ตอนที่ ๖
ศศิศมหานาคราชร่ายคาถากลับคืนสู่ร่างทิพย์ ทันใดนั้นมีเด็กน้อยวัยประมาณ 7 - 8 ขวบวิ่งถลาเข้ามากอดพระองค์ทันที
"เสด็จแม่ ! "
เด็กน้อยตรงหน้าที่มีหน้าตาคล้ายคลึงกับฆเคศวรไม่มีผิดวิ่งเข้ามากอดองค์ศศิศนาคราช ผู้สูงศักดิ์จนพระองค์รู้สึกงุนงง
"ข้าไม่ใช่แม่ของเจ้าหรอก เด็กน้อย" องค์ศศิศตรัสเสียงอ่อนโยน
"เสด็จแม่ไม่ต้องการข้าแล้ว เพราะข้าทำให้เสด็จแม่ต้องตาย" เด็กน้อยร่ำไห้ฟูมฟายจนนาคราชหนุ่มรู้สึกสะเทือนพระทัย
"เจ้าหมายความว่าอย่างไร"
"เสด็จแม่ตายเพราะคลอดข้า มันเป็นความผิดของข้า"
องค์ฆเคศวรผู้เป็นบิดาเข้ามาแก้ไขความเข้าใจผิดของครุฑน้อยด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย "วาโย เขามิใช่เสด็จแม่ของเจ้า ท่านผู้นี้คือศศิศมหานาคราช"
"ไม่จริงพะย่ะค่ะ เสด็จพ่อโกหก" เด็กน้อยตรัสตอบทั้งสีหน้างอแง
"วาโย เสด็จแม่ของเจ้าไม่อยู่แล้ว ตอนนี้เรามีกันแค่สองพ่อลูกเท่านั้น กลับไปวิมานฉิมพลีกับพ่อเถอะ อย่าได้รบกวนศศิศมหานาคราชอีกเลย" ราชาครุฑเบือนพระพักตร์หนีภาพลูกน้อยเกาะพระกรของศศิศแน่นราวลูกลิง
"ลูกไม่เชื่อ เสด็จแม่ ลูกจะอยู่กับเสด็จแม่ ฮื่อๆ เสด็จพ่อใจร้าย ลูกเกลียดเสด็จพ่อ" พระทัยของคนเป็นพระราชบิดาเจ็บปวดเหลือแสน สงสารลูกน้อยนักที่ไม่มีโอกาสได้อยู่กับพระราชมารดา
ศศิศทอดพระเนตรพระโอรสองค์น้อยเศร้าโศกจนถึงกับสะอื้นไห้คร่ำครวญอย่างขวัญเสีย พระองค์เห็นพระทัย ในพระทัยเจ็บปวดราวมีเข็มมาทิ่มแทง พระองค์ก้มพระวรกายเข้าไปลูบพระเศียรพระโอรส
'ทำไมข้าถึงรู้สึกผูกพันเด็กคนนี้ราวกับเขาเป็นลูกของข้า ทั้งที่เขาคือลูกของฆเคศวรหรือว่าชายาของฆเคศวรคือร่างหนึ่งของข้าตอนไปชดใช้กรรมในโลกมนุษย์' ศศิศนึกสงสัยในพระทัย
"หยุดร้องได้แล้วนะเด็กดี เจ้าชื่ออะไรหรือ "
"วาโยพะย่ะค่ะ"
องค์ศศิศเสก กำไล 'บ่วงนาคบาศ' แล้วทรงตั้งจิตอธิษฐาน
'หากเด็กน้อยตนนี้เป็นโอรสของข้า ขอให้กำไลอันนี้กลายเป็นบ่วงนาคบาศเป็นอาวุธคุ้มครองเขา หากเขามิใช่โอรสของข้าขอให้กำไลอันนี้กลับกลายเป็นเพียงกำไลเครื่องประดับธรรมดา'
หลังจากนั้นพระราชทานแก่พระโอรสน้อยทันที
เมื่อครุฑน้อยสวมใส่ มันกลับกลายเป็นนาคราชเลื้อยพันรอบข้อมือ เด็กน้อยหัวเราะชอบใจ ขณะที่องค์ฆเคศวรรีบจับนาคน้อยนั้นกระชากออกจากพระกรพระโอรส ครุฑราชพนมพระกรร่ายมนต์อาลัมพายน์ใส่นาคน้อยที่ขยายขนาดเป็นพญานาคขนาดเท่าลำต้นตาลทันที ขณะที่ศศิศชูพระหัตถ์ขึ้น พญานาคตนนั้นเลื้อยเข้ามาพันขดและกลายเป็นกำไลดังเดิม
องค์ศศิศทอดพระเนตรเหตุการณ์ตรงหน้าแล้วรู้สึกมั่นพระทัยว่า พระโอรสครุฑตนนี้คือโอรสของตนไม่ผิดแน่แท้
"นี่เจ้า! คิดจะทำร้ายลูกของข้าอย่างนั้นรึ" องค์ฆเคศวรตวาดเสียงก้องผุดลุกขึ้นยืนชี้พระพักตร์ศศิศอย่างโกรธจัด แต่พระองค์หาได้สะทกสะท้าน เชิดพระพักตร์ท้าทายแล้วตรัสว่า
"เจ้ากำลังเข้าใจผิด เจ้าครุฑโง่ นี่คือ บ่วงนาคบาศ"
องค์ศศิศก้มพระวรกายตรัสกับพระโอรสน้อยว่า " เมื่อลูกสวมใส่มัน ลูกจะอยู่ในน้ำได้มิต่างจากนาคราชตนหนึ่ง หากลูกใช้มันเป็นอาวุธมันจะเป็นศาสตราที่ทรงอานุภาพร้ายแรง หากลูกต้องการให้มันเป็นเชือกวิเศษ เมื่อมันตรึงมัดผู้ใดก็มิอาจมิดิ้นสุดจากมันได้ ลูกชอบหรือเปล่า"
"ชอบพะย่ะค่ะ"
" ลูกน่ารักขนาดนี้ แม่มีหรือจะไม่รักลูก ตอนนี้ลูกออกไปวิ่งเล่นข้างนอกก่อนนะ แม่มีเรื่องอยากจะคุยกับเสด็จพ่อของลูก"
"พะย่ะค่ะ เสด็จแม่"
องค์ฆเคศวรหันพระพักตร์ไปตรัสกับทหารองครักษ์ทั้งสองตน "พวกเจ้าจงดูแลลูกข้าให้ดี ให้เขาเที่ยวเล่นสักพักแล้วพาเขากลับไปยังตำหนักวิมานแก้วอากาศของข้า"
"รับด้วยเกล้าพะยะค่ะ"
เมื่อเด็กน้อยวิ่งออกไปพร้อมกับพี่เลี้ยงครุฑทั้งสองตนที่ติดตามไปด้วยจนราชาครุฑคลายกังวลก็หันพระพักตร์ไปทางข้าราชบริภารของศศิศที่พอทราบว่าเจ้าเหนือหัวของตนได้รับบาดเจ็บก็พากันขึ้นจากบาดาลมาเฝ้าหน้าถ้ำริมทะเลตะวันออกแห่งนี้
"พวกเจ้าก็ออกไปด้วย" องค์ศศิศตรัสเมื่อทอดพระเนตรท่าทางกังวลของเหล่าข้าราชบริภาร
"แต่ว่า..."
"ออกไปเถอะ ข้ามีเรื่องต้องการถามจากปากของราชาครุฑ
"พะย่ะค่ะ / เพคะพระบาทเจ้า"
เมื่อทุกคนออกไปหมด
"เด็กคนนั้นคือโอรสของเจ้าที่อยู่ในไข่ใช่หรือไม่"
"ใช่"
"โตเร็วสมกับเป็นบุตรครุฑ ถ้ามิใช่เพราะมีแม่เป็นมนุษย์คงจะโตเป็นหนุ่มเลยทีเดียว"
"ใช่"
"นางตายหลังจากคลอดเด็กคนนั้นคลอดใช่หรือไม่"
"ใช่"
"นางชื่อ ลัญยาวดีแห่งนันทปุระใช่หรือไม่"
"ใช่"
องค์ศศิศเม้มพระโอษฐ์แน่น ตอนนี้พระองค์แน่พระทัยแล้วว่า พะราชธิดาลัญยาวดีคือร่างหนึ่งของพระองค์ไม่ผิดแน่ พระองค์เริ่มตั้งพระทัยว่าจะสืบหาคนร้ายผู้ที่ฆ่าพระองค์ในตอนนั้น พระองค์อยากรู้ว่านักว่าเป็นฝีมือใครทำไมถึงเลือดเย็นขนาดนี้ และจะแก้แค้นผู้ที่ทำร้ายพระองค์ในตอนนั้นทุกตน
"เจ้าไม่คิดจะแก้แค้นคนที่ฆ่านางเลยรึ"
"แก้แค้นอย่างนั้นหรือ ผู้ที่ทำให้นางตายนั้นก็คือข้า นางตายเพราะข้า ถ้าข้าดูแลนางดีกว่านี้ นางคงไม่ตาย "
องค์คเฆศวรตรัสตอบเสียงเบาด้วยความเจ็บปวด ในพระทัยนึกสงสัยว่าเหตุใดนาคราชตนนี้ถึงรู้เรื่องราวของชายาตนได้หรือมีครุฑตนใดทรยศ ในโลกนี้นอกจากชาวครุฑที่วิมานฉิมพลีแล้ว ผู้ที่เคยเห็นชายาของตนล้วนแต่ตายกันไปหมดแล้ว เหตุใดนาคราชตนนี้ถึงได้รู้เรื่องนี้ได้
"เจ้าครุฑโง่ "
"หากมิใช่ว่า ข้าติดค้างหนี้บุญคุณเจ้าที่ได้ช่วยเหลือโอรสของข้า ข้ามิยอมให้เจ้ามาหยามเกียรติข้าเช่นนี้แน่"
" หึ เจ้ากล้าทำร้ายผู้ที่มีใบหน้าเหมือนชายาเจ้าอย่างนั้นหรือ"
องค์ฆเคศวรเบิกพระเนตรกว้างแล้วมีพระพักตร์เกรี้ยวกราด
"ด้วยเหตุนี้เจ้าจึงแสร้งเนรมิตใบหน้าเพื่อลวงข้าใช่หรือไม่ เล่ห์กลของเจ้าลวงข้ามิได้หรอก"
องค์ศศิศทอดพระเนตรราชาครุฑแล้วนึกฉงนในพระทัย เหตุใดคราที่พระองค์เป็นพระราชธิดาลัญยาวดีถึงไปยอมเป็นชายาครุฑงี่เง่าโง่เขลาตนนี้ได้
"ข้ามีใบหน้าเช่นนั้มาตั้งแต่จุติเมื่อพันกว่าปีก่อนแล้ว หากเจ้ามิเชื่อลองไปทูลฯถามพระแม่อุมาเทวีผู้ประทานพรกำเนิดข้าได้" องค์ศศิศทอดพระเนตรท่าทีของราชาครุฑแล้วก็นึกหวั่นพระทัยกลัวฆเคศวรจะล่วงรู้ความลับที่พระองค์ปิดซ่อนไว้และอาจจะเข้ามาขัดขวางการแก้แค้น
ขณะที่องค์ฆเคศวรนิ่งไปชั่วครู่ ไม่ว่ากระไร แต่ชำเลืองดูท่าทีของนาคราชหนุ่มเพื่อประเมินท่าที เพราะราชาครุฑเองก็เคยได้ยินเรื่องราวพรกำเนิดของนาคราชหนุ่มผู้ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นนาคราชที่งดงามที่สุดในสามโลก แต่มิเคยสนพระทัยไยดีเรื่องราวของเผ่าศัตรูเท่าใดนัก
ทันใดนั้นฆเคศวรก็คว้าศศิศเข้าไปจุมพิตอย่างดูดดื่ม นานจนศศิศแทบขาดอากาศถึงได้ยอมปล่อยแล้วก็ยังคว้าพระกรของศศิศมากุมไว้
"ปล่อย"
"ไม่ปล่อย พี่ไม่มีวันปล่อยเจ้าไปจากพี่อีกแล้ว"
"น้องหญิง ในที่สุดพี่ก็หาเจ้าพบ ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมาพี่เฝ้าตามหาดวงจิตของเจ้าบนโลกมนุษย์จนลืมตามหาเจ้าที่เมืองบาดาลแห่งนี้"
"เจ้าเพ้อเจ้ออะไรกัน ข้ามิใช่ชายาของเจ้า ข้าเป็นนาคราช นามของข้าคือ ศศิศมหานาคราช ข้าถือกำเนิดจากบงกชมณีหยาดตามพรของพระแม่เจ้าอุมาเทวีที่ทรงประทานพรให้เสด็จพ่อของข้า ข้าจะเป็นมนุษย์ได้อย่างไรเล่า เจ้าปล่อยมือข้าได้แล้ว"
ศศิศมหานาคราชตรัสตอบเสียงเบา พระองค์เองเคยไปชดใช้กรรมในโลกมนุษย์และมิใช่เรื่องแปลก หากพระองค์จะเป็นพระราชธิดาลัญยาวดี เพราะพระนางสิ้นพระชนม์ด้วยมนต์ดำซึ่งสอดคล้องตามคำสาปที่พระองค์ได้รับ
พระองค์จะต้องแก้แค้น!
แต่เรื่องนี้จะให้องค์ฆเคศวรรับรู้มิได้เพราะผู้ที่ลงมือคงไม่พ้นเป็นผู้ที่ใกล้ชิดครุฑราชอย่างแน่นอน
"ตอนที่วาโยบอกพี่ พี่ยังคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ แต่เมื่อครู่พี่สัมผัสได้ถึงดวงจิตของเจ้า แม้มันจะเบาบางเหลือเกิน น้องหญิง ต่อให้เจ้าจะอยู่ในร่างไหน เจ้าก็คือดวงหทัยของพี่"
หลังจากตรัสจบ องค์ฆเคศวรก็เข้าอุ้มศศิศที่ยังงุนงงขึ้นแนบพระอุระก่อนจะกลับร่างเป็นพญาครุฑแล้วโผบินสู่ท้องฟ้า
"ปล่อยข้าลงบัดเดี๋ยวนี้"
"พี่จะพาเจ้าไปหาผู้หนึ่ง"
"ผู้ใดกัน"
"ผู้ที่คอยดูแลเจ้าตอนที่เจ้าอยู่ที่วิมานฉิมพลี"
"ข้าบอกเจ้ากี่ครั้งแล้ว ข้ามิใช่ชายาของเจ้า ข้ายังมิเคยไปวิมานฉิมพลีของพวกเจ้าเลยสักครั้ง"
"น้องหญิง เจ้าจะจำอดีตชาติไม่ได้ พี่ก็ไม่ว่า แต่เจ้าจะใจร้ายใจดำกับลูกกับสวามีเยี่ยงพี่ได้ลงคอเชียวรึ" สองพระกรประสานกันแน่นรอคอยคำตอบ แต่แล้วคำตอบของศศิศก็ทำให้ราชาครุฑพระพักตร์ซีดเผือด
"เจ้ามิใช่สวามีของข้า"
ความรักระหว่างพวกเขามันจบสิ้นไปแล้ว แม้ลึกๆแล้วพระองค์จะเริ่มสงสารราชาครุฑที่ต้องสูญเสียชายาอันเป็นที่รักไป ต้องรอคอยการถือกำเนิดของโอรสพระองค์เดียวกว่าร้อยปี แต่ลัญยาวดีตายไปแล้วที่ยืนอยู่นี่คือ 'ศศิศมหานาคราช'
"แต่เจ้าคือชายาของพี่"
"....."
เมื่อพญาครุฑพานาคราชหนุ่มไปยังวิมานฉิมพลีก็บินตรงไปยังตำหนักแห่งหนึ่ง องค์ฆเคศวรพาพระองค์เสด็จยังด้านในตำหนัก
องค์ศศิศกำลังจะตรัสโต้เถียง แต่สายพระเนตรกลับทอดพระเนตรวิมานสีขาวที่ประดับประดาไปด้วยผ้าม่านสีน้ำทะเล
"ตำหนักเบญจมาศ"
ภาพตำหนักและของประดับทุกอย่างเหมือนในความฝันไม่มีผิดเพี้ยน ทุกสิ่งอย่างเป็นของที่เกี่ยวกับทะเลแสดงถึงรสนิยมของเจ้าของตำหนักว่า ชื่นชอบทะเลเป็นอย่างมาก
ภายในห้องบรรทมประดับประดาไปด้วยม่านสีฟ้าและเปลือกหอย ศศิศเอื้อมพระกรไปยังข้างแท่นบรรทม มีสมุดเล่มน้อยเล่มสีฟ้าวางอยู่
องค์ศศิศรู้ได้ทันทีว่า นี่คือตำหนักที่ประทับของพระชายาลัญยาวดี เพราะพระองค์เคยสุบินถึงตำหนักแห่งนี้
"พระธิดา" หญิงสาวในชุดนางกำนัลของชาวครุฑโผเข้ามากอดนาคราชหนุ่มทันที
"จำปา ? แล้วหิมาลายาล่ะ "
พระองค์ตรัสชื่อสตรีในฝันที่ใบหน้าเหมือนคนตรงหน้ามิผิดเพี้ยน พระองค์รู้สึกคุ้นเคยราวกับรู้จักกันมานานแสนนาน
"หม่อมฉันรอคอยพระธิดากลับมานานแสนนานแล้ว ในที่สุดพระองค์ก็กลับมา ฮื่อๆ หม่อมฉันคิดถึงพระองค์เหลือเกิน"
"ข้า... เจ้าจำคนผิดแล้ว ข้ามิใช่พระราชธิดาลัญยาวดีที่เจ้ารู้จักหรอก" พระองค์เบือนพระพักตร์หนีเมื่อทอดพระเนตรสตรีตรงหน้าร่ำไห้สะอึกสะอื้น
องค์ฆเคศวรเพียงแย้มพระโอษฐ์กว้างทันที ราชาครุฑคว้าพระกรศศิศมาจับไว้
"ปล่อยมือข้า!"
"พี่กลัวเจ้าหลง"
องค์ฆเคศวรกระชับพระกรที่จับพระองค์ไว้แน่น
"พี่? ข้ามิเคยจำได้ว่า มีพี่เป็นครุฑ"
"พี่มิใช่พี่ของเจ้า แต่พี่คือสวามีของเจ้า"
"ข้ามิใช่ชายาของเจ้า"
"น้องหญิง หากเจ้ามิใช่ชายาของพี่ ไยเจ้าถึงจำจำปาได้ และเจ้ารู้ได้เยี่ยงไรเล่าว่า ชายาของพี่นามว่า ลัญยาวดี"
" ข้า คือข้า...ข้าได้ยินมาน่ะ"
"นอกจากคนสนิทในตำหนักของวิมานฉิมพลีแล้ว ไม่มีผู้ใดรู้เรื่องชายาของพี่เลย และหิมาลายาตั้งแต่เล็กจนโตก็มิได้ออกจากวิมานฉิมพลีเลยสักครั้ง เจ้าจะไปรู้จักนางได้เยี่ยงไร เว้นเสียแต่ว่าเจ้าจะเคยมายังวิมานฉิมพลีของพี่ "
"ข้าไม่รู้ ข้าไม่รู้อะไรทั้งนั้น ข้ารู้แต่ข้าเกลียดครุฑเยี่ยงเจ้าที่สุด"
"น้องหญิง แต่พี่รักเจ้าที่สุด แม้ตอนนี้เจ้าจะลืมพี่ไป แต่พี่สัญญาว่า พี่จะดูแลปกป้องเจ้ากับลูกอย่างดีที่สุด"
องค์ศศิศย้อนให้ว่า "เจ้ามีสิทธิ์อันใด อย่าลืมว่าเจ้าน่ะดูแลตัวเองยังไม่ได้เลย ข้าได้ยินว่า เพียงรับมือฝูงอสูรปักษา เจ้าก็บาดเจ็บปางตายแล้วมิใช่หรือ "
"มิใช่ว่าพี่สู้พวกมันมิได้ แต่ครั้งนั้นหากพี่ไม่แกล้งเจ็บ เจ้าก็คงมิได้สนใจไยดีพี่" องค์ฆเคศวรหลบพระเนตรตรัสตอบปฏิเสธไม่เต็มเสียง
"ข้ามินึกเลยว่า ครุฑเยี่ยงเจ้าจะมีเล่ห์กลร้ายกาจเช่นนี้"
"น้องหญิง พี่เพียงแต่มิรู้วิธีเกี้ยวพาราณสีเจ้าเท่านั้น หาได้มีเจตนาหลอกลวงเจ้าเลย พี่เพียงแต่ รักเจ้าตั้งแต่แรกพบจนมิอาจจะหักห้ามความรู้สึกได้จึงได้ทำเช่นนั้น"
"นั่นมันก็เรื่องของเจ้ามิได้เกี่ยวกับข้า" องค์ศศิศตรัสย้อนให้
"เกี่ยวสิ วาโยก็เป็นลูกของเรา เจ้าจะใจร้ายทอดทิ้งเขาได้อย่างนั้นหรือ"
"ข้า..ข้าเป็นพญานาคจะมีลูกเป็นพญาครุฑได้อย่างไร ที่ข้ายอมเป็นแม่เขาก็เพราะสงสาร กำพร้าแม่แล้วยังมีครุฑโง่เยี่ยงเจ้าเป็นพ่ออีก แล้วไม่ต้องมาถามอะไรข้าอีกนะ ข้ารำคาญ" ท่าทีแสร้งหงุดหงิดไม่พอพระทัยขององค์ศศิศทำให้องค์ฆเคศวรพอจะคาดเดาได้
" มีผู้ใดเคยบอกเจ้าหรือไม่ว่าเจ้าน่ะ โกหกใครมิแนบเนียนเลย"องค์ฆเคศวรตรัสเสียงระรื่น
"ข้า... ช่างเถอะ เอาเป็นว่า เจ้าหยุดเรียกข้าว่าน้องหญิงเสียที ข้าเป็นบุรุษหาใช่สตรีไม่"
"ถ้าเช่นนั้น ข้าจะเรียกเจ้าว่า 'ศศิศ' พระจันทร์ในหทัยข้า" ราชาครุฑตรัสเสียงหวาน ขณะที่ศศิศเริ่มรู้สึกพระทัยเต้น รู้สึกเขินอายและหมั่นไส้ในเพลาเดียวกัน
#########
พอมีเวลาปุ๊บต้องรีบมาต่อเลยค่ะ เพราะเวลายิ่งมีน้อยๆ แต่พอรู้ว่ามีคนรออ่านยังไงก็มาค่ะ ตอนหน้าศศิศมาแก้แค้นและสืบหาผู้ที่ทำร้ายทุกตนค่ะ ฝากติดตามด้วยนะคะ
ขอกำลังใจสักหน่อย เม้นต์สักนิด ให้มีแรงมาต่อนะคะ สัปดาห์นี้เศร้าเหลือเกิน