ตอนที่ 22 : นี่หรือคือจิระ 50%
ไม่รู้ว่าเป็นข่าวดีหรือข่าวร้าย
เพราะขนาดผมเองยังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ ส่วนเสี่ยไม่ต้องพูดถึง เขานั่งจับมือผมไม่ปล่อย เหมือนกลัวว่าหากปล่อยไป ผมจะถอดวิญญาณสลับร่างกับจิระซะเดี๋ยวนี้
เป็นความกังวลที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง
แต่พอมาถึง จิระในร่างของจิตรินก็หลับไปแล้ว ร่างกายมีรอยฟกช้ำเหมือนพยายามทำร้ายตัวเอง
“เขาอาละวาดมากเลยค่ะ” พยาบาลซึ่งคอยดูแลรายงานหน้าเจื่อน ไม่บอกก็รู้ว่าเด็กหนุ่มคงทำใจไม่ได้ที่ตื่นมาแล้วมาอยู่ในร่างของผู้ชายร่างโตผิวคล้ำเข้มแลถึกทน “คุณหมอเลยให้ยากล่อมประสาท นี่ก็เพิ่งหลับไป แต่คงจะตื่นภายในสองถึงสามชั่วโมงนี้ค่ะ”
“ขอบคุณมากครับ” ผมบอกกับพยาบาล “ขอผมเฝ้าเขาได้มั้ย”
ก่อนจะหันไปกำชับกับเสี่ย
“คนเดียวนะครับ”
“ทำไมฉันอยู่ด้วยไม่ได้”
“ถ้าจิระเห็นเสี่ย คงสนใจแต่เสี่ยไม่ฟังที่ผมอธิบายแน่ๆ” ผมไม่ลืมหรอกนะว่าจิระน่ะ...ชอบเสี่ย ไม่รู้ว่าสถานการณ์จะวินาศสันตะโรขนาดไหน หากเขาฟื้นมาแล้วเจอกับคนในดวงใจด้วยสภาพร่างกายที่ไม่ได้สวยงามเหมือนเดิม...
เสี่ยมองเมินไปอีกทาง ไม่หือไม่อือและไม่แสดงความรู้สึกใดๆ
ผมถอนหายใจเฮือก หลังเสี่ยและพยาบาลเดินออกไปก็ลากเก้าอี้มานั่งข้างเตียงเพื่อสำรวจร่างกายตัวเองให้ชัดว่าบาดเจ็บตรงไหนบ้าง ดูเหมือนว่าพยาบาลจะลืมตัดเล็บให้จิตริน เลยมีรอยข่วนเต็มตัว จากสภาพแล้ว เขาน่าจะอาละวาดแค่บนเตียงเพราะไม่ได้สร้างความเสียหายอย่างอื่น แสดงว่ายังไม่ได้เห็นหน้าตัวเองชัดๆ...
ขนาดไม่เห็นหน้ายังอาการหนักขนาดนี้
ถ้าส่องกระจกขึ้นมา...
ผมกลืนน้ำลายอีกหนึ่งเอื้อก พยายามตั้งสมาธิเพื่อเตรียมรับมือกับคนตรงหน้า สำหรับผม แม้จะรู้ประวัติของจิระจนเกิดความเห็นใจ แต่ก็มีการเตรียมใจเพราะรู้ดีว่าเขานั้น...ขับรถชนผม และมีนิสัยเป็นปัญหาอยู่พอสมควร
นั่งรอนานจนเกือบสัปหงก ในที่สุดร่างผิวคล้ำก็ค่อยๆ ลืมตา
ผมสะดุ้งเฮือกแทบหยุดหายใจตอนร่างนั้นขยับตัว
“คุณจิระครับ”
เขายังคล้ายสับสน เลยหลับตาลงไปใหม่ ก่อนจะลืมตาอีกครั้ง คราวนี้หน้าแข็งค้าง ผมเลยส่งยิ้มเป็นมิตรให้
“แก!” ร่างนั้นผุดลุกพรวดพราดมากระชากคอเสื้อผมทันที “นั่นมันร่างของฉัน!! เอาคืนมานะ!!!”
“ใจเย็นๆ ก่อนครับ โว้ ใจเย็นก่อนนะ มาสงบใจกันก่อนดีกว่า เอ่อ...โยกเยกเอย...น้ำท่วมเมฆ...”
ผมโยกตัว ทำให้เขาที่จับคอเสื้อผมอยู่นั้นพลอยตัวโยกไปเยกมาด้วย
สุดท้ายจิระก็เป็นฝ่ายปล่อยมือเพราะทนรับการเคลื่อนตัวอย่างมีดนตรีในหัวใจไม่ไหว
“นี่มันเรื่องอะไรกัน ทำไมถึงเป็นแบบนี้ ไม่มีใครตอบคำถามฉันได้เลย แล้วไอ้ร่างบ้านี่...” จิระเปะปากเมื่อเห็นผิวคล้ำๆ “มันร่างใครที่ไหนวะ!!!”
“ก็ร่างผมเนี่ยแหละครับคุณ” ผมตอบอย่างสงบ อีกนิดจะบรรลุแล้วเนี่ย “อย่า อย่าเพิ่งโวยวายนะครับคุณจิระ ผมจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้คุณฟังเอง ย้อนกลับไปเมื่อประมาณ...สี่เดือนก่อน ตอนเวลาห้าทุ่ม คุณเมาแล้วขับไปชนกับคนคนหนึ่ง ผู้ชายคนนั้น ชื่อจิตริน ทองคำดี เขาถูกส่งโรงพยาบาลทันที นอกจากจะหัวแตก กระดูกซี่โครงหัก ขาหักแล้ว ยังเป็นเจ้าชายนิทราอีกด้วย”
จิระขมวดคิ้วเหมือนพยายามฟื้นฟูความทรงจำ
“ซึ่งนั่นก็คือความเป็นมาของร่างที่คุณอาศัยอยู่ตอนนี้ ร่างของนายจิตริน ผู้เป็นเจ้าชายนิทรา และเพิ่งฟื้นในวันนี้ครับ เย้” ผมจับแขนเขาชูมือขึ้นอย่างฉลองชัย
“เดี๋ยวนะ...ฉันขับรถชนคน...คนนั้นเป็นเจ้าชายนิทรา? แล้วฉันก็เป็นเจ้าชายนิทรา? เพราะฉันอยู่ในร่างคนคนนั้น?”
“ใช่แล้วครับคุณจิระ คุณหัวไวมาก” ผมปรบมือ “และนั่นคือที่มา...ว่าทำไมผมถึงมาอยู่ในร่างของคุณ เพราะผมก็คือจิตริน ผู้เสียหายที่ถูกคุณขับรถชน จนวิญญาณหนีเตลิดมาอยู่ร่างนี้ครับ”
“นี่มันเรื่องบ้าอะไรวะ!”
“สบถให้เต็มที่เลยครับคุณจิระ เดี๋ยวผมจะเป็นลูกคู่ให้เอง เพราะพวกเราล้วนเป็นผู้ประสบเภทภัยมาด้วยกัน”
“เชี่ยเอ๊ย ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้!”
“นั่นสิครับ โลกเราช่างแฟนตาซีเกินไปแล้ว”
“ฉันไม่อยากจะเชื่อเลย บ้า นี่มันบ้าชัดๆ!”
“ใช่ครับ โลกนี้มันวิปริตแปรปรวนทันใด อังกอร์!”
“เชี่ย เชี่ย เชี่ย!”
“เปรี้ยงปร้างสว่างไสวอันตรายไปทุกที่ อังกอร์!”
“กวนประสาทฉันเหรอวะ!” จิระสบถหยาบ หยิบหมอนปาใส่ผมดังปุ บอกเลยไม่เจ็บไม่คันเพราะหมอนที่บ้านเสี่ยนุ่มและคุณภาพดีมาก
“ผมเปล่านะ ผมกลัวคุณเหงาต่างหาก!” ผมรีบปฏิเสธเสียงหลง ส่งหมอนคืนให้เขา
“เอาร่างฉันคืนมา!” จิระขว้างหมอนใบเดิมมาเป็นครั้งที่สอง ซึ่งผมก็ยังยืนนิ่งดั่งหินผา จับหมอนใบนั้นไปวางไว้บนโต๊ะหัวเตียงข้างๆ แทน
“ถ้าคืนให้ได้ ผมก็คืนไปแล้วครับ” ผมเอ่ยอย่างใจเย็น “อีกอย่างนะครับคุณจิระ เรื่องทั้งหมดนั้นมาจากคุณขับรถชนผม ถ้าคุณไม่เมาแล้วขับ เรื่องพิลึกนี้ก็คงไม่เกิด...หรือต่อให้ไม่มีปาฏิหาริย์ ผมก็คงต้องนอนเป็นเจ้าชายนิทรา หัวแตกซี่โครงหักขาหัก ฉะนั้นถ้าคุณสบถเสร็จแล้ว เข้าใจเรื่องทุกอย่างแล้ว คุณควรจะพูดขอโทษผมสักคำนะครับ”
จิระมองหน้าผม เขาดูสงบใจมากขึ้น ก่อนจะทำหน้าหงอย เอ่ยออกมาเสียงเบาหวิว
“ขอโทษ...”
“ครับ ผมให้อภัยคุณ” ผมพยักหน้ารับ ถ้าเป็นตอนเกิดเหตุ คงไม่มีวันจบแค่คำสองคำ แต่ในเมื่อเหตุการณ์ผ่านมาหลายเดือน จนอาการหัวแตกซี่โครงหักขาหักหายเป็นปลิดทิ้ง สภาพสมองผักก็หายดีแล้ว โดยที่ครอบครัวผมไม่ต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายใดๆ รวมทั้งจิระเองก็ไม่ได้ตั้งใจ แถมยังต้องเป็นฝ่ายรับผลจากการกระทำนั้นแบบเต็มๆ ด้วยร่างกายของผมเอง ผมก็ถือว่าเขาได้รับผลกรรมในส่วนนั้นไปแล้ว
“แต่ใครมันบ้าเดินถือลูกชิ้นปิ้งข้ามถนนตอนห้าทุ่มวะ...”
“ผมได้ยินนะ”
“ชิ!”
จิระที่แอบพึมพำสะบัดหน้าหนี...พอทำในร่างของชายผิวคล้ำหน้าคมคิ้วเข้มแล้วบอกเลย แทบทนมองไม่ได้!
ผมรู้สึกว่าเขา...ก็ไม่ได้นิสัยเลวร้ายขนาดที่คุณสันปรามาสไว้สักหน่อย อย่างน้อยก็ยอมรับผิดแต่โดยดี ถึงจะทำหน้างอไปบ้างก็เถอะ แหม เสียดายจัง ถ้าทำท่านั้นในร่างจิระ รับรองว่าคนเห็นต้องใจอ่อนยวบตายไปเลย
บรรยากาศเหมือนจะเป็นไปได้ด้วยดี จนกระทั่ง...
เสี่ยเปิดประตูพรวดเข้ามา!
“คุยเสร็จแล้วใช่มั้ย”
“เสี่ย!!”
ทั้งผมกับจิระประสานเสียง ผมน่ะตะโกนเพราะเขาดันเสนอหน้าไม่ได้เข้าสถานการณ์เลย ส่วนจิระ ร้องดังด้วยความรักคิดถึง สีหน้าท่าทางแสดงออกชัดเจนว่าเขาแคร์ความรู้สึกของเสี่ยมากแค่ไหน
วินาทีที่เห็นเสี่ยเดินมาใกล้ เขาเผยยิ้มน่ารักออกมาราวกับเทวดาตัวน้อย แต่เมื่อเสี่ยเดินมาหยุดข้างผม ยกมือโอบบ่า เขาก็หุบยิ้ม กัดปากล่างอย่างสะกดกลั้นอารมณ์ไม่ให้ตวาดออกมา
“เสี่ย ผมคือจิระนะ” เขาเอ่ยเสียงอ่อน พยายามอธิบายด้วยท่าทางโอนอ่อนที่ผมคาดไม่ถึงว่าจากคนอารมณ์ร้อนจะออดอ้อนได้อ่อนหวานขนาดนี้ “ผมต่างหากที่เป็นจิระ”
“ฉันรู้อยู่แล้ว” เสี่ยตอบหน้าตาย
“หมายความว่ายังไงครับ เสี่ยรู้ว่าในร่างนั้นไม่ใช่ผม แต่เสี่ยก็ยังจะ...”
“เสี่ยออกไปก่อนนะครับ!” ผมเห็นท่าไม่ดีเลยรีบดันหลังเสี่ยให้ออกจากห้อง เสี่ยหันมาขมวดคิ้วทำหน้างอนใส่ผมอีก ไม่ได้รู้เรื่องอะไรกับเขาเลย!!! “เสี่ยออกไปก่อนนะ นะครับ”
“เสี่ย!”
----------
มันก็จะไวไวค่อนไปทางยำยำช้างน้อยประมาณนี้ค่ะ 5555
จะว่าไงดี เรื่องมาม่าพอประมาณ แต่พอหนูจินำ มันก็กลายเป็น #แบบนี้ก็ได้เหรอ #อังกอร์ก็มา
อยากให้ต้อนรับจิระกันอย่างชื่นมื่นนะคะ ความจริงจิระก็น่าสงสารน้า ส่วนเสี่ย...#ตัวประกอบต่อไป
#ฝอยตกเสี่ย