Part 13# Tawan ความจริงที่ไม่มีวันได้รู้
“อื้อ!!!” ผมร้องประท้วงในลำคอด้วยความตกใจ พร้อมกับออกแรงดิ้นไปมาอย่างสุดชีวิต เพราะไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะมีใครมาแอบซุ่มอยู่แล้วจับตัวผมเอาไว้ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเขาจะแค่ทำร้ายหรือจะฆ่าผมให้ตายกันแน่
ตอนนี้ผมกลัวมาก ร่างกายของผมสั่นและน้ำตาไหลพรากอย่างห้ามไม่อยู่ เพราะผมคิดว่าวันนี้อาจเป็นวันสุดท้ายที่ผมจะมีชีวิตอยู่ก็ได้
แต่ถึงจะคิดอย่างนั้น...
ผู้ชายที่ล็อกตัวและปิดปากผมเอาไว้ กลับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ผมจำได้ขึ้นใจอย่างไม่มีวันลืม แม้ว่าผมจะไม่ได้เห็นหน้าและได้ยินเสียงเขามาเป็นเดือนแล้วก็ตาม
“แกหยุดดิ้นสักทีได้มั้ย ฉันไม่ได้จะมาทำร้ายแกสักหน่อยไอ้ลูกบ้า” เท่านั้นแหละร่างกายของผมก็ถึงกับชะงักไปทันที เขาที่เห็นอย่างนั้นเลยปล่อยแขนและมือออกจากตัวผม
“คุณพ่อ!” ผมพูดอย่างดีใจแล้วรีบหันหลังกลับไปสวมกอดท่านเอาไว้ ผมน้ำตาไหลพรากด้วยความคิดถึงสุดหัวใจ จนลืมสังเกตสีหน้าของท่านว่าเป็นแบบไหน รวมทั้งสรรพนามที่ใช้เรียกแทนตัวเองกับผมก็เปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน
“คุณพ่อมาที่นี่ได้ยังไง แล้วก่อนหน้านี้ไปอยู่ไหนมา คุณพ่อรู้มั้ยว่าผมคิดถึงแล้วก็เป็นห่วง...”
“โอ๊ย! พอๆๆ แกไม่ต้องถามเซ้าซี้แล้วก็สาธยายความรู้สึกหรอกฉันไม่อยากฟัง” คุณพ่อพูดขัดขึ้นก่อนที่ผมจะพูดจบประโยค จากนั้นก็ดันตัวผมออกไปโดยที่มีท่าทีรำคาญ
ผมคิดว่าคุณพ่ออาจจะเหนื่อยเลยไม่อยากให้ผมซักถามแล้วก็เซ้าซี้ล่ะมั้ง แต่ถึงจะคิดอย่างนั้นท่านกลับพูดขึ้นมาว่า...
“ที่ฉันมาวันนี้คือฉันจะมาขอเงินจากแก พรุ่งนี้เจ้าหนี้จะมาเอาแล้ว ถ้าฉันยังไม่มีให้พวกมันได้ฆ่าฉันตายแน่ๆ” สิ่งที่ได้ยินทำเอาผมรู้สึกช็อกจนร่างกายแข็งทื่อ ที่คุณพ่อมาหาผมไม่ใช่ว่าคิดถึงแต่เป็นเพราะต้องการเงินอย่างนั้นเองหรอเนี่ย
รู้สึกจุกจนพูดอะไรแทบไม่ออกเลย...
“ตอนนี้แกมีเงินอยู่เท่าไหร่” คุณพ่อพูดอย่างเร่งเร้า ผมจึงได้หยิบกระเป๋าตังออกมาแล้วเปิดดูเงินที่อยู่ข้างใน
“มีประมาณ 5 พันครับคุณพ่อ” ปกติผมไม่ได้พกเงินติดตัวมากขนาดนี้หรอก แต่ว่าผมกดมาไว้เผื่อใช้จ่ายตั้งแต่วันที่ตั้งใจจะลาออกจากบ้านแล้ว และถึงแม้ผมจะยังทำงานต่อที่นี่ แต่ผมก็ยังไม่มีเวลาเอาเงินไปฝากธนาคารเลย
“แล้วเงินในบัญชีล่ะ?”
“ไม่มีแล้วครับ ทั้งตัวผมมีแค่นี้ แต่ผมยังไม่จำเป็นต้องใช้อะไร เพราะงั้นคุณพ่อเอาไปทั้งหมดเลยก็ได้ครับ” ผมหยิบเงินออกจากกระเป๋าตังให้ท่านอย่างไม่คิดเสียดาย เพราะผมเป็นห่วงท่านไม่อยากให้เจ้าหนี้มาทำร้ายหรือว่าฆ่าแกง แต่ท่านก็เบ้ปากแล้วดันมือของผมที่ถือเงินอยู่ออกไปอย่างไม่เห็นค่า
“เงินแค่นี้มันจะไปพออะไร ที่ฉันต้องการคือ 3 หมื่นไม่ใช่ 5 พัน!”
“หา! เงินมากขนาดนั้นผมไม่มีหรอกครับคุณพ่อ!” ผมรู้สึกตกใจมากที่คุณพ่อมีหนี้ขนาดนี้ จริงอยู่ว่าเมื่อก่อนจะมีคนจากร้านเหล้าหรือนักพนันที่ท่านติดหนี้ไว้มาทวง แต่ยอดมันก็แค่หลักร้อยหรือพันต้นๆ ไม่เคยถึงหมื่นแบบนี้เลย
“ไม่รู้ล่ะ ถึงไม่มีแกก็ต้องไปหาหยิบยืมมาให้ฉัน ไม่อย่างนั้นพวกมันได้ฆ่าฉันทิ้งแน่ๆ หรือว่าแกอยากให้ฉันตาย!”
“ผมจะไปอยากให้คุณพ่อตายได้ยังไงกันครับ แต่คุณพ่อมาบอกกะทันหันแบบนี้ผมจะไปหาเงินทันได้ยังไง เพื่อนที่มหา’ลัยของผมก็ใช่ว่าจะมีเงินกันขนาดนั้น แถมผมยังทำแต่งานเลยแทบไม่สนิทกับใครอีกต่างหาก”
“ถ้าเพื่อนไม่มีงั้นแกก็ยืมเจ้านายแกสิ! เออใช่ จะว่าไปฉันก็ว่าจะถามแกตั้งแต่มาแล้ว ตอนนี้แกอยู่บ้านหลังนี้งั้นหรอ?” คุณพ่อมองไปยังบ้านที่ผมอาศัยอยู่ ซึ่งนั่นมันก็ทำให้ผมถึงกับเหงื่อตกและลำบากใจที่จะตอบคำถาม
“เอ่อ...คือ...ใช่ครับ ผมอาศัยอยู่ที่นี่ ผมทำงานเป็นแม่บ้านน่ะครับ” พอได้ยินแบบนี้คุณพ่อก็ตาเป็นประกายแล้วยิ้มกว้างออกมาทันที
“โอ้โห! บ้านหลังใหญ่แถมยังหรูขนาดนี้ แสดงว่าเจ้านายของแกก็ต้องรวยมากเลยน่ะสิ” คุณพ่อเดินเข้ามาใกล้แล้วใช้สองมือจับไหล่ของผมเอาไว้
“เรื่องนั้น...ผมไม่รู้หรอกครับคุณพ่อ” ผมก้มหน้าหลบตา ซึ่งนั่นมันก็ทำให้ท่านรู้สึกโมโหจนบีบไหล่ของผมแน่น
“แกจะไม่รู้ได้ยังไง! อย่ามาโกหกฉันนะ! หรือแกเห็นว่าฉันมีเขางอกออกมาที่หัว!”
“ไม่ใช่อย่างนั้นนะครับคุณพ่อ คือผมพึ่งทำงานที่นี่ได้แค่เดือนกว่าๆ แล้วผมก็ไม่กล้าออกปากขอยืมเงินเจ้านายมาให้คุณพ่อด้วยครับ”
ผมจะกล้าบากหน้าไปขอยืมเงินคุณภูผาได้ยังไง คุณภูผาคงคิดว่าผมตั้งใจปอกลอกแน่ๆ เพราะเราสองคนพึ่งคบกันได้แค่ 2 วันเท่านั้นเอง
แต่ถึงจะไม่ได้คบกัน ในฐานะลูกจ้างผมก็ไม่กล้าไปขอยืมเงินคุณภูผาอยู่ดี เพราะผมกินฟรีอยู่ฟรีโดยที่รับเงินเดือนเต็มๆ มันก็มากเกินพอแล้ว
“แกไม่กล้าพูดเรื่องขอยืมเงินงั้นหรอ?” คุณพ่อทวนคำพูดของผม น้ำเสียงของท่านดูปกติ ส่วนสีหน้าก็ไม่ได้มีท่าทีโมโหผม เลยคิดว่าท่านน่าจะเข้าใจความลำบากใจของผม
“ครับ เพราะงั้นคุณพ่อช่วยไปเจรจากับเจ้าหนี้ได้มั้ย บอกว่าขอผลัดไปก่อนแล้วสิ้นเดือนจะจ่ายคืนให้นะครับ ซึ่งมันอาจจะไม่ทั้งหมด แต่ผมสัญญาว่าจะเอาให้คุณพ่อมากที่สุดเลยครับ” ผมพยายามต่อรอง แน่นอนว่าผมตั้งใจจะทำตามที่พูดไม่ได้โกหกอยู่แล้ว ซึ่งผมก็คิดว่าคุณพ่อคงจะเข้าใจและเห็นด้วย แต่ว่ามันก็ไม่ได้เป็นอย่างที่ผมคิดเลย
“แกจะบ้ารึไง! จะโลกสวยไปถึงไหนหา! เจ้าหนี้มันคงจะฟังที่ฉันพล่ามหรอก! แค่รู้ว่าฉันไม่มีเงินมันก็คงเอาลูกตะกั่วยัดปากฉันแล้ว!”
“ถะ...ถ้างั้นเดี๋ยวผมจะเป็นคนไปคุยให้เองก็ได้ ผมจะให้บัตรประชาชนหรือเอกสารทุกอย่างเพื่อยืนยันว่าผมจะใช้หนี้ให้จริงๆ”
“โว้ยยยยยยยยย! นี่แกไม่ได้เข้าใจอะไรเลยใช่มั้ย! พวกมันไม่ได้ต้องการอะไรนอกจากเงิน 3 หมื่นเข้าใจมั้ยไอ้ลูกโง่!”
“โธ่ คุณพ่อครับ...” ผมพูดอย่างสิ้นหวัง ตอนนี้คุณพ่อกับผมความคิดไม่ตรงกันจนพูดจากันไม่รู้เรื่องแล้ว ผมไม่รู้จริงๆ ว่าปัญหาหนี้สินก้อนนี้มันจะจบลงยังไง
ซึ่งขณะที่ผมกำลังกลุ้มใจจนสมองแทบจะระเบิดนั่นเอง...
“ตะวันนั่นใคร แล้วเอะอะโวยวายอะไรกันจนเสียงดังเข้าไปในบ้าน” คุณภูผาที่กำลังเดินออกมาจากบ้านพูดขึ้น จากนั้นก็ดึงตัวผมไปอยู่ข้างๆ แล้วจ้องไปที่คุณพ่อตาขวาง
“คุณเป็นใคร มาทำอะไรที่หน้าบ้านผม แล้วมายุ่งกับแฟนผมทำไม” ไม่พูดเปล่าคุณภูผายังใช้มือโอบที่ไหล่ของผมเอาไว้เพื่อปกป้องและแสดงความเป็นเจ้าของ คุณพ่อที่เห็นอย่างนั้นจากที่หน้าบึ้งอยู่ก็ยิ้มที่มุมปากออกมาทันที
“หืม...แฟน?”
“ใช่ คุณมีปัญหารึไง”
“แน่นอนมันก็ต้องมีอยู่แล้ว ฉันไม่คิดจะยกลูกชายให้แกฟรีๆ หรอกนะ” เท่านั้นแหละผมก็ถึงกับเหวอจนไปไม่เป็น ทำได้แค่เบิกตากว้างและอ้าปากค้างเท่านั้นเอง
“ตะวันนั่นพ่อของนายหรอ” คุณภูผาหันหน้ามาถาม ผมที่พอจะตั้งสติได้แล้วจึงพยักหน้าลงเพื่อยืนยัน
“ครับ” ผมไม่ได้ลงรายละเอียดว่าท่านเป็นพ่อเลี้ยง เพราะผมรักและเคารพท่านราวกับว่าเป็นพ่อแท้ๆ แล้วผมก็กลัวว่าถ้าบอกเรื่องนี้ไปคุณภูผาอาจจะเล่นงานคุณพ่อเอา เพราะยังไงซะท่านก็ไม่ได้มีสายเลือดเดียวกันกับผม
“แล้วคุณมาที่นี่มีธุระอะไร”
“ฉันจะมาขอเงินตะวัน แต่ในเมื่อมันไม่มีแกก็เอามาให้ฉันแทนแล้วกันถือซะว่าเป็นค่าตัว ฉันเรียกไม่เยอะหรอกแค่แสนเดียวพอ”
“คุณพ่อ!” ตอนนี้ผมทั้งโมโหและรู้สึกอับอายมากจนแทบแทรกแผ่นดินหนี ผมไม่คิดเลยจริงๆ ว่าคุณพ่อจะกล้าพูดแบบนั้นกับคุณภูผา แถมยังเรียกเงินมากกว่าเดิมโดยอ้างว่าเป็นค่าตัวของผมอีกต่างหาก
เงิน 1 แสนบาทบางคนอาจจะคิดว่าน้อย แต่สำหรับผมแล้วมันมีค่ามาก เพราะผมสามารถอยู่ได้ทั้งปี หรือถ้าเอาไปจ่ายค่าเทอมก็ได้ตั้งหลายเทอม แล้วผมก็ไม่คิดว่าคุณภูผาจำเป็นต้องมาเสียเงินกับเรื่องแบบนี้ด้วย
“คุณภูผาอย่าไปใส่ใจที่คุณพ่อพูดเลยนะครับ ท่านคงจะเมาเลยล้อเล่นไปอย่างนั้นเอง เพราะงั้นผมว่าตอนนี้คุณภูผาเข้าบ้านไปก่อนเถอะนะครับ ผมขอคุยอะไรกับคุณพ่อให้รู้เรื่องแล้วจะตามเข้าไป” ผมพยายามหว่านล้อมและดันคุณภูผาให้เข้าไปในบ้าน แต่คุณภูผาก็ไม่ขยับแถมยังจ้องไปที่หน้าของคุณพ่ออย่างไม่วางตา ซึ่งคุณพ่อก็เช่นกัน
จนกระทั่งผ่านไปสักพักคุณภูผาก็พูดขึ้นเพื่อทำลายความเงียบ
“คุณรออยู่ตรงนี้ก่อนแล้วกันเดี๋ยวผมมา” คุณภูผาพูดกับคุณพ่อ จากนั้นก็หมุนตัวเดินกลับเข้าไปในบ้านโดยไม่ได้พูดอะไรกับผมเลย
ตอนนี้ผมรู้สึกงงและสับสนมาก ผมอยากถามคุณภูผาว่าจะไปไหน ไปทำอะไร แต่ผมก็ไม่อยากทิ้งคุณพ่อเอาไว้คนเดียวเลยตัดสินใจยืนอยู่กับท่านตรงนี้
ทุกวินาทีที่กำลังดำเนินไปมันช่างแสนยาวนานสำหรับผม ในสมองของผมได้จำลองเหตุการณ์ขึ้นมามากมาย โดยทั้งหมดเป็นเรื่องเลวร้ายต่างกันก็ที่มากน้อยเท่านั้น ซึ่งนั่นมันก็ทำให้ผมวิตกกังวลเพราะเป็นห่วงคุณพ่อ ผมจึงตั้งใจว่าจะพยายามเกลี้ยกล่อมให้ท่านกลับไป แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไรคุณภูผาก็เดินออกมาจากบ้านซะแล้ว
“คุณภูผาอย่าทำอะไรคุณพ่อเลยนะครับ คือท่าน...” ผมตั้งใจจะพูดแก้ตัวให้คุณพ่อ แต่คุณภูผาก็วางมือลงที่ศีรษะของผมแล้วลูบเบาๆ อย่างอ่อนโยน
“วางใจเถอะ ฉันไม่ได้คิดจะทำอะไรพ่อของนายหรอก ฉันแค่จะพูดอะไรด้วยนิดหน่อยเท่านั้นแหละ” คุณภูผายิ้มอย่างอ่อนโยน พอได้ยินแบบนี้ผมจึงรู้สึกโล่งใจราวกับได้ยกภูเขาอันหนักอึ้งออกไปจากอก เพราะงั้นผมจึงหลีกทางให้คุณภูผาสามารถคุยกับคุณพ่อได้อย่างสะดวก
“แกมีอะไรจะพูดกับฉัน”
“เรื่องค่าตัวของตะวัน ผมว่าคุณเรียกน้อยไปหน่อยนะ”
“หา?” คุณพ่อทำหน้างง อย่างว่าแต่ท่านเลยเพราะตอนนี้ผมก็งงไปด้วยเหมือนกัน
“สำหรับผมตะวันมีค่ามากกว่านั้น ไม่ว่าเงินเท่าไหร่ก็ไม่สามารถประเมินค่าได้ แต่ไหนๆ คุณก็เรียกเงินมาแล้ว เพราะงั้นผมก็จะให้ตามคำขอ แต่อย่ามองว่ามันเป็นค่าตัว ให้เรียกว่าค่าสินสอดจะดีกว่า” คุณภูผาพูดจบก็หยิบเช็คออกมาจากกระเป๋าเสื้อแล้วยื่นส่งให้คุณพ่อ ซึ่งนั่นมันก็ทำให้ผมถึงกับเหวอเพราะไม่คิดว่าคุณภูผาจะให้เงินคุณพ่อจริงๆ แต่นั่นมันก็ไม่ได้ทำให้ผมเหวอมากกว่าสิ่งที่คุณพ่อพูดออกมา
“เฮ้ย!!! เงินหนึ่งล้าน!!!”
“ว่าไงนะครับคุณพ่อ!” ตอนนี้ผมกับคุณพ่อเบิกตากว้างด้วยความตกใจเหมือนกัน แต่จะต่างกันตรงที่หลังจากนั้นพ่อของผมก็น้ำตาคลอพลางโห่ร้องแล้วหัวเราะลั่น ส่วนผมเมื่อตั้งสติได้ก็หันไปหาคุณภูผา จากนั้นก็เอ่ยถามออกมาด้วยความไม่เข้าใจ
“ทำไม...เงินมากมายขนาดนั้น...” บอกตามตรงเลยว่าตอนนี้ผมอึ้งจนสมองแทบไม่ทำงาน ผมไม่สามารถเรียบเรียงคำพูดและคำถามที่อยู่ในหัวเป็นล้านออกมาได้ แต่ถึงอย่างนั้นคุณภูผาก็ดูเหมือนว่าจะเข้าใจความรู้สึกของผม
“ฉันบอกแล้วไงว่าสำหรับนายเงินเท่าไหร่ก็ไม่สามารถประเมินค่าได้ เพราะงั้นเงิน 1 ล้านมันยังถูกเกินไปเลยด้วยซ้ำ”
“แต่คุณภูผาครับ ผมไม่ได้มีค่ามากมายขนาดนั้น ผมมันก็แค่...”
“ชู่วววว เงียบเถอะ ฉันตัดสินใจให้เงินพ่อนายไปแล้ว ฉันรู้ว่านายไม่พอใจเพราะงั้นฉันเลยบอกไงว่าให้ถือเป็นค่าสินสอด”
“คุณภูผา...” ตอนนี้ผมพูดอะไรไม่ออกจริงๆ เพราะผมทั้งจุกแต่ก็รู้สึกซึ้งในเวลาเดียวกัน คุณภูผาเลยยิ้มให้แล้วลูบที่ศีรษะของผม 2 – 3 ครั้ง จากนั้นก็เบี่ยงตัวเดินตรงไปหาคุณพ่อของผมที่ยังคงโห่ร้องด้วยความดีใจอยู่เลย
“เงินนั่นถึงผมจะบอกว่าเป็นค่าสินสอดของตะวัน แต่ผมก็มีข้อแม้ไม่ได้ให้คุณฟรีๆ หรอกนะ”
“จะมีข้อแม้หรืออะไรก็รีบๆ ว่ามา หวังว่าแกคงไม่เล่นตุกติกจะเอาเงินคืนนะ ยังไงฉันก็ไม่ให้” คุณพ่อพูดอย่างหวาดระแวงแล้วรีบพับเช็คใส่ในกระเป๋าเสื้อ
“ผมไม่ได้จะเล่นตุกติกแล้วก็จะเอาเงินคืนด้วย ผมแค่อยากให้คุณรับปากว่า ถ้าจะรับเงินนั่นคุณต้องออกไปจากชีวิตของตะวัน แล้วก็ห้ามกลับมายุ่งวุ่นวายหรือขอเงินอีกเด็ดขาด ถ้าคุณยังมาให้ตะวันเห็นหน้า ผมจะเรียกตำรวจลากคุณเข้าคุกแน่นอน แล้วก็อย่าคิดล่ะว่าผมจะใจอ่อน เพราะผมไม่ได้เป็นคนใจดีเหมือนกับตะวัน” สิ่งที่คุณภูผาพูดทำเอาผมถึงกับช็อก แต่ที่ช็อกยิ่งกว่าก็คือคำตอบจากคุณพ่อที่พูดออกมาอย่างไม่มีลังเลเลยแม้แต่น้อย
“ได้ ฉันรับปากว่าจะไม่มาเจอหน้ามันอีก แค่นี้ใช่มั้ยที่แกจะขอ”
“ใช่ ผมไม่มีอะไรจะพูดแล้ว เพราะงั้นคุณก็กลับไปซะ แล้วอย่าลืมล่ะว่าห้ามกลับมาให้ตะวันเห็นหน้าอีกเด็ดขาด” คุณภูผาพูดจบก็หันกลับมาแล้วจะจูงมือผมเข้าไปในบ้าน แต่ว่าผมก็ขืนตัวไม่ไปไหน แล้วเรียกคุณพ่อที่กำลังเดินจากไปเอาไว้ซะก่อน
“เดี๋ยวครับคุณพ่อ!”
“มีอะไร” คุณพ่อหยุดชะงักแล้วหันกลับมามองผมด้วยความรำคาญ สายตานั้นมันทำให้ผมรู้สึกกลัวจนแทบไม่กล้าถามในสิ่งที่คิด แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังอยากรู้คำตอบอยู่ดีจนกลั้นใจถามออกไป
“คุณพ่อเคยรักผมบ้างมั้ยครับ เคยเห็นผมเป็นลูกจริงๆ บ้างรึเปล่า” ส่วนผมนั้นแน่นอนว่าผมรักคุณพ่อมาก แล้วก็คิดเสมอว่าท่านคือคุณพ่อแท้ๆ แม้ว่าจะไม่ได้มีสายเลือดเดียวกัน แต่ถึงอย่างนั้นท่านกลับตอบผมมาว่า...
“หึ! ถามอะไรโง่ๆ ถ้าฉันรักแกฉันจะทำแบบนี้กับแกมั้ยล่ะ แกมันก็แค่ตัวหาเงินให้ฉันใช้เท่านั้นแหละ”
สิ่งที่ได้ยินมันทำให้ผมรู้สึกจุกที่อกราวกับมีอะไรบีบรัดอย่างรุนแรง แถมมันยังเจ็บจนแทบหายใจไม่ออกอีกต่างหาก จนความเจ็บนั้นมันได้กลายเป็นน้ำตาที่ไหลทะลักลงมาอย่างไม่ขาดสาย แต่ถึงอย่างนั้นคุณพ่อก็ไม่สนใจ เพียงแค่ปรายตามามองเท่านั้นแล้วก็เดินจากไปทันที
“ฮึ่ก...ฮือออออออออ” ผมปล่อยโฮออกมาอย่างสุดกลั้น คุณภูผาที่เห็นอย่างนั้นเลยตรงเข้ามากอดปลอบผมเอาไว้
ผมคิดไม่ออกจริงๆ ว่าถ้าตอนนี้ไม่มีคุณภูผาอยู่ข้างกายผมจะเป็นยังไง ผมจะทำใจได้มั้ยที่รู้ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา คุณพ่อเห็นผมเป็นแค่ตัวหาเงินและไม่เคยรักผมเลย...
PhuPha ตอนนี้ผมกำลังกอดปลอบตะวันที่ร้องไห้สะอึกสะอื้นจนตัวสั่นอย่างน่าสงสาร เมื่อรับรู้ว่าพ่อเลี้ยงที่เคารพรักราวกับพ่อแท้ๆ ไม่เคยเห็นตัวเองเป็นลูกเลยแม้แต่น้อย ผมเข้าใจความรู้สึกของตะวันดี เพราะผมก็เคยรู้สึกแบบนั้นกับพ่อและแม่ของตัวเองมาก่อนเหมือนกัน
แต่ถึงอย่างนั้น ครั้งนี้ผมก็เข้าใจและนับถือหัวใจของพ่อตะวันด้วย...
ย้อนกลับไปเมื่อ 2 วันก่อน ผมได้เจอกับพ่อตะวันมาก่อนแล้วที่หัวหิน ตอนนั้นผมกำลังเดินไปที่รถเพื่อจะเอาเสื้อผ้ามาเปลี่ยน แต่ก็เห็นมีคนมาด้อมๆ มองๆ อยู่ใกล้ๆ เลยเดินเข้าไปหา จึงได้รู้ว่าเขาคือพ่อของตะวัน
ผมไม่ค่อยรู้เรื่องครอบครัวของตะวันเท่าไหร่ แต่ก็พอรู้จากพฤกษ์นิดหน่อยว่าแม่ของตะวันเสียชีวิตไปแล้ว เพราะงั้นตะวันจึงต้องอยู่กับพ่อเลี้ยง 2 คนที่ดูเหมือนว่าจะยังทำใจกับเรื่องนี้ไม่ได้ แต่ผมก็ไม่ได้รู้ละเอียดขนาดที่ว่าท่านจะกินแต่เหล้า เอาแต่เล่นพนัน และไม่ทำการทำงาน จนกระทั่งได้ฟังจากปากของท่านเอง
ท่านเล่าด้วยความภาคภูมิใจว่าตะวันเป็นเด็กดีมาก เพราะต้องแบกรับค่าใช้จ่ายทุกอย่างแต่ก็ไม่เคยบ่นหรือตำหนิอะไรท่านเลย มิหนำซ้ำยังดูแลท่านเป็นอย่างดีอีกต่างหาก แต่ท่านก็ไม่เคยเห็นค่าหรือคิดกลับตัวกลับใจได้ จนกระทั่งวันนั้น...
ตะวันยื่นเงินค่าเช่าห้อง 3 เดือนที่ค้างไว้ให้ท่านไปจ่าย ซึ่งท่านก็ตั้งใจจะเอาไปจ่ายจริงๆ แต่ก็ดันถูกคนในอพาร์ทเม้นท์ที่รู้จักขโมยเงินไปซะก่อน ซ้ำร้ายพอจะไปแจ้งความกลับถูกเขาคนนั้นชิงแจ้งตัดหน้า แถมตำรวจยังเชื่อเขาซะด้วยเพราะตัวท่านเองมีประวัติไม่ดี ทำให้ท่านต้องถูกจับเข้าคุกในที่สุด
กว่าความจริงจะปรากฏเวลาก็ผ่านไปนานเกือบเดือน เพราะคนร้ายตัวจริงถูกจับกุมข้อหาชิงทรัพย์ ทำให้ตำรวจเจ้าของคดีต้องรื้อทุกอย่างแล้วสอบสวนใหม่ ซึ่งนั่นมันก็ทำให้ตำรวจคนนั้นรู้สึกผิดมาก จึงได้ไถ่โทษโดยการฝากฝังให้ท่านไปทำงานกับเพื่อนที่อยู่หัวหิน
ท่านที่ไม่กล้ากลับไปสู้หน้าตะวันอยู่แล้ว จึงตั้งใจจะทำงานจนมั่นคงและเก็บเงินสักก้อนก่อนจะไปรับตะวันมาอยู่ด้วยกัน แต่ท่านก็เจอตะวันกับผมเดินเล่นด้วยกันที่หัวหินเข้าซะก่อน
ท่านบอกว่าเจอพวกเราสองคนที่เวเนซีย เพราะท่านทำงานเป็นผู้ช่วยในร้านค้าของที่นั่น จากนั้นจึงได้คอยแอบมองเพราะคิดถึงและเป็นห่วงตะวัน ก่อนที่จะถึงขั้นสะกดรอยตามมาถึงบ้านพักต่างอากาศริมทะเล
แต่ด้วยความที่ไม่กล้าเข้ามาทักและไม่อยากรบกวนตอนมืดค่ำ ท่านจึงได้ตัดใจแล้วกลับมาใหม่ในวันรุ่งขึ้น ซึ่งก็ทำให้ผมได้พบและเข้ามาพูดคุยกับท่านในตอนนี้นั่นเอง
ผมแนะนำตัวอย่างไม่คิดจะปิดบังว่าเป็นคนรักของตะวัน แต่ท่านก็ดูไม่ได้ตกใจคงเพราะน่าจะรู้ตั้งแต่ตอนที่แอบตามดูแล้ว ท่านบอกว่าไม่มีปัญหาหรือคัดค้านอะไรทั้งนั้น เพียงแค่ตะวันมีความสุขท่านก็พึงพอใจและมีความสุขด้วย
“ความจริงผมตั้งใจว่าจะมารับตะวันไปอยู่ด้วยกัน แต่ก็คงไม่ต้องเพราะตะวันมีคุณอยู่ข้างๆ อยู่แล้ว คุณสัญญากับผมได้มั้ยว่าจะรักและดูแลตะวันอย่างดี จะไม่มีวันทำให้ตะวันเสียใจเด็ดขาด” พ่อของตะวันมองเข้ามาที่ดวงตาของผม ซึ่งผมก็ตอบกลับไปอย่างมั่นคงและหนักแน่นโดยไม่ต้องเสียเวลาคิดเลยแม้แต่น้อย
“ครับ ผมสัญญา”
“ขอบใจมาก แต่ถึงคุณไม่สัญญาผมก็เชื่อว่าคุณต้องดูแลตะวันได้ดีแน่นอน รอยยิ้มของตะวันที่เห็นเมื่อวานมันสดใสและออกมาจากใจจริงๆ ซึ่งตั้งแต่แม่ของเขาตายผมก็แทบไม่เคยเห็นมันอีกเลย...” พูดถึงตรงนี้สีหน้าของท่านก็ดูเศร้าหมองลงอย่างเห็นได้ชัด ก่อนที่ท่านจะพูดขึ้นอีกว่า...
“ที่ผ่านมาผมแย่มากที่ทำตัวเป็นภาระตะวัน เอาแต่เข้าบ่อนไม่ก็กินเหล้าหัวราน้ำ แต่ถึงอย่างนั้นตะวันก็ยังดูแลผมเป็นอย่างดี ถ้าเป็นคนอื่นคงหนีไปไม่สนใจแล้วเพราะยังไงผมก็ไม่ใช่พ่อแท้ๆ ตะวันเป็นเด็กดีมากจริงๆ มากซะจนผมละอายใจไม่กล้าที่จะไปสู้หน้าเลย”
“คุณพูดเหมือนว่าจะไม่ไปเจอตะวัน?”
“ใช่ ผมตัดสินใจแล้ว ถ้าตะวันเห็นผมแล้วรู้ว่าผมตั้งใจจะลงหลักปักฐานที่นี่ บางทีตะวันอาจจะตัดสินใจทิ้งคุณแล้วมาอยู่ดูแลผมก็ได้ คุณก็รู้ว่าตะวันเป็นคนที่เลือกความสุขของตัวเองเอาไว้ลำดับสุดท้าย เพราะงั้นผมถึงเลือกตัดใจไม่ไปเจอตะวันจะดีกว่า”
“คุณ...คิดดีแล้วหรอครับ?” ผมรู้สึกทึ่งในความคิดนั้นเพราะมันสุดโต่งเกินไป ไม่ต้องบอกเลยว่ามันยากแค่ไหนที่จะตัดใจได้ถึงขนาดนี้ ทั้งที่มันก็มีตั้งหลายวิธีที่จะทำให้ทุกฝ่ายมีความสุข
“ผมคิดดีแล้ว ถึงคุณจะโน้มน้าวยังไงผมก็ไม่เปลี่ยนใจหรอก แถมผมยังมีเรื่องที่จะขอร้องให้คุณช่วยด้วย”
“เรื่องอะไรครับ”
“ช่วยเล่นละครตบตาตะวันที ผมอยากให้ตะวันเกลียด หรือไม่ก็ผิดหวังจนไม่คิดถึงและตามหาผมอีก ผมอยากให้ตะวันมีความสุขกับปัจจุบันและอนาคตที่มีคุณ คุณพอจะช่วยผมได้มั้ย”
เรื่องที่ถูกขอให้ช่วยมันทำให้ผมตัดสินใจลำบากมากจริงๆ เพราะผมไม่อยากให้ตะวันกับพ่อต้องจากกันทั้งที่ยังรักและห่วงใยกัน ที่สำคัญผมไม่อยากเห็นตะวันต้องเจ็บปวดจนต้องเสียน้ำตา แต่ผมก็เดาว่าถึงผมจะไม่ช่วยท่านก็คงมีวิธีจัดการด้วยตัวเอง และตะวันก็คงจะต้องร้องไห้ด้วยความเสียใจคนเดียวแน่นอน
เพราะงั้น...
“ได้ครับ ผมจะช่วยคุณเล่นละคร แต่ว่าผมมีข้อแม้นิดหน่อยนะครับ” แล้วผมก็กระซิบบอกข้อแม้ที่ว่า ซึ่งท่านก็ดูตกใจเล็กน้อย แต่ก็ยอมรับปากทำตามที่ผมร้องขอ ก่อนที่ท่านคุยนัดแนะเรื่องแผนการ พร้อมวันเวลาที่จะเล่นละครตบตาตะวัน
แล้วหลังจากนั้น เหตุการณ์ก็เกิดขึ้นและดำเนินมาจนถึงตอนนี้...
“ไหนๆ คุณก็เรียกเงินมาแล้ว เพราะงั้นผมก็จะให้ตามคำขอ แต่อย่ามองว่ามันเป็นค่าตัว ให้เรียกว่าค่าสินสอดจะดีกว่า” พูดจบผมก็หยิบเช็คออกมาจากกระเป๋าเสื้อแล้วยื่นส่งให้พ่อตะวัน ซึ่งนั่นมันก็ทำให้ท่านถึงกับงงเล็กน้อย เพราะนี่มันไม่ได้อยู่ในแผนการที่ท่านเตี๊ยมเอาไว้กับผม
ความจริงผมต้องทำทีว่าจะโทรเรียกตำรวจ ท่านที่กลัวเลยรีบหนีไปแต่ก็จะชี้หน้าด่าตะวันทิ้งท้าย พร้อมกับลั่นว่าจะตัดพ่อตัดลูกแล้วไม่ให้ตะวันมาเจอหน้าอีก ดังนั้นเมื่อได้เช็คจากผมท่านเลยมีสีหน้างุนงง ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นตกใจเมื่อเห็นจำนวนเงินที่เขียนเอาไว้ในนั้น
“เฮ้ย!!! เงินหนึ่งล้าน!!!”
“ว่าไงนะครับคุณพ่อ!” ไม่ใช่แค่ท่านแต่ตะวันก็ตกใจเช่นเดียวกัน ผมเลยแอบยิ้มและพยักหน้าให้ท่านรับเช็คจำนวนนั้นไป ก่อนที่ตะวันจะหันมาหาผมด้วยสีหน้าไม่เข้าใจเลยสักนิด
“ทำไม...เงินมากมายขนาดนั้น...”
“ฉันบอกแล้วไงว่าสำหรับนายเงินเท่าไหร่ก็ไม่สามารถประเมินค่าได้ เพราะงั้นเงิน 1 ล้านมันยังถูกเกินไปเลยด้วยซ้ำ” แน่นอนว่าผมคิดอย่างนั้นจริงๆ ตะวันเป็นสิ่งที่มีค่าในชีวิตของผมที่ไม่สามารถประเมินค่าได้ ต่อให้เอาอะไรมาแลกผมก็ไม่ยอม
“แต่คุณภูผาครับ ผมไม่ได้มีค่ามากมายขนาดนั้น ผมมันก็แค่...”
“ชู่วววว เงียบเถอะ ฉันตัดสินใจให้เงินพ่อนายไปแล้ว ฉันรู้ว่านายไม่พอใจเพราะงั้นฉันเลยบอกไงว่าให้ถือเป็นค่าสินสอด” ประโยคนี้ผมตั้งใจพูดกับพ่อของตะวันด้วย เพราะผมรู้ว่าถ้าให้เฉยๆ ท่านคงไม่รับอย่างแน่นอน
“คุณภูผา...” ตะวันพูดอะไรไม่ออก ผมจึงยิ้มให้แล้วลูบที่ศีรษะเล็กๆ 2 – 3 ครั้ง จากนั้นก็เบี่ยงตัวเดินตรงไปหาพ่อของตะวัน ที่กำลังแสดงละครทำเป็นโห่ร้องด้วยความดีใจที่ได้เงินก้อนใหญ่ ก่อนที่เหตุการณ์จะดำเนินต่อไปจนกระทั่งท่านรับปากว่าจะไม่มาเจอหน้าตะวันอีกเป็นครั้งที่สอง
ซึ่งก่อนที่ท่านจะไป...
“เดี๋ยวครับคุณพ่อ!” ตะวันก็เรียกท่านเอาไว้ ท่านจึงหยุดชะงักแล้วหันกลับมามองด้วยความรำคาญ
“มีอะไร”
“คุณพ่อเคยรักผมบ้างมั้ยครับ เคยเห็นผมเป็นลูกจริงๆ บ้างรึเปล่า” ตะวันถามด้วยเสียงสั่นเครือ ผมคิดว่าบางทีตะวันอาจจะพอรู้คำตอบอยู่แล้ว แต่ที่ถามก็คงเพราะคาดหวังว่าท่านจะตอบแบบถนอมน้ำใจ ถึงแม้จะโกหกก็ไม่เป็นไรถ้ามันทำให้รู้สึกดี
แต่แน่นอน ท่านต้องเลือกพูดจาทำร้ายจิตใจจนตะวันร้องไห้ออกมาอยู่แล้ว
“หึ! ถามอะไรโง่ๆ ถ้าฉันรักแกฉันจะทำแบบนี้กับแกมั้ยล่ะ แกมันก็แค่ตัวหาเงินให้ฉันใช้เท่านั้นแหละ” พูดจบท่านก็ปรายตามองไปที่ตะวัน จากนั้นก็หมุนตัวกลับแล้วเดินจากไปอย่างไร้เยื่อใยทันที แต่ถึงอย่างนั้นถ้าสังเกตดีๆ จะพบว่า แววตาของท่านนั้นเศร้าและขมขื่นเหลือเกินที่ต้องโกหกตะวันออกไปแบบนี้
เสียดายจริงๆ ที่ตะวันมองไม่เห็น เพราะภาพทุกอย่างได้ถูกน้ำตาที่พังทลายลงมาบดบังมันเอาไว้จนพร่ามัว...
“ฮึ่ก...ฮือออออออออ” ตะวันร้องไห้ปานจะขาดใจ ทำเอาผมที่เป็นส่วนหนึ่งในแผนการนี้รู้สึกผิดเอามากๆ จึงได้ตรงเข้าไปกอดปลอบตะวันแล้วพร่ำขอโทษอยู่ในใจซ้ำไปซ้ำมา
หลังจากนี้ผมจะไม่ทำให้ตะวันเสียใจจนร้องไห้อีกเป็นอันขาด ผมจะรัก ทะนุถนอม และดูแลตะวันเป็นอย่างดี แล้วผมก็จะทำให้ตะวันมีความสุขในทุกๆ วันโดยมีผมเคียงข้างตลอดไป
ผมมั่นใจว่าจะต้องทำได้อย่างแน่นอน
ผมสัญญา...
2BC
สวัสดีค่ะทุกคน หัวใจชิงรักตอนที่ 13 ก็จบลงไปเรียบร้อยแล้วน้า สำหรับตอนนี้ก็อย่างที่เค้าเคยบอกไปแล้วเนอะว่าจะเป็นตอนจบของเรื่องแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็อย่าพึ่งใจหายกันนะคะ เพราะยังมีบทส่งท้ายอีก 1 ตอนที่จะทำให้เรื่องราวสมบูรณ์มากขึ้น ซึ่ง...จะเป็นตอนแบบไหน จะหวานหยดย้อยหรือว่าซึ้งตราตรึงใจก็ต้องมาลุ้นกันนะคะ รอกันไม่นานค่ะพรุ่งนี้ค่ำๆเค้าจะรีบมาอัพให้เลย แล้วเจอกันนะคะ มาร่วมส่งท้ายความรักของพี่ภูและตะวันกันด้วยน้า
(4 ก.ย. 60)