‘Our love is twin…’( สองแสน - สี่ : เหมือนไม่รู้จัก )
“ทำไมแต่งตัวแบบนี้วะ?” ผมยืนมองไอ้แสนที่แต่งตัวดีผิดปกติ จำได้ว่าวันนี้มันไม่มีเรียน ถึงมันจะมีหน้าที่ไปส่งผมเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมาก็เถอะ
“ไปส่งมึงไง” มันเหลือบมมองผมแล้วเดินไปหาอะไรกินในครัวตามปกติ แต่ผมว่าแม่งไม่ปกติวะ เหมือนมันกำลังจะทำอะไร
“แน่ใจ?”
“..... ยุ่งน่า” มันเงียบไปครู่ก่อนจะเปิดปากพ่นคำที่ทำให้ผมเกิดอาการตีนกระตุก
“ไม่ยุ่งก็ได้วะ!” พูดจบก็ชูนิ้วกลางอัดหน้ามันทั้งสองนิ้ว เดินลงเท้าหนักๆหนีออกมาที่หน้าทีวียืนกอดอกดูรอมันครับ
เสียงกุกกักๆในครัวดังอยู่ซักพักก่อนมันจะเดินออกมาพร้อมกับแซนวิซทูน่า มันส่งมาให้ผมหนึ่งอัน อย่าคิดว่าผมจะไม่เอาครับ คว้าทันที หิวนี่หว่า วันนี้แม่ก็ออกไปทำงานแต่เช้าไม่มีเวลาทำกับข้าวให้ เราสองคนยืนกินเงียบๆก่อนที่มันจะเดินเช็คความเรียบร้อยรอบบ้าน ผมกินเสร็จก็ดื่มน้ำตามแล้วออกไปยืนรอไอ้แสนที่รั้วเหมือนเคยๆ
พูดถึงเมื่อวานกว่าจะง้อมันได้โคตรยากลำบาก ลำบากตั้งแต่ขี่เจ้านินจาด้วยความระวัง ไปยันหาดอกบัว แถมได้มาแทนที่อีกคนจะยิ้มรับ หรือพูดว่าหายโกรธแล้ว มันดันทำหน้าเหมือนเอือมเสียเต็มประดา
“มึงไม่ชอบหรอ นี่กูให้เขาพับกลีบให้ด้วยเลยนะ!”
“...ประสาท” มันพูดแล้วก็คว้าเอาแจกันที่ผมคุ้ยมาจากตู้เก็บของพร้อมดอกไม้ไปบางไว้บนโต๊ะกระจก ก่อนจะหันมองกอดอกมองผม ด้วยความที่มีคดีติดตัวไม่กล้าหือไม่กล้าอือครับ ให้มันด่าไปเผื่อมันจะหาย
“ดีกันเถอะน่า...”
“......”
“กูไม่ทำอีกแล้ว”
“.....”
“สัญญาเลย..”
“จริง?” มันเลิกคิ้วถามผม ผมก็หางกระดิกเลยดิ พยักหน้ารัวๆให้มันเชื่อ ถึงแม้ผมเองไม่ค่อยอยากจะเชื่อตัวเองก็เหอะ ฮ่าๆ
“จำคำพูดตัวเองไว้” “ทำไมชอบทำหน้าโง่”
“โอ้ย” มันไม่พูดเปล่าเอาหมวกมาเคาะหัวผมอีก เรื่องอะไรจะปล่อยให้โดนรังแกฝ่ายเดียว ยกขาขึ้นเตะข้อพับมันทันทีเล่นเอามันเสียศูนย์เกือบล้ม ผมยืนหัวเราะด้วยความสะใจไม่สนใจสายตาอาฆาตของมันเลื่อนประตูแล้วผายมือไปด้านนอก
“เชิญครับ หึหึ”
“......” ทำมันหน้าหงิกได้ผมก็สบายใจครับ วะฮาฮ่า
..
...
“มาได้แล้วหรอมึง” ผมพยักหน้าให้ไอ้เก่ง เพื่อนในกลุ่มอีกคนของผมครับ จริงๆมีอีกสองคน คือมัด กับ บีม แต่เหมือนว่ามันยังไม่มา จึงเห็นแค่มิ้นท์กับเก่ง
“เป็นไง หายซ่ายัง?” มิ้นท์เงยหน้าจากมือถือมาถามผมก็ได้แต่ยักไหล่ไม่รู้จะตอบไรดีถ้าเจออีกผมก็อาจจะทำอยู่เหมือนเดิม พวกนี้มันรู้เรื่องก็เมื่อวานนี้นั่นละครับ พอผมดีขึ้นก็เลยคุยไลน์กันในกลุ่ม
“กูได้ยินมาว่า พวกที่มึงมีเรื่องด้วยเป็นเด็กรัฐศาสตร์” ไอ้เก่งนี่ขาเผือกครับ มันเผือกได้ทุกเรื่องและรู้มันทุกเรื่อง ผมเลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนยื่นหน้าเข้าไปใกล้
“จริงหรอวะ แล้วพวกมันเป็นไงมั่งวะ”
“ก็เจ็บเหมือนกันวะแต่เมื่อวานนี้มันก็มาเลียบๆเคียงๆอยู่แถวตึกเราอยู่นะ มึงระวังไว้หน่อย” พอไอ้เก่งพูดอย่างนี้ลางหมาเห่าผมก็ทำงานทันที มั่นใจว่าเรื่องมันจะไม่จบแค่นี้แน่ๆเลย เพราะไอ้ผักเปียกนั่นแท้ๆดันมาตีกันใกล้หูใกล้ตาจนกูอดเสือกไม่ได้
“ถ้ามึงมีเรื่องคราวนี้ยังไงก็ต้องถึงหูอาจารย์” ผมพยักหน้าเห็นด้วยกับมิ้นท์ อย่างเรื่องนี้ก็ใช่ว่าไม่ระแคะระคายกล้องวงจรปิดของมหาลัยก็มี ไม่ใช่เรื่องดีถ้าจะทำผิดซ้ำอีก
“มึงบอกไอ้แสนดิ”
“บอกให้มันไปซัดพวกนั้นหรอไอ้โง่” ผมเบิ๊ดกะโหลกไอ้เก่งไปหนึ่งทีสำหรับคำแนะนำ ถ้าไอ้แสนรู้ละก็แย่แน่ๆ ไม่เคยเห็นมันชกต่อยกับใครซักทีมันจะไปให้เขายำตีนซะเปล่าๆ
“บางทีแสนอาจจะรู้อยู่แล้วก็ได้นะ”
“เฮ้ย!” ไอ้บีมครับมาไม่ให้ซุ่มให้เสียงชะโงกหน้ามาพูดทำเอาพวกผมขวัญหนีดีฝ่อหมด ไอ้เก่งยิ่งแล้วใหญ่มันตกใจร่วงลงเก้าอี้ไปเรียบร้อย ฮ่าๆ
“มึงทำอะไรอะเก่ง หาอะไรกูช่วยไหม?” ไอ้มัดที่เพิ่งเดินมามองไอ้เก่งแบบงงๆ ย่อตัวนั่งยองๆมองไปรอบๆพื้นเหมือนจะช่วยหาอะไรจริงๆ ทำเอาพวกผมนั่งกลั้นขำกันกึกๆ
คืองี้ไอ้มัดเนี่ย มันเป็นผู้ชายตัวเล็กๆบางๆ ปากนิดจมูกหน่อยตอนแรกก็คิดว่าทอมด้วยซ้ำไป มันเป็นคนซื่อๆ มึนๆในบางที จนพวกผมเอ็นดูเป็นพิเศษ
“ไม่เป็นไร กูเจอแล้ว” ไอ้เก่งพูดพร้อมตาขวางๆมาทางผม โอ้ย อยากจะขำ
“หรอ” ไอ้มัดตอบแค่นั้นก็ลุกขึ้นมานั่งแล้วจ้องผมแทน ตามันกำลังไล่สำรวจไปบนหน้าผมพอไม่เห็นอะไรที่ผิดปกติก็ยิ้มเผล่ออกมา
“อะไรมึงไอ้ตัวเล็ก” ผมถามพร้อมตบหัวทุยนั่นเบาๆ มันทำหน้ามุ่ยใส่
“ก็ดู...ว่าเจ็บตรงไหนไหม หายแล้วใช่ป่ะ ดีจัง” ก็ดีนะมึงพูดเองตอบเอง พวกผมหัวเราะกับความน่ารักของมัน
“เออ หายแล้ว” ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรต่อมิ้นท์ก็ร้องทักคนที่เพิ่งมา
“อ้าวแสน”
“อือ” มันพยักหน้าให้กับพวกเพื่อนผมเชิงทักทาย เสียงวี๊ดว้ายจากรอบข้างทำให้ผมต้องทำหน้าเหม็นเบื่อใส่มัน ยิ่งใส่ชุดไปรเวทงี้ยิ่งดูดี ไม่ได้อิจฉาเลยซักนิด ไม่เลยแม้แต่นิดเดียว!!
“มาทำไรวะ?” ไอ้บีมถาม เออกูก็สงสัยเหมือนกันว่ามันมาทำไม
“ธุระ”
“เฮ้ยไปเรียนกัน” ผมลุกพรวดทันที ทีกับกูอะหาว่ายุ่งทีกับเพื่อนกูอะบอกมีธุระ เหอะ! ผมตั้งใจจะเดินกระแทกไหล่มันแต่มันคว้าแขนเอาไว้ก่อน พวกเพื่อนๆก็ไม่ได้สนใจอะไรครับเดินนำไปเลย
“จะรอ” ผมมองหน้ามันพักนึงก็พยักหน้า ดึงแขนออกยกมือตบหัวมันด้วยความหมั่นไส้ ตบเสร็จแล้วจะอยู่ทำไมละค้าบ อยู่ก็กลัวดิ วิ่งอย่างเร็วไม่วายหันไปยักคิ้วใส่มันที่ทำหน้านิ่งอยู่ไม่ไกล พอมันทำท่าจะเดินมาหาผมก็รีบเบียดๆกลุ่มคนไปหาเพื่อนตัวเองทันที
“แสนนี่...มีแฟนยังวะ?” มิ้นท์ถามระหว่างเดินไปที่ห้องเรียนผมขมวดคิ้วทันที เออ...มันมีปะวะ
“ไม่น่าจะมีนะ ยังไม่เห็นคบใคร”
“จากม.ปลายไม่มีหรอ?” ม.ปลายตอนนั้นก็เห็นมันเปลี่ยนผู้หญิงเป็นว่าเล่น มีผู้ชายด้วยเหอะ
“ตอนนั้นมันเจ้าชู้จะตาย คบๆเลิกๆเปลี่ยนเด็กเป็นว่าเล่น”
“หรอ...” มิ้นท์ทำท่าครุ่นคิดจนผมสงสัย
“มึงชอบแสน?” เก่งมันถามขึ้นก่อนที่ผมจะอ้าปากถามซะอีก ทุกคนก็ดูใจจดใจจ่อรอคำตอบของมิ้นท์เต็มที่
“ไม่ใช่หรอก กูกำลังสงสัยอะไรบางอย่างอะ” มันพูดแต่กลับมองหน้าผมแบบเจ้าเล่ห์ยังไงไม่รู้บอกไม่ถูก แล้วไอ้บีมกับไอ้เก่งก็หันมามองหน้าผมด้วยก่อนจะร้องอ๋อ อ๋ออะไรกันวะ มึงเข้าใจอะไรกันกูไม่เห็นรู้ด้วยเลย! ยังไม่ทันได้ท้วงไอ้มัดก็ร้องทักให้รีบเข้าห้องเพราะมันเห็นอาจารย์เดินเข้าไปเมื่อกี้ พวกผมเลยวิ่งกันเข้าไปอย่างรวดเร็ว
กว่าอาจารย์จะยอมปล่อยพวกผมออกไปพักกินข้าวก็ตอนที่เห็นสภาพนักศึกษา ตอนนี้ที่นั่งอยู่มีแต่กายหยาบวิญญาณล่องลอยออกจากร่างกันหมดแล้ว ผมหลับไปไม่รู้กี่ตื่น ฮ่าๆ
“เฮ้ยสอง!” เพื่อนคนนึงในชั้นทักขึ้นหลังจากอาจารย์เดินออกไป ผมหันไปมองแล้วเลิกคิ้ว
“มึงรู้ไหมว่าแฝดมึงไปยำเด็กรัฐศาสตร์อยู่อะ”
“หะ!” พวกผมห้าคนร้องอย่างตกใจ ไม่ตกใจได้ไงเมื่อเช้าเพิ่งคุยกันเรื่องนี้เองแล้วอีกอย่าง มันบอกว่าแสนยำ? แสนเนี่ยนะ
“เนี่ย เพื่อนกูที่เรียนอยู่นั่นมันไลน์มาบอกว่าเห็นมึงไปซัดกับรุ่นพี่มันอยู่ แต่กูเห็นมึงอยู่นี่ก็เลยคิดว่าน่าจะเป็นแสน” ผมหันมองพวกเพื่อนแล้วพยักหน้ารับรู้รีบเก็บข้าวของโดยไม่ลืมหันไปบอกขอบใจคนบอกข่าว
อย่าบอกนะว่าธุระมึงคืออันนี้อะแสน!
แม่งแล้วบอกไม่ให้กูหาเรื่อง มึงนั่นละ! ตัวดีเลย!
“มิ้นท์ มัด มึงไม่ต้องไปหรอกเดี๋ยวพวกกูไปเอง” เก่งมันเอ่ยขึ้นระหว่างที่พวกเรารีบออกจากห้อง
“มึงไม่ต้องห่วงกูหรอก” ไอ้มิ้นท์บอกครับ แต่มันเป็นผู้หญิงผมกำลังจะอ้าปากค้านไอ้มัดก็พูดขึ้นมาก่อน
“เดี๋ยวกูไปคอยช่วยปฐมพยาบาลไง”
“งั้นระวังด้วยแล้วกัน”
คุณเชื่อไหมว่าพอพวกผมมาถึง ภาพที่เห็นนี่ทำให้โคตรช็อค สภาพไอ้พวกนั้นที่ได้บวกกับผมคราวก่อนโคตรเยิน เหลือคนเดียวที่ไอ้แสนยังปล่อยหมัดใส่อย่างบ้าคลั่ง
“อ้าว ไงวะสอง” ผมเลื่อนสายตาไปมองคนทักอย่างแปลกใจ
“ไอ้โต้ง!” พอได้ยินเสียงผมไอ้แสนก็ชะงักมือเหวี่ยงร่างเน่าๆของคนที่มันกำลังต่อยอยู่ไปทางพื้น มันมองผมก่อนจะถอนหายใจหนักๆ
“มึงบอก?” แสนมันหันไปถามโต้ง
“กูอยู่กับมึงจะเอาเวลาไหนไปบอก”
“แม่งเจ๋งวะ..” เสียงพึมพำของไอ้เก่งกับไอ้บีมดังขึ้นเหมือนมันเพิ่งหาเสียงตัวเองเจอ แต่ผมไม่ได้สนใจ
ตอนนี้ผมกำลังรู้สึกเหมือนตัวเองไม่รู้จักไอ้แสนเลย...ทั้งๆที่เป็นแฝดกัน นอนอยู่เตียงข้างกัน อยู่บ้านด้วยกัน ผมยืนสบตากับมันนิ่ง นอกจากความตกใจมันมีความรู้สึกแปลกๆที่แทรกเข้ามาด้วย...เรียกว่าน้อยใจได้ไหมนะ... ทำไมผมไม่เคยรู้ว่ามันชกต่อยเก่งขนาดนี้
“กูว่า..เราไปหาอะไรกินกันเถอะ” ไอ้โต้งเป็นคนแก้สถานการณ์มากอดคอผมชักชวนเพื่อนผมออกจากตรงนั้น แต่ไม่หรอก..ผมจะไม่ปล่อยผ่านไปแน่ๆ
“โต้ง กูฝากเพื่อนกูด้วย พวกมึงไปกับไอ้โต้งก่อนนะ” ทุกคนเหมือนจะเข้าใจพยักหน้ารับแล้วก็เดินออกไป ผมหันกลับมาหาไอ้แสน
“กูไม่เห็นรู้เลยว่ามึงทำเรื่องแบบนี้ได้” มันไม่ได้พูดอะไรกลับมานอกจากจ้องไปที่พวกนอนน่วมอยู่
“อย่ามายุ่งกับมันอีก” เสียงของไอ้แสนกดต่ำจนน่ากลัว แม้กระทั่งผมที่ยืนอยู่ตรงนี้ยังขนลุกไปกับคำพูดนั้นเลย ไอ้แสนไม่ได้พูดอะไรอีกเดินมาจับแขนผมลากไปอีกทาง
“มึงมาทำไม”
“ทำไมไม่บอกกูบ้าง” ผมไม่ตอบเลือกที่จะถามเรื่องที่ตัวเองสงสัย
“......”
“กูก็คิดอยู่ว่ามึงจะมาทำอะไร เมื่อเช้าตอนที่ไอ้เก่งบอกว่ากูมีเรื่องกับใครกูยังบอกมันว่าอย่าบอกมึงอยู่เลย”
“......”
“กูกลัวมึงจะเข้ามายุ่งแล้วพวกมันจะทำอะไรมึง”
“...........”
“กูนี่ไม่น่าห่วงเลย แค่นี้มึงจัดการได้สบายอยู่แล้ว”
“สอง”
“ฮ่ะๆ ทำไมกูเหมือนไม่รู้จักมึงเลยละ”
“สอง”
“.......”
“ขอโทษ” ผมเม้มปากไม่มองหน้ามัน จริงอยู่ว่าคนอื่นอาจจะเหมือนเรื่องเล็กๆน้อยๆ ไม่ใช่เรื่องที่ควรจะบอกหรือรู้ แต่นี่มันคือครอบครัวผมควรจะต้องรู้หรือเปล่า อย่างน้อยจะได้คอยห้ามหรือคอยบอกอะไรบ้าง แต่...แต่ว่าผมเองก็เป็นเหมือนกัน ผมก็หาแต่เรื่องเหมือนกัน ทุกอย่างมันย้อนแย้งไปหมด
ผมไม่เข้าใจอาการของตัวเองตอนนี้ รู้สึกสับสน เสียใจแต่..แต่ไม่รู้ว่าเสียใจเรื่องอะไรจนอยากจะพาลไปอีกหลายๆเรื่อง
“ขอโทษที่ไม่บอกอะไรเลย” เหมือนได้ยินเสียงปลดล็อคอะไรซักอย่างในหัว ใช่...ผมน้อยใจที่มันไม่บอกผม ผมน้อยใจที่สุดท้ายแล้วเหมือนผมกับมันไม่ได้สนิทกันเหมือนที่เป็นมา
“สองแสน..”
“มึงบอกว่ามึงห่วงกู... กูก็ห่วงมึงไม่ต่างกัน เราเป็นพี่น้องกันไม่ใช่หรอวะ เราคุยกันได้ทุกเรื่อง แต่ทำไมมึงไม่พูดอะไรออกมาบ้าง” ผมพูดในสิ่งที่คิดอยู่ในใจออกมาจนหมด หลังจากที่ผมพูดจบความเจ็บปวดของมันก็ฉายออกมาจากตาคมนั่นอย่างชัดเจน ผมชะงักขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจความหมายของมัน
ตาคมปิดลงราวกับไม่อยากให้เห็นอะไรในนั้นอีก...
“อืม..เราเป็นพี่น้องกัน”
“.......”
“ขอโทษ”
( จบสองแสน - สี่ : เหมือนไม่รู้จัก )
ขอโทษอย่างสุดซึ้งนะขอรับคนดี
มันมีเหตุให้ต้องเลื่อนมาลงวันนี้นิดหน่อย

อย่าโกรธกันเด้อ มาๆ ตอนนี้ยาวหน่อยแล้วก็..
ดราม่านิดนึง ฝากด้วยนะครับผมมม