ตอนที่ 23 : ข่าวลือต้องมีไฟ ถึงจะมีควัน 50%
การกลั่นแกล้งในกองถ่าย หลังพักไปช่วงหนึ่ง พอใกล้จะปิดกล้อง ก็กลับมาอีกครั้ง แถมยังไต่ระดับมากขึ้นเรื่อยๆ
จากเอาปากกาจิ้มหลัง ใส่เกลือลงไปในน้ำเปล่า แอบเอาแมลงสาปปลอมใส่กระเป๋า วันนี้ธนัทเริ่มแอดวานซ์ถึงขนาดเปลี่ยนเบาะนั่งของผมให้เป็นเบาะลม พอทิ้งน้ำหนักลงไป ก็กลายเป็นเสียงตดดังป้าด!
คนในห้องแต่งตัวหันมามองผมเป็นตาเดียว คาดไม่ถึงว่าคนหน้าตาดีอย่างจิระจะตดเสียงดังขนาดนี้
ผม...ผมทำอะไรไม่ได้นอกจากหัวเราะกลบเกลื่อน
“สงสัยเมื่อคืนจะดื่มน้ำอัดลมเยอะไปหน่อยน่ะครับ ฮ่าฮ่าฮ่า!” น้ำตาจะไหล ไม่ใช่อะไร ตอนปวดจริงกลั้นแทบตาย แต่ดันมาหลุดเพราะโดนแกล้ง ดีนะที่ไม่ได้อยู่ข้างนอกท่ามกลางแฟนคลับหรือนักข่าว ไม่งั้นผมคงสติแตกไปแล้ว
“แหม น้องจิล่ะก็ ต้องลดบ้างแล้วนะจ๊ะ ดีนะมีแค่พวกพี่ที่ได้ยิน ไม่งั้นล่ะโดนนินทาแย่เลย”
“แค่ตดเองครับ มนุษย์ทุกคนก็ต้องตดกันทั้งนั้น เรื่องธรรมชาติ ฮ่าฮ่าฮ่า”
“เฮ้อ ก็มีแต่จินั่นแหละที่ไม่ห่วงภาพลักษณ์ตัวเอง ยังไงก็อย่ากลั้นล่ะ เดี๋ยวจะเสียสุขภาพ”
“คร้าบผม!”
แก้ไขสถานการณ์ได้อย่างหวุดหวิด ผมหันไปมองธนัทที่กลั้นขำอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล เขาเองก็คงรู้ตัว เลยเชิดหน้าสบตาผมอย่างท้าทายเป็นเชิงว่ามีปัญหารึไง ถ้าอยากจะฟ้องก็ฟ้องไปเลย!
...แล้วใครจะไปกล้าแฉ โดนแกล้งด้วยวิธีเด็กประถมขนาดนี้ขืนโวยวายมีหวังถูกมองว่าทำเรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่ ผมเองก็คิดซะว่าเป็นเรื่องขำขัน เพราะก็ไม่ได้เดือดร้อนหรือเจ็บตัวอะไร อีกอย่างใกล้จะปิดกล้องแล้ว ผมเลยไม่อยากเป็นปัญหา
กระแสของซีรีส์ตอนนี้มีแต่พุ่งขึ้นเรื่อยๆ จนฉุดไม่อยู่ ยิ่งใกล้จะเข้าสู่ช่วงท้าย และมีการปล่อยข่าวว่าจะมีการเปิดกองให้สื่อต่างๆ มาดูการถ่ายทำ เลยยิ่งทำให้เป็นที่พูดถึง
ผมเองหลังจากไปงานเปิดตัวโทรศัพท์ ผลตอบรับก็ออกมาดีเกินคาด มีคลิปเต็มโซเชี่ยลไปหมด ส่วนใหญ่เป็นไปทางชื่นชมจนผมตัวแทบลอย ส่งผลให้ทางบริษัทติดต่อเข้ามาเพื่อถ่ายทำโฆษณาโทรศัพท์ครั้งที่สอง แต่ครั้งนี้ไม่ใช่งานเดี่ยว เพราะผมต้องถ่ายร่วมกับนักแสดงอีกคนหนึ่ง
พี่เบิ้มยืนรอผมอยู่หน้าห้องแต่งตัว เพราะเราต้องไปที่สตูดิโอชั้นเจ็ดต่อทันที
“จิระเป็นยังไงบ้างครับพี่”
“พยาบาลไม่ได้โทรมารายงาน แสดงว่าปกติดี”
ผมหรี่ตามองพี่เบิ้มอย่างจับผิด เขาน่ะเข้าข้างคุณสันจะตายไป ถ้าคุณสันบอกให้ตอบแบบนั้นต่อให้เป็นคำโกหกก็พูดได้ไม่สะทกสะท้าน ไม่ใช่ว่าเพื่อไม่ให้เสี่ยหึงอย่างเดียวหรอกนะ แต่เพื่อให้ผมมีสมาธิกับการทำงานด้วย ช่วยไม่ได้นี่นา...ก็เมื่อเช้าตอนออกมาทำงาน จิระน่ะทำท่าเหมือนไม่อยากให้ผมไป เพราะเขาไม่กล้าทำกายภาพบำบัดคนเดียว แต่ไม่ยอมพูดออกมาเอง สุดท้ายท้ายสุด ก็เลยปล่อยมือทั้งที่กัดปากจนเลือดซิบ ผมต้องเอากระดาษทิชชูซับให้เขา บอกว่าจะรีบกลับมาฟังผล ฉะนั้นเขาต้องตั้งใจทำกายภาพบำบัดให้ดี
อย่างกับกล่อมเด็ก
แต่พอกล่อมเด็กหนุ่มแล้ว ก็ต้องมากล่อมเด็กโข่งอีกต่อ เพราะพยาบาลดันรายงานเรื่องผมซับปากจิระซะงั้น ทำด้วยเจตนาบริสุทธิ์ใจ ไม่ได้คิดอกุศลเหมือนเสี่ยสักหน่อย ผมเลยต้องดูดปากง้อเสี่ยไปหนึ่งยก ถึงมาทำงานได้อย่างราบรื่น
เพราะไม่ได้แวะกลับบ้านเลย ข้าวกลางวันเลยเป็นอาหารตามสั่งจากร้านอาหารในบริษัทที่คุณสันสั่งมาส่งที่ห้องทำงานของเสี่ย รสชาติอร่อยดี แต่ผมชินรสมือแม่มากกว่า แล้วขอคิดเอาเองว่าเสี่ยก็เป็นเหมือนผม
“เจอกันอีกแล้วนะจิระ”
“สวัสดีครับ ขอบคุณที่ให้โอกาสผมอีกครั้งนะครับ” ผมยกมือไหว้ตัวแทนจากบริษัทโทรศัพท์ที่เคยเจอกันถึงสามครั้ง ครั้งแรกคือตอนเซ็นสัญญา ครั้งที่สองคือตอนถ่ายทำนอกสถานที่ ครั้งสามคือตอนงานเปิดตัว แม้การถ่ายโฆษณาครั้งนี้จะไม่ได้อิงตามธีมของซีรีส์เช็กเมท แต่ก็จับกระแสจากสองตอนยาวที่เพิ่งฉายล่าสุดไป เพราะคนที่ผมต้องทำงานร่วมกันนั้น...คือเด็กคนที่รับบทเป็นตัวปลอมของมิสเตอร์เอสนั่นเอง!
ตอนอ่านคอนเซปโฆษณานี้ผมชอบมากจนนึกชื่นชมฝ่ายครีเอทีฟเชียวล่ะ เพราะโฆษณาตัวแรกที่ปล่อยไปนั้น เป็นการขายสินค้าถึงฟังก์ชั่นต่างๆ ผ่านการเล่าเรื่องในรูปแบบของซีรีส์เช็กเมท แต่ในโฆษณาตัวที่สอง ซึ่งเป็นโทรศัพท์รุ่นใหม่เครื่องเดิม จะเน้นที่ดีไซน์
ตัวเครื่องมีสองสีให้เลือกสรร
สีขาวกับสีดำ
แน่นอนว่าผมคือสีขาว ส่วนเด็กคนนั้นสวมชุดสีดำ คอนเซปโฆษณาคือแสงกับเงา เป็นคล้ายๆ การถ่ายแฟชั่นโดยให้พวกเราถือสินค้าแล้วเน้นซูมเข้าซูมออกประกอบจังหวะ เกิดเป็นการเปรียบเทียบระหว่างโทรศัพท์สองเครื่องที่ให้ความรู้สึกแตกต่างกัน แม้จะไม่ได้สวมชุดหรืออิงจากซีรีส์เช็กเมทโดยตรง แต่การให้ผม ซึ่งรับบทมิสเตอร์เอสถือเครื่องสีขาว แล้วให้เด็กคนนั้นที่รับบทเป็นตัวปลอมของมิสเตอร์เอส ถือเครื่องสีดำ ก็ทำให้โฆษณาชุดนี้ดูมีเนื้อเรื่องมากกว่าที่เห็น
เสียอย่างเดียวชุดค่อนข้างโชว์สัดส่วนไปสักหน่อย ผมที่เดินไปเปลี่ยนเสื้อเป็นชุดสีขาวแขนกุดรัดรูปที่มีแค่ครึ่งอก อวดท้องแบนๆ ขาวเนียนและกางเกงแนบเนื้อนั้นถึงกับกุมขมับ แทบจะปั้นหน้าไม่ถูกเลยทีเดียวเมื่อพี่เบิ้มถ่ายรูปส่งให้คุณสัน และคาดว่าคุณสันน่าจะส่งต่อให้เสี่ย
ไม่ทันขาดคำ เสี่ยก็โทรสายตรงถึงผมในทันที
(( เปลี่ยนชุดเดี๋ยวนี้! ))
“ใจเย็นก่อนครับเสี่ย ผมยังสวมชุดไม่เสร็จเลย ความจริงแล้วยังมีเสื้อคลุมอีกตัวหนึ่ง...” ผมหยิบเสื้อคลุมแขนกุดชายยาวถึงเข่ามาสวม แน่นอนว่าแทบไม่ช่วยอะไรเพราะท้องก็ยังเปิดโล่งอ้าซ่าเหมือนเดิม “เอ่อ...”
(( ฉันจะลงไปหา ห้ามถ่ายทำก่อนฉันจะลงไปเด็ดขาดนะ ))
“เดี๋ยวก่อนครับเสี่ย! อย่ามานะ!!” ผมรีบห้าม กลัวเขาจะมาโวยวายเรื่องชุด แต่ผมคงคิดน้อยไปหน่อย...
(( ฉันจะลงไปดู เรื่องอะไรจะให้คนอื่นเห็นแต่ฉันไม่เห็นอยู่คนเดียวล่ะ กลัวอะไรจิตริน กลัวฉันลงไปห้ามรึไง นี่เป็นงาน ฉันไม่งี่เง่าขนาดนั้นหรอกน่า ))
ผมมองโทรศัพท์ที่ตัดสายไปแล้วก่อนจะค่อยๆ ซบหน้าลงกับฝ่ามือ
เสี่ยนะเสี่ย!“ขอโทษนะครับ ข้างนอกเขาให้ผมเข้ามาตาม...”
ผมกับพี่เบิ้มหันไปมองคนที่เปิดประตูแง้มเหมือนกลัวว่าผมยังแต่งตัวไม่เสร็จอย่างเกรงๆ ไม่ใช่ใครที่ไหน คือเด็กคนที่รับบทเป็นตัวปลอมมิสเตอร์เอส หรืออดีตเจ้าของบทมิสเตอร์เอสที่โดนผมปาดหน้าเค้กไปนี่เอง ผมส่งยิ้มพลางโบกมืออย่างกระตือรือร้นเมื่อเขาเป็นฝ่ายเข้าหาผมก่อน ตอนแรกไอ้เราก็นึกกลัวว่ายังเขม่นกัน เลยไม่กล้าเข้าไปทักเพราะกลัวจะทำให้ฝ่ายนั้นคิดว่าไปดูถูกเหยียดหยามจนอารมณ์เสียก่อนทำงาน
“ขออีกห้านาทีได้มั้ย” ผมต่อรอง “อย่าเพิ่งบอกใครนะ ทำเหมือนว่าผมยังแต่งตัวไม่เสร็จก่อนก็ได้”
“ทำไมเหรอ” เด็กคนนั้นถาม แต่ก็ยอมทำตามที่ผมขอร้องโดยการแทรกตัวเองเข้ามาในห้อง เนียนจะมาช่วยผมแต่งตัว ซึ่งเขาเองก็อยู่ในชุดที่เหมือนกับผมเปี๊ยบ แค่เปลี่ยนจากสีขาวเป็นสีดำ ขนาดทรงผมยังทำทรงเดียวกันเลย
“เดี๋ยวจะมีคนลงมาดูน่ะ เอ่อ...นายก็อย่าตกใจแล้วกัน” ผมบอกเตือน ก่อนจะเหลือบมองหน้าท้องขาวเนียนของอีกฝ่าย “ผอมจัง”
ไม่พูดเปล่า ยังเอื้อมมือไปลูบด้วย โอ้โห! แบนราบสุดๆ
“นายก็ผอม” เด็กคนนั้นพูดไปเกร็งไป ไม่กล้าแงะมือผมออก
“ทางฝ่ายคอสตูมไม่แจ้งก่อนเลยว่าจะให้ใส่เสื้อเปิดหน้าท้อง เมื่อตอนกลางวันผมเลยกินข้าวไปเต็มที่ ลองจับสิ เห็นอย่างนี้แต่ความจริงแล้วแอบมีพุงนะ” ผมเลยจับมืออีกฝ่ายมาวางแหมะบนท้องขาวเนียนของจิระ ถ้าจับดูแล้วจะพบว่ามีส่วนนุ่มนิ่มนูนออกมาเล็กน้อย สงสัยตอนถ่ายโฆษณาต้องคอยแขม่วซะแล้วสิเรา
“อะแฮ่ม!” จู่ๆ พี่เบิ้มก็กระแอมไอเสียงดัง เล่นเอาพวกเราสองคนสะดุ้งโหยง
“เขาไม่ได้ทำอะไรผมนะ” ผมรีบแก้ตัวแทนเด็กคนนั้น ไม่อยากให้โดนหางเลขกับอีแค่โดนผมบังคับให้จับพุงตัวเอง
“ครับ เขาไม่ได้ทำอะไรคุณ แต่คุณต่างหากที่ไปทำอะไรเขา” พี่เบิ้มพูดเป็นความนัยขณะดึงตัวผมให้แยกออกมา ไม่วายพึมพำเสียงกระซิบให้ได้ยินกันแค่สองคน “ตั้งแต่ตอนธนัท แล้วยังจิระอีก...ตอนโดนรุกน่ะระวังตัวเองดี แต่พอเผลอก็ไปรุกใส่คนอื่นตลอด”
“รุกอะไรล่ะครับ ผมไม่ได้คิดอะไรสักหน่อย อย่าดูถูกมิตรภาพลูกผู้ชายสิ”
พี่เบิ้มไม่ยอมฟังค้าน ลากผมเดินออกมาจากห้องแต่งตัว โดยที่เด็กคนนั้นแอบนั่งทำใจอยู่นานกว่าจะตามออกมา สงสัยคงจะกลัวพี่เบิ้มที่จู่ๆ ก็เสียงดัง ก็เล่นนั่งหน้าแดงก่ำ ไม่ไหวเลยนินจาของผมเนี่ย ตัวโตล่ำบึกหน้าบากไม่พอ ยังไปคุกคามเด็กอีก
เสี่ยเองก็มาไวอย่างกับบะหมี่สำเร็จรูป แค่สามนาทีก็พร้อมเสิร์ฟแล้ว ผมคลี่ยิ้มหวานทักทายเขาที่เดินจับสูทเข้ามาในสตูดิโอชั้นหก ครั้งนี้มาคนเดียวไม่มีคุณสันติดตามซะด้วยสิ ทีมงานถึงกับโกลาหลชั่วขณะ รีบจัดหาที่นั่งให้เจ้าของบริษัท หาน้ำหาขนมมาประเคนยกใหญ่
“ฉันแค่มาดู” เสี่ยเอ่ยเสียงเรียบ ไม่ยอมสบตากับใคร วางมาดน่าเกรงขามไม่ให้ใครคัดค้าน และเป็นการตัดความหวังดีทั้งหมดให้หันไปสนใจกับการถ่ายทำได้แล้ว
ผมเดินเข้าไปในฉากสีเขียวก่อน ไม่ใช่รักธรรมชาติ แต่มันคือฉากสำหรับตัดต่อทำกราฟฟิกด้านหลัง เซ็ทแรกคือการถ่ายซูมที่ตัวจิระ ให้ผมเปลี่ยนท่าไปเรื่อยๆ ออกแนวสบายๆ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะต้องยิ้มกว้างมากเกินจนหลุดคาแรคเตอร์มิสเตอร์เอส เน้นให้อมยิ้มทีละนิด ดูน่าดึงดูดมากกว่า
หลังจากถ่ายทั้งตัวเสร็จก็ผมก็ถือสินค้าเข้าฉากแล้วถ่ายเดี่ยวอีกครั้ง ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่นเพราะรูปร่างหน้าตาของจิระนั้นไม่ว่าจะมองมุมไหนก็สวยงามไปหมด ในเมื่อไม่ต้องใช้ทักษะการแสดงมาก บอกเลยว่าอย่างชิลครับ
“คัต! ขอบคุณมากครับน้องจิ พักก่อนนะ”
“ขอบคุณครับ” ผมเดินออกจากฉาก รับน้ำเย็นจากพี่เบิ้มก่อนจะเดินไปนั่งใกล้ๆ กับเสี่ย คราวนี้เป็นตาของเด็กคนนั้นที่จะถ่ายในธีมของสีดำ โดยเริ่มจากการเดินไปเดินมาหมุนตัว แล้วค่อยถือสินค้าซูมเข้าซูมออกเหมือนที่ผมทำเมื่อครู่ “เมื่อตอนกลางวันผมไม่น่ากินเยอะเลย เมื่อกี้แขม่วพุงแทบแย่”
“อยากให้ฉันจับใช่มั้ย ไหน มาให้จับพิสูจน์หน่อย”
“เสี่ย ผมจั๊กจี้” ผมหัวเราะเบาๆ เมื่อเขายื่นมือมาลูบแถวสะโพกมากกว่าตรงหน้าท้อง ปัดผ่านไปผ่านมาชวนเสียดเสียวแกมขบขัน ดีนะที่พี่เบิ้มช่วยยืนบัง ร่างเขาสูงใหญ่อย่างกับกำแพงหนาขนาดนั้น ต่อให้คนอื่นได้ยินเสียงแล้วหันมามอง ก็เห็นแต่เสี่ยที่ยุกยิกๆ ส่วนผมน่ะโดนบังมิด
“ผมทำเสี่ยเสียงานรึเปล่าเนี่ย” ผมถามเสียงหอบเหนื่อย แอบชกต้นแขนเสี่ยเบาๆ อย่างหมั่นไส้ที่โดนแกล้ง
“ไม่เป็นไรหรอก”
ช่างเป็นท่านประธานที่ทำงานตามใจฉันได้สุดยอดไปเลย
“เสี่ยห้ามโยนงานส่วนของตัวเองไปให้คุณสันนะ ถ้าเกิดเสี่ยแอบอู้จนทำในเวลาไม่ทัน เสี่ยก็ต้องเอากลับไปทำที่บ้านนะรู้มั้ย” เรื่องของเรื่องคือ...เสี่ยแม่งโกหกผมอีกแล้วอ่ะ! ผมเพิ่งรู้เมื่อตอนคบกันใหม่ๆ นี่เองว่าความจริงแล้วเสี่ยไม่ได้ว่างงานอย่างที่เคยอธิบายให้ผมฟังตอนโดนแอนตี้แฟนกรีดมือ แต่เวลาเขามีงานค้าง ก็จะส่งไปให้คุณสัน ไม่ก็บิ๊กช่วยจัดการ ส่วนตัวเองก็เหลวไหลได้อย่างสบายเฮ
“สันฟ้องเธอรึไง”
“ผมไปเห็นเองตอนคุณสันนั่งจัดการงานส่วนของเสี่ยงกๆ ต่างหาก” ผมชี้หน้าเขาอย่างคาดโทษ “คุณสันประคบประหงมเสี่ยยิ่งกว่าอะไรดี เสี่ยขอร้องเข้าหน่อยก็รับปากตลอดจนเสี่ยเสียนิสัยแล้ว อย่าทำตัวแบบนี้ต่อหน้าผมเชียวนะครับ เป็นแฟนผมต้องรับผิดชอบงาน ห้ามโยนไปให้คนอื่นทำเชียว ไม่งั้นผมคงรู้สึกผิด มองเสี่ยอย่างชื่นชมไม่ได้เหมือนเดิม เวลาจู๋จี๋กันแต่ละครั้งก็จะวนคิดเรื่องนี้ตลอด พาลให้หมดอารมณ์เรื่องบนเตียงไปด้วย...”
“เธอเป็นแม่ฉันรึไง ขนาดสันยังไม่เคร่งกับฉันเท่านี้เลย” เสี่ยกำนิ้วชี้ผมให้ลดระดับลงอย่างไม่ยักจะสำนึก
“ผมเป็นแฟนเสี่ยต่างหาก เราจะคบกันโดยสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นไม่ได้นะครับ ถ้าเสี่ยอยากให้ผมรักเสี่ยนานๆ เสี่ยก็ทำตัวให้น่ารักมากๆ หน่อยสิครับ โอ๊ย เสี่ย อย่าดึงแก้มผมสิ”
“มันเขี้ยว” เสี่ยเอ่ยยิ้มๆ ตามองผมประกายวาว ไม่ทั้งตอบรับและปฏิเสธ แต่คาดว่าเขาจะยอมฟัง เพราะคุณสันเองก็พูดว่าเสี่ยค่อนข้างเชื่อฟังผมมากทีเดียว “พูดพูดพูด พูดไม่หยุดเลยนะ ไม่พูดเรื่องตัวเองก็เรื่องคนอื่น ไม่ว่าฉันก็ชมสัน ไม่เห็นจะพูดถึงฉันในแง่ดีบ้างเลย”
“ผมเปล่าว่าเสี่ยสักหน่อย” ผมลูบแก้มตัวเองปอยๆ หวังว่าจะไม่มีรอยนะ ผิวจิระยิ่งแดงง่ายอยู่ด้วย
“คุณจิครับ ใกล้ได้เวลาแล้ว” พี่เบิ้มช่วยเตือนเมื่อเห็นว่าเด็กคนนั้นใกล้จะถ่ายส่วนของตัวเองเสร็จ
“ขอบคุณครับพี่เบิ้ม ส่วนเสี่ย...เห็นผมพอแล้วรึยัง ถ้าพอแล้วก็ขึ้นห้องไปทำงานต่อเลยครับ อย่าโยนให้คุณสันเชียวนะ”
เสี่ยลุกขึ้นยืนเอามือล้วงกระเป๋าด้วยสีหน้าหน่ายเซ็ง แต่สุดท้ายเมื่อมองส่งผมเข้าฉากเสร็จ เขาก็เดินออกจากสตูดิโอแต่โดยดี เด็กโข่งคนนี้เลี้ยงง่ายเหมือนกันนะเนี่ย
----------------------
เดี๋ยวจิลูก นั่นเสี่ยนะ ไม่ใช่หมา!! อุ๊บ!!!
กลับมาสู่การทำงานของจิกันต่อค่ะ แอดวานซ์กว่าตระกูลสม คือแม้แต่ชื่อยังไม่ตั้งให้ สงสารน้องเหมือนกันนะ แต่เราก็คิดชื่อไม่ออกจริงๆ ค่ะ ท่านที่ตามกันมา คงรู้ว่าเรามีปัญหากับการคิดชื่อตัวละครพอประมาณ ซึ่งน้องคนนี้จะว่าตัวประกอบโผล่มาผ่านไปก็ไม่ใช่ เลยไม่ตรงคอนเซปสม แต่จะตั้งชื่อดีๆ ให้ ก็ไม่เชิงว่าบทเยอะขนาดนั้น ปวดหัวมากๆ ค่ะ 5555 #ฝอยตกเสี่ย