(ตอนจบ) ทัช..สัมผัสใจ (ตอนที่26 ตอนจบ) 29 ก.ค. 2560
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: (ตอนจบ) ทัช..สัมผัสใจ (ตอนที่26 ตอนจบ) 29 ก.ค. 2560  (อ่าน 10240 ครั้ง)

ออฟไลน์ thewa.arak

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 66
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ทัช..สัมผัสใจ ตอนที่ 17
«ตอบ #30 เมื่อ13-07-2017 19:31:02 »

ตอนที่17




...นี่กระมัง ที่เรียกว่า ความรัก..... Part นนท์ / ทัช...



    ถือเป็นการพบกันครั้งแรกในรอบสี่ปีที่เราไม่เคยได้เจอกันเลย ผมเองก็เดินทางไปต่างประเทศบ่อยมาก เบอร์ที่เคยมีก็หายไป นี่ถ้าผมไม่กลับไปเยี่ยมบ้าน ก็คงไม่ได้เบอร์ติดต่อเป็นแน่ 
 ผมอดทนนั่งรอที่ด้านในอาคารผู้โดยสารหมอชิต  บรรยากาศแบบนี้ไม่ค่อยได้มาสัมผัสบ่อยนัก  ตั้งแต่ที่กลับเข้ามาทำงานใน กรุงเทพ ก็บินไปทำงานต่างประเทศอยู่บ่อยๆจึงไม่เคยเดินทางด้วยรถบัสรถทัวร์อีกเลย ถ้าหากไม่ใช่เพราะต้องมารอใครบางคน ผมคงไม่มานั่งอยู่ในที่นี้นานเป็นชั่วโมงแน่ๆ 
 จนกระทั่งสองทุ่มสี่สิบนาที เจ้าตัวเล็กของผมก็โทรเข้ามา ผมบอกว่ารอรับอยู่ที่ด้านในอาคารผู้โดยสาร ผมมองไปตรงทางเดินเท้าขาเข้า  ไม่ถึงห้านาทีเจ้าตัวเล็กของผมก็เดินเข้ามา ผมยังจำเขาได้แม้จะใส่แว่นตาดำ  ชุดกางเกงยีนน้ำเงิน เสื้อยืดขาวพิมพ์ลายและเสื้อกันหนาวทับ ที่แปลกตาคือ ตัดรองทรงดูเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น   แต่ที่ยังไม่เปลี่ยนแปลงคือ ยังคงเป็นคนตัวเล็กที่ตัวเล็กกว่าผมเหมือนเดิม ผมโบกมือให้สัญญาณ ตัวเล็กก็ยกมือโบกตอบ พอมาถึงตัวผมมันก็กอดคอผมทันที ผมตกใจเล็กน้อยตบบ่าเบาๆ  ผมไม่ชินกับสายตาคนรอบข้าง จึงบอกทัชว่าเราจะต้องเดินไปด้านหน้าอาคาร เพื่อไปขึ้นแท็กซี่กลับ พอคลายแขนออกผมถึงเห็นว่าเขามีน้ำตาไหลออกมาผมอึ้ง วินาทีนั้น ผมไม่สนใจสายตารอบข้างแล้ว สองทุ่มสามทุ่มคนไม่มากเพราะไม่ใช่ช่วงเทศกาล   ผมคว้าข้อมือเขาแล้วเดินออกไปยังด้านหน้าอาคารโดยเร็ว ไม่ใช่เพราะอายสายตาคนอื่น แต่ผมเองก็เริ่มจะสู้กับม่านฝนในดวงตาไม่ไหว การที่ผู้ชายสักคนเกิดความรู้สึกในใจจนต้องร้องไห้ออกมานั้น  ผมไม่ถือเป็นเรื่องของความอ่อนแอเลย แต่เพราะมันมีอะไรในใจที่มันอัดอั้นตันใจจุกอยู่ในอกจนเจ็บคอ ต็มไปด้วยความรู้สึกต่างๆ จนอดทนไม่ไหวเมื่ออยู่ต่อหน้าคนที่เรารู้สึกดีๆ  หยดน้ำตาจึงพร่างพรูออกมาดั่งสายนที

   บนแท็กซี่ระหว่างทางกลับ ต่างคนต่างเงียบได้ยินเพียงเสียงแอร์รถ ผมมองคนข้างๆผม ผมดีใจนะที่ได้เจอทัช  ไอ้ตัวเล็กของผม  เขาหันหน้าไปทางนอกหน้าต่างรถ  เดาไม่ถูกเลยว่าเจ้าตัวกำลังคิดอะไร แต่อะไรก็ช่างเถอะ คนที่ผมเฝ้าคิดถึงมาตลอด จากที่เมื่อก่อนไม่รู้ใจตัวเองจนกระทั่งได้เรียนรู้อะไรต่างๆที่ผ่านเข้ามามันทำให้ฉุกคิดได้ว่า ความรู้สึกเหล่านี้มันเคยเกิดขึ้น เพียงแต่ตอนนั้นเราต่างไม่รู้ว่ามันคืออะไร  แต่ไม่ว่าอะไรก็ตาม ตอนนี้เขาอยู่ข้างๆผมแล้ว  ใจผมแทบอยากจะโอบกอดเขาไว้แน่นๆ

    รถแท็กซี่เลี้ยวมาส่งผมที่คอนโด ซอย25 แยก 12 ผมกดลิฟต์ขึ้นไปชั้น9  ระหว่างทางไม่มีเสียงใครพูดอะไรเลย คงเพราะต่างรู้ว่า ถ้าพูดอะไรออกประโยคเดียวคงได้ยินเสียงร่ำไห้กันตรงนั้น   ขึ้นมาถึงห้องผมก็เปิดประตูห้องเข้าไปและช่วยยกเอากระเป๋าเป้ไปวางไว้บนโต๊ะมุมนั่งเล่น

“ เอาอะไรมาบ้างเนี่ย เยอะแยะไปหมดเลย ฮึ  บ้าหอบฟาง ทิ้งให้นอนค้างคืนที่หมอชิตดีมั๊ยเนี่ย”  ผมพูดติดตลกและหัวเราะในลำคอเป็นเชิงหยอกล้อในขณะที่มือก็เปิดกระเป๋าหยิบเสื้อผ้าออกโดยไม่หันไปมองคนข้างหลัง เพื่อเตรียมใส่ไม้แขวน แต่นานพอสมควรไม่มีเสียงตอบใดใด จึงหยุดชะงักไปนิดนึง  ไม่ถึงอึดใจ เจ้าตัวเล็กถลาเข้ามากอดผมจากด้านหลัง และไม่ต้องถามอะไรใดใด เสียงที่ผมรู้สึกเจ็บปวดใจไม่แพ้กันก็ดังออกมาพร้อมเสียงสะอื้น   

 “ที่ผ่านมา ผมคิดถึงพี่มาตลอดเลยนะ พี่ต่างหากที่ทิ้งผมไป พี่ รู้ไหม  ผมต้องอดทนมากแค่ไหนที่จะพยายามไม่จดจำเรื่องต่างๆที่มีพี่อยู่  เข้าใจบ้างไหม ทำยังไงมันก็เอาภาพพี่ออกไปจากสมองไม่ได้ พี่เข้าใจไหม เข้าใจไหม”   

ทัชตะโกนใส่ผมด้วยด้วยความรู้สึกประหนึ่งว่าอัดอั้นตันใจมานานเหลือเกินแล้ว ผมปล่อยให้เขาระบายความอัดอั้นตันใจตลอดสามสี่ปีนั้นของเขาออกมา  แต่ก็รู้สึกจุกอยู่ในลำคอ มันแทบจะพูดไม่ออกเมื่อเขาพูดออกมาขนาดนี้  ผมผิดมากใช่ไหม ผมคือคนผิดใช่ไหม  ผมหันกลับมาอัตโนมัติพร้อมกับกอดเขาไว้แน่น ไม่อยากเห็นตัวเล็กร้องไห้เลย รู้สึกเจ็บปวดใจจัง

 “พี่ขอโทษ ทัชคิดว่าพี่ลืมทัชงั้นหรือ ไม่เลย พี่ไม่เคยลืมเราเลยนะ ใช่.. บางครั้งพี่ยุ่งจนอาจจะมีเผลอลืมไปบ้าง แต่เชื่อเถอะ ไม่เคยมีสักวันที่พี่ไม่คิดถึงทัช”   
  ผมรู้สึกเจ็บจี๊ดขึ้นจมูกจนไม่อาจกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้  รู้สึกเจ็บปวดไม่ต่างกับคนตรงหน้า หยาดน้ำใสใสร่วงเผาะลงจากดวงตา  สองมือจับบ่าคนตัวเล็กเอาไว้

“แล้วตลอดเวลา พี่ทำอะไร ไปอยู่ที่ไหน  มันเจ็บปวดแค่ไหนที่ต้องอยู่ไปแบบเหงาๆ โดยไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายเป็นอยู่อย่างไร  ผมคิดถึงพี่ ผมคิดถึงพี่มาก คิดถึงอยู่ตลอด”

  ผมไม่มีคำพูดใดใดนอกจากดึงเจ้าตัวเล็กของผมมากอดแน่น อีกมือก็ประคองศรีษะที่ชุกอยู่ตรงซอกคอ ปล่อยให้เขาร้องไห้ออกมา จนรู้สึกได้ถึงหยดน้ำตาที่ไหลลงมาถึงซอกคอผม ผมรู้สึกเจ็บปวดไม่ต่างกับตัวเล็กเลย

“ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไร พี่อยู่ตรงนี้แล้ว ไม่ไปไหนแล้ว”    ผมลูบหัวเจ้าตัวเล็กปลอบใจ เขายังคงกอดผมไว้แน่น ราวกับว่าตัวผมจะสลายหายไปอีก

 “พี่นนท์ ผมทำตามสัญญาไม่ได้ ผมขอโทษนะครับ”  ตัวเล็กพูดพร้อมกับกอดผมแน่นขึ้นอีก จนเริ่มหายใจติดขัด

“ทัช คลายแขนพี่หน่อยพี่หายใจไม่ออก มานี่มา มานั่งนี่ “
 ผมคลายแขนเจ้าตัวเล็กออกแล้วคว้าข้อมือเขาพาเดินมาที่โซฟามุมรับแขกส่วนผมนั่งชันเข่าหันหน้าเข้าหาเขาพร้อมกับยกฝ่ามือปาดหยดน้ำใสๆออกจากตาและแก้ม  ตัวเล็กของผมเป็นหนุ่มน้อยเต็มตัวแล้ว  ผมรองทรงสั้นนี่ผมไม่ค่อยคุ้นเลยแต่ก็ดูหล่อไปอีกแบบ  ผมใช้มือทั้งสองข้างประคองแก้มเจ้าตัวเล็กไว้ เอื้อมมือข้างหนึ่งเวยผมให้เขา  พิศดูแล้วเค้าเดิมที่ยังเป็นเด็กๆหายไป  ดูคมเข้มขึ้นมากเลยทีเดียว

“ไหน ขอโทษพี่ทำไม ฮึ เราไม่ได้ทำอะไรผิดเสียหน่อย”  ผมมองหน้าแล้วพูดปลอบใจ

“ก็..ผมสอบไม่ติดที่ไหนเลย”    เจ้าตัวก้มหน้า เว้นจังหวะไปนิดนึงก่อนพูดต่อโดยไม่มองหน้าผม

“ผมกลัวพี่จะผิดหวังในตัวผม”   พูดแล้วก็ตามมาด้วยเสียงสะอื้นอีก  ผมเลยโอบกอดเขาไว้ทั้งๆที่อยู่ในท่าชันเข่า  รู้สึกได้ถึงร่างกายที่สั่นเทาของเขา

“อย่าคิดมากเลย เราไม่ทำอะไรผิด สอบได้ไม่ได้มันไม่ใช่ตัวชี้วัดว่าคนจะประสบความสำเร็จ แต่มันเป็นแค่ใบเบิกทางที่ช่วยให้เราสามารถเข้าทำงานที่ยินดีรับในคุณสมบัติของเรา  อย่าเสียใจไปเลย คนที่จบแค่ ม.6 แต่ทำมาหาเลี้ยงตัวเองตั้งแต่เด็ก เรื่องการทำธุรกิจ เรื่องการตัดสินใจ เรื่องการเอาตัวรอดในสังคมที่เลี้ยงชีพด้วยการขายแรงงานนั้น เขาสามารถทำได้ดีกว่าบางคนที่จบปริญญาตรีเสียอีก”  ผมอธิบายเสียยืดยาวให้เจ้าตัวเล็กฟัง

“พี่นนท์รักผมไหมครับ” 

“............”    ผมชะงักไปเล็กน้อย  คลายอ้อมแขนจากการโอบกอดตัวเขา แล้วจัมมือพร้อมกับสบตาเขา

 “รักสิ รักมากด้วย พี่รักเรามากเลยนะ เราคงคิดไม่ถึงเลยล่ะ “  ผมมองหน้าเขาและพูดออกไปจากใจจริงๆ

“สองครั้งแล้วที่พี่เงียบหายไป วันที่ผมไม่สามารถสอบได้ ผมรู้สึกท้อแท้มาก ผมไม่กล้าสู้หน้าพ่อกับแม่เลย คิดถึงพี่มาก แต่ก็กลัวพี่จะด่าผม “   ตัวเล็กระบายความอัดอั้นตันใจพร้อมกับสะอึกสะอื้นไป ทำเอาผมกลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้

“พี่ขอโทษนะ พี่ทำผิดกับทัชอีกแล้ว  พี่ขอโทษที่ไม่ได้อยู่ในช่วงที่ ทัชต้องการกำลังใจ” 

 คำพูดนี้ ทำเอาผมสะอึกและเจ็บจี๊ดขึ้นมากกว่าเดิมเมื่อนึกถึงครั้งที่ผมเคยพูดคำนี้ต่อหน้าโลงศพไอ้แทน  ซึ่งผมโทษตัวเองมาตลอดสำหรับการจากไปของไอ้แทน

“พี่ขอโทษจริงๆ ตอนนี้พี่อยู่ตรงนี้แล้ว หากมันจะทำให้ตัวเล็กสบายใจมากขึ้น ปล่อยมันออกมาให้หมด ระบายออกมาให้หมด เอามาใส่บนบ่าพี่นี่ เดี๋ยวพี่แบกไว้ให้เอง” 

  ฟังดูเหมือนดูดีมากๆกับประโยคนี้แต่..ผมรู้สึกอย่างนั้นจริงๆนะ  ส่วนเจ้าตัวเล็กก็ปล่อยออกเต็มแม็กเลยทีเดียว ผมปล่อยให้ตัวเล็กระบายความอัดอั้นออกทางนัยน์ตาจนแห้งเหือด หยิบขวดน้ำจากตู้เย็นส่งให้ทัช  เจ้าตัวเล็กดื่มรวดเดียวหมดขวด  คงจะเหนื่อยมาก ผมจึงให้ตัวเล็กไปอาบน้ำ และเหมือนเช่นเคยที่จะขอให้ผมอาบน้ำเป็นเพื่อนด้วย แต่ผมบอกว่ามีธุระกับแม่บ้านที่ดูแลนิติบุคคลคอนโด   แต่จริงๆแล้วมีจุดประสงค์อื่น  ผมเก็บเสื้อผ้าของตัวเล็กไปแขวนในตู้เรียบร้อยแล้วจึงเคาะประตูห้องน้ำบอกว่าจะลงไปทำธุระสักครู่ 

 จริงๆแล้วผมตั้งใจลงไปซื้อข้าวให้ตัวเล็ก   คอนโดอยู่ซอย12 เรียกมอเตอร์ไซค์จากปากซอยไป ตลาดซอย9 ซื้อกะเพราะหมูสับไข่ดาวอาหารโปรดของทั้งผมและตัวเล็กมาคนละกล่อง พร้อมน้ำส้มกล่องตราทิปโก้ของโปรดของเจ้าตัวเล็ก (จริงๆแล้วผมชอบเลยคะยั้ยคะยอให้ตัวเล็กกินตามจึงติดใจไปด้วย)  กลับขึ้นมาบนคอนโด เจ้าตัวเล็กคงอาบน้ำเสร็จแล้ว ใส่กางเกงบอลสีเหลืองเสื้อยืดสีขาวกำลังนั่งดูทีวีช่องฟุตบอลซึ่งเป็นกีฬาโปรดของเขา

“ตัวเล็ก ทำไมไม่ใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อย อาบน้ำเสร็จนานรึยังเนี่ย”

“เอ่อ แหะๆ ยังไม่ได้อาบครับ  รอพี่อยู่”   ผมไม่พูดอะไรต่อ ส่ายหน้าแล้วเดินเลยไปที่มุมครัวหยิบจานสองใบช้อนส้อมสองชุด

“โอ้โห ข้าวผัดกระเพราะหมูสับไข่ดาว “  พูดพร้อมกับทำท่าสูดดมกลิ่นอาหารจากในจาน

“บ้าไปแล้ว ทัช  เป็นหมาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย”  ผมแซวขำๆ

“พี่อ่ะ ใจร้ายมาว่าผมเป็นหมาได้ไง” 

“มันดึกแล้วแทนที่จะรีบๆอาบ ทำตัวเป็นเด็กๆไปได้”  ผมยังไม่วายแขวะเจ้าตัวเล็ก

“ก็ผมอยากอาบพร้อมพี่นนท์อ่ะครับ ไม่รู้แหละกินข้าวเสร็จแล้วต้องไปอาบพร้อมกัน”  ทัชพูดพร้อมกับยกจานข้าวไปตรงหน้าทีวีและวางกับข้าวไว้บนโต๊ะกระจก   ผมเปิดตู้เย็นหยิบขวดน้ำเย็นเทใส่แก้วสองใบเดินตามไป ที่โซฟา

“เราน่ะ โตๆกันแล้วนะ ขนขึ้นกันหมดแล้วไม่ใช่เด็กๆที่จะต้องมาช่วยกันอาบน้ำเหมือนตอนมัธยม”   ผมพูดติดตลกเพื่อไม่ให้ดูเป็นการตัดรอนจนเกินไป

“ขนเขินอะไรกัน โว้   พี่นนท์บ้า”   ตัวเล็กยิ้มเขินท่านี้แล้วมันดูเป็นเด็กเป็นตัวเล็กคนเดิมของผมขึ้นมาทันที

“เอ้ากินข้าวกันเถอะเดี๋ยวมันจะเย็นซะก่อน แล้วจะได้รีบอาบน้ำ”   ผมเร่งให้ตัวเล็กกินข้าวโดยเร็ว เจ้าตัวก็ยังคงกินไปเล่นไป ไม่สนใจทีวี  บางช่วงก็ทำท่าจะป้อนใส่ปากผมผมก็รีบปิดปากไว้ แต่เจ้าตัวเล็กมันจิ้มใส่ปากผมเลย  ผมก็ประเคนมะเหงกให้เบาๆ

“ทัช วางไว้ตรงนั้นแหละ แล้วรีบไปอาบน้ำซะ เดี๋ยวพี่ล้างจานเอง”

“ไม่ได้  พี่อุตส่าห์ลงไปซื้อมาให้”

“ตามใจ งั้น พี่จะอาบก่อนละนะ”

พอผมพูดคำนี้ยังไม่ทันจบประโยค เจ้าตัวเล็กกระเด้งตัวรีบวิ่งมาทันที

“อ้าว ไหนบอกว่าจะล้างจานไง”

“เอาน่าพี่  เดี๋ยวผมกลับมาล้างให้ใหม่”   พูดไปก็แทรกผ่านตัวผมและพุ่งตรงไปยังห้องน้ำ  เห้อ เจ้าตัวเล็กมันยังเป็นเด็กอยู่นะเนี่ย ผมส่ายหัวแล้วตามเข้าไป จัดแจงอาบน้ำเหมือนกับช่วงสมัยมัธยม  บรรยากาศเหมือนเพิ่งผ่านไปเมื่อวานนี้เอง  ต่างกันที่แต่ละคนโตตามวัยมากขึ้นจนเห็นได้ชัด

“พี่นนท์ มีที่โกนหนวดไหมครับ” 

“อะไร เรามีหนวดกับเขาด้วยเหรอ ไหนมาดูหน่อย”   ผมว่าพลางก็ใช้ฝ่ามือพลิกแก้มเขาไปมา ก็ไม่เห็นมีหนวดนะ  มีแค่แบบขนอ่อนขึ้นรำไรๆ 

“ผมจะโกนให้พี่ไง พี่หนวดขึ้นเยอะแล้ว”  เจ้าตัวเล็กใช้หลังนิ้วชี้และนิ้วกลางถูลากตามแนวเคราของผม

“เห้ยไม่ต้อง พี่ไม่ใช้มีดโกนหนวดหรอก มันเจ็บ”

“อ้าวแล้วพี่ตัดมันออกยังไงครับ”   เจ้าตัวเอียงคอถาม

“พี่ไปร้านตัดผมให้เค้าใช้ปัตตาเลี่ยนไถเอาน่ะ”

“แล้วมันจะออกหมดเหรอครับ”

“ไม่หมดหรอก แต่มันไม่เจ็บ ใช้มีดโกนเดี๋ยวก็บาดหรอก แสบด้วย  มาๆ อย่ามาสนใจอะไรกับหนวดพี่นักหนา”    ผมพูดพร้อมกับใช้ทำท่าให้ตัวเล็กก้มลงเล็กน้อย แล้วผมก็ใช้สายฝักบัวล้างทำความสะอาดเส้นผมให้  แล้วก็ถูตัวให้ ถูรักแร้ให้  ทำเหมือนตอนเรียนด้วยกัน แต่ตอนนี้ เจ้าตัวเล็กมีขนรักแร้ขึ้นแล้ว แม้จะไม่มาก แต่ก็ดูแปลกตา

“มาครับ ผมถูให้พี่บ้าง”   เจ้าตัวเล็กดันตัวผมให้หันหลังแล้วก็จัดแจงถูหลังให้ด้วย  และก็เป็นเจ้าตัวเล็กเพียงคนเดียวที่ผมยินยอมก้มหัวให้เขาช่วยสระผมให้

“อ่ะ พอแล้วรีบล้างตัวได้ละ  กางเกงทั้งหมดถอดไว้ในถังนะเดี๋ยวพี่จัดการให้”

“แช่ไว้ตรงนี้นะพี่ เดี๋ยวผมมาซักเอง”

ผมใช้ผ้าเช็ดตัวเช็ดผมให้จนแห้งหมาดๆแล้วก็ไล่ตัวเล็กออกไป

“อ่ะ เสร็จละ ออกไปก่อนได้เลย”

“พี่จะทำอะไรต่ออ่ะ”

“เอ๊ะไอ้เจ้านี่ ไปๆ พี่ปวดท้องอึ”

“แหวะเหม็น”  ทำท่าปิดจมูก

“ก็รีบไปสิ จะมานั่งดมรึไง ไปๆออกไปได้แล้ว”     ผมทำธุระส่วนตัวเสร็จออกมา ก็พบว่าเจ้าตัวเล็กเปลี่ยนชุดเรียบร้อยแล้ว เป็นเเสื้อกล้ามสีขาว กางเกงขาสั้นสีขาว อืม ขับผิวให้เข้มขึ้นไปอีก ผมเช็ดหัวตัวเองลวกๆ เจ้าตัวเล็กก็วิ่งมาก้มหัวให้

“อะไร จะเล่นอะไรอีก”

“เช็ดผมให้ผมอีกหน่อยครับ” 

“เอ้า มันแห้งแล้วจะเช็ดทำไม”

“ยังไม่แห้งอ่ะ นะๆ พี่เช็ดให้อีกหน่อย”   ผมเลยเช็ดนั่นเช็ดนี่แกล้งทำให้ทรงผมเจ้าตัวเล็กยุ่งเหยิงแล้วก็เอาผ้าไปตาก

 นั่งเล่นตรงโซฟาดูทีวีซีรีส์ฝรั่งกันไปเจ้าตัวเล็กมานอนหนุนตักผม เจ้านี่อยู่ไม่เป็นสุขจริงๆ

“พี่นนท์ครับ มีคอตตอนบัดไหม” 

“จะให้ควักขี้หูอีกล่ะสิ”  ผมถามแต่เจ้าตัวเล็กพยักหน้ายิ้มๆ ผมหัวเราะหึๆตามและตบกะโหลกไปเบาๆด้วยความหมั่นไส้

“ใครเขามาควักขี้หูกันตอนนี้ห้ะ”

“ก็แค่อยากให้พี่ทำอะไรๆให้ผมเท่านั้นเอง ผมไม่ได้เจอพี่มานานมากแล้วนะ คิดถึงสมัยก่อนแล้วอยากย้อนเวลากลับไปจัง”  เจ้าตัวเล็กเริ่มมาโหมดความเศร้า

“แต่จะให้มาควักขี้หูกันตอนนี้เนี่ยนะ เดี๋ยวได้เลือดไหลกันพอดี”  ผมพูดพร้อมกับลูบหัวและจัดทรงผมให้เขาใหม่

“เจ้าตัวเล็กเอ้ย ตัวก็โตขึ้นมาแล้ว แต่ทำไมยังทำตัวเป็นเด็กไปได้นะเรา”    ทัชจับข้อแขนผมไว้ตรงรอบคอเขา

“ก็ผมรู้สึกว่าเวลาที่เราได้อยู่ใกล้กันนั้น มันช่างเดินไวเสียเหลือเกินนี่ครับ  ถ้าย้อนเวลาได้ ผมอยากจะอยู่ชั้นมัธยมต่อไป ไม่อยากให้มีอนาคตเลยถ้ารู้ว่าพี่จะต้องมาทิ้งผมไปแบบนี้  ตลอดเวลาที่ผ่านมาพี่ลืมมันไปหมดแล้วหรือครับ”    ผมชะงักไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินสิ่งที่ทัชพูดออกมา

“ทัชเอ้ย มันเป็นไปไม่ได้หรอกนะ คนเราก็ต้องมีหนทางที่ต้องเดินไปข้างหน้าเรื่อยๆ”  ผมเว้นจังหวะนิดหน่อย แต่ตัวเล็กกลับแทรกขึ้นมาก่อน

“ คนเรามันจะต้องอะไรนักหนาอ่ะพี่ เกิดแก่เจ็บตายนะพี่  ผมชินแล้ว ผมยังนึกถึงตอนพี่แทนทำเบ็ดตกปลาให้ผมอยู่เลย ถ้าเราไม่ต้องดิ้นรนอะไร อยู่กันอย่างที่เรามี พี่แทนก็อาจจะไม่จากผมไป”

“ทัช คิดแบบนั้นไม่ได้หรอกนะ คนเราเกิดมาแล้วถ้าไม่สู้ชีวิตจะเกิดมาทำไม เราต้องเรียนรู้และปรับตัวให้เขากับสถานการณ์ต่างๆที่พานพบ มันเป็นการสั่งสมประสบการณ์ ประสบการณ์จะสอนให้เราเข้มแข็งและหาทางออกให้กับปัญหาตามวิถีทางและปัญญาของเรา”

“ผมก็แค่ไม่อยากให้พี่ไปจากผมแค่นั้นเอง”    เจ้าตัวเล็กพูดเสียงอ่อยๆ

“พี่ยังไม่ตายง่ายๆหรอกน่า”  ผมแกล้งหยอกขำๆ

“เห้ยยย ผมไม่ได้หมายความอย่างนั้น   หมายถึงอยากอยู่ใกล้ๆพี่ชายคนนี้ไปตลอดต่างหาก”   ผมมองหน้าเขาและลูบผมเขาเบาๆ

“พี่ก็อยู่ตรงนี้แล้วไง เอาล่ะ เราไปนอนกันดีกว่า ดึกแล้ว ห้าทุ่มกว่าแล้ว”  ผมเหลือบมองดูนาฬิกาแล้วเร่งเตือนเจ้าตัวเล็ก พร้อมกับปิดทีวี ซึ่งเปิดทิ้งไว้ไม่มีใครสนใจทีวีกันเลยทั้งพี่ทั้งน้อง

“อ่ะ ทัช นอนห้องนี้นะ”   ผมแกล้งชี้ไปยังห้องเก็บของที่กั้นไว้เฉยๆไม่มีประตู  เจ้าตัวเล็กอึ้งไปพักใหญ่

“พี่นนท์จะให้ผมนอนตรงนี้ก็ได้ครับ”  แหน่ะ มาละ น้ำเสียงขี้งอนแบบนี้  ผมทำทีเป็นหยุดเงียบไปสักพัก เจ้าตัวเล็กเห็นเงียบไปนานจึงหันมาทำหน้าเหลือสองนิ้ว

“พี่จะให้ผมนอนตรงนี้จริงๆเหรอครับ”  พูดจบทำท่าเหมือนจะร้องไห้  ผมเลยรีบตัดบทเดี๋ยวจะมีดราม่ากันอีก

“บ้าน่า ล้อเล่น  ใครจะกล้าให้เรานอนตรงนี้คนเดียวล่ะอยากนอนกับพี่ อยากหนุนแขนพี่ไม่ใช่หรือไง”  ผมพูดพร้อมกับเอียงเอียงคอยักคิ้วเป็นเชิงแกล้งหยอก

“รู้ดีจริงๆเลยพี่เรา” เจ้าตัวเล็กยิ้มเขินๆ ผมเลยลูบหัวเบาๆ

“เอ๊าพี่เป็นใคร ทำไมจะไม่รู้ ฮ่าๆ”   ในขณะที่ผมเตรียมจะไปปิดไฟเจ้าตัวเล็กก็ก้าวเข้ามากอดเอวผมไว้แน่น

“ผมคิดถึงพี่มากๆเลยนะครับ รู้สึกอบอุ่นเสมอที่ได้อยุ่ใกล้ๆพี่”   ผมหยุดชะงัก กอดตอบ ตบบ่าลูบหัวลูบหลัง

“พี่ก็คิดถึงเรานะ ทัช  คิดถึงมากๆเป็นห่วงอยู่เสมอ ป่ะ  ปิดไฟ เข้าห้อง นอนกันได้แล้วล่ะ”  ผมเดินไปปิดไฟเช็คความเรียบร้อยแล้วเข้าห้อง

“ผมนอนข้างนี้นะครับ”  เจ้าตัวเล็กเลือกที่นอนติดข้างฝาห้อง ให้ผมนอนติดประตู 

“อื้ม นอนได้เลยนะ เราเดินทางมาเหนื่อยๆ ต้องนอนพักเยอะๆ แอร์เย็นมั๊ย อ่ะ พี่วางรีโมทไว้บนหัวเตียงฝั่งเราละกันนะ ถ้าไม่เย็นก็ปรับเอาได้เลย”  ผมพูดพลางวางรีโมทแอร์ไว้บนหัวเตียงฝั่งเขา

“ไม่ต้องปรับหรอกครับ แค่นี้ก็พอแล้ว ถ้าหนาวมากก็มีพี่กอดผมอยู่แล้วนิ” 

“ไม่เอาอ่ะ  ร้อน”   ผมแกล้งแหย่เล่นพร้อมเอื้อมมือไปปิดไฟ  เจ้าตัวรีบขยับมาใกล้ทันที

“พี่นนท์ ขอแขนหน่อย” 

“เอ้า มาขอได้ไง แล้วพี่จะเอาแขนที่ไหนมาใช้” 

“บ้าละพี่อ่ะ”   ว่าแล้วเจ้าตัวก็จัดแจงดึงแขนผมไปหนุนเองเสร็จสรรพ

“ฮ่าๆ รู้งานเหลือเกินนะเรา”   ผมหัวเราะขำ ท่าทางเขาที่ดูเหมือนตอนมัธยมไม่มีผิด ภาพเหล่านั้นยังคงติดตา ฉายชัดเจนในความทรงจำในทุกครั้งที่นึกถึง เตียงสองชั้นหลังนั้น ผ้าห่มผืนนั้น กับไอ้ตัวเล็ก ยิ่งคิดก็ยิ่งขำ เพราะเขานอกจากจะตัวโตขึ้นตามวัยแต่ท่าทางและการกระทำยังคงเหมือนตอนนั้นไม่มีผิดเพี้ยน

 “อ่ะ  ไม่แกล้งละๆ”  ผมเอื้อมมืออีกข้างลากผ้าห่มขึ้นมาปิดถึงอก พร้อมกับวาดแขนไปกอดเขาไว้โดยวางแขนทับบนผ้าห่มอีกที  แต่เจ้าตัวเล็กกลับดึงแขนผมให้สัมผัสกับเขาช่วงกลางลำตัวแทน

“พี่นนท์ ต้องให้ผมบอกด้วยหรือครับ ว่าพี่ต้องกอดผมยังไง หือ”   แน่ะ มีการทำเสียงฟึดฟัดใส่เราอีก ผมได้แต่ยิ้มส่ายหน้าพร้อมกับตบหัวเขาเบาๆและลูบไปมา

“ทัช เราน่ะ 20ปีแล้ว ไม่ใช่เด็กแล้วนะ เฮ่ยยย”  ผมจงใจถอนหายใจเสียงดังใส่หน้าเขา

“ก็ผมไม่อยากโตอ่ะ อยากให้พี่ดูแลแบบนี้ไปนานๆ ฮ่าๆ”

“เฮ้อ กับไอ้แทน มันต้องทำแบบนี้ด้วยมั๊ยเนี่ย”

“ก็นอนด้วยกันนะพี่ แต่พี่แทนเค้าไม่ค่อยมากอดผมหรอกมีแต่นอนดิ้นมาถีบผมตลอด”

“หืม ไอ้แทนเนี่ยนะนอนดิ้น”    ผมอดสงสัยไม่ได้  เพราะที่ผ่านมา ไอ้แทนไม่เคยนอนดิ้นเลย ออกจะนอนเรียบร้อยเสียด้วยซ้ำไป
 
“ถ้าพี่แทนยังอยู่ แล้วพี่จะให้ผมนอนหนุนแขนไหมครับ” 

“..............”   ผมอึ้งไปเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าตัวเล็กจะถามแบบนี้

“ไอ้แทนมันคงไม่ยอมหรอกมั๊ง  .. เว้ยยยย  ไอ้นี่ ถามอะไรแปลกๆ”  ผมเคาะหัวเจ้าทัชไปเบาๆ

“ที่ภูเวียงวิทยา พี่กับพี่แทนนอนด้วยกันใช่ไหมครับ”    ยัง  มันยังไม่ยอมจบอีก

“อืม ทำไมล่ะ พี่ก็เคยบอกไปตั้งนานแล้วนี่”  ผมพยุงตัวขึ้นเอนหลังพิงกับหัวเตียง แสงไฟจากหน้าต่างกระจก(กระจกแบบที่ติดตั้งตายตัวเปิดปิดไม่ได้) ทำให้พอมองเห็นหน้าเจ้าทัชมันได้

“มันคงเป็นโชคชะตานะครับ ที่พี่แทนอยากให้ผมมาอยู่กับพี่แทนเขา”  ตัวเล็กเขยิบขึ้นพิงหัวเตียงตามผม 

 
.

.
(ต่อ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-07-2017 16:04:49 โดย thewa.arak »

ออฟไลน์ thewa.arak

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 66
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ทัช..สัมผัสใจ ตอนที่17 (ต่อ)
«ตอบ #31 เมื่อ13-07-2017 19:31:53 »

.

.
(ต่อ)


........นั่นสินะ มันอาจเป็นโชคชะตาอย่างที่ทัชว่า หรือบางทีมันอาจเป็นแค่อุปาทาน อย่างที่ผมเคยได้ยินเสียงแว่วๆข้างหู ว่า ....ฝากด้วยนะ...อยู่บ่อยๆ หรือมันจะเป็นสิ่งที่ไอ้แทนมันอยากพูดกับเรา ..ฝากด้วยนะ..  หมายถึง ฝากดูแลไอ้เจ้าทัชด้วยนะ งั้นหรือ ...บ้าไปแล้ว

“พี่นนท์....”  เจ้าตัวเล็กเอามือสองข้างมาบีบหน้าผม

“โอ้ยยย เจ็บ ทำไรเนี่ย”   ผมแหวใส่

“ก็พี่นนท์อ่ะ เป็นไรไปอีก ทำไมชอบเหม่อตลอดเลย บางทีอยู่กับผมก็เหม่อตลอด พี่เป็นอะไรครับ”

“เปล่าๆ ไม่มีอะไร แค่นึกย้อนไปตอนที่เราอยู่มัธยม แค่นั้นเอง”

“ตอนมัธยม? (ทำเสียงสูง) .. กับผม หรือกับพี่แทนครับ”  เจ้าตัวเล็กเอียงคอถามแบบคาดคั้นคำตอบเต็มที่

“กับเรานั่นแหละ  แต่มันก็เหมือนๆกันนะ”  ผมตั้งใจจะอธิบายแบบยาวๆ แต่เจ้าธัชพูดขัดขึ้นมาก่อน

“เหมือนยังไงพี่  ทุกอย่างที่เราเคยทำมา กับพี่แทน ก็ทำด้วยกันเหรอครับ” 

“อื้ม คล้ายๆกัน แต่ไม่มากเท่ากับทัชนะ  รู้สึกได้เลยว่า ไม่เท่ากัน”   ผมมองหน้าเจ้าตัวเล็กจากแสงสว่างนอกหน้าต่างกระจก ทำให้มองเห็นสีหน้าเต็มไปด้วยคำถามและความกระหายใครรู้

“ก็ พี่กับไอ้หมอนั่นน่ะ อายุรุ่นราวคราวเดียวกัน มันเลยเหมือนเป็นเพื่อนสนิทกันไง”  ผมรีบตอบเพื่อเสริมความเข้าใจ

“อาบน้ำ ทำกับข้าวซักผ้าหาฟืน ทำเหมือนกันไหมพี่”

“ชีวิตเด็กหอชาวดอยอย่างเรา อยู่ไหนมันก็เหมือนๆกันนะทำมาหมดแล้ว”

“อืม งั้นผมเข้าใจละครับ”   เจ้าทัชพยักหน้าสองสามครั้ง

“เข้าใจอะไร หือ”   ผมหันมองหน้าเขาและถามออกไป อยากรู้ว่า เจ้าตัวเล็กนี่เข้าใจความรู้สึกเหล่านั้นว่าอะไร

“ก็ผมถึงรู้ไง ว่าพี่แทนคงรักพี่มาก แต่ผมก็รักพี่นะ ผมว่ามากกว่าที่พี่แทนรักพี่อีก” เจ้าตัวพูดอย่างหนักแน่น ทำเอาผมอึ้งบอกไม่ถูกว่าความรู้สึก ณ ตอนนั้นมันเป็นอย่างไร คำว่า รัก ของเจ้าตัวเล็ก มีความหมายอย่างไร ผมไม่กล้าถาม

“เจ้าบ้า ไอ้หมอนั่นมันบอกหรือไงว่า รักพี่น่ะ”  ผมไม่รู้จะพูดอะไรจึงถามออกไปแก้เก้อ

“ไม่รู้สิครับ แต่ผมรู้สึกได้ ว่าพี่เขาคงรักพี่มากๆ พี่นพพี่เนก็เคยบอก”

“ห้ะ ... ไอ้สองตัวนั่นมันพูดอะไรแบบนี้ด้วยเหรอ”

“ก็บอกว่าพวกพี่สนิทกันมากจนบางครั้งพี่ๆเขาแกล้งบอกว่าเป็นแฟนกัน”

“แล้วเราก็เชื่อตามเขาเหรอเนี่ย”  ผมตบหัวเขาเบาๆ และหัวเราะขำ เพราะจริงๆแล้ว ผมกับไอ้แทนสนิทกันมากก็จริง แต่ไม่ได้คิดอะไรกับเขาเกินเลยกว่าความเป็นเพื่อน มันบอไม่ถูกหรอก แต่หากไอ้แทนยังไม่จากโลกนี้ไป ก็ไม่แน่ว่าระหว่างผมกับเขาจะกลายเป็นอะไรในปัจจุบัน

“พี่นนท์ ผมพูดจริงๆนะ เวลาพี่มาบ้านผม พี่แทนเขาจะดูมีความสุขมากเลยนะ แต่ก็นั่นแหละ พี่แทนน่ะ ชอบทำๆดุ”   คนพูดดูมีสีหน้ากลัวๆเล็กน้อย

“ม่ต้องทำหน้าขนาดนั้นก็ได้  ไอ้แทนมันก็ทำขี้เก๊กไปอย่างนั้นแหละ พี่รู้นิสัยมันดี”   

“ไม่รู้อ่ะ แต่ยังไงผมก็รักพี่มากกว่าพี่แทนแหละ“  เจ้าตัวพูดดูท่าทางมั่นใจเสียเหลือเกิน

“เหรออออ (ลากเสียงยาว) พูดบ่อยจังนะ รู้เหรอ ว่ารักแปลว่าอะไร ไหนบอกพี่มาซิ รัก ที่เราพูดเนี่ยหมายความว่าไง”  ผมเผลอพูดออกไปแล้ว แต่ไหนๆก็ได้พูดแล้ว เลยตามเลยละกัน  ใจจริงก็อยากรู้ว่าเจ้าตัวหมายความว่าไง

“ก็..ยังไงดี ก็หวงพี่ไง ไม่ได้อยุ่ใกล้ๆ ก็คิดถึง ไม่อยากให้สาวๆคนไหนอยู่ใกล้พี่ไง  ไม่อยากให้พี่ไปทำดีกับคนอื่นอ่ะ  เดี๋ยวผมจะดูแลพี่เองดีไหมครับ”
 
   นั่นไง ผมนึกแล้วว่าเจ้าเด็กนี่คงไม่เข้าใจหรอก พูดไปก็คงไม่ได้เรื่องได้ราว
 
“หึๆ เด็กน้อยเอ้ย โตจนขนหมอยขึ้นแล้วยังมีความคิดเป็นเด็กๆอีก”  ผมลูบหัวเจ้าตัวเล็กเบาๆ

“ไม่เด็กนะพี่ โตแล้ว นี่ๆ หนวดก็มีแล้ว”  พูดพร้อมกับจับมือผมไปลูบๆตรงบริเวณเหนือริมฝีปาก มันก็จริงนะ ที่มีหนวดขึ้นรำไรๆ แต่มันน่าจะเป็นขนอ่อนมากกว่านะ เด็กน้อยจริงๆเล้ย เจ้าทัชเอ้ย

“ขี้เกียจเถียงด้วยแล้ว นอนกันเถอะ ดึกมากแล้ว”  ผมขยับตัวลนหนุนหมอนทำท่าจะนอน ตะแคงขวาไปทางประตู เจ้าตัวเล็กเอามือมาพาดกลางลำตัวผมไว้  แปลกนะ ทุกทีจะเป็นผมกอดเขามากกว่า

“พี่นนท์ มีแฟนหรือยังครับ”

 นั่นไง...มันยังไม่ยอมจบ ยังจะชวนคุยต่ออีก

“เอาไว้พรุ่งนี้ค่อยคุยกันมั๊ย ดึกแล้วนะ ไม่ง่วงเหรอ เราเดินทางมาไกลด้วย”  พูดไปงั้นแหละครับจริงๆอยากคุยกับเจ้าตัวเล็กทั้งคืนยังได้ แต่ไม่อยากตอบคำถามนี้ จึงแกล้งพูดไปอย่างนั้นเอง

“ยังไม่ง่วงอ่ะพี่ ผมไม่ได้เจอพี่มาตั้งนานนะครับ อยากคุยกับพี่นานๆอ่ะ”    เจ้าทัชพูดโพล่งขึ้นมาเหมือนเดาใจผมออกเลยนะเนี่ย

“อืม แล้วเราจะอยากรู้ไปทำไมล่ะ”  ผมยังคงหยั่งเชิงดูท่าทางเขา

“ก็...อยากรู้อ่ะพี่ นะๆๆ บอกผมเถอะ”  จากแขนที่พาดกลางลำตัวผมเปลี่ยนมาจับบ่าผมแล้วโยกไปมา จนผมต้องพลิกนอนหยายแทน  เจ้าทัชใช้มือข้างเดิมพลิกใบหน้าผมให้หันมาเผชิญหน้ากับเขา

“พี่ นนท์ มี แฟน หรือ ยัง”   เขาถามผมช้าๆทีละคำ

“แล้วตลอดเวลาที่ผ่านมา เราเคยเห็นแฟนพี่ไหมล่ะ”  ผมไม่ตอบแต่ถามย้อนแทน

“อืม ผมก็ไม่เคยเห็นนะ”

“หึ แล้วคิดว่ามีมั๊ย”  ผมแค่นหัวเราะอย่างผู้กำชัยชนะ

“พี่อาจจะไม่ได้พามาอยู่ด้วยเฉยๆไง อาจจะไปมาหาสู่กันเอาอะไรแบบเนี้ย”    โห...ช่างคิดได้นะ ทีความรู้สึกตัวเองกลับพูดไม่ออกบอกไม่ถูกมันน่าตีนักเชียว....ผมได้แต่คิดในใจ

“ไอ้บ้า คิดเพ้อเจ้อไปแล้ว ไม่มีโว๊ย  ก็พี่รักเราอยู่คนเดียวนี่ไง จะให้ไปรักใครอีกล่ะ”  ผมแกล้งหยอกคืนบ้าง

“หา ..รักผมเลยไม่มีแฟนเหรอ จริงเหรอครับ”   เจ้าตัวเล็กกระเด้งตัวลุงขึ้นนั่ง จนผมเองก็ตกใจกับอาการที่อยู่ๆก็ทำแบบนั้นของเขา

“เวิ่นเว้อเกินไปแล้วนะเรา  นอนๆ นอนได้ละ”   ผมดึงตัวเขาลงมานอนเหมือนเดิมแต่ก็ยังไม่วายชวนคุยต่อ  นี่จะไม่ให้หลับให้นอนกันเลยใช่มั๊ย หือ..

“พี่นนท์ครับ”  เจ้าตัวเล็กทำท่าแบบเดิมแต่คราวนี้ใช้สองมือทำท่าเหมือนจะบีบแก้มผมแต่เปล่า..เขาแค่แตะแก้มผมเบาๆ

“หืม  มีอะไรอีกรึ ไม่หลับไม่นอนนะเรา”

“พี่นนท์รักผมไหมครับ”

“หืม ทำไมถามแบบนี้”

“ตอบผมก่อนครับ”

“แล้วคิดว่าพี่รักเราหรือเปล่าล่ะ”

“ผมอยากได้ยินจากพี่อ่าครับ”

“........”

“.........”    ต่างคนต่างเงียบไปพักใหญ่ ผมจึงเอ่ยขึ้นมาบ้าง ทำท่าแบบเขาแต่แกล้งใช้สองมือแนบหน้าเขาแน่นๆเล็กน้อย

“รักสิครับ พี่เคยบอกแล้วไง ว่าพี่รักและเป็นห่วงทัชมาก โอเค บางครั้งบางช่วงพี่อาจจะลืมไม่ได้ติดต่อเรา แต่ขอให้รู้ไว้ว่า พี่ยังรักและเป็นห่วงเราเสมอนะ”   

“ผมเคยมีแฟนนะพี่”

“อืม น้องห้องเดียวกันน่ะหรือ ชื่ออะไรนะ ดาวหรืออะไรสักอย่าง”

“ดาว ครับ ชื่อดาว แต่ไม่ใช่คนนี้หรอกพี่”

“อ้าวแล้วคนไหนล่ะ แหม่ เสน่ห์แรงนะเรา”

“ชื่อกาญจนา รุ่นน้องตอนผมอยู่ม.4ครับ”

“อ้อ ไม่เห็นเคยบอกพี่เลยนะเรื่องนี้”

“ผมไม่อยากทำให้พี่ไม่สบายใจไงครับ”

“หือ ทำไมคิดแบบนั้น”

“เพราะผมรู้ว่าพี่รักผมมาก และตลอดช่วงผมอยู่ ม.ปลาย เวลาฝนตกผมต้องทำอะไรเองหมดทุกอย่างหลังจากพี่จบไป ก็ไม่ได้กินข้าวเป็นกลุ่มๆแบบเดิม ผมไปหาฟืนเองคนเดียว”    ทัชเว้นคำพูดไว้หนึ่งช่วง

“พี่รู้ไหม มันทำให้ผมคิดถึงพี่มากๆเลยครับ เสร็จจากสนามบอลต้องเดินกลับคนเดียวผ่านหน้าลานเลี้ยงปลา ยิ่งนึกถึงพี่ขึ้นมาแล้วมันเศร้ามากเลยอ่ะ ผมหัดเกากีตาร์ดีดเพลงที่ชอบจนเป็นแล้วนะครับ”

“ตัดใจไม่ลงน่ะเหรอ”   ผมพูดแทรกขึ้นมา

“ใช่ๆพี่   ไม่รู้นะครับ ว่าตอนพี่เล่นเพลงนี้ พี่คิดถึงใคร แต่เวลาที่ผมเล่นแล้ว ผมคิดถึงพี่มากเลย ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านมาผมจดจำได้หมดเลย ผมคิดถึงพี่มากๆ แต่พี่ก็ช่างใจร้ายมากไม่ติดต่อกลับมาเลย พี่รู้ไหมผมเคยแอบร้องไห้ที่ลานเลี้ยงปลาด้วยนะ”

    เจ้าตัวคนพูดเองอยู่ๆก็มีน้ำตาไหลรินออกมา ผมได้เห็นได้ฟังแล้วจุกจนพูดไม่ออก  หยาดน้ำอุ่นใสๆไหลรินออกมาโดยไม่รู้ตัวเช่นกัน

“ผมไม่เข้าใจว่า ที่ผมรู้สึกกับพี่นั้นมันคืออะไร พี่รู้ไหม ผมบอกไม่ถูกว่ามันเป็นอย่างไร ผมรู้ว่าผู้ชายต้องรักกับผู้หญิง แต่ทำไมผมไม่รู้สึกดีๆกับน้องกาญจน์แบบที่ผมรู้สึกดีกับพี่  ผมไม่รู้จะบอกยังไงดี  ผมรักพี่และหวงพี่มาก แต่มันจะรักกันอย่างไร ผมก็เป็นผู้ชาย พี่ก็เป็นผู้ชาย และพี่ก็เหมือนพี่ชายของผม พี่ก็รักและเป็นห่วงผมเหมือนน้องคนหนึ่ง  ผมไม่รู้ ผมคิดจนปวดหัวมาก คิดแต่อยากอยู่ใกล้ๆกับพี่  พี่บอกผมได้ไหม มันคืออะไรครับ ผมไม่เข้าใจว่าทำไมถึงคิดถึงพี่มากกว่าน้องกาญจน์เสียอีก สุดท้ายก็ต้องให้เขาไปคบกับคนอื่น”   

   เจ้าตัวเล็กปล่อยโฮออกมา ผมไม่อยากให้เขาร้องไห้ เพราะทุกครั้งที่เขาร้องไห้ ร่างของเขาจะสั่นสะท้านเหมือนลูกแมวตกน้ำ  ผมเองก็รู้สึกจุกอกเจ็บ แทบอ้าปากพูดอะไรออกมาไม่ได้ เสียงมันไม่ออก ทำได้เพียงดึงร่างเขามากอดไว้แน่น ราวกับจะไม่ปล่อยให้เขาหนีหายจากไปไหนอีก สองคนกอดกันร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวร  นานจนผมเริ่มตั้งสติได้

“ทัช  พี่ก็รักเรานะ ไม่ต่างจากที่เรารักพี่หรอก   รู้ไหม  พี่ตามหาความหมายมานานว่าความรู้สึกที่เคยเกิดขึ้นระหว่างเราตอนชั้นมัธยมมันคืออะไร พี่รู้แล้วว่ามันคือความรัก พี่รักทัช แต่พี่อาจจะโตกว่า พี่เรียนรู้ที่จะรักทัชในแบบของความเป็นพี่น้องกันห่วงใยกัน ผู้ชายนี่เนาะ มันก็รักกันได้แบบนี้แบบเดียว แต่ขอให้รู้ไว้ ไม่ใครจะเรียกมันว่าอะไร แต่ความรักก็คือความรัก รู้แค่ว่า พี่รักทัชมากๆ ก็พอแล้วนะ”

“ผมดีใจมากเลยครับ”

“พี่ก็ดีใจนะ ที่รู้ว่า เราเองก็รักและหวงพี่มากเช่นนี้” 

 ผมจูบตรงหน้าผากไปสองสามครั้ง แล้วดึงเขามากอดแน่น เขาเองก็กอดผมแน่น

“พี่เคยสัญญาแล้วนะครับ ว่าจะไม่ทำดีกับใครอีก”

“พี่สัญญาครับ  เชื่อใจพี่เถิด” 

“ผมก็รักพี่นะครับ พี่ชายที่ดีที่สุดของผม”  พูดพร้อมกับกอดกันแน่น นานจนหยาดน้ำตาแห้งเหือด ผมจึงบอกให้เขาลุกไปล้างหน้าล้างตา แต่สุดท้ายก็คะยั้นคะยอให้ไปพร้อมกันจนได้

  ความรู้สึกที่มีอยู่นี้ มันคือความรักเป็นแน่แท้  แต่ผมไม่อยากจะไปนิยามว่ามันเป็นความรักในมุมมองแบบไหน รู้เพียงว่า มีความสุขที่ได้อยู่ใกล้ๆคนที่เรารู้สึกดี รู้สึกห่วงใยต่อเขา มีแต่ความปราถนาดีให้กับเขา  นี่กระมัง ที่เรียกว่าความรัก
  คืนนี้ผมรู้สึกโล่งใจ และมีความสุขมากที่สุด ที่ได้นอนกอดคนที่ผมรักและเฝ้ารอมานานแสนนาน   



........



ออฟไลน์ thewa.arak

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 66
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ทัช..สัมผัสใจ ตอนที่18
«ตอบ #32 เมื่อ14-07-2017 21:13:11 »

ตอนที่18



ภาระที่ต้องรับผิดชอบ ....Part นนท์/ทัช...



     ผมต้องเดินทางไปประเทศญี่ปุ่นทำหน้าที่ล่ามต๊อกต๋อยกับบริษัทชิพอิเล็กโทรนิคส์แห่งหนึ่ง เป็นระยะเวลาสามปี ถือว่านานที่สุด งานไม่ได้ยากลำบากอะไร แต่เหนื่อยที่ต้องเดินทาง เฉลี่ยแล้ว ค่าเดินทางแพงกว่าที่พักเสียอีก  จึงไม่ได้ติดต่อกับ ทัช อีกเลย  บางทีอาจเป็นเพราะผมที่ไม่รอบคอบและไม่ใส่ใจเท่าที่ควร อย่างที่เขาเคยต่อว่าผมก็เป็นได้ โทรต่างประเทศก็แสนแพง อีกอย่างเป็นเพราะผมจำเบอร์โทรศัพท์เขาไม่ได้เลย 
  กระนั้นก็ตาม ใช่ว่าผมจะลืมทัชเสียเมื่อไหร่ ผมยังคงคิดถึงเขาอยู่เสมอ ผ่านตัวอักษรในบันทึกบ้าง ผ่านกลอนสมัครเล่นบ้าง ผมรู้ตัวเองดี ว่าไม่มีเลยสักวันที่ผมจะไม่คิดถึงเขา แต่ด้วยภาระหน้าที่และอยู่ห่างไกลกันตั้งครึ่งค่อนฟ้า จึงไม่อาจจะติดต่อถึงกันได้ แต่ผมเชื่ออย่างหนึ่งว่า เขาเอง ก็จะคิดถึงผมเช่นเดียวกัน 
 จบภาระกิจที่แดนปลาดิบ กลับมาช่วง ปีใหม่ตรุษจีนพอดี ได้มีโอกาสกลับไปเยี่ยมบ้าน เลยถือโอกาสไปเยือนบ้านเจ้าทัชอีกครั้ง    ถนนหนทางยังคงเป็นแบบเดิม ทางลูกรังลัดเลี้ยวขึ้นเขาแบบเดิม ดินแดงเหมือนเดิม นี่ถ้าผมขับมอเตอร์ไซค์มาคงได้หัวแดงแน่ๆ  ถึงบางช่วงบางตอนที่เป็นไร่ชาวบ้านที่มีการปลูกกระต๊อบไว้นอนเฝ้าไร่ ก็แวะพัก ลงไปถ่ายรูปบรรยากาศรอบๆ  ยังคงสามารถที่จะกางแขนและสูดเอาอากาศบริสุทธิ์เข้าเต็มปอด  เดือนกุมภาพันธ์ยังคงมีความหนาวเย็นปกคลุมอยู่ทั่วขุนเขา หลับตานึกถึงเรื่องราวต่างๆที่ผ่านมา ทุกๆภาพฉายชัดในความทรงจำเป็นภาพที่ผุดขึ้นมาเป็นฉากๆ ตั้งแต่ครั้งแรกที่มากับไอ้แทน จนกระทั่งถึงครั้งที่มากับเจ้าทัชด้วย  มองลงไปเบื้องล่างนั่น ห้วยวังถ้ำ ยังคงเขียวขจีสวยใสและดูน่าเกรงขามไปในตัว
     การไปเยี่ยมในครั้งนี้ของผม ทำให้ผมเซอร์ไพรซ์ยิ่งกว่าครั้งไหนๆ เจ้าตัวเล็กของผมมีลูกแล้วหนึ่งคน เหมือนกับที่ผมก็เผลอไปมีอะไรกับสาวชาวเขาในหมู่บ้าน  เนื่องจากพ่อแม่ฝ่ายหญิงมาเห็นตอนเรานอนกับลูกสาวเขา เลยโดยจับคลุมถุง แต่แม่ผมรู้ว่าฝ่ายหญิงเขาไม่ได้มีผมแค่คนเดียว เลยไม่ยอมให้แต่ง จึงเสียผีให้ตามธรรมเนียมประเพณี  ซึ่งผมเองก็ไม่อยากจำเรื่องราวนี้ จึงพยายามที่จะไม่รื้อฟื้น ทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น  เมื่อผมไปเยี่ยมที่บ้านเขา ผมโดนต่อว่าสาระพัดจากแม่หมวง และน้องสาวไอ้แทน (พี่สาวเจ้าทัช)  ส่วนอารุจน์แกไม่ได้ว่าอะไร  และดูเหมือน อาเหมย จะเข้าใจอะไรต่อมิอะไร ระหว่างผมกับเจ้าทัชเป็นอย่างดี แต่เนื่องด้วยสถานะและธรรมเนียมประเพณี จึงไม่สามารถจะพูดจะเอ่ยถึง  ผมยอมรับโดยดีที่ไม่สามารถติดต่อทัชได้จะด้วยจากสาเหตุอันใดก็แล้วแต่ แต่ก็ไม่เคยไปแก้ตัวต่อหน้าแม่หมวง อย่างไรเสีย ผมก็ได้เบอร์เจ้าทัชมาจนได้ ทราบมาว่ายังคงทำงานอยู่กับเพื่อนกับญาติแถวๆบางบอนเช่นเดิม  ทุกอย่างยังคงเดิม ที่นอนที่ผมเคยนอนกับไอ้แทน กับเจ้าทัช  ยังคงเหมือนเดิมไม่มีการเปลี่ยนแปลง 
  อาเหมยเองก็กลับมาเยี่ยมบ้านช่วงตรุษจีน  ก่อนที่ผมจะกลับ อาเหมยได้คุยกับผมเล็กน้อย ผมถามไถ่สาระทุกข์สุกดิบพอเป็นพิธี  อาเหมยรู้เรื่องราวระหว่างผมกับทัช   เขาคงคิดถึงผมมากไม่กล้าคุยกับใคร  ...แต่มาคุยกับพี่สาวมันเนี่ยนะ....เฮ้อ...  สาเหตุที่พลาดพลั้งจนมีลูกได้ก็คงเพราะเมามาก ไม่มีพิธีแต่งงานใดใดทั้งสิ้น  ทัชมันไม่ยอมแต่งแต่จะรับผิดชอบลูกที่เกิดมา  อืมก็ยังดีที่มีจิตใจเป็นผู้เป็นคนเป็นคนดีมีศีลธรรม ทางฝ่ายนั้นเค้าไม่ให้ลูกมาอยู่กับฝ่ายคนของเรา  ผมเองก็ชินกับวัฒนธรรมแบบนี้แล้ว ไม่ใช่มีแค่ผมกับทัช  แต่มีอีกหลายคู่ที่เป็นแบบนี้ แบบเลิกรากันไปโดยที่มีลูกติดไปด้วย แต่ลูกน่ะรู้ว่าใครคือพ่อที่แท้จริง   อาเหมยตัดพ้อผมอยู่หลายประโยคก่อนที่ผมจะลากลับบ้าน 
   ผมขับรถห่างจากหมู่บ้านต้นไผ่พอสมควร จึงจอดรถข้างทางและโทรหาใครคนหนึ่งทันที
โทรครั้งแรกไม่ติด ครั้งที่สองติดแต่ยังไม่มีคนรับ  จนมารับเอาสายที่สาม

“ฮัลโหล นั่นใครครับ”   เสียงเจ้าทัช เสียงนี้ผมคุ้นเคยดี  หัวใจผมพองโตขึ้นมาทันทีที่ได้ยินดสียงเขาอีกครั้ง นานแค่ไหนกันนะที่ไม่ได้ยินเสียงนี้เลย

“อืม ทำไมไม่กลับมาตรุษจีนที่บ้านล่ะ”  ผมดัดเสียงเล็กน้อย

“นั่นใครอ่ะ อาโหล เหรอ ใช่ป่ะ”   เสียงผมเหมือนอาโหลมากเลยเหรอเนี่ย ...ผมคิด....

“ตอบมาก่อนทำไมไม่กลับมาตรุษจีนที่บ้าน”  ผมถามย้ำอีกครั้ง

“เอีย (แปลว่า “ผม” ใช้เรียกตัวเอง) ยังเก็บเงินได้ไม่มาก และวันหยุดมันไม่พอลากลับ เลยไม่อยากกลับ”   ทัชอธิบายยาว

“อ่อ แล้วเป็นไงบ้างสบายดีไหม งานหนักป่าว ได้ข่าวว่ามีลูกแล้วนิ ร้ายนะเรา”

“......................”   ทัชเงียบไปชั่วอึดใจ

“อ้าวไม่ตอบอีก”

“นั่นใครอ่ะ ไม่ใช่อาโหลนี่ “  เจ้าตัวเสียงแข็งเล็กน้อย ฟังดูมีแววโกรธอยู่กลายๆ

“พี่เอง จำเสียงพี่ไม่ได้เหรอ”   ผมพูดด้วยโทนเสียงราบเรียบตามปกติ ไม่ดัดเสียงอีก

“พี่นนท์.....”   ได้ยินแค่เสียงเรียกชื่อผม แล้วสายก็ตัดไป   ผมโทรไปอีกสามรอบไม่ติด เพิ่งเห็นสัญญาณมือถือว่า คลื่นมันมีแค่ขีดเดียว   เดินไปมารอบๆบริเวณสัญญาณหายบ้างขีดเดียวบ้าง เลยขับรถลงดอย กะว่าถึงเขตหมู่บ้านชนพื้นเมืองด้านล่างตีนดอยแล้วค่อยโทรหาอีกครั้ง แต่ยังไม่ถึงตีนดอยดี ก็มีสายเข้า

“ฮัลโหล  พี่นนท์ใช่ไหมครับ  ตัดสายทำไม  พี่นนท์ใช่ไหม พี่กลับมาแล้วเหรอ ไปเที่ยวหาผมที่บ้านเหรอครับ ทำไมไม่โทรมาบอก ทำไมไม่ติดต่อมาเลย พี่สัญญากับผมกี่ครั้งแล้วทำไมถึงทำแบบนี้ พี่ทิ้งผมไปหลายครั้งแล้วนะ พี่ลืมผมแล้วเหรอครับ”     
 ทัชอัดใส่ผมซะยาวเหยียดแทบไม่เว้นจังหวะหายใจ

“ทัชๆ เดี๋ยวนะ หยุดหายใจนิดนึง พี่ขับรถลงดอยอยู่ รออีกนิดเดี๋ยวพี่โทรกลับ” 

“ไม่ต้องวางสายเลยนะพี่  รีบๆจอดรถเลย”   แน่ะ มีออกคำสั่งอีกนะ  ผมเลยแวะจอดริมทางลูกรัง

“อ่ะ พี่จอดรถแล้ว จะด่าอะไรพี่อีก พี่ยินดีฟังนะ”  ผมพูดเชิงหยอกล้อ

“ถ้าผมอยู่ใกล้ๆผมจะต่อยพี่ให้คว่ำไปเลย  พี่อ่ะ ชอบหนีหายจากผมอยู่เรื่อย ติดต่อก็ไม่ติดต่อมา รู้ไหมว่ามีคนเป็นห่วง”

“อืมๆ แล้วไปทำอีท่าไหนล่ะถึงไปทำคนอื่นท้องได้”

“พี่ไม่ต้องพูดถึงมันได้ป่ะ ผมไม่ชอบ”    มีน้ำเสียงตะคอกตะคั้นด้วยนะ 

“อ่ะๆ โอเคๆ พี่จะไม่พูดถึง แต่ฟังพี่ก่อน”

“..................”   เงียบไปสักพัก ผมจึงพูดต่อ

“ทัช”    ผมเว้นจังหวะไว้ช่วงหนึ่ง

“ทัช ฟังพี่ดีดีนะ  พี่ไม่รู้ว่าเราตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ แต่เรื่องมันเกิดขึ้นแล้ว เด็กมันเกิดออกมาแล้ว เราต้องรับผิดชอบเขานะ มันเป็นหน้าที่ของเรา เข้าใจไหม”

“แล้วพี่ล่ะ ของพี่เองพี่เคยรับผิดชอบไหม”   ธัชมันรู้ครับ เพราะผมเคยเล่าให้ฟังแล้ว

“พี่ก็รับผิดชอบไปแล้ว เสียผีไปแล้วตามธรรมเนียมที่เขาเรียกร้องมา แถมปีใหม่บางปีพี่ก็ให้เงิน”

“ใช่สิครับ ผมมันไม่ได้จบสูง ผมมันจน ผมไม่มีเงินมากพอที่จะให้เขาเหมือนพี่นี่” 

“ทัช...ทัชใจเย็นๆก่อนครับ ตั้งสติ ใจเย็นๆ ค่อยๆพูดกับพี่  เอาเป็นว่าเรื่องนี้พี่จะไม่ถามทัชอีก ส่วนจะด่าพี่เรื่องที่หายเงียบไป พี่ขอโทษ พี่ไม่รู้จะหาคำไหนมาพูดได้ดีเท่าคำนี้  เพราะพี่รู้สึกแบบนั้นจริงๆ แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมา พี่ไม่เคยลืมเรื่องราวของเราเลยนะ  พี่ไม่เคยลืม พี่คิดถึงทัชอยู่เสมอ แม้จะทำเบอร์หายไป แต่ก็กลับมาที่บ้านเพื่อมาขอเอากับแม่หมวงใหม่  ทัชก็รู้ว่าพี่รักเรามากแค่ไหน ทำไมพี่จะลืมเราไปล่ะ อะไรทำให้คิดแบบนั้น”    ผมรู้สึกจุกในขณะที่อธิบายให้ฟัง

“ก็ผมคิดถึงพี่ตลอดเวลา ติดต่อก็ไม่ได้ พี่ก็อยู่ต่างประเทศ ผมก็เหงาเป็นนะ พี่เงียบหายไปแบบนี้พี่ไม่คิดถึงใจผมบ้างเหรอ”

“ฟังนะ พี่รักทัช รักและ เป็นห่วงทัชมาก เราน่ะเป็นคนเดียวในใจพี่ ไม่ต้องห่วงเลย ไว้กลับ กรุงเทพแล้วเดี๋ยวพี่จะโทรไปหานะ แล้วเราค่อยคุยกัน”

“พี่จะกลับวันไหน”

“กลับวันพรุ่งนี้ “

“งั้นวันศุกร์ผมไปหาพี่นะ “

“เห้ย ไม่ทำงานหรือไง”

“มันติดวันเสาร์อาทิตย์ด้วย  ผมลาพักร้อนหนึ่งวันครับ ยังไม่ได้ใช้เลยปีนี้”

“อืม ตามใจเลย จะให้พี่ไปรับที่ไหนก็บอกละกันนะ พี่ต้องกลับละ เดี๋ยวจะค่ำซะก่อน”

“พี่นนท์ “

“หืม ว่าไง”

“ผมคิดถึงพี่มากนะ”

“ครับ เช่นกัน พี่ก็คิดถึงเราเหมือนกันนะ ไว้เจอกัน”

“ขับรถดีๆนะพี่  แล้วเจอกัน พี่เจอดีแน่ หึหึ”  ยังมีคำขู่ก่อนวางสายไปอีกนะ ผมยังไม่ทันจะพูดอะไรสายก็ตัดไปแล้ว จึงขับรถกลับบ้านเลย  รู้สึกหัวใจพองโต จิตใตกระปรี้กระเปร่ามีชีวิตชีวาขึ้นมาทันทีทันใด  ในขณะเดียวกันก็อดคิดไม่ได้ว่าเขาจะทำโทษอะไรผม

..................

   
   วันศุกร์ช่วงเย็น ผมไปรับทัชที่หน้าหมอชิต เวลาเดิมสองทุ่มกว่า  หนุ่มน้อยไว้ผมยาวรองทรงยาวกว่าครั้งที่มาหาผมครั้งแรก กางเกงยีนน่าจะเป็นตัวที่ผมเคยซื้อให้เมื่อตอนอยู่มหาวิทยาลัย เสื้อยืดสีขาว  ผมใจเต้นโครมครามทุกครั้งที่ได้เจอกับเขา คนที่ผมรักมากคนนี้ มันตื่นเต้นเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา

“หวัดดีครับ พี่นนท์”  ยังไม่ทันจะทักตอบ เจ้าทัชโยนกระเป๋าไปที่เบาะหลังแล้วกึ่งพุ่งตัวจะข้ามเบาะมากอดคอผมแน่นเชียว

“เอ่อม ทัช ๆ ใจเย็นๆครับ พี่เจ็บคอ “  โดยขโมยหอมแก้มไปทีนึง ผมก็อดไม่ได้ที่จะเอาคืน และลูบหัวเขาสองสามที

“ไหนดูซิ ผมยาวเกินไปแล้วนะเนี่ย ไม่หล่อเลย พรุ่งนี้พี่พาไปตัด”   ผมบอก แต่เจ้าตัวรีบเอียงตัวหลบไปที่เบาะตัวเอง

“ไม่เอาอ่ะพี่นนท์ “

“ไม่ได้ มันดูไม่เหมาะเลย แล้วจะแสกกลางเพื่ออะไร ทรงแบะหีควายเหรอ”  ผมหัวเยาะเยาะ

“ฮ่าๆ พี่นนท์ก็ พูดเหมือนอาจารย์สมฤทธิ์เลยนะ”  เจ้าตัวหัวเราะรื่น ทำเอาผมยิ้มแก้มแทบปริ

“ป่ะ ไปกันเถอะ  หาข้าวกินกัน พี่หิวแล้ว”

  พาเจ้าทัชผ่านมาทานข้าวแยกเกษตรตัดรามอินทรา

“พี่นนท์ ไม่อร่อยเลยเนี่ย หวานปะแล่มๆ มันแห้งเกินไปเนื้อก็ค้างคืนนะเนี่ย”  เจ้าทัชบ่น

“กินๆไปเถอะน่า” ผมหยิบหมูสะเต๊ะอีกหนึ่งไม้ทำท่าจะยื่นใส่ปาก เจ้าตัวรีบปัดออกทันที

“แหวะ ไม่เอาแล้วพี่ ผมจะอ๊วก” 

“เห้ย อย่านะ เสียดายของกินให้หมดเลย ไม่หมดจะทิ้งไว้ตรงนี้แหละ ไม่พากลับ”   ผมพูดขู่แกมหยอก แต่สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นทำให้ผมต้องเสียใจไม่น้อย

“............”    เจ้าตัวเล็กเงียบเสียงลงไปทันที

“ทัช... พี่ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นนะ แค่ล้อเล่นน่ะ”    พอผมพูดจบ เพียงชั่วอึดใจ เขาเงยหน้ามองผม  นัยน์ตาคลอด้วยน้ำใสๆ  พูดพร้อมเสียงสะอื้น

“ตลอดเวลาที่ผ่านมา พี่ยังคิดว่าผมไม่เหงาพอหรือครับ พี่ทิ้งผมไว้คนเดียวกี่ครั้งแล้ว ผมต้องอดทนมากแค่ไหน ปลอบใจตัวเองว่าพี่จะกลับมา แต่ผ่านวันเป็นเดือนเป็นปี ก็ไม่มีแม้แต่เงาพี่ แม้แต่เสียงก็ไม่ได้ยิน พี่คิดว่าผมจะเจ็บมากแค่ไหน”    พูดไปสะอื้นไป และน้ำตาก็พร่างพรูออกมา จนโต๊ะข้างๆเริ่มสังเกตอาการทางโต๊ะผม

“ทัช พี่ขอโทษครับ พี่ปากไม่ดีเอง พี่ไม่ได้ตั้งใจจริงๆนะ”   ผมลุกขึ้นมานั่งทางฝั่งเขา ใช้มือซ้ายโอบรวบแก้มเขาดึงมาซบตรงไหล่ผม และผมก็ไม่อายสายตาโต๊ะข้างๆแต่อย่างใด ลืมไปเลยว่าไม่ได้มีเพียงแค่เราสองคน

“โอ๋ๆ คนดี ตัวเล็กของพี่  ไม่เอานะ อย่าร้องไห้อีกเลย พี่ก็เจ็บไม่แพ้ทัชหรอกครับ”  ผมโอบบ่าเขาไว้กระชับแน่นๆ รู้สึกได้ถึงร่างกายที่สั่นของเขา  ผมเข้าใจ ภายนอกที่ดูกำยำของเขาซุกซ้อนความอ่อนไหวเอาไว้ภายใน เหมือนผมไม่มีผิด  เขารู้สึกเจ็บปวดมากทีเดียว

“ตัวเล็ก อิ่มหรือยัง เรากลับกันเลยมั๊ย “   ทัชพยักหน้า ผมจึงบอกให้เขาเช็ดน้ำตา  ผมเดินไปจ่ายเงินแล้วพาเขากลับไปที่คอนโด

“จะแวะซื้ออะไรที่เซเว่นก่อนไหม”      เจ้าตัวไม่ตอบ ทำเพียงส่ายหน้า ผมจึบขับผ่านเลยไปยังคอนโด ระหว่างทางกลับมาคอนโด เจ้าตัวเล็กไม่พูดไม่เอื้อนเอ่ยอะไรออก  นั่งเงียบมาตลอดทาง ถามก็พยักหน้าส่ายหน้าตอบแทนคำพูด

  เข้าห้องปุ๊ปผมล้อคประตูแล้วรีบเดินไปโอบกอดตัวเจ้าตัวเล็กจากด้านหลัง กอดแบบแน่นที่สุด เจ้าตัวเล็กปล่อยกระเป๋าเป้ร่วงตกลงสู่พื้น

“พี่คิดถึงเรามากเลยนะ ตัวเล็ก คิดถึงมากๆ คิดถึงมากจริงๆ”   ผมพร่ำพูดคำว่าคิดถึงเจ้าตัวเล็กหลายครั้งจนรู้สึกได้ถึงความร้อนตรงขอบตา คัดจมูกขึ้นมาทันที เจ้าตัวเล็กคลายแขนผมออกแล้วหันกลับมาโอบแขนรอบคอผม

“พี่คิดว่าผมไม่คิดถึงพี่เหรอครับ คิดถึงจนแทบจะไม่เป็นอันทำอะไรเลยนะผมผ่านอะไรมาก็เยอะ พี่ก็ไม่ได้อยู่ใกล้ให้ผมได้ปรึกษา แต่ผมก็คิดถึงพี่ตลอด พี่เป็นกำลังใจของผมนะรู้มั๊ย”   พูดพลางใช้มือปาดน้ำตาให้ผม

“ขอบคุณนะ ตัวเล็ก ที่ไม่เคยลืมพี่”

“ผมจะลืมพี่ได้ไง  พี่นั่นแหละที่ลืมผม”

“ไม่นะครับ สาบานเลย พี่ไม่เคยลืมเราเลยนะ มานี่สิ”  ผมดึงมือเจ้าตัวเล็กไปยังห้องนอน หยิบเอาสมุดบันทึกที่ซ่อนอยู่ตรงหัวเตียงยื่นให้

“เนี่ย จะรู้ว่าพี่ไม่เคยลืมเราเลย เราน่ะ อยู่ในใจพี่เสมอนะ”

“ไม่ต้องหรอกพี่  ผมรู้ ผมเชื่อพี่”   ทัชเอาสมุดบันทึกผมโยนเบาไว้บนเตียง

“ผมดีใจมากเลยครับ ที่ผมเลือกคนไม่ผิด”

“เดี๋ยวนะ  เลือก?   หมายความว่าไงหรือ”

“ผมคิดว่าพี่เข้าใจที่ผมพูดนะครับ ผมยอมรับว่าผมเคยลองมาหมดแล้ว แต่ วันนี้ นาทีนี้ ผมจะบอกพี่ว่า พี่คือคนเดียวในใจผม ผมไม่เคยรู้สึกมีความสุขและเจ็บปวดในเวลาเดียวกันเมื่อคิดถึงพี่ ผมอบอุ่นใจทุกครั้งที่มีพี่อยู่ข้างๆผม  ผมรู้แล้วว่ามันคือ ความรัก สิ่งที่พี่อยากจะบอกผมตั้งแต่สมัยที่พี่อยู่มหาลัย ตอนนี้ผมเข้าใจทุกอย่างแล้ว  และผมเลือกพี่ แม้เราจะเป็นผู้ชายเหมือนกัน   แล้วไงล่ะครับ ผมก็รักพี่อ่ะ  แค่เป็นผู้ชายเหมือนกันจะรักกันไม่ได้หรือ อย่างน้อยก็รักกันเหมือนพี่น้องไง”   

   ทัชเป็นฝ่ายพูดเสียยาวเหยียดเลยทีเดียว ผมน้ำตาหยุดไหลไปตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ แต่ความรู้สึกทึ่งและอึ้งกลับเข้ามาแทนที่  เขาเข้าใจทุกอย่าง เขารู้  เขาโตแล้ว

“ทัช เข้าใจในสิ่งที่พี่ทำมาตลอดด้วยหรือนี่ พี่ดีใจมากเลยครับ ดีใจมากๆ แต่พี่รักทัชเหมือนน้องชายนะครับ เป็นความรักที่มีแต่ปรารถนาให้ชีวิตของทัชพบเจอแต่เรื่องดีๆ พี่ไม่รู้ว่า เราจะเข้าใจตรงนี้ไหม”

“การมาเจอกับพี่อยู่กับพี่นี่ไงครับ คือเรื่องดีๆที่ผมพบ และผมก็เข้าใจมันแล้ว”

พูดจบ เขายกมือเช็ดคราบน้ำตาให้ผม  โดยที่ไม่ทันตั้งตัว เขาใช้ช่วงข้อศอกโน้มคอผมลงมา แล้วจูบผมเบาๆ  ใช่ ภาพนั้นเป็นภาพภาพที่ผมประทับใจไม่รู้ลืม ผมโอบกอดเขาแน่นและจูบตอบเบาๆ

“ผมรักพี่ ผมไม่รู้ว่าพี่กับผมจะรักกันไปอย่างไร แต่ผมจะพยายาม”   ว่าพลางก็ขยับถอยไปที่เตียงในขณะที่มือและแขนยังคงรั้งคอผมไว้ จนล้มลงบนเตียงในสภาพที่ผมกดทับเจ้าตัวเล็กอยู่

“ทัช...จะทำอะไร รู้ตัวไหมว่ากำลังทำอะไรอยู่”   ผมเอ่ยเตือนสติ แต่ไม่ทันแล้ว เจ้าตัวเล็กประกบปากผม และพร่ำพูด

“ พี่นนท์อย่าเพิ่งพูดอะไรครับ อย่าพูดอะไรทั้งนั้น”     

แล้วก็จูบผมแบบไม่ทันตั้งตัว ผมเองก็รู้สึกทั้งมีความสุขและรู้สึกผิดในคราวเดียวกัน แต่ไม่ว่าจะเป็นความคิดอะไรก็แล้วแต่ ผมก็ห้ามความปรารถนาในใจไม่ได้อีกต่อไป ผมใช้มือลูบตรงหน้าผากเจ้าตัวเล็ก  ตั้งแต่เขาตัวเล็กๆ จนเรียนด้วยกัน ผ่านอะไรต่างๆมาด้วยกัน วันนี้ เขาเองก็พร้อมที่หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับผม ผมจูบหน้าผากเขาหนึ่งครั้ง

 “พี่รัก ทัชนะครับ รักมากๆ รักมากที่สุด” พูดไม่ทันจบดี เจ้าตัวเล็กก็โน้มคอผมลงไป ประกบปากกับเขา

“พี่นนท์ ผมไม่รู้ว่าต้องทำอย้างไรบ้าง เอาเป็นว่า พี่ค่อยๆทำนะ”  ผมไม่ทันได้อธิบายอะไรเขาก็เอื้อมมือมาปลดเสื้อผมออกพร้อมกับเสื้อของตัวเอง

“นี่เราคงไม่ได้ทำผิดกันอยู่ใช่ไหม   แน่ใจแล้วนะ”  ผมเอ่ยเตือนอีกครั้ง แต่เจ้าตัวเล็กกลับขยับเขามากอดผมและจูบผมต่อ

“แล้วเรื่อง ลูกของทัชล่ะ เรา..” ยังไม่ทันจะพูดจบเจ้าตัวเล็กเอาฝ่ามือมาปิดปากผมไว้

“ผมรักพี่ ปล่อยให้มันเป็นเรื่องของความรักนะครับ”

“...............”   ผมหยุดเงียบไปชั่วอึดใจ  อืม มันเป็นความรัก เรารักเขาเราห่วงใยเขา มันไม่ใช่เกิดจากความใคร่  หลังจากวันนี้ไป แม้จะมีอะไรเกิดขึ้นผมก็จะไม่เสียใจ   ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามความรู้สึกที่ต่างฝ่ายต่างมีให้กัน  ครั้งแรกของกันและกัน แม้เจ้าตัวเล็กจะมีเสียงคร่ำครวญเหมือนเจ็บปวด แต่ผมก็อ่อนโยนกับเขาที่สุด เขาบอกว่าเขารู้ตัวและยินดีกับสิ่งที่กำลังทำ บอกผมว่าอย่าคิดมาก

มันไม่ใช่เรื่องผิดแต่อย่างใด ซึ่งผมเองก็ยังรู้สึกทึ่ง ว่าเขาไปเรียนรู้คำพูดพวกนี้มาจากไหน  มันเป็นช่วงเวลาที่ผมมีความสุขมาก ทัชเองก็ไม่ต่างจากผม  ผมมองหน้าเขาจูบหน้าผากเขา หอมแก้มเขา แล้วยิ้มอย่างมีความสุข  คนที่นอนอยู่ข้างๆผม เป็นน้องชายของเพื่อนผม เพื่อนที่ผมก็รักเขามากเช่นกัน  ผมเองก็ไม่อยากจะคาดเดาว่า หากไอ้แทนยังอยู่ ไม่แน่ว่าคนที่นอนอยู่ข้างๆผม อาจจะเป็นไอ้แทนก็เป็นได้  อย่างไรก็ตาม ผมเองก็รักเจ้าตัวเล็กมากไม่แพ้ไอ้แทน ออกจะรักน้องชายมันมากกว่าด้วยซ้ำไป  คงเป็นเพราะเขาตัวเล็กกว่า และเป็นคนที่อายุน้อยกว่า ผมจึงรักเขาเอ็นดูเขามากเป็นพิเศษ

 “คราวนี้ เราเป็นหนึ่งเดียวกันแล้วนะครับ ต่อไปพี่อย่าทิ้งผมไปอีกนะครับ”    ทัชหันมากอดผมแน่น ผมเองก็สอดแขนใต้คอเขากอดเขาเอาไว้ 

“ไม่มีทางหรอก พี่น่ะ รักเรามากเลยนะรู้ไหม จนป่านนี้ยังไม่เข้าใจอีกเหรอครับ หืม เมื่อกี้ยังบอกว่าเข้าใจพี่ทุกอย่างเลยนะ”  ผมหยอกเขาเล่น

“เข้าใจครับ แค่อยากย้ำให้พี่รู้ตัว เพราะพี่ชอบหนีผมไปประจำ”

“ไม่เอานะตัวเล็ก อย่างคิดอย่างนั้นเด็ดขาด พี่ไม่เคยลืมเราเลย ไม่เคยแม้สักวันเดียว”

“พี่ไปอาบน้ำก่อนนะ เดี๋ยวผมจะทำอะไรให้กิน”

“อ้าว แปลกนะ ทำไมครั้งนี้ไม่คะยั้นคะยอให้ไปอาบด้วยกัน”  ผมมองหน้าเขา เขาหลบตาผมด้วยแฮะ เป็นครั้งแรกนะนี่ ที่ผมได้เห็นอาการขวยเขินของเขาแบบนี้ ดูน่ารักไปอีก  ถึงตอนนี้ผมไม่หวั่นเกรงอะไรอีกต่อไป  ผมจะต้องพยายามทำให้ดีที่สุด เพราะผมมีอีกหนึ่งชีวิตเข้ามาให้ผมได้ดูแล เป็นภาระที่ผมยินดีและเต็มใจอย่างยิ่งที่จะดูแลชีวิตนี้ตลอดไป

.......

   ผมออกมาจากห้องน้ำเห็นเจาตัวเล็กนุ่งผ้าเช็ดตัวอยู่ในส่วนครัวกำลังทำอะไรสักอย่าง

“ตัวเล็ก ยังไม่ไปอาบน้ำอีก”  ผมเดินไปโอบกอดเขาจากด้านหลัง ธัชกอด วงแขนผมไว้

“เนี่ย ต้องโทษพี่นะ ที่ผมกินไม่อิ่ม”

“อ้าว แหม  เรานี่ก็นะ พี่นึกว่าอิ่มแล้ว ไหน ทำอะไรเนี่ย”

 เจ้าตัวเล็กของผม ทำต้มจืดไข่น้ำใส่วุ้นเส้น ของโปรดผมเลย  ผมมองหน้าเขาแล้วยิ้ม

“เก่งจัง ว่าแต่จะอร่อยไหมน้อ”

“ลองชิมสิครับ”  ว่าแล้วก็ตักมาหนึ่งช้อนป้อนใส่ปากผม

“อื้มอร่อยนะเนี่ย  ป่ะ เรารีบไปอาบน้ำเลย ดี๋ญวออกมากินด้วยกัน”

“พี่ต้องไปช่วยผมอาบสิครับ”

“เอ้า อะไรกัน ให้พี่ไปอาบก่อนแล้วยังจะให้ไปอาบด้วยกันอีก”

“เอาน่ะพี่ มาๆ”    ว่าแล้วก็ดึงแขนผม ไปห้องน้ำ จัดแจงถอดผ้าขนหนูออกเอาสายฝักบัวเปิดน้ำราดใส่หัวผมทันที

“เฮ๊ย  พี่อาบแล้ว”

“ไม่เอา อาบอีกนะพี่”

“ไม่เอาแล้ว  มาๆ อยากให้อาบให้ใช่ไหม ได้ๆ”  ผมพูดจบก็คว้าแชมพูและอุปกรณ์อาบ้ำ ชะโลมทั่วร่างกายเจ้าตัวเล็ก พร้อมกับสระผมให้เขา เขาก็ถูตัวจัดการให้ตัวเอง

“โอ้ย..”    เจ้าตัวเล็กร้องออกมาพร้อมกับทำสีหน้าเจ็บปวด

“เป็นอะไรไป “  ผมถามด้วยความตกใจ

“มันเจ็บอ่ะพี่ โดนน้ำแล้วมันแสบ”  เจ้าตัวเล็กเอามือข้างหนึ่งไพล่ไปด้านหลัง ผมรู้ทันทีว่าเขาหมายถึงอะไร

“พี่ขอโทษ เจ็บมากไหม”

“ไม่เป็นไรครับ พี่อย่าไปทำแบบนี้กับใครนะครับ รู้ไหมผมหวงนะ”

“เว่อจัง พี่จะไปทำกับใครล่ะ พี่มีเรา แค่นี้ก็ยุ่งจนเวียนหัวแล้วค้าบ “  ผมขยี้หัวเขาเบาๆ

“จริงๆ นะครับ”

“อื้ม ไม่มีแน่นอน รีบอาบน้ำเถอะครับคุณหนู เดี๋ยวแกงเย็นจะไม่อร่อย”  ผมแซว เลยโดนเจ้าตัวเล็กเอาหัวฝักบัวทุบแขนเบาๆ........

 ผมปล่อยให้ตัวเล็กกินข้าวจนอิ่ม ไล่ให้ไปแปรงฟัน  แล้วมานั่งดูทีวีกัน  ตัวเล็กบ่นปวดท้อง ผมก็เกรงว่าจะมีอาการแทรกซ้อนหรือไม่ จึงบอกว่า ไปหาหมอดีไหม เจ้าตัวบอกไม่เป็นไร มันแค่ปวดหนึบๆ ไม่ใช่ปวดเพราะอย่างอื่น  พูดจนผมเข้าใจ  ผมเองก็รู้สึกผิด ขนาดอ่อนโยนที่สุดแล้ว เขายังต้องทนเจ็บเพื่อผม ผมกอดและจูบหน้าผากเขาหนักๆ

“พี่รักทัชนะครับ “

“ผมก็รักพี่ครับ รักมากด้วย “  หอมแก้มผมหนึ่งที แล้วไปเข้าห้องน้ำ

“พี่ปิดทีวีแล้วนะ นอนรอละกันครับ” เจ้าตัวคงได้ยินผมแหละ ผมทึกทักเอาเอง

กลับเข้ามาในห้อง ผมสังเกตุเห็นกระดานไม้ตรงหัวเตียงปิดไม่สนิทจึงเปิดดู  ปลายกระดาษคั่นหน้าหนังสือถูกปะตูกระดานไม้หนีบเอาไว้นั่นเอง ผมหยิบมันขึ้นมาเปิดดู เห็นลายมือไม่คุ้น เพราะเดิมทีมีแต่ตัวหนังสือผมทั้งสิ้น แต่ข้อความนั้นผมรู้ทันทีว่าใคร และเป็นข้อความที่ผมอ่านแล้วยิ้มแก้มแทบปริ และมีความสุขที่สุด

    .... ..... ผมรักพี่นนท์นะครับ รักมากๆ พี่อยู่ในใจผมเสมอ และจะเป็นคนเดียวที่อยู่ในใจผมตลอดไป  ตอนนี้พี่เป็นมากกว่าพี่ชายผมนะครับ  หลังจากนี้ไป ผมสัญญาว่าผมจะเชื่อฟังพี่ และจะพยายามตั้งใจทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด จะไม่ให้พี่ผิดหวังในตัวผมนะครับ 
ป.ล. รักผมให้มากกว่าพี่แทนด้วยนะครับ   (ด้านข้างมีรูปตาและรูปปากทำท่าแลบลิ้น)
    รักพี่นนท์ที่สุดเลยครับ         
               /จากตัวเล็กของพี่ไง


  ผมเอาสมุดมาแนบอก หัวใจพองโตอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน และรีบเก็บสมุดไว้ที่เดิม ก่อนที่เจ้าตัวเล็กจะเดินกลับมานอน  ผมไม่รอช้า กอดเขาแน่น สอดแขนให้เขาหนุน  จูบหน้าผากเขาแล้วกระซิบข้างหู

“พี่รักทัชนะครับ รักมากที่สุด”  ผมพูดอย่างหนักแน่น

“ผมก็รักพี่ครับ” เขาหอมแก้มผมหนึ่งครั้ง  ผมกอดเขาเอาไว้แน่น ต่อจากนี้ไปไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมพร้อมจะปกป้องดูแลเจ้าตัวเล็กคนนี้ของผมอย่างดีที่สุด  นั่นคือภาระที่ผมต้องทำให้ดีที่สุด ผมบอกตัวเองว่าต้องทำให้ได้

.........


ออฟไลน์ thewa.arak

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 66
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ทัช..สัมผัสใจ ตอนที่19
«ตอบ #33 เมื่อ14-07-2017 21:24:13 »

ตอนที่ 19




ช่วงเวลาแห่งความสุข  Part นนท์/ทัช...



  วันเสาร์ ผมชวนเจ้าตัวเล็กไปเที่ยวทะเล ดูท่าทางเขาจะตื่นเต้นดีใจเป็นอย่างยิ่ง ผมเองก็ไม่ค่อยได้ไปเที่ยวที่ไหนในเมืองไทย ไกลๆ เลยสักครั้ง ชวนตัวเล็กไปเที่ยวทะเลด้วยกัน อย่างน้อยก็จะได้พักผ่อนไปในตัว และมีเวลาสำหรับเราสองคนที่จะกระชับความรู้สึกให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
   ขับรถผ่านเส้นทาง มอเตอร์เวย์และออกไปทางฉะเชิงเทรา ผ่านอำเภอแกลง เส้นทางนี้สวยงามดี  ผมเลือกที่จะไปทะเลที่ใกล้ๆแค่ที่ระยอง  ถึงที่พัก ในหาดแสงจันทร์ เกือบบ่ายสาม เลือกที่พักโซนหันหน้าหาวิวทะเล  ไม่แพงมากเพราะไม่ใช่ช่วงฤดูการท่องเที่ยว   เมื่อจัดแจงกับสัมภาระเสร็จแล้ว

 “ตัวเล็ก อยากไปเล่นน้ำทะเลไหม”   ผมถามพร้อมกับหยิบเสื้อยืดและกางเกงขาสั้น

“ผมไม่ค่อยอยากเล่นครับพี่  แค่ไปนั่งชมวิวก็พอแล้ว” 

“หืม มาถึงทะเลทั้งที ไปเล่นกันเสียหน่อยเถอะน่า”  ผมทำเสียงอ้อน

“ถ้าพี่อยากเล่น ก็ได้ครับผมเล่นเป็นเพื่อน  เดี๋ยวไปเอาเสื้อก่อน”  ว่าแล้วก็จัดแจงกระเป๋าตัวเองพร้อมหยิบเสื้อและกางเกงเตรียมพร้อมลงทะเล

“เออ  หรืออยากไปสวนสน  ขับรถกินลมชมวิวก่อนดีไหม”   ผมถามความเห็น

“ไม่ต้องไปไกลหรอกครับพี่ เล่นที่นี่แหละ พี่จะได้พักผ่อนด้วย ขับรถมาไกล”   ตัวเล็กให้เหตุผล  ดูท่าเขาคงไม่อยากเล่นน้ำจริงๆ คงแค่อยากมาเห็นวิวทะเลจริงๆกระมัง

“ตามใจ พี่น่ะไม่เหนื่อยหรอก แต่อยากพาเรามาเที่ยวน่ะ เห็นสมัยเรียนเคยบ่นว่าอยากไปเที่ยวทะเล”

“พี่จำได้ด้วยเหรอเนี่ย  ฮ่าๆ”    ทัชหัวเราะเบาๆ  นั่นสินะ ผมเองก็ลืมไปแล้ว ว่าเจ้าตัวเล็กของผมเคยพูดว่าอยากไปเที่ยวทะเล   เอ...พูดตอนไหนหว่า นึกไม่ออกสักที 

 บริเวณชายหาดยามนี้ เห็นกลุ่มฝรั่งมังค่า ชาวต่างชาติเยอะพอสมควร  ห้าโมงกว่าแล้ว ยังร้อนอยู่เลย ผิวไหม้แน่ๆงานนี้  ไม่ทันที่ผมจะได้ระวังตัว  เจ้าธัชก็วิ่งมาลากแขนผมลงทะเล  วักน้ำทะเลสาดใส่กันยังกะน้ำจืด

“แหวะ มันเค็มๆเหม็นๆยังไงไม่รู้นะพี่นนท์”

“ฮ่าๆ ใครบอกให้กินน้ำทะเลวะ ไอ้เด็กบ้า”

“ก็ผมอยากรู้นี่ครับ”

“อ่ะ งั้นก็กินไปอีกสักสองสามอึกดีไหม”  ว่าแล้วผมก็วักน้ำทะเลสาดใส่  เจ้าตัวก็ไม่ยอมแพ้ วักน้ำทะเลมาสาดใส่ผม  เราสองคนเล่นน้ำทะเลกันสนุกสนาน จนเหนื่อยไปตามๆกัน จึงเปลี่ยนมาเป็นเดินเล่นริมชายหาดแทน เดินไปก็แวะซื้อไอติมนมแท่ง ปลาหมึกย่าง ผมยังไม่ค่อยหิว แต่เจ้าธัชกินเยอะมากไม่มีทีท่าว่าจะอิ่ม

“ทัช นั่งตรงนั้นไหม เสื่อริมชายหาด กินส้มตำกัน”  ผมชวน

“โห พี่นนท์ มาถึงทะเลยังจะหาส้มตำกินอีกนะ” 

“อ้าว มันมีกฏห้ามด้วยเหรอว่ามาเที่ยวทะเลห้ามกินส้มตำน่ะ”   ผมแย้ง  พร้อมยักคิ้วชักสีหน้าใส่แบบคนชนะ

“ช่างเถอะ ตามใจพี่ อยากกินไรก็ตามใจ”   เห้ย มันงอนเราด้วยเว้วเห้ย แต่ผมไม่สนใจ เดินนำหน้าไปนั่งที่เสื่อผื่นที่ใกล้ชายหาดที่สุด สักพักมีสาวสวยมารับออเดอร์ ผมก็สั่งไปสิครับ ยำไข่แมงดา ส้มตำลาว ปลาหมึกย่างสามรส และของกินเล่นอีกสองสามอย่าง เข้าใจว่าสาวสวยต้องเชียร์เบียร์ด้วย แต่บังเอิญผมกับทัชไม่กินเบียร์ไม่กินเหล้า เลยแห้วไป  สั่งเป็นน้ำโค้กมาแทน

“ลมแรงมากเลยนะพี่ หนาวแล้วเนี่ย”  เจ้าตัวเล็กพูดพร้อมทำท่าทางสั่นๆ ผมอดขำไม่ได้

“เว่อร์ไป ตัวเล็ก ทำยังกะหน้าหนาว ลมทะเลมันไม่หนาว มันร้อนและรู้สึกเหนียวเหนอะหนะ”

ผมตบหัวเขาเบาๆ 

“พี่นนท์ กินปลาหมึกไหม เดี๋ยวผมตักให้”    ว่าแล้วก็ตักปลาหมึกย่างที่ราดด้วยน้ำจิ้มซีฟู้ดมาจ่อที่ปาก ผมมองหน้าเขาแว่บหนึ่งก่อนจะอ้าปาก 

แต่เจ้าทัชกลับชักมือกลับแล้วส่งปลาหมึกย่างเข้าปากตัวเองแทน แถมยังทำหน้าตาล้อเลียนและหัวเราะเสียงดังสนุกสนาน ผมแยกเขี้ยวใส่ด้วยความหมั่นไส้ แต่เมื่อได้เห็นรอยยิ้มของเขา มันทำให้ผมกลับทำได้เพียงยิ้มตอบ  ผมอยากให้เขามีความสุขแบบนี้อยู่เสมอ ใบหน้าเปื้อนยิ้มพร้อมเสียงหัวเราะสนุกสนาน ทำให้ใบหน้าที่เข้มดูเคร่งขรึมอมเครียดของเขา ดูผ่อนคลาย มันทำให้ผมรู้สึกสดชื่นขึ้นเยอะเลยทีเดียว

“อ่ะๆ พี่นนท์  ผมไม่แกล้งพี่ละ อ่ะ นี่คำสุดท้าย ให้พี่ละกันครับ”   พร้อมกับตักปลาหมึกย่างมาจ่อที่ปากผม ผมปิดปากส่ายหน้าสองสามที เจ้าตัวก็ยังคงจ่อที่ปากผม ผมจึงค่อยๆเปิดปาก แล้วรีบงับปลาหมึกย่างทันทีจนฟันกระทบช้อน

“โอ๊ย เจ็บ เลือดจะออกไหมเนี่ย”   ผม แกล้งเอาคืนโดยการปิดปากแล้วใช้มือบังปากเอาไว้ พร้อมกับทำสีหน้าให้ดูเจ็บปวดที่สุด

“โอ้ยย  ใครจะไปรู้ว่าจะไม่แกล้ง พี่ก็งับซะเต็มแรงเลย โอ้ยย”  ผมแสดงละครต่อ

“ พี่นนท์ เจ็บมากไหม ขอผมดูหน่อย”   พร้อมกับขยับเข้ามาเอามือแกะมือผมออก ผมก็ขืนเต็มที่ยื้อยุดฉุดดึงกันอยู่อย่างนั้น  แขนข้างหนึ่งไม่ยันเสื่อปูพื้นแต่ทรายยุบตัวทำให้ เกิดอาการหงายหลัง ลงไปกองกับพื้น โดยมีเจ้าตัวเล็กทับครึ่งอกของผม

“อ๊ะ พี่นนท์ ผมขอโทษ เจ็บไหมครับ”

“ไม่หรอก ไม่เจ็บเลย เราล่ะเป็นอะไรหรือเปล่า”

“ผมไม่เป็นอะไรครับ “ จังหวะนั้นเราต่างอ้ำๆอึ้งๆกันอยู่สักพัก จนผมเริ่มรู้สึกตัวก่อน จึงตั้งใจจะผลักให้เขาพยุงตัวลุกขึ้น แต่ว่าเขากลับทำตรงข้าม  ทัช โน้มใบหน้ามาจูบผม โดยไม่ทันระวังตัว ผมก็ตกใจสิครับ เลยผลักเขาออก เขาเองก็ตกใจ และเป็นผมที่คืนสติได้เร็วกว่า จึงรีบแก้ตัวแทบไม่ทัน

“ทัช  เจ็บหรือเปล่าพี่ผลักแรงไปไหม พี่ตกใจน่ะ มันเป็นปฏิกิริยาอัตโนมัติน่ะ แบบ ด้วยความตกใจ เลยผลักไปแบบนั้น เอ่อ ”  ผมอธิบาย ตะกุกตะกัก   กลุ่มที่นั่งเสื่อถัดไปสามผืนก็มองเราสองคนแว่บหนึ่ง

“เอ้อ ผมก็ตกใจเหมือนกัน ขอโทษนะครับพี่นนท์ “ 

“เฮ๊ย ไม่เป็นไร อ้อ อย่าไปสนใจคนที่แอบมองเรานะ ทำเป็นไม่เห็นซะ”   ผมบอกเขา เพราะกลัวว่าเขาจะไม่ชินกับสายตาคนรอบข้าง แต่เขาก็ยิ้มๆไม่ว่าอะไร

“ไม่เห็นเป็นไรนี่ครับ ตรงโน้นก็ยังมีคนจูงมือกันเดินเลย นั่นอีก”   ผมมองไปตามมือชี้  ชาวต่างชาติชายสองคนเดินจูงมือกันริมชายหาด  กลุ่มที่นั่งบนเสื่อของร้านเจ้าอื่น ก็มีผู้ชายนอนตักกัน   อืม

“ทัช จะบอกพี่ว่า เห็นคนอื่นทำเลยอยากทำบ้างงั้นเหรอ”   ผมแกล้งถาม

“เปล่าครับๆ ไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นเลย มันแค่เผลออ่าครับ ลืมไปนึกว่าเราอยู่ในบ้าน”

แว่บหนึ่ง ผมคิดว่า เขาเองอาจจะยังไม่เคยชินกับอะไรแบบนี้ในที่สาธารณะ

....

 หลังจากจ่ายเงินเสร็จแล้วก็กลับที่พักอาบน้ำ ออกมานั่งเล่นอยู่ที่คานระเบียง

“อืม  นอนกินลมชมวิวไปก่อนละกันนะ แสงอาทิตย์จะลับทะเลแล้ว “ ผมนั่งหลังพิงผนังพลางชี้ไปทางทะเลที่ ยามนี้กลายเป็นสีส้มด้วยแสงจากพระอาทิตย์ที่กำลังจะจมลงทะเล

“สวยอ่ะพี่นนท์ “  ว่าพลางเอนตัวลงนอนตรงระเบียงหัวหนุนตักผมเฉยเลย

“เล่นงี้เลยเนอะ คนเรา”   ผมว่าพลางเอามือลูบหัว แล้วช้อนมือวางตรงคางของทัช เจ้าตัวเอื้อสองมือมาจับมือผมไว้

“ผมมีความสุขมากเลยพี่นนท์ ขอบคุณมากนะครับที่พามา”

“เหมือนพี่จำได้ว่า เราเคยบอกว่าอยากมาเทีย่วทะเล เมื่อสมัยเรียน”

“นานขนาดนั้น พี่ยังจำได้อีกเหรอ”  เจ้าตัวเล็กยีผมเล็กน้อยเงยหน้าขึ้นแหงนมองหน้าผม ผมยิ้มให้พร้อมกับเปลี่ยนจากช้อนคางมาแนบตรงแก้มเขาทั้งสองข้าง

“เรื่องของทัช ส่วนใหญ่พี่จำได้หมดแหละคร้าบ  ไม่เคยลืมเลย”

“พี่นนท์น่ารักที่สุดเลย”  เจ้าตัวเอื้อมมือมาจับแขนผมไว้

“เราล่ะ จำเรื่องราวของพี่ เอ่อ...ของเราได้บ้างไหม”  ผมก้มหน้าลงจูบหน้าผากเขาเบาๆ

“ผมจำเรื่องของเราได้หมดเลยนะ ตั้งแต่ครั้งแรกที่ผมเห็นพี่ ผมถามพี่นพแล้วว่า ใช่พี่จริงๆ ผมถึงอยากมาอยู่หอสามกับพี่ แต่พี่กลับจำผมไม่ได้”   พร้อมกับเอานิ้วชี้เอื้อมมาจิ้มแก้มซ้ายผม

“หืม แล้วตอนนั้นทำไมไม่ทักพี่ก่อนล่ะ”   ผมแย้ง

“ตอนแรกก็กลัวทักผิดไงครับ  เอ้อ พี่นนท์ ถามจริงๆนะ”  เจ้าตัวยันกายช่วงบนพิงอกผมจนหัวเขาชนคางผมเต็มๆ

“โอ้ย ทำอะไรเนี่ย เจ็บนะ”  ผมบ่น

“ขอโทษ ครับ ผมไม่ได้ตั้งใจ”

“อืม  ว่าแต่ จะถามอะไรล่ะ ตอบได้จะตอบ ตอบไม่ได้ ห้ามเซ้าซี้นะ”  ทันทีที่ผมพูดจบ เจ้าตัวเล็กของผม เงยหน้าขึ้นมองผมพร้อมกับคำถามของเขา

“ผมหน้าเหมือนพี่แทนไหม” 

“................”    ผมอึ้งไปเล็กน้อย

“ว่าไงครับ ผมเหมือนพี่แทนไหม”   

“อืม “  ผมทำท่าครุ่นคิด แกล้งปล่อยให้เขาแหงนคอนานๆ   มองใบหน้าเขาเต็มๆ

“ก็มีส่วนคล้ายนะ ทั้งรูปหน้า นิสัย และจมูก”    ทัชผิวเข้มกว่าไอ้แทน ใบหน้าคมเข้ม ส่วนไอ้แทน ผิวขาวเหลือง ไม่ขาวเท่ากับผมแต่ก็ขาวกว่าเจ้าตัวเล็ก

“แล้ว พี่แทน...เอ่อ..เคยทำอะไรกับพี่แบบที่พี่ทำกับผมไหมครับ”   ห้ะ...ไอ้เจ้านี่ มันถามอะไรของมันแบบนี้ ....  ผมเงียบ ไปพักหนึ่ง ใช้เวลากับคำตอบเล็กน้อย

“เอ่อ  ผมหมายถึง กอดกัน หอมแก้มกัน หรือจูบกัน อะไรแบบนี้ครับ”  เจ้าตัวผุดลุกขึ้นนั่งเต็มตัว กลัวว่าคำถามจะทำให้ผมโกรธล่ะมั๊ง

“บ้าเหรอ พี่ไม่เคยทำอะไรแบบนั้นกับไอ้แทนนะ อย่างที่ทัชเห็นนั่นแหละ มีกอดกันบ้าง หอมแก้มเหรอ...ไม่มีนะ เอ๊ะ หรือมีหว่า จำไม่ได้”   ความจริงผมก็จำไม่ได้จริงๆ อยู่ๆก็นึกถึงเรื่องแบบนี้กับไอ้แทนไม่ได้  ผมกับไอ้แทนเคยหอมแก้มกันไหม..  เอ.. มีหรือเปล่าหว่า

 ไม่น่าจะมี...หรือเคยมีแต่จำไม่ได้... โอ๊ยยย นึกไม่ออก

“ตกลงยังไงครับ มีหรือไม่มี “

“มาถามแบบนี้ได้ไง ไอ้แทนเป็นพี่ชายเรานะ “  ผมย้อน

“ผมแค่อยากรู้” 

“รู้ไปทำไม”   ผมมองหน้าและถามย้ำ เพราะอยากรู้จริงๆว่าเขาคิดอะไรอยู่

“ถ้าพี่แทนยังอยู่ ผมก็คงจะยินดีกับพี่แทนนะครับ ที่มีคนรักและห่วงใยอย่างพี่อยู่ข้างๆ”   ทัชพูดโดยไม่มองหน้าผม

“พี่ก็รักไอ้แทนมันนะ รักมาก เป็นเพื่อนที่พี่สนิทที่สุด แต่ช่วงเวลามันสั้นนะ ความผูกพัน เมื่อเทียบกันแล้ว พี่ถือว่าไม่ต่างกันนะ แม้พี่จะมีเวลากับทัชมากกว่า แต่เวลาของเราสองคนมันสั้นเกินไป แต่ถึงจะอย่างนั้น ความผูกพัน พี่ถือว่าเท่ากันนะ มันเป็นอะไรที่ไม่สามารถเอามาวัดค่าหรือเปรียบเทียบกันได้หรอก พี่รักเธอทั้งสองคนเท่าๆกัน  เพียงแต่ว่า ทัชยังอยู่ และอายุน้อยกว่า พี่จึงให้ความสำคัญมากกว่า ห่วงใยมากกว่า”   ผมอธิบายยาวเหยียด หวังว่าเจ้าตัวเล็กของผมจะเข้าใจ 

“แต่ผมกับพี่ เอ่อ..เราเป็นของกันและกันแล้วนะครับ พี่ต้องรักผมให้มากนะ เพราะผมรักพี่มากๆ”    ว่าแล้วก็เอนหลังเอาหัวพิงกับอกผมแล้วเอามือเขามาดึงแขนผมไปโอบทับแขนเขาไว้

“ทัช... ไม่ว่าทัชจะเป็นอย่างไร พี่ก็รักเรานะ รักมากนะครับ ข้อนี้ขอให้จำไว้ให้ดี ตลอดเวลาที่ผ่านมา พี่ไม่อยากจะแก้ตัวหรือโทษอะไรทั้งนั้น รู้แค่ว่า พี่ไม่เคยลืมเราเลย  ทัชเป็นคนเดียวที่อยู่ในใจพี่ตลอดมา และจะอยู่ในใจพี่ตลอดไปนะ พี่สัญญา”   

“ขอบคุณมากนะครับ “  ทัชพูดด้วยเสียงสะอื้น จนผมเองก็จุกอยู่ที่อก

“อย่าร้องไห้นะ คนดี พี่จะไม่หนีไปไหนอีก ต่อไปนี้ เราจะต่อสู้ด้วยกันนะ”  ผมก้มลง คางแนบตรงซอกคอเขา หอมแก้มเขาเบาๆ ขยับตัวเขาให้ขึ้นพิงอกผมเต็มๆ และกอดเขาไว้แน่นๆ

   ตะวันกำลังจะลับขอบฟ้าและทะเลแล้ว แสงสีส้มแดงทาทาบท้องฟ้าดูสวยงามยิ่งนัก  ลมทะเลพัดมาเป็นระยะๆ  คนสองคนโอบกอดกันอยู่ตรงระเบียง ยืมมองตะวันที่กำลังจะตกทะเล เป็นภาพที่อบอุ่นยิ่งนัก

.........

   ร้านเล็กๆริมทะเล ที่แออัดไปด้วยชาวต่างชาติ เรียงรายตามแนวยาวของชายหาด  ผมเลือกร้านที่คนไม่มาก สั่งเครื่องดื่มให้เขาได้ลองรสชาติ นอกจากเหล้าขาว เหล้าข้าวโพด และ แม่โขง หรือ แสงทองที่เขาเคยดื่ม

“เป็นไงบ้างล่ะ ได้มาเที่ยวทะเลสมใจแล้ว”  ผมเสียงดังพอสมควรเพราะต้องแข่งกับเสียงเพลงที่ร้านเปิด และเสียงจากบรรดาแขกโต๊ะรอบข้าง

“สนุกดีครับพี่ อันนี้อร่อยดีนะพี่ มันเรียกว่าอะไรครับ”

“บลู ฮาวาย    มั๊งนะ  เอาอีกไหม” 

“หมดแก้วก่อนครับ” 

   นั่งชิลๆท่ามกลางวิวทะเลยามกลางคืน (ซึ่งมีแต่แสงไฟริมชายหาด และแสงไฟจากเรือหาปลาวับๆแวมๆเท่านั้น หาได้มองเห็นความสวยงามไม่)   ดึ่มดำกับบรรยากาศสถานที่ท่องเที่ยวยามกลางคืนริมทะเล จน เมื่อผมรู้สึกว่าได้ที่แล้ว จึงพาเดินกลับ ผมนะไม่เมาหรอกแค่มึนๆ เจ้าตัวเล็กเองไม่เมาเลยสักนิด คอทองแดงมากๆ   กลับกลายเป็นว่า  คนตัวเล็กต้องมาคอยพยุงคนตัวโตกว่าซะงั้น 

  ถึงห้องพัก แปรงฟันเสร็จแล้วผมก็เดินรี่ไปที่เตียงทันที เวลาผมเมาหรือมึนๆ ผมจะนอน นอน และนอนเท่านั้น 

 “พี่นนท์ อย่านะ อาบน้ำก่อนครับ”  เจ้าทัชถลามาคว้าตัวผมไว้ บังคับถอดเสื้อผ้าไปอาบน้ำด้วยกันให้ได้

“เฮ้ย ยังจะให้อาบน้ำอีกเหรอ เมื่อกี้ก่อนออกไปก็อาบน้ำแล้วนะ”  ผมจิ๊จ๊ะปาก ทำโมโหใส่

“ไม่ได้ กลิ่นเหม็นผมไม่ให้นอนด้วย”

“นอนโซฟาก็ได้วะ”  ผมถลาไปทางโซฟา เจ้าตัวเล็กก็บังคับดึงมาทางห้องน้ำ

“ไม่ได้ครับ อย่าดื้อนะครับ มาเลย”   เจ้าตัวเล็กมันลากผมไปจนได้

“พอเห็นว่าพี่ไม่มีแรงนี่ บังคับกันจังเลยนะ ไอ้ตัวเล็ก”  ผมแกล้งมันไปอย่างนั้นแหละครับ

แกล้งเมา จริงๆไม่เมาแค่มึนๆ แต่ทำเป็นเดินโซเซ อยากรู้ว่าเขาจะปฏิบัติกับผมอย่างไรเท่านั้นเอง  ผมเดินไปนอนลงอ่างอาบน้ำเปิดฝักบัวใส่รอให้มันเต็ม เจ้าตัวเล็กก็เดินตามลงมาอีก

“เฮ๊ย ทัช จะทำอะไร พี่จะนอนแช่น้ำอุ่น อยากอาบไปอาบตรงฝักบัวนู้น”  ผมแกล้งแหย่เล่น

เจ้าตัวไม่พูดพล่ามทำเพลง เดินลงมาแล้วนอนพิงหลังกับอกผม เหมือนตอนนั่งชมวิวพระอาทิตย์ตกทะเลเมื่อตอนเย็น

“อ่างนี่น่านอนดีนะพี่ ผมไม่เคยอาบน้ำกับพี่แบบนี้มาก่อนเลย ”   

“หึ  ทัช.. นี่เราไม่ได้อยู่มัธยมกันแล้วนะ เราโตกันแล้ว”

“พี่หยุดพูดสักแป๊ปนึงได้ไหมครับ ผมขออยู่แบบนี้สักพัก”

“............”

  ผมจึงหยุดพูด มีเพียงเสียงน้ำจากฝักบัวในอ่างที่ค่อยๆเพิ่มปริมาณมากขึ้นตามลำดับ  ผมโอบกอดเขาไว้ เขาเองก็กุมแขมผมไว้  เราสองคนอยู่ในท่านั้นนานเท่าไหร่ไม่รู้

ผมมีความสุขมากเหลือเกิน ผมจะเก็บภาพทุกอย่างไว้ในความทรงจำตราบนานเท่านาน เพราะหลังจากนี้ใครจะไปคาดคิดว่าจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นบ้าง  จนกระทั่งน้ำล้นอ่างจึงรู้สึกตัว  ผมรู้สึกสบายตัวขึ้นมากเมื่อได้แช่น้ำอุ่น  จากนั้นต่างช่วยกันอาบน้ำ ภาพสมัยมัธยม หวนกลับมาอีกครั้ง
 
     ทัชเลือกนอนติดผนังริมหน้าต่าง ผมยังไงก็ได้ ให้เขาได้นอนสบายๆเต็มที่

“พรุ่งนี้เราจะกลับกันแต่เช้านะทัช รีบนอนได้แล้วนะ”   ผมเอ่ยเตือน

“พี่นอนก่อนเลยครับ เพราะพี่ต้องขับรถนะ พักผ่อนให้เต็มที่นะครับ”  ว่าพลางก็จัดแจงดึงแขนผมไปหนุน ทำเหมือนสมัยมัธยมทุกอย่าง ดึงแขนเราไปกอดตัวเขาบ้าง หนุนบ้าง ทำเองเสร็จสรรพ

“เป็นเด็กไปได้น่ะ  ทัช “

“ผมคิดถึงสมัยมัธยมจังเลยพี่ เราผ่านอะไรกันมาเยอะเลยเนอะ พี่ว่าไหม”

“อืม ไม่อยากเชื่อว่าเราจะผ่านมันมาได้  เรานี่ก็ถือว่าเก่งนะ”

“พี่เองก็เช่นกัน จบมามีงานทำ ได้ขนาดนี้ผมก็ยินดีด้วยนะพี่ เฮ้อ ผมเองเรียนไม่เก่ง อยากไปให้ไกลได้เท่าพี่ สักครึ่งหนึ่งก็ยังดี”

“อย่าพูดอย่างนั้นเลย ทัช มันเป็นเพียงแค่โอกาส โอกาสคนเราไม่เท่ากัน แต่เราจะทำมันให้ดีที่สุด เราอาจเคยเดินนอกเส้นทาง จนป่านนี้เราเองก็อาจจะทำผิดอยู่นะ แต่ไม่ว่าอย่างไร พี่จะพยายามทำให้เต็มที่”

“เราไม่ได้ทำผิดนะพี่ ผมรักพี่ และพี่ก็รักผม เราสองคนรักกัน ผมรู้แค่นั้นก็มากพอสำหรับผมแล้ว เวลาผมทุกข์ใจผมจะนึกถึงพี่เสมอ ช่วงที่พี่หายไป ผมเหงาแทบตาย”   ผมเห็นท่าโหมดฌสร้าจะมาจึงชวนคุยเรื่องอื่น

“เอ้อ ที่ทำงานเป็นไงบ้าง ลำบากมากไหม”

“ก็พอทำได้นะพี่ อยู่กับคนแถวบ้านเดียวกันแหละครับ อาโหลด้วย”

“ทำที่เดียวกันเลยใช่ไหม”

“ครับ อยู่ด้วยกันหมดเลย ”

“แล้วนี่  มานี่พวกเขารู้หรือเปล่า”

“รู้ครับ ผมบอกญาติๆไว้แล้วว่าจะมาหาพี่”

“อืม ก็ดีนะ เขาจะได้หมดห่วง”

“เอ้อ ก๋อไหน ก็ฝากความคิดถึงมาด้วยนะ ลืมบอกเลย”

“คนไหนอ่ะพี่จำไม่ได้”

“ตอนงานศพพี่แทน คนที่สอนพี่ตอกเจี้ยมเจ้(กระดาษสำหรับพิธีส่งวิญญาณผู้เสียชีวิต)นั่นไง”

“อ๋อ คนนั้นเหรอ อืม จำไม่ได้เลยแฮะ นานแล้วเนาะ”    ผมนึกภาพเหล่านั้นได้ แต่ชื่อคนผมจำไม่ค่อยได้ เวลามีงานอะไรสักอย่างบรรดาญาติมาจากทั่วทุกทิศ เยอะมาก จำได้ไม่หมด ผมเลือกจำเฉพาะคนที่สำคัญกับผมเท่านั้น

“เฮ้อ  พรุ่งนี้ผมก็ต้องจากพี่ไปอีกแล้วสิเนี่ย คงคิดถึงพี่แย่เลยอ่ะครับ”

“เฮ้ย ไม่เอาดิ ทัช อย่าพูดแบบนี้ “  ผมตบหัวเขาเบาๆ

“นั่นแหละ พี่ต้องคิดถึงผมให้มากๆนะครับ จำได้ไหม พี่เคยสัญญาว่าจะไม่มีน้องชายคนไหนอีก”   ทัชหันหน้ามาทางผม จ้องหน้าผมแล้วถามจริงจัง

“คร้าบผม (ลากเสียงยาว) ไม่ลืมครับ พี่มีน้องชายคนเดียว และรักมากด้วย อยู่ในอ้อมแขนพี่นี่ไง และพี่จะไม่ยอมปล่อยเขาไปไหนอีกเด็ดขาด”

“บ้าแล้วพี่ พรุ่งนี้ผมต้องกลับแล้ว”   โอ๊ย...เข้าใจในสิ่งที่พูดหรือเปล่าเนี่ย

“เฮ้อ เด็กหนอเด็ก”

“ผมไม่เด็กแล้วนะ พี่ก็เห็นแล้วนิ”   จู่ๆก็โพล่งคำพูดนี้มา ทำเอาผมสะดุดกึกในความคิดไปเลยทันที  ไอ้เจ้าบ้าเอ๊ย

“เออๆ ไม่เด็กก็ไม่เด็ก”    อืม จริงๆแล้วเขาก็พูดถูกของเขา เขาไม่เด็กแล้วจริงๆ ไม่ใช่ตัวเล็กของผมสมัยมัธยมอีกต่อไป  ตอนนั้นยังไม่รู้อะไร ยังรักเขามากขนาดนั้น ตอนนี้ผมคงรักเขามากขึ้นอีกเป็นสิบเท่า

“ผมรักพี่นนท์ครับ รักมากจริงๆ ผมมีความสุขที่ได้อยู่กับพี่ รู้สึกอบอุ่นใจมาก”  ว่าพลางก็หอมแก้มผมแถมด้วยจุมพิศหน้าผาก ผมล่ะทึ่งในสิ่งที่เขาทำ  ผมได้แต่ยิ้มปนขำ

“พี่ก็รักทัชครับ  รักมากที่สุดเลย”  พร้อมกับทำตามแบบที่เขาทำเมื่อสักครู่  แต่เขากลับหันตะแคงมาหาผม และจูบปากผมทันที ผมอึ้งเล็กน้อย แต่ก็ยินดีจูบตอบเขา และลูบหัวเขาไปด้วยอย่างอ่อนโยน

“พี่ทำเบาๆนะครับ”  ทัชถอนริมฝีปากพร้อมกับกระซิบข้างหู และจูบผมต่อ ผมทำตัวไม่ถูกเลย ที่ถูกจู่โจมหนักแบบนี้

“ทัช เมารึเปล่า รู้ไหมกำลังทำอะไรอยู่ “

“รู้ครับ ผมรักพี่ พี่ก็รักผม ทำเหมือนวันนั้นนะครับผมมีความสุขมาก แต่ขอเบาๆนะครับ”

“...........” 

 ผมอึ้งไปเลยกับคำพูดของตัวเล็ก  จิตสำนึกบางอย่างบอกว่า หยุดนะ อย่าทำ อีกใจก็คล้อยตาม ในเมื่อคนรักกันก็ย่อมไม่ผิดที่จะแสดงความรักต่อกันตามความรู้สึกที่มีให้กัน สุดท้ายผมก็ปล่อยตามความรู้สึกของตัวเอง  แม้จะเป็นการทรยศใจตัวเอง และทรยศต่อความรู้สึกที่มีให้เขา เหมือนอย่างที่เคยพูดไว้ แต่ ในเมื่อทุกอย่างเกิดจากความรักทั้งสิ้น จึงปล่อยให้เป็นไปตามความรู้สึกที่มีต่อกัน  ในเมื่อเราต่างเป็นของกันและกันแล้ว ผมต่างหากที่ต้องรักษาความรู้สึกนี้ไว้ 

  เนิ่นนานผ่านไป ผมจ้องมองใบหน้าของคนข้างล่าง เขามองตอบผม ยิ้มให้กัน  ผมประคองแก้มทั้งสองข้างและจูบเขาเบาๆ  ทัชเองโอบกอดผมไว้

“ผมรักพี่นนท์ ผมรักพี่นนท์ที่สุดเลย”

“ครับ  พี่รู้แล้ว จำไว้ ไม่ว่าจะทุกข์จะสุข ให้นึกถึงพี่นะครับ จำไว้ว่า ยังมีพี่คนนี้ ที่จะเป็นทั้งพี่ชายและเป็นคนที่รักทัชตลอดไป”

    เป็นอีกคืนที่ผมมีความสุขมากกว่าครั้งไหนๆ ที่ได้มีโอกาสมาเที่ยวพักผ่อนริมทะเลกับคนที่เรารักและห่วงใยที่สุด  ผมจะไม่มีวันทำร้ายคนคนนี้เด็ดขาด ผมจะรักและทะนุถนอมคนคนนี้ตลอดไป

                              .......เพราะว่า ผมรักเขามากเหลือเกิน..........



.

.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-07-2017 16:12:33 โดย thewa.arak »

ออฟไลน์ thewa.arak

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 66
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ทัช..สัมผัสใจ ตอนที่20
«ตอบ #34 เมื่อ14-07-2017 21:33:14 »

ตอนที่ 20



เพราะรักจึงต้องจากลา ....Part นนท์/เอก......


    ช่วงกลางปี เดือนกันยายน เอกกลับมาทำเอกสารอะไรสักอย่างเกี่ยวกับงานที่ทำอยู่ ซึ่งต้องกลับมาสองสัปดาห์ จึงได้มีโอกาสได้ไปเที่ยวห้างและดูหนังด้วยกันอยู่บ้าง ผมเองหากช่วงไหนว่างๆก็ขึ้นไปช่วยดูแลห้องให้เพื่อนผมเสมอ   บางสิ่งบางอย่างที่วางตรงหัวเตียง ..ผมหยิบรูปสมัยมหาลัยผมกับเขา ที่ห้องสมุดขึ้นมาดู แล้วนึกย้อนกลับไป ในช่วงเวลาที่ผ่านมา  เป็นอีกเรื่องที่ผมก็หนักใจอยู่พอสมควร ผมรู้ว่าไอ้เอกมันชอบผม ผมก็บอกไม่ถูกว่าเคยมีช่วงที่ชอบไอ้เอกหรือไม่ แต่ยังมีความรู้สึกดีๆให้เอกเสมอ ไอ้เอกเองก็รู้ว่าผมรักและห่วงใยทัชมากขนาดไหน แต่มันก็ไม่เคยพูดไม่เคยเอ่ยถึง เพราะมันยังคงเข้าใจว่าผมรักและห่วงใยทัชแบบน้องชายคนหนึ่ง ซึ่งเป็นความรักที่มากกว่าพี่น้องธรรมดาทั่วไป แต่ไม่รู้ลึกซึ้งอะไรมากขนาดนั้น   ผมวางกรอบรูปไว้ตรงที่เดิมเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามา

“มึงทำอะไรอยู่วะ “

“เปล่า มาดูความเรียบร้อยให้ด้วยความเคยชิน” 

“มาช่วยกันทำกับข้าวดีกว่า วันนี้กูจะทำมักกะโรนีให้ เอาไหม”

“เฮ๊ย ไม่เอานะ กูไม่ชอบ”

“เอ้า มึงชอบกินอาหารประเภทเส้นไม่ใช่รึไง  นี่ก็เส้น ลองหน่อย สูตรนี้กูไปเอามาจากเมืองนอกเลยนะ”   เจ้าตัวอธิบายสาธยายอย่างภาคภูมิ

“ เอก ไม่ต้องหรอก กูไม่กินมักกะโรนี  ยกเว้นไว้อย่างหนึ่งเถอะนะ เอางี้ มึงเคยกินของนอกมาแล้ว เดี๋ยวกูทำของไทยๆให้กินเอง”

“อะไรวะ”

“เออ เดี๋ยวมึงรอชิม”

ผมว่าพลางก็จัดแจงเข้าครัวเสียเอง มองหาส่วนประกอบ ได้แล้วก็จัดการทันที สุดท้ายออกมาดูน่ากิน (เหรอ)

“ผัดไทเนี่ยนะ”   ไอ้เอกร้องเสียงหลง

“ทำไมวะ อันนี้แหละที่กูชอบ กูอุตส่าห์ทำมา ดังนั้นมึงต้องกินให้หมด”  ผมพูดแกมบังคับ

“ไม่ต้องห่วง ถ้าเป็นมึงทำ อะไรกูก็กินได้หมดแหละ”  ไอ้เอกมันพูดพร้อมกับทำหน้ากะลิ้มกะเหลี่ย ผมล่ะเพลียใจกับมัน

“ไอ้เอก มึงไม่ต้องมาหวานแหววกับกูได้ป่ะ จะอ้วก” 

“โห่ว มึงหัดทำโรแมนติกกับกูบ้างไม่ไหรือไงวะ”   พูดพลางดึงจานที่ผมตักผัดไทให้ไปนั่นตรงโซฟาหน้าจอทีวี  ผมก็ตามมันไปแทบจะทันทีเช่นกัน

“ เออ ว่าแต่งานมึงเป็นไงมั่ง โอเคป่าว”   ผมลืมไปเลยว่าตัวเองก็อยากรู้การไปเรียนไปอบรมงานทางฝั่งยุโรปมันจะเหมือนโซนเอเชียหรือไม่

“สบายๆว่ะ ที่โน่นทำงานกันแบบสบายๆ ไม่เรื่องมากเหมือนบ้านเรา แต่ถ้ามึงโดนงานแล้วมึงต้องทำให้ได้นะ คือแบบมึงต้องมีผลงานให้ดูอ่ะ มันเหนื่อยตรงนี้ เพราะเราก็ไม่รู้จักใคร ต้องเกาะกลุ่มเฉพาะพวกที่ไปด้วยกัน”

“แล้วอาหารการกินล่ะ แต่อย่างมึงกูว่าคงไม่มีปัญหาหรอกเนอะ”

“โคตรน่าเบื่อ ขนมปังจืดชืด กูเบื่อจนหันมากินจังค์ฟู้ดจนอ้วนละเนี่ย”  พูดไปก็ลูบท้องตัวเองไป

“ไอ้เอก อย่างมึงเรียกอ้วน แล้วกูจะเรียกอะไรวะ”    ความจริงผมก็ไม่ได้อ้วนนะ ยังหุ่นดีกำลังน่ารัก แต่เริ่มมีพุงนิดๆ นิดๆจริงๆ นั่งปุ้ปเห็นพุงเลย ฮ่าๆ แต่พอยืนขึ้นก็ไม่มีนะ  เอ๊ะ อย่างนี้เรียกอ้วนไหม...

“อิ่มยังเอามา เดี๋ยวกูแช่ทิ้งไว้แล้วล้างเอง”  ไอ้เอกพูดจบก็ดึงจานไปจากผมทันที ยังเหลืออีกนิดหน่อยบนจาน

“ไอ้เหี้ยเอก.. กูยังกินไม่หมดเลย”

“พอละ กูไม่อยากให้มึงอ้วน”

   อ้าว..พูดงี้... ผมคิด แต่ไม่ทันละ มันออกไปเป็นเสียงพูดเรียบร้อย

“กูอ้วนไม่อ้วนเกี่ยวไรกะมึง”

 “ถึงมึงจะอ้วนกว่านี้ กูก็เลี้ยงไหวนะ “  นั่นไง ไอ้เอกมันยังคงไม่เลิกคิดกับผมแบบนั้น

“มึงพอเลยนะ หยุดพูดเรื่องพวกนี้ซะที กูเบื่อฟัง”   ผมพูดไล่ตามหลังมันไป มันก็เอาจานเทลงบนซิ้งค์เสียงจานช้อนกระทบกันเหมือนมันประชด   รูปแบบห้องในคอนโดนี้มันเหมือนๆกัน ห้องมันก็คล้ายๆห้องผม จึงพอจะรู้ว่าส่วนไหนเป็นอะไร 

“นนท์ กูน่ะ รักมึงจริงๆนะ กูสาบานได้เลยว่า ที่ผ่านมากูไม่เคยมองใครไม่เคยคบใครเลย มึงอาจจะไม่เชื่อ แต่กูเป็นแบบนั้นจริงๆ”    ไอ้เอกมันนั่งลงบนโซฟาใกล้ๆผม เอื้อมมือมาจับมือผมทั้งสองข้างเขย่าเล็กน้อยในขณะที่พูดออกมา

“ไอ้เอก มึงก็รู้ว่า กูมีทัชอยู่  และกูก็รู้ว่ามึงรู้ว่ากูรักน้องเขาแค่ไหน....”  ผมเว้นจังหวะเล็กน้อยแต่ยังไม่ทันพูดต่อ ไอ้เอกก็แย่งซีนไปก่อน

“กูเข้าใจ ถึงแม้ตอนแรกกูจะนึกว่ามึงคงเหมือนกูที่ยังไม่รู้ตัวเอง แต่บางครั้งที่กูเห็นมึงคุยกับพวกไอ้ต๋อยแล้วกูก็ตะหงิดๆ จนกระทั่งมารู้ว่ามึงมีใครอีกคน ก็คือไอ้เด็กนั่น .....เอ่อ ขอโทษ กูหมายถึงน้องคนนั้น  กูถึงมั่นใจว่ามึงคงเหมือนๆกู”    ไอ้เอกอธิบาย

“เอาตรงๆนะเอก ถ้ากูเจอมึงก่อน กูก็คงตกลงกับมึงแหละนะ แต่กูอยากให้มึงเข้าใจกูบ้าง กูไม่ได้รังเกียจมึงนะเว้ย กูก็ชอบมึงอยู่นะ”   

“  เอาเถอะ เมื่อไหร่กูก็รอได้”   มันพูดขณะนั่งลงบนโซฟาใกล้ๆผม จับมือผมทั้งสองข้างขึ้น ผมงงกับการกระทำของมัน แต่ก็ไม่พูดอะไร จนมันเอ่ยปาก

“เออ ก่อนกลับไปลุยงาน คืนนี้ กูจะพามึงไปเที่ยว”  ไอ้เอกบอก

“เห้ย มึงก็รู้ว่ากูไม่ชอบเที่ยวกลางคืน จะพากูไปไหน”  ผมตอบพร้อมกับชักมือตัวเองกลับ

“เอาน่า กูอยากให้มึงไปเปิดหูเปิดตาบ้าง” 

“เปิดหูเปิดตาอะไร กูไม่ไป มึงอย่ามาชวนเสียให้ยาก “ ผมตอบหนักแน่น

“ไอ้นนท์ .. กูอยากให้มึงรู้ว่ากูก็เหงาเป็น กูอยากไปไหนต่อไหนกับมึงบ้าง กูอยู่ที่โน่น กูคิดถึงมึงมากเลยนะ”

“เออๆ  กูไปก็ได้ แต่ไม่ไปพวกผับพวกเทคนะ กูไม่ชอบจริงๆ”   ผมพูดตัดบทเพราะไม่อยากให้มันมาดราม่าใส่ผม เลยตัดบทสนทนากลางคัน ไม่อยากได้ยินสิ่งที่จะออกมาจากปากมัน

“งั้นไปหาอะไรนั่งดื่มกันชิลๆ “

“เออ เดี๋ยวกูลงไปอาบน้ำรอ มึงเสร็จแล้วค่อยลงไปเรียกกูละกัน” ผมรีบเดินลงมาเลยไม่รอฟังประโยคคำพูดขแองมันที่ไล่ตามหลังมาแต่ฟังไม่ได้ศัพท์


  ผมเองก็ไม่อยากทำร้ายจิตใจไอ้เอกมัน  มันดีกับผมทุกอย่าง ตั้งแต่มันสารภาพว่าแอบชอบผมอยู่ด้วยแล้ว ผมก็จำได้ว่าเคยพยายามที่จะทำให้มันเกลียดเหมือนตอนที่ทำกับไอ้ต๋อย แต่สุดท้ายก็คิดได้ว่ามันไม่มีประโยชน์  ผมรักมันเหมือนเพื่อนรักคนหนึ่ง เคยสนิทกันอยู่ช่วงหนึ่งจริง  นี่มันเหมือนกับความผูกพันระหว่างผมกับไอ้แทนหรือเปล่าน้อ   นี่ถ้าหากมันยังอยู่แล้วผมก็รักไอ้ตัวเล็กไปแล้ว แล้วผมกับมันจะอยู่ในฐานะอะไร  อืม กับไอ้เอกนี่คงเทียบกันไม่ได้  ผมเคยชื่นชมมันอยู่ในใจ ออกแนวอิจฉาด้วยซ้ำไป ที่มันเกิดมาหน้าตาดีกว่าผม แถมเรียนคณะวิศวะ ที่สาวๆคณะผมชอบกันนักกันหนา 

   ผมเปิดตู้เสื้อผ้า ใช้นิ้วไล่นับไปตามไม้แขวนเสื้อจนถึงเสื้อนักศึกษาที่ยังคงเก็บเอาไว้โดยมีเนคไทสีเทาที่ผูกเรียบร้อยห้อยทับไว้  ผมล้วงไปที่กระเป๋าเสื้อ สร้อยพร้อมจี้เกียร์ ที่รับมาจากไอ้เอก ยังคงอยู่ในนั้น  อดไม่ได้ที่จะรำพึงรำพันออกมา ..... ไอ้เอกเอ้ย กูขอโทษนะ ที่มึงเห็นกูเป็นคนที่มีค่าสำหรับมึง ถึงกับฝากของที่เด็กวิศวะหวงนักหนาไว้ที่กู  แต่มึงจะให้กูทำอย่างไร กูมีคนที่กูรักแล้ว และกูก็รักเขามากด้วย แต่ทำไมนะ กูก็ไม่อาจปฏิเสธความรู้สึกของมึงได้จริงๆจังๆ  นี่กูเห็นแก่ตัวไปไหม กูรู้ แต่กูก็ไม่อยากเสียคนดีๆอย่างมึงไป

  ผมสลัดความคิดออกไป และอาบน้ำทำธุระส่วนตัวจนเสร็จนั่งรออยู่สักพัก จนไอ้เอกลงมา  สรุปว่าเอารถไอ้เอกไป เพราะผมกลัวเมาแล้วขับไม่ไหว



 ................



     สถานที่นั่งดื่มชิลๆ ลานเบียร์ ติดกับโรงพยาบาลนนทเวช ใกล้ๆห้างดังย่านงามวงศ์วาน   ผมเองไม่ถนัดดื่มเบียร์จึงขอเป็นโค๊กผสมเหล้าแทน  (ยอมรับว่า ผมไม่เก่งในการดื่มของมึนเมา เพราะรู้ตัวเองดีว่า เมาแล้วจะหาเรื่องนอนลูกเดียว เอาเถอะ ได้มีโอกาสออกมานั่งชิล กับเพื่อนหน้าตาดีๆแบบนี้ก็ดีไปอย่าง สังเกตเห็นพวกสาวๆ และไม่สาวจ้องมองมาทางโต๊ะผมอยู่บ่อยๆ ผมก็ยกมือทักทายบ้าง ยิ้มบ้าง โดยที่ไม่รู้ว่า ทั้งสาวๆและไม่สาวพวกนั้นกำลังสนใจใครกันแน่ ระหว่างนี้ มีบริกรหน้าตาดีมาเสริฟ ผมก็ถามไปเรื่อยเปื่อย จนเริ่มรู้สึกได้ว่าไอ้เอกมันออกอาการ จึงแกล้งมันต่อ ผมยกแก้วเหล้ายื่นให้บริกร

“อ่ะ น้อง ดื่มเป็นเพื่อนพี่สักแก้วดิ เห็นเดินเสริฟไปมาคงเหนื่อย อ่ะ พี่เลี้ยงแก้วหนึ่ง”

ผมยื่นแก้วให้  บริกรก็ทำหน้าเกรงใจ แต่ก็รับไป ผมยื่นแก้วไปชนแก้วกับบริกร

“เอ้าชน  หมดแก้วเลยนะ”  ผมบอก

“ขอบคุณครับพี่”  ไอ้หนุ่มนั่นตอบพร้อมกับซดเหล้าทีเดียวหมดแก้ว แม่งเด็กเสริฟทุกคนดื่มเก่งกันหมดทุกคนไหมวะเนี่ย

“เอ้อ น้องชื่ออะไร”   ผมเกาะคอถามเด็กหนุ่มบริกร 

“หนึ่งครับ” 

“อ้อ  หนึ่งเป็นคนกรุงเทพเหรอ”  ผมถามต่อ

“เปล่าครับ บุรีรัมย์ครับ”

“โห มาทำงานไกลจัง”

“ไอ้นนท์ มึงนั่งลง ปล่อยน้องมันไปทำงาน”  ไอ้เอกมันดึงแขนผมให้นั่งลง

“ขอบคุณมากครับพี่ ผมขอตัวก่อนนะครับ”  ไอ้หนึ่งเด็กบริกร พูดพร้อมกับขอตัวออกไป

“มึงคิดจะทำเหี้ยไร ไอ้นนท์”

“ทำอะไร กูทำอะไร  เปล๊า”  ผมตอบแบบกวนๆ

“ก็กูเห็นว่ามึง...ทำท่าจะจีบเด็ก”  ไอ้เอกมันเว้นจังหวะเล็กน้อยก่อนพูดจบประโยค

“ฮ่าๆๆ มึงหึงกูเหรอวะ ไอ้เอก”  ผมพูดพร้อมกับขยับไปนั่งตักมัน ทำท่าทางล้อเลียน

“โอ๋ๆๆ ช่วยไม่ได้ก็คนมันหล่อนี่หว่า มึงดูเด่ะ สาวๆพวกนั้นหันมามองกันใหญ่ มึงว่าพวกนั้นสนใจมึงหรือกู”  ผมถาม

“ไอ้นนท์ กูว่า มึงคงจะเริ่มเมาแล้วล่ะ “   ไอ้เอกมันพูดพร้อมกับดันตัวผมลุกขึ้นและประคองผมไปนั่งที่เก้าอี้ของตัวเอง

“ไอ้เอก กูไม่เมานะโว้ย กูรู้ตัวเองดี มึงอย่าหวังจะมอมกูได้”  ผมพูดหยอกทีเล่นทีจริงกับมัน

“เออ กูไม่เคยคิดจะมอมมึงอยู่แล้ว มึงเองเถอะ อย่าแดกให้มันมาก”

“มึงอย่าพูดมากเลย มาสนุกกัน มึงเป็นคนชวนกูมาเองนะ มาๆดื่มๆ”  ผมยกแก้วชนกับมันจนเหล้าแทบกระฉอก หกออกมา
  จนผมเริ่มรู้สึกมึนๆเข้าให้แล้วจริงๆ มันคุมสติแทบไม่ได้ คือว่ารู้ตัวแต่มันไม่ค่อยมีเรี่ยวแรง สุดท้ายจึงขอตัวเข้าห้องน้ำ แล้วก็ไม่รับรู้อะไรอีกเลย



  .. ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน.. 



“ไอ้นนท์  ไอ้นนท์...”  ผมเริ่มรู้สึกตัวและเจ็บแปล๊บๆตรงใบหน้า

“ไอ้นนท์ ได้ยินกูไหม ตื่นๆ” เสียงไอ้เอกมันเรียกผม  ผมลืมตาตื่นจากการหลับไหล

“อะไรวะ กูจะนอนมาปลุกกูทำเหี้ยไร”  ผมตอบพลางปัดป่ายมือมันออกจากตัว

“ไอ้นนท์ ตื่นๆ” 
“โอ๊ย ไอ้เหี้ยเอกมึงตบกูทำไม”  ผมร้องเสียงหลง ไอ้เอกมันตบหน้าผมเบาๆด้วยฝ่ามือของมัน แต่คงเพราะฤทธิ์เหล้าบวกกับเรี่ยวแรงหายไปไหนหมด มันทำให้รู้สึกเจ็บแปล๊บๆแม้จะแตะเบาๆ

“ไอ้นนท์ ตื่นๆ กลับบ้านกันเถอะ”    ห๊ะ กลับบ้าน?..  ผมลืมตาที่ค่อนข้างจะหนักอึ้ง

“พี่ครับ นี่ผ้าเย็น พี่เขาจะได้รู้สึกตัวครับ”   เสียงเด็กที่ไหนอีกวะเนี่ย  แล้วอะไร กลับบ้าน  นี่เรานอนอยู่ที่บ้านไม่ใช่หรือไง ผมรู้สึกเย็นวาบที่ใบหน้า ไอ้เอกมันเอาผ้าเย็นมาเช็ดหน้าให้

“ไอ้เอก นี่มันอะไรกัน มึงเข้ามาห้องกูได้ไง”  ผมยังคงสะลึมสะลือ

“ไอ้นนท์ ไอ้เจ้างั่งเอ๊ย มึงมานอนทำห่าอะไรในห้องน้ำร้านเขา”  ผมได้ยินดังนั้น ก็ตาสว่าง แม่งเหี้ยละ ผมในท่านอนพิงผนังห้องน้ำ รอบๆมีพนักงานและคนมุงดูสองสามคน   เหี้ยยย  กูมานอนนี่ตั้งแต่เมื่อไหร่

“กูมานอนนี่ได้ไงวะ”  ผมยิงคำถามงงๆ

“เออ นั่นสิ กูน่าจะถามมึงมากกว่า แม่ง เล่นเอาซะกูเป็นห่วงแทบแย่ มึงนะมึง เขาตามหามึงกันให้ควั่ก ดีนะ ที่น้องเค้าบอกว่ามีคนอยู่ในนี้”   ไอ้เอกอธิบาย

“พอดีผมเห็นเท้าโผล่ออกมา ตอนแรกก็ตกใจว่าคงมีเหตุร้ายอะไรเกิดขึ้นน่ะครับ”  เด็กพนักงานเสริฟตอบ

“อ้าว ไอ้หนึ่ง เออ กูจำหน้ามันได้ มาๆ ชนแก้วกันอีก” 

“ไอ้เหี้ยนนท์ เมาหนักละมึง”

“ใครเมา กูคอทองแดง กูยังไหว”

“น้อง ช่วยพี่พยุงหน่อยครับ”   
ไอ้เอกหันไปบอกเด็กเสริฟมาช่วยพยุงผม พนักงานและคนที่มาเที่ยวสองสามคนมองพวกผมกันใหญ่  ..นี่เรื่องจริงหรือนี่  ผมเนี่ยนะ มาแอบหลับอยู่ในห้องน้ำ ร้านเหล้า ...อายชะมัดเลย

“ไอ้นนท์ มึงไหวป่าว ไปล้างหน้าเสียหน่อยไป”   ผมพยักหน้าเดินไปทางอ่างล้างหน้าแต่เซ ไอ้เอกรีบถลาเข้ามาประคองไว้
“เห้ย กูแกล้ง กูไม่เมา”  ผมพยายามฝืนตัวเอง แต่ไม่เป็นผลสุดท้ายจึงยอมให้มันประคองไปล้างหน้า โอยยย  เย็นยะเยือก มันเหมือนคนป่วยไข้แล้วโดนน้ำ  ไอ้เอกพยุงผมออกจากร้าน

“น้องครับ อันนี้พี่ให้ทิปครับ ขอบคุณมากนะ” 

“ไม่เป็นไรครับพี่”

“เอาไปเถอะ พี่ให้”

“ขอบคุณครับ”   ผมได้ยินเสียงบทสนทนาแต่ฟังไม่ค่อยได้ความนัก และไม่รู้เป็นบ้าอะไรขึ้นมา ผมกอดคอมันไว้แล้วทำท่าอ้อน
“พาพี่กลับบ้านเถอะน้อง พี่ไม่ไหวแล้ว”  ได้ผล มันหันมามองผมแล้วยิ้มใหญ่  กระนั้นผมก็ยังไม่วายลองของ

“ไปก่อนนะครับ สุดหล่อ วันหลังมาบริการพี่อีกนะ”  ผมหันไปยักคิ้วใส่ พนักงานเสริฟ และก็ได้ผล ไอ้เอกมันกระชากแขนผมออกจากร้านทันที

“มึงเมาหนักมากแล้วไอ้นนท์ อย่าหาเรื่อง”  มันพูดเสียงดังใส่ผม ผมยิ่งได้ใจ

“ทำไมวะ เหอะๆ กูรู้ มึงหึงกูใช่ม้า..” ลากเสียงยาวพร้อมกับเอามือผลักหัวมันเล่น

“มึงเข้าไปนอนหุบปาก เงียบๆ เดี๋ยวถึงบ้านกูปลุกเอง”  ไอ้เอกมันผลักหัวผมเข้าไปนั่งด้านหลัง
 ผมก็เอนตัวนอนขวางตรงเบาะด้านหลังทันที

ถึงปากซอยคอนโดมันหยุดซื้อโอวัลติลร้อนให้ผมด้วย  อืมมึงนี่เป็นคนดีจริงๆนะ  จนกระทั่งถึงคอนโด มันพาผมขึ้นห้องทันที ซึ่งผมก็ไม่รู้แล้วว่าห้องผมหรือห้องมัน

“มึงพอมีแรงมั๊ย ถอดเสื้อสิ เดี๋ยวกูเช็ดตัวให้”  ไอ้เอกบอก แต่ผมไม่อยากทำอะไรทั้งนั้น อยากนอนลูกเดียวจึงไม่สนใจมัน เดพินเข้าห้องนอนถึงเตียงก็ล้มตัวลงนอนทันที

“ไอ้นนท์ เชี่ย เช็ดตัวก่อน” 

“กูจะนอน “ ผมพูดได้สองสามคำ ก็ไม่รู้สึกตัวอีกเลย 

 รู้สึกตัวอีกทีก็มีอะไรเย็นๆมาถูๆที่ลำตัว ไอ้เอกนั่นเองมันกำลังช่วยผมเช็ดตัว แต่ๆ ทำไมผมเหลือแค่ กางเกงในตัวเดียว ไอ้เชี่ยเอก..

“ไอ้เอก มึงจะทำอะไร”  ผมอ้าปากจะด่ามัน แต่มันกลับประกบปากจูบผมทันที มือมันก็ไม่อยู่นิ่งจับสะเปะสะปะ ผมเอง ทั้งๆที่รู้ตัว แต่ยอมรับว่าไม่มีเรี่ยวแรงพอที่จะขัดขืนอะไรได้ ซ้ำร้ายร่างกายส่วนล่างกลับทรยศ  ตอบสนองต่อการกระทำของมันเฉยเลย จนผมทนไม่ไหว จิตใต้สำนึกรู้ดีว่าทำผิดอย่างมหันต์ แต่ร่างกายกลับไม่เป็นไปตามที่ใจคิด  ไอ้เอกมันจัดการส่วนล่างของผมเองพร้อมกับกลืนกินมันลงไปอย่างที่ผมก็แทบไม่เชื่อตาตัวเอง จนผมอดทนไม่ไหว ร่างกายต่อต้านกับจิตใต้สำนึกอย่างแรง ทุกสิ่งทุกอย่างผ่านไปอย่างรวดเร็วจนผมก็นึกอะไรไม่ออก

 กระทั่งเวลาสายๆของอีกวัน ผมลืมตาตื่นขึ้นมาก็รู้สึกเวียนหัว หลอดไฟมันดูแปลกๆ ที่นอนก็แปลกตา ขยี้ตาสองสามทีก็นึกได้ว่านี่มันไม่ใช่ห้องของตัวเอง แต่เรี่ยวแรงแทบจะไม่มี
“อ้าว ตื่นแล้วเหรอ ไอ้นนท์ เดี๋ยวนะ รอแปป “  ผมหันไปมองตามเจ้าของเสียง ไอ้เอกในสภาพเปลือยท่อนบน ส่วนล่างนุ่งกางเกงบอลสีขาวตัวเดียว  สมองของผมคิดสั่งการได้ฉับไว รีบเลิกผ้าห่มสำรวจร่างกายของตัวเอง เปลือยกายท่อนบนเช่นกัน และใส่กางเกงบอลเช่นเดียวกับไอ้เอก  หัวสมองรีบประมวลผลอย่างรวดเร็ว ว่าเมื่อคืนนี้ เกิดอะไรขึ้นบ้าง  แต่ก็นึกไม่ออก และรู้สึกเวียนหัว

“ไอ้นนท์ มึงกินโอวัลติลร้อนๆก่อน กูรู้ว่าสมองมึงน่าจะยังมึนๆ”  ไอ้เอกยื่นแก้วโอวัลติลมาให้  ผมก็รับไว้อย่างงงๆ

“ร้อนนะ ระวังจะลวกปาก”  มันร้องเตือน

“ไอ้เอก ...”   ผมมองหน้ามัน และมันก็จ้องผมตอบ แถมทำท่าเลิกคิ้วขวาพร้อมกับยกมุมปากขึ้น เล็กน้อย

“ว่าไง” 

“เมื่อคืน ...เอ่อ...มีอะไรเกิดขึ้นบ้าง”   ผมถามตะกุกตะกัก

“อ๋อ ...”   ไอ้เอกมันพยักหน้าสองสามที เงยหน้าทำท่าเหมือนครุ่นคิด ก่อนตอบคำถามผมแบบยาวเหยียด

“เมื่อคืน มึงเมามาก แล้วเข้าไปนอนในห้องน้ำร้านเขา เออ กูก็ลืมถายรูปมึงว่ะ แม่งสภาพทุเรศชิบหาย กูรึก็อุตส่าห์เป็นห่วง นึกว่าโดนใครลากไปซะแล้ว”

“อย่ามา..”   ผมยังพูดไม่ทันจบ ไอ้เอกก็พูดแทรกต่อทันที

“กูยังเล่าไม่จบ แล้วพอร้านเลิกนะ กูก็มองหามึงไปเถอะ  มึงรู้ป่าววินาทีนั้น กูใจหายมากเลยนะที่มองหามึงไม่เจอเลย แทบจะไม่อยากคิดเลยว่ามึงอาจจะโดนลากไปรุมตี หรืออะไรก็แล้วแต่ นี่กูเป็นห่วงมึงมากจริงๆนะ”

“เออ แล้วไงต่อล่ะ”

“ก็ร้านเค้าเลิกปุ๊ป ก็ก็มองหามึง กูเข้าไปห้องน้ำรอบนึงแล้วนะ แต่มองแบบเผินๆไม่เห็นมี นอกร้านก็ไม่มี พอดี ไอ้เด็กเสริฟที่มึงไปอ่อยสเน่ห์มันน่ะ มันบอกว่า เห็นมีคนอยู่ในห้องน้ำเว้ย  กูรีบวิ่งไปดูเลย เห็นขามึงโผล่มาข้างหนึ่งเว้ย มึงรู้ป่าว กูแม่ง ใจหายหมด นึกว่ามึงจะเป็นลมล้มหัวฟาดพื้นตายคาห้องน้ำ”   

       ไอ้เอกมันหยุดหายใจเล็กน้อย ผมได้ทีจึงยื่นเท้าไปเตะหน้าแข้งมันหนึ่งที

“ไอ้ห่า แช่งกู กูไม่ตายง่ายๆหรอก”

“ไอ้เด็กนั่นก็ใจดี หาเก้าอี้มา กูเลยปีนขึ้นไปปลุกมึง โห มึงรู้ป่าวช่วงเวลานั้นกูตกใจแทบแย่ มึงนี่ก็เนาะ แม่ง หลับง่ายชิบหาย ง่วงก็ไม่บอก กูจะได้พากลับ คิดๆแล้วก็ยังนึกขำ มึงนี่แม่ง ได้ใจกูไปเต็มๆเลย”   ไอ้เอกอธิบายยืดยาว ผมได้แต่ยิ้มแหยๆ  ..นี่กู ทำเหี้ยอะไรลงไปวะ แม่งโคตรอายเลย กูเนี่ยนะ ไปหลับคาห้องน้ำร้านเหล้า รู้ถึงไหนอายถึงนั่น  แต่เดี๋ยวนะ  มันใช่เรื่องที่กูอยากรู้มั๊ยเนี่ย..

“ไอ้เอก...”   ผมคว้าแขนมันไว้หนึ่งข้าง มืออีกข้างผมก็วางแก้วโอวัลติลลงโต๊ะหนังสือข้างเตียง

“ที่กูอยากรู้ไม่ใช่เรื่องนั้น  กูมานอนห้องมึงได้ไง ทำไมไม่พากูกลับไปนอนที่ห้องกู”

“เอ่อ ก็มึงเมามากอ่ะ กูเลยพามานอนนี่เลย จะได้เช็ดตัวให้ด้วยมึงจะได้สบายตัว อ้อ แล้วมึงก็อ้วกใส่กูด้วยนะ”  มันบอก

“ไม่จริงอ่ะ กูไม่เคยเมาแล้วอ้วก”

“เออ กูล้อเล่น”

“ตกลงมึงจะบอกกูมั๊ยว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง”   ผมมองหน้ามันคาดคั้นเอาคำตอบให้ได้

“มึง..จำอะไรไม่ได้เลยเหรอ”  ไอ้เอกมันพูดโดยไม่มองหน้าผม

“ไอ้เชี่ย กูถึงได้ถามมึงอยู่นี่ไง”  ผมเริ่มจะหมดความอดทน

“มึง..ถ้ากูพูดออกไป มึงอย่าโกรธกูนะ”  ไอ้เอกหันมามองหน้าผม ทำไหน้าตาละห้อย  ผมชักจะหวั่นๆ  แม่ง..อย่าบอกว่ามึงทำอะไรกูนะ..

“ว่ามา”

“เอ่อ...กูบอกตามตรงนะ กูก็ยังไม่เคยนะ”     เชี่ย.. ไม่เคยอะไรวะ ผมอยากจะลุกไปกระโดดถีบยอด อกมันเสียจริง ชักช้าน่ารำคาญ มันเองก็คงเดาสีหน้าผมออก

“มึงคงจะเมาจริงๆ กู..เอ่อ กูทำให้มึงตั้งนานกว่ามันจะ..(ละไว้ในฐานที่เข้าใจ) ..แล้วหลังจากนั้น เอ่อ..มึงจะให้กูพูดจริงๆเหรอ”   ไอ้เอกหันมามองหน้าผมสีหน้าดูหวั่นวิตกและมีแววตาน่าเห็นใจ

“อืม..มึงพูดมาเถอะ กูไม่โกรธมึงหรอก”  ผมสบท และถอนหกายใจแรงๆ ผ่อนคลายอารมณ์ลงในที่สุดและพูดกับมันดีๆ

“กูเคยบอกมึงแล้วไง ว่ากูรักมึง กูไม่รังเกียจสิ่งที่มันออกมาจากตัวมึง แต่มันคาวๆเค็มๆเลี่ยนๆอ่ะนะ”

“เอ่อ  มึงไม่ต้องบอกกูขนาดนั้นก็ได้ กูแค่อยากรู้ว่า เอ่อ...”  ผมเองก็กระดากปากที่จะพูดออกมา

“อืม หลังจากนั้นนะ มึงแม่ง กูไม่อยากเชื่อว่ามึงจะเมา เล่นซะกูเจ็บแทบตาย แต่เอาเถอะเพื่อมึงกูทนได้”   

“เชี่ย......นี่หมายความว่า...”   ผมชี้หน้ามัน และมันก็มองหน้าผม

“อืม มึงได้กูแล้วก็อย่าทิ้งกูไปนะ นะจ๊ะ ที่รัก”   มันพูดพร้อมทำท่าทางล้อเลียนจนผมจะยกเท้าถีบมัน มันก็กระโจนหนี

“เชี่ยเอก มันใช่เวลามาเล่นมั๊ยเนี่ย  มึง พูดจริงเหรอเนี่ย”    ผมจ้องหน้ามันแบบคาดคั้นเอาความจริง

“เฮ้อ..”  ไอ้เอกถอนหายใจเบาๆ พร้อมกับจับบ่าผมกดตัวผมให้นั่งลงบนเตียง

“กูสาบาน ว่าที่กูพูด จริงทุกคำทุกประโยค ซึ่งกูเองก็ยังงงว่าทำแบบนั้นกับมึงลงไปได้ยังไง กูไม่โทษมึงหรอกนะ จริงๆกูก็อยากลองกับมึงอยู่แล้ว แต่ไม่คิดว่ามันจะเลยเถิดถึงขั้นนั้น  กูยอมรับว่ากูรักมึงนะ แต่ไม่เคยคิดถึงขั้นนั้นจริงๆ  ไอ้นนท์ กูแค่รู้สึกดีที่มีมึงอยู่เคียงข้างกู สำหรับมึง มันมากกว่าเพื่อนว่ะ  เมื่อมึงรู้แล้ว มึงจะรังเกียจกูกูก็ไม่โทษมึงหรอก กูยอมรับผลนั้น “
   ไอ้เอกมองหน้าผมพร้อมกับอธิบายระบายสิ่งที่อยู่ในใจ ออกมา ผมเองก็ท้งโล่งใจทั้งหวั่นใจในขณะเดียวกัน คือโล่งใจที่ยังไม่เสียความบริสุทธิ์  แม่งไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้ เลยว่ะ... และก็หวั่นใจ กับความสัมพันธ์ระหว่างมันกับผม  ตอนอยู่หอ เซเว่นสมัยมหาลัย มันก็เกือบจะเกิดเหตุการณ์นี้ไปรอบหนึ่ง ผมเองก็อธิบายไม่ถูก ว่ารู้สึกอย่างไรกับมัน แล้ว ทัชล่ะ ทัชคนที่ผมรักมาก ถ้าเขารู้ เขาจะเสียใจแค่ไหน  ยิ่งคิดก็ยิ่งเวียนหัว

“ไอ้เอก กูปวดหัวมากเลยว่ะ ขอกูไปนอนก่อนนะ มึงอย่าตามลงไปล่ะ”

พูดจบปุ๊บผมไม่รอฟังคำตอบกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกทางประตูและไม่รอลิฟต์ วิ่งลงทางบันไดไปยังห้องของตัวเองอย่างรวดเร็ว  ปิดล้อกประตูพร้อมกับล้มตัวลงนอนบนเตียง

  พยายามนึกลำดับเหตุการณ์ทั้งหมดที่ผ่านมา ตั้งแต่ร้านเหล้า ส่วนความทรงจำที่ไปนอนในห้องน้ำ มันหายไปไหน ผมนึกไม่ออก  และที่ไอ้เอกมัน...ทำกับน้องชายผม ผมจำได้แค่นั้น ที่เหลือผมนึกไม่ออก  ผมไม่โทษไอ้เอกมันหรอก ผมต่างหากที่ผิดเอง ผิดที่ไม่ยับยั้งชั่งใจตัวเอง ปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล  ผมรู้สึกผิดมหันต์ต่อเจ้าตัวเล็กของผม  ทัช พี่ขอโทษ พี่ผิดเอง ...ไอ้เอก กูขอโทษ มึงไม่ผิดหรอก ...แล้วสติผมก็ดับวูบลง

 
.

.
(ต่อ)


ออฟไลน์ thewa.arak

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 66
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
Re: ทัช..สัมผัสใจ ตอนที่20 (ต่อ)
«ตอบ #35 เมื่อ14-07-2017 21:34:02 »

.
.
(ต่อ)



 รู้สึกตัวอีกทีก็ค่ำแล้ว ผมตื่นเอนกายพิงหัวเตียง สลัดหัวไปมาสองสามทีไล่ความมึน  มองออกไปทางกระจกหน้าต่าง  อาคารข้างเริ่มเปิดไปให้แสงสว่างยามค่ำคืน  ไอ้เอก มันทำอะไรอยู่หนอ .. แล้วผมควรจะทำอย่างไรดี ผมสลัดความคิดทิ้ง ลุกเดินไปยังห้องน้ำเพื่อชำระร่างกาย แต่สายตาพลันเห้นเศษประดาษสอดเข้ามาที่ใต้ประตู  ผมเดินไปหยิบมันขึ้นมา ในใจก็คิดว่าคงไม่มีใครอื่น ต้องเป็นไอ้เอกแน่ๆ  และผมก็เดาถูก

   ....ไอ้นนท์  มึงยังโกรธกูอยู่เหรอ กูขอโทษนะสำหรับเรื่องเมื่อคืน  มึงจะโกรธหรือรังเกียจกู กูก็จะไม่โทษมึงเลย แต่มึงจงรับรู้ไว้เถิด ไม่ว่าจะอย่างไร มึงก็เป็นคนที่สำคัญสำหรับกูนะ กูยังรักมึงอยู่เสมอ แม้จะรู้ว่าไม่เคยได้หัวใจมึงเลยก็ตาม  แต่กูก็ยังคงรักมึงเสมอ  กูไปต่างจังหวัดสองสามวันนะ มีอะไรก็โทรมาที่เบอร์กูก็แล้วกัน    กู..ขอโทษอีกครั้ง ดูแลตัวเองด้วยนะ   ..

 ....เอก..คนที่รักมึงอยู่เสมอ...


           ผมอ่านแล้วถึงกับน้ำตาซึม รู้สึกจุกที่คอหอย ทำไมเรื่องเหล่านี้ถึงมาเกิดกับผมด้วยนะ แล้วผมผิดมากเลยใช่ไหม ที่ไม่อาจตัดใจตัดความสัมพันธ์กับมันได้  ผมเองก็รักมันนะ มันเป็นมากกว่าเพื่อนจริงๆ แต่ผมก็มีคนที่ผมรัก และผมก็รักเขามาก เมื่อคิดถึงธัชขึ้นมา น้ำตาผมก็ไหลออกมาเอง ความรู้สึกทุกอย่างมันประเดประดังเข้ามา จนทรุดลงกับพื้นปล่อยน้ำตาไหลออกมา ไม่ฝืนกลั้นมันต่อไป





เสริมท้าย.......
สุดท้าย ...แต่ไม่ท้ายสุด




    หลังจากวันนั้น ทั้งตัวผมและไอ้เอกก็ทำตัวตามปกติ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นระหว่างเรา ไอ้เอกต้องเดินทางไปดูงานที่ต่างประเทศและ ผมไปส่งมันที่สนามบิน ทั้งมันและผมก็มีน้ำตาซึมๆ

“มึงดูแลตัวเองด้วยนะ อย่ากินเค็มมาก กูเป็นห่วงนะ”   ไอ้เอกพูดแทบเป็นเสียงกระซิบ

“อืม มึงก็ดูแลตัวเองด้วยนะ อดทน สู้ๆ อีกสามเดือนก็ได้กลับมาแล้ว”

“ เอ่อ...มึง..คิดถึงกูบ้างนะ”  ไอ้เอกพูดอายๆ

“อืม ..เอาไว้คิดถึงมากๆก็โทรมาบ้างก็ได้ ถ้ากูติดงานอยู่กูจะโทรกลับทีหลัง” ผมตอบ

“กู..ยังรักมึงอยู่เสมอนะ”  ไอ้เอกพูดยิ้มๆและมีน้ำตาซึมๆ แล้วมันก็กอดผมแน่น ผมเองก็กอดตอบเช่นกันพร้อมกับตบบ่ามันเป็นการให้กำลังใจ

“กูก็รักมึงนะ อย่างที่มึงเข้าใจนั่นแหละ กูยังคงเดิม มึงคงเข้าใจนะ”  ไอ้เอกพยักหน้าเข้าใจในสิ่งที่ผมจะสื่อ 

รู้สึกใจหายเช่นกัน ที่มันกำลังจะบินไปทำงานใช้ชีวิตอยู่เมืองนอก แม้จะไปแค่ไม่นาน แต่ก็คงทำให้ผมหงอยๆได้บ้างเช่นกัน  ส่งเจ้าเอกเสร็จแล้ว ผมยืนเหม่อบนอาคารผู้โดยสารขาออกอยู่สักพัก จึงขับรถกลับ ระหว่างทางก็อดคิดถึงเรื่องราวๆต่างๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิต แล้วน้ำตาก็ไหลออกมาเองอีกจนได้  แต่ผมก็ยิ้มรับกับทุกสิ่งที่ผ่านเข้ามา  หลังจากนี้มันอาจจะมีอะไรที่สาหัสรอที่จะเข้ามาหา และผมก็พร้อมที่จะตั้งรับมันอย่างไม่ท้อถอย 

   ผมโชคดี ที่ผมมีคนที่รักผมถึงสองคน แม้ใครจะมองว่าเป็นเรื่องที่เห็นแก่ตัว แต่ผมเองก็ไม่อาจอธิบายให้ใครฟังได้ คนหนึ่งผมทั้งห่วงใยทั้งรักเขาเต็มหัวใจ อีกคนก็รักมากกว่าเพื่อนแต่เป็นเหมือนเพื่อนที่คอยช่วยเหลือกันตลอดมา
.
.






........................
ปล่อยให้หัวใจได้อยู่กับไฟฝัน
แม้คืนและวันจะผ่านไปนานสักเพียงไหน
ก็ไม่อาจเปลี่ยนความรู้สึกในใจ
ที่ยังคงอ่อนไหวอยู่เรื่อยมา
เหน็ดเหนื่อยในบางครั้ง
เคยหมดหวังกับการที่ต้องค้นหา
ท้อแท้เหลือเกิน ที่ต้องมาคอยนับวันเวลา
เพียงเพื่อจะตามล่า  ไขว่คว้าฝัน
ปลดปล่อยจิตใจที่อ่อนแอ
กลบเกลื่อนรอยแผลในใจนั้น
ยิ้ม..หัวเราะ..สนุกไปกับมัน
แม้จะเป็นแค่การได้อยู่กับไฟฝันก็สุขใจ
...........................



ออฟไลน์ thewa.arak

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 66
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ทัช..สัมผัสใจ ตอนที่ 21
«ตอบ #36 เมื่อ14-07-2017 21:45:40 »

ตอนที่ 21



เซี่ยงเหียงแป้งออน  ตรุษจีน 2547 มาพร้อมกับความตึงเครียด .......
                                                                      Part นนท์ / ทัช…





     วันนี้ ถือเป็นวันดี  22 มราคม 2547 วันตรุษจีน (เซี่ยงเหียงแป้งออน แปลว่า สุขสันต์วันขึ้นปีใหม่) ทุกครัวเรือนจะทำการปัดกวาดบ้านและซื้อข้าวของเพื่อเตรียมการกันมาตั้งแต่เมื่อวาน  วันนี้ผมตื่นแต่เช้าตรู่ จะเรียกว่าตื่นแต่เช้าก็ไม่เชิง เพราะบ้านกำนันที่ถือเป็นบ้านใหญ่ของชุมชนในหมู่บ้านเขาทำพิธีไหว้เจ้าไหว้บรรพบุรุษกันตั้งแต่ตีสี่ครึ่ง เสียงกลองเสียงปี่รวมทั้งเสียงประทัดเป็นแพๆดังเปรี้ยงปร้างตลอดจนต้องลุกตื่นขึ้นมาแต่เช้า ล้างหน้าปรงฟันเสร็จอย่างรวดเร็วภายในหนึ่งนาที เสร็จแล้วก็กุลีกุจอ หอบเอาประทัดเป็นลังออกไปจุดหน้าบ้าน  แม่บอกให้เอาไปจุดหลังบ้านด้วย ผมก็ทำตาม 

     สักพักหนึ่งผมก็วิ่งไปที่บ้านกำนัน เพื่อร่วมทำพิธีไหว้เจ้าที่บ้านใหญ่ จากนั้นก็วนไปตามบ้านที่มีเจ้าใหญ่ๆเวลาทำพิธีต่างๆก็จะไปตามบ้านเหล่านี้จนครบ ก็ตีห้าครึ่งพอดี บางบ้านก็เริ่มต้มไข่ขนาดเล็ก ซึ่งเตรียมกันไว้แต่เช้า ส่วนบ้านผมถือเป็นคนชาวเขาเพียงครึ่งเดียวจึงไม่ได้มีพธีอะไรในบ้าน นอกจากเดินไปบ้านย่า ภาษาที่บ้านเรียกว่า อากู๋  เพื่อไปดูพวกน้าๆย้อมไข่แดงกัน 

  ไข่แดง คือไข่ไก่ ลูกขนาดเล็กกว่าปกติ นำมาต้ม แล้วย้อมกับ “อ้วมพิ้น” หรือสีผสมอาหาร ที่มีสีออกชมพูเข้ม แต่เมื่อย้อมเสร็จแล้วจะเรียกกันว่า ไข่แดง ซึ่งเอาไว้แจกลูกหลานหรือญาติพี่น้องพ้องเพื่อน เพื่อเป็นศิริมงคล ตามประเพณีของชนเผ่า ซึ่งผมก็ลงมือเอาไข่ลงไปในถ้วย อ้วมพิ้น พร้อมกับคนคลุกเคล้าจนสีติดเปลือกไข่ดีแล้ว ก็เอามาวางไว้ตรงแผงรังไข่ ให้สะเด็ดและแห้ง จากนี้ไป จะเป็นช่วงที่ผมทั้งชอบและทั้งรำคาญ ซึ่งก็คือใช้ด้ายที่ปักโครเช สีขาวบ้าง สีเขียวบ้างแล้วแต่ความชอบมาสานเป็นตาข่ายตามขนาดรูปไข่ แล้วนำไข่แดงใส่ลงไปพอได้ขนาดพอดีแล้วก็มัด ให้แน่น ซึ่งทำแบบนี้ตามจำนวนไข่แดง  บางบ้านก็ย้อมกันครั้งหนึ่งเป็นร้อยลูก แล้วแต่ว่าญาติพี่น้องในครองครัวตัวเองนั้นใหญ่แค่ไหน  ส่วนของผม สี่สิบกว่าลูก แต่ผมเก็บเอาไว้เพียงห้าลูกไว้ให้เพื่อน และ ทัช ซึ่งกะไว้ว่าช่วงบ่ายๆค่อยไปหา

  ช่วงเช้า พวกเราเดินเท้าเข้าออกบ้านญาติพี่น้องเพื่อไปคาราวะผู้ใหญ่และดื่มเหล้าในพิธีซึ่งจะเป้นเหล้าขาว หรือเหล้าข้าวโพดที่ชนเผ่าทำกันขึ้นมาเองกับมือ  และรับประทานอาหารบ้านนั้นบ้านนี้พอเป็นพิธี ญาติผู้ใหญ่ก็มีซองแดงแจกเด็กๆ ลูกหลานของตน สายๆหน่อยก็ เตรียมไก่ต้มและข้าวของในพิธี ไปไหว้บรรพบุรษ ซึ่งคล้ายกับการทำบุญเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้บรรพบุรุษที่จากไป

 ส่วนขนมตามพิธี จะมี “จั้วด๊าว”   และ “จั้วจง”    จั้วด๊าว จะเป็นข้าวเหนียวใส่ผงดำและเนื้อหมูติดมันแล้วห่อกับใบไม้ที่มีขนาดเล็กและยาวเรียว มัดด้วยตอก ประมาณหกส่วน แล้วนำไปต้มจนสุก  ส่วน จั้วจง จะเป็นขนมที่ทำจากแป้งข้าวเหนียวเอาไปแช่น้ำตำด้วย “ตาบต๋อย” ซึ่งก็คือกระดานไม้ตำข้าวของชนเผ่า(คล้ายๆกระเดื่อง ซึ่งสมัยนี้ไม่มีให้เห็นแล้ว) ตำให้ละเอียดแล้วเอามาคลุกแป้งหมัก ทำเป็นวงกลมขนาดเท่าชามก๋วยเตี๋ยวห่อด้วยใบตอง เอาลงนึ่งจนสุก  แต่ขนมทั้งสองอย่างนี้ ผมชอบตอนมันเย็นตัว แล้วเอาไปปิ้ง จั้วด๊าวก็เอาไปปิ้งให้มีรอยใหม้ๆเล็กน้อยแล้วจิ้มเกลือกิน อร่อยสุดๆ ได้รสชาติเค็มๆมันๆจากไส้ในที่มีเนื้อหมูติดมันอยู่  ส่วน จั้วจง ก็เอาไปทอดหรือปิ้งแล้วจิ้มกับนมข้นหวาน อร่อยอย่าบอกใครเชียว 

   ในงานนี้ เด็กๆเคยที่ถูกผู้ใหญ่ห้ามกินเหล้าก็ได้มีโอกาสเมาได้  จากการกิน “ติ้วกาม”   แปลเป็นภาษาไทยว่า เหล้าหวาน  หรือที่มีลักษณะคล้ายข้าวหมากของไทย ส่วนมากจะได้กินก็ตอนมีพิธีสำคัญๆแบบตรุษจีน งานแต่ง งานพิธีสะเดาะเคราะห์หรือ งานพิธีกรรมต่างๆเท่านั้น ผมเองก็ซัดไปเยอะเลยทีเดียว แต่มันไม่ใช่เบียร์หรือเหล้าเลยไม่เมาเหมือนที่เคยมีประสบการณ์อันน่าอับอายมาแล้ว

   เสร็จจากพิธีไหว้บรรพบุรุษในครอบครัวตัวเอง ก็ถึงเวลารวมญาติรับประทานอาหารพร้อมเพรียงกัน จนทำให้รู้สึกว่า ครอบครัวเราก็ใหญ่โตพอสมควรนะเนี่ย ขอพรให้พรและได้แต๊ะเอียกันไปตามๆกัน   ช่วงบ่ายพ่อกับแม่เอารถผมไปช่วยงานบ้านญาติ ผมก็ออกเดินทางด้วยฮอนด้าเวฟของน้องชาย ไปต่างหมู่บ้าน    ใช่แล้วครับ ไปบ้านเจ้าทัช   บ่ายสามพอดี

  และนี่ก็เป็นอีกครั้งที่มาเยือนบ้านต้นไผ่อีกครั้ง แต่ครั้งนี้ผมเลือกที่จะไม่ผ่านเส้นถนนวังถ้ำ เพราะก่อนกลับบ้านมา ทัชบอกว่า ถนนยังคงเป็นลูกรังเหมือนเดิม  เส้นที่ผมจะไปนั้นเป็นทางลูกรังเช่นกัน เขาสูงคดเคี้ยวและชันเป็นระยะๆ แต่ระยะทางใกล้กว่าเส้นถนนวังถ้ำมาก

 เนื่องจาก อากาศยังคงเย็นๆ ผมจึงใส่กางเกงยีนส์ ใส่ชุดประจำเผ่าทับเสื้อเชิ๊ตสีฟ้า คอห้อยเต็มไปด้วยไข่แดงสามลูก จะเอาไปฝากพ่อแม่และทัช

  ผมขับมอเตอร์ไซค์ค่อยไต่ขึ้นไปช่วงเย็นๆในเดือนนี้ยังคงมีความหนาวเย็นจากลมที่พัดมาปะทะใบหน้า เป็นระยะๆ สองข้างทางยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ว่าเวลาจะผ่านมานานหลายปี ธรรมชาติยังคงสดชื่นอยู่เสมอ ผมล่ะอยากกลับมาใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางธรรมชาติแบบนี้เมื่อตัวเองอายุถึงวัยเกษียณ  ป่านนี้ ที่บ้านของทัช หมู่บ้านนั้นจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปไหมน้อ  ผมชื่มชมธรรมชาติไปแบบไม่หยุดแวะพักที่ใด เพราะใจมันไปถึงบ้านเขาแล้ว

    เมื่อมาถึงหมู่บ้าน ก็ได้วินเสียงปีเสียงกลองที่คุ้นเคย อืม บ้านต้นไผ่ก็มีกิจกรรมตรุษจีนเช่นกันแฮะ ผมเร่งเครื่องขึ้นตามเนินเขาจากโรงเรียนบ้านต้นไผ่ขึ้นไปยังบ้านของทัช มองจากภายนอก ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม  ทัช ในชุดประจำเผ่าเต็มยศ ดูแปลกตาไปอีกแบบ  พอเห็นผมก็โบกมือให้  มันทำให้หัวใจผมพองโตสดชื่นยิ่งกว่าธรรมชาติรอบข้างเป็นร้อยเป็นพันเท่า แต่ทำไมดูท่าทางเขาเหมือนอมทุกข์อยู่ในใจ  ผมจอดรถมอเตอร์ไซค์ไว้ข้างบ้าน ยังไม่ทันดับเครื่องสนิท ก็มีคนมาตบไหล่ผมอย่างแรง

“ไอ้นนท์ “   เสียงคุ้นๆนะเนี่ย   ผมดังเครื่องยนต์แล้วหันมามอง เฮ๊ย ใช่อย่างที่ผมคิด

“ไอ้นพ”   ผมจอดรถกระโดดกอดคอมันด้วยความดีใจ

“เป็นไงวะมึง ได้ข่าวว่า ล่ำซำใหญ่ละนะ ไปเติบโตถึงเมืองนอกเมืองนา กูยินดีกับมึงด้วยจริงๆ”  ไอ้นพตบบ่าผมสองสามที เอ่ยทักทายด้วยความดีใจ

“แหม่ ไม่ขนาดนั้นหรอก แล้วมึงล่ะ เป็นไงบ้างสบายดีป่าว ทำงานที่ไหนวะ”   ผมสังเกตดู ไอ้นพมันขาวขึ้นนะ หุ่นล่ำกว่าเดิมเยอะเลย

“กูสอนพละอยู่ ภูเวียงเนี่ย”   ไอ้นพพูดพร้อมกับยิ้มๆ

“ เฮ๊ย จริงดิ โรงเรียนเก่าเราเนี่ยนะ โห มึงเจ๋งอ่ะ” 

“พี่นนท์ เข้าบ้านก่อนไหม ไปคุยกันข้างในดีกว่า”   ทัชเรียก

“เอ้อ แล้วพ่อกับแม่ไม่อยู่เหรอ”

“ครับ  ไปงานบ้านญาติน่ะ เดี๋ยวห้าหกโมงก็คงกลับมาละ”   

  น้องคนหนึ่งเอา ก้อม มาให้นั่ง(ก้อม หมายถึง เก้าอี้หวายลักษณะทรงกลมสูงจากพื้นถึงประมาณหน้าแข้ง) ผมเดาได้ทันทีว่าคงเป็นเจ้าธีร์แน่นอน   ได้ความว่า ได้แฟนที่จังหวัดสุรินทร์ ไปช่วยกันขายน้ำเต้าหู้แถวนั้น รายได้ก็ดีพออยู่ได้ อืม ผ่านมาแค่ สิบปี แต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝากันไปหมด ไม่เหลือร่องรอยของเด็กขี้อายเมื่อครั้งที่ผมมาครั้งแรกกับไอ้แทน  ผมหันไปมองยังฝั่งที่ผมคุ้นเคยที่สุด เป็นที่ที่ผมเคยซุกหัวนอน ทั้งกับไอ้แทน และเจ้าทัช มันดูเปลี่ยนแปลงไปแล้ว เพราะก่อบล็อคปูนขึ้นมาแทน  ตอนกลางคืนคงหนาวน่าดู  รูปไอ้แทนถูกย้ายไปรวมอยู่กับรูปบรรพบุรุษตรงหิ้งไหว้เจ้า ... ไอ้แทน กูกลับมาแล้วนะ มึงเป็นไงบ้าง กูยังคิดถึงมึงอยู่นะ..มึงคงสบายดีนะ... ทัชคงรู้ว่าผมกำลังอยู่ในภวังค์ จึงเดินมาสะกิดเรียกผม

“พี่นนท์ กินอันนี้สิ ผมทำเองเลยนะ “   ขนม จั๊วด๊าว นั่นเอง ผมรับมาแต่ยังไม่แกะกิน  ผมยื่นไข่แดงให้ทัช

“อ่ะ พี่ให้  และอีกสองลูกนี่ให้พ่อกับแม่นะ  เออ ไอ้นพ กูไม่รู้ว่ามึงมา เลยไม่ได้เตรียมเลย”

“โอ๊ย  กูไม่เอาหรอก มึงแลกกันไปเถอะ ล้าสมัยว่ะ” 

“แหม่ ไอ้ลืมชาติบ้านเกิด”  ผมหยอกมันไปแรงๆ
 
“เอ้อ ลืมไปเลย ไอ้นนท์  นี่ ฝ้าย แฟนกูเอง”   ไอ้นพ แนะนำตัวผู้หญิงใส่ชุดธรรมดาหน้าตาดูดี  ทักทายกันสองสามประโยคพอเป็นมารยาท

“แหม่ ไอ้นพ มึงนี่ ก่อนเพื่อนเลยนะ  เอ้อ แล้ว ไอ้เน เป็นไงมั่ง”  ผมแซว และถามถึงน้องชายฝาแฝดของมัน

“พี่เน อยู่กรุงเทพอ่ะพี่ กลับมาไม่ได้ เมียท้องใกล้คลอดละ”   เจ้าทัชเป็นคนตอบเอง

“ห้ะ  อะไรกัน พวกมึงแต่ละคนทำไมรีบร้อนกันจังวะ”  ผมทึ่งกับข่าวที่ได้ยิน แต่ก็รู้สึกยินดีไปกับเพื่อนด้วย

“มึงนั่นแหละ ช้าเกินไป ไม่ทันพวกกูนะ “    ไอ้นพ มันพูดเว้นวรรคไปเล็กน้อยก่อนพูดต่อ ทำเอาผมแทบอยากจะชกหน้า
   
”เออ กูลืมไป  ไอ้ทัชมันคงไม่ให้มึงรีบหาเมียหรอก  ใช่ป่ะ”   ว่าแล้วก็หันไปทางเจ้าทัช  คนถูกเรียกยิ้มเขิน  โอ้ยกูจะบ้าตาย แล้วเจ้าตัวเล็กจะเขินอะไรกับเขาทำไมเนี่ย

“ไอ้นพ มึงหยุดเลย พูดเหี้ยไร .. เอ่อ ขอโทษนะ”   ผมเผลอพูดคำหยาบโดยลืมไปว่าน้องฝ้ายแฟนไอ้นพยืนอยู่ข้างๆ  แฟนมันก็สอนวิชาสังคมศึกษาที่ภูเวียง เช่นกัน 

“เอ้อ พี่นนท์ อยากไปหาพี่แทนไหม นานๆมาทีไปดูหน่อยก็ดีนะผมว่า”  ทัชเอ่ยตัดบทสนทนากลางคัน ซึ่งผมก็ยินดี

“เออ ดีว่ะ ไปดิ เดี๋ยวพาฝ้ายแวะไปดูรอยพระพุทธบาทด้วย”  ไอ้นพพูดและน้องฝ้ายเองก็ดูท่าทางตื่นเต้นเช่นกัน
 
 พวกเราจึงเดินออกไปยังไร่ของไอ้แทน ฝั่งตรงข้ามกับรอยพระพุทธบาท เดินเท้าไปพอประมาณจนถึงจุดจุดหนึ่งที่เป็นที่ฝังกระดูกของไอ้แทน มีป้ายอักษรจีนเขียนติดว่า

 “สงบสุข นิรันดร์”

 ผมย่อตัวคุกเข่าลงกับพื้น เอามือแตะหลุม... ไอ้แทน ..กูมาหามึงนะ  มึงอยู่นี่คนเดียวเหงาไหมวะ มึงคงหนาวมากเลยใช่ไหม... ความรู้สึกมันมาจุกอยู่ที่คอ หยาดน้ำใสๆมันปริ่มๆอยู่ริมขอบตา จนต้องเงยหน้าสู้กับมันไม่ให้ไหลออกมา  ผมนั่งสงบนิ่งอยู่ตรงนั้นสองสามนาที จนทัชเข้ามาแตะไหล่

“พี่นนท์ครับ  ไม่เป็นไรนะ พี่แทนเค้าคงรู้แหละครับ”   ผมเงยหน้ามองเขา ทัชใช้มือปาดน้ำตาให้เล็กน้อยแต่ผมก็รู้สึกตัว เงยหน้ายืนขึ้นและใช้ปลายนิ้วปาดเช็ดน้ำตาออกไป  ลมเย็นๆพัดมากระโชกใหญ่ หอบเอากลิ่นอายของความบริสุทธิ์สดชื่นเข้าจมูก ผมกางแขนออกทั้งสองข้างสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าไปเต็มปอด  .. เอาเลย ไอ้แทน กูอยู่ตรงนี้แล้ว  มึงมากอดกูได้เลย  ราวกับมีปาติหารย์ ลมพัดมาแรงๆอีกสองสามครั้ง น้ำตาผมไหลออกมาอีกครั้ง

“ไอ้แทน กูขอให้มึงไปดีนะเพื่อน ตอนนี้กูกลับมาสอนที่ภูเวียง โรงเรียนที่เราเคยเรียนด้วยกัน กูกลับไปดูหอพัก ทุกอย่างยังเหมือนเดิมนะ “ ไอ้นพเดินเข้ามากอดคอผม แล้วพูดต่อ

“ ส่วนไอ้เนี่ย มึงไม่ต้องห่วง มันสบายดี ได้ดิบได้ดีแล้ว แถมมันดูแลน้องมึงอย่างดีด้วย มันเคยสัญญากับกูแล้ว”  ไอ้นพหันไปตบบ่าเจ้าทัชและหันมามองหน้าผม  ผมได้แต่ยิ้มทั้งน้ำตา

“อืม ไม่ต้องห่วงนะ กูสัญญา กูจะดูแลไอ้ตัวเล็กให้ดีที่สุด”   ว่าแล้วก็ดึงเจ้าทัชมากอดคอด้วยกันสามคน น้องฝ้ายยืมมองอยู่ห่างๆ  เธอคงรู้ว่าคนในหลุมนี่คือใคร ไอ้นพคงเล่าให้ฟังแล้ว

ผมใช้ช่วงเวลานี้ จับมือเจ้าตัวเล็กแนบข้างลำตัวโดยที่ไม่ให้อีกสองคนเห็น เหมือนกับจะตอกย้ำว่า ผมจะรักและดูแลเจ้าตัวเล็กให้ดีที่สุด เรายืนสงบนิ่งอยู่สักพักจึงกลับ

“กูไปก่อนนะ ไว้มีโอกาสกูจะกลับมาเยี่ยมมึงใหม่นะ ถ้ามึงคิดถึงกูมึงก็ตามกูไปได้ทุกที่เลยนะ”  ผมแตะป้ายหลุมไอ้แทน พูดทิ้งท้ายก่อนเดินออกมา



  ....อย่าปล่อยเขาไป.....


  เเหมือนผมจะแว่วๆได้วิยเสียงใครมากระซิบข้างหู  ผมสะดุ้งเล็กน้อย หันมองซ้ายขวา  ไอ้นพ และเจ้าทัช ก็ทำหน้า งงๆ ผมจึงหันไปทางหลุมไอ้แทน ไม่รู้มันจะบอกอะไรผม แต่คงไม่มีอะไร ...มันคงเป็นอุปาทาน..อีกแล้ว..  และลมก็พัดมาอีกหอบใหญ่  เราสี่คนเดินกลับไปยังฝั่งตรงข้ามเพื่อให้ น้องฝ้ายแฟนไอ้นพได้ดู  แต่ผมไม่ดู ปล่อยให้มันสองคนเดินไปดูกันเอง ผมกับทัชยืนรออยู่ปากทาง  ซึ่งก็ไม่ห่างมันมากนัก แค่สิบกว่าก้าวก็ถึงแล้ว  และในช่วงเวลาที่มีเพียงน้อยนิดนี้ ผมจับมือเจ้าตัวเล็กอีกครั้งและเขาเองก็จับมือผมแน่น เราต่างไม่มีคำพูดอะไรใดใด แค่ภาษากายที่ส่งถึงกันก็เพียงพอแล้ว  ผมมองหน้าเขาและเขาก็มองตอบมา เราต่างยิ้มให้กัน  ผมมีความสุขที่สุด  ไอ้แทน..กูหวังว่ามึงจะอวยพรให้เราสองคนนะ  พอดีกับที่สองคนนั้นเดินมา เราจึงทำตัวตามปกติ และเดินกลับลงมาที่บ้าน  พอดีกับที่แม่หมวงกับอารุจน์กลับมาแล้ว

 “สวัสดีครับ อา สวัสดีครับ แม่หมวง สบายดีนะครับ”  ผมทักทาย ทั้งสองท่านก็ทักทายผมิย้มแย้มแจ่มใส่

“มาตั้งแต่เมื่อไหร่ เนี่ยสบายดีไหม ขาวขึ้นเยอะเลยนะเนี่ย”   แม่หมวงทักทายผม แต่ผมรู้สึกว่า สีหน้าท่าทางของแม่หมวงดูไม่ค่อยมีความสุขเท่าไหร่นัก

“ผมมาได้สักพักแล้วครับ พอดีชวนกันไปหาเจ้าแทนมันมา”  ผมอธิบาย

“อ้อ แม่ไม่ค่อยมีเวลาไปดูแลเลยมันคงจะรกอยู่บ้าง “

“ก็ดูสะอาดดีครับ “

“ถ้าแทนยังอยู่คงดีนะ ป่านนี้เราคงได้อุ้มลูกอุ้มหลานกันแล้ว ดูสิตานพตาเนก็มีลูกเมียกันหมดแล้ว เออ แล้วนนท์ล่ะเป็นไงบ้าง ไม่พาเมียมาด้วยเหรอ”    ได้ยินแม่หมวงพูดเช่นนี้ ผมรู้สึกอึ้งไป

“เอ่อ ผมยังไม่มีหรอกครับแม่ ทำแต่งาน”

“โอ๊ย แม่หมวง อย่าไปใส่ใจมันเลย มันทำแต่งานในโรงงานไม่มีเวลาไปดูสาวที่ไหนหรอกแม่”   เออ...ขอบใจนะไอ้นพ ที่พูดแทรกขึ้นมา

“อ้าวเหรอ อืม แก่แล้วนะ อายุมากขึ้นน่าจะหาเมียและมีลูกได้แล้วเดี๋ยวแก่มาไม่มีใครดูแลนะ” 
แม่หมวงเกริ่นมาเสียยาว

“ครับ ผมจะลองๆดูครับ”

“เอ้อ แล้วนี่กินอะไรกันหรือยัง เดี๋ยววันนี้มีต้มไก่ ลาบไก่ เดี๋ยวเรามากินพร้อมกันเลย เอามาจากบ้านญาติน่ะ”  อารุจน์พูด พร้อมกับส่งถุงพะรุงพะรังให้เจ้าธีร์   พอดีกับได้นพที่ขอตัวกลับไปก่อน จึงเหลือเพียงเรา ห้าคน  เจ้าธีร์จัดสำรับเรียบร้อยแล้ว จึงได้เวลารับประทานอาหาร ผมสังเกตเห็นว่ามีบางสิ่งบางอย่างไม่ปกติ คือ เจ้าทัช เงียบผิดปกติ จำได้ว่าตั้งแต่เข้ามาบ้านไม่ได้ยินเสียงเจ้าทัชเลย พอผมมองหน้าเขาเขาก็เพียงแต่ยิ้มให้  ช่วงเวลาเกือบสามสิบนาทีในวงอาหารเย็นผมรู้สึกถึงความอึดอัดเป็นอย่างยิ่ง ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น   

“ธีร์อ่ะ เซียวเอี๊ยนมิ่งหย๋าวอะโอ่”   แม่หมวงเอ่ยบอกให้เจ้าธีร์เก็บสำรับกับข้าวแล้วทำความสะอาด ส่วนพ่อเจ้าทัช หรืออารุจน์ ขึ้นไปบ้านอาแปะ

“ทัช เอ้ย เราได้บอกพี่เขาไปหรือยังเนี่ย เรื่องนั้น”  แม่หมวงเอ่ยขึ้นมาแบบไม่มีปีไม่มีขลุ่ย แต่ทำเอาเจ้าทัชถึงกับเหวอ ผมเองก็งุนงงสงสัย  เรื่องอะไรกันหรือ

“เอ่อ “  เจ้าทัช อ้ำอึ้ง เป็นผมที่พูดแทรกขึ้นมาแทน

“เรื่องอะไรหรือครับ “ ผมยิ้มปั้นหน้าสู้ อยากรู้ขึ้นมาเต็มที่

“อ๋อ เรื่องดูตัวน่ะ”  แม่หมวงหันมาทางผมพร้อมกับรอยยิ้ม แต่ผมอึ้งใบ้แดกเงียบสนิท

“แม่ก็ ดูตงดูตัวอะไรกัน สมัยนี้แล้ว”  เจ้าทัชพูดแทรกขึ้นมา ทำให้ผมดึงสติกลับมาได้  ผมนึกว่าเป็นผมคนเดียวนะที่ยังโดนคลุมถุงชนหรือเรื่องบังคับดูตัว  นี่ประเพณีแบบนี้มันยังคงมีอยู่อีกหรือ แม้แต่ในหมู่บ้านเล็กๆของชนเผ่าในหุบเขาเนี่ยนะ

“ดีใจไหมลูก น้องมันจะได้เป็นฝั่งเป็นฝา แม่เองก็จะได้สบายใจ”  แม่หมวงหันมาทางผมและอธิบายให้ฟัง ผมเริ่มเข้าใจในสิ่งที่คุกรุ่นอึมครึมกับบรรยากาศในวงอาหาร  ถึงว่าเจ้าตัวเล็กเงียบมาตลอด แสดงว่าเมื่อวานก็คงคุยกันมาแล้วสินะ  แล้วไม่โทรบอกผมสักคำ

“แม่ คืนนี้ผมขอไปเที่ยวบ้านพี่นนท์นะครับ เนาะพี่นนท์ พี่จะพาไปดูน้ำตกใช่ไหม ที่เคยบอกไง”  เจ้าทัชเขย่าแขนผม  ผมมองหน้าเขา เห็นสีหน้าแว่บเดียวก็รู้ความหมาย

“เอ่อ ครับ ผมก็ว่าจะขออนุญาติพาทัชไปเที่ยวที่บ้าน เพราะยังไม่เคยพาไปเลย”

“มันเย็นแล้วนะ หนทางมันก็ไกลอยู่ แล้วนี่ก็ใกล้ค่ำแล้ว นนท์น่าจะรีบกลับนะ เดี๋ยวทางบ้านเป็นห่วง” ได้ยินคำพูดประโยคนี้ของแม่หมวงทำเอาผมอึ้งสะดุดคำพูดไปเล็กน้อย

“ผมบอกแม่ไว้แล้วครับว่าจะมาที่นี่”   ผมโกหกออกไปหน้าด้านๆ

“นะครับแม่ ผมขอนะ”  เจ้าทัชจับแขนแม่หมวงเขย่าสองสามที  แม่หมวงมองหน้าผมทีสลับไปมองทัชที

“นนท์ “  แม่หมวงมองหน้าผม ยกมือซ้ายลูบหัวผม

“แม่น่ะ เข้าใจ และรู้ว่าลูกน่ะดีกับลูกของแม่มาก ทั้งสองคนเลย ทั้งแทนและทั้งทัช แม่รู้ว่าลูกรักกันแค่ไหน  แต่เราคงรักกันได้เหมือนญาติเหมือนพี่เหมือนน้องนะ นนท์ก็ทำหน้าที่เหมือนแทนพี่ชายชองเจ้าทัช  เจ้าทัชมันเล่าให้แม่ฟังหมดว่านนท์น่ะ ดีกับเขาเป็นอย่างมาก  แม่ไม่รู้หรอกว่าลูกทั้งสองคนจะสนิทกันมากแค่ไหน  แค่ครองครัวเรามันเชื้อสายจีนนะ ลูกชายต้องมีครอบครัวมีลูกไว้สือสกุลต่อไป แม่หวังว่านนท์คงเข้าใจที่แม่พูดนะ” 

 แม่หมวงพูดยาวมาก อธิบายจนผมเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมเจ้าทัชถึงได้เงียบสงบเจียมตัว  ผมรู้สึกสงสารเขาจับใจ   ผมอยากจะคว้าข้อมือเขาแล้วลุกหนีไปด้วยกัน แต่ทำแบบนั้นมันจะไม่เป็นผลดีกับเขาแน่ๆ

“เอ้อ แล้วดูตัววันไหนครับ”  ผมถามพยายามทำเสียงปกติ

“พรุ่งนี้น่ะ ดูตัวก่อนที่ทัชจะกลับไปกรุงเทพ”   แม่หมวงอธิบาย

“ทัชจะกลับพร้อมกับผมครับ  เราคุยกันแล้ว”  ผมตอบแทน

“แม่เกรงใจน่ะ  พอดีญาติทางบ้านเราก็มีคนลงกรุงเทพเช่นกัน เลยจะให้ทัชไปกับพวกญาติๆ”

“ไม่ครับแม่ ผมจะกลับพร้อมกับพี่นนท์นะครับ ผมบอกแม่แล้วนะ ไม่งั้นพี่เค้าต้องกลับคนเดียว ผมเป็นห่วงเขา”  ทัชให้เหตุผล กับคนตรงหน้าผู้เป็นมารดา ผมถึงกับจุกและซาบซึ้งยิ่งนัก

“แม่หมวงไม่ต้องห่วงนะครับ ผมจะขับช้าๆไม่อันตรายครับ ผมสัญญาผมจะดูแลทัชอย่างดีครับ”

“แม่รู้นนท์ แม่รู้ ว่าลูกสามารถดูแลลูกแม่ได้  โอเค แม่ให้ไปเที่ยวบ้านพี่เขา แต่พรุ่งนี้ลูกต้องกลับมาที่บ้านเราก่อนนะ”  แม่หมวงบอกทัช  แต่เขาไม่ได้ตอบ ลุกไปเก็บกระเป๋า  แม่หมวงจึงหันมาหาผมแทน

“นนท์ แม่ฝากทัชกับลูกด้วยนะ แม่รู้ว่าเราน่ะรักน้องมาก น้องก็เหมือนน้องชายคนหนึ่งนะ ยังไงก็ดูแลด้วยนะ  แม่ไว้ใจนนท์นะลูก”  แม่หมวงมองหน้าผมพูดและลูบหัวเบาๆ ผมเข้าใจในสิ่งที่แม่หมวงพูดทุกอย่าง  ผมเข้าใจดี  เพราะผมก็เคยโดนมาแล้ว เรื่องดูตัว

     ออกมาจากหมู่บ้านต้นผึ้งได้สักสิบนาที ผมไม่พูดอะไรเลย ทัชก็ไม่พูดอะไรเลย  เป็นเวลาน่าจะราวๆหกโมงครึ่ง บนดอยจะค่ำไวมาก แต่ยังคงพอมองทางและธรรมชาติรอบข้างได้ ผมคิดว่าเจ้าตัวเล็กคงจะหนาวเลยจับมือเขาให้มากอดเอวผมไว้ เท่านั้นแหละ เจ้าตัวเล็กกอดผมแน่นเลย และทำให้ผมไดรู้ว่า เจ้าตัวเขาร้องไห้ด้วย  ผมจึงหยุดแวะพักระหว่างทางที่เป็นตูบ หรือเพิงริมทางที่ชาวไร่ชาวสวนทำไว้พักผ่อน  ทัชยังคงนั่งอยู่บนรถผมยืนอยู่ผมโอบกอดเขาไว้แน่นเขาก็ซุกหน้าตรงช่วงไหล่ข้างซ้ายผม กอดตอบแน่นเช่นกันพร้อมกับปล่อยโฮออกมาเต็มๆ ผมไม่มีเสียงพูดอะไรเล็ดลอดออกมาจากปาก มีแต่หยดน้ำตาที่ไหลออกมาเองด้วยความรู้สึกที่จุกและเจ็บปวดรวดร้าวยิ่งนัก ผมเข้าใจทัชดีว่าเขาจะรู้สึกอย่างไร ได่แต่ปล่อยให้เขาได้ระบายออกมาเต็มที่
   
“พี่นนท์ครับ ผมจะทำอย่างไรดี ผมควรจะทำอย่างไรดี”  ทัชพูดทั้งน้ำตา ผมยังคงเงียบมันรวบรวมรวมคำพูดหรือเรียงคำพูดไม่ค่อยถูก  เขากอดผมแน่นและเขย่าตัวผมไปมาพร้อมกับพูดประโยคเดิม ซ้ำๆ

“ทัช ใจเย็นๆก่อน มองหน้าพี่ ใจเย็นๆก่อนนะ ค่อยๆเล่าให้พี่ฟัง ว่ามันเกิดอะไรขึ้น”

ผมจับบ่าทั้งสองข้างของเขา ใช้ฝ่ามือปาดน้ำตาให้เขา ผมรู้สึกจุกและเจ็บปวดไม่แพ้กัน แต่ผมเป็นผู้ใหญ่กว่า ต้องแสดงความเข้มแข็งให้เขาเป็นที่พึ่งได้  แม้จะพูดทั้งเสียงที่สั่นเครือก็ตาม

“ไอ้ธีร์ ...พี่ ...”  ทัชพูดด้วยเสียงสะอื้น 

“ไอ้ธีร์มันเอาสมุดบันทึกของผมให้แม่อ่าน”  ทัชพูดแค่นั้น ก็สะอื้น ผมจึงเริ่มเข้าใจสามารถจะปะติดปะต่อเรื่องราวได้โดยที่เขาไม่ต้องเอ่ยอธิบายใดใดออกมากอีก

“แม่รู้แล้ว พี่นนท์ ฮือ... แม่รู้ว่าผมรักพี่ ไม่ใช่รักแบบพี่น้องกันอีก”  ทัชยังคงสะอื้นไห้ ผมพูดอะไรไม่ออก

“แม่ถามผมเมื่อวาน ถามคาดคั้นจนผมต้องพูด แม่บอกไม่อยากเชื่อว่าพี่จะทำกับผมและทำลายความเชื่อใจของแม่  ผมก็อธิบายให้ฟังแล้วว่ามันไม่ใช่ความผิดของพี่ ผมผิดเอง  ฮือ..”

 ผมเจ็บปวดจนกลั้นน้ำตาไม่ได้  ..ไม่นะ เรื่องนี้จะให้ทัชรับผิดชอบคนเดียวได้ไง ผมคิดทบทวนซ้ำๆหลายครั้ง แม้จะกลับมาที่บ้านแล้ว ก็ยังคิดไม่ตก ผมรักทัชมากจริงๆ และรู้ว่าเขาก็รักผมมาก จากความกล้าหาญที่เขาพูดต่อหน้าแม่หมวง ผมกลับขี้ขลาดที่ไม่พูดให้แม่หมวงเข้าใจ

 คืนนั้นผมกับทัชคุยกันเกือบทั้งคืน ผมพยามหาเหตุผลเกลี้ยกล่อมให้ทัชยอมไปดูตัวตามที่แม่หมวงบอก เพราะผมเองก็ไม่อยากทำลายความไว้เนื้อเชื่อใจของผู้ใหญ่ และเราก็สัญญากับเขาไว้  แต่เจ้าตัวเล็กยืนกรานไม่ยอมท่าเดียว บอกให้ผมกลับกรุงเทพเลยโดยไม่ต้องแวะไปบ้านเขาอีก ผมต้องใช้ความพยายามอดทนอย่างมาก ในการที่จะอธิบายให้เขาฟัง ทั้งเจ็บปวดทั้งละอายต่อแม่หมวงด้วย  แต่อย่างหลังมีน้ำหนักมากกว่า จึงต้องยอมเฉือนหัวใจตัวเอง เพื่อความถูกต้องตามธรรมเนียมปฏิบัติที่ครอบครัวอีกฝ่ายเอ่ยย้ำอยู่บ่อยๆ  จนในที่สุด วันรุ่งขึ้น เขาก็ยอมไปกับผม แต่คงไม่เต็มใจนัก เนื่องจากไม่ยอมคุยกับผมเลยตลอดทาง  ถามคำตอบคำ


  .. ไอ้แทน กูทำแบบนี้ ถูกต้องแล้วใช่ไหม...


.
.


ออฟไลน์ thewa.arak

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 66
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ทัช..สัมผัสใจ ตอนที่ 22 (15ก.ค. 2560)
«ตอบ #37 เมื่อ15-07-2017 23:57:10 »

ตอนที่ 22




ความรัก ...กับความถูกต้อง....Part นนท์/ทัช..



     ผมเองก็อยากจะเห็นฝ่ายผู้หญิงที่แม่หมวงไปทาบทามไว้  ผมบอกทัชว่า อย่าทำหน้าเศร้า เราต้องตอบแทนคุณบิดามารดา  ฝ่ายผู้หญิงเป็นสาวแรกรุ่น ผิวพรรณดีหน้าตาก็ดูดี เป็นลูกสกุลจ๋าว บ้านวังถ้ำ  ผมรู้ว่าตัวเขาไม่มีความสุขเลย ผมเองก็เจ็บปวดรวดร้าวที่ต้องพาคนที่ตัวเองรักมากมาส่งงานดูตัว ผมได้แต่อยู่ด้านนอกกลางลานบ้านส่งสายตาให้กำลังใจ ฝ่ายญาติผู้ใหญ่เขาคุยกัน ห้าหกคนในนั้น รวมทั้งอารุจน์  อารุจน์ยังคงคุยกับผมเป็นปกติ แม่หมวงก็คุยกับผมอย่างมีเหตุมีผล ไม่มีทีท่ารังเกียจอะไร แต่ไม่ใช่กับเจ้าธีร์  เจ้าธีร์ไม่คุยกับผมเลย
   ผ่านไปร่วมชั่วโมงจึงออกมาด้านนอก ประกาศว่าพิธีดูตัวเสร็จสิ้นแล้ว รอสร้างตัวอีกหนึ่งปี ตรุษจีนปีหน้าหากไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงจะทำพิธีหมั้นและแต่งตามประเพณี  ผมได้ยินถึงกับจุกอยู่ในใจ รู้สึกได้ถึงคำพูดที่ว่าน้ำตาตกในนั้นเป็นอย่างไร  แต่ต้องฝืนปั้นหน้าเอาไว้ และยิ้มให้ดูสดใสที่สุด  ทัชเองไม่มีสีหน้ายินดียินร้ายใดใดเลย ญาติคนไหนถามไถ่ก็แค่พยักหน้าบ้างยิ้มแหยๆบ้าง เรามองสบตากันเล็กน้อย ผมรู้สึกได้ถึงความผิดหวัง สิ้นหวังในสายตาของเขา ผมสงสารเขาจับใจ  หลังจากเสร็จพิธีของทางญาติผู้ใหญ่แล้ว ผมก็เตรียมตัวจะกลับ แม่หมวงเดินเข้ามาหาพร้อมกับทัชพร้อมกับอารุจน์และเจ้าธีร์ ผมรู้สึกถึงบรรยากาศที่ไม่ค่อยเป็นปกติ แต่พยายามทำใจดีสู้เสือ

“นนท์  ดีใจกับน้องไหมลูก แม่ดีใจมากๆ แม่พยายามทำหน้าที่ของแม่ให้ดีที่สุดแล้ว หวังว่าลูกจะเข้าใจแม่นะ “  แม่หมวงอธิบาย
 
“นี่เราจะกลับวันนี้กันแล้วใช่ไหม” อารุจน์ถาม  ผมทำได้เพียงพยักหน้า ไม่มีเสียงเล็ดลอดออก เพราะรู้ตัวว่าถ้าผมเอ่ยปากแม้เพียงคำเดียว ผมจะกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ได้ จึงทำได้เพียงพยักหน้า อารุจน์เข้ามากอดผมตบบ่าผมเบาๆ

“ขอบใจมากนะลูก ที่ดูแลน้องมันเป็นอย่างดีตลอดมา”  ผมได้รับความอบอุ่นจากอ้อมกอดคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อ ผมถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้ ช่างมันเถอะ ปล่อยมันไหลออกมา  มันควรจะเป็นน้ำตาแห่งความยินดีสิ เราต้องยินดีกับเขา ผมลอบมองหน้าทัช เขาก็มีน้ำตาซึมๆและเบือนหน้าหนีผม ผมรู้สึกเคว้งมาก แทบจะอยากหยุดเวลาไว้แล้วคว้าข้อมือเขา แล้วออกไปจากตรงนั้นไปให้ไกลที่สุด เท่าที่จะไกลได้

“ผมขอแสดงความยินดีด้วยครับ  ยินดีด้วยเป็นอย่างยิ่ง ที่น้องชายที่ผมรักมากคนหนึ่งจะได้เริ่มต้นเรียนรู้การสร้างครอบครัว  ยินดีด้วยจริงๆ จากนี้ไปผมก็จะยังคงรักและดูแลเขาต่อไปครับ ไม่ต้องห่วง”
 ผมรู้ตัวว่าตัวเองนั้นต้องพยายามอย่างมากในการฝืนสู้กับน้ำตาและพยายามปรับเสียงและสีหน้าให้ราบเรียบตามปกติ  แต่ที่ทำให้ผมถึงกับเข่าจะอ่อน จนแทบทำอะไรไม่ถูก เมื่อผมพูดจบ แล้ว ทัชก็แทรกขึ้นมา

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ในเมื่อพี่ได้พูดแสดงความยินดีกับผมแบบนี้  ผมก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว  เราคงไม่มีอะไรต้องเกี่ยวข้องกันอีก พี่ไปเถอะ ผมไม่กลับ ผมจะไปกับรถญาติคืนนี้ ขอให้เดินทางปลอดภัย”  ทัชพูดพร้อมกับน้ำตา และสั่งให้เจ้าธีร์ขับมอเตอร์ไซค์พาเขากลับไปตามทางขึ้นหมู่บ้าน โดยไม่หันมาคุยกับผมอีก 

  ช่วงนาทีนั้น ทุกอย่างมันดับสนิท หยุดอยู่กับที่  พร้อมเสียงวิ้งๆในหู ผมทำอะไรไม่ถูก ตัวชา ทั้งเจ็บปวดรวดร้าวและทั้งอายกับสายตาคนรอบข้าง แม้คนอื่นจะไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่ผมก็รู้สึกอ่อนล้ามาก ผมตั้งสติ บอกอารุจน์ตามไปที่รถผม และผมก็หยิบกระเป๋าของทัชส่งให้

“นี่กระเป๋าของทัชครับ พ่อครับ ผมขอโทษที่อาจทำอะไรเป็นการทำลายความไว้เนื้อเชื่อใจของทุกคน แต่ผมรักเขามากจริงๆ  รักมาก ถ้าหากสิ่งนี้จะทำให้เขามีความสุข ผมก็ยินดีกับเขาครับ ผมขอโทษจริงๆครับ”  ผมพูดทั้งน้ำตาและเป็นครั้งแรกที่ผมเรียกอารุจน์ว่า พ่อ  ผมไหว้ขอโทษ แต่อารุจน์พยุงตัวผมลุกขึ้น

“นนท์  พ่อเข้าใจนะ ตั้งแต่ครั้งที่นนท์อยู่กับแทน พ่อเข้าใจว่าลูกทั้งสองคนรักกัน แต่ประเพณีบ้านเรา ลูกชายต้องสืบสกุล พ่อรู้ว่านนท์เข้าใจ พ่อภูมิใจในตัวนนท์นะ ลูกพ่อไม่ติดเหล้าติดยาเหมือนลูกบ้านอื่นๆ เพราะมีนนท์นะ พ่อก็รักนนท์เหมือนลูกคนหนึ่ง และพ่อก็รู้ว่าเจ้าทัชนั้นเขาเป็นคนตรงและจริงใจ พ่อรู้ว่าเขารักนนท์มาก ถึงอย่างไรก็ฝากดูแลน้องต่อไปด้วยนะ หลังจากนี้ถ้ามีปัญหาอะไรก็ค่อยๆคุยกันนะ  ” 

 ผมไหว้ขอบคุณอารุจน์อีกครั้ง ที่เข้าใจในผม  กลับกลายเป็นอารุจน์ ที่เข้าใจและไม่โกรธไม่เคือง  คงเพราะความจริงใจของผมที่ท่านคงเห็นมาเนิ่นนาน หรือเพราะท่านมีความคิดสมัยใหม่ก็ไม่อาจทราบได้  ผมจึงหยิบมือถือโนเกีย เครื่องสำรองให้อารุจน์ฝากไปให้ทัช

“นนท์เอ้ย อย่าขับรถเร็วนะ ค่อยๆไป ไม่ไหวก็แวะค้างคืนกลางทางนะ พ่อเป็นห่วงอย่าฝืนนะ  สัญญากับพ่อนะ”

“ครับพ่อ”  ผมปาดน้ำตาไหว้ลา อารุจน์และเดินไปไหว้ลาแม่หมวงและญาติทางฝ่ายแม่หมวง และเดินกลับมาที่รถ สตาร์ทรถและออกไปจากที่นั่นโดยเร็ว  ขับผ่านไปตามเส้นถนนวังถ้ำบางช่วงเป็นหลุมเป็นบ่อ บางช่วงเป็นถนนลาดยาง

 ผมขับออกมาได้ราวๆครึ่งชั่วโมง แวะจอดข้างทางและปลดปล่อยน้ำตาให้ทะลักล้นออกมา  หมดแล้วใช่ไหม ความรักของผมจบสิ้นแล้วใช่ไหม จุดประสงค์เดิมตั้งแต่สมัยมัธยมคือ ผมรักและห่วงใยเขา อยากให้เขาได้ดี เมื่อคิดถึงจุดนี้  แม้ผมจะต้องเจ็บปวดรวดร้าว หากมันทำให้เขามีชีวิตที่ดีตามที่ครอบครัวคาดหวัง ผมก็คงทำได้เพียงร่วมยินดีกับเขาไม่ใช่หรือ ผมควรจะดีใจใช่หรือไม่ ผมปลอบใจตัวเองไม่เก่งนัก แต่ชีวิตข้างหน้ายังคงต้องสู้ต่อไป หากในอนาคตถ้าเขาจะต้องไปมีครอบครัว ผมก็ควรจะเข้าใจและร่วมยินดีไปกับเขาสิ
   ผมขับรถช้าๆ ค่อยๆไป  เพราะสภาพจิตใจไม่ค่อยดี  รู้สึกคว้างมาก จนกระทั่งถึงพิษณุโลกในตอนเย็นราวๆบ่ายสาม จึงตั้งใจที่จะแวะพักที่นี่หนึ่งคืน โดยไม่บอกใครเลย  ผมเลือกที่จะพักในโรงแรมพิษณุโลกธานี สมัยทีเรียน ม.น. ผมเคยมาพักที่นี่กับเพื่อนๆ สภาพยังคงไม่แตกต่างจากเมื่อห้าหกปีก่อน  จากนั้นผมขับรถออกไปยัง ม.นอก ไหว้องค์สมเด็จฯและขับรถวนรอบมหาวิทยาลัย  เปลี่ยนแปลงไปมากเลยทีเดียว จากที่เห็นแค่เสาของตัวอาคารที่จะสร้างเป็นอาคารทางการแพทย์ (ปัจจุบันเป็นโรงพยาบาลของมหาวิทยาลัย) ข้างสระ เยื้องหน้าอาคารคณะเภสัชฯ  ผมขับวนไปข้าง ม.แวะทักทายป้าเจ้าของหอพักที่เคยอยู่อาศัย  วนไปรอบมหาลัย เกือบทุกจุดที่เคยพาเจ้าทัชมา  หกโมงเศษ ผมกลับไปหาทานข้าวตรงริมน้ำน่าน เดินดูตลาดนัดริมน้ำที่เริ่มมาตั้งแผงกันแล้ว แต่จิตใจไม่ค่อยสบายนักจึงรีบกลับโรงแรมหวังจะพักผ่อน  มีข้อความเข้ามา ซึ่งเป็นเบอร์แปลกๆ 


   ข้อความที่1......ทำไมคุณเป็นคนแบบนี้ ทิ้งคนที่บอกว่าคุณรักได้อย่างไร ไหนว่ารักเขามากไง   
   ข้อความที่2... ทำไมคุณเป็นคนใจร้ายเช่นนี้ ไม่เคยคิดเลยว่าคุณจะเป็นคนแบบนี้
   ข้อความที่3.... ถ้าคุณรักเขาจริง คุณต้องไม่ทำแบบนี้


  สองทุ่มแล้ว ผมแปลกใจมาก ที่อยู่ๆมีข้อความจากเบอร์ที่ไม่รู้จักส่งข้อความมา สองสามข้อความ ผมจึงโทรตามหมายเลขที่ปรากฏ โทรไปครั้งแรกถูกตัดสาย ครั้งที่สองถูกตัดสาย ครั้งที่สามและสี่ด้วย ผมจึงส่งข้อความกลับไปแทน

        1...ผมไม่รู้ว่าคุณเป็นใคร และคุณไม่รู้หรอกว่าผมรักเขามากแค่ไหน แต่ผมไม่อยากทำร้ายครอบครัวเขา
        2... ผมไม่อยากทำลายความไว้วางใจและความไว้เนื้อเชื่อใจที่ครอบครัวเขามีให้กับผม 
        3...ไม่ใช่ผมไม่รักเขา ผมรักเขามาก มากยิ่งกว่าสิ่งใด แต่คุณไม่ใช่ผมคุณจะมาเข้าใจอะไร   
        4... สภาพจิตใจผมไม่ดี หากไม่ประสงค์ดี อย่ามาทำร้ายกันเลย ผมขอร้อง

 จากนั้น ผมก็เฝ้ารอ ว่าจะมีข้อความส่งกลับมาอีกหรือไม่ จนรู้สึกกระวนกระวาย สักพักก็มีข้อความส่งกลับมา
     ...หากคุณรักเขาจริง คุณต้องต่อสู้อยู่เคียงข้างเขา ไม่ใช้ทิ้งกันไปแบบนี้..... ผมจึงส่งข้อควมตอบกลับไป

     ....อาเหมยใช่หรือเปล่า พี่คิดว่าอาเหมยเข้าใจพี่มากที่สุดแล้วนะ  ทำไมถึงด่าพี่แบบนี้........

เสียงมือถือผมดัง เห็นเป็นเบอร์ขึ้นต้น 054 จึงรีบรับสายโดยเร็ว

“นนท์เหรอลูก”    อารุจน์นั่นเอง

“ครับ” 

“ถึงไหนแล้ว พ่อเป็นห่วง “

“ขอบคุณมากครับ ผมรู้สึกปวดหัว เลยแวะพักค้างคืนที่ พิษณุโลกครับ กะว่านอนพักก่อนพรุ่งนี้เช้าค่อยเดินทางต่อ” ผมตอบพยายามปรับน้ำเสียงให้เป็นปกติ

“ดีแล้ว อย่างงั้นพ่อก็สบายใจ ยังไงก็พักผ่อนให้เต็มที่นะ และเดินทางปลอดภัยนะ”

“ขอบคุณครับ...พ่อ”  ผมเว้นจังหวะเล็กน้อย ก่อนที่อารุจน์จะวางสายไป

   ตั้งสติได้แล้วผมจึงหันมาสนใจกับเรื่องข้อความจากเบอร์ที่ไม่รู้จักอีกครั้ง  แต่ไม่ว่าจะโทรไปหากี่ครั้งก็ถูกตัดสายทุกครั้ง  รู้สึกทั้งจุกทั้งเจ็บปวดจนปวดหัว จึงเข้าไปสงบสติอารมณ์ในห้องน้ำ และอาบน้ำ  ล้มตัวลงนอนหวังจะพักผ่อนเต็มที่พรุ่งนี้จะได้เดินทางโดยสวัสดิภาพ  ก็พอดีมีสายเข้า เป็นเบอร์ที่ผมโทรไปนั่นเอง แต่พอผมรับ ปลายสายก็รีบวางสายไป ผมจึงโทรกลับ สายแรกถูกตัด  จึงคิดว่า อย่างไรเสียเรื่องก็มาถึงขนาดนี้แล้วเอาไงเอากัน  ผมนึกในใจว่า ผมจะโทรจนกว่าแบตของอีกฝ่ายจะหมดละกัน...

ครั้งที่สองติดแต่ไม่รับ  เว้นไปสามนาที จึงโทรอีกครั้ง ติดและยาวนานจนคิดว่าสายจะตัดไปเองแต่สุดท้ายปลายสายก็รับ

“ฮัลโหล นั่นใครครับ”   ผมถามอยู่เช่นนั้น สามสี่รอบ ก็ยังไม่ยอมตอบ แต่ได้ยินเสียงเหมือนพัดลมหรือแอร์หรือเครื่องยนต์เบาๆ
 
“ฮัลโหล อาเหมยหรือเปล่า คุยกับพี่หน่อยเถอะนะ ”  ผมเริ่มรู้สึกสั่นไปทั้งตัว แต่ยังคงตั้งสติไว้

“ผมเอง” ปลายสายพูดเพียงแค่นั้น ทำเอาผมอึ้ง สตั๊นท์ไปชั่วครู่

“ทัช ..นั่นทัชเหรอ ทำไมไม่ใช้เครื่องที่พี่ฝากไว้ที่พ่อให้ล่ะ”

“...............”

“ทัช...ได้ยินพี่ไหม”   ผมเดินไปหยุดยืนริมหน้าต่างเผื่อสัญญาณจะชัดเจนขึ้น

“ผมเปลี่ยนเบอร์  เอาซิมพี่ออก ซื้อซิมใหม่ที่เวียงคำ”    ทัชอธิบาย น้ำเสียงขึ้นจมูกผมรู้ว่าเขาก็คงเสียใจจนร้องไห้หนักแน่ๆ

“ทัช...มาถึงไหนกันแล้ว  พี่เป็นห่วงนะ” 

“เป็นห่วงผมแล้วทิ้งผมทำไม”   ทัชเริ่มมีเสียงสะอื้น

“ทัช .. พี่ไม่อยากทำเช่นนั้นเลย แต่ ณ เวลา นั้น ญาติพี่น้องของทัชอยู่กันเต็มไปหมด ทัชคิดว่าพี่จะกล้าทำลายน้ำใจ ความไว้เนื้อเชื่อใจของแม่หมวงได้หรือ  ทัชต้องเข้าใจพี่บ้าง”   ผมอธิบายยาวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“พี่น่าจะพูดให้แม่เข้าใจ” 

“ทัช... ฟังพี่ก่อนนะ  พี่รักเรามากนะ  เราก็รู้ดี  แต่เราสองคนเป็นผู้ชายเหมือนกัน และครอบครัวทัชก็คงรับไม่ได้ เราต้องพูดกันด้วยเหตุผล สังคมบ้านเรามันก็แค่นั้น หากเราทำอะไรผิดไป พ่อกับแม่และครอบครัวจะทำอย่างไร”   ผมอธิบายด้วยน้ำเสียงที่ปกติที่สุดพยายามไม่ให้ฟังดูเหมือนบีบคั้นเขา

“แต่ผมรักพี่นนท์  ผมไม่ได้รักคนอื่น พี่จะยอมให้คนที่พี่บอกว่ารักมาก ไปอยู่กับคนอื่นได้เหรอ ไหนพี่บอกพี่แทน สัญญากับพี่แทนว่าจะรักและดูแลผมตลอดไปไง พี่ไม่รักผมแล้วใช่ไหม” 

  ทัชร้องไห้อีกแล้ว  ผมยิ่งเจ็บปวดเหลือเกิน ผมถือว่าโตเป็นผุ้ใหญ่แล้วได้รู้ได้เห็นอะไรมามาก เข้าใจถึงสภาพหรือสถานะทางสังคมที่อาจมีการยอมรับบ้าง แต่สำหรับชนบทและชนเผ่าอย่างพวกเรา ใครจะยอมรับเรื่องแบบนี้ได้  แล้วผมควรจะทำอย่างไรดี  ทำตามที่หัวใจต้องการแล้วหักหน้าคนในครอบครัวพ่อแม่ของคนที่เรารักได้หรือ เราเห็นแก่ตัวขนาดนั้นได้หรือ ... ผมควรทำอย่างไรดี

 “ทัช.. อย่าร้องไห้เลย พี่ก็เจ็บปวดไม่แพ้เราหรอกนะ  แล้วนี่มากับญาติใช่ไหม ตอนนี้ถึงไหนกันแล้ว   ขับรถระวังๆกันด้วยนะ”
 
“ถึงอุตรดิตถ์แล้ว”

“ออกมากันตั้งแต่กี่โมงเนี่ย”

“ห้าโมง”

“อืม...บอกญาติแวะพักตามปั๊มบ้างนะ ถึงกทม แล้วโทรหาพี่ด้วยนะ พี่เป็นห่วง”

 “เป็นห่วงคงไม่ทิ้งผมหรอก พี่ทิ้งผมมากี่ครั้งแล้ว”   ได้ยินประโยคนี้ยิ่งจุกและ มันแปล๊ปๆในใจ มันเจ็บปวดขนาดนั้นเลยทีเดียว  พูดไม่ออก

“พี่..พี่ขอโทษครับ”

“แล้วพี่ถึงไหนแล้ว”  ทัชเอ่ยถาม

“พี่รู้สึกร่างกายไม่ไหว  เลยแวะพักไหว้เสด็จพ่อองค์ดำ และค้างคืนที่นี่เลย กะว่าพรุ่งนี้เช้าค่อยเดินทาง ร่างกายจะได้ไม่เพลีย” 
“.............”   ทัชเงียบไปพักใหญ่

“ทัช ...เป็นอะไรไป ได้ยินพี่ไหม”   

“ไม่มีอะไร ญาติมา แค่นี้นะครับ ค่อยโทรไปใหม่”  แล้วก็วางสายไปเลย 

  ตลอดเวลาที่คุยกับผม ทัชไม่มีคำว่าครับสักคำและน้ำเสียงยังคงแข็งๆตลอดตั้งแต่ต้นสายจนวางสาย   แต่ผมดีใจนะที่เขาโทรมาหา และยังอุตส่าห์ไปซื้อซิมส่งข้อความมาตัดพ้อผมอีก แค่นี้ผมก็รับรู้ได้แล้วว่าเขารักผมมากแค่ไหน  แล้วผมล่ะ ทำไมผมถึงเลือกที่จะผลักความรักของตัวเองแล้วเลือกความถูกต้องตามทำนองคลองธรรม นี่ผมทำถูกแล้วใช่ไหมครับ ช่วยบอกผมที   
 
    ทีวีเปิดทิ้งไว้แต่หาได้สนใจหน้าจอทีวีแต่อย่างใดไม่ สมองมันอื้ออึงและปวดหัวตึ้บๆ ปล่อยไว้แบบนี้คงไม่ไหว จึงขับรถออกจากโรงแรมไปซื้อยาที่เซเว่น ซึ่งไม่ไกลกันนักเพราะเป็นเส้นถนนสนามบิน และผมคุ้นเคยดี  มีนักศึกษาบางส่วนนั่งทานข้าวร้านอาหารริมทาง นึกถึงสมัยที่ตัวเองยังเรียนอยู่ ก็ให้รู้สึกไม่อยากโตเป็นผู้ใหญ่เลย ไม่อยากรับรู้ปัญหาใดใด ผมดื่มโอวัลติลร้อนและขนมปัง พร้อมซื้อน้ำเปล่ากับพาราเซ็ตตามอลหนึ่งแผง กลับถึงโรงแรมค่อยกินยาก่อนนอน

     และเมื่อมาถึงห้องก็ต้องแปลกใจ ที่เห็นมือถือโชว์สาย ไม่ได้รับถึงเจ็ดสาย เหลือบมองดูนาฬิกาข้างฝาผนัง อีกสิบนาทีห้าทุ่ม  เอาอีกแล้วเรา  ทัชจะเข้าใจผิดอีกแน่ๆ ผมรีบกดโทรออกไป เป็นดังคาด เขาตัดสายผมสามรอบรวด ผมจึงต้องส่งเป็นข้อความไปแทน

 ....ทัช พี่ขอโทษครับ พอดีพี่ปวดหัวเลยออกไปซื้อยาที่เซเว่นไม่ได้เอามือถือไปด้วย ยังไงรับสายพี่ด้วยนะครับ เป็นห่วงนะ....

   รอจังหวะเวลาชั่วครู่จึงโทรกลับไปอีกครั้ง คราวนี้รับสายครับ  ผมโล่งอก

“ทัช ฟังพี่ก่อนนะครับ พี่ไม่ได้เอามือถือไปด้วย พี่ขอโทษนะ”

“ไม่เป็นไร พี่นอนหรือยังตอนนี้”   ผมได้ยินเสียงดังมาจากรอบๆบริเวณ

“เดี๋ยวกินยาก็คงนอนแล้วล่ะ  ทัช ถึงไหนแล้วเนี่ย” 

“เอ่อ..แวะปั๊ม...”  เขาพูดเพียงแค่นั้นแล้วก็เงียบไป

“ถึงไหนแล้ว หมายถึงจังหวัดไหนแล้ว”  ผมถามย้ำอีกครั้ง

“............”   เงียบ ไม่มีเสียงตอบ

“ฮัลโหล ทัช ได้ยินพี่ไหม”   

“พี่นนท์มารับผมได้ไหม”    หืม..มารับงั้นหรือ ผมงงเล็กน้อย

“มารับ? .. ทัชอยู่ไหนเนี่ย”  ผมเริ่มเป็นห่วง

“ผมอยู่ที่ท่ารถ”   เขาตอบสั้นๆ

 ผมอึ้งไปเล็กน้อย แต่ก็รีบถามย้ำทันที

“ทัช.. ทัชอยู่ที่ไหน พี่เป็นห่วงนะ อย่าล้อเล่นแบบนี้สิ”

“ไม่ล้อเล่น ผมอยู่ที่สถานีขนส่งพิดโลก”  ทัชตอบเพียงเท่านั้น ผมรีบหยิบกุญแจแทบกระโจนออกจากห้อง  เขาคิดอะไรอยู่เนี่ย ทำไมถึงมาลงที่นี่ ไอ้เด็กบ้า ทำอะไร ไม่คิดบ้างว่าคนเป็นห่วง แล้วอยู่ๆญาติก็ปล่อยให้ลงงั้นหรือ  อะไรกัน

“ทัช รอพี่แป๊ปนึงนะ พี่กำลังจะรีบไป” 

“รีบมานะพี่ ผมหนาว” แล้วก็ตัดสายไป  ในใจไม่ได้คิดหรอกว่า เขาจะแกล้งแก้แค้นผมหรือเปล่า เพราะเมื่อตอนเย็นผมบอกว่าผมปวดหัวจะพักค้างคืนค่อยเดินทางต่อ  หืม.. เขารู้เขาเลยขอญาติลงที่นี่งั้นหรือ แล้วเขาจะบอกญาติว่าอะไรกัน พิษณุโลกมีเพื่อนมีญาติเขาที่ไหนกัน  ไอ้เด็กบ้า ไม่คิดหรือว่าผมอาจจะแกล้งบอกไปแบบนั้นเอง  ผมสลัดความคิดทิ้งไป จะแกล้งผมหรือไม่ช่างมัน ถ้าเป็นเขา ยังไงผมก็จะไป

   ผมจอดรถที่ข้างร้านก๋วยเตี๋ยว แล้วรีบเดินลงไปตามหาพร้อมกับโทรเข้าเบอร์เขา โทรติดแต่ไม่รับ ผมก็กดโทรซ้ำและหันซ้ายขวามองหาเขา แต่ก็ไม่เจอ หรือเขาจะแกล้งผมจริงๆ  ผมโทรเข้าเบอร์อีกสามครั้ง ติด แต่ไม่รับ ผมรู้สึกจุก นั่งลงบนเก้าอี้พลาสติสีส้ม น้ำตาไหลออกมา นี่ผมกับทัช เราต้องจากกันแล้วจริงๆใช่ไหม   

  แต่.. มันยังไม่ถึงกับเป็นวันที่เลวร้ายของผม  เมื่อมือเย็นๆโอบกอดผมไว้จากด้านหลัง พร้อมกับเสียงสะอื้น

“พี่นนท์  พี่นนท์มาหาผมจริงๆ”   ทัชพูดพร้อมโอบกอดผมแน่น รู้สึกได้ถึงน้ำตาที่หยดลงมาตรงคอผม ผมลุกขึ้นหันกลับไปกอดเขาไว้แน่น  แน่นจนเขาร้องแอ่ก

“ทัช .. ใช่ทัชจริงๆด้วย” ผมประคองใบหน้าเขา ใช้ฝ่ามือปาดน้ำตาให้  ใบหน้ารวมทั้งแขนเขาเย็นมาก ผมล่ะนึกสงสารขึ้นมาจับใจ

“ดูดิ๊ ไอ้เด็กบ้า ทำไมไม่ใส่เสื้อหนาวไม่ใส่กางเกงยาวๆ”   ผมดีดจมูกเขาเบาๆ  รู้สึกสงสารจับใจ กับเสื้อเชิ๊ตแขนสั้นและกางเกงขาสั้น พร้อมกระเป๋าสะพายข้าง  ไอ้เด็กน้อยเอ๊ย ทำไมถึงทำแบบนี้  ผมสงสารเขาเหลือเกิน โอบกอดเขาไว้แน่นน้ำตาแห่งความดีใจไหลออกมาเป็นทาง  ผมนึกว่าจะสูญเสียเขาไปเสียแล้ว  ตอนนี้เขากลับมาอยู่ในอ้อมกอดผมอีกครั้ง  ห้าทุ่มกว่าๆคนไม่ค่อยมีและผมก็ไม่อายสายตาใครเพราะคงไม่มีใครรู้จักผมหรอก 

“หิวมั๊ย  คงจะยังไม่ได้กินอะไรมาสินะ”

“กินนมแล้ว บนรถเขาแจกนมกล่องกับขนมปัง”

“ไม่หิวแน่นะ”  ผมลูบหัวเขาเบาๆ

“ก็นิดหน่อยอ่ะ”

“งั้นพี่พากินผัดไทยตีหัวหมา  เจ้านี้อร่อย”  ทัชพยักหน้าผมจึงพาไป ร้านผัดไทยเจ๊เค็งยังคงเปิดอยู่ ผมสั่งมาให้ทัช แต่ตัวเองไม่กิน แย่งกินกับทัชเพียงเล็กน้อย   ก่อนพากลับโรงแรม

“พี่นนท์ ทำไมถึงเรียกว่าผัดไทตีหัวหมา”  เจ้าตัวเล็กถามด้วยความสงสัย

“อ๋อ คืองี้ เมื่อก่อนสมัยเรียน พวกพี่เคยมากินตอนดึกๆ แกทำอร่อยนะ แต่มีเรื่องเล่าต่อๆกันมาว่าขณะที่แกกำลังผัดอยู่ มีคนเห็นแกเอากระบวยก๋วยเตี๋ยวเคาะหัวหมาที่มากินเศษอาหารตรงผ้าและดาษหนังสือพิมพ์ที่แกปูไว้สำหรับทิ้งเศษอาหารและเปลือกไข่ ไง เลยถูกตั้งฉายาว่า เจ๊เค็งผัดไทตีหัวหมา”   

ผมอธิบายยาวๆ ทัชหัวเราะออกมา ผมก็โล่งใจ ที่เห็นเขาผ่อนคลายมากขึ้น
ถึงโรงแรมผมบอกให้เขาไปอาบน้ำ แต่สุดท้ายก็คะยั้นคะยอให้อาบพร้อมกัน ผมเองไม่อยากอาบเพราะรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว แต่ไม่อยากขัดใจ และไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้อยู่ใกล้ชิดกับเขาอีกหรือเปล่า   
 
 ผม กินยาไปสองเม็ด ทัชก็ขอกินด้วย ผมให้เขากินแค่เม็ดเดียว  ยังดีที่ผมเลือกห้องที่เตียงมีขนาดกว้างพอดีนอนสองคน ปกติ โรงแรมก็มีผ้าห่มหมอนเครื่องนอนสองชุดอยู่แล้ว จึงพอดีกับเราสองคน

 “ทัช เป็นไงบ้าง ทำไมถึงมาลงที่นี่ได้  ถ้าพี่แกล้งพูดขึ้นมาล่ะ เราก็จะเคว้งอยู่ที่นี่คนเดียวเลยนะ ทำไมถึงกล้าทำอะไรแบบนี้”    ผมถามด้วยความสงสัย

“พ่อบอกว่าพี่แวะพักค้างที่นี่”   ทัชตอบ

“อืม..เอ้อ แล้วนี่เราขอลงแล้วญาติเราก็ให้ลงด้วยหรือ”   ผมถามต่อ

“ผมมาคนเดียว มารถทัวร์”   พระเจ้า ไอ้เด็กบ้า ชอบทำให้เป็นห่วงอีกแล้ว มาคนเดียวได้ไง แล้วดูชุดที่มันใส่มาวันนี้สิ โอ๊ย ผมละอยากจะเขกหัวมันจริงๆ  แต่ก็ได้แต่คิดในใจ  เขาอุตส่าห์ลงมาเพื่อมาตามผม โดยที่ไม่ได้คิดว่า แม้ผมจะบอกอารุจน์ไปแบบนั้น แต่ถ้าหากผมไม่แวะพักขึ้นมาจริงๆเจ้าเด็กนี่ก็ต้องคว้างเลยสินะ  เฮ้อ ถือว่าเป็นโชคดีอย่างยิ่ง

“เด็กบ้าเอ๊ย ถึงแม้จะได้ยินพ่อบอกแบบนั้น แต่ถ้าหากพี่ไม่ได้แวะพักที่นี่ แต่อาจจะไปนครสวรรค์แทน พอเรามาลงที่นี่แล้วใครจะดูแลล่ะ ทำไมถึงทำแบบนี้นะ”

“ก็พี่บอกผมเองนะ ว่าพี่พักค้างคืนที่นี่ อีกอย่างที่นี่ก็เป็นที่ที่พี่เคยมาเรียน ยังไงพี่ก็ต้องพักที่นี่อย่างแน่นอน”  ทัชพูดด้วยความมั่นใจ  อืม รู้ใจผมจริงๆเจ้าเด็กคนนี้   ผมกอดเขาแน่น

“ทัช พี่ขอโทษนะครับ พี่ผิดเองจริงๆ ที่พี่ทิ้งเรามาแบบนี้ แต่พี่ก็ทำตัวไม่ถูกนะ เข้าใจพี่บ้างเถอะนะ”  ผมพูดพร้อมกับลูบหัวเขาเบาๆ  ทัชก็ปล่อยโฮออกมาทันที

“ผมก็ขอโทษพี่ด้วยนะครับ ที่ผมทำตัวไม่ดีไล่พี่ไปแบบนั้น ตอนนั้นผมแค่น้อยใจ”

“แต่รู้มั๊ย พี่ใจไม่ดีเลยนะ พี่กลัวว่าการตัดสินใจของพี่ จะทำให้พี่สูญเสียเราไป พี่คงต้องเจ็บไปจนวันตายเลยทีเดียว”  ผมพูดจากใจจริง  ทัชผลักผมออกเล็กน้อยเอามือมาเช็ดน้ำตาให้ผม

“พี่รักผมไหม”  ทัชถามทั้งน้ำตา

“โธ่เอ้ยเด็กน้อย ถามทำไม รู้อยู่แล้วว่าพี่รักเรามากแค่ไหน รักมากถึงกับต้องยอมเสียสละเพื่อความถูกต้อง หากมันจะทำให้ครองครัวของทัชไม่ต้องอับอายที่...”  ผมยังพูดไม่ทันจบ  ทัชใช้ฝ่ามืออุดปากผมไว้

 “อย่าพูดนะพี่  ผมเคยคิดว่าผมควรจะรักพี่อย่างไรดี ผมเองก็เคยสับสน แต่สุดท้ายก็รู้ว่าผมคิดถึงพี่มาตลอดผมอยากอยู่ใกล้พี่ มีความสุขที่อยู่กับพี่ นั่นเพียงพอไหมที่จะเรียกว่ารัก  มันจะช่วยให้พี่มองเห็นความรักของผมไหม แม้ผมจะเป็นผู้ชายเหมือนพี่ แต่เพื่อพี่ผมทำได้ทุกอย่าง”   ทัชพูดไปสะอื้นไป  ผมทั้งจุกทั้งเจ็บปวดทั้งดีใจระคนกัน  ผมโชคดีเหลิอเกิน ผมมีคนที่ผมรักและเขาก็รักผม

“ยังไงพี่ก็ขอโทษด้วยนะ ทำให้ทัชผิดหวังในตัวพี่”

“ไม่เป็นไร ช่างมันเถอะครับ ผมเข้าใจ พี่นอนเถอะ พี่ต้องพักผ่อนพรุ่งนี้ต้องขับรถไกลนะ” 

“อื้ม แต่ว่า ที่ปวดๆหัวอยู่นี่ พี่รู้สึกว่ามันหายแล้วนะ ทุกสิ่งทุกอย่าง ความกังวลใจความเป็นห่วงมันหายไปแล้ว หายไปเมื่อ  ทัชมาอยู่เคียงข้างพี่ ในตอนนี้”   ผมตอบพร้อมกับตะแคงหันมากอดเขาไว้จูบหน้าผากเขาหนึ่งครั้ง  เขากลับจูบปากผมแทน และนาน ผมปล่อยให้เขาทำตามใจปรารถนา สักพัก

“ อืม.. คืนนี้พี่อย่าปล่อยผมนะ”  ทัชพูดพร้อมกับนอนหงายและจะดึงผมไปหาเขา ผมรู้ว่าเขาจะสื่อถึงอะไร แต่ผมไม่อยากทำแบบนั้น กับเขาในตอนนี้  ยิ่งเขาแสดงอะไรให้เห็นว่าเขาคิดกับผมอย่างไร ผมยิ่งรู้สึกผิดเป็นอย่างมาก ผมจึงได้แต่กอดเขาไว้แน่น

“อื้ม พี่จะกอดเราไว้อย่างนี้ทั้งคืนเลยนะ ไม่ปล่อยไปไหนอีกแน่นอน นอนเถอะ พี่รู้สึกเมื่อยล้ามาก พักผ่อนนะคนดี”  ผมจูบเขาเบาๆ และจูบหน้าผากเขาอีกครั้ง และกอดเขาไว้อย่างนั้น

 วันนี้เราต่างเจออะไรกันมาหนักพอสมควร  ผมยังคงนอนไม่หลับนึกถึงเรื่องราวที่ผ่านไปเมื่อเช้า มันเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่นี้เอง  ทัชหลับไปแล้ว เขาคงเหนื่อยมาก  ผมขยับตัวเล็กน้อยคลายแขนให้พอหายเมื่อย ผมมองหน้าเขา พิศดูยามเขาหลับใหล หลังจากนี้ไปผมยังคิดไม่ตกว่าควรจะตัดสินใจอย่างไรดี  ผมรักเขามากเหลือเกิน แต่ในความรักของผมมันเริ่มมาจากความผูกพันและความห่วงใยสานต่อมาเป็นความรักในตัวตนของเขา อยากดูแลเขาไปตลอด

   ...เด็กน้อยของพี่ ตั้งแต่พี่รู้ตัวว่าพี่รักเรา แต่พยายยามทำทุกอย่างโดยไม่ครอบครอง รักแบบพี่น้องที่มีแต่ความห่วงใยอยากให้ทัชได้ดี จนกระทั่งเราบอกความรู้สึกกับพี่ พี่จึงตัดสินใจแน่วแน่ว่าพี่จะไม่ปล่อยเราไปไหนอีก  เราได้มอบกายมอบใจซึ่งเป็นสิ่งที่เราอาจจะลำบากใจ แต่เรากลับเสียสละมอบให้พี่ พี่ซึ้งใจนัก พี่เองก็ไม่ได้หวังแบบนั้น พี่รักเรามากจริงๆ  พี่ขอโทษนะที่ไม่เคยให้ความมั่นใจกับเราเลย พี่ขอโทษจริงๆ แต่หลังจากนี้ พี่จะพยายามทำให้ดีที่สุดนะครับ
พี่รักเรานะ  ทัช....เด็กน้อยของพี่... 
        ผมพึมพำกระซิบข้างหูเขา แล้วจูบหน้าผากเขาเบาๆ และโอบกอดเขาไว้   ทัชขยับตัวเล็กน้อย แต่ก็หลับสนิท ในอ้อมกอดผม
 


.......












                  เรื่องราวดีดีในวารก่อน
                  กับช่วงเวลาที่ร้าวรอนจนอ่อนล้า
                  เราต่างร่วมฝ่าฟันด้วยกันมา 
                   ต่างสัญญา รักมั่นนิรันดร

             ........................................................

ออฟไลน์ thewa.arak

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 66
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ทัช..สัมผัสใจ ตอนที่ 23 (15ก.ค. 2560)
«ตอบ #38 เมื่อ16-07-2017 00:04:51 »

ตอนที่ 23



การตัดสินใจครั้งสำคัญ....Part นนท์/เอก/ทัช...



        ถึงกรุงเทพ ผมไม่ให้ทัชไปอยู่บางบอนแต่ให้เขามาอยู่กับผม  เจ้าตัวขอไปบอกญาติก่อน ต้องลาออกจากงานและเคลียร์ อะไรอีกหลายอย่าง ผมจะขับรถไปส่งก็ไม่ยอม จึงได้แต่ตามใจเขา  สุดท้ายก็ลาออกจากงานจริง แต่ไม่ได้มาอยู่กับผม ช่วยญาติเขาขายน้ำเต้าหู้แทน ผมบอกให้มาก็ไม่ยอมมา  จนผมต้องอ้อนวอนอย่างจริงจัง ถึงมาอยู่กับผม ผมให้ไปสมัครงานอยู่บนห้างดังในนทบุรี อยู่แผนกกีฬา เหมาะสมกับตัวเขาแล้ว 

 ผมรู้สึกสบายใจมากขึ้นที่เขายังคงอยู่ในสายตาของผมผมจะได้ไม่เป็นห่วงเขามาก เราอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข  ต่างช่วยเหลือกันเรื่องซักผ้าไม่มีแล้วเพราะมีร้านซักรีดใต้คอนโด ก็มีทำความสะอาดห้องบ้าง ขัดห้องน้ำบ้าง แต่ก็ช่วยกันทำ ส่วนกับข้าว ถ้ามีเวลาเราจะออกไปหาซื้อมาทำกินกันเองโดยผมเป็นเชฟให้ ผมไปรับเขากลับทุกวันเมื่อเขาเลิกงาน ชีวิตมีความสุขมาก แต่ก็ไม่นาน เพราะหลังจากนั้นให้หลังสามเดือน ผมก็ต้องไปทำงานที่ญี่ปุ่นสองเดือน พาเอ็นจิเนียร์ไปเทรนนิ่งเครื่องจักรใหม่  ผมคิดถึงเขามากแทบอยากบินกลับมาเร็วๆ  ช่วงสองเดือนนั้น มันบ่งบอกได้เลยว่า ผมรักเขามากแค่ไหน คิดถึงเขาอยู่ตลอดเวลา
  พอครบช่วงเวลานั้นก็กลับมาเป็นปกติ อยู่ด้วยกันเกือบหกเดือนก็มีอันต้องห่างกันอีก ผมต้องไปญี่ปุ่นหนึ่งปี ทัชคงเหงามากเขาอยู่คนเดียวไม่ได้ จึงขอไปอยู่กับญาติที่บางบอนเหมือนเดิม ผมขอร้องก็ไม่ฟัง สงสารเขาเช่นกัน แต่คงห้ามเขาไม่ได้ เพราะเขาอยู่คนเดียวก็คงคิดถึงผมมาก ผมคิดเช่นนั้น จึงยอมให้เขาไปอยู่กับญาติ แต่ขอให้เขาสัญญากับผมว่าเมื่อผมกลับมา เขาต้องกลับมาอยู่กับผมเหมือนเดิม  ทัชก็ให้ผมสัญญากับเขาเช่นกันว่าผมจะไม่ทิ้งเขาไปอีก ซึ่งไม่มีวันที่ผมจะปล่อยเขาไปอีกเด็ดขาด
       
  ปี2550 ผมกลับมาและไปรับทัชกลับมาอยู่ด้วยกันเหมือนเดิม ทุกอย่างกลับมาเป็นปกติ ทัชก็ทำงานบนห้างเหมือนเดิม แต่อยู่คนละแผนกแต่ก็เป็นแผนกกีฬาเหมือนเดิม เอ๊ะ พูดแล้วงง แต่บางอย่างทำให้เกิดความเข้าใจผิดขึ้นจนได้  ในเย็นวันที่ เจ้าเอกกลับมา  เขามาเล่นห้องผมเป็นปกติ เพียงแต่ตัวเขายังไม่รู้ว่า  ทัชมาอยู่กับผมแล้ว

 “ไอ้นนท์  กูว่าห้องมึงดูเปลี่ยนไปนะ กูมาเอากุญแจที่ฝากมึงไว้น่ะ”

“เดี๋ยวรอกูแปป เดี๋ยวกูหยิบให้”   ผมพูดพลางเดินเข้าไปหยิบกุญแจ ที่วางอยู่ในเก๊ะตรงหัวเตียงโดยไม่ทันสังเกตว่าไอ้เอกมันเดินตามมา

“ไอ้นนท์ กูคิดถึงมึงมากเลยว่ะ”   มันเข้ามาพร้อมกับกอดผมจากด้านหลัง

“เฮ๊ย ไอ้เอก มึงนี่ เล่นอะไรวะ มาไม่ให้สุ้มให้เสียง  มึงปล่อยกูเลย”  ผมรีบแกะคลายมือมันออก

“ไอ้นนท์ “  มันปล่อยผมให้เป็นอิสระโดยไว  แล้วพลิกตัวผมหันมาเผชิญหน้า

“อะไรของมึงเนี่ย”  ผมหลบสายตา

“ใครมานอนกับมึง “   ไอ้เอกจ้องหน้าผม

 “ตอบมาดิวะ”  ไอ้เอกคะยั้นคะยอ

“ทัช ไง  มึงน่าจะจำได้นะ น้องมัธยมที่มึงเคยเจอตอน..” ผมพูดยังไม่ทันจบไอ้เอกก็ตัดบท

“เออ ไม่ต้องพูด กูรู้แล้ว”
 
“อืม จำได้ใช่ไหม น้องเค้ามีเรื่องกับที่บ้านมานิดหน่อย”   ผมรีบหุบปาก กลัวว่าจะพูดเรื่องที่คนที่ไม่เกี่ยวไม่ควรรู้ 

“แล้วไอ้เด็กนั่น ... เอ่อ  เขาจะมาอยู่นานไหม”   ไอ้เอก หยุดเว้นวรรคเล็กน้อย แต่ก็ยังเสียงกระด้าง

“อะไรกัน มึงนี่ “ 

“เขาจะมาอยู่นานไหม”    ไอ้เอกเสียงอ่อนลง

“ก็นานแหละ น้องเขามาอยู่กับกูเลย กูให้น้องเขามาเอง ไม่อยากให้อยู่ไกล ช่วงนี้มีปัญหากับที่บ้านด้วย”  ผมเปลอพูดออกมาอีกแล้ว

“ปัญหาอะไรวะ”

“อืม มึงไม่ต้องรู้หรอก เปลืองสมองเปล่าๆน่า”

“ไอ้นนท์  มึงก็รู้ว่า กูก็เป็นคนหนึ่งที่รักมึงนะ ที่ผ่านมากูรู้ตลอดว่ามึงยังรักเจ้าเด็กนั่น แต่กูก็ไม่เคยปริปาก เพราะกูเข้าใจมึงไง แต่มึงเข้าใจกูบ้างไหมว่ากูก็เจ็บเป็น”    ไอ้เอกเริ่มจุดชนวนมาแนวดราม่า

“กูก็รู้ ว่ามึงคิดยังไงกับกู ไม่ใช่ว่ากูไม่รักมึงนะ  แต่มึงก็ต้องเข้าใจว่ากูรักเขา รักมานานมากเพียงแต่ไม่เคยรู้ว่ามันคือรัก กูรู้ว่ามึงคงเจ็บปวด แล้วที่ผ่านมากูเคยทำอะไรนอกสายตามึงไหม กูหมายถึง กูนอกใจมึงไหม ก็ไม่ เพราะกูไม่ได้เป็นคนแบบนั้น”    ผมอยากจะเขกหัวมันสักที ที่อยู่ๆโผล่มาก็ดราม่าใส่ผมซะแล้ว

“แล้วแบบนี้มึงคิดว่ากูจะรู้สึกอย่างไร”   

“กูเข้าใจมึงนะ ไอ้เอก แต่กูต้องให้เขาอยู่กับกู  มึงไม่รู้หรอกเราสองคนผ่านอะไรมาบ้าง แต่เชื่อเถอะว่ากูก็รักมึงไม่แพ้น้องเขาหรอก ถึงอย่างไรกูก็อยากให้มึงอยู่ใกล้ๆเช่นกัน  มันอาจฟังดูเห็นแก่ตัว แต่ถ้ามึงอึดอัดใจ มึงบอกกูได้เลยนะ สำหรับกูมึงมากกว่าเพื่อนนะ”   ผมอธิบาย

“แต่ไม่ใช่แฟน”   ไอ้เอกมันตอกกลับและจ้องหน้าผม 

“กูก็ไม่เคยเรียกคำนี้กับน้องเค้าเลยนะ รู้แค่เราสองคน”

“เราสองคน”   ไอ้เอกย้ำประโยคเดิมของผม

“นั่นสินะ พวกมึงสองคน งั้นกูก็คงเป็นส่วนเกิน”   ไอ้เอกพูดด้วยเสียงโทนต่ำและสั่น

“ไม่ใช่อย่างนั้น ไอ้เอก  กูไม่รู้จะอธิบายอย่างไรว่ะ  น้องเค้ากับกูเรามีเรื่องราวที่ผูกพันกันมาตั้งแต่สมัยรุ่นพี่ชายเขา พอพี่ชายเขาจากไป อะไรหลายๆอย่างมันทำให้น้องเขามาเจอกูอีก มาอยู่ในความดูแลของกู ตอนนั้นพวกเราไม่รู้หรอกว่ามันคืออะไร พอกูมาอยู่มหาลัยจึงมีโอกาสได้เรียนรู้เว้ย และกูบอกตามตรง ก็ดีใจที่มีมึงเป็นรูมเมท กูเองยังเคยแอบปลื้มมึงอยู่นะ หากเปิดใจให้กว้างย้อนกลับไปดู  ความผูกพันกับมึงมันก็มีอยู่  แต่พอกูรู้ตัวว่าอะไรเป็นอะไร น้องมันก็เข้ามาอยู่ในใจกู  ความจริงเขาอยุ่มาตลอดแหละ  และตอนนี้ แม่เค้าดูจะรู้เรื่องของกูกับเขา เลยบังคับให้เขาดูตัว มึงรู้มั๊ย ว่าวันนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง กูไม่อยากพูดถึง มึงเข้าใจกูบ้างเถอะ” 

  ผมเป็นฝ่ายลากมันออกมาพูดคุยกันที่โซฟาหน้าโต๊ะทีวี   ไอ้เอกฟังแล้วก็เงียบ เงียบไปนานมาก จนผมก็อึดอัด

“ไอ้เอก เป็นอะไร”   ผมเอ่ยขึ้นเพื่อทำลายบรรยากาศที่ดูเหมือนจะตึงเครียดขึ้นทุกที

“กูเข้าใจแล้ว กูคงต้องยอมรับในสิ่งที่เป็นความจริง สิ่งที่กูกลัวมาตลอด วันนี้มันเป็นความจริงแล้ว กูแค่ต้องยอมรับมัน กูมันมาทีหลัง”

“ไอ้เอก กูไม่เคยคิดว่าใครจะมาก่อนมาหลัง  เพียงแต่เค้าไม่มีที่พึ่ง เค้ายังเด็ก กูหมายถึงว่า เค้ายังไม่แข็งในวงสังคม กูเป็นห่วงเขา แต่ก็ไม่ใช่หมายคาวมว่ากูไม่ห่วงมึง โอ๊ย กูจะพูดยังไงดีวะเนี่ย”   ผมเองก็เริ่มสับสน ว่าควรจะพูดอะไรดี มันจับต้นชนปลายไม่ถูก

“เอาเป็นว่ากูเข้าใจมึงละกัน  เดี๋ยวมึงไปตลาดประชาขื่นกับกูนะ”   ผมงงกับการเปลี่ยนเรื่องของไอ้เอกแบบไม่มีปีไม่มีขลุ่ย

“ไปทำไม จะซื้ออะไร”

“ซื้อของ  วันนี้กูเลี้ยง กูจะโชว์ฝีมือเอง”  ไอ้เอกบอก  ผมก็ไม่อยากจะขัดศรัทธา

“ว่าแต่มึงนึกอะไรขึ้นมาเนี่ย กูล่ะงง ตามมึงไม่ทัน”
 
“เอาน่า กูคิดไว้ตั้งแต่เมื่อคืนละ  แต่ก็ดี จะได้ต้องรับน้องมึงด้วย”   

“เฮ๊ย มึงอย่าทำอะรไม่ดีนะ กูขอร้อง”   ผมรู้สึกกังวลเล็กน้อยจนออกนอหน้าเกินไปหรือเปล่าเจ้าเอกมันถึงจับสังเกตได้

“ไอ้บ้า กูไม่มีอะไรจริงๆ  กูตั้งใจจะทำ แต่พอดีมีข่าวดี ก็ถือว่าเลี้ยงต้อนรับน้องมันไปในตัว”  ไอ้เอกตบบ่าผมเบา ๆ

“มึงแน่ใจนะ” 

“เออสิวะ  กูเคยโกหกมึงด้วยเหรอ”   มันมองหน้าผมส่งสายตาเย้ยๆเหมือนเอาเรื่อง

“อืม กูเชื่อมึง และก็ไว้ใจมึง”

“ตามนั้น” 

  ผมตกลงไปจ่ายตลาดกับมันสองคน แต่ช่วงหัวค่ำผมต้องไปรับธัช ซึ่งมันก็เข้าใจ

 
   ผมไปรับเจ้าตัวเล็กกลับมาแล้วจึงได้เห็นกับข้าวเพียบ มีทั้งปลานึ่งมะนาว ลาบคั่วที่ผมโปรดปรานมากที่สุด ไอเอกมันรู้ดีว่าผมชอบกินอะไร   และอาหารอีดกหลายอย่าง แต่ที่ผมสงสัยคือ มันทำทั้งหมดนี่เองคนเดียวเนี่ยนะ

“พี่นนท์  ...”   เสียงเจ้าตัวเล็กพูดพร้อมกับเงียบไป ผมก็รู้ว่าเจ้าตัวเล็กกำลังคิดอะไรอยู่

“ไอ้เอกเพื่อนสนิทพี่ไง  รู้สึกว่าเราจะแอบวิ่งขึ้นไปเจอมันมาแล้วนิ ที่หอหน้าเซเว่น  ม.ในน่ะ”

 ผมอธิบายลวกๆพอให้จำกันได้

“สวัสดีครับ  ผมรู้ครับ ผมเคยเห็นพี่แล้วครับ  แต่ว่า..เอ่อ” 

“อ่ะ คืองี้นะ “   ไอ้เอกเดินทาหยุดที่หน้าเจ้าธัทัชและตบบ่าสองสามที

“พี่เพิ่งกลับมาจาก ต่างประเทศ นานๆไม่เจอกันเลยจะทำกับข้าวกินกัน  เลีย้งต้อนรับเราด้วยไง”   ไอ้เอกเป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อน และก็ช่วยต่อลมหายใจผมไปได้อีกครึ่งกิโลเมตรเลยทีเดียว

“หรือครับ แล้วพี่รู้ได้ไงว่า พี่นท์อยู่ที่นี่”  เขาถามน้ำเสียงราบเรียบปกติ  ผมลอบมองหน้าไอ้เอกแว่บหนึ่ง

“พี่ก็พักอยู่ที่นี่นะ อยู่มาพร้อมกับไอ้นนท์ของเรานี่แหละ แต่พี่อยุ่คนละชั้น”   

“ใช่ๆ พี่เอกเค้าอยู่ชั้นข้างบน ห่างจากเราไปสามชั้น”  ผมอธิบายเสริม   แต่บรรยากาศก็ไม่ได้ตึงเครียดอะไรอย่างที่คิด ถือว่าโล่งอก

“พี่ทำกับข้าวเป็นด้วยหรือครับเนี่ย หลายอย่างเลยครับ มา..เดี๋ยวผมช่วย”   

“เสร็จแล้ว ตั้งแต่ตอนที่ไอ้นนท์มันไปรับเราน่ะ”  ไอ้เอกอธิบายพร้อมกับหยิบจานชามนั่นนี่ อย่างคล่องแคล่ว ทำราวกับว่าเป็นห้องมันเอง

“พี่เอก ดูท่าทางจะคุ้นเคยกับห้องนี้ดีนะครับ”    นั่นไง ผมนึกแล้ว

“นนท์ ไปอาบน้ำก่อนไหม จะได้มากินข้าวกันเลย”   ผมพูดตัดบท ไม่อยากให้มีบทสนทนากันมาก เกรงว่าจะทำให้บรรยากาศตึงเครียด ซึ่งไอ้เอกก็เห็นตาม แถมบอกว่าจะลงไปซื้อเบียร์มาเพิ่ม ผมเริ่มใจไม่ดี

“พี่นนท์มาอาบพร้อมกันสิครับ เหมือนทุกวันอ่ะ ”   ผมมองหน้าเจ้าธัชแว่บหนึ่งเม้มมุมปากเล็กน้อยเป็นการปรามว่า อย่าพูดแบบนี้ต่อหน้าคนอื่น แม้ไอ้เอกมันจะเพิ่งพ้นประตูแหล่มิพ้นแหล่

“เรานี่นะ  เป็นเด็กดื้อแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่ พี่เคยบอกแล้วไงว่า พี่กับเขาเราเป็นเพื่อนสนิทกัน อย่าคิดมากไปนะน่า”   ผมปรามเจ้าตัวเล็ก ซึ่งตอนนี้เจ้าตัวทำทองไม่รู้ร้อน เข้าไปอาบน้ำเฉย

 จัดการธุระส่วนตัวกันเสร็จ เจ้าเอกก็ลงมาพร้อมกับถือเบียร์ถือสปาย ส่วนเหล้าผมมีแล้ว ซื้อทิ้งไว้จิบเล็กๆน้อยๆก่อนนอนพอเป็นกษัย    ผมยกเก้าอี้จากระเบียงเข้ามาเสริมหนึ่งตัว นั่งกินข้าวกันไปก็คุยกันไป

“กับข้าวนี่พี่เอกทำเองหมดเลยหรือครับ”  เจ้าตัวเล็กเป็นฝ่ายเอ่ยเริ่มบทสนทนา

“อื้อ ใช่แล้ว เป็นไงล่ะ อร่อยไหม”   ไอ้เอกยิ้มตอบ

“อร่อยดีครับ  อร่อยกว่าคนแถวๆนี้ทำเสียอีก”  พูดแบบลอยหน้าลอยตา

“น้องเค้าไม่ได้ว่ามึง มึงอย่าร้อนตัว”   ไอ้เอกมันหันมาพูดใส่หน้าผม

“กูยังไม่ได้พูดอะไรสักคำเลย”  ผมตอบอย่างหัวเสีย

“ผมไม่ได้ว่าพี่นนท์นะคร้าบ  ผมหมายถึงร้านอาหารแถวนี้ (ลากเสียงยาว ปลายเสียงจบลงตรงหน้าผมอีกต่างหาก)”   
 
“เหรออออ “  ผมตอบพร้อมลากเสียงยาว แล้วตักข้าวยัดใส่ปากตัวเล็กทันที

“เออ แล้วนี่เราทำงานอะไรบนห้างน่ะ หมายถึงอยู่แผนกไหน”  ไอ้เอกถามขึ้นบ้าง

“ผมอยู่กับซัมซุงอิเล็กโทรนิคส์แล้วครับ ช่วงนี้ทีวีขายดี”

“อ้าว แล้วแผนกกีฬาไม่ทำแล้วเหรอ”  ผมถามด้วยความแปลกใจ

“เพิ่งย้ายมาสัปดาห์นี้แหละครับ”

“แล้วทำไมไม่บอกพี่ล่ะ”  ผมจ้องหน้าจริงจังเหมือนจะเอาเรื่อง

“เอ้า ก็ผมกะจะเอาไว้เซอร์ไพรซ์เผื่อพี่ขึ้นมาแล้วไม่เจอผมไง” 

 “ทำเป็นเด็กไปได้นะเรา”   ผมใช้ฝ่ามือตบหน้าผากบริเวณผมด้านหน้าเขา จริงๆไม่ได้คิดจะตบหัวเขาหรอกแค่จะให้โดนปลายผมเฉยๆ

“โอ๊ยยย พี่นนท์ใจร้าย” 

“เว่อร์ไปแล้ว ไม่โดนสักหน่อย”

“อ่ะ ตัวเล็ก กินปลาบ้างนะเรา”    ไอ้เอกตักปลานึ่งมะนาว ที่เจ้าตัวภูมิใจในฝีมือนักหนาให้ทัช
 
“ขอบคุณครับ  พี่ก็เรียกผมว่าตัวเล็กด้วยหรือครับ”

“อ้อ ก็เห็นไอ้นนท์มันเรียกเลยเรียกตามน่ะ”

 บทสนทนาต่างๆพรั่งพรูออกมา รวมถึงถามไถ่เรื่องการทำงานของไอ้เอกบ้าง สลับกันถามไปมา และดื่มกันแบบเบาๆ เพราะผมยังต้องทำงาน ไอ้ตัวเล็กก็ต้องทำ ส่วนไอ้เอกยังได้หยุดงานอยู่  จนตอนท้าย ที่ไอ้เอกชวนขึ้นไปบนห้องของมัน มันบอกว่ามีอะไรอยากจะคุยกับผมส่วนตัว

“ทัช พี่ขอเวลาสักครู่นะ  และบนโต๊ะนี่ พี่ฝากด้วยนะ”  ไอ้เอกบอก  นั่นหมายถึงให้ตัวเล็กจัดการเก็บถ้วยชามและเคลียร์โต๊ะ

“พี่นนท์ ..”  เจ้าตัวเล็กรั้งข้อแขนผมไว้

“หืม ว่าไง” 

“ผมรออยู่ข้างล่างนะ” 

“โอ๊ย  พวกมึงนี่ หมั่นไส้ว่ะ แค่แป๊บเอง”  ไอ้เอกตะโกนด่าอย่างหัวเสีย

“อือๆ  เดี๋ยวพี่มานะ”  ว่าแล้วผมก็ตามออกไป

 
        ...ตัดมาที่ห้องเจ้าเอก ผมนั่งลงตรงโซฟา ไอ้เอกหยิบขวดน้ำออกมาจากตู้เย็นส่งให้ทั้งขวด
ผมก็รับไว้เฉยๆไม่ได้ดื่มในทันที  โดยไม่ทันระวังตัว ไอ้เอกคุกเข่าลงหน้าผมแล้วโอบกอดผมไว้ ผมเองก็ไม้ทันระวังตัว ตกใจเล็กน้อยแต่ไม่ได้ปัดป้องแต่อย่างใด เพราะผมก็เข้าใจเขาดี

“ขาดความอบอุ่นเหรอมึงอ่ะ”   ผมผลักหัวมันออกเบาๆ

“ไอ้นนท์ กูเข้าใจมึงดีทุกอย่างนะ เรื่องน้องเค้ากูก็เข้าใจ เด็กมันคงหวงแกมาก”

“ไอ้เอก  มึงต้องการจะพูดจะบอกอะไรกูหรือเปล่าเนี่ย”   ไอ้เอกมันคลายกอดผมแล้วลุกขึ้นนั่งข้างๆผม 

“กูจะบอกมึงว่า กูต้องไปทำงานที่อินเดียว่ะ” 

“อ้าวเหรอ เมื่อไหร่”  ผมถามด้วยความแปลกใจ เพิ่งกลับมาแท้ๆ จะไปอินเดียอีกแล้ว

“กูก็พยายามปฏิเสธแล้วนะ  แต่บริษัทเค้าต้องการคนไปดูระบบพร้อมกับHeadฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ เค้าไปเรียนระบบ CSR อะไรสักอย่าง”

“เพิ่งกลับมาจากยุโรปแท้ๆ มึงนี่ชีพจรลงเท้าจังวะ กูอิจฉา ได้เที่ยวรอบโลก”

“แต่กูจะต้องไปอยู่ที่นั่นหนึ่งปีเลยนะ”

“นานขนาดนั้นเลยเหรอวะ”

“เค้ามีพนักงานที่ต้องอบรมเรียนรู้ระบบงานของเขา สองช่วง ช่วงละ หกเดือน ดังนั้นกูเลยต้องอยู่หนึ่งปี”

“แล้วมึงจะทำไง เอ่อ กูหมายถึงข้าวของ”   ผมห่วงแค่ว่ามันจะเอาข้าวของไปไว้ไหน จริงๆมันก็ไม่ได้เยอะแยะอะไรมากมาย

“กูให้พ่อกูมาขนกลับบ้าน พวกทีวีตู้เย็น และข้าวของบางส่วน นอกนั้นก็เอาไปด้วย”   

“แล้วจะไปเมื่อไหร่เนี่ย”

“สัปดาห์หน้า”

“หา.. ทำไมมันเร็วขนาดนั้นวะ"

“..........”

 ต่างคนต่างเงียบกันไปครู่ใหญ่ ผมเองก็ไม่รู้จะพูดอะไรดีจึงทำได้เพียงจ้องหน้ากันและไม่มีใครปริปากเอ่ยอะไรใดใดออกมา จนกระทั่งเสียงมือถือดังขึ้น

“มึงรับก่อนสิ เผื่อเป็นน้องมันโทรมา”   ไอ้เอกตบไหล่ผมเบาๆ   ผมจึงดึงสติกลับมาได้และรีบรับสาย

 [ว่าไงตัวเล็ก ]

 [อีกนานไหมครับ ]

 [สักพักหนึ่งนะ มีอะไรหรือเปล่า]

 [ผมจะไปซื้อของที่เซเว่น ]

 [ซื้ออะไรเหรอ ]

[ซื้อของเล็กๆน้อยๆ ไว้เดี๋ยวกลับมาแล้วถ้าไม่เห็นพี่ค่อยโทรไปอีกที ]

 [อื้ม ระวังๆตัวด้วยนะ ]

 [ครับ เอ้อพี่นนท์]

 [หืม ว่าไงมีอะไรหรือเปล่าเนี่ย ]

 [อย่าลืมที่พี่เคยให้สัญากับผมนะครับ  ]

  [........... ]

  [โอเค ไปละครับ เดี๋ยวมา ]


....................

“มีเรื่องอะไรด่วนหรือเปล่า มึงลงไปหาน้องเขาก็ได้นะ”    ไอ้เอกเอ่ยขึ้นมาเมื่อผมวางสาย

“ไม่มีอะไร ทัชเขาจะออกไปเซเว่นน่ะ”

“เดินออกไปก็ไกลอยู่นะ มึงไม่ไปส่งน้องมันหน่อยเหรอ” 

“ไม่เป็นไร แหม่ มึงก็นะ น้องมันโตแล้วเถอะ วินมอเตอร์ไซค์ก็มีป่าววะ” ผมตัดบท

“อืม กูก็นึกว่ามึงจะเป็นห่วงน้องมันมากจนรีบกุลีกุจอลงไปเลย”   น้ำเสียงออกแนวถากถางเล็กๆ

“ มึงหัดเป็นคนคิดเล็กคิดน้อยตั้งแต่เมื่อไหร่วะ”  ผมหยิบขวดน้ำเปิดฝาและดื่มน้ำเข้าไปอึกใหญ่

“ไอ้นนท์ กูไปคราวนี้ นานมาก กูไม่รู้จะบอกมึงอย่างไรดี เพราะเราเคยพูดกันมานานแล้ว”

“อืม กูก็ใจหายนะ เราเคยต่อสู้กันมาผ่านอะไรมาด้วยกันก็มากโขอยู่”

“แต่คงสู้น้องมึงไม่ได้”

“ไอ้เอก กูกับมึงเป็นเพื่อนกันนะ กูก็รักมึง มึงมากกว่าเพื่อนนะ กูก็ไม่รู้อนาคตหรอกว่าน้องมันจะไปทิศทางใด ยังไงก็ยังถือว่ามันยังเด็กอยู่ ยังมีโอกาสอีกเยอะ แต่ตอนนี้กูมีเวลาได้ดูแลเขา กูก็อยากทำหน้าที่ของกูให้ดีที่สุด ในขณะเดียวกัน กูก็ไม่อยากเสียเพื่อนรักอย่างมึงไปเช่นกัน  มึงอาจจะมองว่ากูเห็นแก่ตัว  แต่ทำไมวะ คนเรามีทั้งคนที่เรารักและคนที่เรารู้สึกดีๆไม่ได้เลยเหรอวะ มันผิดมากเหรอ”   ผมพูดออกไปยาวเหยียด ไอ้เอกก็นิ่งเป็นผู้ฟังที่ดี

“เพราะกูเข้าใจมึงไง ไอ้นนท์ กูก็ไม่รู้หรอกนะว่าทำไมถึงตัดมึงออกไปไม่ได้”

“ถึงกับต้องตัดกันเลยเหรอ”

“ฟังก่อนสิ มึงต้องเข้าใจกูด้วย แม้พวกมึงจะรู้จักกันมาก่อน แต่ตอนนั้นมึงไม่ได้รู้สึกเป็นอื่นกับเขานะ จนมึงมีเรื่องราวพวกนั้นมา เอ่อ ความจริง กูดูออกตั้งแต่แรกแล้วว่ามึงเป็นคนอย่างไร แต่เห็นน้องพวกนั้น ไอ้ต๋อยด้วย มันจีบมึงอยู่กูเลยไม่ได้พูดออกไป จนกระทั่งมีเรื่องกูถึงกล้าบอกว่าคิดอย่างไรกับมึง หากพูดถึงเรื่องความรักที่รู้สึกรัก ไม่ใช่แค่ห่วงใยล่ะก็ กูถือว่ากูมาก่อนน้องมึงด้วยซ้ำไป แต่เอาเถอะ กูเข้าใจ จริงๆนะ กูเข้าใจ ขอเพียงกูได้มองเห็นมึงอย่างนี้ อยู่เคียงข้างมึงอย่างนี้คอยดูความเป็นไปของมึง กูก็มีความสุขมากแล้ว”     

    ช่วงท้าย น้ำเสียงไอ้เอกแปร่งนิดๆมันคงต่อสู้กับหยาดน้ำที่ทำท่าจะไหลออกมาด้วยกระมัง  ผมเองก็จุกเช่นกัน  หันไปเผชิญหน้ากับเจ้าตัว ผมดึงตัวมันมาใกล้และกอดมันไว้ 

“กูเข้าใจมึงนะ กูเข้าใจดีเลยและขอบใจมึงมากที่เข้าใจกู”   ไอ้เอกมันกอดผมตอบ หอมแก้มผมแล้วปล่อยโฮออกมา  ผมทำอะไรไม่ได้มากไปกว่ากอดตอบเขาแน่นและตบหลังตบไหล่ปลอบใจ นานพอสมควร

“พรุ่งนี้กูจะไประยองว่ะ ไปพักผ่อนสักสองวัน”

“กูไปกับมึงไม่ได้นะ กูต้องทำงาน ลาบ่อยแล้ว”

“กูแค่บอกมึงไว้เฉยๆ ไม่ได้จะบังคับให้มึงไปด้วย อีกอย่างช่วงสองวันนี้พอพ่อกูลงมาขนของเสร็จกูก็คงต้องไปแล้ว”   

“อืม กูเข้าใจ พักผ่อนให้เต็มที่นะ” 

“อือ มึงกลับห้องไปเถอะ เดี๋ยวน้องมันรอนาน มันจะโกรธมึงเปล่าๆ”   ไอ้เอกให้ความเห็น

“น้องมันเป็นคนมีเหตุผลน่า”  ผมแย้ง

“เด็กก็คือเด็ก กูไม่เป็นไร กูมีเรื่องจะบอกมึงแค่นี้แหละ”

“วันเดินทางเดี๋ยวกูลางานไปส่งมึงเอง”

“เอางั้นเหรอ”

“อืม  มึงก็เป็นคนที่กูรักเช่นกัน กูไม่ไปแล้วใครจะไปวะ”  ผมตอบหนักแน่น  ก่อนที่ผมจะก้าวออกไปจากประตูห้อง ไอ้เอกกอดผมแน่นอีกครั้ง ผมก็ไม่ผลักใสแต่อย่างใด ตบหลังเบาๆให้กำลังใจ  ผมรู้ว่าหลังจากที่ผมออกจากห้องมาแล้ว ไอ้เอกคงทำนบเขื่อนแตกแน่ๆ นั่นก็เป็นเรื่องที่ผมเจ็บปวดใจไม่น้อยเลยทีเดียว แต่เรายังมีคนที่เราต้องแคร์เขาด้วยเช่นกัน  ไอ้เอก กูขอโทษนะ

...

   กลับมาที่ห้อง เจ้าทัชกลับมาตั้งนานแล้วมั๊งเนี่ย นั่งจ้องจอทีวีอยู่

“อ้าว ตัวเล็ก กลับมาแล้วทำไมไม่โทรหาพี่ล่ะ” 

“ผมไม่ได้ไปไหนสักหน่อย” เจ้าตัวเล็กตอบลอยหน้าลอยตา

“อ้าว แล้วบอกไปเซเว่นชื้อของไง”  ผมปิดประตูก้าวยาวๆมานั่งลงตรงโซฟาข้างๆเขา

“ผมรอพี่อ่ะ” 

“รอพี่?” เสียงสูงเล็กน้อยด้วยความสงสัย

“ก็อยากเดินไปกับพี่ไง ไปคนเดียวผมกลัว”   เฮ้อ เจ้าเด็กคนนี้ ขี้อ้อนแล้วมั๊ยล่ะเนี่ย

“อ่ะ จะซื้ออะไร เดี๋ยวพี่พาไป”  ผมมองดูนาฬิกา สี่ทุ่มครึ่ง เตรียมหยิบกุญแจรถ

“ไม่ไปแล้วพี่  ผมพูดเล่นเฉยๆ”  เจ้าตัวเล็กปิดทีวีเสียดื้อๆ  กำลังจะก้าวเดินฉับๆไปทางห้องนอนอย่างไว แต่ช้ากว่าผม ผมคว้าข้อแขนเขาออกแรงดึงเพียงเล็กน้อย ร่างคนตัวเล็กกว่าก็เซมาทางผมทันที

“มานี่เลยเจ้าตัวดี คิดจะแกล้งพี่ใช่ไหม นี่ๆ”  มือข้างหนึ่งของผมโอบเอวเขาไว้ และใช้มืออีกข้างจี้สะเอว เจ้าตัวเล็กจั๊กกระเดียมจนต้องหัวเราะพร้อมกับปัดป้องพัลวัน แต่คนตัวเล็กหรือจะสู้แรงคนตัวใหญ่ ผมจิ้มสะเอวไปรอบๆจนเจ้าตัวหัวเราะร่าลงไปกองอยู่บนโซฟา

“พอแล้วพี่ พอแล้วเดี๋ยวสำลักตายพอดี”  พอช่วงจังหวะผมเผลอเขาก็รวบแขมผมทั้งสองข้างไว้ด้านหลัง แล้วใช้ฟันขบกัดตรงบริเวณหน้าอกผมเบาๆ

“โอ๊ย แกล้งเหรอ เล่นทีเผลอเหรอ”  ผมดิ้นหนีให้หลุดจากพันธนาการ แต่เจ้าตัวเล็กรีบปล่อยแขนและวิ่งไปทางห้องนอนจนได้ ผมจึงตามไปกดตัวเขาคว่ำลงคว้าแขนทั้งสองข้างไขว้มาทางด้านหลังแล้วจิ้มสะเอวต่อ เจ้าตัวเล็กหัวเราะจนตัวงอ ผมแกล้งจนพอใจจึงปล่อยเขา  เจ้าตัวเล็กทุบหลังผมเบาๆสองสามที ผมรีบลุกไปอาบน้ำ

“ผมอาบด้วย” เจ้าตัวเล็กรีบวิ่งแจ้นตามมาติดๆโดยที่ไม่ได้ถืออะไรมาเลย

“อาบแล้วยังจะอาบอีกนะคนเรา”

“ก็เหงื่อออกอ่ะพี่ ใครล่ะมาแกล้งผม”  เจ้าตัวพูดพลางชี้ไปที่เสื้อตัวเอง ผมถอนหายใจเล็กน้อยก่อนจะช่วยถอดเสื้อให้   ช่วงหลังๆมานี้อาบน้ำด้วยกันจะเป็นคนเป็นฝ่ายบริการให้ซะส่วนใหญ่

“มายืนตรงนี้” ผมดึงแขนตัวเล็กมาอยู่ใต้ฝักบัวเปิดน้ำใส่แล้วจัดแจงตามขั้นตอนการอาบน้ำ ตัวเล็กก็จัดการให้ผมด้วยเช่นกัน 

  ...

  ผมเช็คความเรียบร้อยแล้วจึงปิดไฟเดินเข้าห้องนอน

“พี่นนท์ ผมถามอะไรหน่อย”

“อื้ม ว่ามาเลย”

“พี่เอกเขาเรียกพี่ไปทำไมครับ ทำไมไม่คุยกันในห้องเราไปเลย”  เจ้าตัวเล็กยันกายลุกขึ้นครึ่งตัวแขนเท้าคาง อีกมือก็มาเสยผมของผมเล่น

“อ้อ เรื่องงานน่ะ “

“เรื่องงาน  (เสียงดังเล็กน้อย)  ทำไมไม่คุยห้องเรามันมีอะไรที่เป็นความลับเหรอครับ”

“ไม่เป็นความลับหรอก ก็เรื่องทั่วๆไป เรื่องให้ช่วยดูแลห้องจนกว่าพ่อมันจะมาขนของกลับ”

“ขนของ (ตัวเล็กทำเสียงสูง)  ขนของไปไหนอ่ะครับ”

“ไอ้เอกมันต้องไปทำงานที่อินเดีย งานบริษัทมันน่ะ ไปนานเลยทีนี้ ตั้งปีหนึ่งแน่ะ”

“แค่ปีเดียวเองพี่ แล้วห้องเขาจะทำไงล่ะครับ”

“ก็คืนนิติฯไป แต่อาจจะโดนปรับตามสัญญาเช่ามั๊ง ไว้เดี๋ยวรายละเอียดมันคงบอกทีหลัง”

“อืม..พี่นนท์”   เจ้าตัวเล็กขยับเข้ามาใกล้ ใช้ปลายนิ้วชี้จิ้มหน้าผากผมเบาๆลางลงมาตรงกึ่งกลางใบหน้าจนถึงปาก

“หืม  ว่าไง มีอะไรจะถามอีกไหม”

“พี่เอก เขาชอบพี่เหรอครับ”

“บ้าน่า  มันกับพี่เป็นเพื่อนสนิทกัน มีอะไรช่วยเหลือกัน ทำไมเราถึงคิดแบบนั้น”

 เจ้าตัวเล็กทำท่าครุ่นนคิดเล็กน้อย

“ไม่รู้ครับ ก็เห็นสนิทกันมากไง เหมือนพี่กับผม ผมเลยหวง”  ผมยกมือลูบผมด้านหน้าของเขาและเสยขึ้นเบาๆ

“ความคิดเด็กๆนะเรา  คิดมากเกินไปแล้ว”

“เขาเคยมานอนกับพี่นี่นา”  ตัวเล็กยังคงไม่พ้นเรื่องไอ้เอก

“อื้มใช่ แต่ไม่ใช่แบบที่ตัวเล็กคิดหรอกน่า มาๆ นอนได้แล้วพรุ่งนี้ต้องทำงาน”  ผมดึงตัวเขาลงมานอนตะแคงหันหน้ามาทางผม  สอดแขนไว้ใต้คอเขา จูบหน้าผากเขาเบาๆ

“จำไว้นะ ทัชคืนคนที่พี่รักมากที่สุดและห่วงใยมากที่สุด  ไอ้เอกมันเป็นเพื่อนที่พี่รักและสนิทมากเช่นกัน แต่เราน่ะเป็นคนที่พิเศษที่สุดของพี่นะ พี่รักทัชนะครับ”

พูดพร้อมกับจูบเขาเบาๆหนึ่งที แต่ตัวเล็กกลับกอดผมแน่น และจูบตอบผมเบาๆสองครั้ง

“ผมเชื่อพี่ครับ และผมก็รักพี่มากนะ”  พร้อมกับดึงแขนอีกข้างของผมไปโอบรอบคอเขาไว้ และจูบผมอีกสองสามครั้ง
“ตัวเล็ก มันดึกแล้วนะครับ พรุ่งนี้ทำงานนะ” ผมพูดแทบไม่เป็นภาษา มีแต่เสียงอู้อี้ลอดออกมาห้ามแล้วก็ไม่เป็นผล จึงปล่อยเลยตามเลย  ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเพราะความรักเป็นเกณฑ์  จึงปล่อยให้เป็นไปตามครรลองของความรักที่ต่างฝ่ายต่างแสดงความรักต่อกัน

.
.


  วันที่ผมไปส่งไอ้เอกที่สนามบิน  บรรยากาศเดิมๆก็หวนกลับมาอีกครั้ง ผมล่ะเกลียดการร่ำลาจริงๆ แม้จะเป็นการร่ำลาจากกันชั่วคราวก็เถอะ มันหดหู่ยังไงพิกล  แต่เราต่างก็โตพอที่จะรู้ว่ามันคืองานที่เราต้องทำ ส่วนเรื่องห้องเช่าที่คอนโด ผมช่วยจัดการจนเสร็จเรียบร้อย

  เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วจนกระทั่งไอ้เอกกลับมาแล้ว และไปอยู่เชียงใหม่ทำระบบตามที่บริษัทส่งไป ผมเองก็ต้องมีเรื่องราวที่ดำเนินต่อไปเช่นกันแม้จะไม่ราบรื่นนัก

.
.

ออฟไลน์ thewa.arak

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 66
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ทัช..สัมผัสใจ ตอนที่ 24 (15ก.ค. 2560)
«ตอบ #39 เมื่อ16-07-2017 00:19:16 »

ตอนที่ 24




ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปแล้ว  Part นนท์/ทัช .....




   ในส่วนของตัวผมเองก็มีโปรเจกต์ที่ต้องไปญี่ปุ่นด้วยเช่นกัน จึงคุยกับทัช ว่าไม่อยากให้เขาไปไหน อย่างน้อยก็อยู่ที่เดิม เพราะมันคือที่ของเราสองคน แม้เขาจะเป็นคนขี้เหงาอยู่บ้าง ผมเองก็เป็นห่วงเขาอยู่ไม่น้อยที่ต้องอยู่คนเดียวนานหลายเดือน  แต่ทัชก็โตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น พูดจาเข้าใจกันมากขึ้น และเขาก็ยังคงทำงานที่เดิมแต่วนเวียนไปตามแผนกแล้วแต่หัวหน้าจะให้เวียนไปทำ 
       ผมกลับมาจากญี่ปุ่น ซื้อนาฬิกาให้เขาหนึ่งเรือนและรองเท้ากีฬาที่เขาชอบ ดำเนินชีวิตต่อไปอย่างมีความสุข จนกระทั่งเมื่อผมรู้ว่าต้องไปอยู่ญี่ปุ่นนานหนึ่งปี เพราะบริษัทมีการส่งเอ็นจิเนียร์ไปเทรนงานและรับเครื่องจักรสองช่วง จึงให้ผมอยู่ที่นั่น ซึ่งผมก็ต้องเตรียมตัวครั้งใหญ่เพราะไปคร้งนี้อยู่นานเป็นปี  และยังต้องเคลียร์กับเจ้าตัวเล็กของผมด้วย รายนั้นจะไม่อยู่ให้ได้เลยทีเดียว

“แค่ปีเดียวไงครับ เหมือนที่ตัวเล็กเคยพูดกับไอ้เอกน่ะ”

“มันไม่เหมือนกันนะครับ เราอยู่กันมาดีๆแล้วผมต้องมาอยู่คนดียวเป็นปี พี่ไม่สงสารผมบ้างหรือ”

“แต่มันเป็นงานของพี่นะครับ เราก็ทำงานของเราไปนะ ต่างคนต่างมีหน้าที่ พยายามทำหน้าที่ของตัวเองให้เต็มที่นะ ปีเดียวมันไวมาก สัญญานะครับ ว่าจะไม่ทิ้งพี่ไปไหน”   

ผมขอร้องแกมบังคับให้เขาสัญญากับผม เจ้าตัวเล็กก็ให้สัญญาเป็นดิบดี  แต่ผ่านไปเพียงสามเดือน เจ้าตัวเล็กทนอยู่ไม่ไหว น้าสาวเขาชวนไปค้าขายที่ กาฬสินธุ์ เขาจึงตอบตกลง  ผมไม่สามารถจะห้ามเขาได้ ใจก็สงสารที่เขาต้องอยู่คนเดียว ผมจึงบอกให้เขาย้ายออกไปอยู่หน้าปากซอยแทน โดยให้ป้าแม่บ้านมาช่วยขนย้าย ซึ่งผมเคยเกริ่นกับป้าแม่บ้านไว้แล้ว ค่าใช้จ่าย ให้ผ้าจัดการให้เสร็จสรรพ  และเมื่อผมกลับมาจึงค่อยดำเนินการจัดการเคลียร์ทุกอย่างจนเสร็จเรียบร้อย   

   ผมกลับมาก็ไม่ค่อยได้มีเวลามากนักเพราะญี่ปุ่นตามมาติดตั้งเครื่องจักร ต้องทำงานทำโอทีเกือบทั้งวันทั้งคืน  บางครั้งต้องทำจนข้ามคืนข้ามวัน แล้วอีกวันถึงค่อยได้พัก  เพราะช่วงติดตั้งเครื่องจักรมันมีปัญหาหลายๆอย่างที่ต้องจัดการ เนื่งอจาก คณะญี่ปุ่นที่มาติดตั้งเครื่องจักรนั้นมีระยะเวลาในการอยู่ในประเทศไทยอย่างจำกัด  บางคืนผมกลับมาก็เหนื่อย ว่าจะโทรหาเจ้าตัวเล็กก็ดันลืมเบอร์โทรอีกเนื่องจากมือถือหาย จนต้องซื้อเครื่องใหม่ จำเบอร์ใครไม่ได้เลย ประกอบกับงานรัดตัวแทบไม่มีเวลาพัก จึงไม่ได้ติดต่อทัชเลย

      หลังจากจบโปรเจ็กต์งานไปหมาดๆ ก็ต้องต่อด้วยโปรเจกต์ที่สอง และสามตามมา ซึ่งต้องเดินทางไปญี่ปุ่นบ่อยมาก หกเดือนบ้าง สามเดือนบ้าง ไม่มีเวลาติดต่อใครเลย เหนื่อยกับงานเป็นอย่างมาก แม้จะรายได้ดีจนแทบจะกระโดดลอยขึ้นฟ้าเมื่อได้รับสลิปเงินเดือน แต่รู้สึกไม่ค่อยคุ้มกับสุขภาพจิตที่เสียไป

 ผ่านไปสองปี และในปี 51 ผมกลับไปเที่ยวบ้านช่วงตรุษจีน แต่ไม่มีการจัดงานเหมือนเมื่อก่อน ผมได้มีโอกาสกลับไปเยี่ยมบ้านเจ้าตัวเล็ก โชคไม่ดีที่เจ้าตัวเล็กไม่อยู่ แม่หมวงต้อนรับขับสู้เป็นอย่างดี แม้ท่านจะดูอ่อนล้าลงไปเยอะ ที่ผมแปลกใจคือ ท่านไม่ได้กีดกันอะไรผมอีกแล้ว และที่ทำเอาผมเซอร์ไพรซ์คือ เจ้าตัวเล็กของผม มีน้องแล้ว หนึ่งคน  จากเรื่องราวคลุมถุงชนเมื่อครั้งที่ทำให้ผมกับทัชต้องทะเลาะกันครั้งใหญ่เลยทีเดียว  ผ่านไปเพียงสองปี ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปมากขนาดนี้เลยหรือ ผมทั้งตกใจทั้งประหลาดใจ ที่ทราบเรื่องการมีน้องของเจ้าตัวเล็ก  แต่สุดท้ายก็ต้องแยกกันอยู่ เพราะเขาแผลงฤทธิ์เอาไว้  แม่อยากได้ลูกไว้สืบสกุลเขาก็ทำให้แล้ว จึงไปอยู่กับน้าสาวที่ กาฬสินธ์ไม่กลับมาอีกเลย

“แม่น่ะเข้าใจลูกทั้งสองคนแล้วนะ สุดแล้วแต่ลูกจะคิดอ่านประคับประคองกันไป   ทัชน่ะ บทเขาจะหัวดื้อก็แทบชนฝาไม่ฟังเสียงใครใดใดทั้งสิ้น แล้วนี่เค้ารู้ไหมว่าลูกกลับมาแล้ว”

“ไม่ทราบเลยครับ ผมต้องขอโทษด้วย งานผมมันยุ่งมากจริงๆ และมือถือผมก็หายด้วย  เลยมาขอเอาใหม่”

“เดี๋ยวนะ แม่จดเอาไว้อยู่ “  แม่หมวงลุกไปหยิบสมุดมาเปิดดู และให้เบอร์ผมมา  ผมอยู่คุยกับท่านเล็กน้อยจึงขอตัวกลับ
ธรรมชาติสองข้างทางยังคงงดงามเช่นเคย ผมจอดรถข้างทางตรงเพิงแห่งเดิมแล้วจึงโทรออกไปตามเบอร์ที่แม่หมวงให้ไว้

 “ฮัลโหล “   เสียงทัชครับ   ผ่านไปสองปีไม่ได้ยินเสียงกันเลยแต่ผมยังจำได้ แม้เสียงเขาจะใหญ่ขึ้นก็ตาม

ทัชพูดฮัลโหลย้ำๆอีกสองครั้ง ผมจึงค่อยๆตอบ

“เป็นไงบ้างเนี่ย สบายดีมั๊ย”

“นั่นใครน่ะ”   แม๊จำเสียงผมไม่ได้ซะงั้น

“จำพี่ไม่ได้เหรอครับ เจ้าตัวเล็ก”  ผมแกล้งใส่สำเนียงยียวนกวนประสาท

“พี่นนท์  นนท์ใช่ไหม พี่กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมไม่โทรหาผม”

“เดี๋ยวๆ ช้าๆ หายใจบ้างนะ “

“พี่นนท์ใจร้ายทิ้งผมไว้คนเดียวอีกแล้ว”

“เด็กบ้า ทิ้งที่ไหนล่ะ ตัวเองนั่นแหละที่ทิ้งพี่ไป หนีไปทำธุรกิจซะงั้น เป็นไงล่ะกิจการดีมั๊ย”

“พี่ไม่ต้องเปลี่ยนเรื่องเลย พี่ไม่รู้หรอกที่ผ่านมาผมเจออะไรบ้างไม่มีคนคอยปรึกษาเลย อ้อ แล้วนี่ แม่คงบอกพี่ไปหมดแล้วสินะ”

“อื้ม พี่รู้แล้วร้ายไม่เบาเลยนะ สองปีเองมีลูกตั้งคนหนึ่งแล้ว”

“อย่าพูดแบบนั้นนะ ผมแค่ทำตามที่ทางบ้านต้องการ แต่ผมไม่ได้รักเขานี่ครับ”

“แล้วหนีปัญหาไปแบบนี้ ไม่อยู่ดูแลแม่ ไม่สงสารแม่เหรอ”   ผมยังคงเถียงไม่ลดละ

“พี่ทำไมไม่ถามว่าผมอยู่ยังไงสบายดีไหม มาไล่ๆถามแบบนี้ไม่คิดบ้างว่าผมจะรู้สึกอย่างไร”  ทัชเสียงแข็งใส่ผม

“ค้าบผม พี่ผิดไปแล้ว พี่สำนึกผิดแล้วค้าบ”    ลากเสียงยาวเป็นเชิงล้อเลียน

“เดี๋ยวเดือนหน้าผมค่อยลงไปหาพี่นะ ตอนนี้ช่วยน้าชายกับน้าสะใภ้ขายของ”  ทัชบอก

“ขายดีไหมล่ะ” 

“ก็ดีนะครับ”

“เอ่อ แล้ว ไปแอบหลงรักใครแถวนั้นหรือเปล่าเนี่ย พี่...หวงนะ”  ผมเว้นวรรคนิดหนึ่งเพื่อหยั่งเชิง

“พี่นนท์”  เสียงแข็งทันที และผมก็รู้ว่าผมไม่ควรไปแหย่เขาอีก

“ครับๆ พี่ก็ถามไปอย่างนั้น เห็นหนีพี่ไป ก็นึกว่า”   ผมยังพูดไม่ทันจบ สายก็ตัดไปเลย สงสัยจะโกรธผมจริงๆ  โอ้ย กูงี่เง่าแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันวะเนี่ย  ต่อสายกลับไปอีก จนกระทั่ง สายที่ห้าถึงยอมรับสาย

“ถ้าพี่นนท์ผูดกับผมแบบนี้ พี่จะไม่ได้เห็นผมอีกตลอดไป”  ทัชตะคอกใส่ตามสายมาถึงผม

“ไม่เอาสิ อย่าพูดแบบนี้นะ พี่ล้อเล่นเอง ขอโทษนะค้าบ พี่น่ะ คิดถึงเรามากเลยนะ แต่เราสิหนีพี่ไปเฉยเลย”   ผมทำเสียงงอนๆบ้าง

“ไม่ได้ทิ้งนิ อย่าเข้าใจผิดนะ ผมแค่อยู่คนเดียวไม่ได้ ถ้าไม่มีพี่”  เจ้าตัวตอบด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูหนักแน่น แค่นี้ผมก็ใจชื้นขึ้นมา
“เอ้อ  พี่ถามหน่อย แล้วลูกล่ะ ทำไง อยู่กับเราหรืออยู่กับเขา”  ผมถามจริงจัง

“เสียผีแล้วพี่ ฝ่ายนั้นเขาก็บอกว่าถ้าเราอยากเลี้ยงก็ไปรับมาได้  แม่น่ะอยากให้ไปรับมา แต่ผมกลัวว่าจะไม่มีใครดูแล ที่บ้านก็มีแต่คนเฒ่าคนแก่”

“อืม สงสารแม่หมวงอยู่เหมือนกันนะ แต่พี่ก็เคารพการตัดสินใจของเราละกันนะ “  ผมพูดอะไรไม่ได้มากเท่านี้ เพราะผมเองก็เคยเป็นแบบนี้มาแล้ว แต่เลือกที่จะไม่จำอดีตในส่วนนี้ จึงไม่ขอพูดถึง  ต่อจากนี้ไป ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นผมก็จะไม่ทิ้งหัวใจผมอีกแล้ว เพราะที่ผ่านมา ทุกอย่างมันบอกได้ชัดเจนแล้ว ว่าเราสองคนต่างก็รักกันอย่างจริงใจ

“พี่อยากมาดูผมขายของป่ะ ขายดีมากเลยนะพี่”  ธัชพูดด้วยน้ำเสียงเจือความตื่นเต้น

“พี่งานยุ่งน่ะ นี่มือถือหาย ติดต่อใครไม่ได้ เลยกลับมาบ้าน เพื่อมาขอเบอร์เราด้วย”  ผมอธิบาย

“พี่ชอบทำของสำคัญหายประจำเลยนะ นี่ถ้าผมหายไปพี่จะทำไง” 

“ทัช (เสียงแข็ง) ทำไมชอบพูดแบบนี้  หลายครั้งแล้วนะ พี่ขอเถอะ ต่อไปอย่าพูดแบบนี้อีก แล้วไม่ต้องมาแขวะว่าพี่ลืมเราอีกนะ พี่เบื่อฟัง” 

“หึ “   ทัช พูดมาแค่นั้น

“วันอาทิตย์นี้พี่ก็กลับ กทม แล้ว งานยุ่งจัด ยังไงถ้าเราลงมาแล้วอย่าลืมโทรบอกพี่ด้วยนะ บอกล่วงหน้าด้วย จะได้เตรียมตัว”

“ไม่เอา ถึงเมื่อไหร่ค่อยโทรบอก ไม่แน่หรอก อาจจจะไปโผล่ที่หน้าห้องเลยก็ได้”

“ไม่เปิดประตูให้เด็ดขาด ไม่ชอบเซอร์ไพรส์”

“พี่นนท์ ..งั้นก็อย่ามาคุยกับผมอีก”

“โอ๋ๆๆๆ   เด็กบ้า  ขี้งอนอย่างนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย  ล้อเล่นน่า พี่ล่ะอยากให้มาถึงไวๆ คิดถึงจะแย่แล้ว  ไม่เอานะๆๆๆ เด็กดี หายงอนนะ”

“เหอะ “

“น่านะ เดี๋ยวพาไปทะเลอีก”

“เย้ๆ จริงๆนะ”

“ค้าบ เจ้าชาย กระหม่อมจะรับใช้เจ้าชายอย่างสุดความสามารถเลยค้าบ”  ผมลากเสียงยาวล้อเลียน

“ดีมาก  ไว้ผมไปถึงแล้วจะโทรบอกครับ”

“อืม ดูแลตัวเองด้วยนะ “

“พี่นนท์ ขับรถกลับดีๆนะครับ “

“ค้าบ”

“คิดถึงพี่นะ คิดถึงมากๆ”

“ค้าบพ้ม พี่ก็คิดถึงเรานะ “

  ....

 กลับมาถึง กทม และทำงานอย่างหนักหน่วงยาวไปสองสัปดาห์ทั้งโอทียันเสาร์อาทิตย์ พักผ่อนน้อยจนร่างกายอ่อนล้า ขอบตาเป็นหมีแพนด้า  ชีวิตคนเรา ไม่อาจจะรู้ล่วงหน้าได้เลยว่าสิ่งที่ยากเกินความสามารถจะยอมรับได้นั้นกำลังคืบคลานเข้ามาแล้ว
.......

  เสียงมือถือดังปลุกขึ้นยาม เที่ยงคืนครึ่ง  ผมงัวเงียรับสาย  เตรียมใจไว้แล้วว่าอาจจะถูกเรียกเข้างาน เพราะช่วงที่ผ่านมา แม้จะกลับจากที่ทำงานแล้ว ก็มีบ่อยครั้งที่โดนเรียกกะทันหัน ต้องเดินทางไปเข้างานจนเช้า แต่บริษัทก็ให้พักข้ามวัน ไปเข้างานอีกวันได้   แต่เอ๊ะ  นี่มันวันศุกร์นี่  และญี่ปุ่นที่มาติดตั้งเครื่องจักรก็กลับประเทศไปกันแล้ว หมดโปรเจกต์แล้ว ทำเอาเราสมองเบลอไปเลย  ใครกันโทรมาเอาป่านนี้  ผมไม่ทันสังเกตหน้าจอด้วยซ้ำไป

“ฮัลโหลล  ใครน่ะ โทรมาป่านนี้”

“พี่นนท์ เดี๋ยวเหอะ  ออกมารับผมด้วย ที่เดิมนะ”  เสียงเจ้าตัวเล็กปลุกผมตื่นจากภวังค์ ยังไมทันได้ตอบอะไรก็วางสายไปเสียแล้ว ผมตบหัวตัวเองเบาๆสองสามครั้ง แล้วต่อสายไปใหม่

“ทัช อยู่ตรงไหน”

“ที่เดิมครับพี่”  เสียงดังราวกับตะโกนแข่งกับเสียงจ้อกแจ้กจอแจรอบข้าง

“พี่บอกว่าไง ให้โทรมาบอกล่วงหน้าไม่ใช่เหรอ  ถ้าพี่เผลอปิดมือถือจะทำไงล่ะ”

“รีบๆมานะพี่  หนาว”  แล้วก็ตัดสายไปเลย  ไอ้เด็กบ้านึกจะพูดก็พูดนึกจะวางก็วาง เดี๋ยวจะทำโทษให้เข็ดเลย  ผมรีบจัดแจงล้างหน้าล้างตาแล้วบึ่งรถออกไปทันที 

  ทัช ในชุดเสื้อเชิ๊ตสีขาว กางเกงยีนส์ ผมรองทรง รองเท้าหนัง  จัดเต็มมาเชียว ผมเป็นคนแนะนำให้ลองใส่เสื้อผ้าแบบนั้นเอง ผมชอบแบบนั้น ชอบที่ให้เขาแต่งตัวแล้วดูเหมาะกับเจ้าตัว ซึ่งเจ้าตัวเองก็ชอบด้วย ผมจอดรถด้านหน้า ทัชขึ้นมาปุ๊ปก็ออกรถทันที 

“ตัวเล็ก เดินทางเหนื่อยๆ  หิวมั๊ยเนี่ย”  ผมทักขณะกำลังยิ้นบัตรให้พนักงานตรงทางออก  พอรถออกตัวยังไม่ทันจะเลี้ยวซ้ายออกถนนใหญ่ เจ้าตัวเล็กก็ทำเซอร์ไพรซ์ทันที

“เฮ๊ย เป็นบ้าไรเนี่ย เดี๋ยวรถก็เสียหลักหรอก นั่งดีๆแล้วก็รัดเข็มขัดด้วย”   ผมปรามเบาๆ เมื่อเจ้าตัวเล็กแอบจุ๊บแก้มผมไปเต็มแรง
 
“คิดถึงอ่ะครับ คิดถึงพี่มากๆเลย” 

“รู้แล้วๆ  รัดเข็มขัดเร็วๆ เดี๋ยวตำรวจจับ พี่ไม่จ่ายให้นะ”

“บ้าแล้ว พี่นนท์ ดึกป่านนี้ตำรวจเค้าจะมายืนจับอยู่แถวนี้เหรอ”  ว่าแล้วก็ทำลอยหน้าลอยตา

กวนประสาทใส่เราอีก

“เพื่อความปลอดภัยน่า”   ผมเสียงแข็งใส่

“ค้าบ คุณพ่อ”  ทัชทำเสียงล้อเลียน ผมเลยเขกหัวไปเบาๆหนึ่งที

“พี่นนท์ ขับรถดีๆ ดูทางด้วย”

“เดี๋ยวถึงบ้านก่อนเถอะ จะลงโทษให้เข็ดเลย”  ผมชี้หน้าเจ้าตัวเล็กเป้นเชิงคาดโทษ

“โอ๊ย กลัวแล้วค้าบ กลัวจริงจริ๊ง “  .... ดูมันทำสิ ลอยหน้าลอยตากวนประสาทอีกแล้ว เออ เดี๋ยวถึงบ้านก่อนเถอะ จะคิดบัญชีทบต้นทบดอกเลยทีเดียวเชียว   

“ตัวเล็ก  แวะกินข้าวต้มก่อนมั๊ย หิวมั๊ยเราน่ะ”  ผมถามเมื่อเลี้ยวรถกลับตรงแยกแคราย

“พี่นนท์หิวเหรอครับ”

“ไม่หิวหรอก แต่กลัวเราจะหิวน่ะ”

“อืม ก็นิดหน่อยอ่ะพี่ รถทัวร์แวะพักกลางทางแต่ไม่รู้จะกินอะไรดี มันไม่อร่อยและเหมือนบูดๆ”

“น่าสงสารจังเลยว่ะ  เดี๋ยวพี่พากินข้าวต้มร้านเดิมละกัน”

“พี่อยากกินกุ๋ยช่ายขาวล่ะสิ”
 
“ทำมาเป็นรู้ดี”

“เอ้า ผมเป็นใคร ทำไมจะไม่รู้ว่าพี่ชอบอะไรไม่ชอบอะไร”   เสียงแข็งใส่ผม ผมทำไดก้แต่หัวเราะหึๆในลำคอ จริงสินะ เจ้าตัวเล็กเคยบ่น ว่าผมชอบทำแต่อาหารประเภทเส้นให้กินเป็นประจำ

“ครับๆ พี่ไม่เถียงละ”



.
.
(ต่อ)



CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ทัช..สัมผัสใจ ตอนที่ 24 (15ก.ค. 2560)
« ตอบ #39 เมื่อ: 16-07-2017 00:19:16 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ thewa.arak

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 66
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
(ต่อ)

.
.

จบจากร้านข้าวต้มริมทางถึงค่อยขับรถลัดเข้าซอยออกไปด้านในแล้วค่อยเลี้ยวกลับออกมาที่ปากซออย จนทัชสงสัย ผมถึงค่อยอธิบายว่าขี้เกียจไปวนรถกลับเลยลัดเข้าซอยเอา มันสามารถทะลุถึงกันได้  และเนื่องจากเหนื่อยๆกันทั้งสองคนจึงรีบอาบน้ำและเข้านอนทันที ธัชเองก็คงเหนื่อยมาก หัวถึงหมอยคุยได้ไม่ทันไรก็หลับผลอยไปเลย ผมมองดูในหน้าเขา ลูบหน้าผากเสยผมขึ้นเบาๆ  ดูคล้ำลงไปมาก สงสัยคงตากแดดบ่อย รู้วึกสงสารเขาขึ้นมาจับใจ 

...ไอ้เด็กโง่เอ๋ย อยู่ใกล้พี่นี่ก็ดีอยู่แล้ว จะไปลำบากทำไม อยู่กับพี่พี่เคยขาดตกบกพร่องที่ไหนกัน..ผมเอานิ้วชี้ทั้งสองข้างจิ้มแก้มเขาเข้าหากัน  ..รู้ไหม พี่น่ะ คิดถึงเรามากแค่ไหน ต่อไปอย่าดื้อกับพี่อีกนะ... ผมกระซิบเบาๆข้างหู ไม่สนว่าจะได้ยินหรือไม่ พร้อมกับจูบหน้าผากเบาๆ แล้วล้มตัวลงนอน สอดแขนใต้คอเขาและโอบกอดเขาไว้แน่นๆ ใกล้จนได้ยินเสียงลมหายใจ
.
.

 สายๆของวันเสาร์ สัปดาห์ถัดมา เป็นวันที่ผมต้องลำบากใจอีกครั้ง เมื่อ แม่หมวงและคนที่ได้ชื่อว่าเป็นเมีย(อดีตเมีย)เจ้าตัวเล็กพร้อมกับลูกน้อยอายุขวบเศษๆ ลงมาเที่ยวหาญาติที่บางบอน แต่ขอมาพักห้องผมหนึ่งคืน คงเพราะแม่หมวงอยากมาเห็นที่อยู่และความเป็นไปของลูกชายกระมัง  ผมเองก็หวั่นๆรู้สึกเหมือนมีลางสังหรณ์อะไรสักอย่าง  ผมเช่าห้องว่างชั้นสองให้หนึ่งคืน พร้อมกับพาไปทานข้าว ดูแลอย่างดี และในคืนนั้นเองสิ่งที่ผมไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นจนได้

“ทัช ลงไปเล่นกับลูกบ้าง อย่างน้อยตัวเองก็ได้ชื่อว่าเป็นพ่อ”   แม่หมวงขึ้นมาเรียก แกเดินไปรอบห้อง และเปิดระเบียง เสื้อผ้าผมและเจ้าตัวเล็กตากอยู่ด้านนอกระเบียง ปลิวไหวๆตามแรงลม

“เขาก็อยู่ของเขาไปสิแม่ เราทำตามประเพณีเราแล้วเขาเองก็ควรจะเข้าใจ”  ทัชอธิบาย

“แต่ยังไงเราก็เป็นพ่อเด็กนะ ไม่คิดจะลงไปเล่นไปคุยกับลูกบ้างหรือ”

“คุยน่ะคุยได้นะแม่ แต่อย่ามาบอกให้ผมลงไปนอนด้วยนะ”

“แม่ก็ไม่ได้คาดหวังอย่างนั้นสักหน่อย แต่ถ้าทำได้ก็จะดี นนท์คงไม่ห้ามใช่ไหมจ๊ะ แม่ก็นอนอยู่ด้วยนะไม่ต้องห่วงหรอก”  แม่หมวงพูดดักคอ

“เอ่อ ผม..”

“พี่นนท์เขานอนคนเดียวไม่ได้ แม่อย่าบังคับเลย เราเคยคุยกันแล้วนะเรื่องนี้”  ธัชเสียงเข้มทันที จนผมต้องเอื้อมมือไปตบบ่าเขาเบาๆเป็นเชิงห้าม
“ นนท์ คงไม่ต้องให้แม่พูดมาก นนท์โตแล้วน่าจะเข้าใจนะ”

“ผมเข้าใจครับ  ทัช ลงไปเล่นไปคุยด้วยก็ไม่เห็นจะเป็นไรเลย อย่าคิดมากน่า”   ผมตอบแม่หมวงและหันไปบอกเจ้าตัวเล็ก

“เล่นด้วยน่ะได้อยู่แล้ว พี่นนท์ต้องลงไปด้วยนะ”

“อืม ก็ดีเหมือนกัน งั้นไปพร้อมกันเลย”  แม่หมววงคล้องแขนเจ้าตัวเล็กเดินนำลงไปก่อน

 ผมล็อคห้องเดินตามไปทีหลัง ผมอยู่ชั้นห้า  แม่หมวงและน้องคนนั้นอยู่ชั้นสอง ที่นี่ไม่มีลิฟต์ เดินขึ้นลงบ่อยๆก็ให้นึกสงสารแม่หมวงขึ้นมาทันที

  ในห้อง เด็กน้อยกำลังนั่งดูทีวี เงียบกริบไม่ซนเหมือนเด็กทั่วๆไป เจ้าตัวเล็กของผมเข้าไปเล่นกับเด็กน้อย  รู้ว่าชื่อ เกาเฟย  คุยกันไปได้สักพัก

“ยังฮอยอะบัวมิ่งบางบอนโล่ (พรุ่งนี้พวกเราจะไปบางบอนแล้วนะ)”  แม่ของเด็กเอ่ยขึ้น

“ใช่ พรุ่งนี้ก็ไปแต่เช้า ไปเยี่ยมญาติที่นั่นน่ะ”  แม่หมวงตอบรับ

“ให้ผมไปส่งไหมครับ”  ผมอาสา

“ไม่ต้องหรอกค่ะ ไม่อยากรบกวน หนูไปกับแม่ เดี๋ยวขึ้นรถตู้ไป”   น้องเค้าบอกด้วยความเกรงใจ

“เอ้อ แม่ว่าจะให้ทัชไปส่งด้วยน่ะ พรุ่งนี้ก็ไปพร้อมกับแม่เลยนะ”  แม่หมวงเอ่ยขึ้น

“ทำไมต้องให้ผมไปด้วยล่ะ”  เจ้าตัวเล็กเสียงเข้มขึ้นมาทันที

“พวกเราไม่รู้ทาง ลูกไปส่งน่ะถูกแล้ว  นะ ถือว่าแม่ขอร้อง”  แม่หมวงเขยิบเข้ามานั่งใกล้ทัช เขาเงยหน้ามองมาทางผม

“เอ่อ  ทัชไปส่งก็ได้มั๊ง มันไม่ได้ไกลมากมายขนาดนั้น ใช่ไหม”  ผมพูดเสียงราบเรียบ แต่เจ้าตัวเล็กมองผมตาขวาง

“พี่นนท์เราเคยคุยกันแล้วนะครับ”  ทัชเสียงเข้มกับผม เป็นครั้งแรกที่เขาทำเสียงดุเสียงเช้มกับผมอย่างจริงจัง

“เอ่อ แม่ครับ ทางมันไกล ยังไงให้ผมขับรถไปส่งดีกว่าไหมครับ”   ผมพูดเสียงราบเรียบปกติอาสาไปส่งอีกรอบ

“ไม่เป็นไรจ้ะนนท์  ทางนั้นมีญาติเยอะหลายคน เกรงว่าจะไม่สะดวก เดี๋ยวต้อนรับได้ไม่ดี”   แม่หมวงอธิบายเสียงปกติ  แต่ผมรู้สึกได้ถึงการกีดกัน  นึกถึงสมัยที่เจ้าตัวเล็กของผมไปดูตัวที่บ้านวังถ้ำ ภาพวันนั้นผมยังจำได้ติดตา   

“ทำไมแม่ต้องให้ผมไปด้วย เราเคยคุยกันแล้วนะครับ ผมคิดว่าแม่จะเข้าใจแล้วเสียอีก”  ธัชเริ่มมีเสียงเข้ม ผมจึงทำเสียงกระแอมกระไอเพื่อเป็นเชิงปราม

“แม่เข้าใจนะ แต่นี่มาไกลๆมาถึงขนาดนี้ แค่ให้ไปส่งนี่มันไม่ลำบากขนาดนั้นหรอกมั๊ง  ดูนั่นสิ ดู นั่นคือเด็กที่เกิดจากเราเองนะ”  แม่หมวงเริ่มมีเสียงเข้มเช่นกัน

“เรารับผิดชอบตามประเพณีแล้วนะครับ  อาเฝย  ขอถามหน่อยเถอะ เธอต้องการอะไรกันแน่ถึงทำแบบนี้”  ทัชหันไปถามหญิงสาวคนนั้น 

“เอีย (แปลว่า ฉัน) ไม่ได้คิดอะไร เพียงแต่เอียจะลงมาเที่ยวหาญาติเอีย แล้วแม่ก็บอกให้มาแวะมาเที่ยวหาเท่านั้นเอง”  หญิงสาวคนนั้นตอบ  ผมเริ่มรู้สึกว่าบรรยากาศชักจะมึนตึงกันไปกันใหญ่

 “เอ่อ เดี๋ยวผมขึ้นไปเอาน้ำดื่มมาให้นะครับ เผื่อหิวน้ำกัน”    จบคำผมก็ไม่มีเสียงตอบใดใด ผมจึงพยักหน้าค่อยๆก้าวออกจากห้องเดินขึ้นไปชั้นบนห้องตัวเอง  ..นี่มันอะไรกันอีกเนี่ย ..แม่หมวงคิดจะทำอะไร ผมควรจะทำอย่างไร 

   ...จากนี้ไปพี่จะไม่ทิ้งผมใช่ไหม....เสียงเจ้าตัวเล็กผุดขึ้นมาวนเวียนอยู่ในสมอง ..

 ...พี่จะดูแลผมใช่ไหม พี่จะไม่ทำให้ผมเสียใจใช่ไหม....... ประโยคต่างๆจากเจ้าตัวเล็กผุดฉายวนซ้ำ จนผมต้องยกมือกุมขมับ  ผมควรจะทำอย่างไรต่อไปดี  ระหว่างที่เอาน้ำสองขวดลงไปผมเอาหน้าแนบผนังห้องส่วนที่ใกล้กับประตูกลอนซึ่งจะสามารถได้ยินเสียงจากด้านในได้ แต่ต้องตั้งใจฟังเป็นอย่างยิ่ง  ยังคงพอทันได้ยินเสียงแม่หมวงกับทัชคุยกัน เป็นการคุยกันที่ไม่สู้ดีนัก

“ลูกจะอยู่อย่างไร แก่ตัวมาจะทำอย่างไร ใครจะดูแล พี่เขาจะดูแลเราไปได้ตลอดหรือ ทำไมลูกแม่กลายเป็นแบบนี้”

“ผมเคยบอกแม่แล้ว แม่เข้าใจผมแล้ว ทำไมถึงทำแบบนี้ ผมผิดตรงไหน แค่ผมรักพี่เขาและพี่เขาก็รักผม เรารักกันมันผิดตรงไหนครับ”

“ผู้ชายสองคนจะรักกันได้อย่างไร รักกันแบบพี่น้องจะไม่ว่าสักคำ รู้จักกันมาก็นานแม่ไม่เคยคิดเลยว่าจะมาทำให้ลูกแม่กลายเป็นคนแบบนี้”

“แม่ไม่ต้องไม่ว่าพี่เขาเลย  พี่เขาเป็นคนดี เรารู้จักกันมานาน พี่เขารักและห่วงใยผมมาตลอด แม่ไม่เข้าใจหรอกว่าเขาดีกับผมยังไง  ถ้าแม่บังคับผมผมจะตายให้ดู”     ทัชพูดเสียงกระแทกใส่แม่หมวง ผมรู้สึกใจหายวาบ นี่มันชักจะเลยเถิดแล้วนะ ..

 ผมเคาะประตูสองที  เจ้าตัวเล็กมาเปิดประตูให้ ผมลอบมองสีหน้าเขาแว่บหนึ่ง หยาดน้ำตาปริ่มๆอยู่ตรงขอบตา ผมสงสารเขาจับใจ  ผมทำตัวไม่ถูก บรรยากาศอึมครึมมาก และผมก็ทันได้เห็นแม่หมวงปาดน้ำตา ยิ่งทำให้ผมใจหายและรูสึกว่าตัวเองทำผิดมหันต์

“นนท์  แม่รู้ทุกอย่างนะ แม่เข้าใจที่ลูกสองคนรักกัน แต่ยืนยันกับแม่สิ ว่าลูกรักกันแบบพี่น้อง ลูกเคยสัญญากับแม่ว่าจะดูแลกัน แต่นี่มันไม่ใช่ มันเกินไป ไหนลูกบอกแม่มาสิว่ามันเป็นอย่างไร” 

แม่หมวงพูดด้วยเสียงเครือ  อาเฝยกอดลูก น้อยตรงฝั่งหัวเตียง ทัชยืนอยู่ข้างๆผม ขยับมาเกาะแขนผมแน่นราวกับจะบอกว่า อย่าทิ้งเขาไว้เหมือนที่ผมเคยทำมาแล้ว  ผมเองก็อึ้งทำตัวไม่ถูก แทบไม่รู้ตัวเลยว่าก้มลงกรามแม่หมวงตอนไหน

“แม่ครับ ผมขอโทษ จริงๆแล้ว ผมรักเจ้าตัวเล็กมากเลยครับ รักและห่วงใยเขามาก หวงแหนเขามาก เราผูกพันกันมาตั้งแต่มัธยม ผมไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไรดี แต่ผมรักน้องเขามากจริงๆ ที่ผ่านมาผมเคยทำผิดกับเขา เขาก็ยังอดทนรอผมมาตลอด ผมเองก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงรักเขาได้ ทั้งๆที่เป็นผู้ชายเหมือนกัน แต่วคามรู้สึกรักมันห้ามไม่ได้นี่ครับ  มันก็แค่เป็นผู้ชายเหมือนกัน ผมขอให้แม่มองข้ามมันไปได้ไหมครับ “    ผมอธิบายยาวเหยียด แม่หมวงและเฝยจิ้งมองผมตาค้าง

“ไม่ได้เด็ดขาด ผู้ชายจะรักกันได้อย่างไร เราจะมองหน้าบรรพบุรุษเราได้อย่างไร แก่ตัวมาใครจะดูแล เราก็โตๆกันแล้วนะ แม่เลี้ยงลูกแม่มาไม่ได้ให้มาทำแบบนี้  ไหนบอกแม่สิ แม่ผิดตรงไหน แม่เลี้ยงลูกมาไม่ดีตรงไหน”  แม่หมวงพูดด้วยน้ำตานองหน้า

  ผมกลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้ เจ้าตัวเล็กคุกเข่าลงข้างผมโอบกอดผมไว้จากด้านหลัง  แม่หมวงเห็นดังนั้นก็ผลักเราสองคนกระเด็นออกไปคนละทาง ทัชร้องไห้ ผมเสียใจเป็นอย่างยิ่ง  รู้สึกเจ็บปวดที่ไม่สามารถโอบกอดคนที่ตัวเองรัก   อีกคนก็เป็นผู้มีพระคุณ เป็นแม่ของคนที่ตัวเองรัก  ผมไม่รู้เลยในสถานการณ์นี้ผมควรทำอย่างไรดี  เหตุการณ์คล้ายๆวันที่ที่ธัชต้องดูตัวทำให้ผมต้องขับรถกลับกรุงเทพคนเดียวมันย้อนวนกลับเข้ามาในห้วงความทรงจำ และแว่บหนึ่ง เสียงเจ้าตัวเล็ก ดังก้องอยู่ในใจ

....พี่อย่าทิ้งผมไปอีกนะ..... อย่างทิ้งผมให้ต้องสู้เพียงลำพังคนเดียว.......

“ผมขอโทษจริงๆครับแม่ แต่ให้เลิกรักกันผมคงทำไม่ได้  ขนาดผมไปอยู่ญี่ปุ่นผมยังคิดถึงน้องเขาทุกวัน ทำมือถือหายก็พยายมหาทางกลับไปขอเบอร์ติดต่อมา ผมสัญญาว่าผมจะรักและดูแลน้องเขาตลอดไปจนกว่าผมจะหมดลมหายใจ “   ผมก้มลงกราบแม่หมวงอีกครั้ง  แม่หมวงขยับเท้าหนี

“แม่ทำใจไม่ได้ ที่ลูกจะเป็นแบบนี้ แม้จะเคยเข้าใจ แต่เอาเข้าจริงๆก็ทำใจไม่ได้”  แม่หมวงพูดทั้งน้ำตา ผมเองก็เจ็บปวดไม่แพ้กัน เจ้าตัวเล็กของผมด้วย ผมสงสารเขาเหลือเกิน ผมจับมือเขาบีบแน่นเป็นเชิงบอกว่า ผมจะไม่มีวันทำแบบนั้นแน่นอน ผมจะไม่มีวันทิ้งเขาให้เผชิญกับสถานการณ์ที่หัวใจเกินจะรับไหวแบบนี้ อีกเด็ดขาด  พอดีเสียงมือถือโนเกียของแม่หมวงดัง ผมจึงถือโอกาสลา

“แม่พักผ่อนให้สบายนะครับ  น้องด้วยนะ พรุ่งนี้ผมจะไปส่งที่หมอชิตครับ”  ผมพูดจบก็คว้ามือของทัชให้เขาลุกเดินตามมา แต่แม่หมวงรั้งแขนอีกข้างของเขาไว้

“อาเกา (ชื่อภาษาถิ่นของทัช) อยู่คุยกับแม่ก่อนนะลูก”  แม่หมวงไม่รอคำตอบหันไปคุยโทรศัพท์ต่อ เจ้าตัวเล็กมองหน้าผม ผมบีบมือเขาเป็นกำลังใจ

“พี่จะรอนะ”   ผมกระซิบบอกเขา และเขาก็พยักหน้า ผมเดินออกไปโดยไม่ได้พูดอะไรเลย เดินขึ้นห้องด้วยจิตใจที่แสนจะสับสน  นี่มันอะไรกัน เราเพิ่งกลับมาจากบ้านกันแท้ๆ ทำไมเรื่องราวมันถึงกลายเป็นแบบนี้  หรือน้าของทัชจะโทรไปบอกแม่ ว่าทัชตามลงมาหาผม  ญาติๆของทัชรังเกียจผมมากเลยหรือนี่...
.
.

  แม้จะกลับมาที่ห้องของตัวเองแล้วก็ตาม แต่จิตใจผมมันร้นรนกระวนกระวาย เดินไปเดินมาเป็นสิบรอบ ในหัวมันคิดอะไรวุ่นวายสับสนไปหมด ....ทัช จะถูกหว่านล้อมอะไรอีกบ้างหรือไม่ ทำไมผมไม่ดื้อดึงอยู่กับทัชคอยอยู่ข้างๆเขา เออ ใช่สิ แม้จะเป็นแม่ผู้มีพระคุณ แต่เราสัญญากับเขาแล้วว่าเราจะไม่ปล่อยให้เขาต้องต่อสู้อยู่คนเดียวนี่นา ..คิดได้ดังนั้น ก็กำลังจะเปิดประตูออกไปก็พอดีกับที่ ทัชกำลังจะเข้ามา  ผมรีบดึงตัวเขาเข้ามาและไม่ลืมที่จะล็อคประตู  ผมดึงเขาเข้ามากอด แน่น

 “ตัวเล็ก มีอะไรหรือเปล่า เกิดอะไรขึ้น คุยอะไรกับแม่บ้าง”

 เจ้าตัวเล็กของผมปล่อยโฮออกมา ผมรู้สึกเจ็บจุกจนแน่นหน้าอก  ผมโทษตัวเองที่มปล่อยให้เขาต้องต่อสู้กับความรู้สึกบีบคันคนเดียวอีกแล้ว

“โธ่โว๊ย”   ผมโมโหลืมตัวหันไปชกฝาผนังจนมือถลอก ทัชเข้ามากอดผม ร้องไห้สะอึกสะอื้น

“พี่นนท์อย่าทำแบบนี้”   ผมหันมา สองมือประคองไหล่เขา

“ทัช บอกพี่มานะ ว่าคุยอะไรกันไปบ้าง”

“พรุ่งนี้แม่จะให้ผมไปบางบอนด้วย แต่ไม่ให้พี่ไปด้วย เพราะญาติทางนั้นเค้าพอรู้เรื่องบ้างแล้วเค้าคงไม่ยินดีถ้ารู้ว่าพี่เป็นใคร”  เจ้าตัวเล็กพูดไปทั้งน้ำตาและสะอึกสะอื้น

“...........”     ผมพูดอะไรไม่ออก ไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกอะไร ทั้งจุกทั้งเจ็บทั้งแค้นใจน้องใจ ปนเปกันไปหมด  ไหนแม่หมวงเคยบอกว่าเข้าใจพวกเราแล้วไง ทำไมถึงทำแบบนี้  นี่ผมต้องเลือกระหว่างทำให้ถูกต้องตามประเพณีต้องรักษาหน้าตาให้อีกฝ่าย โดยที่ต้องยอมทรยศต่อความรู้สึกของตัวเอง และทรยศต่อวคามรู้สึกของคนที่ผมรักและเคยสัญญาต่อกันอย่างนั้นหรือ ทำไม ทำไมมันต้องเป็นแบบนี้ 


  ในที่สุดวันที่ผมไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นก็เกิดขึ้นจนได้  แม่หมวงจะพาทัชไปจากผม ผมรู้ว่ามันจะเป็นแบบนั้น ผมเข้าใจ ที่แม่เคยมาขอคำสัญญากับผม  และหวังว่าสิ่งที่ผมทำนั้นจะเป็นทางเลือกและทางออกที่ดีที่สุดสำหรับเราทั้งสองคน

“ ทัชไปเถอะ ทำตามที่แม่ผู้มีพระคุณต้องการ พี่มันก็แค่คนคนหนึ่ง ที่ในอนาคตยังไม่รู้เลยว่าจะดูแลตัวเล็กได้ดีอย่างที่มันเคยสัญญาไว้หรือเปล่า และพี่เองก็ไม่อยาดให้ตัวเล็กต้องกลายเป็นลูกอกตัญญู  เชื่อฟังแม่ ตอบแทนคุณความดีของผู้มีพระคุณ สำหรับพี่ พี่เข้าใจ”  ผมพูดทั้งน้ำตา ไม่รู้เลยว่าตัวเองพูดอะไรแบบนี้ออกไปได้อย่างไร

“ทำไมพี่พูดแบบนี้ ผมไปส่งเฉยๆ เดี๋ยวผมก็กลับมาครับ ผมสัญญานะ”

“อืม อย่างนั้น พี่จะรอนะ”    ผมก็พูดไปอย่างนั้นเอง

    รู้ทั้งรู้ว่า เมื่อเจ้าตัวเล็กไปแล้ว คงยากที่ทางฝ่ายนั้นจะปล่อยตัวออกมา  แต่ผมไม่อยากทำร้ายเขา เขาอาจจะมีชีวิตที่ดีกว่า ไปสร้างครอบครัวตามแบบที่บรรพบุรุษของเขาต้องการ  ซึ่งผมเองก็ไม่เข้าใจว่า ในเมื่อคุยกันจบไปแล้วทำไมยังตามมารังควานคนของผมด้วย  แต่เพื่อความถูกต้องและไม่ถูกตราหน้าว่าเป็นคนทำให้ครอบครัวเขาแตกแยก แม้ผมจะรักเขามากแค่ไหน ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปแล้ว หรืออาจจะกำลังเปลี่ยนไป ผมรู้ว่า เขารักผม และผมก็รักเขามากแค่ไหน  แต่เพื่อความถูกต้องผมยินดีที่จะให้มันเป็นไปแบนี้ ยินดีที่จะคอยเฝ้ามองความสำเร็จของเขา ตามความตั้งใจเดิมที่เคยคิดว่ารักและห่วงเขาอยากให้เขาได้ดี  ผมคงไม่ได้ทำผิดใช่ไหมที่ปล่อยเขาไป  ไม่ใช่เพราะผมไม่รักเขา  แต่เพราะรักจึงต้องทำแบบนี้   ผมพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ ไปส่งเขาขึ้นรถแท็กซี่ 

“พี่รอผมด้วยนะ เดี๋ยวผมจะโทรมา พี่ต้องรีบมารับผมนะ”  ทัชพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ผมรู้ว่าเขาเองก็กลั้นน้ำตาเอาไว้อย่างอดทน  ผมทำได้เพียงฝืนยิ้มให้

“ครับ พี่จะรอนะ”  อีกแล้ว ผมพูดอะไรแบบนี้อีกแล้วเหมือนกับยังคงมีความหวังว่าจะได้เจอเขาอีก   ไหว้ลาแม่หมวง ที่ดูครั้งนี้แม่หมวงจะเพียงรับไหว้ไม่พูดจาใดใด สีหน้าไม่เหมือนทุกครั้งไม่เหมือนคนที่เคยรู้จักกัน

 ผมมองส่งเขาจนแท็กซี่ห่างออกไปไกลลับตา  และน้ำตาก็ไหลออกมาไม่อายสาตาใครในปากซอย...ทัช ..พี่รักทัชนะ ..รักมาก...โปรดรับรู้ไว้  ทัชเป็นคนเดียวที่พี่มอบให้หมดทั้งหัวใจ  ดูแลตัวเองด้วยนะ..

 ผมรำพันกับตัวเอง  แทบจะรู้สึกยืนอยู่ไม่ไหวจึงรีบเดินเข้าอาคาร ขึ้นห้องตัวเอง ล้มตัวลงนอนปลดปล่อยความรู้สึกที่อัดอั้นตันใจออกมา


 
เสริมท้าย
 


    และแล้วก็เป็นจริงอย่างที่ผมคาดไว้   ทัชถูกกักตัวไว้จริงๆ แม้แต่เบอร์โทรก็ถูกตัดออก ผมโทรแล้วไม่ติดเลยสักครั้งเป็นสัญญานฝากข้อความทั้งหมด ผมเฝ้าโทรครั้งแล้วครั้งเล่าวันแล้ววันเล่า จนเริ่มท้อ มันเหนื่อยเหลือเกิน มันปวดใจเหลือเกิน ทำไมมันถึงได้ทรมานแบบนี้  จากวันเป็นเดือน ผมก็ไม่สามารถติดต่อกับเขาได้เลย


จนกระทั่งวันหนึ่ง ...


 “พ่อหนุ่ม มีคนมาหาแน่ะ อยู่ตรงที่รอแขกน่ะ”   แม่บ้านเรียกผมเมื่อเห็นผมกำลังจะขึ้นห้องหลังจากกลับมาจากที่ทำงาน  ใครกันมาหา พอผมเดินไปเห็นหน้าเท่านั้นแหละ ผมทั้งตื่นเต้นตกใจปนสงสัยแทบจะกระโดดกอดเลยทันทีแต่อายแม่บ้าน จึงรีบพาเจ้าตัวเล็กเดินขึ้นห้องไปแทบจะกระโดดก้าวข้ามขั้นบันได้เลยทีเดียว  ถึงห้องได้ก็โผกอดกันต่างคนถึงกับมีน้ำตาไหลพรั่งพรูออกมาเหมือนไม่ได้เจอกันมานานหลายสิบปี

“มาได้ยังไงเนี่ย ทัช  พี่ดีใจเหลือเกิน ชาตินี้พี่นึกว่าจะไม่ได้เห็นหน้าทัชอีกแล้ว”  ผมปาดน้ำตาออก พิศดูใบหน้าเขา  เขาดูอิจโรยใบหน้าซุบไปมากทีเดียว  ความรู้สึกผิดแล่นเข้ามาจับขั้วหัวใจผมอย่างจัง

“ผมบอกว่าจะกลับบไปช่วยน้าขายขนมปังและน้ำเต้าหู้ แต่จะขอกลับบ้านก่อนไปเอาของ ”

“แล้วแม่หมวงล่ะ”

“กลับไปตั้งนานแล้วครับ”

“อืม ดูสิ หน้าซูบไปมากเลย  พี่ขอโทษนะ พี่มันแย่ที่ไม่เคยต่อสู้อยู่เคียงข้างทัชเลย” ผมพูดจากความรู้สึกจริงๆ

“ผมเข้าใจนะครับ ผมโตแล้ว ผมเข้าใจพี่นนท์ทุกอย่าง ไม่ต้องห่วงนะครับ ผมไม่โกรธพี่เลย”

“อ้อ แล้วนี่ไปทำอะไรมาทำไมผมมันสั้นเตียนขนาดนี้”   ผมก็เพิ่งสังเกตว่าผมเขาสั้นมากผอดปกติเหมือนเพิ่งโป่งออกมาไม่นาน
 
“ผมไปบวชมาครับ”

“ผ่านไปเดือนกว่า อะไรก็เปลี่ยนไปมากเลยนะ”

“ผมขอโทษนะครับที่ไม่ได้ติดต่อมาเลย ผมไม่มีเบอร์พี่เลย จำไม่ได้ด้วย น้าผมเขายึดมือถือไปแล้วคงเอาซิมพี่ไปทิ้งแล้ว”   อย่างนี้นี่เองถึงติดต่อไม่ได้

“พี่ก็รู้แล้วล่ะ โทรไปเป็นสิบฝากข้อความตลอด จนท้อ รู้ไหม พี่นึกว่าชาตินี้พี่จะไม่ได้เจอเราอีกแล้ว”

“ไม่เอานะครับ อย่าพูดแบบนี้  ผมก็มาอยู่กับพี่แล้วนี่ครับ เราย้ายที่อยู่กันเถอะครับ ผมไม่อยากให้ใครตามหาผมอีก”

“แล้ว แม่จะว่าอย่างไรล่ะ”  ผมรู้สึกเป็นกังวลอยู่ในใจ

“ผมได้บวชทดแทนบุญคุณแล้ว หลังจากนี้ผมจะทำตามหัวใจของตัวเองบ้าง พี่อย่าไปคิดถึงคนอื่นเลย พี่ยังรักผมอยู่ไหม”   ผมหันขวับมาทันที

“ทำไมพูดแบบนี้  ทำไมพี่จะไม่รักเราล่ะ ต่อให้ทุกข์ทนแค่ไหนพี่ก็จะไม่มีวันปล่อยให้เราต้องลำบากแน่ๆ”

“หลังจากนี้ไปเราจะไม่จากกันไปอีกนะครับ”

“ไม่  พี่จะไม่ให้ทัชไปไหนอีกแล้วนะ ไม่มีวัน”

“สัญญานะครับ”

“พี่สัญญา”

...

 ทัชอยู่กับผมสองวันเองก็กลับบ้านเกิดเพื่อไปเอาสิ่งของบางอย่าง  ระหว่างนี้ผมก็จะหาที่อยู่ใหม่ ขยับลึกเข้าไปด้านซอย แต่ไม่ลำบากสำหรับเราสองคน ผมมองไว้อยู่สองที่ เพราะแถวนี้ผมรู้จักดี  จากนี้ไปไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมตั้งปณิธานอย่างแน่วแน่ ว่าจะต่อสู้กับคนที่ผมรัก เราจะอยู่เคียงข้างร่วมต่อสู้ไปด้วยกัน

..... ผมคิดเช่นนั้น....


     เย็นวันหนึ่ง เสียงมือถือผมดังขึ้นเช่นทุกครั้งที่ผมรีบกุลีกุจอรับโทรศัพท์ แต่สิ่งที่ทำให้ผมแปลกใจคือ แม่หมวงเป็นคนโทรมา
 
“นนท์ นี่แม่เองนะ จำได้ไหม”  เสียงแม่หมวงเกริ่นให้ผมรู้ว่าเป็นใคร

 “จำได้ครับ สวัสดีครับแม่ เป็นอย่างไรบ้างครับ สบายดีไหมครับ”

“แม่ไม่อยากพูดมากเรื่องของลูกทั้งสองคน ลูกของแม่แม่ก็รัก แต่เมื่อมันเป็นแบบนี้แม่ก็คงทำอะไรไม่ได้”

“เอ่อ.... ครับ”  ผมไม่รู้จะพูดอะไรดีนอก ตอบรับไป แต่ก็ยัง งงๆ

“แม่จะพยายามทำความเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่แม่ขออะไรสักอย่างได้ไหม”   แม่หมวงเน้นเสียงหนักเน่น

“ครับ?”  ผมยังคงตั้งตัวรับไม่ทัน ทำตัวไม่ถูก

“ช่วงไหนถ้าว่าง ขึ้นมาที่บ้านสิ แม่จะนัดพ่อหมอ*มาทำพิธีกว๋าตัง**ให้ลูกทั้งสองคน ลูกต้องเข้าพิธีนี้เสียก่อน แม่ถึงจะยอมให้ลูกทำในสิ่งที่ต้องการ “    แม่หมวงเอ่ยประโยคที่ทำเอาผมทั้งอึ้งทั้งตกใจทั้งสับสนและ ดีใจระคนกัน

“เอ้อ.. ผมไม่ค่อยมีความรู้เรื่อง พิธีกว๋าตังเท่าไหร่นะครับ แต่ถ้ามันจะทำให้เป็นเรื่องที่ดีผมก็ยินดีครับ ไว้ผมจะเคลียร์งาน แล้วจะแจ้งให้ทราบนะครับ” 

“อืม งั้นก็ค่อยโทรมาบอกทางแม่ละกันนะ”

“ครับ” 

  หลังจากวางสาย ผมยังคงงุนงงกับสิ่งที่แม่หมวงบอกมา  พิธีกว๋าตังงั้นเหรอ .. มันเกี่ยวอะไรกับเรื่องระหว่างผมกับทัชน้อ ผมได้แต่เก็บความสงสัยอยู่ในใจ ไว้มีโอกาสจะลองถามเจ้าตัวเล็กดู  ..ผมคิดในใจ..











----------------------------------------------------------------------------------------------
 *หมอผีหรือหมอขวัญสำหรับทำพิธีกรรมต่างๆ 
**พิธีกว๋าตัง คล้ายกับพิธีบวชบรรลุนิติภาวะ  ให้บรรพบุรุษรับรู้ ชี้แนะแนวทางที่ถูกต้อง และได้รับการยอมรับจากผู้หลักผู้ใหญ่ในสังคม
----------------------------------------------------------------------------------------------



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-07-2017 16:23:19 โดย thewa.arak »

ออฟไลน์ thewa.arak

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 66
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ทัช..สัมผัสใจ ตอนที่ 25 (29 ก.ค. 2560)
«ตอบ #41 เมื่อ29-07-2017 21:33:47 »

ตอนที่ 25


ไม่มีชื่อตอน ....Part นนท์/ทัช..... 
 


        ผมแจ้งเรื่องย้ายออกกับแม่บ้านไว้และหาอาพาร์ตเม้นต์ใหม่เตรียมเผื่อไว้สองที่ หลังคอนโดซอย12 ที่เคยอยู่และอีกที่เป็นคอนโดเช่นกันแต่อยู่ฝั่งตรงข้ามถนนใหญ่ ในระหว่างที่รอเจ้าตัวเล็กกลับลงมาจากบ้านผมก็ยังคงอยู่ที่เดิม ทำงานตามปกติ  ใช้ชีวิตเร่งรีบอยู่กับงานแบบที่เคยเป็นมา เหมือนเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันไปแล้ว

  ผ่านไปเป็นสัปดาห์ ผมรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ เพราะเจ้าตัวเล็กน่าจะลงมาได้แล้ว แต่ก็ไม่มีวี่แววใดใด โทรไปก็ไม่มีสัญญาณ ผมเริ่มใจไม่ดี ร้อนรนจนแทบทนอยู่ไม่ได้ ไม่รู้ว่าเจ้าธัชจะพบเจออะไรเกิดอะไรขึ้นหรือไม่ การที่เราไม่สามารถติดต่อกับคนสำคัญได้นั้นมันเป็นอะไรที่ทรมานจิตใจมากๆ ร้อนรนกระวนกระวายแทบไม่เป็นอันทำมาหากินเลยทีเดียว ใจนี่แทบอยากจะตามกลับไปถึงบ้านเลยทันที แต่ด้วยภาระหน้าที่ จึงไม่อาจปลีกตัวไปไหนได้  ได้แต่ภาวนาว่าขออย่าให้มีอะไรเกิดขึ้นเลย ขอให้ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี     

 สัปดาห์ที่สองก็ยังติดต่อไม่ได้ ผมรู้สึกไม่ดีเอามากๆ มันไม่ใช่แล้วล่ะ มันน่าจะเกิดอะไรขึ้นแน่ๆ จนกระทั่งช่วงหัวค่ำวันหนึ่งมีสายโทรเข้ามา เป็นสายโทรศัพท์บ้าน รหัส 054 ผมก็ยัง งง ว่าใครโทรมากันล่ะเนี่ย พอรับสายได้ยินเสียงปลายสายจึงรู้ว่าใครโทรมา  มันทั้งดีใจทั้งเป็นห่วง

“ฮัลโหล ตัวเล็ก ทำไมเพิ่งโทรมา แล้วพี่โทรไปทำไมปิดโทรศัพท์ล่ะ มีอะไรหรือเปล่า”    ผมรัวคำถามติดๆกันด้วยความเป็นห่วง
 
“ พี่....”      เจ้าตัวเล็กพูดเพียงคำเดียวก็เงียบไป แต่ผมรู้สึกได้ถึงเสียงที่สั่นเครือ  มันยิ่งทำให้ผมรู้สึกเป็นห่วงยิ่งขึ้นไปอีก

“ทัช....เป็นอะไรไป มีอะไรเกิดขึ้นครับ ใจเย็นๆ หายใจลึกๆ แล้วค่อยๆพูดนะ”

“พี่นนท์ “    เพียงแค่คำพูดเดียวเท่านั้น สิ่งที่ผมคิดอยู่ก็เป็นจริงดังคาด  เจ้าตัวเล็กปล่อยโฮออกมาเหมือนอัดอั้นตันใจมานาน

“ตัวเล็ก วางสายก่อนนะ เดี๋ยวพี่โทรกลับอยู่ในตู้นั่นแหละอย่าไปไหน” 

  (สมัยนั้น หมู่บ้านเขามีตู้โทรศัพท์แดงตั้งอยู่ ตรงทางเข้าหมู่บ้านใกล้กับโรงเรียนบ้านต้นไผ่  อยู่ตรงข้ามกันเยื้องขึ้นไปทางหมู่บ้านเล็กน้อย  ซึ่งเป็นตู้โทรศัพท์ที่สามารถโทรเข้าได้ด้วย  แล้วแต่ว่าใครอยู่ใกล้บริเวณนั้น ได้ยินแล้วมารับแล้วไปตามคนที่เป็นเจ้าของสาย  โดยการจ่ายเงินให้คนที่ช่วยมาตาม ครั้งหนึ่งก็สิบบาทยี่สิบบาท ว่ากันไป) 
  เสียงโทรศัพท์ดังไม่ถึงวินาที ทัชก็รับสาย

“ฮัลโหล อื้ม ว่าไง เป็นไงบ้าง ตัวเล็ก ตั้งสติดีๆนะ ค่อยๆพูดนะ ทำจิตใจให้สงบ”  ผมพูดประโยครวมทั้งคำถามใส่เจ้าตัวเล็กของผมเป็นชุดและเร็วแบบไม่ปล่อยช่วงจังหวะหายใจ  เจ้าตัวเล็กยังคงสะอื้น เสียงดังก้องอยู่ในตู้โทรศัพท์

“ทัช เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า เป็นอะไรไป”  ผมถามอีกครั้งด้วยความเป็นห่วง เพราะเจ้าตัวเล็กเอาแต่ร้องไห้

“แม่ไม่ยอมให้ผมลงไป กรุงเทพอีกแล้วครับ”  พูดปนเสียงสะอื้น

“..................”   ผมพูดอะไรไม่ออก แต่พอจะทำใจเผื่อไว้แล้วว่าอาจจะต้องเกิดเหตุการณ์เช่นนี้

“เกิดอะไรขึ้นเหรอ  ใจเย็นๆนะ ไหนเล่าให้พี่ฟังซิ ค่อยๆพูดนะ พี่อยู่ตรงนี้ไม่ได้ไปไหน”   ผมพยายามพูดปลอบใจเขา

“แม่ไม่ให้ผมลงกรุงเทพ แม่จะให้ผมกับพ่อไปขายของที่ขอนแก่น เดินทางวันเสาร์นี้แล้ว” 

“แล้วเราตอบแม่หมวงไปว่าไงล่ะ”  ผมถาม ใช้น้ำเสียงราบเรียบตามปกติ

“ผมบอกว่า ถ้าบังคับผม ผมจะฆ่าตัวตาย” เจ้าตัวเล็กพูดไปสะอื้นไป แต่ทำเอาผมสะดุ้ง

“อะไรนะ ทำไม ทัชพูดแบบนี้ ไม่ได้นะ พูดแบบนี้กับแม่ได้ไง นั่นแม่นะ”  ผมเผลอทำเสียงดุใส่ตัวเล็ก

“พี่นนท์ พี่เคยบอกว่าเราจะยืนเคียงข้างกันไงครับ แล้วทำไมพี่มาพูดแบบนี้”  ธัชสะอื้นพร้อมเสียงตัดพ้อด้วยความน้อยใจ

“เอ่อ พี่ขอโทษนะทัช “  ผมเสียงอ่อนลง

“พี่นนท์ ผมควรทำอย่างไรดี”

“แล้วเรื่อง พิธีกว๋าตังล่ะ พี่ลางานไว้เรียบร้อยแล้วนะ”

“พี่ไม่ต้องไปคิดถึงมันหรอกไอ้พิธีอะไรนั่นน่ะ ถ้าทำแล้ว เดี๋ยวแม่จะมาบอกว่า บรรพบุรุษไม่ยอมรับอีกหรอก”  เจ้าตัวเล็กอธิบาย

“แต่แม่หมวงบอกว่า เข้าพิธีกว๋าตังแล้วถือว่าเป็นผู้ใหญ่ และจะไม่บังคับเราสองคนแล้วนี่นา” ผมเถียงบ้างแต่ด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบปกติ

“โอ๊ย พี่นนท์ไม่ต้องไปนึกถึงมันเลย แม่ก็พูดไปงั้นแหละ ผมนี่อยู่ที่บ้านโดนค่อนขอดประชดประชันเป็นประจำ”

“แต่ถ้าลองทำดูมันก็ไม่เสียหายอะไรมั๊ง”  ผมยังคงพยายมเกลี้ยกล่อมเจ้าตัวเล็กให้คล้อยตาม

“ผมขี้เกียจเถียงกับพี่แล้ว ยังไงผมก็จะพยายามหาทางลงไปให้ได้” เจ้าตัวเล็กพูดหนักแน่น  แต่ความเด็ดเดี่ยวนั่นทำให้ผมรู้สึกทั้งอึดอัดและเป็นห่วง  ไหนจะเรื่องศีลธรรม ไหนจะเรื่องหัวใจตัวเองรู้สึกว่าตัวเองยังคงไม่เด็ดเดี่ยวพอ

“ทัช อย่างเพิ่งคิดมาก  กรุงเทพน่ะ จะลงมาตอนไหนก็ได้ เราคงไม่ถูกรั้งตัวไว้ตลอดเวลาหรอกนะ  เรายังมีเบอร์ของพี่ เรายังติดต่อกันได้นะ ตอนนี้อย่างเพิ่งคิดทำอะไรผลีผลาม ตั้งสติดีๆนะทัช”    ผมพยายามหาคำพูดมาปลอบใจ แต่มันช่างยากเย็นเสียเหลือเกิน  พูดไปตามไปที่คิดได้ ในตอนนั้นๆ

“พี่นนท์  “ เสียงตัวเล็กพูดชื่อผมแล้วเงียบไป

“ว่าไงครับ “ 

“พี่รักผมไหมครับ”  เสียงทัชเบามากเมื่อพูดประโยคคำถามนี้  บรรยากาศรอบข้างเงียบสนิทจนกระทั่งได้ยินแม้เสียงจิ้งหรีดร้องนอกตู้โทรศัพท์ฝั่งเจ้าตัวเล็ก

“รักสิครับ ทัช  พี่รักเรามากแค่ไหน ตลอดเวลาที่ผ่านมาทัชยังไม่รู้หรือว่าพี่รักเรามากขนาดไหน”

 ผมเว้นประโยคไว้เล็กน้อย และยังคงมีความเงียบ ได้ยินเพียงเสียงสะอื้นเป็นช่วงๆ

“พี่ไม่เคยแคร์ใครมากเท่าเรานะ  มีแต่ทัชเท่านั้นที่พี่รู้สึกห่วงใย ใส่ใจในทุกเรื่อง กับคนอื่นพี่ไม่เคยเป็นแบบนี้ เพื่อนๆยังว่าพี่เห็นแก่ตัวด้วยซ้ำไป แต่กับทัช  พี่รู้เกือบทุกอย่างเกี่ยวกับตัวทัชนะ ชอบอะไรไม่ชอบอะไร ขี้น้อยใจอย่างไร พี่รู้หมดเลย  พี่รักเรามากนะ เข้าใจไหม” 

“ผมก็รักพี่นะครับ รักมากด้วย พี่อย่าทิ้งผมไปนะครับ”

“หยุดร้องไห้นะครับ กลับบ้านไปล้างหน้าล้างตา  ทำตามที่แม่หมวงบอกนะ แล้วเราค่อยหาแนวทาง ค่อยเป็นค่อยไป มีอะไรรีบโทรหาพี่ อย่าคิดเอง เออเองเด็ดขาดเข้าใจไหม พี่เป็นห่วงนะครับ”

“ครับ พรุ่งนี้ผมจะโทรหาพี่นะครับ”   ผมได้ยินเสียงเจ้าตัวเล็กของผมสุดลมหายใจและเสียงสะอื้นที่ยังคงหลงเหลืออยู่ 
 
“อย่าลืมว่ายังมีพี่อยู่นะ พี่ยังรอทัชอยู่เสมอนะครับ จำเอาไว้ให้ดีนะ พี่จะรออยู่ที่นี่ นะครับ”  ผมพูดย้ำๆออกไปสองสามครั้ง

“ครับ พี่ต้องรอผมนะครับ อย่าทิ้งผมไปไหนนะ”

“ครับ พี่จะรอ”

“ครับ”    เจ้าตัวเล็กตอบกลับมาสั้นๆเพียงประโยคเดียว ได้ยินเสียง กริ๊ก แล้วสายโทรศัพท์ก็ตัดไป  ผมยืนขาแข็งอยู่ที่เดิม  นึกภาพเจ้าตัวเล็ก ถ้าไม่ปั่นจักรยานออกมาถึงตู้โทรศัพท์ ก็คงเดินมา ระยะทางน่าจะ ห้าหกร้อยเมตร แต่เป็นทางเลี้ยว ขึ้นลง ผมมองดูนาฬิกา บอกเวลาทุ่มครึ่ง  เวลานี้ที่หมู่บ้านต้นไผ่น่าจะมืดแล้ว  ผมรู้สึกเป็นห่วงทัชขึ้นมาจับใจ 

  ผมมานึกย้อนดูวันที่แม่หมวงมาที่หอผม แล้วช่วงหนึ่งที่ผมปล่อยให้แม่ลูกเขาได้คุยกัน  และอีกช่วงเวลาหนึ่งที่ ทัชเคยพูดกับผมว่า อย่าทิ้งให้เขาต้องเผชิญอะไรอยู่คนเดียว  ผมตบหัวตัวเอง ทำไมผมถึงปล่อยให้คนที่ผมรักต้องเผชิญเรื่องหนักหนาสาหัสคนเดียวแบบนี้นะ  เรารักเขามากแต่ทำไมเรากลับทำแบบนี้   แต่ ณ ช่วงเวลาเช่นนั้น คุณธรรมและความถูกต้องกลับสั่งให้เราทำในแบบนั้นอยู่เสมอ  ความรูสึกรับผิดชอบชั่วดี ความรู้สึกถูกต้องตามสังคมนิยม และความรู้สึกส่วนตัวมันสวนทางกัน แต่ ณ ช่วงเวลานั้นก็ไม่รู้ว่าทำไมเลือกตามความรู้สึกรับผิดชอบชั่วดีก็ไม่รู้

  วันเสาร์เป็นวันที่ผมเฝ้ารอคอย เป็นการรอคอยที่ดูยาวนานแสนนานเหลือเกิน  ผมรอตั้งแต่เช้าจนสาย จนบ่าย จนกระทั่งเย็น ก็ไม่มีเสียงจากเจ้าตัวเล็กของผมเข้ามาสักที จนรู้สึกร้อนใจกระวนกระวายไม่เป็นอันทำอะไรเลย   จนกระทั่วราวๆหกโมงเย็น มีเสียงโทรศัทพ์ดัง ผมเห็นเป็นเบอร์โทรที่ธัชเคยใช้ จึงรีบรับสายทันที

“นนท์ใช่ไหม  นั่นนท์ใช่ไหมลูก”   ผมแปลกใจที่เป็นเสียงแม่หมวง

“เอ่อ  ผมเองครับ แม่มีอะไรหรือเปล่าครับ”  ผมรู้สึกใจคอไม่ดี

“ทัช.. เอ่อ น้องเขาขับมอเตอร์ไซค์ออกไปตั้งแต่บ่ายสี่โมงแล้ว น้องได้โทรมาหานนท์หรือเปล่า”   คำตอบจากแม่หมวงทำเอาผมใจสั่น

“น้องขับรถไปไหนครับแม่ เอ่อ เขายังไม่ได้โทรหาผมเลยนะครับ ผมเองก็......เอ่อ ..รอโทรศัพท์จากเขาอยู่ครับ”   ผมเว้นจังหวะเล็กน้อย คิดอยู่ว่าจะพูดหรือไม่พูดดี แต่สุดท้ายก็พูดออกไป

“วันนี้แม่กับพ่อจะไปอีสานกับญาติๆน่ะ แต่ทัชเขาขับรถออกไปเลย ไม่บอกอะไรสักอย่าง แม่เห็นผิดสังเกตเลย อยากโทรมาถามนนท์” 

“ผมรอโทรศัพท์จากน้องเขาแต่เช้าแล้วครับ  น้องยังไม่โทรมาเลย”

“นนท์  แม่ถามจริงๆนะ นนท์คุยอะไรกับน้องไปเหรอลูก นนท์ได้บอกเขามั๊ยว่าให้เขาไปอยู่กับนนท์”   แม่หมวงถามผม และผมก็ทันได้ยินเสียงถอนหายใจ

“ไม่ได้พูดอะไรเลยครับ เมื่อวานน้องเขาโทรมา บอกว่าแม่จะให้ไปขอนแก่น ผมก็บอกว่าให้ทำตามที่แม่หมวงต้องการ เขาร้องไห้แล้วก็วางสายไป”  ผมตอบไปตามตรงแต่ไม่ทั้งหมด

“แล้วน้องได้พูดอะไรอีกบ้างไหม”

“ไม่นะครับ  เอ่อ แม่ครับ ผมรู้ว่ามันอาจจะเป็นเรื่องที่แม่ยอมรับได้ยาก แต่เราสองคนรักกันจริงๆนะครับแม่ และผมก็พร้อมที่จะดูแลน้องเขา แม่อย่าพรากเขาไปจากผมเลยนะครับ”    ไหนๆก็มาถึงขั้นนี้แล้ว ผมพูดออกไปโดยที่ไม่เกรงใจความรู้สึกของแกเหมือนครั้งที่ผ่านๆมา

“นนท์ พูดอะไรออกมา เมื่อก่อน แทนลูกของแม่กับนนท์ ก็เป็นเหมือนกันใช่ไหม” 

“ไม่ใช่นะครับ ไอ้แทนกับผมเราเป็นเพื่อนสนิทกัน ไม่ใช่อย่างที่แม่คิดเลยครับ”

“ผู้ชายจะมารักกันได้อย่างไรล่ะลูก มันผิดผี บรรพบุรุษเราจะว่าอย่างไร นนท์ไม่อายบ้างเหรอ”   แม่หมวงเริ่มเสียงเข้มขึ้น

“แม่ครับ ความรักมันไม่มีผิดหรอกครับ เราห้ามความรักไม่ได้ ผมถามแม่ได้ไหมครับ ว่าแม่รักทัชไหมครับ”

“ลูกของแม่แม่ก็รักก็หวง ไม่อยากให้เดินผิดทาง”  แม่หมวงพูด

“อะไรที่คิดว่าผิดทางครับ เพราะบ้านเราไม่เคยมีแบบนี้งั้นหรือครับ  แม่ไม่อยากให้ทัชมีความสุขหรือครับ ทุกวันนี้ สิ่งที่แม่ทำ แม่คิดว่า ทัชเขามีความสุขหรือครับ แม่ควรจะยินดีที่เขามีความสุขไม่ใช่หรือครับ แล้วแม่จะบังคับเขาทำไม”   ผมเผลอตัวหลุดสติพูดด้วยความโมโหและน้อยใจ

“นนท์เห็นแก่ตัว คิดเหรอว่าจะอยู่ด้วยกันได้ แก่ตัวมาใครจะดูแล สังคมตราหน้าประจาน พ่อแม่อับอายไปทั่วหมู่บ้าน นนท์ทนได้เหรอที่จะเห็นพ่อแม่เป็นแบบนั้น “

“แล้วทำไมจะต้องไปสนใจคนอื่นด้วยล่ะครับ ลูกของเรามีความสุขเราก็ควรจะมีความสุขด้วยไม่ใช่หรือครับ”  น้ำตาของผมไหลออกมาไม่รู้ตัว เสียงสั่นด้วยความโมโหและน้อยใจระคนกัน  นึกภาพออกเลยว่าทัชของผมจะต้องเจอกับอะไรบ้าง ผมนี่งี่เง่าสิ้นดี ทำไมปล่อยให้คนที่ตัวเองรักเผชิญกับสิ่งเหล่านี้ลำพัง ผมมันโง่สิ้นดี

“นนท์ แม่ขอร้องนะ ถ้าน้องโทรมา ช่วยบอกว่าพ่อกับแม่เป็นห่วงมาก ให้โทรกลับมาด้วยพ่อกับแม่และญาติๆรออยู่”

“ถ้าเขาโทรมา ผมจะบอกให้เขามาอยู่กับผม แม่จะไม่ได้เห็นเขาอีก  ไหนแม่เคยบอกว่าให้พวกผมเข้าร่วมพิธีกว๋าตังกันแล้วจะยอมรับพวกเราไงครับ ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้”   ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมพูดตะคอกเสียงดังใส่แม่หมวงไปแบบนั้น รู้ตัวอีกที ผมก็ตัดสายไปนานแล้ว

 นี่มันบ้าอะไร ผมต้องตั้งสติให้ดีกว่านี้ ผมบอกตัวเอง  เมื่อกี้ผมทำอะไรลงไป ทำไมผมถึงได้กล้าพูดแบบนั้นออกไปนะ ใจหนึ่งก็รักคนของตัวเองมาก อีกใจก็แย้งกันอยู่กับเรื่องของความถูกต้อง เรื่องวัฒนธรรม  ผมควรจะทำอย่างไรดี  สายโทรศัพท์เข้า เบอร์บ้านแปลกๆ ผมได้แต่หวังว่าจะเป็นทัช

“พี่นนท์”   โอ้ว โล่งใจ เจ้าตัวเล็กจริงๆด้วย

“ทัช นี่เราทำอะไรน่ะ  อยู่ที่ไหน พ่อกับแม่ เอ่อ และพี่เป็นห่วงนะ”

“อ๋อ เมื่อกี๊แม่คงโทรมาหาพี่แล้วสินะ”   เอ๊ะ ผมคิด ..ทำไมเสียงเจ้าตัวเล็กมันดูใหญ่ๆหนาๆ อย่าบอกนะ

“ทัช..  กินเหล้าทำไม”

“ผมไม่เมาหรอกน่าพี่ ขอร้องอย่ามาเสียงดังใส่ผมได้ไหม พี่ควรจะอยู่ข้างผมนะ”   เจ้าตัวเล็กตะโกนใส่ผม   ผมตั้งสติ สูดหายใจ

“นี่ เจ้าตัวเล็ก ฟังพี่นะ ตั้งสติ พี่บอกแม่หมวงไปหมดแล้ว และพี่ก็ขอร้องให้แม่เห็นใจเราสองคน พี่สัญญากับแม่ว่าจะดูแลเรา เราจะดูแลกันไปตลอด”

“แล้วแม่เห็นด้วยเหรอครับ  พี่จะรู้อะไร ผมอยู่บ้านไม่มีความสุขเลย โดนด่าไล่ตั้งแต่ปู่ย่าญาติโกโหติกา พี่รู้ไหมผมเจ็บแค่ไหน”  เจ้าตัวเล็กเริ่มเสียงสั่นเครือ

“ตัวเล็ก ใจเย็นๆนะ พี่รักเรามากนะ และอะไรที่พี่เคยทำผ่านมาแล้วมันขัดใจ พี่ขอโทษพี่ยอมรับผิดทุกอย่างนะ แต่จากนี้ไปพี่จะไม่ทำตัวเป็นคนงี่เง่าอีกแล้ว เราจะสู้ไปด้วยกันนะ เราต้องผ่านมันไปให้ได้ แม่หมวงบอกจะให้เราเข้าร่วมพิธีกว๋าตัง แล้วจะปล่อยให้เราทำตามสิ่งที่เราต้องการ”

“พี่นนท์ พี่เชื่อเหรอว่าแม่คิดแบบนั้นจริงๆ”  เจ้าตัวเล็กเสียงดังใส่ผมอีกแล้ว

“แล้วทำไมต้องตะคอกด้วยล่ะ ใจเย็นๆ  ทำไมทัชถึงคิดแบบนั้น”

“ช่างเถอะ พูดไปพี่ก็คงไม่เข้าใจหรอก ผมรู้แค่ว่าผมไม่อยากอยู่ที่บ้านอยากไปให้ไกลๆ”

“ใจเย็นๆนะ ครอบครัวเราทั้งนั้น ที่นั่นก็เป็นที่ที่บรรพบุรุษเราตั้งรกรากกันมา อยุ่ท่ามกลางธรรมชาติ พี่ว่าดีกว่าที่ไหนๆอีก”  ผมพยายามอธิบายใช้ภาษาที่ฟังนุ่มนวลที่สุด

“พี่นนท์รักผมอยู่ไหม”  เขาแทบจะตะโกนถามผมเสียงดัง

“ทำไมถามแบบนี้ เราก็รู้ดี ว่าพี่รักเรามากแค่ไหน อย่าเพิ่งพูดอะไรตอนนี้เลย โทรหาแม่หมวงด้วยนะ พี่ขอร้อง ท่านเป็นแม่ของเรา เชื่อพี่เถอะ โทรบอกท่านเสียหน่อย แล้วจะทำอย่างไรต่อค่อยว่ากันอีกทีนะ”    ผมพูดด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบอ่อนโยนที่สุด
 
“ผมรักพี่  รักมากนะครับ รู้ไหม ผมจะไปหาพี่ รอผมด้วย”

“ตัวเล็กเดี๋ยวก่อน”  ผมรีบตะโกนห้ามเพราะนึกได้ว่าลืมบอกเรื่องสำคัญ

“ครับ”  ทัช ตอบน้ำเสียงเนิบๆ

“เมามากไหม หยุดพักก่อนได้ไหม บ้านเพื่อนก็ได้ นะ พี่ขอร้อง รักพี่ใช่ไหม เชื่อพี่นะ พี่ขอ พักบ้านเพื่อนก่อนนะ อย่าขับต่อเลยนะ”   ผมพูดประโยคทั้งหมดนี้ออกไปด้วยความรู้สึกเบาโหวง มันใจหายยังไงบอกไม่ถูก ความเป็นห่วงมันพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว
 
“พี่เป็นห่วงผมเหรอครับ”

“อื้ม พี่เป็นห่วงเรานะ เชื่อพี่นะครับ พี่ไม่ได้หนีไปไหนพี่ยังอยู่ที่เดิม  พี่รักเรามากนะ เชื่อพี่นะครับคนดีของพี่” 

“อื้ม ครับ ต่อไปนี้เราจะไม่จากกันอีกนะครับ ผมจะเชื่อฟังพี่นะ ผมรักพี่นะครับ”

“ครับ จำไว้ให้ดีๆนะ พี่รักเรานะ รักมากด้วย จำเอาไว้ห้ามลืม”

“ครับ”  เป็นคำพูดเดียวพยางค์เดียวที่ออกมาจากเจ้าตัวเล็ก แล้วสายก็ตัดไป  ผมรู้สึกเหมือนยังไม่จบประโยคจึงโทรกลับไป แต่มันคงไม่เหมือนตู้โทรศัพท์ในหมู่บ้าน ที่สามารถโทรเข้าได้ 

  เสียงสายไม่ว่าง ดังก้องอยู่ในหู   ผมยังคงอยู่ที่เดิม แข้งขาสั่นระทวยแทบจะทรุดลงกับพื้น  ผมยกมือไหว้พระหัวเตียง  สาธุ ได้โปรดคุ้มครองเจ้าตัวเล็กของผมด้วย อย่าได้มีอะไรเกิดขึ้นกับเขา ได้โปรด 
   หลังจากที่ผมได้คุยสายกับเจ้าตัวเล็ก  พออะไรๆที่มันหนักอยู่บนบ่าถูกยกออกไป ความโล่งใจก็บังเกิด และพอมีแรงลงมาหาอะไรกินรองท้อง โดยไม่ได้หยิบเอาโทรศัพท์ติดมือไปด้วย

“แหม...พ่อหนุ่มหายหน้าหายตาเลยนะพักนี้”   ป้าแม่บ้านทัก   

“ช่วงนี้งานยุ่งครับ ไม่ค่อยได้ออกไปไหนเลย”   ผมโกหกหน้าด้านๆเป็นตั้งแต่ตอนไหนนี่

“ไม่สบายหรือเปล่า หน้าซูบเชียว” 

“อ่อ..เปล่าครับ สงสัยเพิ่งตื่นมังครับ วันนี้หลับทั้งวัน นอนกลิ้งไปกลิ้งมา ว่าจะตื่นหลายทีละไปๆมาๆก็เผลอนอนอีก”   ผมยังคงแถไปได้อย่างหน้าด้านๆ

“อืมๆ พักผ่อนเยอะๆน่ะดี แต่อย่านอนมาก มันจะปวดหัว”   ป้าแม่บ้านเอ่ยขึ้นพร้อมกับหอบเอาผ้าห่มไปเก็บในห้องเก็บของ  ผมมองดูเวลา สองทุ่มแล้วแกคงจะไปเก็บเอาลงมาจากดาดฟ้า

“ผมลงไปหาอะไรรองท้องก่อนนะครับ”  ผมบอกไปงั้นๆ โดยไม่ได้สนใจว่าแกจะตอบหรือไม่

“เอ้อ นี่พ่อหนุ่ม ไอ้น้องคนนั้น ป้าว่าเขาดูหงอยๆนะ ทะเลาะอะไรกันหรือเปล่า”   ป้าหยุดตรงบันไดขั้นที่สาม ผมเองก็ชะงัก

“เปล่านะครับ ไม่มีอะไรเลย น้องเขากลับบ้านน่ะครับ อีกวันสองวันถึงจะลงมา”  ผมหันมาตอบแบบกระชับที่สุด

“อืมๆ  แต่ป้าว่า เขาดูแปลกๆนะ หน้าตาไม่มีความสุข มันไม่เหมือนอย่างที่ป้าเคยเห็น”   แกยังคงบ่นไปตามประสาและผมเองก็ไม่ได้ใส่ใจ

“ป้าเอาอะไรไหมครับ ผมจะซื้อมาฝาก”  ผมเอ่ยตามมารยาท

“ไม่เอาหรอก ป้าอิ่มแล้ว หนุ่มไปหาอะไรกินเถอะ”

“ครับ”  ผมตอบและลงบันดันกึ่งเดินกึ่งวิ่ง   ออกจากอาคารไปหน้าถนนหน้าห้างสรรพสินค้า

ผ่านตลาดนัด ผู้คนขวักไขว่ แต่ผมไม่สนใจ เดินตรงดิ่งไปยังจุดหมายปลายทางที่ต้องการ


...
 

 ผมจัดการกับก๋วยเตี๋ยวปากซอยวัดบัวขวัญไปสองชามจนอิ่มแปร้ แวะซื้อของใช้ส่วนตัวที่เซเว่นอิเลฟเว่น เดินกลับมาทางเดิม ตลาดนัดเริ่มจะวาย บางร้านเริ่มเก็บของ แต่ก็ยังอีกหลายร้านที่ยังมีลูกค้าเลือกซื้อของอยู่ ผมเองก็เดินแวะดูเสียหน่อยเผื่ออยากได้อะไร  และก็ได้มาจริงๆ ผมเลือกซื้อผ้าขนหนูลายฟุตบอลให้ตัวเล็กเผื่อเขาลงมาจะได้ใช้ พร้อมกับไม้แขวนเพิ่มเติม และของใช้อีกเล็กน้อย  ความจริงแค่กะว่าจะเดินเพื่อย่อยอาหาร เอาเข้าจริงๆมันก็มีของให้ต้องคิดว่าจำเป็นจนซื้อติดมือมาจนได้

   สี่ทุ่มครึ่งแล้วหรือนี่ เดินจนลืมดูเวลาเลยนะเนี่ย ร้านรวงเก็บของกันไปค่อนตลาดแล้ว ผมรีบเดินกลับห้องทันทีไม่แวะที่ไหนอีก
เมื่อถึงบ้านก็เห็นแม่บ้านยืนอยู่กับ รปภ. คงจะคุยสัพเพเหระตามประสาคนสูงอายุ พมเห็นผมเดินมา ได้ยินเสียง รปภ บอกว่า  โน่นไง มาโน่นละ

“พ่อหนุ่ม รีบๆมาเลย”  ป้าแกร้องเรียกผมดูท่าทางร้อนรน

“มีอะไรครับป้า”  ผมถามด้วยความสงสัย

“โทรศัพท์หนุ่มน่ะสิ ดังอยู่นานเลย ห้องข้างๆเขาโทรลงมาบอกป้าเนี่ย” 

“อ้าว  เออ ใช่ ผมไม่ได้เอามือถือมาด้วย”  ผมล้วงมือลงไปในกางเกงแต่ก็พอจะตั้งสติได้ว่าไม่ได้เอาติดมือไป
“เนี่ย มันดังหลายครั้งมาก  ปกติห้องนั้นน่ะเป็นคนเงียบๆ นี่เขาคงเหลืออดเลยโทรลงมาบอกป้า”  ป้าอธิบาย หน้าตามีรอยย่นตรงหน้าผากตามอรงขมวดคิ้ว

“ขอโทษครับ จะรีบขึ้นไปเดี๋ยวนี้เลยครับ “

 ผมรีบวิ่งขึ้นบันได้ไปยังห้องของตัวเอง  ก็ทันได้ยินเสียงมือถือผมดัง  นี่คงจะดังมาตลอดเลยสินะ เสียงออกมาข้างนอกดังมากจริงๆ ปกติตอนกลางวันคงไม่ดังขนาดนี้ นี่มันสี่ห้าทุ่มแล้วนิ

 ทัชต้องโทรมาแน่ๆเลย ผมรีบเปิดประตูถลาเข้าไปยังโต๊ะตรงหัวเตียง  สายเข้าจากเบอร์ที่คุ้นเคย ผมรีบกดรับสายทันที

“ว่าไงตัวเล็ก พี่ขอโทษนะ ลงไปกินข้าวไม่ได้เอามือถือไปด้วย”  ผมกดรับแล้วพูดกรอกสายลงไปเลยโดยไม่ได้ให้ปลายสายเป็นฝ่ายพูดก่อน  แต่เสียงที่ได้ยินทำเอาผมตกใจ

“พี่นนท์  ฮึกๆ”  เสียงเจ้าตัวเล็กแหบและค่อยมากฟังไม่ค่อยได้ยิน

“ว่าไงล่ะเรา ทำคนที่บ้านเป็นห่วงกันแทบแย่นะ เดี๋ยวมาถึงพี่จะตีให้เข็ดเลยทีเดียว” ผมแกล้งแหย่เล่น

“ฮึกๆ ฮึกๆ”  เจ้าตัวเล็กไม่พูดอะไรเอาแต่สะอึกสะอื้นอย่างเดียว

“เป็นไรตัวเล็ก ร้องไห้ทำไม มีอะไรอย่างงั้นหรือ”  ผมรู้สึกเป็นห่วงขึ้นมาจับใจ

“ผมไม่ได้ไปหาพี่แล้วนะครับ ฮึกๆ”  ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือเปล่า แต่กว่าเจ้าตัวเล็กจะพูดจบผมรู้สึกว่าทำไมมันใช้เวลายาวนานเสียจริง 

“ทำไมล่ะ แม่หมวงไม่ให้มาแล้วหรือ”   ผมถามออกไปถึงสองสามครั้งว่า ทำไม แต่ไม่มีแม้แต่เสียงตอบกลับมา

  และที่ยิ่งทำให้สะดุ้งตกใจ คือเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมาระหว่างการสนทนาของผมกับเจ้าตัวเล็ก  ผมหงายหน้าจอมือถือดู  เอ๊ะ เป็นเบอร์เดิมนี่นา สายถตัดไปตั้งแต่ตอนไหน  แต่ผมก็ไม่รอให้ความสงสัยนี้มันก่อตัวไปมากกว่านี้ ผมรีบกดรับสายทันที

“เจ้าเด็กบ้านี่ ตัดสายไปก็ไม่บอกพี่นะ” ผมพูดกรอกหูลงไปน้ำเสียงทีเล่นทีจริง แต่เสียงที่ดังตอบกลับมาทำเอาผมชะงักไปเล็กน้อย

“ฮือๆๆๆ นนท์  นี่แม่เอง”   นี่ไม่ใช่เสียงเจ้าตัวเล็กนี่นา แม่หมวงโทรมา  แล้วร้องไห้ทำไม

“นนท์  ฮือๆ ”  แม่หมวงพูดไปสะอื้นไป

“ เอ้อ มีอะไรหรือครับ แม่ครับ ใจเย็นๆก่อนนะครับ”  ผมค่อยๆพูดน้ำเสียงอ่อนนุ่มสุภาพ

“แม่ไม่โทษลูกหรอกนะ นนท์ “ แม่หมวงยังคงพูดสะอึกสะอื้น

“เอ่อ ครับ  นี่มันเรื่องอะไรกันครับ”  ผมยังคง งงงัน

“ฮือๆๆ แม่ไม่โทษนนท์ แต่ทำไมลูกแม่ทั้งสองคนต้องมาเกี่ยวข้องกับนนท์”  แม่หมวงร้องไห้ไม่หยุด ผมได้ยินเสียงคนพูด
โหวกเหวกวายวาย  ได้ยินเสียงอารุจน์บอกว่า เขาไม่รู้เรื่องด้วยอย่าไปโทษใครเลย แล้วสายโทรศัพท์ก็เปลี่ยนไปอยู่ในมืออารุจน์แทน

“นนท์ นี่พ่อเองนะ”   เสียงอารุจน์นั่นเอง

“ค..ครับ พ่อครับ เกิดอะไรขึ้นครับ ทำไมเสียงรอบข้างมันดูแปลกๆ”  ผมถามด้วยความร้อนรนและสงสัย

“คือ.. นนท์ฟังดีๆนะ ตั้งสติดีๆ “   ผมเตรียมรอฟังอยู่แทบจะไม่ไหวแล้ว  เสียงอารุจน์เว้นวรรคไปช่วงหนึ่งก่อนที่จะพูดออกมาแล้วทำให้ผมแทบใจสลาย

“คือว่า ทัช.. เอ่อ  น้องถูกรถชน”   อารุจน์พูดแค่นั้น ผมแทบจะเข่าทรุด

“ห๊ะ  อะไรนะครับ อะไรนะครับ  ทัชถูกรถชน  ยังไงครับตอนไหนเมื่อไหร่ พ่อ.. แล้วน้อง เอ่อ เมื่อกี้เขายังคุยกับผมอยู่เลย เพิ่งวางสายเนี่ยครับ ผมก็นึกว่าสายตัด แล้วนี่น้องอยู่ที่ไหนครับ ตอนนี้เป็นยังไงบ้างครับ”   เสียงผมตะกุกตะกักริมฝีปากสั่น เข่าอ่อน รู้สึกตัวว่าข้าวของที่ซื้อมาหล่นกระทบพื้นแตกกระจาย


.

.







ออฟไลน์ thewa.arak

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 66
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ตอนที่ 25 (ต่อ)

.
.
“เขาจะโทรได้ไง  เอ่อคือ น้องเขา เอ่อ...คือ พ่อเสียใจด้วยนะ น้องจากเราไปแล้ว..”  อารุจน์พูดเพียงแค่นี้   

“พ่อ พ่อว่าไงนะครับ ไม่จริง ไม่จริงใช่ไหมครับ” 

“แค่นี้ก่อนนะลูก พ่อต้องไปรับน้องกลับบ้าน”    แล้วสายก็ตัดไป ผมโทรกลับไปอีกหลายสายก็ไม่มีคนรับ จนกระทั่งไม่มีสัญญาน  ผมทำอะไรไม่ถูก เข่าอ่อนทรุดลงกับพื้น เขื่อนทำนบน้ำตาพังทลายออกมา ผมหยิบรูปตัวเล็กที่ถ่ายคู่กับผมมากอดไว้แน่น  ปล่อยโฮเต็มที่   ไอ้ตัวเล็ก...ไอ้ตัวเล็กต้องไม่เป็นอะไรนะ  พี่บอกแล้วไงว่าให้แวะนอนบ้านเพื่อนก่อน สัญญากับพี่แล้วนะว่าจะมา สัญญากันแล้วนะว่าจะไม่จากกันไปไหนอีก ทำไมถึงเป็นแบบนี้ 

  ไม่นะ เป็นไปไม่ได้ ตัวเล็กเชื่อฟังผมเสมอ ไม่จริงใช่ไหม ผมฝันไปแน่ๆ มันต้องไม่ใช่อย่างนี้  ผมตบหน้าและหยิกแก้มตัวเองแรงๆ   เจ็บ.. ไม่ใช่ฝัน ..

  ผมคอยกดโทรศัพท์ติดต่อไปเกือบทุกนาที แต่... ว่างเปล่า ติดต่อไม่ได้เลย ผมคว้างไปหมด ทั้งตกใจเสียใจสับสนระคนกันไปหมด  ผมพนมมือไหว้พระที่วางไว้บนหลังตู้เสื้อผ้า  ภาพเมื่อครั้งไอ้แทนอยู่ในอ้อมแขนผมเต็มไปด้วยเลือดผุดขึ้นมาอีกครั้ง    ... ไอ้แทน... ไม่จริงใช่ไหม กูหวังให้เป็นเพียงเรื่องโกหก แม่หมวงไม่อยากให้ทัชมาอยู่กับกูเลยโกหกออกไปแบบนั้นใช่ไหม ขอร้อง มึงอย่าเอาทัชไปจากกูเลยนะ  ได้โปรด ช่วยไอ้ตัวเล็กด้วย ดลใจให้มันไปนอนบ้านเพื่อนมันซะ อย่าให้มันขับรถไปไหนนะ ไอ้แทน กูเสียมึงไปคนหนึ่งแล้ว กูไม่อยากเสียไอ้ตัวเล็กไปอีก ได้โปรดช่วยกูด้วย ช่วยไอ้ตัวเล็กด้วย ขออย่าให้มีอะไรเกิดขึ้นเลยนะ  กลับมาหาพี่เถอะนะ ได้โปรด พี่จะไม่ยอมปล่อยให้ไปไหนอีก คราวนี้แม้แต่แม่หมวงก็เถอะ  พี่จะไม่ปล่อยหัวใจของพี่ไปอีกเด็ดขาด  ทัชต้องมาหาพี่นะ ตามที่สัญญากันไว้นะ   ได้โปรด 

...
“อื้ม ครับ ต่อไปนี้เราจะไม่จากกันอีกนะครับ ผมจะเชื่อฟังพี่นะ ผมรักพี่นะครับ”

....
   เสียงทัชยังดังอื้ออึงอยู่ในหู

 ผมเข่าทรุดนั่งลงข้างเตียงกอดรูปทัชกับผมไว้ในอ้อมกอด ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมา ภาพเมื่อครั้งไอ้แทนถูกรถชนวนย้อนกลับมาในความทรงจำ  อีกหนึ่งความทรงจำที่แต่งภาพไอ้แทนหกล้มหัวฟาดขอบอ่าง  รู้สึกเจ็บในอก  แล้วครั้งนี้อะไรอีก  ทำไม ทำไมต้องเป็นทัชของผมด้วย    ผมนึกภาพไม่ออกว่าเจ้าตัวเล็กจะถูกรถชนอย่างไร เสียชีวิตอย่างไร ในช่วงค่ำคืนอันหนาวเย็นเช่นนั้น  ความรู้สึกครั้งสุดท้ายก่อนสิ้นใจของเขา เขาจะคิดถึงผมหรือเปล่า  ขณะที่ฝั่งหนึ่ง ในเมืองหลวง ผมกำลังออกไปหาอะไรกินและเดินตลาดนัด  ในขณะที่อีกฝั่งหนึ่ง เด็กชายคนหนึ่งกำลังประสบอุบัติเหตุ   โดยที่ผมไม่รู้เรื่องอะไรเลย ไม่ได้กล่าวลา ไม่ได้พูดอะไรต่อกัน  ไม่ได้เจอกันเป็นเดือน หลังจากที่เขากลับบ้านนอกไป  ผมนึกภาพไม่ออก ในระหว่างที่เขาถูกรถชน เขาคงเจ็บปวดมาก ระหว่างนั้น เขาจะคิดถึงผมหรือไม่ เขาจะรู้ไหมว่ามีผมที่ยังคอยเขาอยู่ เขาล้มลงบริเวณนั้น อยู่ตรงนั้นตัวคนเดียว คงหนาวเหน็บมาก ต่อสู้กับความเจ็บปวดคนเดียว 

ภาพที่ไอ้แทนหกล้มหัวฟาดขอบอ่างผุดขึ้นมาอีกครั้ง  เหมือนกันเลย ทั้งสองคน ต่างเพียงสถานการณ์ ทั้งสองคนอยู่ในเหตุการณ์ที่ต้องต่อสู้เพียงลำพัง  ทำไมนะ ทำไมต้องมาเกิดเหตุการณ์แบบนี้ด้วย ผมไม่ได้อยู่ใกล้ๆเขาเลย ทั้งสองคน  ทำไม สวรรค์ช่างโหดร้ายเช่นนี้ พรากเจ้าตัวเล็กของผมไปทำไม ผมเหลือเขาแค่คนเดียว คนเดียวเท่านั้น

  ผมนอนกอดรูปเจ้าตัวเล็กแล้วหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย รุ่งขึ้น ผมโทรหาเบอร์เดิมอีกครั้ง และหัวใจก็พังสลาย เจ้าตัวเล็กจากผมไปแล้วจริงๆ  เมื่อคืนที่เขาโทรมาคืออะไร จิตวิญญาณหรือ เขาคงคิดถึงผมมาก  ทัช เจ้าตัวเล็กของพี่ พี่ก็คิดถึงเรามากนะ  ผมสอบถามวันทำพิธี และวันเสียศพ ผมกะว่าจะลางานขึ้นไปเมื่อวันเสียศพ แต่เจ้าธีร์น้องชายคนเล็ก ตะคอกขู่ไว้ ว่าถ้าผมไป เขาจะฆ่าผม มีแต่อาเหมย และอารุจน์ที่คุยกับผมตามปกติ แต่คนอื่นไม่คุยกับผมเลย  แม่หมวงไม่ยอมคุยกับผม  แล้วถ้าหากผมกลับไปช่วงนี้ ผมจะทำตัวอย่างไร ผมจะไปสู้หน้าใคร ญาติเขาแต่ละคนคงประนามหยามเหยียดผมที่เป็นตัวต้นเหตุทำให้ทัชต้องจากไปแบบนี้  ผมควรจะทำอย่างไรดี  ผมตั้งใจว่าจะไปในวันเสียศพ  ใจหนึ่งก็เจ็บช้ำที่ต้องไปเจอกับเขาในสถาพนี้ เหมือนตอนไปงานไอ้แทน  ไม่เคยคิดว่าจะต้องไปอีกครั้ง  กับงานของคนที่ผมรักมากเช่นนี้  อีกใจก็นึกรังเกียจตัวเองที่จะมาทำใจกล้าอะไรตอนนี้ ตอนที่เขาจากไปแล้ว  ตอนที่เขายังอยู่ทำไมผมไม่กล้าเผชิญกับญาติของเขาพร้อมๆกับตัวเขา ทำไมผมไม่ร่วมต่อสู้กับเขา นึกแล้วก็ให้รู้สึกเกลียดตัวเองยิ่งนัก  จะมาพูดอะไรตอนนี้ มันสายไปแล้ว  เขาไม่ฟื้นกลับมาหาแล้ว...



ออฟไลน์ thewa.arak

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 66
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ทัช..สัมผัสใจ ตอนจบ (29 ก.ค. 2560)
«ตอบ #43 เมื่อ29-07-2017 21:57:49 »

ตอนที่ 26 (ตอนจบ)




...กลับมายืนที่เดิม.....คนเดียว ....



    ผมลางานสามวัน จุดหมายปลายทางคือบ้านต้นไผ่ คนที่ผมรักสองคนยังอยู่บนนั้นรอผมอยู่บนนั้น ผม ในชุดกางเกงยีนสีดำเสื้อเชิ๊ตคอปกสีดำ ลงเครื่องที่สนามบินเชียงราย เช่ารถ ขับออกไปยังจุดกหมายปลายทาง โดยไม่ได้แจ้งใครแม้แต่อารุจน์เอง   ผมเลือกเส้นทางที่ไปบ้านวังถ้ำ เพราะเป็นถนนลาดยางไปครึ่งทาง แต่ระหว่างรอยต่อบ้านวังถ้ำขึ้นไปบ้านต้นไผ่นั้น ลูกรังเหมือนเดิมและชันกว่าเส้นที่ผมคุ้นเคยประจำ  แต่ในใจผมไม่คิดอะไรทั้งนั้น เร่งให้ถึงจุดหมายปลายทางโดยเร็ว

      เป็นเวลาสี่โมงเย็น ผมจอดรถทิ้งไว้ที่ โรงเรียนบริเวณสนามตะกร้อ ที่ที่ผมเคยมาออกค่ายกัน ผมสอบถามเด็กแถวนั้นถึงงานของตัวเล็ก และผมก็เดินขึ้นไป ไม่ลืมที่จะสวมแว่นตาดำ เดินเข้าไปปะปนอยู่ในระหว่างแถวชาวบ้านที่มาร่วมงาน เป็นช่วงที่อารุจน์และอาแปะและญาติฝ่ายพ่อและแม่ช่วยกันแบกโลงตั้งแถวเดินพีธี ไปยังสถานที่ที่เสียศพ  ผมนึกในใจว่าคงเป็นที่เดียวกับไอ้แทนแน่ๆ

   ....ทัช  เจ้าตัวเล็กของพี่ พี่มาหาแล้วนะครับ พี่อยู่ตรงนี้นะ เห็นพี่ไหม  ผมน้ำตาไหลเป็นทาง เดินปะปนไปกับแถวญาติๆ ไม่สนใจเสียงปี่เสียงกลองประจำงาน   เป็นอย่างที่ผมนึกไว้ เป็นสถานที่ที่เดียวกับที่เคยมางานไอ้แทน แต่อยู่คนละฝั่งไอ้แทนอยู่ฝั่งตะวันออก  ทัช อยู่ทิศเหนือ ผมมองเห็นบุคคลที่หน้าตาคุ้นๆ ไอ้ นพและไอ้ต๋อง เพื่อนรักผมนั่นเอง ผมพยายามเดินแทรกไปถึงตัวและสะกิดให้เขาถอยห้างออกมาจากแถว  มันทำหน้างงๆ แต่พอผมถอดแว่นออก มันก็เกือบจะร้องอุทานออกมา ดีที่ผมเอามืออุดปากมันไว้ทัน

“ขอร้อง ไอ้นพ อย่าเสียงดังได้ไหม กูมาไม่ได้บอกใครเลย กูเกรงว่าถ้ามีใครรู้ กูจะอยู่ไม่ได้ ขอร้องเถอะนะอย่าบอกใคร และกูขอยืนกับกลุ่มมึงนะ” 
ผมพูดยาวๆและรวบรวมคำและประโยคให้สั้นที่สุด  ไอ้นพกับไอ้ต๋องมองหน้าผม พยักหน้าให้ และตบไหล่ผมเบาๆ

“กูเข้าใจ ป่ะ ไปรวมกับกลุ่มเพื่อนกู”   ผมเดินไปตามที่ไอ้นพบอก และรวมอยู่กับกลุ่มของมันโดยที่ผมไม่ถอดแว่นตาดำออก กลมกลืนไปกับกลุ่มซึ่งมีทั้งเพื่อนและญาติของมันที่ผมไม่รู้จักใครเลย  แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมสนใจ

  ช่วงที่เปิดฝาโลงให้เพื่อนๆและญาติมาดูเพื่อร่ำลาเป็นครั้งสุดท้าย  ผมสะกิดให้ไอ้นพกับไอ้ต๋องพาไปเป็นกลุ่มกับเพื่อนของมัน  ครั้งนี้แตกต่างจากงานไอ้แทน ผมพยายามก้าวเดินให้ไว เพื่อไม่เป็นจุดสนใจของคนอื่น เมื่อไปถึง ก่อนที่ผมจะก้าวไปถึงแท่นที่วางโลง ผมสะกิดไอ้เนอีกครั้ง

“ไอ้นพ ไอ้ต๋อง มึงอยู่ข้างๆกูก่อนได้ไหม อยู่หลังกูก็ได้ อย่าให้คนอื่นเห็นว่ากูกำลังทำอะไรนะ”

“อืม กูจะช่วยมึงเต็มที่นะ ไอ้นนท์ ไปเถอะ น้องมันรอมึงอยู่”  มันพยักหน้าให้ผม เมื่อเราเข้าใจกันแล้ว ผมก้าวขายาวๆไปถึงหน้าโลงของทัช

  น้ำตากลั้นไว้ไม่ได้ เหมือนครั้งที่ผมเดินมาส่งไอ้แทน  ครั้งนี้ต่างออกไป ด้วยเพราะเป็นคนที่ผมรักมากที่สุด  ทัช...ในชุดชนเผ่าเต็มยศ ใบหน้าด้านซ้ายมีร่องรอยจากการหกล้มบนพื้นถนน  ผมรู้สึกโลกทั้งโลกหยุดหมุน  กลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ได้ รู้สึกเจ็บปวดมากเหลือเกิน จนแทบจะหายใจไม่ออก ผมเอื้อมมือลูบหัวเขา เอาฝ่ามือแนบกับแก้มข้างที่เป็นแผลถลอกจากอุบัติเหตุ   

   ...เจ็บมากไหม เจ้าตัวเล็ก  พี่อยู่นี่แล้วนะ พี่มาแล้ว ทำไมเราถึงได้ดื้อดึงนัก พี่บอกให้พักผ่อนก่อนไง พี่ไม่ได้หนีไปไหนเลย พี่ยังรอเราเสมอ ไม่ต้องรีบร้อนแบบนี้ก็ได้  พี่เสียใจมากนะ เสียใจมากจริงๆ ถ้าพี่เจ็บแทนเราได้พี่จะยอมทุกอย่าง  ผมกุมมือเขาไว้ ก้มลงจูบหน้าผากเขาและจูบที่ริมฝีปากหนึ่งครั้ง  ....พักผ่อนให้สบายนะ  พี่สัญญา พี่จะไม่มีวันลืมทัชเด็ดขาด พี่จะยังรอเราอยู่เสมอนะ  พี่จะรักตัวเล็กของพี่ตลอดไป ...

“ไอ้นนท์ระวัง”   

ผมได้ยินเสียงไอ้ต๋องกับไอนพูดเกือบพร้อมกัน แต่ยังไม่ทันจะได้ระวังตัว ก็พอดีกับที่เจ้าตัวเล็กอีกคนกระชากผมออกมาและต่อยตรงข้างแก้มผมอย่างจัง จนแว่นตากระเด็น  ผมมึนงงไปชั่วครู่ เกิดเหตุการณ์ชุลมุนเล็กน้อย ญาติๆมาห้าม อารุจน์เมื่อเห็นว่าเป็นผม แกเข้ามาห้ามและกันผมออก ไอ้เนก็เข้ามาบังผมไว้

 “นนท์จะกลับมาทำไม ลูกแม่สองคนก็จากไปหมดแล้ว สมใจแล้วใช่ไหม”  แม่หมวงตบหน้าผมอย่างแรง คนอื่นๆที่ไม่รู้เรื่องต่างก็งงไปตามๆกัน

“ผมขอโทษครับ ผมยอมรับผิดทุกอย่าง จะลงโทษอะไรผมก็ได้ครับ”  ผมยกมือไหว้พ่อและแม่ของคนสองคนที่ผมรัก  แต่เป็นไอ้นพที่พยุงผมไว้ไม่ให้เซจนล้ม

“ทุกอย่างเป็นเพราะผมเอง ที่ทำให้น้องต้องจากไป ผมผิดเอง”   

“ไม่ใช่นนท์หรอกลูก พ่อรู้ดี อย่าโทษตัวเองเลย น้องมันไม่เชื่อฟังเอง พ่อเชื่อว่านนท์ก็ไม่ได้ยุยงน้องอย่างที่นนท์พูดใช่ไหมลูก”   อารุจน์โอบกอดผม ตบหลังและปลอบใจ อาเหมยก็นิ่งเงียบ

“ผมบอกให้เขานอนพักที่บ้านเพื่อนก่อน ไม่คิดเลยจะเป็นเช่นนี้”  ผมพูดเสียงเบาพร้อมเสียงสะอื้นที่แทบจะกลบกลืนคำพูดตัวเองไปเสียสิ้น

“ไม่เชื่อหรอก มึงต้องชักชวนโน้มน้าวพี่กูแน่ๆ แล้วดูสิ สิ่งที่มึงทำ ผลมันออกมาเป็นยังไง สะใจมึงหรือยัง”    เจ้าธีร์พูดประโยคนี้ ผมเองก็จุกพูดไม่ออก

“ไอ้ธีร์ พูดจาระวังด้วย”  อาเหมยปรามน้อง

“พี่เหมยจะเชื่อคนอย่างมันทำไม มากินนอนบ้านเรา แต่มาทำให้คนในบ้านเราต้องตาย”  เจ้าธีร์น้องคนสุดท้องพูดตะคอกเสียงดัง ทำเอาผมแทบเข่าอ่อน กับคำพูดของเจ้าธีร์

“พี่ไม่ได้คิดเช่นนั้นนะ ไม่เคยคิดเลย”   ผมเองก็เจ็บปวดใจไม่น้อย ที่ต้องยืนอยู่ตรงกลางต้องเลือกระหว่างหัวใจตัวเองและความถูกต้อง มันเจ็บปวดเหลือเกิน

“ไม่ต้องมาพูดหรอก ไอ้พวกผิดเพศ มึงจำไว้เพราะมึงทำให้พี่กูต้องตายถึงสองคน” เจ้าตัวเล็กคนสุดท้องชี้หน้าด่าผม ผมเองก็รู้สึกจุกพูดอะไรไม่ออก  อาเหมยเข้าไปดึงตัวเจ้าคนเล็กออกไป

“กลับไปเถอะ อย่ามาที่นี่อีก แม่ขอร้อง ชาติหน้าถ้ามีจริง ขอให้เขามาเกิดเป็นลูกของแม่และอย่าได้พบได้เจอกับนนท์อีก”  แม่หมวงผลักผมรุนหลังผมออกไป  ผมทั้งเจ็บใจ เจ็บจนชาไปทั้งตัว

“พ่อขอนะแม่ ลูกเขารักกัน ขอให้เขาอยู่ส่งลูกเราเป็นครั้งสุดท้ายด้วยเถิด เห็นแก่ความรักของลูกเถอะนะ นนท์เขาก็ตั้งใจขึ้นมาแล้ว ไล่เขากลับไปไอ้เจ้าทัชมันก็ไม่ฟื้นขึ้นมาหรอก”  อารุจน์โอบกอดแม่หมวงและพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ผมก้มลงกราบแทบเท้าแม่หมวง

“ขอโอกาสให้ผมได้ส่งน้องด้วยเถอะครับ ผมจะได้พบกับเขาอีกครั้งเดียวในชีวิต ผมเองก็เสียใจไม่แพ้กันครับ ผมเข้าใจในหัวอกคนเป็นแม่  แต่เขาก็เป็นคนที่ผมรักมากเช่นกัน และผมก็เชื่อเหลือเกินว่าเขาเองก็รักผมมากด้วยเช่นกัน  ขอผมได้อยู่ส่งเจ้าตัวเล็กด้วยเถอะครับ นะครับแม่”   ผมคุกเข่าอยู่อย่างนั้นอ้อนวอนทั้งน้ำตา

“เอาน่ะแม่ เห็นใจลูกๆนะ ถือเป็นครั้งสุดท้าย”  อารุจน์ตบบ่าปลอบใจ

ไอ้นพ กับไอ้ต๋อง เข้ามาช่วยพูดอธิบาย เรื่องราวต่างๆที่ผม กับไอ้แทน และ ทัช ต่างร่วมฝ่าฟันกันมา และยังช่วยพูดด้วยว่า เจ้าตัวเล็กของผมนั้นรักผมมากแค่ไหนผมเองก็เช่นกัน ไอ้นพมันเป็นผู้ใหญ่มาก พูดจามีหลักการ มีเหตุและผล พูดไม่ให้บัวช้ำน้ำไม่ให้ขุ่น

"ขอบคุณมาก ไอ้นพ แต่กูก็ผิดจริงๆ ที่เป็นต้นเหตุให้เขาทั้งสองคนต้องจากไป" ผมกลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้อีก

แม่หมวงเริ่มมีท่าทีอ่อนลง โน้มตัวลงมาพยุงผมลุกขึ้น  ผมโผเข้าสวมกอดแม่หมวงปล่อยโฮออกมาเต็มที่ อย่างน้อยผมก็ได้กอดคนที่ได้ชื่อว่าเป็นแม่ของคนที่ผมรักสุดหัวใจ และขอโทษแม่ขอให้แม่ให้อภัยทุกอย่าง

 “แม่ขอโทษนะ เจ็บไหมนนท์”  แม่หมวงลูบแก้มข้างที่ตบผมไป

 ผมส่ายหน้า  ..แค่นี้ไม่เจ็บเท่าความรู้สึกของแม่ที่เสียลูกไปหรอก  และไม่เจ็บเท่าการสูญเสียคนที่ผมรักไปอย่างไม่มีวันกลับ  ผมอยู่รอจนกระทั่งจุดไฟใส่โลงแผดเผาร่างอันไร้วิญญาณของเจ้าตัวเล็ก ผมน้ำตาไหลแทบขาดใจ ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ไปได้  เสร็จพิธี ผมไม่เดินกลับไปที่บ้าน ยังคงอยู่ตรงเพิงพิธี ร่ำลาบรรดาญาติของเจ้าตัวเล็ก ญาติบางคนก็มองผมด้วยสายตาเหยียดหยาม ผมไม่สนใจสายตาเหล่านั้น มีเพียงไอ้นพ ไอ้ต๋องกับเพื่อนๆมันอีกสองคนที่อยู่กับผม ณ ตอนนี้

 “ไม่อยากจะเชื่อเลยนะ ว่ามันจะจากไปเร็วแบบนี้”  ไอ้ต๋องพูด

“กูเจ็บมากไอ้นพไอ้ต๋อง น้องมันสัญญากับกูไว้ว่าจะมาหากู”  ผมยังคงสะอึกสะอื้น

“คิดถึงสมัยเราอยู่มัธยมนะ ตั้งแต่ไอ้แทน มาจน ไอ้ทัช”  ไอ้นพพยายามพูดทำลายบรรยากาศความเศร้า

“ไอ้เน ไม่ได้กลับมาเหรอ” 

“อืม มันทำงานเลี้ยงลูกแทนเมียมันอยู่ ไม่ได้กลับมาหรอก เดี๋ยวพรุ่งนี้กูก็ต้องไปสอนแล้ว”  ไอ้นพเอ่ยขึ้นต่อ

“แล้วนี่มึงกลับยังไง นอนบ้านกูก่อนก็ได้นะ เพื่อนกูมาด้วยสองคนนอนด้วยกันก็ได้”   เพื่อนไอ้นพอีกสองคนก็พยักหน้าเห็นด้วย แต่ผมปฏิเสธ มาบ้านต้นไผ่แล้วไม่เคยนอนบ้านคนอื่นที่ไม่ใช่บ้านไอ้แทนและเจ้าตัวเล็ก มันไม่คุ้น

“มึงกลับไปกันก่อนเลยก็ได้ กูขับรถมาเอง เดี๋ยวกูก็กลับละ ขอไปเยี่ยมไอ้แทนสักพัก”  ผมชี้ไปยังป้ายที่ปักบนเนินฝั่งตรงข้าง

“อืม มึงอยู่ได้แน่นะ”  ไอ้นพถาม

“อืม ขอบใจมากไม่ต้องห่วง กูอยู่ได้สบาย”

“งั้นกูพาเพื่อนกูกลับก่อนละนะ โชคดีนะมึงไว้เจอกัน เบอร์กูไม่ได้เปลี่ยน โทรมาได้ตลอด”

“อืมขอบใจมาก ไอ้นพ ฝากความคิดถึงไอ้เนด้วย”

“เออ จะบอกมันให้”

ผมไม่ลืมที่ขอเบอร์ไอ้ต๋องไว้   ร่ำลากับเพื่อนแล้ว  ผมยืมสงบนิ่ง อยู่ในเพิงพิธี ไฟที่แผดเผาร่างเจ้าตัวเล็กได้มอดดับลงแล้ว  แต่ยังคงมีควันหลงเหลืออยู่ มีเพียงสับปะเหร่อประจำหมู่บ้านสองคนที่คอยดูเพลิงไฟ พร้อมกับปิดตะกอน พร้อมกับกระดาษขวัญที่ผูกติดกับฟางข้าวที่ผ่านพิธีกรรมแล้ว  มัดล้อมรอบเชิงตะกอน คงเหมือนการเอาด้ายสายสิญจน์มาผูกไว้รอบๆนั่นแหละครับ

   ผมทรุดกายคุกเข่าลง มองไปยังเชิงตะกอน  บัดนี้ เจ้าตัวเล็กของผมกลายเป็นเถ้าถ่านไปแล้ว  จะไม่มีเจ้าตัวเล็กอยู่เคียงข้างผมอีกต่อไป  ภาพทุกภาพวนหมุนฉายชัดขึ้นมาในความทรงจำ ลาก่อนนะเจ้าตัวเล็กของพี่ แม้เราจะจากพี่ไปแล้ว แต่เราจะยังคงอยู่ในใจของพี่เสมอนะครับ พี่ยังรักและคิดถึงทัชอยู่เสมอ พี่จะเก็บเอาเรื่องราวของเราไว้ในความทรงจำตลอดไป ทุกภาพทุกบทตอนระหว่างเราจะไม่มีวันหายไปจากใจของพี่ ลมเย็นๆพัดมาปะทะใบหน้า ผมรู้สึกถึงความเย็นยะเยือกที่ไม่ใช่ความเย็นธรรมดา ผมหลับตาลง

   ...ขอบคุณนะที่มาร่ำลาพี่ ..ทัชจะไม่จากไปไหน จะยังคงอยู่ในใจพี่เสมอ และตลอดไป ......ลาก่อนเจ้าตัวเล็ก... ผมหลับตาลงอีกครั้งหยดน้ำตาไหลร่วงลงพื้นอีกครั้ง ผมหันหลังและก้าวเดินออกมาโดยไม่หันหลับไปมองข้างหลังอีก  ผมเดินตรงไปป้ายของไอ้แทน คุกเข่าลง ทักทายกับไอ้แทนอีกครั้ง

 ...ไงมึง สบายดีมั๊ย กูมาเยี่ยมมึงอีกครั้ง...ไอ้แทน มึงอิจฉาเจ้าตัวเล็กเลยมาเอามันไปอยู่ด้วยงั้นเหรอ  มึงใจร้ายมากเหลือเกิน ไอ้แทน... แล้วจากนี้กูจะอยู่กับใครล่ะ  ไอ้แทน กูเจ็บเหลือเกิน กูเหงา  ผมเอื้อมมือไปแตะที่ป้ายหน้าหลุมไอ้แทน   จากนี้ก็คงจะมีอีกหนึ่งเนินเพิ่มขึ้นมาทางทิศเหนือสินะ  มึงคงไม่เหงาแล้วสิ น้องมึงมาอยู่เป็นเพื่อนมึงแล้ว  แต่กูล่ะ จากนี้ไปกูจะอยู่ยังไง กูรักเจ้าตัวเล็กมันมากนะ กูขอมึงแล้วนะ มึงยังบอกว่า ฝากด้วย ไม่ใช่เหรอ  แล้วมึงมาเอาคืนทำไม...ผมทุบป้ายเบาๆ ปล่อยให้น้ำตาแห่งความโศกเศร้าไหลออกมา

“นนท์เอ้ย “  อารุจน์นั่นเอง

“ครับพ่อ”  ผมเรียกคำว่าพ่อเต็มปากเต็มคำ

“อย่าเสียใจไปเลยนะ พวกเขาสองคนได้นอนพักผ่อนสบายแล้ว ไว้ถ้าทำป้ายเจ้าทัชเสร็จ นนท์ก็อย่าลืมแวะขึ้นมาเยี่ยมมันบ้างนะลูก”  อารุจน์ตบบ่าผมเบาๆ ด้านหลังมีแม่หมวงยืนอยู่

“วันนี้ พักที่นี่ก็ได้นะ” แม่หมวงพูดแต่ไม่มองหน้าผม

“อื้ม ใช่ พี่นนท์นอนที่นี่ก็ได้นะ อย่าไปสนใจเจ้าธีร์มันเลย”  อาเหมยย้ำอีกครั้ง

“ไม่เป็นไรครับ”  ผมเองก็ไม่รู้จะอยู่ได้ไหม ไม่มีทั้งไอ้แทนและเจ้าตัวเล็ก ผมไม่รู้จริงๆว่าจะอยู่ยังไงไหว

“ไม่เป็นไรจริงๆ ผมลางานมาเพื่อมาส่งน้อง ช่วงนี้งานยุ่งจริงๆครับ วันนี้ต้องเดินทางกลับเลย” ผมอธิบายเหตุผลทั้งๆที่ยังมีน้ำตาไหลอาบแก้ม

“แม่ขอโทษนะนนท์ ที่ทำกับลูกแบบนั้น แต่แม่หวังว่านนท์จะเข้าใจแม่” แม่หมวงพูดเอื้อมมือมาจับมือผม

“ผมเข้าใจครับ ผมเองก็มีส่วนผิด และรู้สึกเสียใจไม่ต่างกัน”

“ช่างมันเถิด อย่าเพิ่งพูดอะไรกันตอนนี้เลย  ยังไง ถ้ามีเวลาแวะขึ้นมาเยี่ยมพ่อกับแม่ มาเที่ยวหาพวกเขาทั้งสองคนบ้างนะ” อารุจน์พูดปลอบใจผม

“เดี๋ยวแม่ไปทำพิธีเรียกขวัญก่อนนะ” แม่หมวงพูดและ อารุจน์ก็กำลังจะเดินไป

“ผมขอลาตรงนี้เลยนะครับ เดี๋ยวก็กลับเลยครับ”

“อืม ขับรถดีๆนะ ขอให้เดินทางปลอดภัย อย่าลืม ว่างๆแวะมาหาพวกเขาด้วย”  อารุจน์พูดและแม่หมวงก็ดึงแขนไปทางตะกอน
 
“พี่นนท์ หนูมีของจะให้พี่นะ”  อาเหมยเอ่ยขึ้นเมื่อพ่อกับแม่เริ่มเดินห่างออกไป

 ผมเอื้อมมือไปรับ เป็นสมุดบันทึกเล่มเล็กสีน้ำเงิน ผมพลิกผ่านๆ มีรูปของผมกับเจ้าทัชด้วย

“ขอบใจมากนะ เหมย ขอบใจที่เข้าใจพี่กับเจ้าตัวเล็กมัน”  ผมพูดพร้อมกับปาดน้ำตา

“มันผ่านไปแล้วพี่ ขอให้เก็บแต่สิ่งดีดีไว้นะคะ หนูขอให้พี่โชคดี”

“ขอบใจมาก ฝากขอโทษญาติๆทุกคนด้วย”

“ไม่เป็นไรหรอกพี่  ..เอ้อ.. ขอโทษแทนไอ้ธีร์มันด้วยนะ” 

“ไม่เป็นไร เขาทำถูกแล้ว เป็นพี่เองพี่ก็คงโกรธแบบนั้น” ผมเสริม

“ยังไง พี่กลับก่อนละนะ จะค่ำแล้ว เดี๋ยวทางจะมืดเสียก่อน”
 
“ค่ะ โชคดีนะพี่ วันข้างหน้า ถ้ามีโอกาสอย่าลืมขึ้นมาเที่ยวหาเขาทั้งสองคนด้วยนะคะ”

“เขาทั้งสองคนอยู่ในใจพี่เสมอแหละ”  ผมตอบพร้อมกับหันไปมองทั้งสองฝั่ง

อาเหมยยิ้มแทนคำตอบ และโบกมือลาผม   ผมเงยหน้าไปทางทิศเหนืออีกครั้ง ...


  ....ทั้งพี่ชายและน้องชาย....ไม่ผิดใช่ไหม.. ที่ผมจะรักพวกเขา ทั้งสองคน....









พริ้วไสวตามสายลมพรมพริ้วแผ่ว
เย็นแล้ว ช่างกระไรยังไหวไหว
ซู่ซู่  เสียงลมพัดสะบัดไกว
ชูช่อล้อลมไหว ใจวังเวง
คิดถึงเธอเหลือเกินในยามนี้
ดั่งราตรีมืดมิดสนิทแสง
ไร้น้ำค้างเกาะกิ่งยิ่งอ่อนแรง
ขอสายลมพัดไกวแกว่ง ให้หายเหงา
หวังเพียงให้ใจเธอ สงบสุข
ทิ้งความทุกข์ ทุกสิ่งที่แสนเศร้า
ภาพอดีตครั้งก่อนของสามเรา
ขอเก็บเอา ใส่ใจ ไว้ทรงจำ





 ...ลาก่อน ทัช...   ลาก่อนไอ้แทน   ว่างๆกูจะมาเยี่ยมอีก

ผมเอื้อมมือแตะกับป้ายฮวงซุ้ยของไอ้แทน ดอกหญ้ารอบๆฮวงซุ้ยโอนเอนตามแรงลม ราวกับจะโบกมือบอกลาผมอีกครั้ง    ผมตั้งใจไว้ว่าสักวันหนึ่งจะขึ้นมาเยี่ยมบ้านไอ้แทน และ ทัช อีกครั้ง
 
   ระหว่างทางลงเนินเขา ผ่านจุดที่ผมเคยมากับทัช   ภาพต่างๆเมื่อครั้งเราสองคนเคยมาด้วยกัน ลำน้ำลำห้วยที่เราเคยมาดำน้ำยิงปลาด้วยกัน  น้ำตาผมไหลออกมาอีกครั้ง ผมแวะจอดข้างทาง ก้มหน้ากับพวงมาลัยรถ และปล่อยโฮออกมาเต็มเสียง  ไม่มีอีกแล้ว จากนี้ไป ผมจะไม่มีเจ้าตัวเล็กมาอยู่เคียงข้างผมอีกแล้ว ..

    รถคนเล็กแล่นลงจากดอยสูงมุ่งสู่ตัวเมืองเชียงราย คนขับหัวใจแตกสลาย ทิ้งอีกร่างหนึ่งไว้บนขุนเขาให้กลับคืนสู่ธรรมชาติ กลับสู่อ้อมอกภูเขา   ทัช..เจ้าตัวเล็กของพี่ พักผ่อนให้สบายนะ สงบสุขอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ  พี่สัญญา  ทัชจะยังคงอยู่ในใจพี่เสมอ  หากคิดถึงพี่ ก็ฝากสายลมพัดพาความคิดถึงส่งมาหาพี่ได้เสมอนะ    พี่จะรอวันนั้น วันที่เราจะได้มาอยู่เคียงข้างกันอีกครั้ง .....สักวันหนึ่ง..เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม  ..


 สักวันหนึ่งนะ.. สักวันหนึ่ง

....................




  ตั้งแต่ทัชจากผมไป จนปัจจุบัน ปี2560  ก็ผ่านมาร่วมสิบปีแล้ว ทุกวันนี้ผมยังอยู่ตัวคนเดียวไม่มีใคร  เหงาไหม ตอบได้เลยว่าเหงามากกับการที่ต้องอยู่คนเดียว คนคนหนึ่งจะต้องพบเจอกับทุกๆอุปสรรคเพียงลำพัง เจ็บป่วยก็ต้องดูแลตัวเอง  เพราะหัวใจดวงนี้ของผม ยังคงรักทัช และ ทัชยังคงอยู่ในใจเสมอ  ไม่สามารถมีใครมาแทนที่เขาได้เลย ผมได้ก่อกำแพงไว้แน่นหนามาก มีคนเคยบอกให้ปลดปล่อยทัชไปเสียที เขาคงไม่มีความสุขถ้ารู้ว่าเรายังยึดติดอยู่กับเขาแบบนี้   แต่ไม่เป็นไร ผมอยู่กับความเหงานี้มาเป็นสิบๆปีแล้ว ผมชินชาเสียแล้ว  ความรักของผมมันหยุดลงตั้งแต่วันที่ทัชจากผมไปแล้ว นาฬิกาแห่งความรักหยุดเดินไปนานแล้ว  ไม่อยากเก็บใจช้ำๆให้คนที่จะเข้ามา จึงขอเก็บเอาทุกความทรงจำทั้งหมดไว้ ในไดอารี่ ไดอารี่เล่มนี้ มีชีวิต มีลมหายใจของทัชอยู่ ทุกครั้งที่ผมเปิดอ่าน รู้สึกได้ว่า เขายังอยู่กับผมเสมอในใจดวงนี้ 
ไม่มีเลยสักวันที่จะลืมเขาได้   ไม่เคยลืม




.................








หากเธอมองเห็นฉันได้  จากจุดที่เธออยู่
ฉันก็เชื่อเหลือเกิน ว่าสักวันหนึ่ง
  เราจะได้กลับมาพบกันอีก








เธออยู่ตรงปลายโค้งขอบฟ้า
ไกลเกินกว่าจะก้าวข้ามไปถึง
ได้แต่ปล่อยให้จมอยู่ในห้วงคำนึง
ไม่อาจยื้อยึดฉุดดึงขึ้นมา
ฉันเหนื่อย..ฉันอ่อนล้าเหลือเกิน
กับสิ่งที่ต้องเผชิญในวันข้างหน้า
บางอย่างคงเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา
แต่ทว่า..เธอยังมีคุณค่าอยู่ในใจ
เป็นอยู่อย่างไรสบายดีหรือเปล่า
เคยเหงาแล้วคิดถึงฉันบ้างไหม
ท้องฟ้าที่ตรงนั้นสีอะไร
หม่อนหมองเหมือนที่นี่ไหน คนอยู่ห่างไกลอยากรู้
รำพึงรำพันกับตัวเอง
ด้วยจิตใจที่แสนจะวังเวงและหดหู่
ด้วยไม่อาจบอกให้ใครได้รับรู้
หยดน้ำตาพร่าพรู..ด้วยเพราะเหงารวดร้าวใจ
อยากกู่ก้องบอกเธอทุกทุกสิ่ง
ถึงความเป็นจริงที่แอบเก็บซ่อนไว้
เนิ่นนาน..จนล่วงเลยผ่านไป
ได้แต่เก็บเอาไว้..ในส่วนลึกของใจเรื่อยมา
แต่ก็นะ..ใช่ว่าเธอจะอยู่ไกลแสนไกล
ก็แค่ตรงปลายโค้งขอบฟ้า
สักวันหนึ่งจะดั้นด้นสู้ฟันฝ่า
ข้ามขอบเวลา ข้ามขอบฟ้า ไปหาเธอ








พบ......      รู้จัก
รัก ........       พรากจาก
ช่างเป็นวัฏจักรที่น่าสงสารของมนุษย์ยิ่งนัก
แต่ ใครกันเล่า ที่จะอยู่ได้โดยปราศจากความรัก







.............................................

























.....................................................

ครั้นจะเอื้อมมือคว้าเอาไว้
เธอกลับห่างไกลออกไปเกินเอื้อมถึง
ทำได้เพียงกอดเก็บเธอไว้ในห้วงคำนึง
หลับตา..แล้วคิดถึงก็สุขใจ
........................................................








Talk

   ขอบคุณสำหรับท่านที่อ่านจนจบนะครับ อาจจะไม่มีอรรถรสเท่าที่ควร ต้อขออภัยที่ไม่ใช่นักเขียนตัวจริง 
   นักอ่านหลายท่าน อาจจะไม่ชอบและมักมีคำถามว่าทำไมภาพยนตร์หนือละครหรือซีรีส์แนวชายรักชายส่วนใหญ่ถึงจบไม่แฮปปี้  ผมคิดว่า ส่วนหนึ่ง ไม่สิ ส่วนใหญ่ก็มาจากชีวิตจริงของเราๆนี่แหละครับ ผิดหวังมากกว่าสมหวัง   เรื่องนี้ก็เช่นกัน เป็นเรื่องที่มีเค้าโครงเรื่องจริง เป็นเรื่องที่เหมือนกับอีกหลายๆเรื่องที่นักอ่านอาจไม่ชอบเพราะจบแบบที่กล่าวมา   
ผมเป็นประเภท ที่แม้ไม่มีคนอ่านก็จะลงจนจบทีเดียว  ไม่จำเป็นต้องรอให้มีคนมากดไลค์หรือคอมเม้นท์ ผมหวังเพียงแค่ได้แบ่งปันเรื่องราวของตนเองแค่นั้น

ขอบคุณครับ


 :pig4:



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-01-2018 19:51:18 โดย thewa.arak »

ออฟไลน์ zuu_zaa

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2003
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +115/-1

ออฟไลน์ naezapril

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 120
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
มันดีตรงที่เราเข้าใจคนเขียนในตอนสุดท้าย..

ออฟไลน์ thewa.arak

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 66
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
 :L2: :pig4:

ขอบคุณมากครับ คุณ@zuu_zaa และคุณ@naezapril ที่กรุณาอ่านจนจบ
ขอบคุณ มากจริงๆ ตรงไหนที่ผิดพลาดไป ต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ




ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ สีหราช

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 320
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +200/-1

ออฟไลน์ nOn†ღ

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4390
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +502/-6

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด