ทางเราจะคืนกลับให้เป็นสองเท่า ขอให้คุณช่วยพิจารณา”

“ฮะฮะ เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหาสำหรับผม แต่คุณน่ะทำไมถึงปล่อยให้มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นได้ล่ะ”

อธินนิ่งอึ้ง มองคนที่มีศักดิ์เหนือกว่าพูดจาด้วยท่าทางสบายๆ

“หากเป็นคนอื่น เขาคงไม่ยอมให้คุณเข้ามาต่อรองแน่”

เงินนับล้านที่เสียไปในคืนเดียว อาจน้อยไปด้วยซ้ำในสายตาของคนพวกนั้น เพียงเพื่อแลกกับความสุขในชั่วข้ามคืน เขาเองก็คิดน้อยไป

“มีเหตุผลอะไรที่เด็กคนนั้น ต้องใช้วิธีนี้เรียกร้องความสนใจ ทั้งที่รู้ว่ามันเสี่ยงขนาดไหน”

เรียกร้องความสนใจงั้นหรือ...

แล้วทำเพื่ออะไรล่ะ?

 

ชางเฟิงเห็นสีหน้าที่ดูสับสนของชายตรงหน้า ความเด็ดเดี่ยวและความมั่นใจในตนเองเหล่านั้นถูกลิดรอนไปทีละนิด เมื่อกำลังนึกถึงใครคนหนึ่งที่มีอิทธิพล...ต่อหัวใจ

 ลองทบทวนเรื่องที่แล้วๆ มา คำตอบที่ได้ กลับทำให้หัวใจของเขาเต้นแรง...

“เด็กนั่นเองคงชอบคุณมาก คุณไม่รู้เรื่องนี้เลยหรือ?” ชางเฟิงพูดในฐานะของคนที่โตกว่า

สำหรับคนที่หลงใหลในการเดินทาง การได้พบเจอเรื่องราวพิเศษระหว่างนั้นย่อมเป็นสิ่งมีค่า และจะเป็นสุขอย่างยิ่งหากได้เป็นคนหนึ่งที่มีส่วนช่วยให้ใครสุขสมหวัง เช่นครั้งนี้...

เขาลุกจากที่นั่งและยื่นคีย์การ์ดรีสอร์ทหลังหนึ่งคืนให้ ก่อนเดินออกไปพร้อมด้วยลูกน้องที่เหลือ อธินมองตามร่างสูงนั้นด้วยความรู้สึกขอบคุณอย่างจริงใจ

“เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ทางเราได้มีโอกาสต้อนรับคุณ”

“ผมเองก็ต้องขอบคุณเช่นกัน” ฝ่ายนั้นหันมาตอบรับ ก่อนจะรับสูทตัวนอกจากลูกน้องมาสวมให้เรียบร้อย แล้วเดินออกจากห้องไป

 

 

คนที่รออยู่นานนั่งห่อไหล่ต่อสู้กับความหนาวอย่างอดทน ยิ่งดึกอุณหภูมิยิ่งลดลงต่ำ ด้านนอกลมพัดแรงจนต้นไม้แถวนั้นวูบไหวดูน่ากลัว หลังจากที่ไปส่งพ่อ ดูแลทุกอย่างเรียบร้อยจนเข้านอน ลู่ชิงจึงออกมาจากห้องพัก บรรยากาศโดยรอบนั้นได้ยินแต่เสียงหวีดร้องของสายลม คืนนี้ดูท่าว่าฝนจะตก ตัวเขามีเวลาไม่มากนัก เมื่อรู้ว่าพรุ่งนี้ชางเฟิงจะออกเดินทางแต่เช้า เหลือเวลาแค่ไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น และไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหนกว่าเราได้เจอกัน

 

ลู่ชิงนั่งรออยู่บนม้านั่งหน้ารีสอร์ทของตัวเอง ห่างออกไปไม่ไกลนักเป็นรีสอร์ทหลังที่อีกฝ่ายพักอยู่ เขาเฝ้ารอเวลานี้มานานด้วยใจจดจ่อ

และเวลาที่รอคอยก็มาถึง ร่างสูงใหญ่ที่คุ้นเคย เจ้าของใบหน้าเรียบนิ่งกำลังผ่านมาทางนี้ กลุ่มคนของชางเฟิงเดินตรงไปยังบันไดขึ้นลงรีสอร์ท ลู่ชิงรีบวิ่งตามไป

“เดี๋ยวก่อนครับ” เสียงเรียกนี้หยุดคนที่อยู่บนบันไดให้หันมา ชางเฟิงเพ่งมองใบหน้าหวานละมุนเจ้าของเสียงเรียก ก่อนจะส่งให้คนไปเจรจาแล้วตัวเองก็ก้าวเดินต่อไป

“พี่ครับ!” ลู่ชิงร้องตะโกนสุดเสียง วิ่งฝ่าวงล้อมของคนพวกนั้นขึ้นมาหยุดที่กลางบันได ห่างจากคนตรงหน้าแค่ไม่กี่ก้าวเท่านั้นเอง

“เรียกฉันแบบนั้นได้ยังไง? ที่ผ่านมาไม่เคยมีใครกล้าเรียกฉันว่าพี่ชาย และก็จำได้ว่าไม่เคยให้ความสนิทสนมกับใคร จนถึงขั้นใช้คำนั้น”

“เด็กหนุ่มคนนี้เป็นคนจากตระกูลลู่ครับ”

“ลู่ งั้นหรือ?” ชางเฟิงทบทวนซ้ำ เห็นเด็กคนนั้นมองมาที่เขาอย่างคาดหวัง

“ผมคือเสี่ยวลู่ พี่จำไม่ได้เลยหรือ?”

“ฉันจะไปจำคนที่เพิ่งรู้จักกันไม่ถึงนาทีได้ยังไง”

ลู่ชิงรู้สึกเสียใจกับคำตอกย้ำนั้น

คงจะจริงอย่างที่จื้อหาวบอก เขาไม่ใช่เพียงแค่เปลี่ยนไป แต่กลับลืมหมดทุกสิ่งที่เป็นอดีต แม้กระทั่งความทรงจำดีๆ ของลู่ชิงคนนี้ก็ไม่เคยเก็บไว้

“ผมเข้าใจแล้ว”

“จบธุระของนายแล้วใช่ไหม? ฉันจะได้กลับไปพักผ่อน”

ลู่ชิงหลีกทางให้คนพวกนั้นด้วยใจที่เหี่ยวเฉา ก้มหน้าลงและปล่อยให้หยดน้ำตาที่ไม่อาจระงับไว้ค่อยๆ ไหลออกมา

เขาควรจะเชื่อพี่ชายตั้งแต่แรกว่าไม่ควรยึดติดคำมั่นสัญญาในวัยเด็ก

ความฝันที่เป็นดั่งความหวังของลู่ชิง...ไม่หลงเหลือใดๆ อีกแล้ว

 

“นายท่านใจร้ายอีกแล้วนะครับ” ทั้งที่ลับหลังก็ให้คนของเราคอยดูแล ตามสืบความเป็นไปอยู่ตลอดเวลา แต่พอต่อหน้าแกล้งเป็นจำกันไม่ได้แบบนี้ เขาล่ะรู้สึกสงสารคุณลู่ชิงจริงๆ

“เสี่ยวลู่ของฉันต้องเข้มแข็งและโตเป็นผู้ใหญ่ อนาคตข้างหน้าอีกยาวไกล เรื่องคำสัญญาที่ให้ไว้ฉันไม่มีวันลืมหรอก”

คนพูดย้อนนึกถึงวันวาน นึกถึงภาพของเด็กชายตัวเล็กๆ ที่น่ารักน่าเอ็นดูคนหนึ่ง พลางระบายยิ้มอ่อนโยนจากความรู้สึก

ในไม่ช้านี้...เราจะได้เจอกันอีก

 

 

 

เดียร์ถูกทิ้งไว้เพียงลำพัง คิดจะหนีออกไปจากที่นี่ก็ไม่ได้ ด้านนอกมีพวกมันคุ้มกันไว้อย่างแน่นหนา เมื่อลองประเมินดูแล้ว ความสามารถของเขานั้นช่างน้อยนิด เมื่อเทียบกับพวกมันแต่ละคนที่เลือกทางเดินชีวิตมาเพื่อเป็นมาเฟียโดยเฉพาะ

เขารู้สึกประหม่า และหวาดกลัวคนพวกนั้นตลอดเวลา หากหนีไม่พ้นเรื่องนั้นจริงๆ ไม่รู้จะทำอย่างไร ในระหว่างที่กำลังคิดหาทาง ประตูก็ถูกเปิดออก เขารวบรวมสติ มือกุมแจกันเซรามิกไว้แน่น พอฝ่ายนั้นเข้ามาก็ขว้างใส่ทันที

เพล้ง!

แจกันอันนั้นพุ่งไปกระแทกกับผนัง อธินหลบได้อย่างเฉียดฉิว เขารีบไปเปิดไฟให้สว่าง อดคิดไม่ได้ว่าถ้าหลบไม่ทัน ตัวเองจะอยู่ในสภาพไหน

“กะจะฆ่ากันเลยรึไง!”

เด็กเจ้าปัญหายืนสั่นอยู่กลางห้อง ก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาอย่างโล่งอกเมื่อเจอหน้าเขา อธินเดินไปหยิบผ้าขนหนูมาเช็ดตัว เขาเปียกไปหมดแล้วกว่าจะมาถึงนี่

“แล้วนั่นจะไปไหน ด้านนอกฝนตกหนักนะ” เด็กหัวรั้นยอมฟังเสียที่ไหน หยิบร่มจากในตู้ขึ้นมากาง ชายหนุ่มคว้าด้ามมันไว้ทันแล้วจ้องดวงตาคู่นั้นเขม็ง

“จะกลับห้อง!”

“ไม่อนุญาต!”

“...”

“ก่อเรื่องไว้ขนาดนี้ คิดว่าฉันจะปล่อยไปง่ายๆ รึไง! นายรู้ตัวไหมว่าทำให้คนอื่นเขาเดือดร้อนขนาดไหน!”

เมื่อเห็นสายตาดุดันคู่นั้นมองมาก็พาลให้รู้สึกเสียใจ

ไม่คิดว่าจะกลายเป็นคนที่ร้องได้ง่ายๆ กับเรื่องแค่นี้...

เด็กดื้อผลักคนตรงหน้าที่ยืนขวางทางออกห่าง กางร่มในมืออีกครั้ง แต่ก็ถูกคนตัวสูงกว่าแย่งคืนไปเสียก่อน

“นายยังไปไหนไม่ได้”

“ปล่อย!”

“เรายังพูดกันไม่จบ!”

เด็กหนุ่มร้องไห้น้ำตาคลอ เขารู้สึกผิดที่ใช้วิธีโง่ๆ เรียกร้องความสนใจจากคนที่ไม่ได้คิดสนใจ มันก็สมควรแล้ว ในสายตาของเขา คงมองเราไม่ได้เรื่องสักอย่าง

“นายไม่รู้หรอกว่าคนพวกนั้นเป็นใครมาจากไหน! ถ้าเกิดพวกมันคิดจะใช้อำนาจขึ้นมาจริงๆ ต่อให้ฉันใช้ทั้งชีวิตไปต่อรองก็ช่วยอะไรนายไม่ได้หรอกนะ! ทีหลังอย่าคิดทำอะไรแบบนี้อีก”

“ขอโทษ…”

“ก็ดีที่นายรู้จักพูดคำนี้”

“ถ้าไม่พอใจก็ส่งฉันกลับเลยก็ได้ ในเมื่อนายเอาแต่พูดว่าฉันสร้างแต่ปัญหา ฉันเองก็ไม่อยากอยู่แล้วเหมือนกัน”

“คิดว่าจะยอมให้ไปง่ายๆ รึไง?”

คำพูดนั้นอยู่ดีๆ ก็ทำให้แก้มเขาร้อนผ่าว เดียร์ไม่รู้หรอกว่าหมอนั่นหมายความว่ายังไง แต่มันสามารถหยุดน้ำตาของเขาได้ทันที และสามารถเปลี่ยนอาการน้อยใจนี้ให้กลายเป็นรู้สึกดีแทน

ได้ยินไม่ผิดใช่ไหม?

ที่ว่าจะไม่ยอมให้ไปง่ายๆ

เดียร์ไม่รู้ว่าความหมายของมันจริงๆ คืออะไร เพียงแต่คำนั้น ได้ฟังแล้วรู้สึกอุ่นใจขึ้นจริงๆ

 

ฝนยังคงโปรยปรายตลอดค่ำคืน เจ้าของร่างสูงนอนพิงหัวเตียงมองคนที่หลับไปแล้วท่ามกลางแสงไฟสลัว มือหนายังคงลูบลงบนกลุ่มผมนุ่มลื่นแผ่วเบา

คล้ายเป็นการกล่อมให้นอนหลับฝันดี...

ทำไมเขาจะไม่รู้ถึงเจตนาของเด็กตรงหน้า ว่าสิ่งที่ทำไปทั้งหมดนั่นเพราะอะไร



ร่างเพรียวบางลุกขึ้นจากที่นอนด้วยความงัวเงีย ก่อนจะมองไปรอบๆ ห้อง

“หนาวหรือ?”

“เปล่า...ฉันอยากกลับหอ”

“ตอนนี้ฝนยังตกอยู่ นอนต่อเถอะ ฉันเองก็เริ่มง่วงแล้วเหมือนกัน” ชายหนุ่มเอื้อมมือไปปิดไฟที่หัวเตียง พวกเขาติดฝนอยู่ที่นี่นานหลายชั่วโมงแล้ว หลังจากปล่อยให้เดียร์นอนหลับไปก่อน จนฝ่ายนั้นตื่นขึ้นมา ด้านนอกก็ไม่มีทีท่าจะสงบลง


  อธินล้มตัวลงนอนบ้าง โดยไม่ลืมดึงร่างคนข้างๆ เข้ามากอด เด็กดื้อที่มีท่าทีต่อต้านในตอนแรกเริ่มอ่อนลง เมื่อได้ยินคำว่า ‘หลับฝันดี’



เพราะฝนตกหนักเมื่อคืน เช้ามาวันนี้อากาศจึงสดใส แสงสว่างรำไรลอดผ่านม่านที่เปิดไว้ริมระเบียง เด็กหนุ่มนอนมองสีของท้องฟ้าที่ค่อยๆ เปลี่ยนไป

แสงของพระอาทิตย์ในตอนเช้า ช่างอบอุ่น เช่นเดียวกับคนที่นอนหลับอยู่ข้างกายนี้

อยากให้เป็นที่พักพิง...ตลอดไป

เด็กหนุ่มพลิกกายช้าๆ เพื่อจะหันกลับไปมองคนที่นอนอยู่ด้านหลังได้อย่างถนัด เราไม่เคยใกล้ชิดกันถึงขั้นนี้ หากไม่นับรวมคืนที่เขาทำกุญแจหาย เช้าวันนี้ถือเป็นครั้งแรกที่ได้ตื่นมาและก็พบว่ามีเขาอยู่ใกล้ๆ

อธิบายความรู้สึกนี้ไม่ถูก...คงต้องขอบคุณสายฝนเมื่อคืนสินะ..ที่ไม่ทำให้ความหวังของเด็กคนนี้เหินห่างจนเกินไป

แม้แต่จะลุกจากที่นอนก็ยังไม่กล้า อยากยืดเวลาให้ยาวนานขึ้น นานขึ้นอีกหน่อย ให้เขากล้าพอที่จะพูดอะไรบางอย่างออกไป

“ฉันชอบนาย” จู่ๆ ตัวเองก็เผลอสารภาพคำนั้น แต่น่าตกใจยิ่งกว่าเมื่อจู่ๆ คนที่คิดว่ากำลังหลับ ลืมตาขึ้นมา หมอนั่นมองเขานิ่ง คล้ายต้องการแน่ใจในอะไรบางอย่าง

“นายบอกว่าชอบฉันหรือ?”

“เอ่อ” คนตัวเล็กกว่าพยายามหันหน้าหนี ไม่อยากยอมรับความจริงว่าได้พูดแบบนั้นไป

“จริงๆ แล้ว นายไม่ควรจะมาชอบฉัน” ประโยคนั้นทำให้คนที่มีอาการตื่นเต้นในตอนแรกใบหน้าถอดสี

“ทำไมล่ะ?” เป็นคำถามโง่ๆ ที่เขารู้ว่าไม่ควรเอ่ยออกไป ถ้าไม่อยากให้คำตอบย้อนกลับมาทำร้ายตัวเองซ้ำสอง

“เพราะนายยัง...รักพี่ปั้นอยู่ใช่ไหม?

“...”

“ฉันเข้าใจ ฉัน...นายไม่ต้องสนใจหรอก” เด็กหนุ่มรีบลุกจากที่นอน พยายามเบือนหน้าหลบสายตาของร่างสูง คนที่ทำให้เขารู้สึกพ่ายแพ้ จนอยากจะร้องไห้ออกมาอีกแล้ว

“แน่ใจหรือที่พูดคำนั้นออกมา นายรู้จักความรักดีแค่ไหนกัน?”

“ก็ได้..ถือว่าไม่ได้พูดมันไปก็ได้ ฉะนั้น...ถึงบอกให้นายไม่ต้องใส่ใจไง” หมอนั่นไม่รู้หรอกว่าเขาต้องรวบรวมความกล้ามากแค่ไหนถึงจะพูดคำนั้นต่อหน้าคนที่ตัวเองชอบได้ เขาไม่รู้หรอกว่าภาพวันนี้พาให้เขากลับไปอยู่ในจุดเดิมอีกแล้ว

วันที่ถูกปฏิเสธ จนไม่กล้าพูดคำว่ารักกับใครอีกเลย

“เอ่อ...ฉัน...ฉันกลับห้องก่อนนะ” เด็กหนุ่มกุลีกุจอลงจากเตียง เริ่มรู้สึกว่ากระบอกตามันร้อนผ่าว หากอยู่ตรงหน้าเขานานกว่าเสี้ยววินาที เกรงว่าจะเผลอร้องไห้ออกมาจริงๆ

ชายหนุ่มมองตามร่างนั้นไป เขาถอนหายใจระบายความอึดอัด ซึ่งเป็นสิ่งที่อยากนักจะอธิบายให้อีกฝ่ายรับรู้

“ถ้านายรู้จักตัวตนของฉันมากกว่านี้ นายจะไม่พูดคำนั้น”

 

 

 

 

 

 
"""""""""""""""""""""""""""""""""""
ไม่ดราม่าแน่นอน เดี๋ยวมาดูกัน ฮ่าๆๆๆ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-05-2018 14:52:44 โดย Alchemist_toey »

ออฟไลน์ Alchemist_toey

  • I'm Cassiopeia
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 62
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
Re: Dear to me >> 19 : ยอมรับ (05/05/2018)
«ตอบ #38 เมื่อ05-05-2018 14:50:30 »





 19

ยอมรับ


 



 

 

“ทำไมวันนี้ถึงร้องไห้ล่ะ”

เมื่อเงยหน้ามองถึงได้รู้ว่าเจ้าของเสียงคือใคร หนุ่มมาใหม่เลือกนั่งลงฝั่งตรงข้าม หมอนั่นยื่นผ้าเช็ดหน้าให้ ทำราวกับว่าสนิทสนมกัน แต่เดียร์ก็ไม่ได้สนใจ รู้สึกไม่ถูกชะตากับคนๆ นี้เลย

“ไม่เอาน่า...นายเมินฉันอีกแล้ว” เห็นเป็นเช่นนั้น วินซ์จึงตัดสินใจเล่าความจริงบางอย่างที่คิดว่าคนฟังจะไม่เบือนหน้าหนีเป็นรอบที่สองแน่ “ฉันรู้จักพี่ชายของนายนะ และก็รู้จักผู้ชายที่ชื่ออธินด้วย เอาล่ะ! เราพอจะเป็นเพื่อนกันได้รึยัง?”

เป็นดังคาด เด็กน้อยเริ่มมีท่าทีสนใจเขาบ้างแล้ว

“นี่ ฉันหวังดีกับนายจริงๆ นะ”

“งั้นก็ขอบใจ...” กับคนที่รู้สึกไม่ไว้ใจ เดียร์เลือกใช้คำพูดสั้นๆ ห้วนๆ เพื่อจะได้จบการสนทนาให้เร็วที่สุด แต่ดูเหมือนว่ากับคนๆ นี้ เขายิ่งพยายามออกห่างเท่าไหร่ อีกฝ่ายก็ยิ่งพยายามเข้าใกล้มากขึ้นเท่านั้น

“จริงๆ แล้วฉันเคยคบกับอธิน ถึงจะเลิกกันไปแล้วเราก็ยังเป็นเพื่อนกันอยู่ ไม่แปลกที่จะรู้จักพี่ชายนายด้วย ฉันเคยเจอเขาครั้งสองครั้ง ท่าทางเป็นคนดีนะ ก็เพราะสิ่งที่เคยเกิดขึ้นกับเขานี่แหละ ทำให้ฉันอยากจะเตือนนาย”

“ฉันควรจะเชื่อคนแปลกหน้าอย่างนั้นหรือ?”

“แน่นอนสิ เพราะฉันรู้ว่านายกำลังตกหลุมรักหมอนั่น...” แววตาของคนพูดไม่มีอาการล้อเล่นเลยแม้แต่น้อย

“พอเถอะ เราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน อีกอย่างฉันอยากอยู่คนเดียวมากกว่าที่จะต้องมานั่งฟังเรื่องไม่เป็นเรื่องจากคนอย่างนาย”

“ก็ได้ ไม่อยากฟังก็ไม่เป็นไร แต่นายควรจะอยู่ห่างๆ จากคนแบบนั้นไว้ เพื่อวันหนึ่งจะได้ไม่ต้องเจ็บปวด”

ประโยคนั้นไม่มีเจตนาอื่นใดแอบแฝงเลย เขาก็แค่คนที่บังเอิญไปเห็นเหตุการณ์ในคืนนั้นเข้า เพียงแค่มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเด็กคนนี้รู้สึกอย่างไรกับผู้ชายใจร้ายอย่างอธิน คนที่เห็นแก่ตัว และทำทุกอย่างเพียงเพราะความต้องการของตนเอง

คนๆ นั้นเดินจากไปแล้ว...ทิ้งไว้ก็แต่ข้อความรบกวนใจ เด็กหนุ่มหัวเราะในลำคอ หมอนั่นบอกให้เขาอยู่ห่างๆ จากอธินอย่างนั้นหรือ เป็นความคิดที่ตรงกับใจเขาก่อนหน้านี้เลยล่ะ

 

เขายังรักพี่ปั้น...รักมาก และไม่มีวันหมดรักกันง่ายๆ ด้วย

 

 

อากาศด้านนอกเย็นชื้น เขาไขประตูเข้าไปในบ้าน ภายในดูเงียบเหงา ไร้ชีวิตชีวา ดึกป่านนี้คิดว่าแม่จะเข้านอนแล้วเสียอีก พอรู้ว่ามีคนเปิดประตูเข้ามา ท่าทางแม่คงแปลกใจไม่น้อยที่เจอเขาเวลานี้

“ทำไมคืนนี้กลับบ้านได้ล่ะ?” เธอสังเกตได้ถึงความผิดปกติของลูกชาย ท่าทางเศร้าสร้อยที่บ่งบอกได้ชัดเจน ว่ากำลังมีเรื่องทุกข์ใจ

“แล้วกินข้าวมารึยัง?”

“เดียร์ง่วงแล้วแม่ ขอไปนอนก่อนนะ” อิงดาวมองตามร่างนั้นไปอย่างไม่ค่อยสบายใจนัก น้องเดียร์นับวันยิ่งทำตัวเหินห่าง ความสดใสร่าเริงเหมือนสมัยที่ยังเป็นเด็กก็ค่อยๆ หายไป

หรือเธอเองที่ทำให้ลูกเป็นแบบนี้...

 

คืนนั้นเดียร์ไม่ได้กลับไปนอนห้องตัวเอง แต่ไปขลุกอยู่ในห้องของพี่ชาย แม้ข้าวของในนั้นจะว่างเปล่า แต่กลับเต็มไปด้วยร่องรอยของความจำ ที่คิดถึงแล้วขอบตามันก็ร้อนผ่าว

เขาเป็นคนไล่พี่ปั้นไปเอง...เขาผิดเองที่พูดจาไม่ดี

เด็กหนุ่มปล่อยโฮออกมาในที่สุด ก่อนจะล้มตัวลงบนที่นอน  นึกย้อนกลับไปในอดีต

ผมแพ้แล้ว...

แพ้ให้กับความรักที่เขามีต่อพี่...

 

เดียร์รู้สึกตัวอีกทีตอนรุ่งสาง ด้านนอกฝนตกหนัก อากาศเย็นชื้นจนทำให้ต้องรีบควานหาผ้าห่ม เขาจามขึ้นทันทีเมื่อพลิกกาย ห้องนี้ไม่ได้ทำความสะอาดมานานแล้ว แต่เขาก็ง่วงเกินกว่าจะสนใจฝุ่นที่อยู่บนที่นอน

แล้วความอบอุ่นก็ทำให้หลับไปอีกครั้ง

 

“เดียร์” ฝ่ามือเย็นชื้นสัมผัสอยู่บนหน้าผาก เด็กหนุ่มอ่อนแรง รู้สึกหายใจอย่างยากลำบาก พอลืมตาขึ้นมา ก็เห็นสีหน้าของแม่ที่เต็มไปด้วยความกังวล จนเขานึกไม่ออกว่าเคยเห็นท่าทางแบบนั้นครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่

“แม่...” เสียงแหบแห้งยามเอ่ยออกไป เขาตั้งใจจะลุกขึ้นมาก็กลับทำไม่ได้อย่างใจนึก เรี่ยวแรงที่มีหดหายไป

“ตื่นมากินยาก่อนลูก” แม่ค่อยๆ ประคองเขาให้ลุกขึ้นนั่ง แถมข้างเตียงก็มีอ่างน้ำอุ่นลอยผ้าขนหนูเตรียมอยู่ ทำให้เข้าใจว่า...ตัวเองไม่สบาย

“กี่โมงแล้วอ่ะแม่”

“เที่ยงแล้ว อ่ะ...รีบกินข้าวกินยา เดี๋ยวจะได้เช็ดตัว” เขาว่าง่ายกว่าทุกที รับถ้วยข้าวต้มมาตักกินได้ไม่กี่คำ ก็รีบกินยาแล้วล้มตัวลงนอน มึนเบลอไปหมด อึดอึดพะอืดพะอม พอเห็นอาการไม่ดีอิงดาวก็รู้สึกไม่สบายใจ เธอพยายามเช็ดตัวให้เพื่อลดอุณหภูมิในร่างกาย 

“แล้วนี่นึกอะไรถึงมานอนในนี้ห้ะ รู้ว่าฝุ่นมันเยอะ ทำไมไม่กลับไปที่ห้อง” หัวอกคนเป็นแม่เป็นห่วงก็เป็นห่วง ร้อนรนใจยิ่งกว่าสิ่งใด พอเห็นลูกชายนิ่งไป เธอจึงรู้ว่าไม่ควรเอ็ดลูกแบบนั้น

“เดียร์คิดถึงพี่ปั้นอ่ะ...ก็เลยอยากมานอน” เกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะ เดียร์รู้ว่าแม่กำลังรู้สึกอย่างไร แล้วก็คิดว่าแม่น่าจะรู้ว่าเขาหมายความว่าอย่างไร

“เดี๋ยวแม่ต้องออกไปดูที่ร้านนะ ลูกมีอะไรก็บอกป้าสมจิตร” อิงดาวเปลี่ยนเรื่อง หลังจากเช็ดตัวให้น้องเดียร์แล้ว เธอก็ออกจากห้องไป

เดียร์ยังคงอยู่บนที่นอน ไม่ได้ลุกไปไหน เขานอนดูแม่บ้านเข้ามาทำความสะอาดก็เลยคิดว่าแม่คงเป็นฝ่ายไปบอก

เห็นแบบนี้ก็รู้สึกชื่นใจ

แล้วความอ่อนเพลียทำให้เขาหลับตาลงอีกครั้ง...

 

 

 

สถานที่แห่งหนึ่งถูกเติมเต็ม แต่อีกหนึ่งสถานที่ความมีชีวิตชีวากำลังขาดหาย ชายหนุ่มเดินออกจากห้องทำงานส่วนตัวของคุณพิมพ์ภาดาในช่วงบ่าย เมื่อสิ้นสุดการเจรจาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

เป็นเขาเองที่บอกเธอไปว่า พร้อมแล้วสำหรับทุกๆ อย่าง ซึ่งดูเหมือนว่าแม่ก็กำลังรอคอยคำนี้อยู่เช่นกัน ทุกอย่างเป็นไปอย่างเรียบง่าย เขาไม่ได้รู้สึกกังวลกับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น เหมือนอย่างที่เคยคิดไว้ในอดีต แต่กับบางสิ่งที่เล็กยิ่งกว่า...กลับทำให้เขารู้สึกเช่นนั้น

“เป็นอย่างไรบ้าง?”

“เข้าเรียนตามปกติครับ ส่วนเหตุการณ์อย่างอื่นก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง”

ไม่น่าเป็นห่วงหรือ...แต่ทำไมเขารู้สึกกังวลนักล่ะ?

“อืม..ตามดูต่อไป” 

“คุณอธินอยากให้รายงานข้อมูลอย่างอื่นเพิ่มเติมรึเปล่าครับ?” เชนคิดว่าเจ้านายเองก็คงอยากรู้ความเป็นไปของอีกฝ่ายบ้าง เช่น กำลังทำอะไร อยู่ที่ไหน กับใคร เช่นเดียวกับเมื่อก่อนที่มักจะรับรู้ทุกเรื่องราวด้วยตนเองเสมอ

“ไม่ต้องหรอก...”

“อ่อ..ครับ” เชนพับเก็บแฟ้มรายงานอย่างรู้สึกเสียดาย ทั้งที่ตั้งใจรวมรวบมาให้แท้ๆ เชียว ลูกน้องอย่างเขามั่นใจพอตัวเลยว่า ทั้งหมดที่อยู่ในนี้คือตัวเร่งปฏิกริยาชั้นดีที่จะทำให้คุณอธินลงมือทำอะไรสักอย่าง

ก่อนที่มันจะสายไป...

 

เชนเดินออกจากห้องอย่างผิดหวัง ทั้งที่ลุ้นจนตัวโก่ง เขาเดาใจคุณอธินไม่ออกเลยจริงๆ ว่ารู้สึกอย่างไรกันแน่ ทั้งที่การกระทำมันก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าเป็นห่วงเด็กนั่น และอยากให้รีบกลับมา

“ขนาดนี้แล้วก็ไม่ใจอ่อนหรือ?” อันนารอเงียบๆ อยู่หน้าห้อง เห็นท่าทางนั้นแล้วก็เดาได้ไม่ยาก

“อืม...ก็ไม่รู้ว่าคิดอะไรของเขาอยู่”

“หรืออาจจะยังไม่ลืมแฟนเก่า”

“ไม่หรอก..ทำใจได้ตั้งนานแล้ว นานพอๆ กับตอนที่เด็กนั่นเข้ามา แต่ฉันก็ไม่เข้าใจนะ ว่าทำไมถึงไม่ยอมรับความรู้สึกสักที”

“เชน...บางทีเรื่องพวกนี้มันต้องใช้เวลา คุณอธินอาจจะมีเหตุผลของตัวเอง”

“อืม ก็คงจะเป็นอย่างนั้น แล้วนี่..นายไม่เสียใจแย่หรือ?”

“เสียใจอะไร?”

“เรื่องคุณอธินไง เห็นชอบมาตลอดเลยนี่”

“ไม่ได้ขนาดนั้นสักหน่อย” สำหรับคุณอธิน แม้ก่อนหน้าเขารู้สึกประทับใจอีกฝ่ายมากแค่ไหน พอได้มาทำงานร่วมกัน ได้รู้จักตัวตนที่แท้จริง ก็ไม่กล้าคิดล่วงเกินเป็นอย่างอื่นเลย



 


วันนี้อธินแต่งสูทเต็มยศ หลังจากประชุมเสร็จเป็นที่เรียบร้อยเขาก็รีบออกจากห้องทันที เมื่อมีข้อความจากเชนส่งมาในระหว่างที่เขากำลังทำงานว่า ใครบางคนกลับมาแล้ว...

อธินถอดเสื้อตัวนอกฝากไว้กับอันนาที่รออยู่ แล้วตัวเองก็ลงลิฟต์ไปทันทีโดยไม่ฟังคำบอกเล่าของอีกฝ่าย พอไปถึงหอพักพนักงาน  เป็นจังหวะเดียวกับที่ใครบางคนยืนอยู่พร้อมข้าวของส่วนตัว ภายในห้องนั้นว่างเปล่า เห็นแล้วพูดอะไรไม่ออก

คราวนี้ก็ได้รู้ว่า...ตนเองมาช้าไป

“เก็บเสื้อผ้าจะไปไหน?” ดวงตาคมเข้มสำรวจกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ ที่คำนวนน้ำหนักตอนอีกฝ่ายพยายามลากแล้ว ดูท่าคงจะหนักเอาการ

“กลับบ้าน”

“ตั้งใจจะไปอยู่กี่วัน?”

“ไม่กลับมาแล้ว...ส่วนของที่เหลือค่อยให้ที่บ้านมาขนไปอีกที” คนพูดเบือนหน้าหนี ตั้งใจจะไม่หันมามองกันเลยสักนิด นั่นจึงทำให้อธินรู้สึกเหมือนมีเมฆหมอกกำลังก่อตัวขึ้นในอกอยู่กลายๆ

“เดียร์...”

“ไปนะ...พี่คิมใกล้จะมาถึงแล้ว” มาถึงขั้นนี้แล้วเด็กตรงหน้าก็ยังไม่ยอมหันมาสบตากันตรงๆ ซึ่งทำให้เขารู้สึกกระวนกระวายใจไม่น้อย

“นายควรจะบอกฉันก่อนสักคำ!”

“ฉันฝากบอกเชนกับอันนาไปแล้ว...ส่วนนี่...กุญแจห้อง”

อธินมองพวงกุญแจลูกสนในมืออีกฝ่าย สภาพของมันแตกหักไปบางส่วน ไม่เหมือนกับวันแรกที่เขาให้ไป 

เขาพยายามระงับไม่ให้ตัวเองทำอะไรตามใจ เขาพยายามแล้วที่จะไม่เข้าไปรั้งข้อมือนั้นไว้ให้กลับมา พยายามอดทนนิ่งเฉยไม่ขัดขวางความต้องการของเด็กตรงหน้า เพื่อจะได้ไม่ถูกกล่าวหาว่าเห็นแก่ตัว



แต่แล้วก็ทำไม่ได้ เมื่อเห็นใครบางคนค่อยๆ เดินไป เขารีบฉุดข้อมือที่พยายามลากกระเป๋านั่นไว้ และรวบรั้งเอวของเด็กตรงหน้าเข้ามากอดไว้อย่างเอาแต่ใจที่สุด

“อยู่ที่นี่เถอะ” เขากระซิบจากทางด้านหลัง และโอบรัดแน่นขึ้น เมื่อรับรู้ว่าร่างกายของเด็กตรงหน้ากำลังสั่นเทา เขาไม่ยอมแล้ว ไม่อาจนิ่งเฉยได้อีกแล้ว

หากความหวาดกลัวของเดียร์คือการสารภาพ ความหวาดกลัวของเขาก็คือการยอมปล่อยมือจากใครสักคน

เพราะฉะนั้นแล้วเมื่อคนตรงหน้ากล้าที่จะทำลายกำแพงของตัวเอง

เขาก็กล้าที่จะทิ้งอดีต เพื่อยอมรับคำสารภาพนั้น อย่างไม่มีเงื่อนไขใดๆ

“อยู่มาก็นานแล้ว นายยังไม่ชอบที่นี่หรือ?” คนฟังพูดอะไรไม่ออก เดียร์ยังคงอึ้งกับสองแขนที่กำลังโอบรอบเอวเขาไว้ แถมยังประโยคก่อนหน้านี้ที่เกรงว่าตัวเองจะหูฝาดไป

ความจริงเขาก็ไม่ได้อยากไปไหนเลย...

เพราะหัวใจของเขา...อยู่ที่นี่...

อยู่กับคนๆ นี้...

 

 

 


 

.....................................................
ตอนหน้าก็คงไปต่อกันในห้องค่ะ

ห้องจริงๆน้า >…< :katai4:

ออฟไลน์ kun

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +122/-10
Re: Dear to me >> 19 : ยอมรับ (05/05/2018)
«ตอบ #39 เมื่อ05-05-2018 16:24:10 »

พาน้องเข้าห้องให้ได้เลยน่ะ รออยู่ อิอิ

มาต่อไวๆๆๆน่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Dear to me >> 19 : ยอมรับ (05/05/2018)
« ตอบ #39 เมื่อ: 05-05-2018 16:24:10 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Alchemist_toey

  • I'm Cassiopeia
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 62
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
Re: Dear to me >> 20 : ครอบครอง (08/05/2018)
«ตอบ #40 เมื่อ09-05-2018 21:20:31 »

19

ครอบครอง






ไม่รู้ว่าแผ่นหลังนั้นชิดผนังตั้งแต่ตอนไหน และจำไม่ได้ว่านานแค่ไหนที่ยินยอมให้ร่างสูงตักตวงจูบบนริมฝีปาก สองมือถูกทาบทับไว้แน่น ความรู้สึกที่ได้รับพาให้ใจกระเจิดกระเจิง คนตัวเล็กกว่าได้แต่ก้มหน้าลงต่ำเมื่อร่างสูงถอนจูบไปแล้ว พยายามควบคุมการหายใจที่ผิดเพี้ยนไปอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทั้งตัวเกร็งไปหมดเหมือนถูกสาป หมดมาดของเด็กขี้โวยวายเอาแต่ใจ ที่เคยดื้อดึงใส่ก็หายไปหมด นาทีนี้มีแต่ความเขินอาย

“ยิ้มอะไร?” เดียร์รู้สึกว่ากำลังถูกมอง แถมสายตาแบบนั้นดูไม่น่าไว้ใจเลยสักนิด

“ไม่เคยเห็นมุมนี้ของนาย” คนตัวสูงกว่าหยอกเย้าด้วยการก้มลงกระซิบใกล้ๆ และชิงหอมแก้มแดงๆ นั่นไปฟอดใหญ่
คนเสียเปรียบรีบก้มหน้างุด พูดพึมพำกับตัวเอง ทำเขาเขินขนาดนี้ ไอ้คนหน้าด้านนั่นก็ยังไม่ยอมถอยห่างไปเลยสักก้าวเดียว

เดียร์ผละไปไขกุญแจเข้าห้อง แน่นอนว่าต้องรีบโทรไปยกเลิกกับพี่คิมก่อนที่ฝ่ายนั้นมาถึง ไม่อย่างนั้นเขาอาจจะถูกด่า พอคุยกันเรียบร้อยและหันกลับมา ก็พบว่าอธินยังยืนอยู่

“มองอะไร ทำไมยังไม่กลับไปอีก?”

“จนกว่าจะแน่ใจว่านายจะไม่โทรให้ไอ้หมอนั่นวนกลับมารับ” เดียร์เพิ่งเข้าใจสิ่งที่เขาหมายถึงก็ตอนที่ถูกรวบรั้งเข้าไปกอดหลวมๆ

“บอกว่าชอบฉันแล้ว จะมาเปลี่ยนใจทีหลังไม่ได้แล้วนะ” เขาบอกเสียงต่ำ ซุกไซ้จมูกลงบนแก้มหอมๆ อีกหน
อธินค่อยๆ เลิกชายเสื้อของเด็กตรงหน้าขึ้นสูง ลูบไล้ไปตามผิวกายเนียนนุ่มอย่างไม่อาจห้ามใจ ใกล้ชิดจนได้กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ ที่ทำหน้าที่เป็นตัวกระตุ้นอารมณ์ชั้นเลิศ ทุกคราวที่สูดดมเผลอทำใจเต้นแรงไปทุกขณะ คนตัวเล็กกว่าไม่อาจห้ามเสียงของตัวเองได้ ก่อนจะช้อนมองไปยังคนต้นเหตุที่ทำให้อารมณ์ของเขาปั่นป่วนไปหมด

“ถอยออกไปก่อน ฉัน..ฉันจะเก็บของ”

ร่างสูงยิ้มแย้มมองคนรีบร้อนพูดจาตะกุกตะกัก เขายอมผละออกมาในที่สุด อธินล้มตัวลงบนที่นอนด้วยท่าทางสบายๆ เขาเอื้อมไปคว้ารีโมทกดเปิดทีวี รอให้ใครบางคนจัดเสื้อผ้ากลับใส่ตู้ตามเดิม

“อยู่ที่บ้านเป็นยังไงบ้าง?”

“ก็สบายดีอ่ะ สบายกว่าอยู่ที่นี่ตั้งเยอะ” แน่นอนว่าเขาพูดออกมาตามความรู้สึก ช่วงนี้แม่เอาอกเอาใจกันเป็นพิเศษ แถมยังเป็นคนกล่อมให้เขากลับไปอยู่บ้านด้วยกัน แล้วยังใจดีให้ช่างมาซ่อมห้องพี่ปั้นให้ใหม่อีก

“งั้นหรือ...แต่ได้ข่าวว่าป่วยด้วยนี่”

“หืม...ใครบอก?” มือที่จับไม่แขวนชะงักนิ่ง เดียร์หันมาสบตาร่างสูงที่นั่งๆ นอนๆ อยู่บนเตียงของเขา


....ชายหนุ่มคิดในใจ มีอะไรบ้างที่เขาไม่รู้


“คุณอิงดาวล่ะเป็นยังไงบ้าง?”

“รู้จักแม่ฉันได้ยังไง?” เห็นท่าทางประหลาดใจของเด็กน้อยแล้ว อธินได้แต่ยิ้มขำ เพียงแต่ไม่ได้อธิบายอะไรออกไป ดูเหมือนว่า
เขาจะสุขใจเป็นพิเศษ เมื่อความลับนั้นสามารถเรียกความสนใจจากเด็กตรงหน้าได้ เขาจึงพูดต่อ

“ท่าทางแม่นายคงอยากให้นายย้ายไปเรียนที่ใหม่”


วันก่อนคุณนายอิงดาวมาปรึกษาแม่ของเขาเรื่องลูกชาย เธอบอกว่ากลุ้มใจที่เห็นน้องเดียร์เครียด ตัวเธอนั้นยินยอมให้ลูกได้เลือกทำในสิ่งที่ชอบ ไม่อยากบังคับกันอีกแล้ว


“ใครบอก รู้ได้ยังไง? แม่ไม่เคยพูดเรื่องนี้เลยนะ” ตัวเขาเองก็มีคณะในฝันเหมือนคนอื่นๆ เคยฝันว่าอยากเรียนนิเทศ อยากจบมาทำโฆษณาเจ๋งๆ เหมือนในทีวี อยากทำโน่นนี่ตั้งหลายอย่าง ถ้าแม่ยอมให้เขาแบบนั้นจริง ก็คงเป็นเรื่องวิเศษสุดในโลกใบนี้แล้ว 

“ถามก่อนว่าถ้าใช่...นายอยากจะไปรึเปล่า?”

แค่คิดก็ลิงโลดแล้ว เดียร์จินตนาการความสุขของตัวเองไม่ออกเลยว่า ถ้าได้ทำในสิ่งที่รักมันจะดีแค่ไหน แต่พอหันมาสบตากับอธิน ภาพในจินตนาการก็หลุดลอยไป

“ไม่เอาอ่ะ เรียนที่นี่ก็ดีแล้ว” ฝืนไปอีกปีสองปีเดี๋ยวก็จบ เขารับมือกับมันได้ แถมยังมีเพื่อนตั้งมากมายคอยร่วมชะตากรรม ไหนจะผู้ชายตรงหน้านี้อีก เขาช่วยเหลือเดียร์มาตั้งเยอะ ไม่เห็นมีอะไรจะต้องกลัว...

“แน่ใจหรือ?”

“อืม...เรียนได้น่า ยากก็ต้องทน”

“ค่อยยังชั่วหน่อย” เพราะเขาเองก็ไม่อยากให้อีกฝ่ายย้ายเหมือนกัน บอกว่าเห็นแก่ตัวก็คงยอมรับ

“แล้วสรุป...นายรู้จักแม่ฉันได้ยังไง?” เด็กหนุ่มขยับเข้ามาใกล้ด้วยความสงสัย คนที่นั่งอยู่บนพื้นเงยหน้าขึ้นมา ร่างสูงที่อยู่บน
เตียงเหลือบไปมองด้วยความรู้สึกเหนือกว่า

ก็ใครจะไม่รู้จัก คุณเธอยกยอปอปั้นลูกชายตัวเองเสียขนาดนั้น แถมแม่ของเขาเองก็หลงเชื่อ ทั้งยังเอ็นดูเด็กนี่มาตั้งแต่ไหนแต่ไร
หากทั้งสองล่วงรู้ถึงความสัมพันธ์ของพวกเขาสองคน... ไม่รู้ว่าแม่ของเขาหรือคุณนายอิงดาว ใครจะเป็นลมไปก่อน   

“ถึงเวลาเดี๋ยวก็รู้เอง” มือหนาเอื้อมไปเช็ดเหงื่อที่อยู่บนมุมขมับให้อย่างอดเสียไม่ได้ “รีบเก็บของได้แล้ว...ฉันหิว”




“สวัสดีครับคุณอธิน”

“สวัสดีค่ะ เชิญด้านนี้เลยนะคะ” พนักงานในห้องอาหารบริการด้วยความเป็นมืออาชีพ เธอเดินนำทั้งคู่ไปยังโต๊ะพิเศษที่ได้เพิ่มความอบอุ่นโรแมนติกด้วยแสงเทียนสว่างไสว จนเดียร์เห็นแล้วอดแซวไปไม่ได้ว่า นี่คงเป็นบริการไว้เอาใจแขกแต่ละคนที่พามาสินะ ส่วนคนได้ยินก็ขำไม่หยุด


นี่ละนะ...อย่าเชื่อภาพที่เห็นว่ามันจะเป็นอย่างที่เราคิด.

“รู้ดีจริงๆ”

“ก็ไม่ได้รู้อะไรมากนักหรอก”

“ตอนนั้นคงจะหึงไม่น้อยเลยสินะ” ยิ่งได้ยินยิ่งถูกใจ จนเขาเริ่มแปลกใจตัวเองอยู่เหมือนกันว่า รู้สึกสนุกกับเรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ทั้งที่กำลังถูกเข้าใจผิด แต่กลับรู้สึกดีเป็นบ้า

“ใครหึง...ไม่ได้หมายความแบบนั้นสักหน่อย”

“ฉันเห็นนะ สายตาของนายน่ะ” และเขาก็เห็นบ่อยด้วย แต่อย่าให้ต้องสาธยายออกมาเป็นฉากๆ เลย ดีไม่ดี ใครบางคนจะ
โวยวายหนักกว่าเก่า

“ตอนไหน?”

“ทุกตอน”

“โฮะ...”

โดนเข้าแล้ว เดียร์คิด...มันก็ใช่ทั้งหมดนั่นแหละ เขารู้การกระทำของตัวเองดี

พอต้อนให้อีกฝ่ายจนมุมไม่ได้คนมันก็รู้สึกปั้นหน้าลำบากหน่อย แถมหมอนั่นยังรุกกลับจนทำให้เดียร์รู้สึกเขินขึ้นมาไม่น้อย
พนักงานก็ช่างเลือกโต๊ะให้ มุมนี้เลยมีแต่พวกเขาสองคน แถมเบือนหน้าหนีไปทางไหนก็ไม่พ้นสายตาคู่นั้นอีก

สารภาพเลยว่าเขินฉิบหาย...


สัญญาว่าเขาจะไม่แหย่อะไรที่จะทำให้ความซวยมาตกที่ตัวเองเด็ดขาด นั่งกินข้าวไปแบบเงียบๆ น่ะดีแล้ว



“คืนนี้นอนห้องฉันนะ”

“ห้ะ!”

“ย้ายมาอยู่ด้วยกันเลยก็ได้”

นี่มันครบสูตรเลยนี่หวา...หมอนี่จ้องจะกินกันชัดๆ นึกแบบนั้นใบหน้าเขาก็ร้อนผ่าว แถมคนพูดน่ะแววตาดูเจ้าเล่ห์


คิดผิดรึเปล่านะ ที่เป็นฝ่ายสารภาพออกไป

“มาเถอะน่า” ร่างสูงดึงมือเขาให้เดินตาม หลังจากเด็กหนุ่มยืนตัวแข็งทื่อ ไม่หือไม่อืออะไรทั้งสิ้น พอมาถึงหน้าห้องอีกฝ่ายก็แสดงท่าทีอึดอัด อธินรับรู้ถึงอาการกระวนกระวายผ่านทางสายตาคู่นั้น

“ฉันมันไม่น่าไว้ใจขนาดนั้นเลยหรือ...”

“เปล่านะ..ก็แค่”

“แค่?”

“แค่คิดว่าแบบเดิมก็ดีแล้ว”

“พูดมาตามตรงเถอะ...อย่างที่นายต้องการจะสื่อ”

“เอ่อ..”

“เดียร์...”

“ก็ได้ๆ” เด็กหนุ่มถอนหายใจ อีกฝ่ายกำลังนิ่ง รอคอยคำพูดของเขา “นายคิดว่าแบบนี้มันดีจริงๆ หรือ” แม้ว่าจะรู้สึกชอบเขาแค่ไหน แต่...ไม่มีอะไรแน่นอนหรอก เช่นความรู้สึกของเดียร์เอง...สักวันมันอาจจะหายไปก็ได้ อยากให้แน่ใจอะไรบางอย่าง
ไม่อยากรีบร้อน

“จะบอกให้รู้ไว้ว่าฉันไม่เคยพาใครมาที่นี่ แม้กระทั่งคนที่นายตั้งใจจะหมายถึง หรือคนอื่นๆ ที่นายเคยเจออยู่บ่อยๆ”

“งั้นต้องดีใจสินะ” ประโยคนั้นเดียร์พูดทีเล่นทีจริง

“ใช่...เพราะนายเริ่มทำให้ฉันโมโหแล้วที่มีความคิดแบบนั้น เหมือนว่าที่ผ่านมาฉันจะเลือกสนุกกับใครคบกับใครก็ได้ ถามจริงๆ นายมองฉันแบบนั้นตลอดเลยหรือ”

“เฮ้ย...ใจเย็นๆ ก่อน” ความเจ็บปวดในดวงตาคู่นั้นปิดบังไว้ไม่มิด จนเดียร์รู้สึกผิดไม่น้อยที่เป็นฝ่ายทำให้เขาเข้าใจผิด

“งั้นก็มาอยู่ด้วยกัน ให้นายได้รู้จักตัวตนของฉันจริงๆ แล้วพอถึงเวลานั้น...นายจะยังยืนยันคำเดิมไหมว่าชอบ?”

“ที่เห็นอยู่ทุกวันยังไม่ใช่อีกหรือ?” เด็กหนุ่มยิ้มให้ ก็ที่เห็นอยู่นี่ไม่ใช่คนที่เอาแต่ใจหรอกหรือ บางคราวก็เลือดร้อนบุ่มบ่ามทำ
อะไรไม่ยั้งคิด ถึงตอนที่สงบก็ทำให้คนอื่นรู้สึกอึดอัดใจจนแทบบ้า แต่พอถึงเวลาที่ถูกอีกฝ่ายเอาใจใส่เป็นพิเศษ เป็นใครก็ตัวลอยทั้งนั้น


ก่อนหน้านี้เดียร์มีความคิดว่า จะชอบเขาไปอีกนานแค่ไหนกันนะ ความรู้สึกที่มีให้จะยืดยาวรึเปล่า อาจจะมีวันที่หมดรักกันไปง่ายๆ

แต่ตอนนี้เขาเริ่มมีคำว่า ...’ตลอดไป’ อยู่ในหัวบ้างแล้ว

เขาเองก็เหนื่อยเหมือนกันที่จะตามหาใครสักคนหนึ่ง...





“เดี๋ยว!” เสียงใสร้องห้าม เมื่อมือหนาเริ่มสอดเข้าใต้ชายเสื้อและลูบไล้แผ่นหลังของเขาจนรู้สึกปั่นป่วนอีกครั้ง

“นายเป็นคนเริ่มเองไม่ใช่รึไง...” ดวงตาคมเข้มเป็นประกาย ก็ก่อนหน้านี้ที่ระเบียงใครกันเป็นฝ่ายจูบเขาก่อน แม้เป็นจูบที่เงอะงะที่สุดที่เคยได้รับมา แต่เขากลับรู้สึกดีที่ได้เป็นฝ่ายถูกเอาใจ

“ก็ตอนนั้น...” 

ชายหนุ่มยิ้มขบขัน เมื่อเดียร์พยายามทำตัวแข็งกระด้างเพื่อกลบเกลื่อน อดไม่ได้ที่จะดึงทั้งร่างเข้ามากอด เด็กหนุ่มซุกใบหน้าที่กำลังร้อนผ่าวลงกับแผงอกแกร่ง หลับตาลงและใช้ความรู้สึกซึมซับสัมผัสจากเขา

แล้วมือหนาก็เริ่มเปลี่ยนมาซุกซน ชายเสื้อถูกรั้งขึ้นสูง มือข้างหนึ่งไล้วนสัมผัสอยู่บนแผ่นหลัง ก่อนจะเริ่มต้นจูบเด็กตรงหน้าอีกครั้งเพื่อเอาใจ ในขณะที่ด่ำดิ่งอยู่ในรสจูบ เดียร์รู้สึกถึงสัมผัสเย็นๆ บนหน้าอก ก่อนยอดอกสีสวยจะถูกบีบเค้นจากฝ่ามือของอีกฝ่าย เขาลืมตาขึ้นมาแล้วก็พบว่าตัวเองอยู่ในสภาพกึ่งเปลือย ส่วนกางเกงก็ถอยร่นลงไปอยู่เหนือเข่า เหลือเพียงแต่ชั้นในบางๆ ที่ปกปิดส่วนสำคัญ อธินมองภาพท่ามกลางแสงไฟในห้องอย่างเพลิดเพลิน เป็นสายตาที่คนถูกมองรู้สึกอยากจะถูกกลืนหายไปในอากาศ

“เขินเป็นด้วยหรือ...” คนปากไม่ดีชอบพูดอะไรให้ขัดใจอยู่เรื่อย ครั้งนี้เดียร์ยอมให้เพราะไม่อาจโต้ตอบ มีเพียงแต่เสียงครางน่ารังเกียจให้หมอนั่นได้ใจ เจ้าตัวซุกใบหน้าลงแนบไหล่ ผิวกายอุ่นๆ คู่กับเสียงหัวใจที่ถี่รัวของชายหนุ่ม ได้ยินเช่นนั้นก็อดไม่ได้ที่จะอมยิ้ม

คงรู้สึกเหมือนกันสินะ...

ก่อนที่จะได้ตั้งตัว กางเกงที่สวมอยู่ก็ถูกถอดออกไป ดวงตากลมสวยจ้องมองร่างสูงอย่างกล้าๆ กลัวๆ แม้จะเตรียมใจไว้แล้ว แต่ก็อดกังวลไม่ได้อยู่ดี


V
V
V
V
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-05-2018 21:35:42 โดย Alchemist_toey »

ออฟไลน์ Alchemist_toey

  • I'm Cassiopeia
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 62
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
Re: Dear to me >> 20 : ครอบครอง (08/05/2018)
«ตอบ #41 เมื่อ09-05-2018 21:49:55 »



อธินดึงเด็กที่ตัวสั่นน้อยๆ เข้ามาปลอบประโลมด้วยการจูบลงเบาๆ มือหนารั้งแขนอีกฝ่ายให้ลองสัมผัสบนส่วนที่กำลังเร่าร้อนของเขาบ้าง นัยน์ตาสื่อความหมายให้รู้ว่าเขาเองก็ไม่อาจอดทนมันได้อีก หากคิดจะเปลี่ยนใจตอนนี้ล่ะก็...คงเป็นการทรมานกันอย่างโหดร้าย


สิ่งที่แข็งขืนอยู่ใต้เนื้อผ้าเรียกให้แก้มเขาร้อนผ่าว ความกระสันไหลริ้วทั่วร่าง ไม่นานก็เปลี่ยนให้เลือดในกายเร่าร้อนขึ้นมากกว่าอีกเท่าตัว

แม้ความอายจะมากแค่ไหนแต่ความต้องการนั้นสามารถกลบมันไว้จนหมด นี่คือครั้งแรกที่เขากำลังปลดเปลื้องอารมณ์ให้ผู้ชายด้วยกัน แถมหมอนั่นก็เคยเป็นคนที่เกลียดกันมากที่สุดอีกต่างหาก แล้วเขายังรู้สึกดีด้วยซ้ำที่จะเป็นฝ่ายถูกกอดจากอ้อมแขนแข็งแกร่ง ที่เคยอยากได้ความอบอุ่นจากเขาอยู่เสมอ


มันจะเป็นครั้งแรกที่ดีที่สุด...กับผู้ชายคนแรกที่เขารู้สึกรัก


คิดแบบนั้นใบหน้าก็ร้อนผ่าว ขัดกับมือที่ทำการปลดเข็มขัดของอีกฝ่ายให้อย่างไม่ขัดเขิน เด็กหนุ่มรั้งขอบสเลคเนื้อดีลงไปจนสุด เผยให้เห็นสิ่งที่ขยายตัวอยู่ภายใต้ชั้นใน เพียงเท่านั้นเดียร์ก็เกร็งไปทั้งตัว สบถในใจเป็นครั้งที่ร้อยเมื่อทำอะไรไม่ถูก


อธินเห็นท่าทีงกเงิ่นของเด็กตรงหน้าแล้วรู้สึกได้ใจนักหนา เขาหรี่แสงในห้องให้มันสลัว เปิดผ้าม่านอีกนิดให้แสงสว่างจากด้านนอกช่วยส่องเข้ามา

“จะเปิดทำไม?” เดียร์รีบชะงักมือของเขาที่เริ่มทำอะไรไม่เข้าท่า ช่วงที่เบี่ยงตัวไปปิดม่าน เป็นโอกาสที่อธินได้สวมกอดร่างเพรียวบางจากทางเบื้องหลัง สัมผัสนี้ทำให้คนที่ตัวติดกันถึงกับร้อนไปทั้งตัว

“ไม่มีใครเห็นสักหน่อย”

เดียร์แพ้เสียงออดอ้อนของหมอนั่น เวลานี้อยากเอามือทึ้งผมตัวเองที่สุด ที่นี่คือรีสอร์ทของเขา ถึงห้องจะสร้างแยกมาส่วนตัวก็ตาม แต่ก็กลัวมีเสียงเล็ดรอดไป หรือมีใครมาเห็นเข้าอยู่ดี

อ้อมกอดที่มีรัดแน่นขึ้น เดียร์ยอมให้หมอนั่นทำตามใจชอบทุกอย่าง ทุกครั้งที่จมูกโด่งๆ ฝังลงบนแก้มมันทำให้รู้สึกอิ่มเอิบ อยากได้รับการทะนุถนอมมากกว่านั้น ริมฝีปากที่จูบลงบนต้นคอพลางกระซิบหยอกเมื่อเขาเผลอจิกเล็บลงแรงๆ บนท่อนแขนด้วย

ความต้องการที่กำลังถูกกระตุ้นอย่างหนัก ก่อนจะวนมามอบจูบที่หอมหวาน จนอยากให้เขาช่วยปลดปล่อยอารมณ์ที่มีให้หมดสิ้น

มือหนากอบกุมลงบนส่วนอ่อนไหว นิ้วมือละเลียดลงบนส่วนปลายที่มีหยาดน้ำสีขุ่นไหลซึมออกมาจนเลอะเนื้อผ้า ก่อนจะดึงรั้งมันลงไปอย่างไม่ไยดี เหลือเพียงแต่ส่วนเร่าร้อนที่กำลังเรียกร้องให้เขาลองสัมผัส เจ้าของมือหนาเพียงแต่รั้งเบาๆ ก็ทำให้คนตัวเล็กกว่าสั่นสะท้านไปทั้งตัว สองมือของเด็กหนุ่มประทับลงบนผนัง กระจก พ่นลมหายใจออกมาพร้อมเสียงครางต่ำที่หวานหู

“อื้อ”

“อยากให้ช่วยไหม?”

คนที่ตกอยู่ในห้วงอารมณ์ร้องกระเส่า พลางส่ายหน้าปฏิเสธ อธินมองใบหน้าเนียนค่อยๆ ซับสีเลือดนั้นอย่างเอ็นดู

“แน่ใจนะ?”

“อือ อื้ม” เขารีบเร่งจังหวะให้จนอีกคนคล้ายจะถึงฝั่งฝัน แล้วก็หยุดการกระทำทุกอย่างลง รั้งมือเรียวที่แนบกระจกให้ลองทำแบบเดียวกันด้วยตัวเอง

“งั้นทำให้ฉันดูหน่อย”

จบคำพูดนั้นเด็กในอ้อมกอดก็ส่ายหน้ารัว หอบหายใจอย่างหนัก ก่อนจะดึงมือเขากลับไปวางไว้บนส่วนสำคัญดังเดิม

“นายนี่มันเอาแต่ใจจริงๆ” อธินอดไม่ได้ที่จะหอมแก้มนุ่มๆ นั้นไปอีกหน ต่อด้วยการตามใจกันแบบไม่หยุดยั้ง จนเด็กตรงหน้าคล้ายจะปลดปล่อยออกมา เสียงร้องที่สูงขึ้นกว่าเดิมทำให้เขาย่ามใจ รีบเร่งจังหวะให้จนถึงที่สุด เจ้าของร่างยืนมองคราบสีขุ่นที่เปรอะอยู่บนบานกระจกแล้วรู้สึกร้อนไปทั้งตัว จำเสียงร้องอันน่าเกลียดของตัวเองตอนนั้นได้ดี ก่อนจะหันหน้าไปซุกลงกับคนเบื้องหลังที่ทำให้เขาเป็นแบบนี้ ทั้งตัวอ่อนแรงไปหมด แทบจะยืนไม่ติดพื้นด้วยซ้ำ เพราะความกระสันที่ยังคงไม่จางหาย

“....อยากไปที่เตียง...”

“ตรงนี้แหละดีแล้ว”


จบคำนั้น อธินก็เปิดม่านให้กว้างกว่าเก่า ดวงตาคู่นั้นเต็มได้ด้วยความเจ้าเล่ห์ เดียร์รู้ดีว่าหมอนั่นจงใจแกล้งเขา ถ้าไม่ใช่เพราะขามันสั่นไม่หยุดแบบนี้ล่ะก็ หมอนั่นคงโดนเขาไล่เตะไปนานแล้ว

ไม่ทันตั้งตัว มือหนาก็ไล้วนไปทั่วสะโพก เดียร์ถูกจับให้หันหลัง เรียวขาถูกแยกออกกว้าง แล้วแอ่นสะโพกรั้งขึ้นมาสัมผัสกับส่วนเร่าร้อนของเขา รู้สึกถึงความแข็งแกร่งที่เป็นฉนวนให้กายเขามีอารมณ์ร่วมอีกครั้ง เรียกความอายให้ใบหน้าแดงจัดท่ามกลางแสงไฟสลัว


เดียร์นิ่วหน้าเมื่อรู้สึกถึงความฝืดเคือง อธินใช้ประโยชน์จากหยาดน้ำเมื่อครู่ป้ายลงบนช่องทางคับแน่น ค่อยๆ ดุนดันนิ้วมือของตัวเองลงไปเพื่อสร้างความเคยชิน

“อือ” แม้จะรู้สึกอึดอัดแต่ฝ่ามือของคนโตกว่าก็เร่งสร้างความกระสันให้ทางเบื้องหน้า ทุกครั้งที่เขาร้องผวา ช่องทางด้านหลังจะถูกรุกล้ำเข้ามาเรื่อยๆ

ชายหนุ่มค่อยๆ กระทำอย่างใจเย็น มือข้างเดิมสลับหยอกเย้ากับยอดอกสีสวยไปเรื่อย ส่วนริมฝีปากก็จูบซับลงบนแผ่นหลัง วกกลับไปแลกลิ้นกันซ้ำๆ เหมือนต้องการจะกลืนกินไปทั้งตัว

“รู้สึกดีไหม?” เดียร์นิ่วหน้าอย่างยากลำบาก อยากให้หมอนั่นเข้ามาในร่างกายเสียตอนนี้เพราะไม่อาจทานทนกับความทรมาน แต่เพราะความคับแน่นที่เจ็บเสียจนขยับตัวไม่ได้


อธินรวบรั้งเอวบางเข้าชิด จับเรียวขาแยกออกจากกันให้กว้างขึ้น ร่างที่ยืนผวารีบคว้าม่านหน้าต่างไว้เพราะเหงื่อชื้นๆ บนฝ่ามือทำให้ลื่นจนเกาะแผ่นกระจกไว้ไม่อยู่


“โอเคใช่ไหม?”

“อื้อ” เดียร์พยักหน้าตอบรับอย่างว่าง่าย ทันที่ที่นิ้วมือทั้งสองถูกถอนออกไป ความเร่าร้อนของชายหนุ่มก็เข้ามาแทนที่ ปากทางที่คับแน่นค่อยๆ เปิดออกทีละนิด ส่วนที่แข็งแรงค่อยๆ กดลงไปเชื่องช้า อธินพยายามไม่สนเสียงร้องอื้ออึงของร่างตรงหน้า เขาปลอบประโลมด้วยการกระซิบบอกว่าจะอ่อนโยนให้ถึงที่สุด

“เชื่อฉันนะ”

เดียร์พยักหน้ารับ มือข้างหนึ่งเอื้อมไปเกาะต้นแขนของเขาไว้ ก่อนจะอ้อนให้จูบกันอีกครั้งเพื่อความมั่นใจว่าจะถูกทะนุถนอมจนถึงที่สุดตามที่ได้รับสัญญา

ความอุ่นร้อนทั้งหมดเหมือนจะเผาทั้งกายของเขาให้มอดไหม้ เขาฝังทั้งส่วนเอาไว้กับเจ้าของร่างเพรียวบาง แล้วโน้มอีกฝ่ายให้หันมาจูบกัน ก่อนจะเร่งจังหวะทีละนิด เรียกเสียงหวานหูในแบบที่เขาพอใจ


“อธิน อือ อื้อ”

เจ้าของชื่อยิ้มรับมีความสุขเมื่อถูกขาน เขาให้ร่างเพรียวบางขึ้นไปนั่งคุกเข่าบนโซฟาข้างๆ เมื่อเห็นว่าคนที่ยืนอยู่สั่นไปทั้งร่าง ส่วนตัวเขาก็เร่งจังหวะให้เร็วขึ้นอีก ก่อนจะเปลี่ยนให้อีกฝ่ายนอนลงไป แล้วยกเรียวขาขึ้นมาพาดบ่า ท่านี้ทำให้เขามองหน้าน้องเดียร์ตอนมีความรู้สึกได้ชัดเจน


“นายเป็นของฉัน” คนตัวเล็กกว่าใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดงจัด มือหนาลูบไล้ลงบนแก้ม ปัดผมบนหน้าผากให้อย่างทะนุถนอมพร้อมกับโน้มตัวลงไปจูบอีกครั้ง และอีกครั้ง

เวลาผ่านไปเนิ่นนานแต่พวกเขายังไม่หยุดเติมความต้องการให้กันและกัน


เสียงหายใจสะท้อนทั่วห้องนอนจนกระทั่งหยาดความสุขสุดท้ายหลั่งไหล แขนเรียววางพาดลงกับแผ่นหลังอย่างคนหมดเรี่ยวแรงที่จะพยุงตัวขึ้นมาใหม่ คนที่อยู่ด้านบนรวบรั้งตัวคนในอ้อมกอดเข้ามาชิดก่อนจะอุ้มทั้งร่างไปยังเตียงนอน หลังจากเช็ดทำความสะอาดคราบรักให้เป็นที่เรียบร้อย อธินล้มตัวนอนลงใกล้ๆ มองเจ้าของร่างเปลือยเปล่าที่ตกเป็นของเขาหมดแล้วทั้งตัวและหัวใจ


รู้สึกดีเหลือเกินที่ได้ครอบครอง...

“หลังจากนี้นายไม่ใช่ตัวคนเดียวแล้วนะ”


คนฟังหัวเราะเบาๆ ในลำคอ หมอนี่พูดจาเหมือนเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ ฟังแล้วรู้สึกจั๊กจี้


“ถ้าไม่เชื่อฟังหรือกล้าขัดคำสั่งล่ะก็ มันจะไม่จบลงที่จูบอย่างเดียวหรอก เชื่อฉันสิ”

“บ้าฉิบ!!” เดียร์มีแรงตอกกลับไปเพียงแค่นั้น มองคนบ้าอำนาจที่คิดวางแผนจะเอาเปรียบกันอีกแล้ว ทั้งทีเพิ่งผ่านเรื่องแบบนั้นมาหยกๆ

คนฟังหัวเราะร่วน เขารู้สึกชอบเหลือเกินที่ได้เห็นแก้มขาวๆ เป็นสีแดงเรื่อ ก่อนจะใช้ท่อนแขนหนากอดลงบนร่างเปลือยเปล่าใต้ผ้าห่ม ซุกใบหน้าลงกับซอกคอหอมๆ หลับตาลงอย่างมีความสุข พลางนึกถึงเรื่องราวที่ผ่านๆ มา

“หลับรึยัง?” พอห้องเงียบ ใจก็โหวงเหวงขึ้นมาเสียอย่างนั้น เมื่อไหร่ที่ตัวเองหลับเป็นคนสุดท้าย นิสัยไม่ดีอย่างหนึ่งก็คือการปลุกคนที่หลับไปแล้วขึ้นมาคุยด้วย เขาติดทำแบบนี้จากสมัยที่พี่ปั้นอยู่ด้วยกัน ชอบนอนคุยไปเรื่อยๆ ให้ตัวเองหลับไปก่อน

เพราะไม่อยากถูกทิ้งไว้คนเดียว

“หืม...”

“นาย...ทำแบบนี้กับทุกคนรึเปล่า?”

“หมายถึงเซ็กเหรอ?”

“ใช่...กับคนที่เข้ามาในชีวิต” เสียงแผ่วเบาเอ่ยถาม หลังจากมีอะไรกันแล้วก็แค่อยากมั่นใจว่าตัวเองจะไม่ใช่ใครก็ได้ที่เข้ามาในช่วงเวลาหนึ่ง ที่เผลอสารภาพไปก่อนนั้น ยังไม่มีหลักประกันใดที่รับรองได้ว่า หลังจากนี้จะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไหม

“คิดอะไรอยู่?”

“แค่อยากรู้...” ตัวเองคงเป็นหนึ่งในนั้นที่เขาผูกสัมพันธ์ด้วย แล้วก็ยอมมีอะไรกันอย่างเต็มใจทั้งที่เพิ่งรู้ใจตัวเองหมาดๆ เรียกว่าเร็วไปเสียด้วยซ้ำ แต่ก็ทำมันไปแล้ว ถ้าหลังจากนี้ต้องเสียใจล่ะก็ คิดไม่ออกเลยจริงๆ

“ฉันชอบทำกับคนที่ฉันพอใจมากกว่า”

“นั่นสินะ...คนชอบนายคงจะเยอะน่าดู” เดียร์อดไม่ได้ที่จะพลิกกายหนี แม้รู้ว่ามันเป็นเรื่องของความต้องการที่คงห้ามกันไม่ได้

ฟังไม่จบแล้วชอบเอาไปคิดเองเออเองอยู่เรื่อย อาการน้อยใจเล็กๆ แถมด้วยการพูดจาประชดประชันแบบนั้นทำให้เขารู้สึกดีไม่หยอก เขาชอบเวลาที่ถูกใครสักคนแสดงความเป็นเจ้าของด้วยอารมณ์ขุ่นเคืองเมื่อเอ่ยถึงใครก็ตามที่กำลังเป็นต้นเหตุ
ถ้าจะหาเรื่องให้หึงไปเรื่อยๆ แบบนี้เขาจะบาปไหมนะ แต่ก่อนที่จะมีใครน้อยใจกันไปมากกว่านี้ เขาคิดว่าตัวเองคงต้องบอกความจริง

“ฉันจะมีอะไรเฉพาะกับคนที่ฉันพอใจและคนนั้นต้องเป็นคนที่ฉันรักเท่านั้น แบบนี้ชัดเจนพอรึยัง?” เขาก้มลงกระซิบบอกแนบหู

ทั้งที่เดียร์ยังมุดอยู่ใต้ผ้าห่ม ครั้งนี้จึงไม่มีโอกาสได้เห็นว่าเจ้าตัวกำลังเขินหนักขนาดไหน

มันไม่ใช่การบอกรักทางอ้อม แต่มันคือการพูดออกมาตรงๆ ขนาดที่คนฟังตั้งตัวไม่ติด เดียร์ตอบแทนคำสารภาพของเขาด้วยการหันมากอดตอบอย่างรักใคร่ มีความสุขเสียจนไม่ต้องการนึกถึงวันข้างหน้าอีกแล้วว่ารักครั้งนี้จะไปได้ไกลแค่ไหน...


รู้เพียงแต่ว่าคืนนี้เขามีความสุขที่สุด....







เขาตื่นขึ้นมาในเช้าวันใหม่ด้วยอารมณ์สดชื่นแจ่มใส ร่างเพรียวบางที่ช่วยบดบังไอหนาวยังคงหลับใหลในอ้อมกอดไม่ห่าง อธินมองเปลือกตาที่ยังปิดสนิท ลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอของคนข้างกาย มันคือช่วงเวลาที่เขาปรารถนาอยากเจอในทุกๆ เช้า

ก่อนจะโทรบอกอันนาให้เอาเสื้อผ้าของเดียร์มาให้ วางสายไปได้ไม่ถึงสิบนาทีก็ได้ยินเสียงเคาะประตูห้อง เขาปลุกคนที่ยังหลับอยู่ให้ตื่นไปอาบน้ำ แล้วเดินไปรับเสื้อผ้าจากคนที่เพิ่งมาถึง อันนามองเขาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแล้วยื่นถุงผ้าให้ ก่อนจะรีบขอตัวไปทานข้าว


เขากลับมาในห้องได้ยินเสียงฝักบัวแว่วมาจากห้องน้ำ เมื่อคิดอะไรสนุกๆได้ จึงเลื่อนประตูเข้าไป

“เฮ้ย!!” คนนั่งแช่น้ำอยู่ในอ่างมีสีหน้าตกใจ “นายเข้ามาทำไม” 

“ก็...อาบน้ำ” คนพูดทำเหมือนมันเป็นเรื่องปกติ ทั้งที่คนฟังอยากจะจมน้ำในอ่างให้รู้แล้วรู้รอด

ถึงจะเป็นอะไรๆ กันแล้วก็เถอะ แต่ช่วยละเว้นความเป็นส่วนตัวตอนอาบน้ำสักเรื่องได้ไหม!

“คนเขาอาบอยู่ ไม่เห็นรึไง!”

“เห็น แต่ไม่สน” อธินตอบหน้าตาย มือหนาปลดปมเชือกชุดคลุมออกแล้วพาดมันไว้บนราว ย่างเท้าข้างหนึ่งลงไปในอ่างอย่างกล้าหาญ เขามองเดียร์ที่นั่งกอดเข่าอย่างไม่พอใจ ดวงตาคู่นั้นเหมือนกำลังสาปแช่งกันอยู่

ก็แล้วจะทำไมล่ะ ในเมื่อเขาพอใจซะอย่าง

อธินเห็นอาการคนหงุดหงิดแล้วลอบขำ เสียงฮำเพลงเบาๆ เมื่อกี้หยุดลงแล้ว ได้ยินแต่เสียงก่นด่าพึมพำตามมา

“ขยับหน่อยสิ”

“อยากอาบสบายๆ ก็ไปรอข้างนอกสิ”

อธินเองก็ยังหน้าด้านพอจะเข้ามาเบียด มือข้างหนึ่งของเขารวบเอวอีกฝ่ายขึ้นมานั่งบนตัก ถึงเดียร์จะขัดขืน แต่เชื่อได้เลยว่าหัวใจที่เต้นรัวนี้กำลังทำให้เขาแพ้ทุกอย่าง  ในจังหวะเดียวกันอธินก็โน้มศรีษะลงวางบนไหล่ หลับตาลง ปล่อยให้เวลาผ่านเลยไปอย่างเงียบๆ

รักที่เกิดขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว เพียงไม่กี่เดือนก็ลบล้างความเศร้าหมองในจิตใจของเขาไปจนหมด

ขอบคุณจริงๆ


“ฉันเองก็เอาแต่ใจนะ ไม่ใช่แค่นายคนเดียวที่ทำเป็น...” เขาพูดขึ้นท่ามกลางเสียงสะท้อนในห้องน้ำ แล้วไม่ลืมหอมเบาๆ ลงบน
ผิวขาวๆ อย่างเอาใจ

“บอกฉันทำไม?”

“เป็นแฟนกันแล้ว นายจำเป็นต้องรู้เรื่องนี้นะ” เขาว่าไปตามความจริง ยังมีอีกเยอะที่เด็กตรงหน้าต้องรู้ไว้ รีบทำความเข้าใจกันตั้งแต่เนิ่นๆ มันเป็นเรื่องที่ดี 

คนฟังนิ่งอึ้ง ... หมอนี่ใช้คำว่าแฟนเลยหรือ...

“ตอนไหน?”

คนอะไรคิดเองเออเองอย่างหน้าไม่อาย

“อันนี้ฉันยัดเยียดให้” อธินยิ้มหวาน อย่าให้เขาต้องเอาเรื่องเมื่อคืนมาอ้างเลยนะ ไม่อย่างนั้นล่ะก็จะจูบให้หายมั่วเสียเลยเดี๋ยวนี้

“บ้าฉิบ!” เป็นความคิดที่มาพร้อมกับเสียง แต่เดียร์หารู้ไม่ว่าแก้มตัวเองน่ะ มันแดงแค่ไหน

“ฉันจะทำยิ่งกว่านี้ นายน่ะไม่มีวันได้คลาดสายตาฉันหรอก ที่ผ่านมานั่นยังน้อยไปด้วยซ้ำ อย่าคิดว่าจะได้ทำอะไรตามใจชอบเหมือนเมื่อก่อนอีกนะ”

“เผด็จการ!”

“ก็ใช่...เพราะมันเป็นวิธีเดียวที่ได้ผลที่สุด” เขาบอกเนิบนาบ ก่อนจะรั้งคนในอ้อมแขนเข้ามากอดแน่นยิ่งขึ้น “นายห้ามฉันไม่ได้หรอก ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้วตั้งแต่ตอนที่นายพูดมันออกมา...นั่นก็เท่ากับว่านายได้ยอมรับทุกอย่างที่จะเปลี่ยนแปลงไป...ระหว่างเรา”

มันเป็นเรื่องเหนือความคาดหมาย เด็กตรงหน้ากล้าสารภาพรักกับคนอย่างเขาที่ไม่เคยตกหลุมรักและให้ใจกับใครง่ายๆ เพราะรู้ว่าเมื่อรักใครสักคนไปแล้ว คนๆ นั้นจะไม่มีสิทธิ์ได้เป็นอิสระ เดียร์จะอดทนกับอีกตัวตนหนึ่งของเขาได้หรือไม่ เขาไม่ใช่คนดีร้อยเปอร์เซ็นอย่างที่ใครคิด เมื่อถึงคราวที่เห็นแก่ตัวเขาก็จะไม่ลังเลที่จะแสดงอำนาจของตัวเองให้เห็น หากเขาจะเป็นฝ่ายเอาแต่ใจ หรือแม้กระทั่งทำเรื่องไร้เหตุผล บางเรื่องอาจทำให้หงุดหงิดใจ เด็กคนนี้จะอดทนเขาได้มากแค่ไหนหากได้เจออีกด้านหนึ่งที่เป็นตัวเขา

ไม่อยากให้ซ้ำรอยเดิม...

คนๆ นั้นต้องเป็นของเขาแค่คนเดียวอย่างไม่อาจปฏิเสธ และจะไม่ยอมปล่อยมือให้ไปจากกันง่ายๆ เหมือนที่ผ่านมาอีกแล้ว

“ยุ่งยากจริงๆ” ร่างขาวโพลนที่นั่งอยู่ในอ่างแก้มร้อนผ่าวจนคล้ายจะเป็นสีแดงจัด เขารีบลุกขึ้นเปิดน้ำล้างตัวอีกรอบ พลางแกล้งสาดน้ำใส่อีกฝั่งที่ยังนั่งแช่น้ำอยู่ก่อนรีบเดินออกไป คนตัวสูงกว่ามองตามอย่างอารมณ์ดี

เขาก็ไม่คิดว่าจะเขินได้ขนาดนี้...


เดียร์แต่งตัวเสร็จแล้วตอนเขาออกจากห้องน้ำ เด็กนั่นนั่งรออยู่ที่ปลายเตียงด้วยใบหน้าของคนที่ทำตัวไม่ถูก เขาคิดว่าตัวเองเข้าใจความรู้สึกนั้น จากที่เคยเกลียดเขามาก แต่วันนี้สถานะของเราทั้งคู่ได้เปลี่ยนไปแล้ว

“ฉันว่าจะกลับไปห้องก่อน” เจ้าตัวบอกเสียงค่อย ก่อนจะหอบสัมภาระที่มีอยู่น้อยนิดของตัวเองและรีบสวมรองเท้า

“รอฉันแต่งตัวแล้วไปกินข้าวพร้อมกันก่อน”

“ฉันยังไม่หิว นายไปก่อนได้เลย” เดียร์โกหกคำโต ที่บอกไปแบบนั้น...เป็นเพราะเหตุผลเดียว

“ฉันเพิ่งบอกนายไปเองนะ...ว่าเราเป็นอะไรกัน” ความหมายของเขานั้นชัดเจน หากถามว่าตอนนี้เดียร์อยู่ในอาการไหน คงบอกได้คำเดียวว่าเขินที่สุด เสียงทุ่มต่ำตอนพูดคำนั้นออกมา เล่นเอาคนฟังแทบเป็นลมเพราะไม่รู้ว่าต้องทำตัวยังไง ก็ในชีวิตเคยเจออะไรแบบนี้เสียที่ไหนล่ะ...
 






..............

จบตอน 555555  :katai2-1: :katai4: :katai5:

ออฟไลน์ kun

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +122/-10
Re: Dear to me >> 20 : ครอบครอง (08/05/2018)
«ตอบ #42 เมื่อ10-05-2018 20:15:08 »

ยิ้มจนแก้มจะปริแล้ว ดีใจกับน้องเดียวอธิน^^
งานนี้คนที่เอาใจตัวเองสุดๆๆไม่ใช่น้องเดียร์แล้ว อิอิ
ท่าทางอธินจะหึงโหด อยากเห็นๆๆ

ออฟไลน์ Alchemist_toey

  • I'm Cassiopeia
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 62
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
Re: Dear to me >> 21 : วิธีรับมือ (14/06/2018)
«ตอบ #43 เมื่อ14-06-2018 23:38:37 »

21
วิธีรับมือ


 

 

ความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่เป็นไปอย่างราบรื่น ไม่หวือหวา ค่อยๆ ดูแลกันจนกลายเป็นภาพชินตาของคนรอบข้างไปเสียแล้ว จากที่เคยอยู่หอพักพนักงาน ตอนนี้เดียร์ย้ายเข้ามาอยู่ที่รีสอร์ทของอธินแบบเต็มตัว วันไหนมีเรียนเช้า ถ้าเขามีเวลาก็จะไปส่งเองไม่รบกวนคนอื่น หากวันไหนสะดวกไปรับเขาก็ทำหน้าที่นั้นโดยไม่อิดออด



ช่วงซัมเมอร์ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ผลการเรียนของเทอมนี้ดีขึ้นจึงทำให้เกรดเฉลี่ยผ่านเส้นยาแดงไปได้แบบเฉียดฉิว เทอมหน้าเขาขึ้นปีสามก็ต้องขยันเรียนเป็นพิเศษไม่ให้เกรดถูกฉุดลงมาอีก แต่ไม่น่ามีอะไรต้องกังวลอีกแล้วเพราะดูเหมือนว่าคนที่เข้ามาควบคุมชีวิตเขานั้น นอกจากจะไม่ปล่อยให้ไปเหลวไหลที่ไหนแล้วก็ยังเคร่งครัดกับทุกเรื่องในชีวิตของเขาด้วย


ช่วงเปิดเทอมใหม่ๆ ที่มหาวิทยาลัยก็มีการรับน้อง แล้วกลุ่มของเดียร์ในฐานะพี่ปีสามก็มักจะมีน้องๆ เข้ามาทำความรู้จัก และขอลายเซ็นหลังเลิกเรียนเสมอ


ห่างออกไปไม่ไกลนัก ถ้าลองสังเกตดีๆ จะเห็นว่ามีชายหนุ่มในชุดทำงานนั่งหน้าบูดหน้าบึ้ง เนื่องจากรอคอยใครบางคนมาพักใหญ่แล้ว ยิ่งวันไหนต้องเลทมื้อเย็นไปนานๆ สีหน้าเจ้าตัวจะติดไปทางขุ่นเคืองมากเป็นพิเศษ หรืออาจจะแผ่รังสีอำมหิตใส่มนุษย์ทุกผู้ ที่กล้าเข้ามาวุ่นวายกับคนของเขาแบบเกินความจำเป็น


“กลับได้รึยัง” เสียงนุ่มทุ้มบอกมาจากด้านหลัง เดียร์ปรายตามองแวบหนึ่งก็ลงมือเซ็นชื่อตัวเองลงไปในสมุดต่อแล้วตามด้วยการหันมาแกล้งน้องอีกสารพัด

“นี่...ฉันหิวแล้วนะ” อธินเริ่มหงุดหงิด ถ้าเขาว้ากใส่ไอ้พวกที่เข้ามาล้อมขอลายเซ็นจากคนของเขาได้ก็คงทำไปแล้ว บอกไว้เลยว่าแรงหึงบวกแรงหิวน่ะ ถ้าเกิดขึ้นแล้วเขาไม่สนหรอกว่าใครเป็นใคร


“แปบนึง” เดียร์บอกปัด โดยไม่หันมามองหน้า ก็เลยไม่รู้ว่าคนที่กำลังรอนั้นสีหน้าเบื่อโลกขนาดไหน


เป็นครั้งที่สามแล้วนะ!


เขาถูกไอ้เด็กนั่นเมินมาสามรอบแล้ว นี่มันชักเกินไปจริงๆ ตอนนี้ทั้งหิวและโมโหมากๆ อธินลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เดินเข้าไปคว้าแขนไอ้ตัวดีออกมาจากวงล้อมแล้วกระชากแบบเอาแต่ใจ ให้เจ้าตัวหันมามองหน้า


เดียร์งงงันไปชั่วขณะ แต่พอเห็นแววตาของคนไม่สบอารมณ์ก็เลยนึกเห็นใจขึ้นมา


“โอเคๆ กลับก็กลับ” เจ้าตัวดึงแขนตัวเองออก แล้วหันไปบอกเด็กปีหนึ่งที่ยังยืนล้อมให้มาเจอเขาใหม่ได้พรุ่งนี้ แต่ละคนคอตกกันไปตามๆ กัน แต่พอเห็นสีหน้าของคนที่ยืนข้างๆ รุ่นพี่ปีสามคนนี้แล้ว บอกได้คำเดียวว่าไม่กล้าขัด อธินมองตามเด็กพวกนั้นไปจนสุดสายตา ถอนหายใจฮึดฮัดหันมองแฟนเด็กที่เดินนำไปที่ลานจอนรถ ก็นี่แหละคือเหตุผลว่าทำไมเขาถึงต้องลงทุนมารับเองทุกวัน


น่าปลื้มใจไหมล่ะ...


“ถ้าไม่อยากรอนานก็ให้คนอื่นมารับสิ” เดียร์ขึ้นไปนั่งประจำที่ เห็นสีหน้าเซ็งจัดของหมอนั่นแล้วรู้สึกตงิดๆ

แล้วก็ได้ยินเสียงพ่นลมหายใจตามมาแบบยาวๆ ต่อด้วยน้ำเสียงการพูดแบบคนเอาแต่ใจ “ฉันจะมารับมันก็เรื่องของฉัน” อธินทำท่าจะออกรถ แต่เห็นใครบางคนยืนขวางอยู่ เขามองลอดทางกระจกหลัง แล้วพ่นลมหายใจออกมาอีกรอบเมื่อเห็นหน้ามันชัดๆ


นั่นมันเจ้าประจำเรื่องทำให้เขาหงุดหงิดเลยล่ะ...

“ว่าไงเน?” เดียร์เปิดประตูออกไปยืนคุยด้วยเมื่อมันเคาะกระจกเรียก ส่วนอธินก็ลดกระจกลงเพื่อต้องการฟังบทสนทนาของเด็กพวกนั้นเช่นกัน

“พี่เบียร์เปิดร้านใหม่วันนี้ ไหนมึงบอกว่าจะไป” มันชูบัตรส่วนลดสามใบที่พวกเขาได้มาให้ดู

“เอ่อ วันนี้กู...” เดียร์เลิ่กลั่กลังเล เขาลืมไปเสียสนิทว่านัดกันไว้ ตรงหน้าก็เพื่อนกำลังเขม่น ข้างหลังก็แฟนเตรียมจะขย้ำคอกันอยู่แล้ว

เอาไงดีวะเนี่ย!...

“กู...” มองหน้าไอ้ภูกับไอเนที่นิ่งเงียบรอคำตอบ สลับกับคนในรถที่นั่งกอดอกรอฟังคำตอบของเขาอยู่เช่นกัน อะไรมันต้องมาตัดสินกันวันนี้ด้วยเนี่ย นัดเพื่อนกับแฟนอันไหนมันสำคัญกว่า

เอาวะ!...ยังไงคนโตกว่าก็ต้องเข้าใจอะไรได้ดีกว่าอยู่แล้ว เดียร์หันไปเกาะขอบกระจกแล้วลองพูดกับอธินดีๆ

“กลับไปก่อนได้ไหม คือว่าวันนี้ฉัน...”

อธินไม่ตอบ เขาใช้สายตานิ่งๆ มองมาแทนความหมาย ก่อนจะถอยรถออกจากที่จอดแล้วขับออกไปแบบไม่รอฟังคำอธิบายต่อจากนั้นเลย เดียร์ยืนมองตาค้าง เพราะเข้าใจในท่าทีนั่นดีกว่าใคร

ทำไมจะไม่รู้ล่ะว่ากำลังถูกโกรธ โกรธกันแบบนิ่งๆ ชนิดที่ปล่อยให้คนถูกโกรธต้องมายืนสำนึกในความผิดตัวเองแบบนี้

หมอนั่นไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนนะเนี่ย!

ในขณะที่ยืนมองรถคันนั้นตาละห้อย ในหัวคิดหาคำแก้ตัวอยู่สิบตลบ แล้วก็ได้ยินเสียงหัวเราะตามมาจากไอ้เพื่อนตัวดีที่ยืนกอดอกทำตัวเป็นผู้ชนะได้อย่างน่าหมั่นไส้

“หน้าแม่งจ๋อยไปเลยว่ะ!”

“มึงนี่นะ หาเรื่องไปแหย่เขาได้ตลอด” ไอ้ภูส่ายหัวกับความคิดเด็กๆ แต่ก็เห็นได้ชัดว่าอธินไม่พอใจเรื่องนี้มากจริงๆ ก็ไม่แปลกหรอกที่ไอ้เนจะหาเรื่องยั่วโมโหได้ตลอดเวลาที่มีโอกาส ก็ในเมื่อได้ของรักของหวงของมันไปครอบครองแล้วนี่ 

“ก็มันทำตัวน่าหมั่นไส้นี่หว่า” คนพูดมันรู้สึกสำนึกด้วยเสียเมื่อไหร่ ก่อนจะหันไปพูดกับคนที่ยืนหงอยข้างๆ

“มึงก็ไม่ต้องทำหน้าละห้อยแบบนั้น ไหนว่าแค่แฟนเก่าพี่ชายไม่ใช่เหรอ?” ไอ้เนยังคงประชดไม่เลิก ใช่! เขาไม่เคยบอกว่าตัวเองเป็นอะไรกับอธิน แต่ก็ไม่สามารถปกปิดความจริงจากไอ้เพื่อนสองตัวนี่ได้หรอก พวกมันรู้ว่าอะไรเป็นอะไรก็จากพฤติกรรมของเขาเองนี่แหละ

ก็อธินทำตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของชัดเจนซะขนาดนั้น!

“กูก็ไม่ได้อะไรสักหน่อย มึงจะไปก็รีบไปสิ หิวแล้วนะเว้ย!”

“แน่ใจว่าไม่ได้อะไรจริงๆ แต่สายตามึงน่ะ เหมือนจะวิ่งตามเหี้ยนั่นออกไปเลย”

“พวกมึงหยุดเถียงกันได้ไหม คือกูหิวแล้ว!” ภูเข้ามาแทรกตรงกลางแล้วลากคอพวกมันทั้งคู่เดินไป เขาก็เพิ่งรู้ว่าไอ้พวกขี้ประชดแบบไอ้เนเนี่ย บทจะรั้นขึ้นมาก็ด้านได้แบบหัวชนฝา มันยอมเสียที่ไหนล่ะ ทั้งที่บัตรส่วนลดก็ไม่ได้หมดเขตวันนี้สักหน่อย จะเลื่อนไปเป็นวันอื่นก็ไม่เห็นยาก แต่พอรู้ว่าอธินมารับไอ้เดียร์ด้วยตัวเองนั่นแหละ อาการหวงก้างก็เลยกำเริบขึ้นมา ส่วนหัวดื้ออย่างไอ้เดียร์นั้น ทำทุกอย่างเพื่อรักษาน้ำใจเพื่อน จนถึงขนาดยอมทำร้ายความรู้สึกคนที่ตัวเองรัก

แล้วนี่ก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้แฟนเก่าของมันตัดสินใจบอกเลิก เพราะให้ความสำคัญกับเพื่อนมากกว่านี่เอง

 

 

มาร้านพี่เบียร์พวกเขาก็เน้นแต่เบียร์สมชื่อ พอของแบบนั้นเริ่มได้ที่ อะไรๆ ที่เก็บไว้ก็พลั้งออกมาจนได้ คนที่ตกเป็นทาสความเมาในคืนนี้เป็นใครไปไม่ได้ นอกจากเพื่อนรักที่แอบรักเพื่อน มันเป็นความรู้สึกที่ยากเกินจะรับได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่เข้าใจ ในฐานะของคนเป็นเพื่อนต่อจากนี้ก็คงทำได้เท่าที่ควรทำ

“นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่กูจะทำให้มึงลำบากใจ” เนเพ้อ วางแก้วลงแล้วหันมามองหน้าเพื่อนตรงหน้าชัดๆ ด้วยสายตาจริงจัง

“ดราม่าอะไรของมึง”

“ในฐานะเพื่อน กูอยากให้มึงสมหวังสักที ถ้าไอ้เหี้ยนั่นดีจริงแล้วมึงก็ชอบมัน กูก็ยินดีด้วย..”

“กูไม่ได้...”

“แต่ถ้ามันทำให้มึงเสียใจวันไหน ก็กูนี่แหละจะตามไปกระทืบมันเอง” พูดจบก็กระทืบเท้าตัวเองอย่างโกรธแค้น ตามด้วยกระดกเบียร์ขวดใหม่ลงคอ

“เออๆ พอแล้วน่า นี่ก็ดึกแล้วนะ”

“จะรีบกลับไปไหนวะ ยังไม่เที่ยงคืนเลยไอ้ห่า ทีเมื่อก่อนมึงไม่เคยจะสนใจเวลาซะด้วยซ้ำ” คนอกหักแบบเขามีอารมณ์หงุดหงิดปนเศร้า ยิ่งอีกฝ่ายแสดงความเป็นห่วงหมอนั่นอยู่ตลอดเวลา เขาก็ยิ่งแปรปรวน

“กูง่วงแล้วต่างหากเล่า”

“เป็นห่วงมันก็บอกมา ทำไม! ปล่อยไปสักคืน แม่งไม่ตายหรอกน่า” แล้วเนก็เริ่มงุ่นง่าน บอกตรงๆ ว่าควบคุมตัวเองไม่ได้เลย

“มึงก็เห็นใจมันหน่อยสิวะ แค่นี้มันก็กลัวไอ้อธินโกรธจะตายอยู่แล้ว” ภูยิ้มกริ่ม มองหน้าคนละล่ำละลัก 

“อะไร? ใครกลัว!” เดียร์ส่ายหัวกับคำกล่าวหาที่ไม่เข้าท่า พวกมันทั้งคู่ใช้สายตามองมาต้องการสื่อเป็นนัยชัดๆ ว่า

'มึง นั่น แหละ!' เป็นคำตอบ เขาถึงได้ระบายลมหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้

เขารู้สึกแบบนั้นจริงๆ นั่นแหละ

กลัวว่าหมอนั่นจะโกรธ...

“นี่กูถามหน่อยดิ เคยจูบกันรึเปล่าวะ?” คนถามมองนิ่ง เดียร์ใบ้แดกไปสามวิ แล้วตั้งสติด้วยการกระดกเบียร์เข้าปาก ก่อนจะมองหน้าไอ้เนด้วยสายตาของคนที่ไม่นึกว่า มันจะกล้าถาม

“มึงจะอยากรู้ไปทำไม?” เขาไม่ตอบ และไม่มีวันตอบแน่ๆ ของแบบนี้จะพูดให้อายตัวเองทำไม บอกไปก็หมดมาดกันพอดี

“กูว่าแบบนี้เคยชัวร์” พวกฝั่งตรงข้ามเดาจากน้ำเสียง คนอย่างมันถ้าไม่เคยจริงหรือว่าถูกกล่าวหา จะไม่นั่งนิ่งแบบนี้ อย่างน้อยๆ ก็โวยวาย พูดจาเสียงดัง แสดงอาการออกมาแบบไม่ปิดบังว่าตัวเองบริสุทธิ์ใจ แต่ที่อยากรู้น่ะยังไม่ใช่เรื่องนี้ ในฐานะเพื่อนที่คบกันมานาน ก็พอจะมองออกว่าท่าทางแบบน่ะคง...

“แล้วมึงอ่ะ...มีอะไรกันยังวะ?” 

“ถามเหี้ยไรมึงเนี่ย!!!” เดียร์แทบจะฟาดขวดเบียร์ใส่หัวคนถาม ภูที่นั่งลุ้นอยู่ข้างๆ ระเบิดก๊ากออกมา ไอ้เหี้ยเนนี่ก็เสือกถามตรงเกิ้น

“ชัดเจนเลยเพื่อนกู ฮ่าๆ” ถึงภายนอกเขาจะหัวเราะครื้นเครง แต่ลึกๆ แล้วเรื่องนี้ทำเอาขำไม่ออก ที่ถามก็เพราะต้องการสิ่งตอกย้ำเพื่อช่วยในการตัดใจ เจอกันครั้งหน้าเขาจะได้มองมันในฐานะใหม่ ไม่ใช่มองในฐานะของคนแอบรักแบบที่เคยทำมาตลอด

คราวนี้ก็คงกำหนดทิศทางของตัวเองได้สักที

“ทำไมต้องเขิน ทีมึงไปนอนกับสาว กูไม่เห็นว่าจะมานั่งทำหน้าบางแบบนี้เลยไอ้ห่า!”

“แหม พวกกูแค่แซวเล่นนิดๆ หน่อยๆ” ภูกอดอก หัวเราะแบบขำๆ เขายังนึกถึงภาพไอ้เตี้ยนี่ตอนปีหนึ่งที่เกือบจะสารภาพรักกับรุ่นพี่ในคณะ ถ้าไม่ติดตรงรู้ทีหลังว่าพี่เค้ามีแฟนแล้ว

“มึงนั่นแหละตัวดี พอๆ เลิกพูดเรื่องนี้กันสักที”

 

สองคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามหน้าถอดสี ไม่ใช่เพราะเกรงคำของเพื่อน แต่ที่ต้องเงียบเสียงลงเป็นเพราะตกใจการมาถึงของใครบางคนมากกว่า ใบหน้าของคนมาใหม่ค่อนไปทางขุ่นเคืองจนเห็นได้ชัด เล่นเอาไปต่อไม่ถูกเลยทีเดียว

“เอ้า! เงียบทำไมล่ะ” สายตาของไอ้ภูอยากจะบอกเหลือเกินว่า พวกมันก็อยากจะต่อเหมือนกันนั่นแหละ แต่ติดตรงที่ว่า ‘พ่อมันมา’ เลยได้แต่พยักพเยิดให้หันไปมองเองด้านหลัง

“เฮ้ย!” เสียงร้องลั่นพอๆ กับความตกใจ เมื่อหันไปเห็นใบหน้าของคนที่เข้ามาตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ ฝ่ายนั้นมีสีหน้าไร้อารมณ์จนน่าใจหาย แถมยังอยู่ในชุดทำงานเหมือนเดิม คิดว่าตั้งแต่แยกกันตอนนั้น อธินจะกลับไปแล้วเสียอีก แล้วความรู้สึกบางอย่างก็แล่นเข้ามาในสำนึก อารมณ์ของเดียร์ตอนนี้คล้ายคนกลัวความผิด

“จะกลับได้รึยัง?” เอ่ยถามเสียงเข้ม เดียร์มองคนพูด สายตาโหดขนาดนั้น คิดว่าเขามีสิทธิ์ตอบเป็นอย่างอื่นด้วยหรือ พอรู้เรื่องก็รีบลุกจากเก้าอี้แบบอัตโนมัติ เหมือนถูกผูกติดวิญญาณกับร่างตรงหน้า พออธินออกเดินไปสองขาก็รีบก้าวตามทันที ก่อนจะหันมาอำลาเพื่อนที่นั่งทำสีหน้าเป็นห่วง

“กูกลับก่อนนะ”

“เออๆ ไปเหอะ เดี๋ยวพวกกูจ่ายเอง” สองคนนั้นบอกพลางโบกมือให้ พอได้ยินคำนั้นปุ๊บ เดียร์ก็รีบตามคนที่เดิมดุ่มไม่มองใครเลยออกไปจากร้าน พลางมองนาฬิกาของตัวเอง ซึ่งบัดนี้ได้เวลาเที่ยงคืนพอดีเป๊ะ!

เขารู้เวลา...

มีแต่ตัวเองนี่แหละ ที่ไม่รู้อะไรเลย

บรรยากาศในรถเงียบกริบ คนขับเองก็นิ่งเสียจนเขาที่นั่งข้างๆ ไม่กล้าขยับตัวไปไหน จะทำยังไงดีล่ะ ไม่เคยเจออาการนี้ของอธินมาก่อน หมอนี่โกรธแล้วน่ากลัวแฮะ อะไรๆ รอบกายก็ดูอึดอัดไปหมด เดียร์อยากจะพูดด้วยก่อน แต่ก็ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไงดี ไม่เคยอยู่ในสถานการณ์น่าลำบากใจ กลืนไม่เข้าคายไม่ออกแบบนี้เลย

รถออกมาได้สักพัก ด้านหน้าเป็นแหล่งชุมชนที่มีร้านอาหารเปิดขายตอนดึกๆ อธินเปิดสัญญาณไฟเลี้ยว ก่อนจะจอดลงข้างทาง

“เอ่อ...” เดียร์ยังไม่ทันเอ่ยถาม แต่ฝ่ายนั้นก็ลงจากรถไปแล้ว ก่อนจะเข้าใจทุกอย่าง ก็เห็นอธินลงไปนั่งที่โต๊ะตัวหนึ่งในร้านข้าวต้ม รอให้แม่ค้าเข้ามารับออเดอร์

เดียร์รู้สึกผิดจนตัวตาย ไม่เคยรู้สึกผิดหนักขนาดนี้มาก่อน อย่าบอกนะว่าหมอนั่นรอเขาอยู่ตลอดเวลา เขานึกสภาพของคนที่หิวแล้วต้องมานั่งรอ นับรวมเวลานี่มันก็เลยหกชั่วโมงมาแล้วนะ

“ข้าวต้มหนึ่งที่ครับ”

“ขอสองครับ” เดียร์บอกแล้วลากเก้าอี้มานั่งข้างๆ มองหน้าคนโกรธที่ตีสีหน้าเรียบนิ่ง ไร้ความรู้สึกเห็นแล้วมันใจหาย มันคงจะดีกว่าถ้าอธินต่อว่าเขาออกมาแบบตรงๆ ไม่พอใจตรงไหนก็ใส่มาเลย มันคงจะทำให้เขารู้สึกดีกว่านี้เป็นร้อยเท่า

“ฉัน เอ่อ...ฉันขอโทษที่ทำให้รอ” เดียร์มองใบหน้าหล่อเหลาที่ยังคงเรียบสนิท ไม่แสดงอาการว่าเขามีตัวตนอยู่ข้างๆ แต่อย่างใด ฝ่ายนั้นหันมองไปรอบๆ ร้าน ไม่สนใจว่าคนที่มาด้วยกัน จะเป็นจะตายเสียให้ได้กับท่าทางแบบนั้น

ถูกเมินอย่างสมบูรณ์แบบเลยสินะเนี่ย เหอๆ

“ข้าวต้มสองที่ได้แล้วจ้า”

“ขอบคุณครับป้า” เดียร์บอกแล้วเลื่อนอีกถ้วยส่งให้คนตรงหน้า อธินรับไปแบบไม่พูดไม่จา ตั้งหน้าตั้งตากินไปจนเกือบหมด

“นายไปอยู่ไหนมา ระหว่างที่รอฉัน” เจ้าของใบหน้าคมคายเหลือบมองเพียงนิด แล้วละทิ้งความสนใจนั่นไป “นี่ ถ้าโกรธก็ด่ามาตรงๆ ก็ได้ ฉันยอมรับว่าตัวเองผิดที่เบี้ยวนัด แล้วก็ปล่อยให้นายรอ ข้าวก็ยังไม่ได้กินเลยจนป่านนี้เนี่ย”

“รู้ตัวเองด้วยหรือ?” อธินละสายตาจากข้าวต้มในถ้วยมามองหน้าคนสำนึกผิดเพียงนิด แล้วเริ่มตักข้าวต่อ

“รู้สิ รู้ดีเลย วันหลังไม่กล้าทำแบบนี้แล้ว” เจ้าตัวลากเสียงยาว ใครจะรู้ล่ะว่าตอนโกรธนี่โคตรรับมือยากเป็นบ้า เดียร์ได้แต่ร้องบ่นอยู่ในใจ ขืนพูดไปเนี่ย รับรองว่าถ้ามีคูณสอง อาการนี้ต้องข้ามวันข้ามคืนแน่ๆ

“ทำไมล่ะ? กลัวอะไร ที่ผ่านมาก็ไม่เห็นจะสนใจอะไรอยู่แล้ว” อธินย้อนถาม คนที่นั่งฟังได้แต่ซึบซับคำเหล่านั้นลงไปในใจเบาๆ ไม่ว่าพูดยังไงตัวเองนี่แหละที่เป็นฝ่ายผิดทุกประตู เดียร์มองหน้าคนที่มีอาการขุ่นเคืองแล้วหน้าหงอยไปเลย

“ป้าครับ คิดตังค์” คนตัวสูงเดินไปจ่ายเงินให้ป้า โดยไม่หันกลับมาสนใจกันเลยแม้แต่น้อย นี่เรียกว่าเป็นการเอาคืนรึเปล่านะ ทำไมอะไรๆ ก็เหมือนจะถูกย้อนกลับมาที่ตัวเองหมดเลย

หมอนี่มีวิธีจัดการคนอื่นได้แสบจริงๆ เขายอมรับเลยล่ะ...แล้วคืนนี้จะได้คุยกันดีๆ ไหมเนี่ย!

“บอกมาสิว่าจะให้ทำยังไงถึงจะหายโกรธ” เดียร์ตะโกนบอกตามหลัง ฝ่ายนั้นชะงักมือตอนเปิดประตูรถ หันมามองเขาแวบหนึ่งแล้วละความสนใจนั้นไป ตอนนี้ใจของเขามันเริ่มห่อเหี่ยวแล้วนะ นี่มันบทลงโทษประเภทไหนกัน

ระหว่างทางจนกลับมาถึงรีสอร์ทก็ยังคงเต็มไปด้วยความเงียบ ต่อให้เดียร์ชวนคุยกลบเกลื่อนมากเท่าไหร่ ที่ได้รับกลับมาก็คือความเงียบมากเท่านั้น แต่ใจคนง้อก็ยังไม่ยอมแพ้ง่ายๆ มันต้องมีสักทางที่ทำให้หมอนั่นเปิดปาก แล้วกลับมาพูดจากับเขาดีๆ เพียงแต่ตอนนี้ยังไม่รู้วิธีเท่านั้นเอง เฮ้อ...

“อธิน” เดียร์ร้องขออีกครั้ง มือข้างหนึ่งจับข้อมือเขาไว้ เงยหน้ามองคนที่เมินใส่กัน “เรื่องวันนี้ฉันไม่ได้ตั้งใจนะ จะให้ทำยังไงล่ะ ในเมื่อทุกคนก็สำคัญหมด ถึงรู้ว่านายจะโกรธ แต่นั่นมันเรื่องเล็กฉันคิดว่าจะสามารถหาเรื่องอธิบายนายทีหลังได้”

“อย่าทำเหมือนว่าฉันเป็นพวกไร้เหตุผล โอเค! นี่มันเรื่องเล็ก ฉันรู้ว่านายต้องการรักษาน้ำใจเพื่อน แล้วฉันก็รู้ว่าความรู้สึกฉันมันสำคัญน้อยกว่า”

“ฉันขอโทษ” เดียร์ขยับเข้าใกล้คนตัวสูงกว่าด้วยสีหน้าสำนึกผิด สัมผัสได้ถึงไอร้อนบนเรือนร่างของคนที่มีอารมณ์คุกรุ่น มือเรียวรั้งใบหน้าคมเข้มลงมาหา เขย่งปลายเท้าขึ้นและประทับริมฝีปากเบาๆ บนเรียวปากของเขาเป็นการไถ่โทษ

“สำนึกผิดแล้วจริงๆ”

“อย่าคิดว่าทำแบบนี้แล้วจะทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้น”

อ้าว! นี่ยังไม่ได้ผลอีกหรือ

เด็กหนุ่มมองตามหลังคนตัวสูงที่เดินหนีขึ้นบันได เวลานี้อยากจะทึ้งหัวตัวเองสักร้อยรอบให้หายโง่ที่ทำอะไรลงไปแล้วไม่รู้จักคิด

โอเค! ในเมื่อง้อแล้วไม่ได้ผล ง้อแล้วมันไม่ช่วยทำให้อะไรดีขึ้น ก็ปล่อยไปตามเวรตามกรรมก็แล้วกัน!

 

 

ทั้งที่ยังโกรธกันอยู่อธินก็ยังทำหน้าที่ตัวเองแบบไม่ขาดตกบกพร่อง ทั้งไปส่งตอนเช้า ไปรับตอนเย็น ทุกครั้งที่เห็นอธินมารับเดียร์ก็จะรีบแจ้นไปที่รถแบบไม่ปล่อยให้คลาดสักนาทีเดียว

นี่ก็เข้าวันที่สามแล้วนะ คนอะไรไม่รู้เอาใจยากสุดๆ

พอวันหยุด หมอนั่นก็หายหัวไปตั้งแต่เช้า แทนที่จะบอกกันสักคำก็ไม่มี เดียร์เดินคอตกไปห้องอาหาร เห็นเพียงแต่อันนาคนเดียวในเช้านี้

หมอนั่นไปไหนของเขานะ...

 

 

 

 

.................................................

 

 

ออฟไลน์ Alchemist_toey

  • I'm Cassiopeia
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 62
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
Re: Dear to me >> 22 : ยากเกินจะบอก (20/06/2018)
«ตอบ #44 เมื่อ20-06-2018 22:37:48 »


22

ยากเกินจะบอก

 

 

 

“ออกมาแต่เช้าแบบนี้ ไม่กลัวจะถูกน้อยใจหรือครับ” ระหว่างที่ติดไฟแดง เชนก็ชวนคุยไปเรื่อย พักนี้เห็นทั้งคู่ดูห่างๆ กัน มันเกิดจากสาเหตุอะไรนั้น คนไม่อยู่ในเหตุการณ์ก็ได้แต่เดาไป ต่างๆ นานา

“ปล่อยไปแบบนี้ไปสักพักก็ดีเหมือนกัน คราวหลังจะได้ไม่กล้าขัดใจฉันอีก”

“คุณอธินยังโกรธอีกเหรอครับ”

“ก็มันน่าไหมล่ะ”

เชนส่ายหัวเบาๆ มองเจ้านายที่ปากไม่ตรงกับใจ ทั้งที่บอกเขาว่าโกรธ แต่ในมือก็ยังกดเข้าไปดูข้อความที่ฝ่ายนั้นส่งมาให้ ไหนจะคลิปวิดีโอแบบตลกๆ แม้เชนที่ได้ยินแต่เสียงยังอดขำไปไม่ได้ เขาเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของเจ้านาย แต่เจ้าตัวก็ไม่ได้ตอบกลับหรือพยายามทำอะไรให้ฝ่ายนั้นรู้สึกชื่นใจ คุณอธินจะรู้บ้างไหมว่าไอ้ประเภทที่อ่านแล้วไม่ตอบเนี่ย มันจะยิ่งบั่นทอนความรู้สึก รุนแรงกว่าการไม่สนใจกันอีกนะ

“เสร็จธุระที่คอนโดแล้ว ยังไงก็ฝากบอกอันนาพาเด็กนั่นมาส่งให้หน่อย”

“ที่ไหนดีครับ?”

“บิสโทรบาร์ก็แล้วกัน”

“ได้ครับ” ได้ยินแบบนี้แล้วเชนก็อมยิ้ม แบบนี้ก็แสดงว่าหายโกรธกันแล้วสินะ จะใจแข็งแค่ไหนกันเชียว สุดท้ายก็แพ้ลูกอ้อนอยู่วันยังค่ำนั่นแหละ

 

สิบเอ็ดโมงครึ่งปุ๊บ คนได้รับคำสั่งก็รีบพาเด็กในความดูแลมาส่งให้ทันที อันนากดลิฟท์ขึ้นไปยังชั้นบนสุด เดินตรงไปยังทางเดิน พลางสาธยายเรื่องต่างๆ ให้ฟัง

“หมอนั่นมีคอนโดด้วยหรือ?” เดียร์อ้าปากหวอ ระหว่างยืนรออยู่หน้าห้อง ก็ที่นี่ธรรมดาเสียที่ไหน หรูหราราวกับราชวัง มองดีๆ ดีไม่ดีอาจจะพบพวกคนดังเดินไปมาอยู่ในนี้ก็ได้

“อื้ม..แต่ไม่ค่อยได้ใช้หรอก ส่วนใหญ่คุณอธินก็แวะมาเฉพาะวันหยุด”

“มาทำงานหรือ?” หมอนั่นมีอสังหาริมทรัพย์อยู่ในครอบครองเท่าไหร่กันเนี่ย ที่อันนาบอกว่าอธินต้องมาทำธุระที่นี่ ไม่ใช่ว่านี่ก็เป็นอีกหนึ่งธุรกิจของตระกูลนะ

“เปล่า...แค่เข้ามาเชคห้องเฉยๆ น่ะ”

“อ้อ!”

อันนากดกริ่ง เมื่อไม่มีใครตอบรับเขาเลยใช้คีย์การ์ดที่มีเปิดประตูเข้าไป เดียร์เดินตามไปเงียบๆ พลางสำรวจไปรอบๆ ห้อง ข้าวของทุกชิ้นยังดูสะอาดเหมือนใหม่ กลิ่นหอมอ่อนๆ ลอยฟุ้งทำให้รู้ว่าเพิ่งมีคนเข้ามาทำความสะอาดจริงๆ ในระหว่างที่รออันนา เขาก็ถือวิสาสะเดินสำรวจไปเรื่อยๆ ด้วยความสนใจ แล้วสายตาก็สะดุดเข้ากับภาพแขวนบนผนัง...ของใครคนหนึ่ง

เจ้าของใบหน้าแสนคุ้นเคยในนั้น ทำให้ทั้งตัวชาวาบ...

 

“ว่าไงนะ ไม่ใช่ให้พามาส่งที่นี่หรอกหรือ อ้าว...ไม่เห็นจะรู้เรื่องเลย แล้วนายอยู่ไหนเนี่ย? โอเคๆ” เจ้าตัวเริ่มหัวเสีย เพราะดันลืมไปเสียสนิทว่าเชนโทรมาบอกอะไรก่อนหน้านั้น พอกดวางสายก็หันมาชวนอีกคนที่ยืนอยู่กลางห้อง

“เดียร์! เรามาผิดที่แล้ว คุณอธินเพิ่งออกไปเมื่อกี้นี่เอง”

แล้วอันนาก็ได้รู้ว่าตัวเองทำผิดอย่างมหันต์ เขามองตามสายตาของเด็กตรงหน้าไป แล้วก็สะดุดเข้ากับภาพบนผนังที่แขวนไว้เหนือโซฟา เจ้าของรอยยิ้มละมุนละไมในนั้น เขาจำได้ดีว่าเป็นใคร

“เดียร์...” และนั่นคงเป็นสาเหตุ...ท่าทางซึมลงไปแบบนั้น เขาเองก็เริ่มกระอักกระอ่วน “ไปกันเถอะ” เขารั้งข้อมือนั้นให้เดินตาม แต่ดูเหมือนว่าคนที่นิ่งเป็นรูปปั้น จะขยับตัวไปไหนไม่ได้อีกแล้ว ก่อนที่อันนาจะพูดอธิบายอะไรแทนเจ้านาย เดียร์ก็ชิงเดินหนีออกไปก่อน ทั้งที่เขารีบตามไปแต่ก็ไม่ทัน บนทางเดินว่างเปล่า มันวังเวงจนน่าใจหาย

“ไปไหนแล้วล่ะ?” เขาเริ่มกังวล มันไม่น่าเกิดเรื่องนี้เลยจริงๆ แบบนี้เขาซวยแน่ๆ พอคิดอะไรไม่ออกก็รีบโทรหาเจ้านายทันที ฝ่ายนั้นรับสาย นิ่งฟังเรื่องที่เขาเล่าจนจบก็บอกว่าจะรีบย้อนกลับมา

อันนาก็ได้แต่ภาวนา หวังว่ามันจะไม่สายเกินไป...

 

 

ก๊อกๆๆ

เนเพิ่งลุกจากที่นอน วันนี้วันหยุดเขาก็เลยตื่นสาย มือสางผมที่ยุ่งเหยิงให้มันเรียบร้อย ก่อนจะเปิดประตูรับคนมาใหม่

“อ้าว! มาได้ไงเนี่ย?” เขาแปลกใจที่เห็นมันยืนนิ่ง ท่าทางซึมลงไปจนเห็นได้ชัด พอเจ้าตัวไม่ยอมพูดด้วยก็เลยปล่อยมันไปตามอารมณ์ ตัวเองได้เวลาไปอาบน้ำ เที่ยงวันพอดีจะได้ออกไปหาข้าวกิน

สิบห้านาทีผ่านไปเดียร์ก็ยังนิ่งอยู่บนเตียงของเขา นอนดูอะไรบางอย่างในโทรศัพท์

“กูจะออกไปกินข้าว มึงจะฝากซื้ออะไรรึเปล่า?” เจ้าตัวส่ายหน้าด้วยอาการซึมเซา เนปล่อยเลยตามเลย ถ้ามันอยากพูดเดี๋ยวก็พูดเอง คว้ากุญแจรถออกไปข้างนอกโดยทิ้งมันไว้ในห้องตามลำพัง

 

ผ่านไปค่อนวันจนมืดค่ำ มันก็ยังไม่ขยับตัวไปไหน ยังคงนอนนิ่งอยู่บนเตียงไม่พูดไม่จา ทั้งที่มีเพื่อนกลุ่มเดิมของเขาเข้ามาเล่นกีตาร์  แกะเพลงเสียงดังก็ยังไม่สะทกสะท้าน พอหันไปมองอีกทีมันก็เผลอหลับไปตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ ทั้งที่เพิ่งสองทุ่ม ท่าทางคืนนี้คงไม่คิดจะกลับหอแน่ๆ

เนได้แต่มองตามอย่างเป็นห่วง แต่ก็ไม่ได้เซ้าซี้อะไร พอเห็นมันหลับ พวกเพื่อนๆ เขาก็เลยช่วยกันลดเสียงลง

“เน...ท่าทางมึงมีแขกว่ะ” เพื่อนคนหนึ่งบอกเขาให้ไปดูที่หน้าประตู เนวางกีตาร์แล้วออกไปดู

แล้วก็เดาไม่ผิดจริงๆ ด้วย...เขาคงไม่ต้องพูดอะไรให้มากความหรอกมั้ง เขาเห็นสายตามันมองรองเท้าที่วางอยู่ คงจะรู้อยู่แล้วว่าเดียร์มาที่นี่

“มันหลับไปแล้ว อยากให้เรียกไหมล่ะ” ถึงอีกฝ่ายไม่ตอบ แต่เขารู้ว่าต้องทำแบบนั้น ร่างสูงเดินไปที่เตียงอย่างไม่สบอารมณ์เท่าไหร่นัก เขาปลุกมันขึ้นมาทั้งที่ไม่อยากรบกวน โดยมีสายตาคนมาใหม่มองตามไม่ห่าง

“ออกไปคุยกับมันหน่อยสิ!”

“อะไร?” เสียงงัวเงียของคนเพิ่งตื่น เดียร์ลุกขึ้นนั่ง สอดส่ายสายตามองไปรอบๆ

“ไอ้หมอนั่นมาที่นี่”

เดียร์สะดุ้งเล็กน้อยเมื่อได้ยินแบบนั้น ก่อนจะมองไปที่ประตู เขาเห็นร่างสูงยืนอยู่ท่ามกลางแสงไฟสลัว

ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะคุยกันตอนนี้หรอก...

“บอกให้กลับไปเถอะ!”

“มึงก็ไปบอกเอง กูไม่ใช่แมสเซ็นเจอร์” เนส่ายหัวแล้วกลับไปเข้ากลุ่มกับเพื่อนตัวเองต่อ เรื่องของคนสองคนเขาไม่อยากเข้าไปยุ่ง ไม่อยากลากตัวเองเข้าไปเจ็บด้วย

เด็กหนุ่มตัดสินใจลุกจากเตียง เดินไปเผชิญกับคนที่เขาตั้งใจหลบหน้ามาทั้งวัน

เดียร์ไม่ได้รอให้เขามาง้อ เพียงแค่คิดว่าควรจะบอกบางอย่างให้เขารู้เหมือนกัน

ช่วงเวลาที่เงียบงันผ่านไปเหมือนว่ามันช่างยาวนาน อธินมองแววตาของเด็กตรงหน้าที่ไม่เหมือนเดิม และรู้ดีถึงสาเหตุ แต่ก็ไม่ได้คิดจะอธิบายอะไรให้มากความ

สำหรับเขา เรื่องนั้นมันไม่สำคัญเลย…

มือหนากุมมือคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าตั้งใจจะชวนกลับ แต่ท่าทีแข็งกระด้างนั้น ทำให้เขาหยุดชะงัก เดียร์ยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน มีเพียงสายตาที่แสดงออกว่าเจ็บปวดมากแค่ไหน

“อย่ามายุ่งกับฉันเลย...”

“เดียร์..” อธินมองตาคนพูด เขาเห็นน้ำใสๆ เอ่อคลออยู่ในนั้น อาการเหมือนไม่ต้องการให้เขาทำจริงๆ อย่างที่ว่า แล้วมีเหตุผลอะไรที่เขาต้องฟังด้วย

“นายกลับไปเถอะ!”

“นี่มันชักจะไปกันใหญ่แล้วนะ” เขาพูดด้วยท่าทีอ่อนลง ท่าทางเด็กนี่คงเข้าใจอะไรผิดไปแล้วจริงๆ แต่เขาก็ยังคิดว่าไม่มีอะไรต้องอธิบาย ในเมื่อทุกอย่างมันจบไปนานแล้ว ภาพถ่ายที่เห็นแขวนอยู่มันดูมีความหมายก็จริง แต่ต่อให้มีอยู่หรือไม่มี ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร ที่ยังเก็บไว้เพราะมันเป็นความทรงจำดีๆ สำหรับเขา

 “ฉันขออยู่ที่นี่สักพัก ถ้ารู้สึกดีเมื่อไหร่ ค่อยกลับไปเอง”

“แน่ใจแล้วใช่ไหม?...”

“ลองถามตัวนายดูเถอะ..." เดียร์สูดลมหายใจเข้าอย่างยากลำบาก ก่อนจะตัดสินใจพูดอะไรออกไปอย่างที่รู้สึก "นายอาจจะไม่ได้ต้องการฉันตั้งแต่แรกก็ได้” พูดจบก็ปิดประตูแล้วรีบล็อคมันทันที ไม่สนใจเสียงร้องท้วงหรือใครที่พยายามเคาะประตูตามหลัง

เขาน่าจะรู้ตัวได้แล้วว่าไม่ควรเข้าไปยุ่งกับคนที่ยังไม่ลืมอดีต...นอกจากจะทำให้ตัวเองเจ็บแล้ว อดคิดไปไม่ได้เลยว่าทุกช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกันนั้น อธินอาจกำลังนึกถึงใครอยู่หรือเปล่า ต่อให้คนๆ นั้นเป็นพี่ชาย เดียร์ก็ยอมรับเรื่องนี้ไม่ได้อยู่ดี

ไม่แน่ใจว่าที่เป็นอยู่ เขาอาจแค่ต้องการใครสักคนช่วยทำให้ลืมเรื่องราวในอดีต...

ถ้าเป็นเช่นนั้น...ก็ควรปล่อยให้เขาได้ทบทวนเรื่องนี้ด้วยตัวเอง แต่อย่าลากคนอื่นเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยเลย...

 

 

 

เลิกเรียนวันถัดมา เขาตั้งใจจะแยกจากเพื่อนในกลุ่มเพื่อแวะซื้อของใช้จำเป็น ถึงห้องเนจะมีทุกอย่างให้พร้อม แต่เดียร์ก็ยังอยากได้สบู่กลิ่นเดิม ยาสระผมกลิ่นเดิมอยู่ดี ทั้งที่มันบอกว่า จะหยิบ จะจับ จะทำอะไรก็ตามใจ ไม่ต้องคิดมาก ของๆ เพื่อนก็เหมือนของตัวเอง แต่ก็อดไม่ได้อยู่ดี

 “เอานี่กุญแจห้อง เผื่อกูไม่อยู่ตอนมึงกลับมา”

“อืม” เดียร์พยักหน้า เห็นมันบอกว่าวันนี้จะไปซื้อสายกีตาร์ใหม่ พอตกลงกันเรียบร้อย แต่ละคนก็แยกย้ายกันไปกันละทาง เดียร์ยืนมองไอ้เนหายไปกับกลุ่มเพื่อนที่เล่นดนตรีด้วยกัน แล้วคิดหาทางของตัวเองต่อ

แล้วสายตาก็สะดุดกับรถคันหนึ่งที่แสนคุ้นเคย...

ร่างสูงสง่าในชุดทำงานกำลังยืนอยู่ที่ลานจอดรถ ก่อนหมอนั่นจะเห็นเขา เดียร์รีบชิ่งหนีทันทีโดยไม่คิดจะหันกลับไปมองเลยว่าจะมีใครตามมารึเปล่า

ในระหว่างที่รอรถเมล์อย่างร้อนใจ เดียร์ภาวนาเงียบๆ ขออย่าให้หมอนั่นมาเจอเขาเลย แต่ดูเหมือนโชคจะไม่เข้าข้าง เมื่อใครบางคนกำลังเดินตรงมาทางนี้แล้ว

“ฉันมารับ” แน่นอนว่าเดียร์ได้ยินคำนั้นชัดเจน แต่แกล้งทำเป็นหูทวนลม ไม่รู้ไม่ชี้ เสมือนว่าไม่เคยรู้จักกันมาก่อน

“จะไม่พูดด้วยก็ได้ แต่นายต้องกลับไปด้วยกัน” คนฟังยืนกัดริมฝีปาก ช่างเป็นข้อต่อรองที่เห็นแก่ตัวดีจริงๆ เดียร์กอดอก ทำทีเป็นไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น จนคนแถวนั้นที่รอรถอยู่ก่อนเริ่มมองมาอย่างสงสัย ว่าอธินกำลังพูดอยู่กับใคร

คนตัวสูงกว่ามองอาการนั้นก็เข้าใจอะไรได้แจ่มชัด

...นี่กำลังเอาคืนอยู่หรือ

“ฉันกำลังพูดกับนายอยู่ไม่ได้ยินรึไง!” เขาเดินมาหยุดลงตรงหน้าพร้อมพูดด้วยเสียงที่ดังฟังชัด จนคนที่ยืนอยู่แถวนั้นเล่นหันมามองกันเป็นแถบ

หน็อย ไอ้เหี้ยอธิน!

เดียร์มองเขาด้วยสายตาโกรธแค้น แสดงอาการออกมาชัดเจนว่าไม่อยากคุยด้วย พลางคิดจะใช้วิธีนี้งั้นหรือ ฝันไปเถอะว่ะว่ามันจะได้ผล

“เลิกเล่นได้แล้ว!” เขามองดุ หลายคนหลีกทางให้อธินเข้ามายืนใกล้ๆ เมื่อเจ้าตัวแสดงเจตนาชัดเจนขนาดนั้นว่าต้องการจะคุยกับใคร หลังจากที่ไม่เจอกันมาสามวันดูเหมือนเด็กนี่จะดื้อขึ้นมาก เดียร์ยืนนิ่ง ปล่อยให้คนข้างๆ อารมณ์ไม่ดีไปอย่างนั้น ถ้าคิดจะมาง้อ บอกเลยว่าไม่สำเร็จ ต่อให้จะฉุด จะลากตัวไปยังไง เขาไม่มีวันกลับไปด้วยแน่นอน อำนาจพวกนั้นใช้ไม่ได้ผลหรอก

ในเมื่อเจ้าตัวยังบอกเหตุผลไม่ได้ว่าจะให้กลับไปทำไม มันก็ไร้ประโยชน์ ไม่ใช่หน้าที่และเขาก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องกลับไปรักษาแผลใจให้ใคร

“เดียร์!” น้ำเสียงติดไปทางขุ่นเคือง เจ้าของชื่อยืนเฉย ไม่สนใจอะไรเลยสักนิด จนกระทั่งรถเมล์คันถัดไปเข้ามาจอด เดียร์รีบวิ่งขึ้นไปทันที คนทยอยขึ้นกันมาเต็มคันรถ แต่ไร้วี่แววของหมอนั่น จนประตูปิดลงถึงได้โล่งใจ

ก็ดีแล้ว ให้มันเป็นแบบนี้แหละ...

เดียร์หันกลับมามองด้านหน้า ปลายจมูกกระแทกกับหน้าอกของใครคนหนึ่งที่มีส่วนสูงมากกว่า พอเงยหน้าขึ้นไปเท่านั้นแหละ ที่ว่าตั้งใจจะขอโทษแต่ใบหน้าของผู้ชายสวมเชิ้ตสีคุ้นตานั้น ทำให้เขาแทบผงะ อยากจะกัดลิ้นตัวเองตายลงตรงนี้จริงๆ

ใช่...เขาหนีไม่พ้น และยิ่งยากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อถูกผู้โดยสารคนอื่นๆ เบียดเข้ามาอย่างหนัก ประชากรหนาแน่นบีบอัดอยู่ในพื้นที่น้อยนิด แทบไม่มีอากาศหายใจ ตัวเขาถูกดันมาจากคนด้านหลังจนหน้าจะไปซบอกเขาแล้ว คนที่คิดจะหนีทำหน้ามุ่ย เมื่อเหลือบมองคนที่มีท่าทีสบายๆ ไม่ทุกข์ร้อน ใช้มือข้างหนึ่งจับราวเหล็ก ยืนตัวตรงเหมือนเสาหลัก แล้วเดียร์ก็เห็นรอยยิ้มนั้นบนมุมปาก...

สุขใจที่เห็นเขาทำอะไรไม่ได้สินะ

น่าหมั่นไส้เหลือเกิน ไม่ทันคิดยั้ง เดียร์ใช้โอกาสที่ทุกคนหันหลังกัดง่ำลงไปบนเนื้อกลางอกของเขาอย่างแรง แบบไม่คิดถึงผลภายหลังที่จะตามมา

“โอ้ย!” เสียงนั้นเรียกสายตาผู้โดยสารคนอื่นๆ หันมามอง แล้วคนที่น่าอายนั้นไม่ใช่ใคร ก็คนที่ยืนเบียดอกกว้างๆ ของอธินอยู่นั่นแหละ แล้วอ้อมแขนแกร่งก็ฉวยโอกาสตวัดลงรอบเอวเพื่อไม่ให้เด็กตรงหน้าผละออกไปได้ง่ายๆ และคราวนี้ดูเหมือนเขาจะเห็นแก้มขาวๆ นั้นเป็นสีแดงเรื่อ

เดียร์ขมวดคิ้วนิ่วหน้าเมื่อแรงรัดตรงรอบเอวแน่นขึ้นเรื่อยๆ ใบหน้าร้อนผ่าว ทั้งโกรธทั้งอาย

รถเมล์จอดลงที่ป้าย ผู้โดยสารบางส่วนเริ่มทยอยลง อ้อมแขนแกร่งถึงได้คลายออก ทั้งคู่ปรับสีหน้าให้เป็นปกติราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น มีแต่สายตาคมคู่นั้นที่มองมาอย่างแสดงความเป็นเจ้าของ เขาพูดอะไรบางอย่างที่เดียร์ไม่คิดจะสนใจฟัง ก่อนที่รถเมล์จะเคลื่อนตัวไป ร่างเพรียวบางรีบก้าวลงจากรถ คนที่คิดจะคว้าตัวไว้รีบก้าวตามไปแต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว

อธินยืนอยู่บนรถด้วยความว้าวุ่นใจ มองไปตามเส้นทางที่รถเคลื่อนตัวมา ระยะทางเริ่มห่างออกไปเรื่อย ๆ เขาเฝ้ามองจนลับตา

ไม่คิดจะเชื่อฟังกันเลยใช่ไหม...







ออฟไลน์ Alchemist_toey

  • I'm Cassiopeia
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 62
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
Re: Dear to me >> 23 : Dear...Atin (End)
«ตอบ #45 เมื่อ20-06-2018 22:49:34 »



 

22

 

Dear....Atin

 

 

เด็กหนุ่มหยุดยืนชันเข่า หอบหายใจรัวเร็วเนื่องจากออกแรงวิ่งต่อเนื่องมาอย่างยาวนาน จำไม่ได้ว่าใช้เวลาไปเท่าไหร่ที่เอาแต่วิ่งอยู่อย่างนี้ สองขาเริ่มอ่อนล้า แต่ทว่าความเจ็บปวดนี้ไม่ช่วยให้เขาลืมบางอย่างไปได้เลย

ยังไม่หาย...ความอึดอัดทรมานในใจนี้ มันยังคงอยู่...

ต้องวิ่งอีกสักกี่ก้าว ต้องเหนื่อยอีกเท่าไหร่ วิธีไหนจะช่วยลบเรื่องราวของผู้ชายคนนั้นออกไปจากหัว

“เฮ้! กลับบ้านกัน”

“ไปก่อนได้เลย!” เดียร์หันไปตะโกนบอกเพื่อนในชมรม ตอนนี้ส่วนใหญ่เริ่มทยอยไปเปลี่ยนเสื้อผ้ากันแล้ว ส่วนตัวเขานั้นไม่ได้มีแผนจะไปต่อที่ไหน

“งั้นพวกกูไปก่อนนะ เจอกันพรุ่งนี้” คนพูดก็ไม่อยากจะไปสุงสิงกับคนอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ สักเท่าไหร่ เห็นมันไม่พูดไม่จากับใคร ลองปล่อยให้อยู่คนเดียวไปสักพัก จนกว่ามันจะหายงี่เง่าเอง

เดียร์วิ่งต่อไป ไม่สนใจคำเตือนใดๆ ของเพื่อนร่วมคณะ จนเสียงหนึ่งตะโกนข้ามฟากมา เขาถึงได้ชะงักฝีเท้า

“อีกสิบห้านาที”

เขาตรงไปเก็บสัมภาระของตัวเองด้วยความอ่อนแรง ไม่ใช่เพราะร่างกายที่ล้า แต่เป็นผลมาจากเหตุการณ์ในวันนั้น

ทั้งที่ผ่านมาก็ 5 วันแล้ว...

เขามันพวกชอบคิดอะไรซ้ำซาก วนเวียนนึกถึงแต่อะไรเดิมๆ มันก็เลยจมอยู่แบบนี้ ถ้าตัดออกจากใจได้เมื่อไหร่ เขาคงกลับไปเฮฮาได้อย่างเก่า

หากกลับไปเป็นคนเดิมที่ไม่แคร์อะไรได้ก็คงดี

เด็กหนุ่มรีบล้างหน้าล้างตาเพราะดูเหมือนเจ้าหน้าที่ผู้ดูแลสนามเริ่มทยอยปิดไฟแล้ว เขาไม่อยากโดนขังอยู่ในนี้

แกร๊ก!!

เสียงนั้นทำให้เขาสะดุ้ง เมื่อหันไปมองต้นทาง ทุกอย่างก็ตกอยู่ในความมืด มองไม่เห็นอะไรเลย

นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน! ถูกขังงั้นหรือ!

"เฮ้ย! เดี๋ยวก่อนสิ ผมยังอยู่ในนี้!" เดียร์ตะโกนออกไปจนสุดเสียงเรียกพี่คนนั้นกลับมา เขายังเก็บของไม่เสร็จเลย จะรีบปิดไฟทำไม

เขายัดทุกอย่างใส่กระเป๋าทั้งที่มันมืดแบบนั้น แล้วรีบวิ่งออกมาด้านนอก แต่ปรากฏว่าประตูก็ล็อกไปแล้วด้วย

"เฮ้ยพี่! เดี๋ยวสิ" เขาหัวเสีย เริ่มคิดหาทาง แน่นอนว่าไม่มีทางที่พี่เค้าจะไม่ได้ยินเสียงนี้เด็ดขาด ความผิดปกตินี้ปลุกสัญชาตญาณ อะไรบางอย่างบอกว่ามีใครบางคนจงใจให้มันเป็นแบบนี้

“เปิดประตู! ใครอยู่ข้างนอก บอกให้เปิดประตู!” ยิ่งตะโกนออกไปเท่าไหร่ก็ยิ่งไร้วี่แวว วันนี้ทำไมด้านนอกถึงเงียบไปหมด

ใครสักคนคงจงใจขังเขาไว้ที่นี่สินะ ถ้าเดาไม่ผิด อาจจะเป็นพวกที่เคยมีปัญหากับเขาแน่นอน พอคิดได้แบบนั้นยิ่งทำให้มั่นใจว่าต้องมีคนอยู่ด้านนอกแน่นอน

“โธ่เอ้ยยย กูบอกให้เปิดไง!” เดียร์เริ่มโมโหเขาทุบประตูเหล็กเสียงดังสนั่น ด้านในอากาศค่อนข้างร้อน แถมยังมืดไปหมด ประตูที่เชื่อมจากสนามก็โดนล็อกไว้เขาไม่สามารถออกไปด้วยตนเองแน่ๆ และขืนรอให้คนแถวนี้มาเห็นก็คงเป็นไปได้ยาก

และคนแรกที่นึกถึงก็คือไอ้เน เขายืนรอให้มันรับสายอยู่นานแล้วแต่ก็ไร้วี่แวว

“ทำไรอยู่เนี่ย” เขาบ่นกับตัวเอง ร้อนก็ร้อน หิวก็หิว แล้วชื่อหนึ่งก็ผ่านตาเข้ามาแบบไม่ทันตั้งตัวเมื่อเขาพยายามไล่หารายชื่อของเพื่อนคนอื่นๆ เดียร์ลังเลอยู่พักใหญ่แต่ก็จงใจเลื่อนทิ้งไป...

ในขณะที่กำลังสนใจอยู่กับโทรศัพท์ ไม่รู้ตัวเลยว่ามีเงาของใครคนหนึ่งเดินเข้ามา ชายคนนั้นเข้าประชิดตัวและรีบ ล็อกร่างของเขาจากด้านหลัง เดียร์ตกใจจนทำโทรศัพท์หล่นจากมือ จะร้องตะโกนให้คนช่วยก็โดนปิดปากไว้เสียแล้ว

“เงียบซะ!”

“อื้อ อื้อ” เด็กหนุ่มใช้เรี่ยวแรงที่มีทั้งหมดพยายามขัดขืน ทั้งโกรธทั้งหวาดกลัวในคราวเดียวกัน เพราะเขากำลังเสียเปรียบ

ก่อนที่จะคิดอะไรออก ก็โดนใครอีกคนเอาผ้ามาปิดตาไว้ คราวนี้เริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าพวกมันมีอยู่กี่คนกันแน่

“พวกมึงเป็นใคร?” เขาถามซ้ำ กดเสียงต่ำอยู่ในลำคอ ก่อนจะโดนปิดปากด้วยผ้าอีกผืน รวมทั้งสองมือที่ถูกมัดไพร่หลัง

พวกมันเป็นใคร?

ถ้าตั้งใจจะมีเรื่องกับเขาจริงทำไมไม่ใช้โอกาสนี้จัดการเสียเลยล่ะ ในตอนที่เขาเสียเปรียบ ทั้งที่โอกาสก็อยู่ในมือแล้ว ทำไมต้องประวิงเวลา

มีจุดประสงค์อะไรกันแน่?

แล้วเขาก็รู้สึกเหมือนทั้งตัวลอยจากพื้น

“ปล่อยกู ปล่อย!” การต่อสู้ด้วยอาวุธหรือความรุนแรงยังน่ากลัวน้อยกว่าการต้องมาเผชิญกับอะไรเช่นนี้เสียอีก เขารู้สึกอึดอัดที่ไม่สามารถทำอะไรได้ และไม่รู้เลยว่าพวกมันเป็นใคร และต้องการอะไรจากเขากันแน่

รู้สึกอีกทีตอนถูกจับโยนเข้ามานั่งในรถ ได้กลิ่นน้ำหอมจากเครื่องปรับอากาศ แม้มันจะช่วยคลายความหวาดกลัวในใจนี้ได้บ้างว่ามันจะยังไม่ทำร้ายเขา แต่ก็ยังกังวลอยู่ดีเมื่อรถเริ่มเคลื่อนตัวไปในทิศทางที่เริ่มคดเคี้ยว รู้สึกว่ามันช่างยาวนานเหลือเกิน ความมืดทำให้รู้สึกเคว้งคว้างไร้ทิศทาง  เขาเริ่มปวดหัว ไม่รู้เลยว่าทิศไหนเป็นทิศไหน หากจะทรมานกัน นี่คงเป็นวิธีที่ฉลาดที่สุดแล้ว เผชิญกับความรุนแรงตั้งแต่แรกยังน่ากลัวน้อยกว่าด้วยซ้ำ

ราวกับว่าพวกมันรู้จุดอ่อนของเขาดี...

ไม่ไหวแล้ว...อยากออกไปจากที่นี่ ทรมานเหลือเกิน...

 

 

ก่อนใบหน้าซีดเผือดจะฟุบลงไปกับเบาะข้างๆ ก็มีช่วงไหล่ของใครบางคนคอยรองรับ เดียร์สะดุ้งสุดตัว และรีบถอยห่างออกมาอย่างระแวดระวัง แต่ก็โดนมือหนากระชากไว้ ที่แขนนั้นเจ็บร้าวไปหมด เมื่อฝืนไม่ได้ จำเป็นต้องยอมไปตามแรงนั้น

รู้สึกตัวอีกทีเขาก็นอนอยู่ฟูกนุ่มๆ แล้ว เสียงเครื่องปรับอาการกำลังทำงาน นี่คงเป็นห้องนอนแน่ๆ เขาได้กลิ่นน้ำมันหอมระเหยลอยมาเป็นระยะ แม้กลิ่นเปปเปอร์มิ้นท์จะทำให้เขาผ่อนคลาย แต่ก็อดนึกถึงความอันตรายที่อาจจะแฝงมากับกลิ่นนี้ หัวใจเขาเต้นรัวด้วยความกระวนกระวาย พยายามกลั้นหายใจอย่างสุดความสามารถ เด็กหนุ่มรีบซุกหน้าลงกับที่นอนดิ้นรนแกะผ้าผูกตาด้วยวิธีของตนเอง เมื่อได้ยินเสียงว่ามีคนเข้ามาในห้อง หัวใจของเขากลับมาเต้นรัวอีกครั้ง ก่อนจะมีมือเอื้อมมาแกะปมผ้าที่ปิดปากให้ ทันทีที่เป็นอิสระ เดียร์ก็โพล่งขึ้นมาทันทีด้วยความเดือดดาล

“พวกมึงเป็นใคร?” แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบใดๆ กลับมา นั่นยิ่งทำให้เขาเริ่มทนไม่ไหว “ตอบมาสิ! มึงเป็นใคร จับกูมาทำไม!” เด็กหนุ่มพยายามเร่งเร้า แต่คราวนี้เขาได้ยินเสียงฝีเท้านั้นเริ่มไกลออกไปแล้ว

“จับกูมาทำไม! มึงต้องการอะไรกันแน่!” แม้รู้ตัวว่าต่อให้พูดไปเท่าไรมันก็ไม่มีประโยชน์ เพราะดูเหมือนฝ่ายนั้นจงใจจะให้เขาทรมานด้วยการไม่รู้อะไรต่อไปแบบนี้ และยิ่งเขาโวยวาย ยิ่งหวาดกลัวได้มากเท่าไหร่ พวกมันก็ยิ่งพอใจมากเท่านั้น ทั้งที่รู้ตัวว่าตอนนี้กำลังเสียเปรียบ กำลังพ่ายแพ้ให้กับวิธีการของพวกมัน

“แน่จริงก็เข้ามาจัดการเลยสิ! รออยู่ทำไม! อยากจะฆ่าก็ฆ่าให้ตายไปเลย!!!” ไม่รู้ว่าพูดประชดออกไปทำไม ไม่รู้ว่าทำไมถึงรู้สึกน้อยใจขึ้นมาเสียดื้อๆ ทั้งที่ไม่เคยยอมแพ้กับอะไรมาก่อน แต่ทำไมต้องรู้สึกอ่อนแอ เขาเป็นแบบนี้มาตั้งแต่วันที่ตัดสินใจหนีจากบางคนมา จนตอนนี้หมอนั่นอาจจะไม่รู้เลยว่าเขาต้องเผชิญกับอะไรบ้าง แต่ไม่รู้นั่นแหละดีแล้ว คนแบบนั้นน่ะไม่สมควรจะได้รู้ด้วยซ้ำว่าเขามีชีวิตเป็นอยู่อย่างไร

และถ้าเขาเกิดหายไป มันก็สาแก่ใจดี!

เสียงสูดลมหายใจเข้าปอดพร้อมกับก้อนสะอึกที่ไม่รู้ว่าเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ จะเช็ดน้ำตาของตัวเองตอนนี้ดีไหม หรือปล่อยให้มันไหลอยู่อย่างนั้น ไม่มีอะไรต้องอายเลยนี่ เขาไม่เหลืออะไรต้องเสียแล้ว

ใครจะมาสนใจชีวิตที่ไม่มีค่าแบบนี้กันล่ะ

“จะทำอะไรก็เชิญ แต่กูบอกไว้ก่อนเลยว่าพวกมึงน่ะคิดผิดแล้วที่จับตัวกูมา กูไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับ...ไอ้อธินนั่น”

แล้วจู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนมีอะไรอัดแน่นอยู่ในอก เจ็บร้าวไปหมดยามที่นึกถึงทุกสิ่งทุกอย่าง “ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะใช้กูไปต่อรอง เพราะกูไม่ใช่คนที่มัน...” เสียงแหบแห้งหายไปในลำคอ กับสัมผัสที่จู่โจมเข้ามาอย่างรวดเร็ว เดียร์ดิ้นรนขัดขืน พยายามหนีจากสัมผัสที่ไม่ต้องการ ริมฝีปากอุ่นร้อนประกบลงมา แล้วมือหนาก็ล็อกต้นคอของเขาไว้จนไม่สามารถทำอะไรได้

ไม่นะ อย่าทำแบบนี้...

“ถ้ายังพูดอะไรแบบนั้นออกมาอีก คราวนี้ฉันจะไม่ปล่อยนายไปเลยจริงๆ!”

สะ..เสียงนี้!

ปมเชือกด้านหลังที่ปิดตาเขาไว้ถูกคลายออก และร่างสูงที่ยืนอยู่ตรงหน้าก็ทำให้คนที่หวาดผวาตื่นตะลึง ตกใจจนพูดไม่ออก

“น..นาย!!..” ใช่คนเดียวกับที่เขากำลังหนีอยู่...อธิน

“ถ้านายยังกล้าบอกว่าเราไม่ได้เป็นอะไรกัน! คราวหลังพูดแล้วก็ไม่ต้องร้องไห้!” เสียงเย็นเยือกตอบกลับมา เขามองสบตาเด็กตรงหน้าไม่ลดละ และพูดต่อ

“คนที่เก่งแล้ว เขาไม่มาเสียใจกับเรื่องแค่นี้หรอก และเขาก็ไม่ใช้วิธีงี่เง่าประชดตัวเอง ไม่ทำให้คนอื่นเป็นห่วงแบบนี้ ถ้านายอยากได้ชีวิตอิสระโดยไม่มีฉันไปเกี่ยวข้องล่ะก็...ทำให้ฉันเห็นสิว่านายดูแลตัวเองได้ ไม่ใช่แบบนี้!”

“มีสิทธิ์มาตัดสินชีวิตคนอื่นตั้งแต่เมื่อไหร่?” อธินไม่ตอบคำถาม แต่เขาอ้อมมาแก้ปมผ้าที่ตนเองเป็นคนผูกไว้ ที่สองมือนั้นออก ความใกล้ชิดนี้ทำให้เดียร์หวั่นไหว พอถูกปล่อยให้เป็นอิสระเขาก็เข้าใจทุกอย่างดี

เห็นไหมล่ะว่า…เขาไม่ควรหวังอะไรจากผู้ชายคนนี้

เด็กหนุ่มรีบลงจากเตียง เดินไปเปิดประตูโดยไม่สนสายตาคมกล้าที่กำลังจับจ้องทุกการกระทำ แล้วก็ได้รู้ว่าที่นี่คือคอนโดของหมอนั่น เขาจำรูปของพี่ปั้นที่แขวนอยู่บนผนังได้แม่น ซึ่งมันช่วยตอกย้ำให้รู้ว่านี่ไม่ใช่สถานที่ที่เขาควรอยู่ และควรไปจากให้เร็วที่สุด รู้แล้วว่าในใจของอธินไม่ได้มีที่ว่างให้ใครตั้งแต่แรก

อธินหยุดอยู่เบื้องหลังของคนที่กำลังยืนสั่นสะท้าน เด็กหนุ่มหันมาหาเขาช้าๆ ด้วยสายตาของคนที่กำลังผิดหวังบนแก้มของเด็กจอมพยศเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา ริมฝีปากขบแน่น พยายามข่มเสียงสะอื้นไว้จนมันแดงก่ำ เห็นแล้วเขาก็รู้สึกเจ็บปวดไม่แพ้กัน

“ที่ผ่านมาฉันมั่นใจมาตลอดว่านายก็ชอบฉัน…ตอนนี้มันน่าอายมากเลยรู้ไหม? ที่ต้องมายืนต่อหน้านายแบบนี้กับคำตอบที่ว่าฉันมันคิดอะไรไปเอง” อธินนิ่งเงียบ นั่นเป็นการกระทำที่ทำให้คนพูดยิ่งใจหาย

 “แต่ไม่ต้องห่วงหรอก หลังจากนี้ฉันจะใช้ชีวิตของตัวเองให้ดีเลยล่ะ” เด็กหนุ่มฝืนยิ้มทั้งน้ำตาคลอ ไม่อยากให้ใครมองว่าเป็นฝ่ายแพ้ ก่อนจะเหลือบไปมองรูปของพี่ปั้นบนผนังอีกครั้ง และหันมาพูดบางอย่างกับผู้ชายตรงหน้า

“ขอให้นายสมหวัง...” ร่างสูงที่นิ่งเงียบอยู่นานเป็นฝ่ายรวบเอวของคนที่คิดจะหนีจากเข้ามาชิด ประคองใบหน้าของคนที่กำลังเสียใจเข้ามาใกล้ๆ กระชับร่างเพรียวบางไม่ให้หนีไปไหน เขาจูบประทับลงไปอย่างนิ่มนวลบนริมฝีปากที่สั่นระริก เดียร์ไม่ขัดขืนซ้ำยังยินยอมให้เขาจูบตามใจ คงอาจเป็นเพราะคิดว่านี่เป็นสัมผัสสุดท้ายแล้วที่เขาจะได้รับ พรุ่งนี้เราก็คงจะไม่เจอกัน หลังจากนี้ก็คงกลายเป็นคนแปลกหน้า

อธินจูบเนิ่นนาน ราวกับต้องการย้ำเตือนอะไรบางอย่างที่บางคนอาจจะหลงลืมไป เขาก็แค่อยากทำให้เด็กตรงหน้าได้รู้อะไรขึ้นมาบ้าง ถึงไม่ยอมปล่อยให้ริมฝีปากนั้นเป็นอิสระสักที

เดียร์หน้าร้อนผ่าวเมื่อลืมตามองเห็นใบหน้าของคนที่คุ้นเคยอยู่ใกล้ๆ แล้วก็ต้องเศร้าใจเมื่อคิดว่านี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว ที่เราจะได้ใกล้ชิดกันแบบนี้

“นายมันก็แค่เด็กโง่ๆ คนหนึ่งที่ไม่รู้อะไรเลย” ประโยคนี้ทำให้คนที่กำลังสับสนมีสีหน้าเปลี่ยนไป “แล้วฉันก็ไม่อยากจะอธิบายอะไรให้มากความ เพราะต่อให้พูดอะไรไปนายก็ไม่ยอมฟัง ดีไม่ดีก็จะหาว่าฉันแก้ตัวอีก”

“อะไร?” ดวงตากลมสวยทอแววสับสน เดียร์พยายามมองลึกลงไปในดวงตาคู่นั้น...หมอนั่นกำลังจะพูดอะไรกันแน่

“นายกำลังคิดว่าฉันสนใจคนในรูปมากกว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าใช่ไหม?” เด็กหนุ่มเบือนหน้าหนี ไม่ยอมรับ เริ่มสับสนแล้วว่าเขาหมายถึงเรื่องไหน

 “น้อยใจคนในรูปงั้นหรือ ทั้งที่นายกำลังยืนอยู่ตรงหน้าฉันเนี่ยนะ?”

“ก็มัน...”

“ทำไม?”

อธินถามย้ำ เขาพยายามแยกแยะความจริงให้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร และที่ไม่ยอมเอารูปนั้นออก ก็เพื่อต้องการให้เด็กดื้อนี่มาเห็นอีกครั้งนั่นแหละ เขาไม่กลัวถูกเข้าใจผิด ก็เพราะว่ามันไม่มีเรื่องราวอะไรให้เข้าใจผิดอีกแล้ว

“ขอถามหน่อยว่าใครกันแน่ที่ควรจะเสียใจ ฉันทำอะไรตั้งมากมายแต่มันมาพังหมดเพราะเรื่องแค่นี้ นายนี่มัน...น่าโมโหจริงๆ”

“อะไรเล่า?”

“อย่าเถียง!” จบคำนั้นคนตัวเล็กกว่ารีบหันขวับมามองด้วยความน้อยใจ ถูกหาว่าทำทุกอย่างพังก็ครั้งหนึ่งแล้ว หมอนั่นยังคิดว่าเขางี่เง่าไร้เหตุผลอีกหรือ

“แล้วถ้าฉันเอารูปแฟนเก่าขึ้นมาเป็นภาพหน้าพักจอบ้าง นายจะรู้สึกอะไรไหมล่ะ?”

“ก็เอามันมาตั้งเลยสิ ใครมันจะไปสน! ก็นอนอยู่ด้วยกันทุกคืน นายคิดว่าฉันจะยอมให้เกิดเรื่องแบบนั้นหรือ!”

“ฉันไม่เหมือนนายหรอก งั้นก็ขอโทษด้วยที่เข้าใจผิด ฉันมันงี่เง่าไร้เหตุผลเอง นายอย่าถือสาเลย”

อธินรู้สึกว่าเรื่องนี้มันเริ่มยุ่งยากขึ้นอีกแล้ว เขาเริ่มปวดหัวกับเด็กตรงหน้าที่อารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ จนเข้าขั้นเอาใจยาก

“ปล่อยเถอะ! อยากจะกลับแล้ว” เดียร์ยังคงรั้น ดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะไม่ยอมเข้าใจอะไรง่ายๆ ต่อให้อธินพูดว่าเรื่องมันจบไปนานแล้ว แต่ใจเขาก็ยังไม่ยอมรับอยู่ดี อธินเดินไปที่ประตู แล้วตั้งรหัสผ่านไว้ป้องกันไม่ให้เด็กตรงหน้าหนี

“จะทำอะไร?” เด็กหนุ่มเริ่มร้อนรนใจ รีบพุ่งไปขัดขวางแต่ก็ช้าไปเสียแล้ว

เขาไม่เคยรู้สึกอยากขย้ำคนได้มากเท่านี้มาก่อน ตอนที่เห็นเด็กนี้กำลังกดรหัสผ่านแทบเป็นแทบตาย ถ้าเขาเป็นเสือรับรองได้เลยว่าคงไม่ใจเย็นปล่อยให้เหยื่อมายืนยั่วอารมณ์ได้นานแบบนี้แน่

“นายนี่มัน...” ร่างสูงเริ่มระอา น้ำเสียงขุ่นเคืองบ่งบอกถึงอารมณ์ เดียร์รู้สึกถึงลมหายใจที่เป่ารดอยู่บริเวณพวงแก้ม อธินยืนซ้อนอยู่เบื้องหลังตั้งแต่เมื่อไหร่ เด็กหนุ่มหัวใจเต้นแรงเมื่อสัมผัสได้ว่ามีใครยืนอยู่ใกล้ขนาดนี้ มือหนาวางทาบลงบนนิ้วเรียวที่พยายามเดารหัส เขาจับมือนั้นไว้แล้วลากไปตามแป้นพิมพ์เพื่อบอกรหัสผ่านที่ถูกต้อง

0…3…. แล้วก็ตัดสินใจหยุดไว้แค่นั้น ริมฝีปากขโมยจูบลงไปที่แก้มอย่างแผ่วเบา ประสานมือไว้ด้วยกันอย่างอาลัยอาวรณ์

“ฉันจะไม่ปล่อยนายไปไหน จนกว่านายจะเลิกพูดคำว่าเราไม่ได้เป็นอะไรกัน” น้ำเสียงแหบพร่าเพียงเอ่ยกระซิบ แม้จะแผ่วเบาแต่ความหมายของมันฟังแล้วกระแสความอบอุ่นกลับแล่นริ้วไปทั้งร่าง

อธินดึงมือเด็กตรงหน้ากลับเข้ามาใหม่ เขาเดินนำไปที่รูปอดีตคนรักแล้วถอดฉากผ้าใบนั้นลงมาแล้วหันกลัมาถาม

“นายแคร์แค่ภาพๆ เดียวจริงๆ หรือ?” ชายหนุ่มตรงไปที่โต๊ะทำงาน คลิกเปิดโฟลเดอร์หนึ่งในแลปท็อป ทำให้เห็นไฟล์ภาพจำนวนมากที่คิดว่าใครบางคนคงไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน

นั่นคือ...

เด็กหนุ่มค่อยๆ เดินมาใกล้ ทำให้เห็นภาพทุกใบชัดเจน สองแก้มร้อนผ่าวกระแสความอบอุ่นแทรกเข้ามาทำให้รู้สึกตื้นตันใจ นี่คือภาพทั้งหมดของเขาจริงๆ หรือ...

เดียร์จำไม่ได้ว่าตัวเองถูกถ่ายตอนไหน นั่นเป็นรูปของเขาในวันที่แข่งกีฬา กำลังทำหน้าพะวงก่อนการแข่งขัน ไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่ากำลังโดนถ่ายรูป แล้วนั่นก็ยังเป็นรูปเขาตอนซ้อมวิ่งที่ชายหาด ตามด้วยรูปที่กำลังนอนหลับอยู่บนเตียงด้วยใบหน้าอิ่มเอม มีความสุข แล้วความขัดเขินก็ทำให้สองแก้มค่อยๆ กลายเป็ฯสีแดงระเรื่อ

“มาแอบถ่ายทำไมเนี่ย?”

 “นายนี่มัน! ยังไม่เข้าใจอีกหรือ?”

“ถะ ถอยออกไปหน่อย” เดียร์ถอยกรูดไปสองก้าวด้วยสีหน้ายากลำบาก ไอ้ที่โกรธมาทั้งหมด ที่งอนมาหลายวันน่ะหายแล้ว ไม่ใช่ว่าไม่อยากเข้าใกล้ แต่เวลานี้มันเขินมากกว่า เขินที่ได้มาเห็นอะไรแบบนี้

เขาอยู่ในสายตาหมอนั่นตั้งแต่เมื่อไหร่...

ไม่ใช่ว่าตัวเองหรอกหรือที่เป็นฝ่ายชอบหมอนั่นก่อน ทั้งที่คิดมาตลอดเลยว่าเป็นฝ่ายชอบเขาข้างเดียว และกว่าจะกล้ายอมรับว่าชอบ แต่หมอนั่นกลับ...

ชอบเขาก่อนเสียอีก

“ทำไมล่ะ พอรู้ความจริงแล้ว...ทำตัวไม่ถูกเลยสินะ” ฝ่ายนั้นก็ยังรุกเข้ามาแบบจริงจัง จนไม่แน่ใจแล้วว่าแกล้งแหย่เล่นๆ หรือคิดจะเอาจริง “แล้วทีนี้นายจะยังน้อยใจกันอยู่ไหม? จะยอมรับได้รึยังว่าเราเป็นอะไรกัน”

“มาถามทำไมอีกเล่า…” สองแก้มร้อนผ่าว กับความจริงที่ไม่สามารถปฏิเสธได้เลย

“งั้นก็อย่าให้รู้ว่ากล้าพูดแบบนั้นอีก" อธินยิ้มบาง ก่อนกลับมาทำน้ำเสียงจริงจัง "นายจะโกรธ งอน หรือทะเลาะกับฉัน ก็อย่าคิดเด็ดขาดว่าเราจะต้องเลิกกันเพราะปัญหาแค่นั้น ไม่มีอะไรจะมาตัดสินเราได้นอกจากหัวใจ ถ้าหากยังรักก็ไม่ต้องสนใจอย่างอื่น โกรธกันแค่ไหนสุดท้ายเราก็กลับมาเข้าใจกันได้ หรือนายอยากจะงอนฉันก็ไม่ว่า แต่ห้ามหนีหน้า หรือหายไปไหนทั้งนั้น แค่อยู่ในสายตาของฉัน อย่าหายหน้าไป เพราะมันยิ่งทำให้ฉันหวาดกลัว กลัวนายจะได้รับอันตราย รู้ใช่ไหมว่าฉันไม่ใช่บุคคลที่ควรจะเข้าใกล้ เพราะฉะนั้น…เมื่อนายเข้ามาเกี่ยวข้องกับชีวิตฉันแล้ว แน่นอนว่าศัตรูมันจะมองเห็นเราเป็นคนเดียวกัน และฉันก็ไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์นั้นขึ้นกับนาย”

เหตุผลต่างๆ ที่อธินไม่เคยพูดมันออกมา พอได้รับรู้แล้วมันซับซ้อนยิ่งกว่าที่เด็กอย่างเขาจะนึกถึง ที่ผ่านมาเขาไม่เคยคิดอะไรแบบนี้เลย ช่างเป็นคนที่งี่เง่า เอาแต่ใจ ไร้เหตุผลอย่างที่ว่าจริงๆ

“เราไม่ได้อยู่ด้วยกันในฐานะแฟน ไม่ใช่แค่ความสัมพันธ์ฉาบฉวยแบบคู่รักทั่วๆ ไป ที่เจอปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ก็เลิกกัน สำหรับฉัน...ความรักมันมีความหมายมาก เข้าใจใช่ไหม?” มือหนาเฉยคางมนขึ้นสบตา เขามองลึกไปในดวงตาคู่เดิมที่เคยพยศใส่ บัดนี้เริ่มฉายแววไร้เดียงสา ยอมรับฟังทุกอย่างที่เขากำลังเอื้อนเอ่ย

“หมายถึงความรับผิดชอบที่จะดูแลชีวิตคนๆ หนึ่งไปตลอด อย่างที่ฉันเคยทำมาทั้งหมด นายมั่นใจในตัวฉันรึเปล่า แค่เชื่อใจฉัน…ไม่มีต้องกลัวอะไรอีกแล้ว”

เด็กหนุ่มพยักหน้ารัวด้วยเสียงสะอื้น ตอนนี้พูดอะไรไม่ออก มันรู้สึกตื้นตันราวกับว่าที่กำลังยืนฟังอยู่นั้นมันคือคำมั่นสัญญา รู้สึกอบอุ่นในหัวใจ จนคิดว่าตัวเองนั้นโชคดีเกินไปที่ได้ยินถ้อยคำเหล่านี้จากคนที่ตัวเองรัก ส่วนตัวเขานั้นไม่รู้จะพูดตอบกลับไปอย่างไรดี อาจจะเพราะเป็นคนที่คิดคำพูดดีๆ ไม่เก่ง ความรู้สึกของเขานั้นอาจจะตอบกลับไปได้ดีกว่า 

เดียร์เขย่งปลายเท้าขึ้นไปให้ใกล้ชิดกับคนตรงหน้า จูบลงแผ่วเบาเพื่อต้องการซึมซับทุกถ้อยคำให้ตราตรึงไปถึงหัวใจ

คนตรงหน้าเป็นของเขา...ไม่ได้ฝันไปใช่ไหม?

สองมือโอบรอบต้นคอของร่างสูงไว้ ต้องการให้แนบชิดยิ่งกว่าเก่า ราวกับอยากกลืนหายไปกับอ้อมกอดนั้น เรียวลิ้นตวัดแผ่วเบาอยู่บริเวณริมฝีปาก เอาใจคนตัวสูงกว่าด้วยการขบเม้มเบาๆ

“อย่ามายั่วกันตอนนี้นะไอ้เด็กโง่!” อธินกระซิบห้ามด้วยเสียงที่เร่าร้อน แต่เหมือนว่าจะไม่ทันเสียแล้ว เมื่อบางคนนั้นดูเหมือนจะรู้งานมากเกินไป เด็กตรงหน้าพรมจูบอยู่บริเวณซอกคอ ขบเม้มเบาๆ แกล้งให้เขาหวั่นไหวก่อนจะเงยขึ้นมามองกันอย่างท้าทาย

เขาไม่อยากเป็นเสือใจดีต่อไปแล้ว...คงต้องรีบจัดการเหยื่อที่กล้าท้าทายให้รู้จักเข็ดหลาบซะบ้าง

     0303

แล้วหมอนั่นก็เฉลยให้เขารู้ว่ารหัสของห้องนี้คืออะไร ก็ตอนที่นาฬิกาดิจิตอลบนหัวเตียงบอกเวลาตีสามสามนาที กว่าเขาจะได้รับอิสระก็เป็นตอนที่ไร้เรี่ยวแรงจะลุกจากเตียงแล้ว สาบานเลย ถ้ารู้ว่ามันจะลงเอยแบบนี้...อยู่เฉยๆ ตั้งแต่แรกเสียก็ดี ไม่น่าไปท้าทายหมอนี่เลย!

 

ดวงตากลมโตมองไปยังคนที่อยู่ข้างๆ เจ้าของใบหน้าคมคายทรงเสน่ห์นั้นกำลังหลับสนิท นิ้วเรียวไล่แตะไปตามสันจมูก จบลงที่ริมฝีปากหยักสวยที่เคยสัมผัสมาแล้วไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแต่ก็ไม่เคยรู้สึกเบื่อ เขาเท้าคางมองคนที่กำลังหลับใหล เจ้าตัวจะรู้หรือเปล่าว่ามีคนนอนไม่หลับเพราะเอาแต่มองอยู่แบบนี้ เดียร์ไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าท้ายที่สุดแล้ว ชีวิตของเขาจะมาลงเอยกับคนๆนี้

ตั้งแต่ที่รู้ตัวว่ารัก ก็ไม่อาจละสายตาไปไหนได้อีกแล้ว

"เดียร์....อธิน...." เสียงแผ่วเบากระซิบบอก นั่นคือความรู้สึก คือความในใจ อย่างที่ไม่รู้จะสรรหาคำใดได้อีกแล้ว

 

14/10/16

 

อธินที่รัก!

ได้ยินอะไรไหม? ที่ฉันเพิ่งบอกไปอ่ะ หลับอยู่สินะ ถึงไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังถูกลวนลามทางสายตาแบบนี้ ฮ่าๆ นายนี่มันไม่ได้เรื่องเลยว่ะ ทั้งที่ฉันตั้งใจบอกรักอยู่แท้ๆ (ไม่ได้เรื่องๆๆๆๆๆ)

(u_U zzzZZZ ) อธิน!!!! <<< ขอบใจนะที่ช่วยเปลี่ยนแปลงชีวิตของฉัน ขอบใจที่ทำให้รู้ความหมายของการดำรงชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ รักของนายมันทำให้ฉันเข้าใจอะไลรหลายๆ อย่าง ฉันรู้สึกดีใจมากที่เราได้เจอกัน (แม้จะเคยเกลียดมากก็ตาม^^5555555555)

อ้อ! ที่เขียนจดหมายมายืดยาวขนาดนี้ ก็เพราะว่าฉันไม่กล้าพูดอะไร(เลี่ยนๆ)ต่อหน้านายว่ะ (จริงๆ)(ไม่ได้กวนนะ สาบาน! เชื่อ!!!)
ฉันคงจะลิ้นพันจนพูดไม่รู้เรื่อง ถถถถถถถถถ+ หรืออาจเผลอด่านายกลับได้ หากนายแหย่ให้ฉันรู้สึกเขินน่ะ (เว่อร์จริมๆ^0^) แล้วก็ไม่อยากพิมพ์บอกในข้อความด้วย (เปลืองเนต) อยากให้นายได้อ่านแบบนี้มากกว่า นายจะได้รู้ว่าฉันตั้งใจขนาดไหน^^

เอาเป็นว่ารีบตื่นขึ้นมาอ่านได้แล้ว! (เร็วๆ ) อย่าขี้เซานักเลย (ไอ้ขี้เซาๆๆๆ)

รักนาย!<<<<<<(เดียร์ไม่ได้เขียน)

เดียร์<<<<<(ไม่รู้จักว่าใครชื่อนี้)

 

 

 

 

 

THE  END

 ...

 




อิจฉาน้องเดียร์เนอะที่ได้พี่อธินเป็นแฟน ฮ่าๆ ขอบคุณที่ติดตามกันนะคะ

เรื่องนี้จบแล้ว แต่อาจจะเขียนถึงช่วงที่ 4 คนมาเจอกันอีกครั้ง น้องเดียร์จะได้เจอพี่ปั้น
และการปิดบังของคนน้องที่ไม่ยอมให้พี่ปั้นรู้ว่าเป็นอะไรกับอธิน
ยังไงฝากติดตามด้วยนะคะ

รักกกกกกกกกก

 

ออฟไลน์ Gatjang_naka

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 619
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
Re: Dear to me >> 23 : Dear...Atin (End)
«ตอบ #46 เมื่อ23-06-2018 09:03:29 »

 :pig4:

ออฟไลน์ Bb nale

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
Re: Dear to me >> 23 : Dear...Atin (End)
«ตอบ #47 เมื่อ30-06-2018 15:46:20 »

มาอ่านเรื่องนี้เลย ไม่มีพื้นฐานจากเรื่องปั้นแต่อย่างใด แต่ก็น่ารักอบอุ่นดี หัวแข็งทั้งคู่ ขอบคุณคนเขียนมากสำหรับผลงานดีๆ

ออฟไลน์ Bb nale

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
Re: Dear to me >> 23 : Dear...Atin (End)
«ตอบ #48 เมื่อ30-06-2018 15:55:17 »

เพิ่งไปหาเรื่องปั้นมา ดูชื่อเรื่องปรากฎว่าเคยอ่านแล้วแต่ลืม ขอโทษอย่างรุนแรงเน้อคนเขียน

ออฟไลน์ kun

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +122/-10
Re: Dear to me >> 23 : Dear...Atin (End)
«ตอบ #49 เมื่อ14-07-2018 10:47:48 »

น่ารัก ชอบคู่นี้จัง
รอตอนพเศษน่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Dear to me >> 23 : Dear...Atin (End)
« ตอบ #49 เมื่อ: 14-07-2018 10:47:48 »





ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0
Re: Dear to me >> 23 : Dear...Atin (End)
«ตอบ #50 เมื่อ04-09-2018 20:44:06 »

 :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ สีหราช

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 320
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +200/-1
Re: Dear to me >> 23 : Dear...Atin (End)
«ตอบ #51 เมื่อ25-09-2018 19:44:18 »

 :L1:

ออฟไลน์ nOn†ღ

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4390
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +502/-6
Re: Dear to me >> 23 : Dear...Atin (End)
«ตอบ #52 เมื่อ16-04-2020 14:47:56 »

 :pig4:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด