ตอนที่ 27 : กลับร่างเดิมแล้วนะเออ
ความทรงจำสุดท้ายของผมคืออาการเจ็บร้าวไปทั้งตัว
เหมือนกระดูกถูกบี้ เหมือนหัวถูกบด เหมือนหมูตัวหนึ่งที่ถูกส่งไปทำหมูแผ่น
คุ้นๆ มั้ยประโยคพวกนี้
ไม่ใช่แค่พวกคุณ ผมเองก็คุ้นซะยิ่งกว่าคุ้น และเมื่อลองขยับตัว ก็มั่นใจแน่แล้วว่าสงสัยวิญญาณจะตกกะใจจัด ถึงได้วิ่งกลับเข้าร่างเดิม เพราะผมไม่มีอาการเจ็บปวดรวดร้าวตรงไหนสักนิด ราวกับว่าคนที่ถูกชนไม่ใช่ผม แต่เป็น...
จิระ!ผมลุกพรวด เรียกเสียงร้องลั่นจากนางพยาบาลที่กำลังเดินมาดูอาการพอดิบพอดี
“อะไรเนี่ยพี่จิ ตื่นมาก็ทำสาวกรี๊ดเลยเหรอ” เสียงเรียกอย่างเหนื่อยหน่ายแต่แฝงความดีใจลึกๆ ทำให้ผมหันไปมองอีกฝั่ง ครบเลยครับ...พ่อ แม่ และไอ้น้องชายที่นั่งกันหน้าสล๋อน ผมถึงกับน้ำตาซึมเมื่อแม่กอดผม กอด...ผมในร่างของผมจริงๆ ร่างของนายจิตริน ทองคำดี ที่ตอนนี้แม้จะไม่มีก้ามปู แถมยังไว้ผมยาวระบ่าไม่ยักจะตัดสั้นเหมือนเมื่อก่อน แต่ก็ยังมีผิวดำคล้ำ และรูปร่างที่สูงใหญ่ได้มาตรฐานชายไทย
“แล้ว...จิระล่ะครับ”
“ยังไม่ฟื้นเลยจ้ะ” แม่ผมเป็นคนตอบ “เขาเพิ่งออกจากห้องไอซียูก่อนจิจะฟื้นแค่ไม่กี่นาทีนี้เอง อาการบาดเจ็บทางกายยังไม่เท่าไหร่ แต่หมอบอกว่าเขาอาจจะเป็นเจ้าชายนิทรา...”
“อีกแล้วเหรอครับ!?”
นี่มันเดจาวู เดจาวูชัดๆ!
“แต่ครั้งนี้ไม่น่าจะนอนนานนะ ก็ต่างคนต่างกลับร่างตัวเองแล้วนี่นา” ไอ้เจพูดติดตลก “พี่จิน่ะเป็นพวกถึก วิญญาณกลับปุ๊บก็ฟื้นปั๊บ แต่จิระอาจจะต้องปรับจูนสัญญาณใหม่ เพราะโดนใครบางคนไปป่วนร่างจนสัญญาณเป๋”
“จะแฟนตาซีหรือวิทยาศาสตร์ก็เลือกสักทางสิไอ้เจ!”
“อืม...พูดเล่นแบบนี้แสดงว่าหัวกระแทกไม่แรง กลับบ้านได้เลย!” เจตรินพยักหน้าหงึกหงัก และนั่นก็ทำให้ผมเพิ่งรู้ตัวว่ารอบหน้าผากถูกพันผ้ารัดแน่น พาลคิดไปถึงจิระที่โดนรถชนเข้าโครมใหญ่ เล่นเอารู้สึกผิดขึ้นมาเลย
“ผมทำเขาเจ็บตัวอีกแล้ว...”
“แต่จากที่ผู้จัดการลูกเล่าให้พวกเราฟัง ลูกเป็นคนผลักจิระให้หลบรถ แต่ตัวเองยอมโดนชนแทนนี่นา”
“ใช่ครับ จิระอาสาไปช่วยซื้อลูกชิ้นปิ้งให้ผม แล้วผมจะยืนเฉยๆ ให้เขาโดนชนได้ยังไง ร่างกายขยับไปก่อนความคิดซะอีก รู้ตัวอีกที...ก็โครมแล้ว” พูดแล้วผมก็ยิ่งสลด เรื่องกลายเป็นแบบนี้...เลยไม่รู้จะดีใจยังไงที่รอดตายมาได้ ขณะที่เขาต้องนอนซมต่ออีกเป็นเดือนๆ
“ไปเยี่ยมกันมั้ยล่ะจ๊ะ เมื่อกี้แม่ก็เพิ่งไปเยี่ยมเขามา เจอกับเสี่ยด้วยนะ”
“เสี่ย...เฝ้าจิระอยู่เหรอครับ”
“ใช่ เขาคงนึกว่าพี่ยังอยู่ในร่างนั้นละมั้ง งั้นก็ไปด้วยกันนี่ล่ะ ไปให้เขาเห็นว่าพี่กลับร่างเดิมแล้ว จะได้ไม่ไปเฝ้าผิดคน”
ไม่รู้ทำไมผมถึงรู้สึกขี้ขลาดขึ้นมา
คงเพราะพอเดาได้ว่าทำไมเสี่ยถึงเฝ้าจิระ ไม่ใช่ว่าเขาคิดว่าผมยังอยู่ร่างนั้นหรอก แต่เพราะ...เขาหวังว่าผมจะอยู่ในร่างนั้นต่างหาก
ความเป็นจริงที่แสนจะทิ่มแทง...ผมส่ายหน้า ก่อนจะถามพยาบาลว่าสามารถกลับบ้านได้เลยรึเปล่า
“กลับได้เลยค่ะ คุณจิตรินหมดสติเพราะถูกผลักล้มจนศีรษะกระแทกพื้นเท่านั้นเอง”
อะไรนะ แผลที่หัวเกิดจากผมผลักจิระจนล้มกระแทกพื้นเหรอ!?
อโหสิกันเถอะนะ ผมไม่ได้ตั้งใจจริงๆ
“พี่จิแน่ใจนะว่าจะไม่ไปหาเสี่ย”
“อืม” ผมพยักหน้ารับ ชักเข้าใจความรู้สึกจิระแล้ว...ว่าบางครั้ง ต่อให้รู้ผลลัพธ์ว่าจะออกมาเป็นยังไง แต่ก็อดที่จะหลอกตัวเอง พยายามยื้อเวลาออกไปไม่ได้
“งั้นก็...กลับบ้านกันเถอะ”
“อืม กลับบ้านกัน!”
“สวัสดีครับคุณจิ”
เย็นวันนั้น คุณสันมาเยี่ยมผมถึงบ้าน แถมยังเอากระเช้าของขวัญมาด้วย!!
“ยินดีด้วยที่กลับร่างเดิมนะครับ”
ยะเยือก...ยะเยือกจนขนลุกไปหมดแล้ว คุณสันยินดีกับผมจริงๆ หรือนึกสาปแช่งอยู่กันแน่ ผมล่ะเดาใจเขาไม่ถูกเลยจริงๆ
“กลัวอะไรครับ”
ถามมาได้...ก็กลัวคุณนั่นแหละ!“ไม่ต้องห่วงหรอกครับคุณจิ กลับร่างเดิมแล้วแบบนี้ ผมไม่คิดทำอันตรายกับร่างของคุณหรอกครับ แม้จะอดใจหายไม่ได้ก็เถอะ”
“ว่าแต่คุณสัน...ตามผมกับจิระมาได้ยังไงเหรอครับ” เพราะตอนนั่งรถไปกับจิระ เขาระวังตัวเองดีมาก คอยมองกระจกหลังตลอดป้องกันไม่ให้มีใครตามมา
“นาฬิกาไงครับ” คุณสันตอบพร้อมดันแว่นหนึ่งครั้ง “นาฬิกาที่ผมให้คุณจิในวันแรกๆ ที่เราเจอกัน ความจริงแล้วมีระบบติดตามตัวอยู่...เมื่อก่อนจิระก่อเรื่องไว้มาก ผมเลยต้องทำแบบนี้เพื่อคอยตามเขาได้ว่าไปก่อเรื่องที่ไหน พอสลับตัวกัน ผมก็ให้คุณใส่แทน ความจริงผมไม่อยากเฉลยหรอก แต่ในเมื่อนาฬิกาไม่ได้อยู่กับคุณจิแล้ว บอกไปก็ไม่เสียหายอะไร”
ไอ้จิเหงื่อตก
ที่แท้นาฬิกาเรือนหรูที่คุณสันให้ผมใส่ตอนโดนไล่ออกจากคอนโดเป็นเครื่องติดตามตัวหรอกเหรอ! ผมก็คิดแล้วเชียวว่าพี่เบิ้มจะตามสอดส่องผมตลอดได้ยังไง ที่แท้ก็มีเจ้าเครื่องนี้ช่วยอยู่นี่เอง
“กลับเข้าเรื่องเสี่ยกันเถอะครับ” คุณสันคลี่ยิ้มเป็นมิตร “เอาเป็นว่าผมรับทราบความตั้งใจคุณจิ และผมยินดีจะช่วยปกปิดความลับนี้จนกว่าเสี่ยจะรู้ตัวเอง”
“คุณสันจะร่วมมือกับผมเหรอ” ผมถามอึ้งๆ
“ครับ เรื่องบางเรื่อง...เสี่ยโตพอที่จะตัดสินใจได้โดยไม่ต้องให้ผมคอยรายงานทุกอย่างแล้ว”
สรุปว่าทุกคนพร้อมใจกันปิดเรื่องผมกลับร่างเดิมเป็นความลับ
แต่ถ้าเสี่ยฉุกใจคิดสักนิด เขาน่าจะพอจับสังเกตเห็น
...เขาแค่ไม่อยากจะคาดเดาความเป็นไปได้ต่างหาก... ผมดำเนินชีวิตอย่างสุขสงบ ขณะเดียวกัน ข่าวเรื่องจิระเข้าโรงพยาบาลก็เป็นที่พูดถึงว่าเป็นอุบัติเหตุหรือเขาพยายามฆ่าตัวตายโดยการกระโดดตัดหน้ารถกันแน่ ซึ่งสุดท้ายแล้ว คนขับรถก็ถูกตรวจสอบพบว่าเมาแล้วขับ ทำให้ประเด็นดราม่าทั้งหลายตกไป และกลายเป็นความสงสารเห็นใจแทนเมื่อเขาไม่มีทีท่าจะฟื้นขึ้นมา
ทางกองถ่ายของเช็กเมทถือโอกาสประกาศเรื่องจิระถูกถอดจากบทมิสเตอร์เอสโดยพยายามไม่โยงถึงสาเหตุหลักอย่างเรื่องยาเสพติดหรือเด็กเลี้ยงแกะ และเปิดตัวผู้รับบทบาทสำคัญในซีซันสอง ซึ่งก็คือเด็กคนที่รับบทเป็นมิสเตอร์เอสตัวปลอม เขาจะมาอุดช่องโหว่ที่หายไปด้วยฝีมือการแสดงที่ทุกคนล้วนเยอมรับ เพราะนับตั้งแต่ได้ร่วมแสดงในซีรีส์เช็กเมท และยังได้ถ่ายโฆษณาคู่กับจิระ ความแตกต่างด้านฝีมือของเราสองคนก็ยิ่งเห็นได้ชัด คุณสันเลยถือจังหวะนี้รีบปั้นเด็กใหม่ หวังให้กลบกระแสข่าวแย่ๆ ของจิระ
สัปดาห์แรก...สัปดาห์ที่สอง ผมยังพอตามข่าวในวงการบันเทิงอยู่บ้าง
แต่พอผ่านไปหนึ่งเดือน ผมก็ตัดสินใจลด ละ เลิก
กลับมาใช้ชีวิตอย่างสุขสงบตามแบบฉบับนายจิตริน ทองคำดี!
“สวัสดีครับพี่โสภี!”
“สวัสดีจิ!”
เช้าที่แสนสดใส ผมวิ่งออกกำลังกายไปพร้อมๆ กับพี่โสภีเหมือนแต่ก่อน มิตรภาพระหว่างเรากลับมาอีกครั้ง แถมพี่โสภียังสารภาพออกมาเต็มปากเต็มคำว่าตกหลุมรักรูปร่างหน้าตาจิระจริงๆ ตัวเล็กๆ น่ารักอย่างนั้นโคตรสเปกพี่ เลยดีใจมากที่ผมกลับร่างเดิม
ในสภาพแวดล้อมแสนคุ้นเคย ทุกคนล้วนดีใจที่ผมกลับร่างนี้
“ไอ้ส้ม แกก็ด้วยใช่มั้ย”
เพราะยังไม่อยากเผชิญหน้ากับเสี่ย ผมเลยปฏิเสธที่จะเข้าร่วมทีมสตั้นท์แมนกับพี่โสภีชั่วคราวแล้วมาสมัครเป็นพนักงานเซเว่นแทนตำแหน่งของน้องชายที่เปิดเทอมจนไม่สามารถแบ่งเวลาทำงานได้อีก ความจริงนั่นก็แค่ข้ออ้างครับ เพราะทีมสตั้นท์แมนของพี่โสภีทำงานร่วมกับหลายบริษัท ไม่ได้ขึ้นตรงกับเอ็มเอชเอ็น เอนเตอร์เทนเมนต์อย่างเดียวสักหน่อย จะว่ายังไงดี...พอคิดว่าต้องเข้ากองถ่ายอีกครั้ง ก็...รู้สึกขยาดอย่างบอกไม่ถูกน่ะครับ ตอนนี้ผมมีความสุขดีแล้ว
มีความสุขดี...รึเปล่านะผมนึกถึงตอนเช้าที่คุณสันโทรมา แจ้งข่าวว่าจิระฟื้นแล้ว
ไม่รู้จะบรรยายความรู้สึกตัวเองยังไงเมื่อได้ยิน มันปนเปไปหมดทั้งโล่งใจที่เขากลับร่างตัวเองอย่างสวัสดิภาพ และทั้งใจหาย...เพราะจนถึงตอนนี้ เสี่ยก็ยังไม่ปรากฏตัว
หากต่างคนต่างหายไปแบบนี้ แสดงว่าเราเลิกรากันแล้วใช่มั้ย
ผมเตรียมใจมาพักใหญ่ แต่พอนึกถึงความจริงข้อนี้ก็อดสลดใจไม่ได้
“ไอ้ส้มช่วยปลอบใจคนอกหักด้วยนะ” ผมหยอกเจ้าแมวที่นอนแผ่พุงให้เกาเล่นอย่างมันเขี้ยว ก่อนจะเดินกลับเข้าร้านเพราะชักจะอู้งานนานเกินไปแล้ว แม้กะกลางคืนแบบนี้นานครั้งจะมีลูกค้าเข้ามา แต่ผมก็ไม่ควรห่างจากเคาน์เตอร์นานๆ
หลังผ่านไปหนึ่งเดือน เรื่องของจิระก็เริ่มจะซาลงเมื่อมีข่าวฉาวใหม่ของดาราคนอื่นในวงการให้ตามต่อ ไม่ว่าจะคบชู้ แอบกิ๊ก เลิกรา ทุกเรื่องในวงการบันเทิงล้วนทำเงินได้ทั้งนั้น แต่เมื่อพูดถึงจิระ สิ่งแรกที่ทุกคนคิดก็คือยาเสพติดอยู่ดี ยิ่งกาลเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ คนก็จะจดจำแต่ความผิดพลาด แต่ไม่ยอมรับฟังคำแก้ตัว...
เพราะอย่างนี้ละมั้งถึงทำให้ผมยังไม่อยากกลับไปรับงานสตั้นท์แมน เมื่อก่อนไม่เคยต้องมารับรู้เรื่องราวแบบนี้ อยู่ในโลกของตัวเองที่ไม่ระรานใคร แต่เมื่อก้าวออกมา เรียนรู้ในโลกของจิระ มันก็หนักหนากว่าที่เคยเห็นหลายเท่าตัว เพราะต่อให้เราไม่ทำอะไร ก็มีคนที่มุ่งร้ายเพราะเห็นเรื่องฉาวโฉ่เป็นเงินตรา
จะว่าไป...จิระจะเป็นยังไงบ้างนะนอกจากจะโดนเสี่ยหักอก การตามจีบเขามาเป็นครอบครัวเดียวกันก็พลอยเป็นหมันไปด้วย ตอนอยู่ร่างของจิตรินเขาก็แทบจะไม่กล้ามาแล้ว พอกลับร่างเดิม...สงสัยจะยิ่งวิ่งหนีเข้าไปใหญ่ โดยเฉพาะเมื่อข้างกายเขานั้น...มีเสี่ยอยู่
ใจหนึ่งนึกแสดงความยินดี แต่อีกใจก็เจ็บลึกจนน้ำตารื้นอย่างบอกไม่ถูก ผมรีบปาดหางตา ผู้ชายตัวโตร้องไห้นี่มันน่าอดสูมากกว่าน่าสงสารเป็นไหนๆ สู้โว้ยไอ้จิ อกหักไม่ยักจะตายหรอก!!
หนึ่งวันจากนั้น
“พี่จิ พี่ไปซื้อเหล้าจากไหนมาเนี่ย”
“ทำงานที่ไหนก็ซื้อที่นั่นไง เฮ้อ พี่อกหักแล้วว่ะไอ้เจ เลยว่าจะดื่มเหล้าย้อมใจสักหน่อย สักกรึ้บมั้ยไอ้เจ”
“พรุ่งนี้ผมมีเรียนจะดื่มได้ยังไงล่ะ ว่าแต่พี่ดื่มเหล้าเป็นด้วยเหรอ ต่อให้พี่ผิวทองแดงแต่ไม่ได้หมายความว่าพี่จะคอทองแดงด้วยนะ เมื่อก่อนเวลามีกินเลี้ยงกับทีมงานก็ถูกพี่โสภีหิ้วกลับบ้านตลอดเลยนี่...พี่จิ? เฮ้ย ดื่มแค่ขวดเดียวก็ไม่ไหวแล้วเหรอ เฮ้ย อย่าอ้วกนะพี่ วิ่งเข้าห้องน้ำไปเลย!”
“โอ๊ก อ๊าก”
“ดื่มแล้วอ้วกก็ยังฝืนดื่ม แล้วนั่น หลับคาห้องน้ำไปแล้วเหรอ พี่จิ!!”
“ครอก...ฟี้”
“ไหนบอกดื่มเหล้าย้อมใจ นี่มันดื่มเหล้ามอมตัวเองชัดๆ!”
วันที่สอง
“พี่จิหยุดร้องเพลงสักทีเถอะ ผมหูจะแตกอยู่แล้ว”
“ก็คนมันอกหัก ก็ต้องร้องเพลงอกหักสิ ไหนบอกจะอยู่กับพี่ น้องรักกก”
“พี่กินเหล้าอีกแล้วเหรอ”
“เมื่อวานกินแล้วหลับ วันนี้เลยเปลี่ยนเป็นโคล่าผสมมะนาว อร่อยเหาะสุดๆ! ไอ้จิจะเป็นคนไทยคนแรกที่บินได้ เหาะไปเลย! จิตริน ทองคำดี!”
“พี่เมาน้ำอัดลมรึไงเนี่ย”
“เมารักต่างหาก เอิ้ก!”
“พี่สะอึกอย่างเดียวก็พอ อย่าตดได้มั้ย มันเหม็น!”
“เรื่องตดๆ มันคือธรรมชาติของมานุดดดด”
“พี่จิแม่งอกหักจนเพี้ยนไปแล้ว!”
วันที่สาม
“อ้าว วันนี้พี่ไม่ทำอะไรแปลกๆ แล้วเหรอ”
“อืม...จู่ๆ ก็รู้สึกสงบ อยากจะนั่งสมาธิ”
“ดีแล้วพี่ เข้าสู่ทางธรรมะ จิตใจจะได้ผ่องใส”
“แต่พอพี่หลับตาท่องพุทโธ ทำไมนึกถึงแต่หน้าเสี่ยวะเจ พี่...”
“โอ๊ย พี่จิ ถ้าจะน้ำตาคลอขนาดนี้ก็ไปดื่มเหล้าร้องเพลงเหมือนเดิมเหอะ ผมขอ!!”
ไม่ขอเล่าว่าหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่เอาเป็นว่าไอ้เจต้องลำบากปลอบคนอกหักมากจริงๆ มันต้องทนกับอาการผีเข้าผีออก บ้าๆ บอๆ ของผมอยู่นานกว่าไอ้จิจะกลับมาเป็นผู้เป็นคนเหมือนเดิม
อย่าเพิ่งงงว่าทำไมผมถึงออกอาการช้าเหลือเกินทั้งที่ไม่เจอเสี่ยมาแล้วหนึ่งเดือน...ก็ตอนนั้น มันยังพอมีความหวังนี่ครับ แม้จะเตรียมใจแล้วแต่ผมยังหวังอยู่ลึกๆ ตลอดว่าถ้าเสี่ยรู้เรื่องสลับตัวขึ้นมา เขาจะกลับมาหาผม พอไม่เป็นอย่างที่คิด ไอ้ความเก็บกดก็เหมือนถูกระบายออกมาทีเดียว อาการเลยหนักอย่างที่เห็น ผมก็เพิ่งรู้ตัวว่ารักเสี่ยมากเอาตอนที่คิดว่าต้องเลิกกันจริงๆ เนี่ยล่ะ ตอนอยู่ด้วยกัน ยิ้มร่ามีความสุขดันไม่เห็นค่า พอเสียไปถึงได้นั่งคิด ว่าน่าจะอยู่กับเขาให้นานกว่านี้ เอาแต่ใจสักหน่อย ยอมให้เสี่ยอู้งานมาอยู่ด้วยกันให้มากๆ กว่านี้ก็คงดี
ชักจะบ้าบอไปใหญ่แล้ว
ยังไงก็ตาม ผ่านไปหนึ่งอาทิตย์หลังจากจิระฟื้น ผมก็ไม่ได้ฟูมฟายจะเป็นจะตายอีก ไอ้ที่หวังๆ นี่เหลือศูนย์แล้วครับ ไม่เหลืออะไรให้ฟุ้งซ่านอีกแล้ว
หรือจะกลับไปฟิตหุ่นให้ก้ามปูเหมือนเดิมดีนะผมหมุนตัวอยู่หน้ากระจก ร่างนี้แม้จะมีรูปร่างสูงโปร่ง แต่ก็ไม่นับว่ากำยำเพราะนอนติดเตียงเป็นเวลานานทำให้กล้ามเนื้อเหลว หลังออกกำลังกายติดต่อกัน ไอ้ส่วนย้อยพวกนั้นก็เริ่มกลายเป็นกระชับได้สัดส่วน ด้วยลาดไหล่ที่กว้าง แขนขายาว ทำให้ผ่าเผยดูดีกว่าเดิมขึ้นจม ไอ้เจมันบอกแบบนั้นน่ะครับ แถมยังสนับสนุนให้ผมไปเป็นนายแบบอีก บอกว่ากล้ามเนื้อนิดๆ ตอนนี้กำลังดีเลย
“พี่จิ”
“อะไร”
“รถเสี่ยจอดอยู่หน้าบ้านอ่ะ”
“คุณสันรึเปล่า”
“ถ้าเป็นคุณสันก็ต้องเดินลงมาแล้วสิ แต่วันนี้จอดค้างไม่ยอมลงสักที ผมแอบเอากล้องส่องทางไกลส่องดู...เห็นเงาคนนั่งเบาะหลังด้วย! คนที่นั่งเบาะหลังก็มีแต่เสี่ยไม่ใช่เหรอ ปกติคุณสันนั่งข้างคนขับนี่นา”
ผมแย่งกล้องส่องทางไกลไอ้เจมาส่องดูบ้าง ชัดเลย...แม้จะเห็นแค่เงา แต่ผมมั่นใจว่านั่นคือเงาเสี่ย!
...หรือเสี่ยจะมาบอกเลิกผม ไม่นะ!---------
ตอนนี้ต้องปรบมือให้น้องเจค่ะ
สองพี่น้องน่ารัก ก่อนจะคบกับเสี่ย จิบอกว่าถ้าอกหักแล้วอยากให้น้องปลอบใจ เจก็ทำตามคำนั้น เป็นครอบครัวที่อบอุ่นมุ้งมิ้ง
เหมือนจะเป็นตอนที่มาม่า แต่อย่างที่บอกว่าจินำซะอย่าง เลยออกมาเป็นไวไวเช่นเดิมค่ะ อะไรนะ ตอนก่อนบอกว่าเสี่ยจะมีบท เราขี้ฮกเบเบ๋เหรอคะ เอาใหม่ๆ ตอนหน้า!!! ตอนหน้าเสี่ยไม่มาธรรมดา แต่เสี่ยนำด้วยค่ะ! ใครอยากรู้ความคิดเสี่ย สงสัยว่าเสี่ยหายไปไหน เสี่ยจะเอายังไงกับจิ ตอนหน้าแน่นอน!! #ฝอยตกเสี่ย #ว่าแต่เสี่ยคือใคร
เพจนักเขียนที่รักเสี่ยแต่จำชื่อเสี่ยไม่ได้