บทที่ 13
เข้าใจผิด
พาร์ทของโพด
“พี่ชายอีกแล้วเหรอโพด โพดรู้ตัวไหมว่าตอนนี้ผึ้งชักไม่แน่ใจแล้วว่านี่เราเป็นแฟนกันหรือเปล่า มันดูชีวิตโพดมีแต่พี่ชาย จนผึ้งก็ไม่รู้ว่าผึ้งอยู่ตรงไหน”ผมนิ่งเงียบไม่ได้ตอบโต้ใดๆ กับผึ้งหรือแฟนสาวของผม เราคบกันเป็นแฟนมาได้ เกือบปีแล้ว หลังจากที่เป็นเพื่อนกันมาราวๆ ครึ่งปี ทีแรกผมเข้าใจว่าเราสองคนเข้ากันได้ดีนะครับ
ผมก็รู้สึกว่าผมชอบผึ้ง เธอเองก็ไม่เคยงี่เง่า ยกเว้นเรื่องเดียวคือเรื่องพี่ฟ่าง พี่ชายของผมนี่แหละครับ แรกๆ อาจไม่เท่าไหร่ เพราะตั้งแต่ผมเข้าใจว่าพี่ฟ่าง เป็นแฟนกับไอ้พี่ต้าร์ ผมก็พยายามจะไม่คิดอะไรกับพี่ฟ่างให้มันเกินเลยไปกว่าคำว่าพี่น้อง อย่างที่ย่าผมได้เคยบอกไว้ นั่นทำให้ผมได้ใช้เวลากับผึ้งมากขึ้น เรียกว่าเกือบจะอยู่ด้วยกันตลอดเวลาเสียด้วยซ้ำ จนถึงครั้งล่าสุดที่ผมต้องไปภูเก็ตกับพี่ฟ่าง
“เออลืมบอกไปว่าพี่มีเพื่อนมาค้างด้วย พอดีช่วงที่เราไปภูเก็ตมันจะมาเฝ้าบ้านให้”ผมชะงักฝีเท้าทันทีที่กำลังจะก้าวเข้าบ้าน คงจะเป็นคนชื่อต้าร์อะไรนั่นสินะ ตกลงนี่เค้าเข้านอกออกใน ถึงขั้นมาอยู่ด้วยกันแล้วเหรอครับเนี่ย แม้พี่ฟ่างจะไม่เคยเล่าอะไรเกี่ยวกับคนๆ นี้ให้ผมฟังเลยก็เถอะ แต่ตอนนี้ผมเข้าใจไปแล้วว่าเค้าสองคนคงใช้ชีวิตด้วยกัน แม้จะรู้สึกเจ็บจี๊ดๆ ในใจแต่ผมก็คงทำอะไรไม่ได้ ผมมันก็แค่น้องชายนี่นา ที่จริงมาเจอกันครั้งนี้ผมก็ตั้งใจไว้เหมือนกันว่าจะบอกกับพี่ฟ่างว่าผมมีแฟนแล้ว
“มากันแล้วเหรอ”ชายหนุ่มที่รุ่นราวคราวเดียวกับพี่ฟ่าง เดินออกมพอดี แต่นั่นไม่เท่าไหร่ สิ่งที่ดึงดูดความสนใจผมคือมือของคนชื่อต้าร์นั่นมากกว่า เค้าเดินเข้ามากอดคอพี่ฟ่างอย่างสนิทสนม หน้าตายิ้มแย้มอย่างน่าหมั่นไส้ นี่ผมว่าผมไม่ถูกชะตากับคนๆ นี้เอาเสียเลย
“โพดนี่ไอ้ต้าร์ เพื่อนที่มหา’ลัยพี่เอง ส่วนนี่ข้าวโพดน้องชายกูเอง”เพื่อนงั้นเหรอ ท่าทางสนิทสนมกันขนาดนี้ใครจะไปเชื่อกันละว่าเป็นแค่เพื่อนกัน สงสัยผมคงคิดนานไปพี่ฟ่างเลยต้องสะกิดผมให้ไหว้ทักทายอีกคน เพราะความอาวุโสที่มากกว่า ผมเลยจำต้องยกมือไหว้อย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก
“เฮ้ย ไม่ต้องไหว้ก็ได้ ยังไม่ได้แก่ขนาดนั้นสักหน่อย”ไอ้พี่ต้าร์ เอื้อมมือมาตบเบาๆ ที่ไหล่ของผม 2 ทีก่อนจะชวนเข้าบ้านอย่างกับว่าเป็นบ้านของตัวเอง ยอมรับนะครับผมมีอคติกับคนๆ นี้ไปแล้ว ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมพี่ฟ่างต้องเลือกคนๆ นี้เป็นแฟนด้วย
“มาโพดเอากระเป๋ามา เดี๋ยวพี่เอากระเป๋าไปเก็บให้”ผมกำลังจะปฏิเสธว่าเอาไปเก็บเอง แต่โดนพี่ฟ่างบังคับให้นั่งลงกินข้าว ทำให้ตอนนี้เหลือแค่ผมกับไอ้พี่ต้าร์ สองคนผมกำลังจะกินข้าวตามที่พี่ฟ่างสั่ง แต่อีกคนเหมือนจะกินข้าวเรียบร้อยแล้ว เค้านั่งอยู่ตรงข้ามผม ข้างๆ ตัวมีแก้วเบียร์ 1 ใบ และกำลังรินเพิ่มอีกแก้ว
“อ่ะ มาเหนื่อยๆ สักหน่อยจะได้สดชื่น”ผมมองอย่างไม่เข้าใจว่านี่ข้าวผมก็ยังไม่ทันกินจะมาให้ผมดื่มเบียร์ก่อนเลยหรือไง
“ยังก่อนดีกว่าครับ”ผมปฏิเสธไปอย่างมีมารยาท เพราะถึงในใจจะรู้สึกไม่ค่อยถูกชะตาด้วย แต่ผมก็คงไม่ควรแสดงกริยาอะไรที่ไม่ดีกับเค้าออกไป อีกอย่างผมก็ไม่ใช่คนไม่มีเหตุผลอะไรขนาดนั้น
“เฮ้ย ป๊อดเหรอ อายุเท่าไหร่แล้วเนี่ย พี่อุตส่าห์รินให้ ดื่มๆ ไปเถอะน่า มาชนแก้ว”ผมชั่งใจอยู่นิดนึง รู้สึกไม่ค่อยอยากดื่มเท่าไหร่แต่ดูท่าแล้วคนตรงหน้าผมคงไม่ยอมรามือง่ายๆ ถ้าผมไม่ยอมดื่ม เลยต้องจำใจยกแก้วขึ้นชนกับพี่แกครับ
“มันต้องอย่างนี้สิวะ ค่อยดูเป็นน้องชายฟ่างหน่อย”ดูท่าทางพี่แกจะพอใจมากที่บังคับผมดื่มได้ ผมเองก็ไม่ใช่ว่าไม่ดื่มหรอกนะครับ แต่ตั้งแต่คบกับผึ้ง ผึ้งก็ไม่ค่อยชอบให้ผมดื่มสักเท่าไหร่ เลยนานๆ สังสรรค์ทีนั่นแหละครับถึงดื่ม
“พี่ต้าร์กับพี่ฟ่าง คบกันมานานหรือยังครับ”ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วผมขอถามให้ชัดๆ ไปเลยแล้วกันครับ คือถ้าพี่ฟ่างจะมีแฟน แม้จะเป็นแฟนที่ผมรู้สึกไม่ถูกชะตาสักเท่าไหร่ ผมก็ยังอยากจะรับรู้เอาไว้ครับ ถึงไม่ได้คิดจะกีดกันก็เถอะ
“คบกัน?”พี่แกมีท่าทีแปลกใจนิดหน่อย นี่คงไม่คิดว่าผมจะถามตรงๆ สินะ
“ครับคบกันมานานหรือยัง”ผมถามย้ำให้รู้ว่า ทั้งสองปิดเรื่องนี้กับผมไม่ได้หรอก
“อ๋อ ก็ตั้งแต่เรียนปี 1 แล้วนะ”คำตอบของไอ้พี่ต้าร์ทำเอาผมอึ้งไปไม่น้อย เพราะนั่นมันคง 2 ปีกว่าแล้ว นี่พี่ฟ่างของผมถึงไหนกับไอ้พี่ต้าร์หน้ากวนนี่กันนะ
“อ้าวที่รักมาเร็ว แค่ไปเก็บกระเป๋าทำไมไปนานจัง มาๆ นั่งนี่เดี๋ยวเค้ารินเบียร์ให้”ยังไม่ทันที่ผมกับไอ้พี่ต้าร์จะได้คุยอะไรกันอีก เพราะพอพี่ฟ่างลงมาจากชั้นสองแกก็รีบเดินไปรับจูงมือมานั่งข้างๆ ทันที
“บอกแล้วไงว่าไม่ดื่ม พรุ่งนี้เดินทางแต่เช้า”สิ่งที่พี่ฟ่างปฏิเสธไม่ใช่เรื่องที่ไอ้พี่ต้าร์เรียกว่าที่รัก แต่เป็นการปฏิเสธเบียร์ที่ส่งให้ นี่แสดงว่าพี่ฟ่างก็ยอมรับสินะว่าเป็นแฟนกับไอ้พี่ต้าร์นี่ ตอนนี้ผมรู้สึกหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก ช้อนส้อมที่จับเตรียมจะกินข้าวในทีแรกถูกวางรวบลง เพราะรู้สึกว่าไม่มีอารมณ์จะกินแล้ว
“ตัวเองจะไม่อยู่ตั้งหลายวันเค้าต้องคิดถึงตัวเองมากๆ แน่เลย ดื่มกับเค้าหน่อยนะๆ”ไอ้พี่ต้าร์คะยั้นคะยอ อย่างน่าหมั่นไส้
“ที่มหา’ลัยก็เจอกันทุกวัน แล้วนี่ตามมาอยู่ด้วยถึงบ้านขนาดนี้ยังไม่เบื่อหน้ากันอีกหรือไง”ได้ยินแบบนี้ผมยิ่งคิดมากครับว่าทั้งสองคนคงถึงไหนต่อไหนแล้ว แถมไอ้พี่ต้าร์ยังดึงเอาพี่ฟ่างมาโอบไว้อีก
“ไม่เบื่อหรอก”ผมคงหน้าเหวอไปแล้วเพราะไอ้พี่ต้าร์เล่นหอมแก้มพี่ฟ่างต่อหน้าต่อตาผมแบบนี้ นี่มันจะเกินไปแล้ว แม้จะพยายามทำใจยอมรับว่าเค้าเป็นแฟนกัน แต่นี่มันก็ทำร้ายจิตใจผมเกินไป บอกตรงๆ ว่าผมยังทำใจไม่ได้หรอกครับที่พี่ฟ่างของผมจะต้องมีคนอื่นมาครอบครองด้วยแบบนี้ แต่ว่าผมเองก็มีผึ้งแล้ว ผมก็คงไม่มีสิทธิ์คิดแบบนี้แล้วสินะ
“เล่นบ้าอะไรเนี่ย เดี๋ยวน้องก็เข้าใจผิดกันพอดี”พี่ฟ่างบอกพร้อมพยายามขืนตัวออก หันมามองผมอย่างเกร็ง คงเข้าใจว่าผมยังไม่รู้สินะว่าผมรู้เรื่องของทั้งคู่แล้ว
“ไม่เข้าใจผิดหรอก เมื่อกี้เล่าให้น้องฟังแล้ว”ไอ้พี่ต้าร์ บอกอย่างยิ้มแย้มทั้งยังโอบพี่ฟ่างไว้ไม่ยอมปล่อย
“เล่าว่าอะไร”น้ำเสียงพี่ฟ่างดูแข็งๆ จนผมเริ่มแปลกใจ หรือพี่ฟ่างจะไม่พอใจที่ไอ้พี่ต้าร์เอาเรื่องความสัมพันธ์ของทั้งคู่มาบอกให้ผมฟัง
“ก็เล่าว่า...นั่นแหละ ช่างมันเถอะ”ไอ้พี่ต้าร์ ตอบเหมือนไม่ค่อยเต็มใจนัก ท่าทางหงอๆ นี่ไอ้พี่ต้าร์หน้ากวนนี่เป็นคนกลัวแฟนเหรอครับเนี่ย
“โพด”เมื่อไอ้พี่ต้าร์ไม่ยอมตอบ ผมเลยกลายเป็นเป้าหมายให้พี่ฟ่างมาคาดคั้นต่อ
“ครับ”ผมรับคำอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว เพราะไม่มั่นใจว่าต้องบอกตรงๆ ว่ารู้แล้ว หรือแกล้งทำเหมือนว่ายังไม่รู้อะไรเลย
“ไอ้นี่พูดอะไรให้ฟังบ้าง”เห็นท่าทางของพี่ฟ่างแล้ว ผมว่าผมบอกไปตามตรงน่าจะปลอดภัยกับชีวิตผมมากกว่า ส่วนไอ้พี่ต้าร์นี่ปล่อยแกไปตามชะตากรรมเถอะครับ คนเป็นแฟนกันก็คงไม่มีอะไรมากหรอกมั้ง
“ทำไมตัวเองเรียกเค้าไม่เพราะเลยอะ”โหไอ้พี่นี่ก็ยังมีอารมณ์ทำอ้อนไม่ดูหน้าพี่ฟ่างของผมเลยครับ อีกอย่างหน้าพี่แกนี่ผมว่าอ้อนตีนมากกว่าอีกครับ
“มึงเลิกเล่นได้แล้วไอ้ต้าร์ นี่อำน้องว่าเราเป็นแฟนกันอีกแล้วใช่ไหม”อำงั้นเหรอ หมายความว่ายังไง สรุปพี่ฟ่างนี่ไม่ได้เป็นแฟนกับไอ้พี่ต้าร์นี่เหรอ
“ตัวเองทำไมตัดเยื่อใยกับเค้าแบบนี้”ผมเริ่มลังเลไม่รู้ว่าตอนนี้จะเชื่อใครดี
“พอเลย แค่ที่มหา’ลัยเค้าก็เข้าใจผิดกันหมดแล้ว”ทั้งสองคนทำเอาผมสับสนไปหมดแล้วครับตอนนี้ ผมมองหน้าทั้งคู่สลับกันไปมา คือดูๆ แล้วทั้งสองต่างคนก็ต่างพูดความจริง ไม่ได้ดูว่าใครโกหกเลย แต่ดูจากที่ทั้งคู่สนิทสนมถึงเนื้อถึงตัวกันได้ขนาดนี้ แม้พี่ฟ่างจะปฏิเสธแต่ผมว่าผมเอนเอียงมาทางไอ้พี่ต้าร์มากว่าแล้วครับ
“ตกลงพี่สองคนเป็นแฟนกันหรือเปล่าครับ”คำถามที่ผมแทรกขึ้นทำเอาทั้งสองคนหันมามองผมตอบพร้อมกันอย่างพร้อมเพรียง แต่ดูเหมือนมันจะเป็นคำตอบที่ไม่ตรงกัน
“เป็น/ไม่เป็น”
“ยังไงนะครับ”ผมถามย้ำ เพื่อให้ทั้งคู่ได้ตอบใหม่ พี่ฟ่างผลักไอ้พี่ต้าร์ออกอย่างเคืองๆ แถมมองด้วยสายตาพิฆาตเหมือนเป็นการบังคับไอ้พี่ต้าร์ให้เป็นคนอธิบาย ไอ้พี่ต้าร์ก็หันมาจ้องผมหน้าขรึม ก่อนจะค่อยๆ คลี่ยิ้มออกมาแล้วระเบิดหัวเราะเสียงดัง
“ฮ่าๆ น้องมึงนี่จี้ดีวะ ดูเชื่อสนิทใจเลย ว่ามึงกะกูเป็นแฟนกัน”เอ๋อเลยสิครับผม ตกลงมันยังไงแน่ อันไหนจริงอันไหนไม่จริง แล้วที่ผมตัดสินใจคบกับผึ้งไปเพราะคิดว่าพี่ฟ่างมีแฟนแล้วนี่ ผมควรจะยังไงต่อดีละครับทีนี้
“เออ กูอำเล่นไม่ต้องมองกูเหมือนแย่งแฟนมึงขนาดนั้น นี่ถ้าไม่บอกว่าพี่น้องกันนี่กูนึกว่ามึงหวงแฟนแล้วนะไอ้โพด”ไอ้พี่ต้าร์ย้ำกับปมอีกรอบ ตอนนี้ในหัวผมมันกลายเป็นตื้อๆ ไปแล้วครับ ใจนึงก็ดีใจที่พี่ฟ่างไม่ได้คบกับไอ้พี่ต้าร์นี่ แต่อีกใจนึง ผมก็รู้สึกกังวลกับสิ่งที่ตัวเองทำลงไปแล้ว
“สรุปนี่พี่ไม่ใช่แฟนกันจริงๆ ใช่ไหมครับ”ผมถามย้ำให้แน่ใจอีกครั้ง เพราะจริงๆ ก็ยังคาใจกับความสนิทสนมของคนทั้งคู่อยู่บ้าง
“เออ มึงไม่ต้องหวงพี่ชายขนาดนั้นไอ้น้อง พี่มึงมันไม่สนกูหรอก แต่ถ้าวันนึงมันสน ก็ไม่แน่นะ”แล้วพี่ทั้งสองคนก็เถียงกันต่อ แม้จะเชื่อว่าทั้งคู่ไม่ใช่แฟนกัน แต่ดูจากความสนิทสนมนี่ผมก็ชักไม่มั่นใจว่าอาจจะมีใครเกิดการหวั่นไหวหรือเปล่า เราพูดคุยกันอีกสักพัก ด้วยความที่ผมกับพี่ฟ่างต้องเดินทางเช้า เลยต้องแยกย้ายกันอาบน้ำพักผ่อน ก็ถือว่ายังดีครับที่ได้รู้ว่าถึงจะสนิทกัน แต่การที่ไอ้พี่ต้าร์มาค้างที่นี่ก็ยังแยกห้องกันนอนกับพี่ฟ่างคนละห้อง ทำให้วันนี้ผมยังได้นอนเตียงเดียวกับพี่ฟ่าง
“พี่ฟ่างหลับยัง”ผมเอ่ยเสียงเบาพูดกับคนที่นอนอยู่ข้างๆ ค่อยๆ ขยับตัวเข้าหาอีกคนที่เหมือนพยายามนอนเว้นระยะให้ห่างจากผม
“อือ ว่าไง”เสียงงัวเงียตอบ แต่ก็แสดงว่ายังไม่หลับ
“ตกลงพี่ฟ่างคิดยังไงกับพี่ต้าร์ครับ”ถึงทั้งคู่จะยืนยันว่าไม่ได้เป็นอะไรกัน แต่ผมก็ยังรู้สึกอยู่ดีนั่นแหละครับว่าทั้งคู่ดูถึงเนื้อถึงตัวกันเกินความเป็นเพื่อนไปหน่อย
“ถามทำไมเนี่ย หรือยังไม่เชื่อว่าพี่กับไอ้ต้าร์ไม่ใช่แฟนกัน”พี่ฟ่างหันหน้าตะแคงมาทางผม ถามด้วยน้ำเสียงติดตลกนิดๆ ผมหันหน้าเผื่อเผชิญหน้ากับอีกคน แม้จะมองเห็นไม่ชัดเพราะความมืดแต่ก็ยังมองเห็นว่าเค้าอยู่ใกล้ๆ ผมแค่ไม่ถึงคืบ
“ก็เชื่อ แต่แค่อยากรู้ว่าพี่ฟ่างคิดกับพี่ต้าร์ยังไง”ผมบอกเสียงเบา และแอบยิ้มในความมืดกระเถิบตัวให้ใกล้เข้าไปอีก
“ก็สนิทกัน แบบเพื่อนนี่แหละ พี่ก็เห็นมันเป็นเพื่อน มันก็เห็นพี่เป็นเพื่อน แต่มันขี้อำ อำจนทุกคนเชื่อไปแล้วแหละว่าพี่สองคนเป็นแฟนกัน”ผมขมวดคิ้วกับสิ่งที่ได้ยิน คือถึงขนาดที่คนอื่นๆ ก็ยังเข้าใจผิดไม่ใช่แค่ผมที่เข้าใจแบบนี้ แต่ทั้งคู่ก็ยังทำตัวสนิทสนมกันแบบนี้เหมือนเดิม
“แล้วพวกพี่ก็ไม่อธิบายกับคนอื่นเหรอครับ”ผมค่อยๆ ยกมือขึ้นมาเกลี่ยที่ใบหน้าของพี่ฟ่าง
“ก็ขำๆ กันไปไม่มีอะไรมากหรอก”พี่ฟ่างบอกเหมือนไม่ได้คิดอะไร แล้วก็พลิกตัวหันหน้าหนีผม แต่พอพี่ฟ่างหันหลังให้ผมก็ยิ่งขยับเข้าไปจนชิดแผ่นหลังนั่น วาดวงแขนไปโอบพี่ฟ่างไว้หลวมๆ
“แล้วพี่ฟ่างมีแฟนหรือยังครับ”ผมกดจมูกลงที่หัวทุยๆ ของพี่ฟ่างกลิ่นแชมพูอ่อนๆ และผมนุ่มๆ ทำให้ผมเผลอกอดกระชับแน่นเข้าไปอีก
“ถามทำไมเนี่ย หวงพี่เหรอ หือพี่ยังโสด ไม่ได้คิดเรื่องมีแฟนตอนนี้”พี่ฟ่างยังคงตอบสบายๆ เหมือนไม่ได้ใส่ใจนักและก็ไม่ได้ขัดขืนอะไรกับการโอบกอดจากผม
“เหรอครับ”ผมบอกเสียงแผ่ว เพราะตอนนี้ผมกำลังรู้สึกผิด มันเหมือนคนแอบนอกใจไปคบกับคนอื่นทั้งๆ ที่สถานะของเราทั้งคู่ก็เป็นพี่น้องกัน แต่ความรู้สึกผิดก็แล่นเข้ามาถึงขั้วหัวใจผมก็ว่าได้
“ว่าแต่เราเถอะ รูปหล่อขนาดนี้ มีสาวๆ มาติดเยอะเลยสิเนี่ย มีแฟนยังละเรา”ผมนิ่งไปพักนึงกับคำถามนี้ น่าแปลกที่ผมถามหรือคาดคั้นเอากับพี่ฟ่างได้อย่างคล่องปาก แค่พอเป็นฝ่ายต้องตอบเสียเอง คำพูดมันกลับติดอยู่ในลำคอ แค่พูดความจริงออกไปผมยังลังเล
“ยัง...ไม่มีครับ”และผมก็เลือกที่จะโกหกออกไป ผมไม่อยากให้พี่ฟ่างรู้ผมมีแฟน เพราะถ้าพี่ฟ่างรู้ว่าผมมีแฟน พี่ฟ่างเองอาจจะตัดสินใจคบใครอย่างที่ผมได้ทำลงไปแล้ว ก็ได้ ผมรู้ว่าผมเห็นแก่ตัวที่ทำแบบนี้ แต่คนเรามันก็มีความเห็นแก่ตัวด้วยกันทั้งนั้นแหละครับ
“ว่าไงละโพด โพดให้ความสำคัญกับผึ้งบ้างหรือเปล่า”เสียงของอีกคนคาดคั้นเอากับผมด้วยเช่นกัน เธอไม่ผิดหรอกครับ ไม่ผิดอะไรเลย และอย่างที่บอกว่าที่จริงเราก็เข้ากันได้ดีในแทบทุกเรื่อง ยกเว้นเรื่องนี้เรื่องเดียว ซึ่งมันก็ทำให้ผมเองต้องรู้สึกผิดกับเธอไปด้วยเช่นกัน
“สำคัญสิครับ แต่โพดเคยบอกผึ้งไปแล้วไง ว่าพี่ฟ่างคือคนเดียวในครอบครัวโพดที่ยังเหลืออยู่ ผึ้งเข้าใจโพดหน่อยนะ”ผมยกข้ออ้างที่มักจะใช้ได้ผลเสมอขึ้นมาอีกครั้ง แต่เหมือนครั้งนี้อีกคนจะไม่อยากรับฟังสักเท่าไหร่ เพราะสีหน้าเธอยังคงบึ้งตึงชัดเจนว่ายังไม่พอใจผมอยู่มากทีเดียว
“งั้นถ้าโพดยังเห็นผึ้งสำคัญ ปีนี้ก็อยู่เค้าท์ดาวน์ด้วยกันที่นี่ไม่ไปภูเก็ตกับพี่ชายสักปีก็คงไม่เป็นไรใช่ไห”"ผมชักสีหน้าไม่พอใจ เพราะผมกับเธอแทบจะอยู่ด้วยกันตลอดอยู่แล้ว กับเวลาแค่ 10 วันที่ผมจะไปเจอพี่ฟ่างของผมทำไมเธอต้องมาไม่พอใจผมด้วย
“แต่ถ้าโพดไป เราก็เลิกกัน”
TBC
ที่จริงถ้าทั้งฟ่างและโพดเปิดใจกันแต่แรกๆ
พูดกันตรงๆ ทุกอย่างอาจไม่ออกมาแบบนี้