ซีรีส์ [H.E.A.R.T.] ❤ หัวใจ...รัก [END]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ซีรีส์ [H.E.A.R.T.] ❤ หัวใจ...รัก [END]  (อ่าน 205554 ครั้ง)

ออฟไลน์ Micky_MN

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 198
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-3
ตะวันนั่นพี่ภูไม่ใช่พฤกษ์ :เฮ้อ:

ออฟไลน์ WilpeR

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1556
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-2
ตะวันเข้าใจผิดซินะ คนที่มาดูแลคือภูผาแต่เห็นไม่ชัดเห็นว่าใส่แว่นเลยคิดว่าเป็นพฤกษ์ ภูผาโกรธแย่เลย

ออฟไลน์ Y-Darkness

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
 :mew2: ผิดคนแล้วครับ

ออฟไลน์ Y-Darkness

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
ภูผาหึงก้น่ารักนะครับ

ออฟไลน์ Micky_MN

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 198
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-3
อย่ากลับคำนะพี่ภู :m16:

ออฟไลน์ aiyuki

  • รักแท้ไม่แบ่งแม้เพศพันธุ์
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2636
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-6
อ่ออ ตะวันมองผิดคนนี่เอง... 5555

ออฟไลน์ Sameejaejung

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +457/-17
[H.E.A.R.T.] H. Hanger หัวใจชิงรัก


Part 6# Tawan เป็นบุหรี่ให้ดูด...เอ๊ย! สูบต่างหาก


   หลังจากนั้นผมก็นอนซมอยู่ 2 วันเต็มๆ เพราะงั้นผมเลยไม่ได้ออกไปไหน ไม่ได้ทำอะไร ส่วนใหญ่ได้แต่นอนอยู่บนเตียงเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ซึ่งในช่วงเวลานั้นคุณธาร พฤกษ์ เพลิง แล้วก็น้องวาต่างก็ช่วยดูแลผมเป็นอย่างดี มีแต่คุณภูผานั่นแหละที่ไม่สนใจใยดีผมเลย ขนาดจะมาเยี่ยมสักครั้งก็ยังไม่มีเลยด้วยซ้ำ


   คนใจร้าย...


   เอาจริงๆ ผมก็ไม่ได้หวังจะให้คุณภูผาหรือว่าใครมาดูแลผมหรอก เพราะการที่ผมป่วยแล้วทุกคนต้องทำงานบ้านซึ่งมันเป็นหน้าที่ของผม ผมก็รู้สึกผิดและเกรงใจจะแย่อยู่แล้ว แต่การที่ผมคิดว่าคุณภูผาใจร้ายแบบนี้ก็เพราะคุณภูผาใจจืดใจดำเกินไป คนที่อาศัยอยู่ในบ้านเดียวกันป่วยยังไม่คิดจะมาถามไถ่อาการเลยสักนิด


   ผมนอนตัดพ้อคุณภูผาอยู่บนเตียงอีกสักพักจนกระทั่งหลับไปไหนก็ไม่รู้ รู้สึกตัวอีกทีพอดูนาฬิกาก็พบว่าตอนนี้เป็นเวลา 11 โมงกว่าๆ มิน่าล่ะถึงได้ตื่นขึ้นมาเพราะความหิว


   ตลอด 2 วันมานี้พฤกษ์จะซื้ออาหารอ่อนๆ มาให้ผมกินทุกมื้อ ไม่ใช่เฉพาะมื้อเย็นเท่านั้น แต่ว่ามื้อเช้าพฤกษ์ก็ไปซื้อโจ๊กมาให้ ส่วนมื้อเที่ยงพฤกษ์ก็ซื้อแกงจืดกลับมาให้เช่นกัน การกระทำของพฤกษ์ทำเอาผมซึ้งใจจริงๆ ที่มีเพื่อนที่แสนดีขนาดนี้


   ส่วนวันนี้ผมบอกพฤกษ์ว่าไม่ต้องซื้ออาหารมาให้ เพราะพอตื่นมาตอนเช้าผมก็รู้สึกว่าอาการดีขึ้นมากแล้ว มื้อเที่ยงน่าจะมีแรงทำอาหารเองได้ ยิ่งพอได้นอนต่อจนเกือบเที่ยงแบบนี้ เรี่ยวแรงของผมก็กลับมาจนแทบจะเป็นปกติแล้วล่ะ


   ด้วยเหตุนี้ผมจึงได้ลุกขึ้นจากเตียงเพื่อจะเข้าครัวไปทำอะไรง่ายๆ มากิน แต่พอไปถึงผมกลับเจอคุณภูผากำลังนั่งทำอาหารอยู่ในครัวซะงั้น ดังนั้นผมจึงได้หยุดฝีเท้าแล้วก็ว่าจะหนีกลับเข้าไปในห้อง แต่คุณภูผากลับรู้ตัวซะก่อนเลยพูดดักผมไว้


“จะไปไหน” น้ำเสียงที่ไม่ได้ยินมา 2 วันเต็มๆ ยังคงดุเหมือนเดิม ซึ่งพอผมหันหลังกลับไปก็พบกับสายตาที่ดุไม่ต่างกัน


“เอ่อ...ผมว่าจะกลับไปเอาของที่ห้องน่ะครับ” พอได้ยินแบบนี้คุณภูผาก็ทำเสียงขึ้นจมูก จากนั้นก็พาดตะหลิวกับกระทะแล้วเดินเข้ามาใกล้ผม


“รู้อะไรมั้ย นายน่ะเป็นคนที่โกหกไม่เก่งเอาซะเลย”


“น่ะ...นั่นมัน...” ผมได้แต่อ้าปากพะงาบๆ เพราะไม่รู้จะหาข้อแก้ตัวว่ายังไง คุณภูผาที่เห็นแบบนั้นเลยจูงมือ (ลาก) ผมไปนั่งที่เก้าอี้ตรงโต๊ะอาหาร จากนั้นก็ชี้นิ้วสั่งให้ผมนั่งอยู่ตรงนี้ห้ามลุกไปไหนทั้งนั้น


คนเผด็จการ...


ผมได้แต่นั่งหน้ามุ่ยเพราะไม่รู้ว่าคุณภูผาสั่งผมแบบนี้ทำไม แต่พอเวลาผ่านไปไม่กี่นาทีผมก็รู้จุดประสงค์นั้น เพราะคุณภูผาได้วางจานไข่เจียวร้อนๆ และหอมจนท้องผมร้องโครกครากลงมาตรงหน้า


“กินซะ ที่เข้ามาในครัวก็เพราะจะทำอะไรกินใช่มั้ยล่ะ” ทั้งที่แทบไม่ค่อยได้คุยกันแท้ๆ แต่ทำไมคุณภูผาถึงได้รู้ความคิดของผมได้นะ แถมยังอุตส่าห์ทำอาหารให้ผมกินอีกต่างหาก


คนคนนี้เป็นห่วงผมงั้นหรอ?


แต่คิดไปคิดมาคงไม่ใช่ บางทีอาจจะกลัวผมตายในบ้าน หรือไม่ก็ทำเครื่องครัวเสียหายมากกว่า


“ครับ ผมจะเข้ามาทำอะไรกิน แต่ถ้าคุณภูผาเอาไข่เจียวมาให้ผม แล้วอย่างนั้นคุณภูผาจะกินอะไรล่ะครับ”


“ก็ไม่เห็นยาก ฉันก็ทอดมากินใหม่น่ะสิ” คุณภูผาพูดอย่างไม่ใส่ใจ จากนั้นก็หันหลังกลับไปทอดไข่เจียวให้ตัวเองใหม่ทันที


“ขอบคุณนะครับ” ถึงจะรู้ว่าคุณภูผาไม่ได้ตั้งใจจะทำไข่เจียวให้แต่ผมก็ต้องขอบคุณอยู่ดี ส่วนคุณภูผาก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา ซึ่งบางทีอาจจะไม่ได้สนใจคำขอบคุณของผมเลยก็ได้


วันนี้เป็นวันศุกร์ เพราะงั้นที่บ้านจึงไม่มีใครอยู่นอกจากผมกับคุณภูผา ดังนั้นที่โต๊ะอาหารจึงไม่มีใครนั่งอยู่ด้วย บรรยากาศการกินข้าวจึงเป็นไปด้วยความเงียบงัน ต่างคนต่างกินของตัวเองโดยไม่มีใครพูดอะไรออกมาเลย


ความอึดอัดที่กำลังประสบพบเจอทำให้ผมรีบกินข้าวให้หมดจาน เสร็จแล้วก็ว่าจะรีบไปล้างแล้วก็รีบเข้าไปในห้อง แต่ก็ถูกคุณภูผาเรียกไว้ซะก่อน


“เดี๋ยว อาการป่วยเป็นยังไงบ้าง”


“เอ่อ...ก็ดีขึ้นแล้วครับ” นั่งกินข้าวด้วยกันตั้งนานไม่ถาม มาถามอะไรเอาตอนนี้กันนะไม่เข้าใจจริงๆ


“แล้ววันนี้จะออกไปทำงานที่ร้านรึเปล่า”


“ถ้าร้านอาหารผมว่าจะโทรไปลาอีกวันอยู่ครับ ส่วนร้านกาแฟพฤกษ์บอกให้ผมโทรไปลาออกตั้งแต่วันก่อนแล้ว” พอได้ยินแบบนี้คุณภูผาก็เบ้ปากนิดหน่อยแล้วส่งเสียง ‘หึ’ ออกมาเบาๆ จากนั้นก็ก้มหน้าก้มตากินอาหารต่อโดยไม่สนใจผมอีกเลย


อะไรของเขาก็ไม่รู้ จู่ๆ ก็ทำเหมือนโกรธผมซะงั้น ผมเดาใจจอมเผด็จการเจ้าอารมณ์ไม่ออกหรอกนะ


ในเมื่อคุณภูผาไม่สนใจผม ผมก็เลยไม่รู้จะยืนอยู่ตรงนี้ไปทำไม เพราะงั้นผมจึงเดินไปล้างจานแล้วกลับเข้าไปในห้อง ตอนแรกผมก็ว่าจะโทรไปหาพี่กิตติเพื่อลาต่ออีกวัน แล้ววันจันทร์ค่อยเริ่มทำงาน แต่ก็ดันมีสายโทรเข้ามาที่โทรศัพท์ของผมซะก่อน


พฤกษ์


“สวัสดี”


[“เสียงสดใสแบบนี้แสดงว่าหายไข้แล้วใช่มั้ย”] ผมอมยิ้มนิดหน่อยกับคำถามนั้นของพฤกษ์


“อืม วิ่งเล่นสบายเลยล่ะ” อันที่จริงผมก็โม้ไปงั้นแหละ ถึงแม้ผมจะหายแล้วแต่ก็ยังไม่มีแรงขนาดที่จะวิ่งได้หรอก


[“ถ้างั้นกลับไปเดี๋ยวเรามาวิ่งแข่งกัน ใครแพ้ต้องถูกลงโทษนะโอเคมั้ย”]


“ใจร้าย...เราพึ่งหายป่วยเองนะพฤกษ์” ผมโอดครวญ แต่ก็รู้แหละว่าพฤกษ์ล้อเล่นไม่ได้ท้าวิ่งแข่งกับผมจริงๆ


[“ก็ตะวันเป็นคนพูดเองนี่นาว่าวิ่งเล่นได้สบาย เราเปล่าใจร้ายสักหน่อย”]


“นั่นสินะ พฤกษ์เป็นคนใจดีจะตาย ไม่เหมือน...” ผมพูดได้แค่นี้ก็ต้องเงียบไป เพราะเกือบหลุดนินทาพี่ชายให้น้องชายฟังซะแล้ว


[“ไม่เหมือนใครหรอ?”]


“ปะ...เปล่าหรอก เราพูดผิดน่ะ เราตั้งใจจะบอกว่าพฤกษ์เป็นคนดีไม่ใช่คนใจร้าย เราขอบคุณจริงๆ นะที่ตลอด 2 วันที่ผ่านมาพฤกษ์ดูแลเราเป็นอย่างดี โดยเฉพาะวันนั้นถ้าไม่ได้พฤกษ์เราต้องแย่แน่ๆ ทั้งที่ดึกขนาดนั้นแต่ก็ยังอุตส่าห์ไปรับเราที่ร้าน แถมยังเช็ดตัวและอยู่ดูแลเราอีกต่างหาก” ผมโชคดีจริงๆ ที่มีคนดีๆ อย่างพฤกษ์เป็นเพื่อน


[“เอ่อ...เดี๋ยวนะตะวัน รู้สึกว่าตะวันจะเข้าใจอะไรผิดไปนะ”]


“เข้าใจผิด? เรื่องอะไรหรอ?”


[“ก็เรื่องที่บอกว่าเราไปรับที่ร้าน แล้วก็เช็ดตัวและอยู่ดูแลตะวันไง”]


“เอ๊ะ?” อะไรกันเนี่ย ตอนนี้ผมงงไปหมดแล้วนะ พฤกษ์บอกว่าผมเข้าใจผิดได้ยังไง ในเมื่อคืนนั้นผมมองเห็นพฤกษ์ แถมยังคุยกับพฤกษ์ตั้งหลายประโยคอีกต่างหาก


[“ตะวันฝัน ละเมอ หรือว่าเพ้อเพราะพิษไข้รึเปล่า?”] ตอนแรกผมก็มั่นใจนะว่าคืนนั้นผมได้เห็นและได้คุยกับพฤกษ์จริงๆ แต่ตอนนี้ผมชักไม่มั่นใจแล้วล่ะ


“ไม่รู้สิ ว่าแต่...ถ้าพฤกษ์ไม่ได้ไปรับเรา แล้วคืนนั้นเรากลับมาที่บ้านได้ยังไง”


[“คงเป็นคนที่ร้านมาส่งมั้ง”] แต่ว่าคืนนั้นผมจำได้แม่นเลยนะว่า พฤกษ์บอกว่าที่ร้านโทรเข้าเบอร์บ้านตามคนให้ไปรับผม


“งั้นเดี๋ยวเราโทรไปถามเจ้าของร้านเลยดีกว่า” ถ้าเรื่องไม่กระจ่างผมคงคาใจจนไม่เป็นอันทำอะไรทั้งวันแน่ๆ


[“อืม ถ้างั้นเราไม่กวนแล้ว แต่ว่าโทรเสร็จก็หาข้าวกินด้วยล่ะ ที่โทรมาก็เพราะจะบอกเรื่องนี้นี่แหละ”] พฤกษ์นี่เป็นคนดีจริงๆ เลยนะ ขนาดเรื่องที่ผมเข้าใจผิดจะเลยตามเลยก็ได้แท้ๆ แต่พฤกษ์ก็ไม่ทำ


“เรากินเรียบร้อยแล้ว พฤกษ์ก็อย่าลืมกินข้าวด้วยนะ”


[“อืม ถ้างั้นก็แค่นี้นะ...บาย”]


“บาย...”


หลังจากนั้นผมก็กดวางสายของพฤกษ์ไป แล้วรีบต่อสายหาพี่กิตติเจ้าของร้านอาหารที่ผมทำงานอยู่ทันที


[“ว่าไงฮ้าน้องตาหวาน หายป่วยแล้วรึยัง แล้ววันนี้จะมาทำงานมั้ยเอ่ย”] น้ำเสียงของพี่กิตติยังคงร่าเริงสดใสเหมือนเดิม


“เกือบจะหายดีแล้วครับ แต่ว่าผมขอลาพักอีกสักวันจะได้มั้ย”


[“ได้สิจ๊ะทำไมจะไม่ได้ พักผ่อนอยู่ที่บ้านนั่นแหละดีแล้ว เกิดหน้ามืดเป็นลมเป็นแล้งขึ้นมาอีกจะแย่เอา”]


“ขอบคุณมากๆ เลยครับพี่กิตติ” นอกจากผมจะมีเพื่อนที่ดีแล้ว ผมก็ยังมีเจ้านายที่ดีด้วยสินะ


[“ไม่เป็นไรหรอกเรื่องแค่นี้เอง แต่จะว่าไป...พี่ว่าถ้าน้องตาหวานเป็นอะไรขึ้นมาอีกก็ดีเหมือนกันนะ เพราะว่าพี่จะได้โทรให้คุณภูผาสุดหล่อมารับน้องตะวันอีก นี่รู้มั้ยว่า 3 คืนที่ผ่านมาพี่เก็บเอาคุณภูผาไปฝันทุกคืนเลยนะ ขนาดใส่แว่นอยู่ความหล่อยังทะลุออกมากระแทกตาพี่ได้เลย”]


“หา? ดะ...เดี๋ยวนะครับพี่กิตติ เมื่อกี้พี่พูดว่าใครมารับผมนะครับ” นี่ผมฟังผิดไปรึเปล่า คนอย่างคุณภูผาเนี่ยนะจะออกมารับผมดึกๆ ดื่นๆ ที่ร้าน แถมผมยังจำไม่เห็นได้เลยว่าคุณภูผาใส่แว่นตั้งแต่เมื่อไหร่ คนเดียวในบ้านที่ใส่แว่นคือพฤกษ์ต่างหาก


[“พี่พูดว่าคุณภูผาเป็นคนมารับน้องตาหวาน แถมหลังจากนั้นยังโทรมาแจ้งพี่ด้วยอีกนะว่าเช็ดตัวและป้อนยาให้น้องตาหวานแล้ว คนอะไรก็ไม่รู้ดี๊ดี อบอุ๊นอบอุ่น”] ถ้าลองพี่กิตติย้ำอย่างชัดเจนขนาดนี้ก็แสดงว่า คนที่มารับและดูแลผมต้องเป็นคุณภูผาไม่ผิดคนอย่างแน่นอน


พอได้รู้ความจริงแบบนี้ ผมก็ชักรู้สึกผิดขึ้นมาแล้วสิที่ก่อนหน้านี้ได้ต่อว่าและตัดพ้อคุณภูผาไปตั้งหลายอย่าง ทั้งหาว่าเป็นคนใจร้าย ใจจืด ใจดำ แล้วก็อีกสารพัด ผมนี่มันแย่จริงๆ ที่ด่วนตัดสินคุณภูผาไปแบบนั้น เพราะงั้น...ผมต้องไปขอโทษและขอบคุณคุณภูผาแล้วล่ะ


 ผมคุยอะไรต่อกับพี่กิตติอีกนิดหน่อย จากนั้นพอวางสายไปก็รีบออกจากห้องไปเคาะประตูเรียกคุณภูผาในห้องทำงาน แต่ถึงผมจะเคาะไปถึง 3 รอบก็ไม่มีเสียงตอบรับจากคุณภูผาเลยสักนิด ดังนั้นผมเลยถือวิสาสะเปิดเข้าไปข้างในซะเลยเพราะประตูไม่ได้ล็อก


คุณภูผาไม่ได้อยู่ห้องแรกอย่างที่คิดเอาไว้ เพราะงั้นผมจึงได้เดินเข้าไปในห้องที่สอง เลยเห็นว่าตอนนี้คุณภูผากำลังยืนหันหลังอยู่ที่ระเบียงและสูบบุหรี่อยู่


ด้วยความที่เป็นคนไม่ชอบและเหม็นกลิ่นบุหรี่เอามากๆ ผมเลยลืมความตั้งใจของตัวเองที่มาที่นี่ไปชั่วขณะ จึงได้เดินไปหาคุณภูผาแล้วพูดขึ้นว่า...


“บุหรี่มันไม่ดีต่อร่างกายและคนรอบข้างนะครับคุณภูผา” เสียงพูดแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยของผมทำให้คุณภูผาสะดุ้งนิดหน่อย ก่อนที่จะหันมาทางผมอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่นัก


“ฉันจำได้ว่าจ้างนายมาเป็นแม่บ้าน ไม่ได้จ้างมาเป็นเมียของฉันสักหน่อย” คำพูดนั้นทำเอาผมหน้าร้อนวาบขึ้นมาทันที แต่จะเพราะโมโหหรือเพราะอะไรอันนี้ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน


“ผมเคยบอกไปแล้วนี่ครับว่า หน้าที่ของแม่บ้านนอกจากทำงานภายในบ้านแล้ว ยังต้องดูแลทุกคนภายในบ้านด้วยนะครับ ดังนั้นผมเลยไม่อยากให้คุณภูผาสูบบุหรี่เพราะมันไม่ดีแถมมีแต่โทษ แล้วก็...ควันบุหรี่มันเหม็นด้วยครับ” ประโยคสุดท้ายผมพูดอย่างอ้อมแอ้มเพราะมันเป็นเหตุผลส่วนตัวของผม ซึ่งมันไม่ใช่เหตุผลที่จะยกมาอ้างได้เลย แต่ก็ดูเหมือนว่ามันจะไม่ใช่อย่างที่ผมคิดนะ


“นายไม่ชอบกลิ่นบุหรี่งั้นหรอ?”


“ไม่ใช่ไม่ชอบครับ แต่เกลียดเลยล่ะ” คำตอบของผมทำเอาคุณภูผาถึงกับชะงัก จากนั้นจึงได้คีบบุหรี่ลงไปขยี้กับที่เขี่ยที่อยู่ข้างๆ


ผมรู้สึกแปลกใจนิดหน่อยที่คุณภูผายอมหยุดสูบง่ายกว่าที่คิด แว้บหนึ่งผมก็เกิดรู้สึกว่าคุณภูผาน่ารักขึ้นมา


“อันที่จริงฉันก็ไม่ได้เป็นคนติดบุหรี่หรอก แค่สูบเฉพาะเวลาเครียดๆ หรือคิดงานไม่ออกน่ะ ว่าแต่นายเข้ามาหาฉันมีธุระอะไร หรือว่าควันบุหรี่มันลอยเข้าไปในห้องของนาย” ผมคิดไปเองรึเปล่านะว่าคุณภูผาดูกังวลว่าจะถูกผมเกลียดยังไงชอบกล


 “ควันมันไม่ได้ลอยเข้ามาในห้องของผมหรอกครับ ที่ผมมาหาคุณภูผาที่นี่ก็เพราะมีเรื่องจะพูดด้วย”


“เรื่อง?”


“คือ...ผมอยากจะขอบคุณเรื่องที่คุณภูผาไปรับผมมาจากที่ทำงานกับช่วยดูแลผม แล้วก็...ผมอยากจะขอโทษที่คืนนั้นเข้าใจผิดว่าคุณภูผาคือพฤกษ์ จนผมคิดว่าคุณภูผาใจจืดใจดำไม่เคยมาถามไถ่อาการผมเลย” ยิ่งพูดเสียงของผมก็ยิ่งอ่อยลงเรื่อยๆ เพราะถึงแม้ผมจะเตรียมใจเอาไว้แล้ว แต่ผมก็กลัวถูกคุณภูผาโกรธอยู่ดีนี่นา ขนาดเวลาปกติน้ำเสียงและสายตายังดูดุจนน่ากลัวเลย


แต่ทั้งที่คิดว่าจะต้องถูกโกรธแน่นอน คุณภูผากลับถามคำถามกับผมแทนซะได้


“นายคิดว่าฉันเป็นคนอย่างนั้นจริงๆ งั้นหรอ”


“เอ่อ...คือ...ขอโทษครับ” ผมอึกอักด้วยความลำบากใจ แต่ผมก็ไม่อยากพูดโกหกออกไปเลยต้องก้มหัวขอโทษ ซึ่งก็คือการรับสารภาพกลายๆ นั่นแหละ


“ในสายตานายฉันคงเป็นคนที่แย่มากเลยสินะ” คุณภูผาหันหน้าไปมองต้นไม้ใบหญ้าแล้วพูดขึ้น สีหน้าที่ดูปลงตกและขมขื่นแบบนั้น ถึงแม้ว่ามันจะเล็กน้อยแต่ก็ทำให้ผมรู้สึกผิดมากจริงๆ จึงได้รีบพูดขึ้นเพื่อแก้ความเข้าใจผิดของคุณภูผา


“ผมไม่ได้คิดแบบนั้นกับคุณภูผาเลยนะครับ ผมแค่คิดว่าคุณภูผาดูดุไปหน่อยเท่านั้นเอง ถ้าหากลองยิ้มออกมาบ้างก็คงจะดีน่ะครับ” ผมลองเสนอความคิดดู หวังว่าคุณภูผาคงจะไม่โกรธหรอกนะ


ซึ่งหลังจากที่เงียบไปสักพักคุณภูผาก็พูดขึ้นมาว่า...


“ฉันจะลองยิ้มบ้างอย่างที่นายบอกก็ได้ ส่วนเรื่องเลิกบุหรี่แบบถาวรก็ว่าจะลองดูเหมือนกัน”


“จริงหรอครับ!” ผมทำตาลุกวาวและยิ้มกว้างอย่างเซอร์ไพรส์


“จริงสิ แต่ว่า...ฉันมีข้อแม้นิดหน่อย แล้วก็อยากให้นายช่วยอะไรฉันบางอย่างด้วย”


“ได้เลยครับ! คุณภูผาจะให้ผมช่วยอะไรก็บอกมาได้เลยผมยินดี!” ผมมัวแต่ดีใจและตื่นเต้นที่จะได้ทำประโยชน์ให้คุณภูผา เลยไม่ทันได้เห็นรอยยิ้มอันเจ้าเล่ห์นิดๆ ที่ประดับอยู่บนใบหน้าอันหล่อเหลาเลยแม้แต่น้อย


“ฉันอยากให้นายช่วยเป็นบุหรี่เวลาที่ฉันอยากดูด...เอ๊ย! อยากสูบน่ะสิ”


“หา! ช่วยเป็นบุหรี่! มะ...หมายถึง...”


“ก็หมายความว่า เวลาที่ฉันอยากสูบบุหรี่นายก็ต้องจูบกับฉันแทนไงล่ะ”



 Phupha




“จะ...จะ...จะ...จูบหรอครับ! นี่ล้อผมเล่นใช่มั้ยครับคุณภูผา!” สีหน้าที่กำลังตกใจสุดขีดของตะวันตอนนี้ทั้งตลกและน่ารักในเวลาเดียวกัน จนผมเกือบจะหลุดวางมาดแล้วเผลอยิ้มออกมา


   “หน้าฉันเหมือนคนพูดล้อเล่นงั้นหรอ?”


   “กะ...ก็ไม่ครับ ตะ...แต่ว่า...เรื่องที่จะให้จูบกับคุณภูผาน่ะ...มัน...มัน...ผมทำไม่ได้หรอกครับ” ตะวันพูดอย่างอึกอัก แถมยังถอยหลังให้ห่างจากผมอีกด้วย ผมที่เห็นอย่างนั้นเลยยกยิ้มที่มุมปาก ก่อนจะตรงเข้าไปประชิดตะวันแล้วใช้วงแขนรวบเอวบางเอาไว้


   “กะอีแค่จูบทำไมนายจะทำไม่ได้ ขนาดทำมากกว่านี้ยังเคยมาแล้วเลย” พอได้ยินผมพูดแบบนี้ ตะวันก็หน้าแดงวาบขึ้นมาทันที


   “ระ...เรื่องนั้น...ผมอุตส่าห์ลืมไปแล้วทำไมคุณภูผาต้องพูดขึ้นมาอีกด้วยล่ะครับ!” ตะวันทำหน้าราวกับจะร้องไห้ ก็ไม่รู้ว่ากำลังโกรธหรืออายล่ะนะ แต่เท่าที่รู้คือตะวันตอนนี้น่ารักสุดๆ จนผมอยากแกล้งมากกว่าเดิม


   “ก็ฉันไม่อยากให้นายลืมไงว่า คืนนั้นฉันทำอะไรนายไปบ้าง แล้วนายมีความสุขมากขนาดไหน” ระหว่างที่พูดผมก็ใช้มือข้างที่ว่างเชยคางของตะวันขึ้น จากนั้นก็ค่อยๆ ลูบไล้ลงไปเรื่อยๆ ตามซอกคอ แผ่นอก และหน้าท้อง จริงๆ ผมก็อยากจะลามไปยังด้านล่างด้วยล่ะนะ แต่ก็กลัวว่าจะดูเป็นการคุกคามตะวันเกินไป


   “ยะ...หยุดนะครับคุณภูผา” ตะวันพูดด้วยร่างกายสั่นสะท้าน ส่วนใบหูและลำคอก็แดงจัดตามใบหน้าไปเรียบร้อย


   “นายอยากให้ฉันหยุดอะไรล่ะ ระหว่างหยุดพูดกับหยุดทำ?” ผมก้มหน้าลงไปกระซิบที่ข้างหูของตะวันด้วยเสียงแหบพร่า แถมยังถือโอกาสเอาปลายจมูกเฉียดแก้มเนียนใสไปด้วย การกระทำนั้นมันยิ่งทำให้ร่างกายของตะวันสั่นสะท้านมากกว่าเดิม


   “ยะ...หยุดทั้ง 2 อย่างนั่นแหละครับ คะ...คุณภูผาอย่าแกล้งผมอีกเลยนะ มันไม่สนุกหรอกครับ” ใครว่าไม่สนุกกันเล่า ตอนนี้ผมกำลังสนุกมากแล้วก็มีอารมณ์มากๆ เลยด้วย


   “ฉันไม่ได้แกล้งนายสักหน่อย ที่ฉันทำก็แค่อยากให้นายนึกออกเฉยๆ ว่าวันนั้นเราสองคนทำอะไรกันบ้าง แล้วไอ้เรื่องพวกนี้มันก็มากกว่าการจูบซะอีก เพราะงั้นยอมตกลงเป็นบุหรี่ให้ฉันดูด...เอ๊ย! สูบเถอะน่า” ถึงจะทำเหมือนว่าพูดผิด แต่จริงๆ แล้วผมตั้งใจพูดแบบนี้ทั้งสองรอบนั่นแหละ


   “ตะ...แต่ว่า...”


   “แต่อะไร? ไหนว่าหน้าที่ของแม่บ้านนอกจากทำงานภายในบ้านแล้ว ยังต้องดูแลทุกคนภายในบ้านด้วยไงล่ะ? แล้วบุหรี่มันก็ไม่ดีต่อร่างกาย นายเลยอยากให้ฉันเลิกสูบไม่ใช่หรอ?” ผมพยายามโน้มน้าวตะวันอย่างสุดความสามารถ ด้วยนิสัยของตะวันผมคิดว่าการพูดแบบนี้มันต้องได้ผลแน่นอน


   ตอนแรกที่ผมมีอคติกับตะวัน เป็นเพราะผมคิดว่าตะวันตั้งใจจะมาอ่อยทุกคนในบ้าน หน้าตาใสซื่อและไร้เดียงสาแบบนั้น ผู้ชาย (ที่ชอบผู้ชาย) ที่ไหนเห็นก็ต้องหลงอยู่แล้ว แต่ผมไม่เชื่อหรอกนะว่าผู้ชายแบบนั้นจะมีอยู่จริง ผมมั่นใจว่านั่นต้องเป็นมารยาเลยจับตาดูตะวันมาโดยตลอด


   แต่ไปๆ มาๆ ผมก็เริ่มรู้ตัวแล้วล่ะว่าผมคิดผิดไป ตะวันตั้งใจทำงานเป็นแม่บ้านจริงๆ แถมยังขยันมาก และเอาใจใส่เรื่องต่างๆ แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อยก็ตาม นอกจากนี้ตะวันยังดูใสซื่อ เป็นคนดี และหัวอ่อนสุดๆ จนผมคิดว่าคนในบ้านต่างหากที่จะเป็นคนล่อลวงตะวัน และผมก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย


   ผมคิดว่าผมคงจะหลงเสน่ห์ของตะวันเข้าแล้ว ซึ่งบางทีอาจจะเป็นตั้งแต่วันแรกที่เห็นหน้า เหมือนกับพวกน้องๆ ที่หลงเสน่ห์ของตะวันก็ได้ ไม่อย่างนั้นคืนนั้นผมคงไม่ทำแบบนั้นกับตะวัน แถมยังมีอารมณ์สุดๆ จนต้องไปอาบน้ำเย็นเป็นชั่วโมงเพื่อดับความร้อนรุ่มของร่างกายอีกต่างหาก


   ผมชอบตะวันเข้าแล้ว...


   ในที่สุดก็กลืนน้ำลายตัวเองจนได้...


   แต่เรื่องนั้นช่างปะไร ในเมื่อตอนนี้ผมยอมรับและรู้ใจตัวเองแล้ว เพราะงั้นผมจะเลิกปากไม่ตรงกับใจและแสดงออกว่าชอบตะวันอย่างตรงไปตรงมาล่ะนะ


   “ที่คุณภูผาพูดมามันก็ใช่ครับ แต่ว่า...”


   “น่านะ ช่วยฉันเถอะตะวัน หรือว่านายรังเกียจฉันงั้นหรอ?” พูดถึงตรงนี้ผมก็แสร้งทำหน้าสลด จนตะวันต้องรีบแก้ตัวและส่ายหน้าปฏิเสธ


   “ผมไม่ได้รังเกียจคุณภูผาเลยนะครับ!”


   “ถ้างั้นนายก็ช่วยฉันสิ...นะ” ผมพูดด้วยเสียงออดอ้อน เพราะเดาได้ว่าถ้าใช้ไม้นี้ตะวันจะต้องยอมใจอ่อนอย่างแน่นอน ซึ่งผมก็คิดถูก


   “...” ตะวันไม่ตอบอะไรได้แต่เม้มปากแน่นแล้วก้มตามองลงต่ำ แค่เห็นตะวันลังเลสองจิตสองใจ ไม่ยืนกรานปฏิเสธเหมือนที่ผ่านมาก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว


   “ถ้านายไม่พูดอะไรฉันจะถือว่านายตกลงนะตะวัน” ผมอมยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ ตะวันจึงอ้าปากจะพูดอะไรออกมาสักอย่าง แต่ผมก็ชิงก้มหน้าลงไปปิดปากนั้นด้วยริมฝีปากของผมซะก่อน


   “อื้อ!” ตะวันร้องประท้วงในลำคอแล้วพยายามผลักผมออกไป แต่แรงแค่นั้นจะไปสู้ผมได้ยังไง ผมไม่สะทกสะท้านแถมยังบดขยี้ริมฝีปากลงไปมากขึ้นอีกต่างหาก


   “อื้อ...อื้ม...” แรงต่อต้านของตะวันเริ่มลดน้อยลงกลายเป็นโอนอ่อนให้ผมมากขึ้น สองมือที่เคยพยายามผลักไสที่แผ่นอกของผมตอนนี้กลับกำที่เสื้อแน่น เมื่อผมใช้ริมฝีปากดูดกลีบปากบาง จากนั้นก็สอดลิ้นเข้าไปชิมความหวานจากภายใน


   “อือ...” ตะวันครางหวิวด้วยร่างกายอันสั่นสะท้าน ลิ้นเล็กๆ ที่อยู่ภายในดูตื่นกลัวเมื่อโดนผมรุกล้ำเข้าไป แต่พอโดนผมไล่ต้อนมากๆ จนไม่มีทางหนีก็ต้องยินยอมตอบสนอง ลิ้นทั้งสองของเราจึงตวัดเกี่ยวพันกันอย่างดูดดื่มและลึกซึ้งในที่สุด


   จนกระทั่งตะวันเริ่มหายใจติดขัดนั่นแหละผมจึงได้ถอนจูบออกมา แต่ก็ยังคงอ้อยอิ่งพรมจูบและดูดดุนกลีบปากบางอย่างยั่วเย้าไม่ยอมห่าง ในขณะที่มือทั้งสองข้างก็เริ่มอยู่ไม่สุข เพราะได้สอดเข้าไปข้างในเสื้อของตะวัน แล้วลูบไล้ผิวเนียนลื่นตามสีข้างขึ้นมาเรื่อยๆ


   ซึ่งขณะที่มือของผมกำลังจะได้สัมผัสยอดอกเล็กๆ นั่นเอง...


“ยะ...หยุดนะครับคุณภูผา...ที่นี่มันระเบียงนะครับ” ตะวันพูดด้วยเสียงเบาหวิวแล้วเริ่มขัดขืนผมอีกครั้ง


   “ที่ระเบียงไม่ได้ หมายความว่าถ้าเป็นในห้องก็ได้สินะ?” ผมถามยิ้มๆ ความจริงก็รู้อยู่หรอกว่าคำพูดนั้นหมายความว่ายังไง แต่ผมแค่อยากแกล้งตะวันเฉยๆ


   “จะที่ไหนก็ไม่ได้ทั้งนั้นแหละครับ!”


   “เฮ้ออออ...นายนี่เอาแต่ใจจริงๆ”


   “คนที่เอาแต่ใจมันคือคุณภูผาต่างหากล่ะครับ!”


   “ก็ถ้านายคิดว่าฉันเป็นคนแบบนั้นอยู่แล้ว งั้นฉันก็จะเอาแต่ใจสุดๆ เลยแล้วกัน” ในเมื่อทุกอย่างเข้าทางที่วางเอาไว้แล้ว ผมก็กอดเอวของตะวันให้ยกขึ้นแล้วพาเดินเข้าไปในห้องทันที


“อ๊ะ! คุณภูผาจะพาผมไปไหน ปล่อยผมลงเดี๋ยวนี้นะครับ!” ตะวันพูดอย่างตกใจแล้วดิ้นไปมา แต่แรงอันน้อยนิด แถมตัวก็เบาอย่างกับเด็กๆ มันไม่ทำให้ผมรู้สึกอะไรเท่าไหร่หรอกนะ ผมยังคงเดินด้วยท่าทีสบายๆ จนกระทั่งมาถึงโซฟาที่อยู่ในห้อง


“เลิกดิ้นได้แล้ว ฉันก็ปล่อยนายแล้วนี่ไง” แต่ปล่อยให้นั่งลงที่ตัก ไม่ได้ปล่อยให้ยืนบนพื้น


“แบบนี้มันเรียกว่าปล่อยที่ไหนล่ะครับ!”


“ก็ปล่อยที่โซฟาไง”


“คุณภูผา!!” ตะวันขึ้นเสียงใส่ผมดังกว่าปกติ ก่อนจะหอบเล็กน้อยเพราะพึ่งหายป่วยเลยต้องใช้พลังในการเค้นเสียง ดูท่าทางตอนนี้ตะวันจะเริ่มโมโหจริงๆ แล้วล่ะมั้ง


“เอาล่ะๆ ฉันไม่แกล้งนายแล้ว” ผมเลื่อนมือข้างหนึ่งขึ้นไปลูบที่ศีรษะของตะวันเบาๆ อย่างอ่อนโยน จนเมื่อจังหวะการหายใจของตะวันกลับมาเป็นปกติแล้ว ผมก็เลื่อนมือลงมาลูบไล้ที่แก้มเนียนใส จากนั้นก็เคลื่อนใบหน้าเข้าไปเรื่อยๆ เพื่อที่จะได้ชิมความหอมหวานจากริมฝีปากของตะวันอีกรอบ


“จะ...จะจูบผมอีกหรอครับ เมื่อกี้ยังไม่พออีกหรอ ไหนว่าไม่ได้สูบบุหรี่จัดไงล่ะครับ” ตะวันถามอย่างเขินอาย ส่วนใบหน้าก็เริ่มแดงซ่าน


“ฉันโกหกน่ะ ความจริงแล้วฉันสูบจัดมาก ต้องสูบทุกวัน วันละ 3 มื้อหลังอาหาร แถมยังต้องสูบก่อนนอนอีกด้วยนะ” ผมพูดยิ้มๆ ส่วนตะวันพอได้ยินแบบนี้ก็ถึงกับเหวอไปเลย


“ถะ...ถ้าต้องจูบกับคุณภูผาขนาดนั้น งั้นผมคงเป็นบุหรี่ให้คุณภูผาไม่ได้แล้วล่ะครับ” พูดจบตะวันก็ทำท่าจะลุกออกจากตักของผม แต่ว่าผมก็รีบใช้วงแขนกอดเอวบางเอาไว้ซะก่อน


“ฉันล้อเล่นหรอกน่า ฉันไม่ได้ติดบุหรี่แล้วก็ไม่ได้สูบจัดขนาดนั้น ฉันสูบแค่วันละครั้งเท่านั้นแหละ” แต่ความจริงก็คือสัก 3 วันผมสูบทีต่างหาก


“เฮ้อ...ถ้างั้นก็ค่อยยังชั่ว” ตะวันถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ผมที่เห็นอย่างนั้นก็ยิ้มออกมาเลยน่ะสิ


“พูดแบบนี้แสดงว่านายจะยอมเป็นบุหรี่ให้ฉันแล้วใช่มั้ย”


“ถึงผมไม่ยอม คุณภูผาก็คงหาวิธีทำให้ผมยอมอยู่ดีนี่ครับ” ตะวันพองลมที่แก้ม ส่วนผมก็หัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปใกล้ตะวัน


“แต่นายก็ไม่ได้รังเกียจฉันไม่ใช่รึไง”


“ก็...ไม่ได้รังเกียจครับ...” ตะวันพูดด้วยท่าทางเอียงอาย ส่วนใบหน้าก็มีสีแดงระเรื่อ


ผมจะคิดเข้าข้างตัวเองได้มั้ยนะว่า บางทีตะวันอาจจะชอบหรือมีความรู้สึกดีๆ ให้ผมเหมือนกัน?


“ถ้างั้นฉันขอจูบนายอีกรอบนะ” ผมขยับใบหน้าเข้าไปใกล้ตะวันอีกนิด จนปลายจมูกของเราสองคนชนกัน


ส่วนตะวันนั้นไม่ได้ตอบอะไรกลับมา แต่ก็อมยิ้มเล็กน้อยอย่างขวยเขิน ก่อนที่จะค่อยๆ ปิดเปลือกตาลงอย่างช้าๆ


ผมจะถือว่านั่นเป็นคำอนุญาตก็แล้วกัน เพราะงั้นผมจึงได้ยิ้มออกมา ก่อนจะเคลื่อนใบหน้าเข้าไปหาตะวัน จนริมฝีปากของเราสองคนสัมผัสกันในที่สุด...


2BC


ฮัลโหลววววสวัสดีค่าทุกคน หัวใจชิงรักตอนที่ 6 ก็จบลงไปแล้วน้า ไหนใครอ่านจบแล้วมดขึ้นตาหรือหน้าจอบ้างมีมั้ยน้อ  :-[
ตอนนี้เรียกได้ว่าภูผาเปลี่ยนจากหลังเท้ากลายเป็นหน้ามือเลยก็ว่าได้ (เอ๊ะ มีอะไรสิงพี่แกรึเปล่า  o17 ) พอรู้ใจตัวเองว่าชอบตะวันนี่ก็หวานเชียวเนอะ คนโหดและซึนตอนก่อนๆนี้หายไปไหน เหลือแต่ความหวานและความเจ้าเล่ห์  o3 ก็หวังว่าจนถึงตอนนี้ทีมหมั่นไส้พี่แกจะเปลี่ยนใจกลับมาหลงพี่แกบ้าง (หรือจะหมั่นมากกว่าเดิมก็ไม่รู้นะ 555555  :laugh:)
ส่วนตอนหน้าอีก 3 วันอัพนะคะ มาดูกันค่ะว่าพี่แกยังจะหวานกับตะวันอยู่รึเปล่า แล้วจะเดินหน้าจีบตะวันแข่งกับน้องๆมั้ย ยังไงก็มาเอาใจช่วยภูผาและตะวันกันด้วยน้า  :impress:
ก่อนลากันตรงนี้ที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ ขอขอบคุณทุกคนมากๆเลยนะคะที่เข้ามาอ่านนิยายเรื่องนี้  :pig4: คนที่เม้นให้ กดไลค์ โหวต แล้วก็เข้ามาเม้ามอยกับเราที่แฟนเพจ รักทุกคนมากๆเลยค่า  :L1:
(20 ก.ค. 60)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-07-2017 19:53:06 โดย *|=สามีแจจุง=|* »

ออฟไลน์ Micky_MN

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 198
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-3

ออฟไลน์ WilpeR

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1556
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-2
คุณภูมีแอบงอนตะวันที่เข้าใจผิด พอมาแก้ความเข้าใจแล้วมีอ้อนกลับด้วย

ออฟไลน์ Y-Darkness

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Micky_MN

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 198
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-3
เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือจริงด้วย หวีดพี่ภูอ่า :katai5:

ออฟไลน์ aiyuki

  • รักแท้ไม่แบ่งแม้เพศพันธุ์
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2636
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-6
บทจะรุกขึ้นมาก็หวานซ้าาา 5555

ออฟไลน์ Y-Darkness

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0

ออฟไลน์ WilpeR

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1556
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-2
คุณภูผาบทจะหวานออดอ้อนก็น่ารักเชียว ตอนก่อนหน้านี้คืออะไรกันเนี่ย 5555

ออฟไลน์ Y-Darkness

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
น่ารัก ชอบฉากแย่งกันจีบตะวัน

ออฟไลน์ Micky_MN

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 198
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-3
เหมือนพี่น้องแย่งของเล่น555

ออฟไลน์ Sameejaejung

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +457/-17
[H.E.A.R.T.] H. Hanger หัวใจชิงรัก


Part 7# Phupha (หาเรื่อง) ลงโทษ NC


   ถึงจะผ่านไปหลายชั่วโมงแล้ว แต่ความหวานจากรสจูบของตะวันยังคงอบอวลอยู่ในปากของผมอยู่เลย แม้ว่าตอนนี้จะเป็นเวลาหัวค่ำที่คนในบ้านต่างพากันมารวมตัวกันเพื่อจะกินข้าวเย็น


   หลังจากตอนนั้นที่ผมจูบตะวันจนหนำใจ ก็ทำเอาตะวันอ่อนระทวยและไร้เรี่ยวแรงจนผมต้องอุ้มไปนอนพักในห้อง กว่าจะตื่นมาอีกทีก็ตอนที่วากลับจากโรงเรียนแล้วเข้าไปดูอาการ ซึ่งผมว่ามันก็คือการเข้าไปกวนดีๆ นี่เอง


   แม้ว่าพึ่งจะฟื้นจากอาการป่วย แต่พอตื่นมาได้สักพักตะวันก็เริ่มหยิบจับงานบ้านมาทำซะแล้ว ถึงผมกับวาจะพยายามห้าม รวมทั้งธาร พฤกษ์ และเพลิงที่พึ่งกลับมาก็ด้วย แต่ตะวันก็ยังดื้อยืนยันจะทำงานบ้านให้ได้


   นี่ถ้าไม่ติดว่ามีคนอื่นอยู่ด้วย ผมคงจะจับตะวันมาจูบจนหมดแรงอีกครั้งไปแล้ว


   “พี่ภูกับตะวันนี่มีอะไรกันงั้นหรอ?”


   “หา!” คำถามนั้นของธารที่ถามขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยทำเอาผมตกใจจนอุทานดังลั่น เล่นเอาตะวันที่กำลังทำกับข้าวอยู่ โดยมีพฤกษ์ เพลิง และวาคอยช่วย (ป่วน) หันมองมาทางนี้ด้วย


   “เป็นไรอะพี่ภู” เพลิงถามด้วยความสงสัย แต่ผมก็ตอบกลับไปโดยมองแต่หน้าตะวันที่กำลังทำหน้าสงสัยเช่นกัน


   “ไม่มีอะไรหรอก ทำกับข้าวต่อเถอะ” พอได้ยินแบบนี้แต่ละคนเลยหันไปทำกับข้าวต่อ ผมจึงหันหน้ากลับมา แต่ก็ต้องชะงักเพราะเห็นว่าธารกำลังจ้องมองมาพลางหรี่ตาลงอย่างจับผิด


   “พี่ภูนี่มีอะไรกับตะวันจริงๆ สินะ”


   “อะไรของแก พูดให้มันเคลียร์นะธาร” ตอนนี้ในใจของผมกำลังลนไปหมด ดีนะที่ผมเป็นคนสีหน้าค่อนข้างนิ่ง เลยไม่แสดงอาการอะไรออกไป


   “ที่ผมพูดก็ไม่เห็นมีอะไรเข้าใจยากตรงไหน บรรยากาศระหว่างพี่ภูกับตะวันเปลี่ยนไป ผมเลยสงสัยว่ามีอะไรเกิดขึ้นก็เท่านั้นเอง” ผมไม่เชื่อหรอกว่าธารจะสงสัยแค่นั้น ไม่อย่างนั้นจะเลือกถามคำถามกำกวมแบบนี้รึไง ผู้จัดการโรงแรมอย่างธารคงไม่มีทักษะการพูดแค่นี้หรอก


   “ก็ไม่มีอะไร ที่ผ่านมาตะวันพิสูจน์แล้วว่าตั้งใจทำงานเป็นแม่บ้านจริงๆ พี่เลยไว้ใจแล้วก็เลิกอคติน่ะ”


   “หืม? แค่นี้จริงหรอพี่ภู?” ธารทำหน้าเหมือนไม่เชื่อ


   “จริงสิ พี่จะไปโกหกแกทำไม” ผมไม่ได้โกหก แต่แค่พูดไม่หมดเฉยๆ


   “นั่นสินะ พี่ภูไม่เห็นมีเหตุผลที่จะต้องโกหกนี่เนอะ” ถึงจะพูดแบบนั้นแต่สีหน้าของธารก็ไม่ได้ดูเชื่อผมเลยสักนิด แต่ผมไม่อยากพูดแก้ตัวอะไรมากเพราะจะดูเป็นการร้อนตัวเปล่าๆ เลยได้แต่ทำหน้านิ่งเก็บอาการอยู่เหมือนเดิม


   จากนั้นไม่นานตะวันก็ทำอาหารเย็นเสร็จ พวกลูกมือทั้งหลายเลยช่วยกันยกจานมาจนเต็มโต๊ะ ก่อนที่พวกเราทุกคนจะเริ่มลงมือกินอาหารเย็นด้วยกัน


   “กินเยอะๆ นะตะวัน” พฤกษ์พูดอย่างเป็นห่วงเป็นใย แล้วตักผักในถ้วยแกงจืดไปใส่จานของตะวัน ผมมองภาพนั้นพลางขมวดคิ้ว


   “ขอบใจนะพฤกษ์” ตะวันยิ้มหวานส่งให้ เพียงเท่านั้นก็ทำเอาพฤกษ์ดีใจจนยิ้มไม่หุบแล้ว แต่ผมนี่สิกลับหน้าบึ้งตรงข้ามกับพฤกษ์โดยสิ้นเชิง


   ทางด้านเพลิงที่กลัวว่าพฤกษ์จะทำคะแนนอยู่คนเดียวเลยพูดขึ้นบ้าง จากนั้นก็ตักหมูย่าง 2 – 3 ชิ้นไปใส่ในจานของตะวันด้วย


   “กินหมูด้วยสิตะวัน”


   “ขอบใจนะเพลิง” ตะวันยิ้มหวานส่งให้เพลิงเหมือนกัน พฤกษ์ที่เห็นอย่างนั้นเลยทำหน้าเซ็งๆ ส่วนเพลิงก็ยักคิ้วกลับไปให้ แล้วทำหน้าประมาณว่า ‘อย่าคิดว่าจะชนะกู’


ผมมองภาพนั้นอย่างไม่สบอารมณ์เท่าไหร่นัก ก่อนที่มันจะยิ่งทวีคูณมากกว่าเดิมหลายเท่า เมื่อวาตักปลานึ่งจากในจานขึ้นมาแล้วยื่นช้อนไปที่ปากของตะวัน ไม่ได้ใส่ในจานเหมือนกับพฤกษ์และเพลิง


   “ช่างผักกับหมูก่อนนะครับพี่ตะวัน ตอนนี้มากินปลาจากผมดีกว่า อ้าม...” พอโดนช้อนจ่อที่ปากแถมยังโดนอ้อนจากวาขนาดนี้ ตะวันจะทำอะไรได้นอกจากต้องอ้าปากกินปลาเข้าไปน่ะสิ แต่เท่านั้นวายังไม่พอใจ เพราะได้ดึงช้อนกลับมาจูบ แถมยังทำเสียง ‘จุ๊บ’ เพื่อเย้ยพฤกษ์กับเพลิงอีกด้วย


   ภาพที่เห็นทำเอาผมถึงกับต้องขบกรามแน่น แถมยังกำหมัดที่อยู่ใต้โต๊ะจนเส้นเลือดมันเด่นชัดขึ้นมาอีกต่างหาก


   “หนอย...แกทำเกินไปแล้วนะไอ้วา!” ประโยคนี้ผมไม่ได้เป็นคนพูด แต่เป็นเพลิงต่างหาก จากนั้นก็ลุกขึ้นแล้วเอื้อมมือไปเขกกะโหลกวาที่อยู่ตรงข้ามอย่างหมั่นไส้ โดยมีพฤกษ์ยกนิ้วให้เพื่อชื่นชม ส่วนวาที่โดนอย่างนั้นก็โวยวายออกมาเสียงดังลั่นโต๊ะอาหาร


   การกระทำทุกอย่างอยู่ในสายตาของผม ส่วนอาการหึงและไม่พอใจของผมก็อยู่ในสายตาของคนคนหนึ่งมาโดยตลอดเช่นกัน ซึ่งคนคนนั้นก็คือธารนั่นเอง เพราะงั้นธารจึงขยับเข้ามาใกล้ๆ จากนั้นจึงได้กระซิบเบาๆ ที่ข้างหูของผมว่า...


   “เก็บอาการหน่อยพี่ภู เดี๋ยวไอ้พวกนั้นก็รู้กันพอดีว่าพี่หึงตะวัน” เท่านั้นแหละผมก็ถึงกับสะดุ้ง ก่อนที่จะรีบหันกลับไปถลึงตาใส่ธาร


   “พี่ไม่ได้หึง” ผมพูดด้วยเสียงรอดไรฟัน


   “หรอ? ไฟลุกท่วมตาขนาดนี้เนี่ยนะ? ถ้าไม่อยากให้จับได้ก็อย่าหลุดแสดงอาการสิพี่ภู” ธารพูดยิ้มๆ ส่วนผมที่ขี้เกียจจะแก้ตัวแล้วเลยไม่ได้ตอบอะไร แถมก็ไม่ได้อยากจะปิดบังความรู้สึกของตัวเองเท่าไหร่เลยยอมรับไปโดยปริยาย


การที่ผมพยายามปิดบังความรู้สึกของตัวเองมาจนถึงตอนนี้ ไม่ใช่เพราะว่าไม่มั่นใจความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อตะวัน แต่ว่าผมกลัวโดนล้อหรือเหน็บแนมที่ก่อนหน้านี้ตั้งแง่และอคติกับตะวันต่างหาก


   “ไม่ตอบแบบนี้แสดงว่ายอมรับว่าหึงสินะพี่ภู?”


   “เออ แล้วแกจะทำไม” ผมกัดฟันกรอด พยายามพูดด้วยเสียงที่เบาที่สุดเพื่อไม่ให้พวกที่เหลือได้ยิน


   “ก็ไม่ทำไมหรอก ผมแค่ดีใจเฉยๆ ที่ในที่สุดก็มีคนพังกำแพงภูเขาน้ำแข็งของพี่ได้แล้ว แถมคนที่พังก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นคนที่พี่เกลียดจนเคยไล่ออกจากบ้านอีกต่างหาก” ธารอมยิ้มอย่างล้อเลียน คิดแล้วเชียวว่าผมต้องโดนอย่างนี้ เพราะแบบนี้ไงผมถึงได้ไม่อยากให้ใครรู้


“ถ้าจะถามเพื่อล้อเรื่องนี้แกก็เงียบไปเลยธาร”


“แหม แค่นี้ก็ต้องโมโหด้วย พี่ภูเอาเวลาที่โมโหผมไปคิดเรื่องกำจัดคู่แข่งดีกว่า ดูสิตอนนี้ไอ้พวกนั้นแข่งกันทำคะแนนใหญ่เลย” ธารหันไปมองยังพฤกษ์ เพลิง และวา ที่ตอนนี้เลิกทะเลาะกันแล้วหันไปเอาใจตะวันเหมือนเดิม


“พี่ไม่ทำอะไรเป็นเด็กๆ แบบไอ้พวกนั้นหรอกนะ ว่าแต่แกเถอะจะมาซักไซ้พี่ทำไม หรือคิดจะหลอกถามข้อมูลจากพี่” ผมหรี่ตามองอย่างจับผิด ส่วนธารก็ขมวดคิ้วด้วยความงุนงง


“หา? ผมจะทำแบบนั้นเพื่อ?”


“ก็ไม่รู้สิ เผื่อแกเบื่อรับอยากลองรุกดูบ้าง” เพราะระหว่างธารกับตะวัน คนที่รุกได้น่าจะเป็นธารมากกว่า


“เรื่องแบบนั้นผมไม่เบื่อหรอกนะ ถ้าจะเบื่อก็เพราะคู่ขาไม่ได้เรื่องมากกว่า เพราะงั้นพี่ตัดผมออกจากสารบบคู่แข่งได้เลย ส่วนวากับเพลิงจะตัดทิ้งไปด้วยก็ได้เหมือนกัน เพราะวามันคงรุกไม่ขึ้น แถมไม่รู้ว่าแผลใจมันหายแล้วรึยัง ส่วนเพลิงมันก็แค่ ‘อยากได้’ ไม่ได้คิดอะไรกับตะวันจริงจัง เพราะงั้นคู่แข่งของพี่เลยมีแค่คนเดียวนั่นก็คือพฤกษ์ ซึ่งเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวที่สุดด้วย”


พอลองคิดตามสิ่งที่ธารพูดมันก็ถูกต้องทุกอย่าง คู่แข่งของผมไม่ใช่ธาร เพลิง หรือวา แต่เป็นพฤกษ์ซึ่งเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวที่สุด เพราะนอกจากจะเป็นเพื่อนที่เรียนด้วยกัน แต่ที่ผ่านมาก็ยังเป็นคนที่ดูแลเอาใจใส่ตะวันมากที่สุดอีกด้วย ในขณะที่ผมกลับดีแต่จ้องจับผิดและพูดจาทำร้ายจิตใจ แล้วอย่างนี้ผมจะเอาอะไรไปสู้ได้ล่ะ


ก่อนหน้านี้ผมก็มั่นใจในระดับหนึ่งแหละว่า ตะวันคงจะมีความรู้สึกดีๆ ให้ผมหรือชอบผมบ้าง เพราะดูจากท่าทีเขินอายและยินยอมให้ผมทำนู่นทำนี่ แต่พอลองนึกดูดีๆ ตะวันก็ไม่เห็นเคยปฏิเสธใครจริงจัง แถมยังมีท่าทีเขินอายหน้าแดงกับทุกคนในบ้านอีกต่างหาก อย่างตอนนี้ก็ด้วย


ไม่ได้การล่ะ ผมว่าผมต้องหาทางพิสูจน์ความรู้สึกของตะวัน และรีบทำคะแนนแซงพฤกษ์ให้ได้ซะแล้ว


ถึงแม้ตั้งแต่เล็กจนโตผมจะเสียสละให้น้องและทำงานหนักมาโดยตลอด แต่ก็มีแค่เรื่องนี้เรื่องเดียวเท่านั้นที่ผมจะสู้กันแบบแฟร์ๆ ไม่ยอมเสียสละเด็ดขาด เรื่องของความรักมันไม่มีพี่มีน้องและไม่มีถูกผิดหรอกนะ


เพราะงั้น...คืนนี้แหละผมจะต้องทำให้ตะวันเลือกผมและเป็นของผมให้ได้เลย!


......................................................
....................................
..................


ก๊อก ก๊อก ก๊อก


“นั่นใครครับ?” ตะวันถามขึ้นจากในห้องเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู


“ฉันภูผาเอง เปิดประตูให้หน่อยสิ”


“ครับ” ตะวันรับคำ จากนั้นก็เงียบไปแป๊บหนึ่งก่อนที่จะเดินมาเปิดประตูให้ผม


ตอนนี้เป็นเวลาเกือบจะ 5 ทุ่มแล้ว พฤกษ์กับวาเลยขึ้นห้องไปอ่านหนังสือไม่ก็เล่นโซเชียล ส่วนธารกับเพลิงก็ออกไปเที่ยวตามประสาคนชอบสนุก (แต่ไม่ผูกพัน) ดังนั้นผมเลยได้โอกาสมาเคาะห้องของตะวัน เพราะทางสะดวกไม่มีใครอยู่ที่ห้องนั่งเล่นเลยแม้แต่คนเดียว


“คุณภูผามีธุระอะไรกับผมรึเปล่าครับ”


“ฉันมาดูอาการของนายน่ะว่าดีขึ้นรึยัง” พูดจบผมก็ถือโอกาสก้มตัวลงไป เอาหน้าผากของตัวเองแนบกับหน้าผากของตะวันซะเลย


“อ๊ะ!” การกระทำนั้นทำเอาตะวันตกใจจนสะดุ้งและเบิกตากว้าง แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ขยับไปไหนหรือว่าผลักไสผมล่ะนะ


“ผม...ผมหายแล้วครับคุณผา”


“หายที่ไหนตัวยังรุมๆ อยู่เลยนะ” พูดจบผมก็ยืดตัวขึ้น จากนั้นก็แทรกตัวเข้าไปในห้อง จัดการล็อกประตูให้เรียบร้อย แล้วก็จูงมือของตะวันไปยังเตียงนอน


“นอนพักผ่อนซะ แล้วก็ไม่ต้องฝืนตื่นขึ้นมาแต่เช้าด้วย หัดตื่นสายๆ บ้างเข้าใจมั้ย”


“ถ้างั้นคุณภูผาก็หัดนอนเร็วบ้างสิครับ ปกติตี 2 ตี 3 ยังนั่งทำงานอยู่เลย แถมบางคืนยังโต้รุ่งไม่ยอมหลับยอมนอนอีกด้วย ทำแบบนี้มันเสียสุขภาพนะครับ” ตะวันได้ทีเลยย้อนผมคืน แต่ผมไม่คิดว่านี่เป็นการพูดตอกกลับเพื่อเอาชนะหรอกนะ ผมมั่นใจว่าที่ตะวันพูดเพราะเป็นห่วงผมจริงๆ


“ฉันจะนอนเร็วอย่างที่นายบอกก็ได้” พอผมพูดแบบนี้ตะวันก็ยิ้มกว้างออกมาทันที


“จริงนะครับ!”


“อืม จริงสิ แต่ว่า...นายต้องให้ฉันนอนที่นี่ด้วยคนนะ” เท่านั้นแหละจากที่ยิ้มอยู่ตะวันก็ทำหน้างุนงงและตกใจแทน


“หา? นอนที่นี่? ทำไมล่ะครับ?”


“ก็ฉันอยากนอนกับนายนี่นา” นอนที่ว่าผมหมายถึง ‘หลับนอน’ ไม่ใช่ ‘นอนหลับ’ หรอกนะ


“แล้วทำไมต้องอยากนอนกับผมด้วยล่ะครับ เวลาที่ผมขอร้องอะไรคุณภูผาต้องมีข้อแม้ทุกทีเลย ตั้งแต่เรื่องที่...เอ่อ...จูบผม...แทนสูบบุหรี่แล้ว” พูดถึงตรงนี้ตะวันก็เสียงเบามากจนแทบไม่ได้ยิน แถมยังก้มหน้างุดด้วยพวงแก้มที่แดงจัดอีกต่างหาก


“นายไม่รู้จริงๆ หรอว่าทำไมฉันถึงอยากนอนกับนายแล้วก็อยากจูบกับนาย” ผมพูดพร้อมกับเดินเข้าไปประชิดตัวตะวัน จากนั้นก็ยื่นสองมือออกไปโอบเอวบางเอาไว้ ซึ่งนั่นมันก็ทำให้ตะวันเงยหน้าขึ้นมาสบตากับผม


“เอ่อ...ไม่รู้สิครับ”


“ลองคิดดูดีๆ สิ” ผมก้มใบหน้าลงไปจนปลายจมูกชนเข้ากับปลายจมูกของตะวัน


“คะ...คุณภูผาไม่ชอบผม?”


“ถ้านายตอบผิดนายต้องโดนลงโทษนะรู้มั้ย” ถ้าผมไม่ชอบผมคงไม่ทำเรื่องแบบนี้กับหรอกนะ เพราะงั้นผมจึงได้ลงโทษตะวันด้วยการจูบทันที แถมยังไม่ใช่จูบธรรมดา เพราะว่าผมได้ขบเม้มที่ริมฝีปากบาง ตามด้วยการสอดลิ้นเข้าไปภายในอีกด้วย


“อื้อ...” ตะวันเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เมื่อตั้งสติได้ก็เริ่มออกแรงดิ้นไปมา แต่ว่าพอผ่านไปสักพักก็เลิกต่อต้าน เพราะเรี่ยวแรงหดหายแถมยังเคลิบเคลิ้มไปกับรสจูบอันดูดดื่มจากผม


“อา...” เสียงครางกระเส่าหลุดออกมาเบาๆ เมื่อผมถอนจูบออกไป ก่อนที่ตะวันจะไร้แรงยืนจนทรุดลงไปข้างล่าง ยังดีที่ผมไวกว่ารับเอาไว้ได้ทันเลยถือโอกาสรวบเอวบางมานั่งที่ตัก โดยที่ผมได้นั่งลงแล้วพิงหัวเตียงเอาไว้อีกที


“คราวนี้ถ้านายตอบผิดมันจะไม่ใช่แค่การจูบแล้วนะตะวัน”


“เอ๊ะ! ไหงงั้นล่ะครับคุณภูผา!”


“ฉันไม่ได้ให้นายถามคำถามกับฉันนะ ฉันให้นายตอบคำถามฉันต่างหาก เอาล่ะ ตอบมาสิว่าทำไมฉันถึงได้ทำเรื่องแบบนี้กับนาย” ในขณะที่พูดผมก็สอดมือเข้าไปใต้เสื้อของตะวัน จากนั้นก็ลูบไล้ร่างกายเนียนลื่นจนทั่วทุกตารางนิ้ว


“ยะ...หยุดเถอะครับ...คุณภูผา...อ๊ะ...ต้องการแกล้งผม...อื้อ...ใช่มั้ยครับ” ตะวันพูดแทบไม่เป็นภาษา ส่วนร่างกายก็สั่นสะท้านและกระตุกเกร็งเป็นจังหวะตามมือของผม


“แน่ใจแล้วนะกับคำตอบนั้น?” ผมไม่เข้าใจจริงๆ ว่าตะวันคิดแบบนั้นได้ยังไง ผมจะทำเรื่องแบบนี้กับคนที่ไม่ชอบเพราะว่าอยากแกล้งได้งั้นหรอ พูดเลยว่าไม่มีทาง


“กะ...ก็ผมคิดเหตุผลอย่างอื่นไม่ออกแล้วนี่ครับ..อ๊ะ! อ๊า!” ผมรู้สึกหงุดหงิดนิดหน่อยกับคำตอบของตะวัน เพราะงั้นผมเลยลงโทษโดยการใช้สองมือบีบไปที่ยอดอกเล็กๆ จากนั้นก็ขยี้ไปมาจนมันตั้งชูชันและแข็งเป็นไต


“นายตอบผิดนะตะวัน เตรียมใจรับบทลงโทษแล้วใช่มั้ย”


“หา! มะ...ไม่นะครับคุณภูผา...ยะ...อื้อ!” ผมขี้เกียจฟังคำปฏิเสธอีกต่อไปแล้ว เลยดันท้ายทอยของตะวันลงมาจูบปิดปากซะเลย การกระทำนั้นทำเอาตะวันตกใจจนตาเบิกกว้าง จากนั้นก็เริ่มต่อต้านและดิ้นไปมา แต่ว่าเพียงไม่นานเรี่ยวแรงทั้งหมดก็เริ่มหดหาย กลายเป็นว่าต้องอ่อนระทวยและตอบสนองรสจูบของผม


“อือ...อืม...อือ...” ผมดูดที่กลีบปากบางอย่างยั่วเย้า จากนั้นก็ใช้ลิ้นเลียก่อนที่จะสอดเข้าไปภายในเพื่อเกี่ยวพันกับลิ้นของตะวัน


ด้วยความที่ไร้ประสบการณ์ทำให้การตอบสนองเป็นไปอย่างไร้เดียงสา ทั้งกล้าๆ กลัวๆ แต่ก็รู้สึกสุขสมจนมัวเมา เล่นเอาผมแทบคลั่งจนลืมตัวจูบอย่างรุกเร้า รุนแรง และดูดดื่มมากขึ้นกว่าเดิม


“อื้ม...อื้อ...อา...” จนกระทั่งตะวันเริ่มหายใจไม่ทันผมจึงได้ถอนจูบออกมา ก่อนจะเคลื่อนใบหน้าลงไปซุกไซ้ยังซอกคอขาวผ่อง ทำเอาตะวันถึงกับสั่นสะท้านและครางกระเส่าด้วยความเสียวซ่าน


“อา...คุณภูผา...” สีหน้าของตะวันตอนนี้เร้าอารมณ์เป็นบ้า ดูท่าจะรู้สึกดีและเคลิบเคลิ้มจนลืมต่อต้านไปซะแล้ว ผมยิ้มกับอาการนั้นของตะวัน จากนั้นก็แหวกสาปเสื้อที่ปลดกระดุมเรียบร้อยออกไป แล้วก้มหน้าลงใช้ริมฝีปากครอบครองยอดอกสีสวยทันที


“อ๊ะ...อ๊า...” ตะวันแอ่นอกรับและร้องครางด้วยความเสียว เมื่อผมตวัดลิ้นตุ่มไตเล็กๆ ขึ้นลง จากนั้นก็ดูดกลืนยอดอกสีหวานเข้าไปในปาก ความเสียวซ่านที่ได้รับทำเอาตะวันขยุ้มเส้นผมของผมแน่น


“อ๊า...อ๊ะ...อ๊า...” เสียงครางของตะวันดังขึ้นเรื่อยๆ เมื่อผมใช้มือที่ว่างอยู่ลูบไล้ตามสีข้างของตะวันขึ้นไปจนถึงยอดอกข้างซ้าย จากนั้นก็บีบและขยี้มันทั้งๆ ที่ริมฝีปากของผมกำลังดูดเลียยอดอกข้างขวา ซึ่งนั่นก็ทำให้ความเสียวกระสันของตะวันเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ


“อ๊ะ...อ๊ะ...อ๊า...คุณภูผา...อ๊ะ...อ๊า...” ตะวันครางกระเส่าและบิดกายเร่า ความเสียวซ่านที่ได้รับทำเอาส่วนนั้นที่อยู่ภายใต้กางเกงตื่นตัวและนูนเด่นขึ้นมา แน่นอนว่าผมก็เช่นกัน ตอนนี้ผมรู้สึกปวดหนึบอยากปลดปล่อยออกมาแทบบ้า แต่ว่าตอนนี้สิ่งที่ต้องทำก็คือการช่วยตะวันก่อนเป็นดันดับแรก


ผมล้วงมือข้างที่ว่างลงไปในกางเกงของตะวันแล้วคว้าส่วนนั้นขึ้นมา จากนั้นก็ทำการรูดรั้งขึ้นลงตามความยาว ไปพร้อมๆ กับการบีบขยี้และดูดเลียยอดอกที่แข็งเป็นไต


“อ๊า...ซี้ดด...อ๊า...” การที่ถูกผมรุกเร้าทั้ง 3 ที่พร้อมกันทำเอาตะวันเสียวสุดๆ จนหวีดร้องออกมาดังลั่น ในขณะที่ส่วนนั้นก็มีน้ำใสๆ ไหลซึมออกมาจากรูเล็กๆ ตรงส่วนปลาย


“อ๊ะ...อ๊า...อ๊า...อ๊า...” ยิ่งตะวันร้องครางมากเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งมีอารมณ์มากขึ้นเท่านั้น สารภาพตามตรงเลยว่าตอนนี้ผมอยากจะเอาท่อนเนื้อของผมออกมา แล้วจับร่างของตะวันขย่มลงมากลืนกินทั้งลำจนใจจะขาด ข้างในของตะวันคงจะร้อน ตอดรัด และดูดกลืนจนผมเสียวแทบขาดใจแน่ๆ

 
อา...ให้ตายสิ แค่คิดผมก็แทบจะเสร็จได้อยู่แล้ว!


“คะ...คุณภู...คุณภูผา...ผมจะ...อ๊ะ...อ๊า...จะเสร็จ...อ๊า...” ตะวันพูดแทบไม่เป็นภาษา คำพูดนั้นทำให้ผมดึงสติกลับมาแล้วเร่งปรนเปรอความเสียวซ่านให้ตะวัน โดยการบีบขยี้ยอดอกให้แรงขึ้น ตวัดลิ้นเลียพร้อมดูดดุนให้หนักหน่วงยิ่งขึ้น ส่วนท่อนเนื้อที่อยู่ในมือก็รูดรั้งขึ้นลงให้เร็วขึ้นเช่นกัน


“อ๊ะ...อ๊ะ...อ๊า...คุณภูผา! คุณภูผา!!” ตะวันเรียกชื่อผมดังลั่น สองมือขยุ้มที่ศีรษะของผมด้วยความเสียวจนสุดแรง ส่วนแก่นกายก็ได้ขยายใหญ่มากขึ้นแถมยังมีน้ำใสๆ ไหลออกมามากกว่าเดิมอีกต่างหาก ผมที่เห็นอย่างนั้นเลยเร่งการขยับนิ้ว ฝ่ามือ ริมฝีปาก และปลายลิ้นเพื่อเพิ่มความเสียวซ่านให้ตะวันมากกว่าเดิม


จนในที่สุด...


“อ๊ะ...อ๊า...อ๊าาาาาาาาาา!” ตะวันกรีดร้องออกมาอย่างสุดเสียง จากนั้นก็ปลดปล่อยความเสียวทั้งหมดที่ได้รับออกมาจนเต็มฝ่ามือของผม


“อา...” ตะวันหมดแรงทรุดลงมาซบลงที่ไหล่ของผมพร้อมหายใจหอบฮัก ตอนแรกผมก็คิดว่าจะให้ตะวันพักให้หายเหนื่อยก่อนค่อยทำขั้นต่อไป แต่เสียงลมหายใจที่หอบกระเส่าแถมยังรดอยู่ที่ต้นคอ มันก็ทำเอาผมเสียววาบจนควบคุมความต้องการเอาไว้ไม่ได้แล้ว


ผมฝังใบหน้าลงที่ซอกคอของตะวัน จากนั้นก็บีบขยี้ยอดอกของตะวันจนเริ่มหลุดเสียงครางออกมาอีกครั้ง ในขณะที่ฝ่ามืออันเปียกชุ่มไปด้วยของเหลวสีขาวขุ่นก็อ้อมไปทางด้านหลัง แล้วทำการล้วงเข้าไปในกางเกงจนกระทั่งพบช่องทางรักอันคับแคบ


“อ๊ะ...อ๊า!!” ตะวันสะดุ้งเฮือกแล้วหวีดร้องลั่น จากนั้นก็เริ่มโวยวายและดิ้นรนเสียยกใหญ่ด้วยความหวาดกลัว


“คุณภูผาทำอะไรน่ะครับ! มะ...ไม่เอานะ! หยุดเลยนะครับ!”


“ใจเย็นๆ นะตะวัน ที่ฉันทำมันไม่มีอะไรน่ากลัวหรอก เดี๋ยวสักพักพอนายชินก็จะรู้สึกดีเอง” ผมเลื่อนมือข้างหนึ่งขึ้นไปลูบศีรษะของตะวันเพื่อปลอบประโลม แต่ว่ามันก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย เพราะตะวันยังคงตื่นกลัวและดิ้นพล่านเช่นเดิม


“ไม่! ไม่เอา! ที่ตรงนั้น...ที่แบบนั้นมันจะรู้สึกดีได้ยังไง! เอาออกไปเลยนะครับคุณภูผา! เอานิ้วออกไป! ผมไม่ชอบ! ไม่ชอบ! ไม่ชอบ!!” ตะวันร้องลั่น แถมตัวก็สั่นและน้ำตาไหลพราก ทำเอาผมรู้สึกผิดและสงสารจับใจจึงได้ถอนนิ้วออกมา


ถึงแม้ว่าผมจะอยากแค่ไหน แต่ถ้าตะวันไม่เต็มใจผมจะฝืนทำต่อได้ยังไงกันล่ะ


“ชู่วววว ไม่เอาไม่ร้องนะตะวัน ฉันไม่ทำต่อแล้ว ไม่ต้องกลัวแล้วนะเด็กดี” ผมโอบกอดร่างอันสั่นเทาของตะวันเอาไว้ ในขณะที่กำลังลูบศีรษะกลมมนและก้มหน้าลงไปจูบที่ขมับ


เนิ่นนาน...กว่าร่างกายของตะวันจะหยุดสั่นและไร้เสียงสะอื้น แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังคงปลอบตะวันต่อไป จนกระทั่งตะวันเผลอหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้


“ตะวัน หลับแล้วหรอ” ผมถาม แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบ มีเพียงลมหายใจอันสม่ำเสมอที่บอกให้รู้ว่าตอนนี้ตะวันได้หลับไปแล้วจริงๆ


ด้วยเหตุนี้ผมจึงได้ค่อยๆ เอนตัวตะวันนอนลงบนที่นอน ก่อนที่จะเอาทิชชู่มาเช็ดทำความสะอาดร่างกายให้ เมื่อเรียบร้อยแล้วผมก็ล้มตัวลงนอนข้างตะวัน จากนั้นก็ใช้วงแขนโอบกอดร่างอันบอบบาง ตามด้วยการก้มหน้าลงไปจูบที่หน้าผากมน แล้วจึงกระซิบด้วยเสียงแผ่วเบาออกมาว่า...


“ชอบนะตะวัน...ฉันชอบนาย”


2BC


อั๊ยยยยย สวัสดีค่ะทุกคน หัวใจชิงรักตอนที่ 7 ก็จบไปแล้วน้า อ่านจบแล้วมีใครเสียเลือดบ้างน้อ หวังว่าคงจะเสียแค่นิดหน่อยพอให้เป็นกระสัย ไม่ได้ทำให้หมดตัวไปแล้วหรอน้า  :pighaun:
ตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าแต่ละคนจะหมั่นไส้ เห็นใจ สมน้ำหน้า หรือว่าสงสารคุณภูผาดีที่หาเรื่องลงโทษตะวัน ที่ทำไปน่ะกำไรทั้งน้าน พอรู้ใจตัวเองพี่แกก็รุกหนักจากหลังเท้าเป็นหน้ามือเลย นี่ถ้าตะวันไม่ตัวสั่นเพราะกลัวก่อน คิดว่าคืนนี้ลูกแกะน้อยคงไม่พ้นหมาป่า (จอมหื่น) แน่เลยนะเนี่ย  o3
ส่วนตอนหน้ามาลุ้นกันค่ะว่าเรื่องราวจะเป็นยังไงต่อไป จะได้เห็นตะวันบรรยายหรือว่ายังคงเป็นภูผาอยู่ก็ต้องติดตามแล้วค่า ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดคิดว่าวันอาทิตย์น่าจะอัพให้ทุกคนได้อ่านกันนะคะ มาเอาใจช่วยคู่ภูตะวันกันด้วยน้า  :กอด1:
สุดท้ายนี้ขอขอบคุณทุกคนมากๆเลยนะคะที่เข้ามาอ่านและเม้นให้นิยายเรื่องนี้ จะมากจะน้อยเราก็อ่านอย่างมีความสุขทุกครั้ง ขอบคุณจริงๆนะคะ รักทุกคนน้า จุ๊บบบบบ  :L1:
(27 ก.ค. 60)

ออฟไลน์ Micky_MN

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 198
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-3
 :o8: เขินพี่ภูหนักมาก

ออฟไลน์ Y-Darkness

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0

ออฟไลน์ Micky_MN

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 198
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-3
ร้ายกาจแผนการพี่ภูช่างล้ำลึก

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Y-Darkness

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0

ออฟไลน์ Sameejaejung

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +457/-17
[H.E.A.R.T.] H. Hanger หัวใจชิงรัก


Part 8# Phupha เงินสด รถ เอทีเอ็ม (สายเปย์ที่แท้ทรู)

               เช้านี้ผมตื่นมาด้วยความสดชื่นและสดใส แถมยังสุขล้นจนอดไม่ได้ที่จะฉีกยิ้มกว้าง เพราะการตื่นมาแล้วมีคนที่ชอบนอนอยู่ข้างๆ มันช่างรู้สึกดีจนเกินบรรยายจริงๆ

               ผมนอนมองตะวันที่กำลังหลับตาพริ้มอยู่แบบนี้มาได้สักพัก สีหน้าตอนนี้ช่างน่ารักน่าเอ็นดูจนผมแทบอดใจไม่ไหว แต่ดูจากปฏิกิริยาของตะวันเมื่อคืนนี้ผมก็รู้แล้วว่าผมทำเกินไป เพราะงั้นผมเลยตัดสินใจว่าจะไม่รุกหนักเท่าเดิม ผมจะค่อยๆ อ่อนโยนจนกว่าตะวันจะโอนอ่อนคล้อยตาม

               ถึงผมจะเลิกรุกหนัก แต่ก็ใช่ว่าผมจะยอมให้ไอ้พวกน้องๆ มันแซงได้หรอกนะ ผมออกตัวสตาร์ทช้ากว่าใครก็จริง แต่ผมจะแสดงให้พวกมันดูว่าผมนี่แหละจะเป็นคนที่เข้าเส้นชัยเป็นคนแรก!

               ตอนนี้เป็นเวลา 8 โมงกว่าๆ ถ้าเป็นปกติป่านนี้ตะวันต้องตื่นมาทำกับข้าวให้คนในบ้านกินเรียบร้อยแล้ว ที่วันนี้ยังนอนอยู่บนเตียงคงเป็นเพราะเหนื่อยสะสมจากพิษไข้ และเหนื่อย (ปนสุขสม) จากการปลดปล่อยเมื่อคืนนี้

แต่ผมว่านะ ตะวันคงได้นอนอีกแค่แป๊บเดียว เพราะอีกเดี๋ยวไอ้ตัวป่วนมันก็คงจะมาก่อกวนตะวันแน่นอน

               ก๊อก ก๊อก ก๊อก

               “พี่ตะวันอยู่ข้างในรึเปล่าครับ ตื่นรึยังเอ่ย ออกมาเปิดประตูให้ผมหน่อย”

               นั่นไง พูดยังไม่ทันขาดคำไอ้เจ้าน้องเล็กของบ้านก็มารบกวนการนอนของตะวันเข้าซะแล้ว แต่นี่ก็ถือเป็นข้อดีล่ะนะ เพราะผมจะได้แสดงให้ดูสักทีว่าตอนนี้ผมอยู่เหนือกว่าพวกมันกี่เท่าตัว

               “อืม...เสียงใครน่ะครับคุณภูผา” ตะวันลืมตาขึ้นมาอย่างงัวเงียแล้วพยายามจะชันตัวลุกขึ้น เพราะตอนนี้วายังคงร้องเรียกและเคาะประตูไม่หยุด แล้วถ้าผมฟังไม่ผิดตอนนี้ทั้งธาร พฤกษ์ และเพลิง ก็น่าจะมาสมทบอยู่ที่หน้าประตูด้วย เพราะผมเหมือนได้ยินเสียงคนหลายๆ คนกำลังคุยกัน

               ดี! มากันครบทุกคนแบบนี้จะได้เห็นกันอย่างชัดเจนไปเลย!

“เสียงวาน่ะตะวัน แต่ว่านายไม่ต้องฝืนลุกขึ้นมาหรอก” ผมดันตะวันให้กลับลงไปนอนเหมือนเดิม

“แต่ว่า...”

“ไม่มีแต่ นอนต่อเถอะตะวัน ฝืนมากๆ เดี๋ยวไข้กลับมาอีกจะว่าไงหืม”

“ถ้างั้น...ผมนอนต่อก็ได้ครับ”

“ดีมาก” ด้วยความที่ตะวันทำตัวว่าง่ายเป็นเด็กดี เพราะงั้นผมจึงได้ให้รางวัลโดยการก้มหน้าลงไปจูบที่หน้าผากดังจุ๊บ

การกระทำนั้นทำเอาตะวันเบิกตากว้างด้วยความตกใจ แต่พอผมเลื่อนใบหน้าลงไปจูบที่ริมฝีปากพร้อมขบเม้มเบาๆ ตะวันก็หน้าร้อนฉ่าจนต้องเอาผ้าห่มขึ้นมาปิดบังใบหน้าด้วยความเขินอาย

“คุณภูผาอ่า...” -///-

“หึหึ” ความน่ารักของตะวันทำเอาผมอดที่จะยิ้มและหัวเราะออกมาไม่ได้ แต่ว่าพอได้ยินเสียงเคาะประตูและร้องเรียกตะวันที่ยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ ผมก็ทำหน้าเบื่อหน่ายและต้องลุกขึ้นจากเตียงด้วยความเซ็งสุดขีด

“พี่ตะวันตอบผมหน่อยครับ! ไม่สบายหรือว่าไข้กลับรึเปล่า! ถ้าอีก 1 นาทีพี่ตะวันไม่เปิดผมจะ...”

“จะอะไรของแก?” ผมชิงเปิดประตูก่อนที่วาจะได้พูดจนจบประโยค พอเห็นหน้าผมเท่านั้นแหละวาก็ทำหน้าตกใจเป็นไก่ตาแตกทันที รวมทั้งพฤกษ์และเพลิงก็ด้วย ขนาดธารที่รู้เรื่องที่ผมชอบตะวันแล้วก็ยังทำหน้าตกใจเลยที่เห็นผมเปิดประตูออกมาแบบนี้

“พะ...พะ...พะ...พี่ภู...” เห็นแค่นี้ก็ถึงกับติดอ่างซะแล้วน้องผม

“อืม พี่เอง หรือแกคิดว่าไม่ใช่”

“กะ...กะ...ก็ใช่ครับ ตะ...แต่ว่า...ทะ...ทำไมพี่ภูถึงได้...” ดูท่าวาจะช็อคเอามากๆ เลยพูดตะกุกตะกักได้ถึงขนาดนี้ เล่นเอาผมที่กำลังเก็กขรึมอยู่เกือบจะหลุดขำออกมา พฤกษ์ที่ทนรอให้วาพูดจนจบประโยคไม่ไหวเลยพูดแทรกขึ้นก่อนด้วยความร้อนรน

“พี่ภูเข้าไปทำอะไรในห้องของตะวันครับ” เป็นคำถามที่ดี นี่แหละที่ผมรออยู่เลย

“จะเข้าไปทำอะไรได้ล่ะ พี่ก็ต้องเข้าไปนอนน่ะสิ” ผมตอบด้วยใบหน้านิ่งๆ แต่ในใจนี่อยากจะยิ้มอย่างผู้ชนะใจจะขาด คำตอบนั้นทำเอาพฤกษ์ถึงกับช็อคจนตัวแข็งทื่อไปเลย

“เดี๋ยวๆๆ พี่ภูเข้าไปนอนกับตะวันตั้งแต่ตอนไหน” คำถามนี้เพลิงเป็นคนถาม ผมจึงได้ตอบกลับไปอย่างนิ่งๆ เหมือนเดิม

“เมื่อคืน”

“ถ้างั้นก็หมายความว่า...”

“พี่นอนอยู่กับตะวันในห้องทั้งคืนยังไงล่ะ”

“ห้ะ!! ทั้งคืน!!” คราวนี้เพลิงกับวาประสานเสียงออกมาพร้อมกันด้วยความตกใจ

“ใช่ ถ้าพวกแกอยากรู้อะไรมากกว่านี้ก็ไปถามตะวันเอาเองละกัน แต่ว่าสัก 3 – 4 ชั่วโมงค่อยไปปลุกนะ ตอนนี้ปล่อยให้ตะวันนอนพักเถอะเพราะเมื่อคืนพวกเราเหนื่อยกันมาก”

“ห้ะ!! เหนื่อยกันมาก!!”

“เออ แล้วนี่พวกแกจะเสียงดังไปไหน พี่บอกแล้วไงว่าอยากให้ตะวันนอนพัก”

ผมพยายามพูดตอกย้ำให้พวกมันเข้าใจผิดไปเรื่อยๆ ถึงแม้ว่าสิ่งที่พวกมันคิดจะเกินจริงไปหน่อยเพราะผมกับตะวันไม่ได้มีอะไรกัน แต่ผมก็ไม่คิดจะแก้ความเข้าใจผิดนั้นหรอกนะ ให้พวกมันเข้าใจแบบนี้แหละดีแล้ว

ส่วนความจริงจะเป็นยังไงพวกมันคงไม่กล้าถามตะวันตรงๆ หรอก แต่ถึงจะถามตะวันก็คงเขินหน้าแดงแล้วก็รีบกลบเกลื่อนจนพวกมันยิ่งสงสัยมากขึ้นอยู่ดี และท้ายที่สุดพวกมันก็จะเชื่อในสิ่งที่ผมพูดทั้งหมด

“พี่ภู แต่ว่าเรื่องนี้มัน...”

“พอๆๆ เลิกซักไซ้พี่ได้แล้วเพลิง พี่ไม่ได้มีเวลาว่างมาตอบคำถามแกทั้งวันนะ แยกย้ายกันไปที่อื่นได้แล้ว” ผมพูดจบก็ปลีกตัวออกมาทันที แต่เพลิงและวายังไม่ยอมจบเลยทำท่าจะตามมาคุยกับผมต่อ ส่วนพฤกษ์นั้นก็ยังยืนแข็งค้างเป็นท่อนไม้เหมือนเดิม ยังดีที่ธาร (น่าจะ) อยู่ทีมผมเลยห้ามพวกมันเอาไว้แล้วสั่งให้สลายตัว

ผมเดินขึ้นห้องอย่างอารมณ์ดี เพราะในที่สุดก็กำจัดคู่แข่งทั้งหมดได้เป็นที่เรียบร้อย หลังจากนี้ผมคิดว่าคงจะไม่มีใครมาจีบตะวันแข่งกับผมแล้วล่ะนะ ถ้ามีก็คงจะแค่หยอดนิดหยอดหน่อยตามประสานั่นแหละ

พอคิดได้แบบนี้ผมก็สบายใจ เลยว่าจะอาบน้ำให้สดชื่นแล้วไปทำงานที่ค้างเอาไว้ตั้งแต่เมื่อคืนต่อ แต่ว่ายังไม่ทันที่ผมจะได้ไปไหน ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นมาซะก่อน

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

“นั่นใคร?”

“ผมธารเองพี่ภู” พอรู้ว่าไม่ใช่เพลิงกับวาที่คิดจะมาซักไซ้ ผมเลยเดินไปเปิดประตูให้ธารเข้ามาในห้อง

“แกมีอะไร?” คำถามของผมดูห้วนๆ เหมือนจะไม่พอใจ แต่ความจริงแล้วตอนนี้ผมกำลังมีความสุขอยู่ต่างหาก

“ผมอยากรู้เรื่องของพี่กับตะวันที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ขอความจริงด้วยนะพี่ภู ไม่งั้นถ้าผมรู้ความจริงผมแฉพี่หมดเปลือกแน่” ธารพูดยิ้มๆ พลางยืนกอดอกพิงประตูห้อง พอโดนถาม (ขู่) แบบนี้แล้วผมจะทำยังไงได้ล่ะนอกจากต้องเล่าความจริงทั้งหมดให้ธารฟัง

ซึ่งพอได้ฟังจนจบธารก็ถึงกับพูดออกมาเลยว่า...

“โอ้โห พี่นี่มันตัวร้ายชัดๆ”

“แกพูดผิดพูดใหม่ได้นะธาร พี่ไม่ใช่ตัวร้ายแต่เป็นพระเอกต่างหาก” เพราะพระเอกตัวจริงของตะวัน มีแค่ผมคนเดียวเท่านั้น!

“งั้นผมพูดใหม่ก็ได้ พี่น่ะร้ายมากเลยนะรู้ตัวมั้ย”

“แล้วพี่เคยบอกรึไงว่าพี่เป็นคนดี บ้านนี้ก็มีแต่พวกวายร้ายทั้งนั้น”

“จริงอยู่ที่บ้านนี้มีแต่พวกวายร้าย แต่คนที่ร้ายที่สุดก็คือพี่ภูนั่นแหละ”

“เรื่องนี้พี่ไม่เถียง แล้วพี่แถมให้ด้วยเลยว่า...นอกจากจะร้ายที่สุดพี่ยังฉลาดที่สุดในบ้านอีกด้วย หึหึหึ” ผมหัวเราะในลำคออย่างชั่วร้าย ส่วนธารก็ได้แต่ส่ายหน้าไปมาอย่างเหนื่อยใจ

“เฮ้อออออ ผมล่ะสงสารตะวันจริงจริ้ง ที่ดันไปถูกใจวายร้ายตัวพ่ออย่างพี่ได้น่ะ ดูท่าคงจะรอดยากซะแล้ว...”


Tawan


              หลังจากวันนั้น วันที่คุณภูผาขอ (บังคับ) มานอนกับผมที่ห้อง ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาคุณภูผาก็เข้ามานอนกับผมที่ห้องทุกคืน ตอนแรกผมก็กลัวอยู่หรอกว่าคุณภูผาจะบังคับทำอะไรผมเหมือนคืนแรกรึเปล่า แต่ก็ปรากฏว่าคุณภูผาไม่ได้ทำ อย่างมากก็มีแค่จูบเท่านั้น เพราะงั้นผมเลยสามารถหลับโดยมีคุณภูผานอนกอดได้อย่างสบายใจ

ตลอด 1 สัปดาห์ที่ผ่านมาทำให้ผมได้อยู่ใกล้ชิดและรู้จักคุณภูผามากขึ้น (แต่กลับกันผมกลับรู้สึกว่าพฤกษ์และเพลิงได้ตีตัวออกห่างจากผมอย่างน่าประหลาด ยังดีที่น้องวากับคุณธารยังเข้ามาคุยเล่นกับผมเหมือนเดิม) ตัวตนที่แท้จริงของคุณภูผาไม่ได้น่ากลัว เจ้าอารมณ์ ชอบดุ หรือว่าเป็นจอมเผด็จการอย่างที่ผมเคยคิดเอาไว้ ความจริงแล้วคุณภูผาเป็นผู้ชายที่อ่อนโยนและอบอุ่นมาก มากซะจนบางครั้งมันก็ทำให้ผมรู้สึกหน้าร้อนผ่าวและใจเต้นตึกตักอย่างไม่ทราบสาเหตุ

แต่ถึงจะอ่อนโยนและอบอุ่น คุณภูผาก็แอบมีความเจ้าเล่ห์เช่นกัน เพราะบางครั้งก็ชอบเข้ามากอด หอม จูบ หรือว่าทำอะไรแปลกๆ กับผม ต่อให้ผมไม่ยอมคุณภูผาก็จะชักแม่น้ำทั้ง 5 มาหว่านล้อมจนผมใจอ่อนยอมจนได้

ผมไม่รู้เหมือนกันว่าคุณภูผาทำอย่างนี้ไปเพื่ออะไร เพราะเกลียดหรืออยากแกล้งคุณภูผาก็บอกว่าไม่ใช่ แต่ถ้าจะให้คิดเข้าข้างตัวเองว่าบางทีคุณภูผาอาจจะชอบผม ผมก็ไม่กล้าคิดเหมือนกัน

จริงอยู่ว่าพฤกษ์เคยบอกว่าบ้านนี้ไม่มีใครชอบผู้หญิง แต่คุณภูผาก็ไม่เคยบอกว่าชอบผู้ชายเหมือนกัน ยิ่งผู้ชายธรรมดาๆ ไม่มีอะไรโดดเด่นอย่างผมแล้ว มันแทบไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่คุณภูผาจะหันมาชอบ

ผิดกับคุณภูผา ที่ผมมองว่าเป็นผู้ชายที่ดูดีและมีเสน่ห์เอามากๆ นอกจากรูปร่างหน้าตาแล้วหน้าที่การงานก็ยังดีอีกต่างหาก นิสัยใจคอก็ไม่ใช่คนเลวร้าย ผมกล้าพูดได้เลยว่าคุณภูผาเป็นคนที่เพียบพร้อมและเพอร์เฟคจริงๆ

เพราะงั้นคนแบบนั้นน่ะหรอจะมาชอบคนอย่างผมได้?

ถ้าบอกว่าคนอย่างผมไปชอบคุณภูผามันยังดูเป็นไปได้มากกว่าซะอีก...ไม่สิ บางทีมันอาจจะเป็นไปแล้วก็ได้ ผมคิดว่าตอนนี้ผมอาจจะชอบคุณภูผาเข้าแล้ว

ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก

พอคิดได้แบบนี้หัวใจของผมมันก็เต้นรัวจนแทบจะระเบิด แถมใบหน้าก็ยังร้อนวาบราวกับโดนไฟเผา

ทำไงดี นี่หมายความว่าผมชอบคุณภูผาจริงๆ แล้วใช่มั้ย?

“ทำอะไรอยู่น่ะตะวัน!”

“ว้ากกกกกกกก!” จู่ๆ คุณภูผาที่มาจากไหนก็ไม่รู้เข้ามากอดผมจากทางด้านหลัง ผมที่กำลังใจจดใจจ่ออยู่กับความคิดเลยไม่ทันได้รู้ตัว จึงสะดุ้งตกใจร้องเสียงหลงลั่นบ้าน

“ตกใจอะไรขนาดนั้น ฉันไม่ใช่ผีสักหน่อย” คุณภูผาพูดจบก็หัวเราะอย่างขบขัน

“ไม่ใช่ก็เหมือนใช่แหละครับ ก็คุณภูผาเล่นมาแบบไม่ให้ซุ่มให้เสียงเลยนี่นา” ผมบ่นพลางพยายามแกะแขนปลาหมึกที่กอดเอวของผมอยู่ แต่ไม่ว่าจะแกะเท่าไหร่ปลาหมึกตัวนี้ก็ไม่ยอมปล่อย เพราะงั้นผมจึงได้ปล่อยเลยตามเลยอย่างช่วยไม่ได้

“ฉันเรียกนายแล้วนะ แต่นายไม่ได้ยินเองต่างหาก มัวแต่ใจลอยคิดถึงใครอยู่ก็ไม่รู้” คุณภูผาพูดอย่างตัดพ้อทำเป็นงอน

อยากจะบอกจริงๆ ว่าคนที่ผมมัวแต่ใจลอยคิดถึงไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นตัวคุณภูผาเองนั่นแหละ

“ผมไม่ได้กำลังคิดถึงใครครับ แต่ผมกำลังคิดเมนูอาหารเย็นนี้อยู่ต่างหาก” เรื่องที่พูดผมไม่ได้โกหกนะ เพราะก่อนที่ผมจะคิดถึงเรื่องคุณภูผาผมกำลังคิดเมนูอาหารเย็นอยู่จริงๆ

“อ้อ แล้วคิดได้รึยัง”

“ยังเลยครับ พอคิดจะทำอะไรวัตถุดิบที่ต้องใช้มันก็ขาดนิดๆ หน่อยๆ ถ้าจะเอาที่มีมายำรวมกันผมก็กลัวว่ามันจะไม่อร่อยน่ะครับ”

“วัตถุดิบไม่พองั้นหรอเนี่ย ก็นะ...มันจะครบอาทิตย์แล้วนี่นา แต่ว่าตอนนี้ฉันไม่ว่างซะด้วยสิ ต้องรีบส่งงานให้ลูกค้าก่อน 5 โมงเย็น ไว้ส่งเสร็จแล้วฉันจะพานายออกไปซื้อแล้วกันนะ”

“แต่ถ้ารอจนถึงตอนนั้นรถมันก็ติดพอดีน่ะสิครับ วันนี้เป็นวันศุกร์ด้วย แค่คุณภูผาออกไปรับน้องวาอย่างเดียวก็น่าจะกินเวลาเป็นชั่วโมงแล้วนะครับ ผมว่าผมออกไปซื้อเองดีกว่า แม็กซ์แวลูก็อยู่ไม่ไกลเท่าไหร่ด้วย” ตอนนี้เป็นเวลาบ่าย 3 โมง รถเลยยังไม่น่าจะติดเท่าไหร่

“อืม...เอางั้นก็ได้ ว่าแต่นายขับรถเป็นรึเปล่า”

“เป็นครับ”

“แล้วใบขับขี่ล่ะ?”

“มีทั้งมอเตอร์ไซค์และรถยนต์เลยครับ”

“ดี ถ้างั้นนายรออยู่นี่แล้วกัน เดี๋ยวฉันไปหยิบกุญแจรถกับเงินสดมาให้” คุณภูผาพูดจบก็คลายอ้อมแขนออกจากเอวผมแล้วเดินกลับไปยังห้องทำงาน โดยที่ผมยังคงยืนอึ้งอยู่กับที่ เพราะไม่คิดว่าการที่คุณภูผาถามเรื่องขับรถกับใบขับขี่ คุณภูผาจะให้ผมเอารถของตัวเองไปใช้จริงๆ ตอนแรกผมคิดว่ากะจะนั่งรถเมล์ไม่ก็แท็กซี่ไปด้วยซ้ำ

จากนั้นไม่เกิน 5 นาทีคุณภูผาก็เดินกลับมา แล้วตรงมาหาผมพร้อมกับเอาของวางไว้ในมือ

“นี่กุญแจรถ เงินสด กับเอทีเอ็ม ฉันยังไม่ได้กดเลยมีเงินติดกระเป๋าแค่นิดหน่อย ถ้าหากไม่พอนายก็ไปกดเอาที่ตู้ได้เลย รหัสคือ...”

“เดี๋ยวววววววว เดี๋ยวก่อนครับคุณภูผา เอ่อ...คุณภูผาไม่ต้องบอกรหัสกับผมหรอกครับ แล้วก็เก็บบัตรเอาไว้กับตัวด้วย เงินสดที่ให้มาผมว่ายังไงมันก็พอครับ” เงินที่คุณภูผาให้มา 3 พัน ถึงไม่พอผมก็จะตัดบางรายการออกจนพอให้ได้ ใครมันจะไปกล้าเอาบัตรเอทีเอ็มของคนอื่นมากดอย่างหน้าตาเฉยได้เล่า

คุณภูผานะคุณภูผา นี่คิดอะไรอยู่ถึงได้ให้ทั้งเงิน รถ แล้วก็เอทีเอ็มกับผมมาง่ายๆ กันเนี่ย!

“เงินแค่นี้มันจะพออยู่หรอ อย่าลืมสิว่าบ้านนี้อยู่กัน 6 คนเลยนะตะวัน”

“ก็ถ้าไม่พอเดี๋ยววันหลังผมค่อยให้คุณภูผาพาออกไปซื้ออีกก็ได้นี่ครับ”

“แต่ฉันว่า...”

“ไม่มีแต่แล้วครับ คุณภูผาเก็บบัตรไว้เถอะ ผมต้องรีบออกไปแล้ว ขืนช้ากว่านี้เดี๋ยวคุณภูผาจะไปรับน้องวาไม่ทัน” ผมพูดจบก็รีบยัดบัตรเอทีเอ็มใส่คืนในมือคุณภูผา จากนั้นก็รีบวิ่งออกมาจากบ้านแล้วไปขึ้นรถทันที

เฮ้อออออ ตั้งแต่เกิดมาผมยังไม่เคยรับอะไรที่มันลำบากใจขนาดนี้มาก่อนเลย ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าคุณภูผาคิดอะไรอยู่กันแน่ ของแบบนั้นมันใช่ของที่จะเอามายื่นให้คนอื่นรึไงกัน

จากนั้นผมก็สตาร์ทรถ แล้วขับออกไปด้วยความเกร็งและระมัดระวังสุดๆ เพราะหากมีเหตุไม่คาดฝันที่ทำให้รถเป็นรอยหรือเกิดอุบัติเหตุผมคงไม่มีปัญญาชดใช้แน่นอน ดังนั้นผมเลยใช้เวลานานกว่าปกติถึงจะมาถึงแม็กซ์แวลู แต่อย่างน้อยผมก็มาถึงที่นี่อย่างปลอดภัยล่ะนะ

ผมใช้เวลาหยิบวัตถุดิบประมาณครึ่งชั่วโมง เพราะต้องคิดไปด้วยว่าใครชอบอะไร และจะทำอะไรแต่ละมื้อให้ทุกคนกิน จากนั้นจึงไปหยิบขนมและของใช้จิปาถะเอาไว้ติดบ้าน เสร็จแล้วก็เดินวนอีกรอบเผื่อว่าผมจะลืมซื้ออะไรไป

ในขณะนั้นเองผมก็สะดุดเข้ากับของอย่างหนึ่ง ทันทีที่เห็นผมก็รีบเข็นรถเข็นวิ่งตรงไปหยิบมันขึ้นมาจากชั้นวางทันที ซึ่งนั่นก็คือ...กุ้งลายเสือลดราคา 50%!

ว้าววววววว วันนี้ผมโชคดีสุดๆ เลย นานๆ ทีผมจะเห็นกุ้งชนิดนี้ลดราคา แถมยังไม่ใช่แค่แพคเดียวด้วยเพราะมันลดถึง 2 แพค ดังนั้นผมเลยรีบวางพวกมันลงในรถเข็น แล้วก็คิดว่าจะเอามันไปทำเมนูอะไรให้ทุกคนกินเย็นนี้ดี เพราะของลดราคามันอยู่ได้แค่วันเดียวเท่านั้น ผมเลยต้องรีบทำก่อนที่มันจะเสีย

เอ...จะว่าไปตั้งแต่เป็นแม่บ้านมาผมยังไม่เคยทำอาหารจากกุ้งเลยนี่นา ไม่แน่ว่าบางทีคนบ้านนี้อาจจะไม่ค่อยชอบกินกุ้งกัน เพราะงั้นผมเลยคิดว่าจะทำเป็นอาหารว่างไม่ใช่จานหลัก แล้วจังหวะนั้นเทมปุระมันก็ลอยเข้ามาในหัว

เอาอันนี้แหละ!

พอตัดสินใจได้แล้วผมก็ไปเลือกซื้อส่วนผสมเพิ่ม โดยคำนวณให้มันพอดีกับเงินที่เหลือ เสร็จแล้วผมก็รีบไปจ่ายเงินและขับรถตรงกลับบ้านทันที

เมื่อไปถึงคุณภูผาที่ส่งงานเสร็จแล้วก็มาช่วยขนของเข้าไปในครัว แต่ก็ไม่ได้ช่วยจัดอะไรเพราะต้องรีบไปรับน้องวาที่โรงเรียน

ผมใช้เวลาจัดของสักพัก ซึ่งในขณะที่จัดผมก็เกิดปิ๊งไอเดียหนึ่งขึ้นมาว่าผมจะทำเทมปุระหลายๆ อย่าง โดยมีทั้งของที่ทำจากทะเลและของที่ทำจากผักรวมกัน ซึ่งผมจะชุบแป้งให้หนากว่าปกตินิดหน่อย และจะตัดหางกุ้งรวมทั้งจุดเด่นของวัตถุดิบตัวอื่นๆ ออก เพราะไม่อยากให้รู้ว่าข้างในแป้งมีอะไร

การที่ผมทำแบบนี้ก็เพราะอยากให้ทุกคนลุ้นและสนุกในการกิน แล้วผมก็อยากให้น้องวาสามารถกินผักที่เกลียดได้อย่างเอร็ดอร่อยด้วย เพราะตอนเด็กๆ ผมก็ไม่ชอบกินผักเหมือนกัน แต่พอคุณแม่ทำแบบนี้ให้กิน ผมก็รู้สึกว่าผักมันอร่อยแล้วก็กินง่ายกว่าที่คิดเยอะเลย

ผมลงมือทอดเทมปุระพลางฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดี ซึ่งขณะที่ทอดสมาชิกในบ้านแต่ละคนก็ทยอยกันกลับมา เริ่มจากพฤกษ์ เพลิง ตามด้วยคุณธาร และอีกสักพักคุณภูผากับน้องวาก็คงจะกลับมาล่ะมั้ง

“วันนี้ทำกับข้าวเร็วจัง มีอะไรให้เราช่วยมั้ยตะวัน” พฤกษ์เดินเข้ามาในครัวแล้วถามขึ้น

“อันนี้ไม่ใช่กับข้าวแต่เป็นของกินเล่นน่ะ แต่เราทำใกล้เสร็จแล้ว พฤกษ์ไปนั่งรอหน้าทีวีกับเพลิงและคุณธารเลยก็ได้”

“โอเค ถ้าเสร็จแล้วก็บอกนะ เดี๋ยวเรามายกออกไปให้”

“ได้เลย ขอบใจมากนะพฤกษ์” ไม่ว่าจะเมื่อไหร่พฤกษ์ก็ยังเป็นเพื่อนที่ดีและมีน้ำใจกับผมเสมอ

หลังจากที่พฤกษ์เดินออกไป เพียงไม่กี่นาทีคุณภูผากับน้องวาก็กลับมา ซึ่งพอมาถึงคุณภูผาก็ไปนั่งพักเหนื่อยที่โซฟาเพราะเห็นบ่นว่ารถติดสุดๆ ส่วนน้องวาที่พลังงานเต็มเปี่ยมก็รีบเข้ามาหาผมในครัวด้วยความร่าเริง

“หอมจังเลย พี่ตะวันกำลังทำอะไรอยู่ครับ อ๊ะ! เทมปุระนี่นา” น้องวาที่หยุดยืนอยู่ตรงโต๊ะอาหารพูดขึ้น เพราะผมวางจานเทมปุระที่ทอดเสร็จชุดแรกเอาไว้

“ในนี้มีอะไรบ้างครับเนี่ยพี่ตะวัน ผมเห็นรูปร่างมันไม่ค่อยเหมือนกันเท่าไหร่เลย”

“ไม่บอก แต่ว่าพี่ทำหลายๆ อย่างปนกัน ถ้าอยากรู้ก็ต้องลองชิมดูนะน้องวา” ผมพูดยิ้มๆ ส่วนน้องวาก็ทำปากจู๋และพองลมที่แก้ม

“ง่า...ผมเริ่มกลัวแล้วนะครับ”

“ฮ่าๆๆ ไม่ต้องกลัวหรอกน่า พี่ไม่ใส่อะไรแปลกๆ เข้าไปหรอก”

“จริงนะครับ?”

“จริงสิ เห็นพี่เป็นคนชอบแกล้งรึไง”

“ก็...เปล่าครับ”

“เห็นมั้ยล่ะ เพราะงั้นก็ลองชิมดู พี่รับรองว่ามีแต่ของอร่อยแน่นอน” พอผมพูดแบบนี้น้องวาก็จ้องไปที่เทมปุระแล้วตัดสินใจสักพักหนึ่ง

“โอเคครับ ผมจะลองชิมดูก็ได้”

“น่ารักที่สุดเลย” ผมยิ้มกว้าง น้องวาเลยหยิบเทมปุระชิ้นหนึ่งขึ้นมาใส่ปาก ซึ่งพอกัดลงไปเท่านั้นแหละ...

“อี๋~~~~~~~~ นี่มันหัวหอมนี่นา แหวะ!” น้องวาทำหน้าพะอืดพะอมสุดขีด ก่อนจะรีบหยิบทิชชู่ขึ้นมาคายหัวหอมใส่แล้วโยนทิ้งลงถังขยะ จากนั้นก็รีบวิ่งไปเปิดตู้เย็นหยิบน้ำขึ้นมาดื่มหลายอึกเพื่อล้างปาก

“โหย หัวหอมรสชาติออกจะหวาน น้องวาคายทิ้งแบบนี้พี่เสียดายนะเนี่ย” ผมนึกว่าการทำแบบนี้จะทำให้น้องวากินผักได้ง่ายขึ้นซะอีก แต่สงสัยแรงเกลียดผักท่าจะมากกว่าผมตอนเป็นเด็กหลายเท่าเลยล่ะ

“หวานตรงไหนครับพี่ตะวัน รสชาติมันแบบ...อี๋~~~~~~~~” น้องวาทำท่าพะอืดพะอมอีกรอบ

“ลองเปิดใจดูนะน้องวา ตอนแรกๆ อาจจะรู้สึกไม่คุ้นรสชาติเท่าไหร่ แต่พอกินไปเรื่อยๆ เดี๋ยวน้องวาก็จะชินเอง ผักบางอย่างมันหวานแล้วก็อร่อยมากเลยนะ” ที่ผมพูดไม่ได้โกหกเกินจริงแต่อย่างใด แต่น้องวาก็ยังทำท่าขยะแขยงเหมือนเดิม

“ให้ผมตายซะยังดีกว่าต้องมากินผักอะพี่ตะวัน”

“โธ่ ผักมันก็ไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้นสักหน่อย ลองกินให้พี่หน่อยนะน้องวา ที่พี่ตั้งใจทำเทมปุระก็เพื่อน้องวาเลยนะรู้มั้ย” ผมลองอ้อนน้องวาดู หวังว่ามันคงจะได้ผลนะ

“ง่า พี่ตะวันเล่นพูดขนาดนี้ผมจะกล้าปฏิเสธได้ยังไงล่ะครับ” พอได้ยินแบบนี้ผมก็ยิ้มกว้างออกมาทันทีเลยน่ะสิ

“น่ารักมากเลยน้องวา”

“ถ้าคิดว่าผมน่ารักจริงๆ พี่ตะวันต้องให้รางวัลผมนะ”

“หืม? รางวัล?”

“ครับ ผมขอไม่มากหรอก แค่ขอหอมแก้มพี่ตะวันเท่านั้นเอง” น้องวายิ้มกรุ้มกริ่ม แต่ผมนี่สิกลับตกใจจนตาเบิกกว้าง

“หา! หอมแก้มเนี่ยนะ!”

“ครับ แค่ฟอดเดียวเอง เอางี้ถ้าผมหยิบได้ชิ้นที่เป็นผักผมสัญญาเลยว่าจะกินให้หมดไม่มีเหลือ เพราะงั้นพี่ตะวันต้องให้รางวัลผมน้า นะๆๆๆ” น้องวาทำเสียงออดอ้อนแล้วส่งสายตาปิ๊งๆ ผมที่เป็นคนใจอ่อนอยู่แล้ว พอเจอลูกอ้อนขนาดนี้เข้าไปก็เลยต้องยอมตกลงอย่างช่วยไม่ได้

“เฮ้ออออ ก็ได้ๆ”

“เย่ๆๆ” น้องวาร้องตะโกนด้วยความดีใจ ส่วนผมก็ยิ้มให้อย่างเอ็นดู เพราะแค่หอมแก้มมันก็ไม่ได้เสียหายอะไรเท่าไหร่ ถ้าเทียบกับคุณภูผาที่มักจะทำอะไรต่อมิอะไรกับผมแล้ว เรื่องแค่นี้มันเทียบกันไม่ติดเลยล่ะ

พอคิดว่าก่อนหน้านี้ผมถูกคุณภูผาทำอะไรบ้าง ผมก็รู้สึกว่าหน้าของผมมันร้อนวาบขึ้นมาเลยแฮะ

“งั้นผมขอเลือกชิ้นที่จะกินก่อนนะครับพี่ตะวัน” น้องวาพูดขึ้น ผมจึงหลุดออกจากภวังค์ที่กำลังคิดอะไรฟุ้งซ่าน

“โอเค งั้นเดี๋ยวพี่ทอดเทมปุระต่อก่อนนะ” ผมพูดจบก็หันกลับไปเอาวัตถุดิบที่หั่นเตรียมไว้ในจานไปชุบแป้งที่ผสมเอาไว้ จากนั้นก็เอาลงไปทอดในกระทะจนเหลืองกรอบน่ากิน

ในช่วงเวลานั้นผมกำลังจดจ่ออยู่ที่การทอดเทมปุระ เลยไม่ได้หันกลับไปมองน้องวาว่ากำลังทำอะไรอยู่ เลือกชิ้นที่จะกินได้รึยัง หรือว่าคิดจะตุกติกอะไรมั้ย เพราะงั้นกว่าที่น้องวาจะส่งเสียงพูดกับผม ผมเลยไม่รู้ว่าเวลามันได้ผ่านไปนานกี่นาทีแล้ว

“พะ...พี่ตะวัน...ของที่พี่ทอด...มีอะไรบ้างครับ” น้ำเสียงของน้องวาที่ดูแปลกไปทำให้ผมรีบหันกลับไปมอง จึงพบว่าตอนนี้น้องวากำลังเหงื่อตก ตื่นกลัว และลนลานยังไงก็ไม่รู้บอกไม่ถูก

“น้องวาเป็นอะไรรึเปล่า ทำไมสีหน้าดูไม่ค่อยดีเลย” ผมวางตะหลิว กดสวิตช์ปิดเตา แล้วรีบตรงเข้าไปหาน้องวาอย่างเป็นกังวล

“พี่ตะวันตอบผมมาก่อน ขะ...ของที่พี่ทอดมีอะไร...หนึ่งในนั้นมีกุ้ง...ใช่มั้ยครับ” น้องวาพยายามเค้นเสียงถาม แต่ว่าตาไม่ได้มองมาที่ผม กลับมองไปที่แขนที่ตอนนี้เริ่มมีผื่นสีแดงผุดขึ้นมา ซึ่งดูท่ายิ่งนานไปยิ่งจะลามไปทั่วผิวมากขึ้นเรื่อยๆ

“ชะ...ใช่ มีกุ้ง หมึก ปลา ละ...แล้วก็พวกผักอย่างหัวหอม แครอท เห็ด ฟักทอง ตะ...แต่เรื่องนั้นช่างมันก่อน น้องวาเป็นอะไร ยะ...อย่าบอกนะว่าน้องวาแพ้กุ้ง”

“ครับ...ผมแพ้...แพ้หนักมาก...”

ระหว่างที่พูดผมก็สังเกตเห็นว่าที่ปากและคางของน้องวาเริ่มบวม ผมคิดว่าถ้ายิ่งปล่อยเอาไว้ต้องแย่แน่ๆ และผมก็ไม่รู้ว่าต้องช่วยเหลือหรือปฐมพยาบาลยังไง ทางเดียวที่ผมคิดออกคือต้องรีบไปบอกเรื่องนี้ให้ทุกคนรู้เท่านั้น

“น้องวารอพี่ตรงนี้ก่อนนะ พี่จะรีบไปตามคนมาช่วย” ผมพูดจบก็รีบวิ่งออกจากครัวไปหาทุกคนที่รวมตัวกันอยู่หน้าทีวีในห้องรับแขก เพราะถ้าจะให้ผมตะโกนเรียกจากห้องครัว เสียงของผมคงมาไม่ถึงที่นี่แน่ๆ

“แย่แล้วครับทุกคน! น้องวาแย่แล้ว!” พอได้ยินแบบนี้ ทุกคนที่กำลังดูทีวีอยู่ก็ทำหน้าเคร่งเครียดกันขึ้นมาเลย

“วาเป็นอะไร?” คุณภูผาถามเสียงเข้มแล้วจ้องมาที่ใบหน้าของผม ส่วนคนอื่นๆ ก็ด้วย

“คือ...น้องวาเผลอกินกุ้งเข้าไป ผมไม่รู้ว่าน้องวาแพ้ก็เลย...” แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้พูดให้จบประโยค คุณภูผาก็รีบวิ่งตรงไปยังห้องครัวทันที โดยมีพฤกษ์และเพลิงวิ่งตามไปติดๆ

“บอกฉันมาว่าวาเผลอกินกุ้งไปได้ยังไง” คุณธารที่ยังคงอยู่ตรงนี้ถามผมขึ้น แต่ถึงจะไม่ได้ไปไหน คุณธารก็มีสีหน้าเป็นกังวลและร้อนรนไม่ต่างจากคนอื่นๆ เลย

“คือผมทำเทมปุระผักและทะเลรวมกันน่ะครับ ผมชุบแป้งหนาๆ เพื่อพรางไม่ให้รู้ว่าข้างในเป็นอะไร เพราะอยากให้ทุกคนลุ้นและสนุกในการกิน แล้วผมก็คิดว่าถ้าทำแบบนี้น้องวาอาจจะเริ่มกินผักได้สักที แต่ผม...ผมทำพลาดไป...ผมไม่รู้ว่าน้องวาแพ้กุ้งครับคุณธาร...” ยิ่งพูดน้ำเสียงของผมก็ยิ่งสั่น ส่วนน้ำตาก็ยิ่งไหลรินออกมาจากดวงตาทั้งสองข้าง

ผมไม่รู้จริงๆ ว่าน้องวาแพ้กุ้งเพราะไม่เคยมีใครบอกผม แต่ถึงอย่างนั้นผมก็รู้สึกผิดอยู่ดี เพราะผมสะเพร่าเองที่ไม่เคยถาม เรื่องที่ผมถามมีแต่ของที่แต่ละคนชอบเท่านั้นเอง

“ใจเย็นๆ นะไม่ต้องร้องไห้ เรื่องนี้ตะวันไม่ผิดเพราะตะวันไม่รู้ และฉันก็เห็นถึงความตั้งใจกับความหวังดีของตะวัน เพราะงั้นหยุดร้องไห้ได้แล้วนะ” คุณธารยิ้มหวานให้กำลังใจ แถมยังใช้มือประคองที่ข้างแก้มและเช็ดน้ำตาให้ผมอีกด้วย

“ครับคุณธาร”

ซึ่งขณะนั้นเองผม ก็เห็นว่าคุณภูผากำลังอุ้มน้องวาที่มีสีหน้าไม่สู้ดีและหายใจเริ่มติดขัดเดินมาทางนี้ โดยมีพฤกษ์และเพลิงเดินตามมาติดๆ อย่างกระวนกระวาย ผมจึงรีบวิ่งเข้าไปหาเพราะห่วงอาการของน้องวา

“น้องวาเป็นยังไงบ้างครับคุณภูผา อาการยังไม่ดีขึ้นอีกหรอครับ แล้วได้กินยา...” แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้พูดจนจบประโยค คุณภูผาก็ใช้หางตาตวัดมองมาที่ผม จากนั้นก็เบี่ยงตัวหลบราวกับรังเกียจที่จะให้ผมสัมผัสตัวเองและน้องวา

 “หลีกไป เกะกะ”

คำพูดนั้นยังไม่เท่าไหร่ แต่น้ำเสียงและสายตาของคุณภูผาที่มองมานี่สิ มันทำให้ผมถึงกับช็อกและใจหล่นวูบลงไปที่พื้น น้ำตาที่ถูกคุณธารเช็ดให้ก็รื้นขึ้นก่อนที่จะไหลรินลงมาอีกครั้ง

 น้ำเสียงและสายตาแบบนั้นมันยิ่งกว่าตอนที่ผมกับคุณภูผาเจอกันวันแรกซะอีก

นี่ผม...คงถูกคุณภูผาเกลียดเข้าจริงๆ แล้วใช่มั้ย?

2BC

หัวใจชิงรักตอนที่ 8 ก็จบลงไปแล้วน้า ถ้าชอบหรือฝากคอมเมนท์เป็นกำลังใจให้เราด้วยนะคะ  :pig4:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-08-2017 23:49:37 โดย *|=สามีแจจุง=|* »

ออฟไลน์ Y-Darkness

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0

ออฟไลน์ Micky_MN

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 198
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-3
พูดกับตะวันดีๆเหมือนช่วงแรกไม่ได้เหรอพี่ภู

ออฟไลน์ Y-Darkness

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0

ออฟไลน์ Micky_MN

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 198
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-3
ปากรึนั่นพี่ภู :m16:

ออฟไลน์ Sameejaejung

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +457/-17
Part 9# Tawan ลาออก

               
คุณภูผาอุ้มน้องวาเดินผ่านหน้าผมไปอย่างไม่คิดจะเสียเวลาหันมามอง พฤกษ์และเพลิงเลยต้องรีบเดินตามไป แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังส่งสายตามามองผมด้วยความสงสาร ส่วนคุณธารที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็ถอนหายใจออกมาอย่างแรง

               
“เฮ้ออออ ไอ้เราก็อุตส่าห์ปลอบจนเลิกร้อง พี่ภูนะพี่ภู” คุณธารเหลือบตามองบน จากนั้นก็หันมาหาผมแล้วจัดการเช็ดน้ำตาออกไปให้อีกครั้ง


“ไม่ต้องคิดมากนะตะวัน พี่ภูไม่ได้ตั้งใจจะว่าตะวันหรอก ตอนนี้คงเป็นห่วงวามากจนไม่ทันได้คิดเรื่องอื่น เพราะงั้นอย่างร้องไห้เลยนะ” คำปลอบโยนของคุณธารทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมากจนสามารถฝืนยิ้มออกมาได้


“ครับคุณธาร” ถ้าคุณภูผาคิดอย่างที่คุณธารพูดจริงๆ ก็คงจะดี


 “ถ้างั้นเรารีบตามออกไปดูอาการวากันเถอะ หวังว่าคงจะไปถึงโรงพยาบาลทันเวลา” คุณธารพูดจบก็จูงมือผมออกไปข้างนอก จึงเห็นว่าตอนนี้คุณภูผากำลังยืนอุ้มน้องวายืนอยู่ข้างๆ เพลิง ส่วนพฤกษ์กำลังขับรถของคุณภูผาออกมาจากโรงจอดรถ


“แกไปนั่งข้างหน้านะเพลิง ส่วนพี่จะนั่งข้างหลังดูแลวาเอง” คุณภูผาพูดขึ้นเมื่อพฤกษ์ขับรถมาจอดตรงหน้า


“โอเค” เพลิงรับคำ ก่อนจะรีบเปิดประตูให้คุณภูผาอุ้มน้องวาขึ้นไปนั่งเบาะหลัง ผมที่อยากไปโรงพยาบาลด้วยเพราะเป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด จึงได้รีบพูดขึ้นก่อนที่เพลิงจะปิดประตู


“ผมขอไปด้วยได้มั้ยครับ” ผมส่งสายตาเว้าวอนและรู้สึกผิดไปยังคุณภูผา แต่ผมก็ได้รับคำตอบอันไร้เยื่อใยและสายตาเย็นชากลับมาว่า...


“ในนี้มันไม่มีที่สำหรับนายหรอกนะ” เท่านั้นแหละน้ำตาของผมมันก็รื้นขึ้นมาอีกครั้ง แต่ผมก็พยายามฝืนทนไม่ให้มันไหลออกมา ถึงอย่างนั้นก็เถอะ แต่คุณภูผาก็เบือนหน้าหนีอย่างไม่สนใจ แล้วหันไปตะโกนใส่เพลิงแทน


“เพลิง! ทำอะไรอยู่! รีบๆ ปิดประตูเข้าสิ! แกอยากให้วาตายรึไง!”


“อ้อ! โอเคๆ พี่ภู” เพลิงที่ดูเหมือนว่าจะลืมเรื่องความเป็นความตายของน้องวาไปชั่วขณะพูดขึ้น จากนั้นก็รีบปิดประตูตามคำสั่งของคุณภูผา แล้วก้าวขึ้นไปนั่งยังเบาะหน้าด้วยความรวดเร็ว


แต่ถึงจะเร็วแค่ไหนผมก็ยังได้ยินเสียงพูดอย่างหัวเสียจากคุณภูผาที่นั่งอยู่ในรถอยู่ดี


“ให้ตาย...เสียเวลาจริงๆ”


ผมไม่รู้ว่าสิ่งที่พูดคุณภูผาหมายถึงใคร เป็นผมหรือว่าเพลิง แต่คุณธารก็เท้าสะเอวเพราะโมโหแทนผม


“หนอย...พูดเกินไปแล้วนะพี่ภู!” คุณธารพูดในจังหวะที่พฤกษ์ได้ขับรถออกไปแล้ว ผมที่ทำอะไรไม่ได้และไม่รู้จะทำอะไรเลยได้แต่ก้มหน้าคอตกอย่างเศร้าๆ


“นี่...จะเศร้าไปทำไม พี่ภูไม่ให้ไปด้วยแล้วไง ฉันขับรถพานายไปก็ได้ไม่เห็นจะยาก” คุณธารยักไหล่อย่างไม่แคร์ ก่อนจะบอกให้ผมยืนรออยู่ตรงนี้ เพราะตัวเองจะเข้าไปเก็บของและเอากุญแจรถออกมา


ยิ่งคุณธารทำดีกับผมมากเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งรู้สึกผิดที่สะเพร่าจนทำให้น้องวาเป็นแบบนี้มากเท่านั้น


ผมบกพร่องในหน้าที่ของแม่บ้าน และผมคิดว่าตัวเองสมควรได้รับโทษ หรือไม่ก็ต้องรับผิดชอบกับเรื่องที่เกิดขึ้นนี้


ซึ่งขณะนั้นเอง เสียงโทรศัพท์มือถือที่ผมมักจะพกติดตัวเอาไว้เสมอ เพื่อรอให้คุณพ่อติดต่อมาถึงแม้ว่าจะไม่เคยเลยก็ตามก็ดังขึ้น ผมจึงรีบล้วงโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกงเพื่อมองหน้าจอว่าใครโทรมา ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่คุณพ่อของผม คนที่โทรมาคือพี่กิตติ


ถ้าเป็นเมื่อก่อน วันนี้ผมต้องเข้าไปทำงานที่ร้าน แต่ตั้งแต่ที่ผมป่วยคราวนั้นพี่กิตติก็บอกว่าให้ผมเข้ามาทำงานเฉพาะวันจันทร์ - พฤหัสก็พอ เพราะเป็นห่วงสุขภาพและกลัวผมทำงานหนักจนล้มป่วย ดังนั้นผมเลยไม่รู้ว่าพี่กิตติโทรมาหาผมวันนี้ทำไม


แต่จะเพราะอะไรก็ช่าง เพราะว่าผมก็มีเรื่องที่จะคุยและรบกวนพี่กิตติอยู่พอดี...

...............
.........
...

“มาแล้วตะวัน โทษทีที่ปล่อยให้รอนาน พอดีฉันไลน์คุยกับเพลิงอยู่น่ะว่าตอนนี้กำลังไปโรงพยาบาลไหนกัน” คุณธารพูดขึ้น ซึ่งก็เป็นเวลาพอดีที่ผมพึ่งวางสายจากพี่กิตติ


“ไม่เป็นไรครับคุณธาร ผมไม่ได้รอนานขนาดนั้น”


“โอเค งั้นเรารีบไปกันเถอะ” พูดจบคุณธารก็เดินนำผมไปที่รถ เมื่อเราสองคนขึ้นไปนั่งในนั้นแล้ว คุณธารก็สตาร์ทและออกรถทันที


ระหว่างทางผมเอาแต่เงียบไม่พูดไม่จา บางทีก็ก้มหน้าไม่ก็มองกระจกข้างด้วยสีหน้าเศร้าๆ เพราะทั้งรู้สึกผิดและเป็นห่วงน้องวาที่ไม่รู้ว่าป่านนี้จะถึงมือหมอรึยัง แล้วอาการเป็นยังไงบ้าง


“นี่...อย่าทำหน้าเศร้าสิตะวัน ยังไงวาก็ต้องปลอดภัยแน่นอน” คุณธารพูดขึ้นกับผมในระหว่างที่รถกำลังติดไฟแดง


เห็นคุณธารคอยปลอบผมตลอดตั้งแต่เกิดเรื่องแบบนี้ ไม่ใช่ว่าคุณธารไม่ทุกข์ร้อนกับอาการของน้องวา แต่คุณธารเลือกที่จะเก็บซ่อนความรู้สึกนั้นเอาไว้ แล้วปลอบใจผมที่กำลังเครียดและโทษตัวเองมากกว่า


“ครับ ผมก็เชื่ออย่างนั้นเหมือนกัน” ผมเชื่อว่าน้องวาต้องไม่เป็นอะไร แต่สำหรับคุณภูผาผมไม่มั่นใจเลยว่าตอนนี้จะคิดยังไงกับผม


บางทีคุณภูผาอาจจะเกลียดผมไปแล้วก็ได้...


ซึ่งก็เหมือนคุณธารจะรู้ความคิดนี้ เพราะอ่านสีหน้าของผมออก ดังนั้นคุณธารจึงเลื่อนมือข้างซ้ายมาลูบบ่าผมเบาๆ เพื่อให้กำลังใจ


“พี่ภูไม่มีทางเกลียดตะวันหรอกนะ แต่พี่ภูคงเป็นห่วงวามาก ก็นะ...เลี้ยงมากับมือตั้งแต่ไม่กี่เดือนเลยนี่นา เอาจริงๆ ฉันว่าพี่ภูคิดว่าวาเหมือนลูกมากกว่าน้องชายซะอีก” คุณธารพูดจบก็หัวเราะอย่างขบขัน แต่ถึงอย่างนั้นผมกลับมองเห็นว่าแววตาของคุณธารดูขมขื่นสวนทางกับรอยยิ้ม


“ทำไมคุณธารถึงพูดแบบนั้นล่ะครับ” ถ้าให้ผมเดาก็คงจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับคุณแม่ล่ะมั้ง ซึ่งพอได้ฟังมันก็ใช่อย่างที่ผมคิดจริงๆ


“หลังจากแม่คลอดวาก็เอามาทิ้งให้ยายเลี้ยงเหมือนกับลูกทุกคน แต่ตอนนั้นยายกำลังป่วยอยู่ เพราะงั้นหน้าที่หลักในการเลี้ยงเลยเป็นพี่คนโตอย่างพี่ภูที่ตอนนั้นอยู่แค่ ป.6 ส่วนฉันเองก็ช่วยบ้างนิดๆ หน่อยๆ แต่ก็อยู่แค่ ป.3 เองเลยทำอะไรไม่ได้มากน่ะ” คุณธารพูดถึงตรงนี้ก็หยุดไปเพราะไฟจราจรเปลี่ยนเป็นสีเขียวพอดี ซึ่งพอขับรถเข้าที่จึงได้เล่าเรื่องราวให้ผมฟังต่อ


“ช่วงนั้นพี่ภูเหนื่อยแค่ไหนฉันจำได้ดี การดูแลทุกคนในบ้านโดยเฉพาะเด็กทารกอย่างวาเป็นงานที่หนักมาก แต่ถึงอย่างนั้นพี่ภูก็ไม่เคยบ่นให้พวกเราฟัง ขนาดวันที่แอบหลับในห้องเรียน แถมยังลืมทำการบ้านจนโดนครูตียังแอบให้ยายทายาหม่องให้เลย...พี่ภูน่ะรักพวกเรามากจริงๆ” ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าตอนนี้คุณธารรู้สึกยังไงอยู่ เพราะขนาดผมที่เป็นคนฟังแต่ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ ยังอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้


“ตอนเด็กๆ พวกเราลำบากกันมาก พึ่งมาลืมตาอ้าปากได้ก็ตอนที่แม่ตายนั่นแหละ... หึ ใครจะไปเชื่อว่าแม่ที่แทบไม่เคยเลี้ยงพวกเราเลย กลับทำประกันไว้ให้ตั้ง 20 ล้าน เพราะงั้นฉันเลยคิดว่าลึกๆ แล้วแม่อาจจะรักพวกเรา 5 พี่น้องบ้างก็ได้ แต่ก็นะ...คนในบ้านไม่มีใครคิดเหมือนฉันเลยสักคน” มิน่าล่ะวันที่เจอกันครั้งแรกคุณธารเลยเป็นคนเดียวที่พูดปกป้องคุณแม่


แต่เรื่องที่น่าเศร้ากว่านั้นคือคุณยายที่เลี้ยงดูทุกคนมาด้วยความยากลำบาก ยังไม่ทันจะได้ใช้ชีวิตปั้นปลายอย่างสุขสบาย ก็ต้องเสียชีวิตตามคุณแม่ไปเพราะอาการป่วยซะก่อน


“จะว่าไปทำไมพูดถึงเรื่องวาอยู่ดีๆ ไหงกลายเป็นดราม่าเรื่องครอบครัวไปได้ล่ะเนี่ย ไม่ไหวเลยนะฉัน เอาเป็นว่ากลับมาเรื่องวาต่อก็แล้วกัน เพราะพี่ภูเลี้ยงวามาตั้งแต่ยังเป็นทารกเลยรักเหมือนลูกในไส้ ยิ่งเมื่อ 3 ปีก่อนที่เกิดเรื่องแบบนั้น พี่ภูเลยยิ่งรัก ดูแลเอาใจใส่ และตามใจวามาตลอด เรียกได้ว่ามดไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอมเลยล่ะ ดังนั้นพอเห็นวาเป็นแบบนี้พี่ภูก็คงจะเป็นกังวลเพราะห่วงวามาก บางทีอาจจะพูดจาไม่ดีก็อย่าคิดมากเลยนะตะวัน” ที่คุณธารพูดมาทั้งหมดผมก็พอจะเข้าใจแล้วล่ะว่า ทำไมคุณภูผารวมถึงทุกคนถึงได้เป็นห่วงน้องวาขนาดนี้


แต่เรื่องที่ผมยังคาใจอยู่ก็คือเรื่องที่เกิดขึ้นกับน้องวาเมื่อ 3 ปีก่อน ตอนนั้นที่พฤกษ์บอกเรื่องนี้กับผม แต่พฤกษ์ก็ไม่ได้บอกเหตุผลซะด้วยเพราะเห็นว่าไม่ค่อยรู้รายละเอียดเท่าไหร่ เพราะงั้นผมเลยว่าจะถามเรื่องนี้กับคุณธาร แต่เราสองคนก็ดันมาถึงโรงพยาบาลซะก่อน ดังนั้นผมจึงต้องเก็บเรื่องนี้เอาไว้ แล้วรีบตามไปสมทบกับทุกคนที่หน้าห้องฉุกเฉิน ซึ่งตอนนี้กำลังมีสีหน้าเคร่งเครียดและเป็นกังวลกันอย่างมาก


“วาเป็นไงบ้างพี่ภู” คุณธารถามขึ้นเมื่อไปถึงหน้าห้องฉุกเฉิน ส่วนผมที่รู้สึกผิดอย่างมากจึงไม่กล้าถามอะไรทั้งนั้น เอาจริงๆ ผมแทบไม่กล้าสู้หน้าใครเลยด้วยซ้ำ


“ก่อนเข้าห้องฉุกเฉินอาการของวาแย่มาก คือพูดแทบไม่รู้เรื่อง หายใจแทบไม่ได้ ผื่นลมพิษก็ขึ้นเต็มตัว...พี่ไม่รู้ว่าอาการหนักขนาดนี้หมอจะรักษาวาทันรึเปล่า” ยิ่งพูดสีหน้าคุณภูผาก็ยิ่งเครียดหนัก ซึ่งนั่นมันก็ทำให้ผมรู้สึกแย่มาก เพราะว่าผมทำหน้าที่แม่บ้านบกพร่องอย่างไม่น่าให้อภัย


“ผมขอโทษนะครับคุณภูผา ผมไม่รู้จริงๆ ว่าน้องวาแพ้กุ้ง”


“โอเค เรื่องนี้วาอาจจะผิดที่ไม่เคยบอกนาย แต่การที่นายอยู่บ้านหลังนี้มาเป็นเดือน นายไม่เคยสังเกตเลยหรอว่าทำไมถึงไม่เคยมีใครกินกุ้งเลย นายเคยบอกฉันไม่ใช่หรอว่า หน้าที่ของแม่บ้านนอกจากทำงานบ้านแล้ว ยังต้องดูแลทุกคนภายในบ้านด้วย...นี่หรอที่นายบอกว่าดูแล? ถ้าหากวาเป็นอะไรขึ้นมานายจะรับผิดชอบยังไง?”


คุณภูผาจ้องมองมาที่ผมด้วยสายตาแข็งกร้าว แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ขึ้นเสียงหรือตะคอกใส่ผมอย่างที่ทำใจเอาไว้ มิหนำซ้ำน้ำเสียงโดยเฉพาะช่วงท้ายๆ ยังสั่นเล็กน้อยราวกับจะร้องไห้ออกมาอีกต่างหาก


ยิ่งเห็นคุณภูผาเป็นแบบนี้ผมก็ยิ่งรู้สึกผิดและสะเทือนใจ ซึ่งนั่นมันก็ทำให้ผมตัดสินใจในสิ่งที่ลังเลมาตลอดหลังจากเกิดเรื่องได้อย่างทันที


“ผมขอโทษจริงๆ เรื่องนี้ผมเป็นคนผิดเองทั้งหมด เพราะงั้น...ผมจะรับผิดชอบโดยการลาออกครับคุณภูผา”


“ว่าไงนะ?” คุณภูผาถามขึ้นอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง ส่วนคุณธาร พฤกษ์ และเพลิงก็อุทานขึ้นมาด้วยความตกใจ จากนั้นก็กรูเข้ามาหาผมอย่างพร้อมเพรียงกัน


“ตะวันจะออกทำไม เรื่องที่เกิดขึ้นตะวันไม่ได้ตั้งใจสักหน่อย” พฤกษ์พูดขึ้น เพลิงที่ได้ยินแบบนี้เลยพยักหน้าเห็นด้วยแล้วพูดสนับสนุน


“ใช่ ตะวันไม่ต้องออกหรอก อยู่เป็นแม่บ้านให้พวกเราต่อไปเถอะ”


“แต่ว่า...เราไม่มีหน้าทำงานต่อแล้วล่ะ เราจะกล้าสู้หน้าน้องวาได้ยังไง เราสะเพร่า ไม่รอบคอบ บกพร่องในหน้าที่ เราต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้น” ผมรู้สึกอย่างที่พูดจริงๆ ผมทำเรื่องร้ายแรงขนาดนี้แล้วผมจะกล้าทำงานต่อได้ยังไง นี่ผมยังคิดไม่ออกเลยว่าผมจะทำหน้าแบบไหนเมื่อเจอน้องวา


“ถ้าอย่างนั้นตะวันก็รับผิดชอบด้วยการทำอย่างอื่นก็ได้นี่นา การลาออกมันไม่ได้เป็นการรับผิดชอบอย่างเดียวสักหน่อย” ประโยคนี้คุณธารเป็นคนพูดขึ้น แต่ผมที่ตัดสินใจแล้วจึงตอบกลับไปอย่างไม่ลังเล


“จริงอยู่ครับว่าการลาออกมันไม่ได้เป็นหนทางเดียว แต่ก็อย่างที่บอกไปว่าผมไม่มีหน้าไปสู้น้องวา หรือกล้ากลับwxทำงานที่บ้านหลังนั้นต่อแล้ว เพราะงั้น...”


“คิดจะหนีปัญหาสินะ”


“หา?” ผมไม่ค่อยได้ยินคำพูดเมื่อกี้เท่าไหร่ แต่ก็มั่นใจว่าคุณภูผาพูดกับผม เพราะตอนนี้สายตาคมกริบกำลังจ้องมาที่ใบหน้าของผมอยู่


“ฉันบอกว่า...นายกำลังคิดจะหนีปัญหาสินะ” คุณภูผาพูดอย่างช้าๆ และชัดถ้อยชัดคำ ซึ่งนั่นมันก็ทำให้ผมรู้สึกไม่พอใจ จนเผลอจ้องตาคุณภูผากลับไปอย่างไม่เกรงกลัว ทั้งๆ ที่ปกติถ้าโดนแบบนี้ผมต้องก้มหน้าหลบตาไม่กล้าสู้หน้าไปแล้ว


“ผมไม่ได้คิดจะหนีปัญหานะครับ ผมตั้งใจจะรับผิดชอบจริงๆ”


“แน่ใจหรอ? แต่ฉันว่าไม่มั้ง ฉันว่านายแค่ตั้งใจจะชิ่งหนีปัญหามากกว่า…หึ! ทำเป็นบอกว่าไม่กล้าสู้หน้าวา แต่เอาจริงๆ คือกลัวได้จ่ายค่ารักษาหรือค่าทำขวัญต่างหากล่ะมั้ง” คุณภูผายิ้มหยัน สายตาดูถูกดูแคลนแบบนั้นมันทำให้ผมรู้สึกโมโหจนแทบควันออกหู


“ผมไม่ได้คิดแบบนั้นเลยนะครับ! ผมไม่กล้าสู้หน้าน้องวาและตั้งใจจะรับผิดชอบจริงๆ! ส่วนค่ารักษาหรือค่าทำขวัญ ผมจะหาเงินมาชดใช้ครบทุกบาททุกสตางค์ให้เร็วที่สุด!”


ก่อนหน้านี้ผมได้ปรึกษากับพี่กิตติเรื่องการเปลี่ยนเวลามาทำงานทุกวัน พอเล่าปัญหาให้ฟังพี่กิตติก็ยินดีจะให้ผมนอนพักที่ร้านด้วยซ้ำ เพราะงั้นผมเลยมั่นใจว่าค่าใช้จ่ายทุกอย่างผมจะสามารถหามาคืนได้ในเวลาไม่นาน แต่ถึงอย่างนั้นคุณภูผาก็ไม่เชื่อใจในสิ่งที่ผมพูดเลยแม้แต่น้อย


“หึ! นั่นมันก็แค่ลมปาก มีอะไรมารับประกันได้หรอว่านายจะทำจริงอย่างที่พูด”


“ผมสาบานได้เลยครับว่าผมทำจริงอย่างที่พูดแน่นอน!”


“แต่ฉันไม่เชื่อ!” คุณภูผาใช้สายตาอันดุดันจ้องมองมาจนตัวผมแทบจะทะลุ จากนั้นก็ก้าวเดินเข้ามาประชิดตัวผม แล้วออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวกับผมว่า...


               “รับผิดชอบโดยการอยู่ดูแลวาจนกว่าจะหายซะ แล้วหลังจากนั้นถ้านายยังยืนยันที่จะลาออกก็เชิญตามสบาย!” คุณภูผาพูดจบก็เบี่ยงตัวเดินออกไปอย่างไม่สบอารมณ์ แต่ถึงอย่างนั้นสีหน้าของคุณภูผาก็ยังติดตาของผมอยู่ดี


               มันเป็นสายตาที่โกรธเกรี้ยว ผิดหวัง และไม่พอใจ จนผมรู้สึกได้ว่าคุณภูผาไม่อยากเห็นหน้าผมอีกต่อไปแล้ว ซึ่งนั่นมันก็ทำให้ผมเจ็บปวดที่หัวใจราวกับว่ามีใครกำลังบีบมันเอาไว้ ก่อนที่น้ำตาของผมมันจะไหลรินลงมาเป็นทางอย่างไม่ขาดสาย


               คุณภูผาเกลียดผมแล้วจริงๆ แต่ผมจะไปโทษใครได้ ในเมื่อผมเป็นคนทำพังด้วยตัวเอง...


...............
.........
...


               ผ่านไปประมาณ 2 ชั่วโมง คุณหมอก็ออกมาแจ้งว่าตอนนี้อาการของน้องวาดีขึ้นแล้ว แต่เนื่องจากน้องวาเกิดอาการแพ้อย่างรุนแรง ดังนั้นคุณหมอเลยให้แอดมิท 1 คืนเพื่อดูอาการอย่างใกล้ชิด หากไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงช่วงสายๆ ก็สามารถกลับบ้านได้เลย


               หลังจากคุยกับคุณหมอเสร็จ ก็มีพยาบาลเดินนำพวกเราไปยังห้องพิเศษที่น้องวากำลังพักอยู่ โดยที่ตลอดเวลาไม่มีใครกล้าพูดหรือว่าส่งเสียงอะไรออกมา เพราะคุณภูผาได้แผ่บรรยากาศมาคุและอึมครึมด้วยสีหน้าบูดบึ้ง ซึ่งก็เป็นมาตลอดหลังจากที่คุยกับผมและเดินหนีไปในตอนนั้น


               ผมไม่รู้ว่าบรรยากาศอันน่าอึดอัดแบบนี้จะยังคงอยู่อีกนานขนาดไหน บางทีอาจจะเป็นเรื่อยๆ จนกว่าผมจะออกจากบ้านหลังนี้ก็ได้

แต่ถึงจะคิดอย่างนั้น...


พอพวกเราทั้งหมดก้าวเท้าเข้าไปในห้องเท่านั้นแหละ น้องวาที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงก็ยิ้มแฉ่ง แล้วโบกมือทักทายพวกเราอย่างร่าเริงราวกับว่าไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น


               “ไงครับทุกคน ไม่ได้เจอตั้งหลายชั่วโมงคิดถึงจังเลย เนี่ย...ช่วงนี้ผมกำลังเบื่อห้องนอนที่บ้านอยู่พอดี ได้เปลี่ยนบรรยากาศมานอนที่อื่นแบบนี้มันดี๊ดีเนอะว่ามั้ยครับ”


               คำทักทายของน้องวาเล่นเอาพวกเราทุกคนยืนอึ้ง เพราะไม่คิดว่าคนป่วยใกล้ตายเมื่อ 2 ชั่วโมงก่อนจะลั้นลาร่าเริงได้ถึงขนาดนี้ นี่ถ้าสีหน้าของน้องวาไม่ซีด ตามเนื้อตัวไม่เห็นผื่นสีแดงจางๆ ส่วนใบหน้า ริมฝีปาก และลำคอก็ไม่บวมหน่อยๆ ผมคงคิดว่าน้องวาหายดีแล้วนะเนี่ย


               “ยังมีหน้ามายิ้มระรื่นอีกนะวา นอนโรงพยาบาลนี่มันดีที่ไหนกัน เฮ้ออออ...อย่าทำให้พี่เป็นห่วงมากนักจะได้มั้ย” ถึงจะทำเป็นดุ แต่คุณภูผาก็ยิ้มออกมาอย่างโล่งใจที่เห็นน้องวาปลอดภัย จากนั้นก็รีบเดินเข้าไปสวมกอดน้องวาเอาไว้ทันที


               ส่วนคุณธาร พฤกษ์ และเพลิงที่เห็นอย่างนั้นก็รีบเดินเข้าไปสวมกอดน้องวาเช่นกัน ภาพของพี่น้องทั้ง 5 ที่กำลังกอดกันด้วยความรัก ทำเอาผมรู้สึกซาบซึ้งจนอดที่จะยิ้มและน้ำตาซึมออกมาไม่ได้


               ผมยืนอยู่ห่างๆ ปล่อยให้พี่น้องได้คุยกันเพราะไม่อยากเป็นส่วนเกิน จนกระทั่งเวลาผ่านไปสักพัก น้องวาที่เห็นผมยืนหลบอยู่ที่มุมห้องจึงได้ยิ้มให้แล้วทักทายผม


               “พี่ตะวันไปยืนทำอะไรตรงนั้นครับ ไม่คิดจะเข้ามากอดรับขวัญผมหน่อยหรอ”


พอได้ยินแบบนี้ผมก็อึกอักเพราะทำตัวไม่ถูก จึงได้หันไปมองที่คุณภูผาว่าจะห้ามผมมั้ย แต่คุณภูผาก็ไม่ได้ว่าอะไร แถมยังขยับออกไปนั่งที่โซฟาเพราะให้พื้นที่กับผม ดังนั้นผมจึงได้เดินไปสวมกอดน้องวาที่อ้าแขนรออยู่สักพักแล้ว


               “พี่ขอโทษนะน้องวา” ผมพูดอย่างสำนึกผิด และเตรียมใจไว้แล้วว่าน้องวาจะต้องโกรธและโทษผม แต่นั่นมันก็ไม่ได้เป็นอย่างที่ผมคิดเอาไว้เลย


               “ไม่ต้องขอโทษผมหรอกครับ เรื่องนี้พี่ตะวันไม่ได้เป็นคนผิดสักหน่อย ผมสิที่เป็นคนผิดเพราะดันลืมบอกเรื่องที่แพ้กุ้งกับพี่ตะวัน ผมนึกว่าวันแรกที่เจอกันผมบอกเรื่องนี้พร้อมเรื่องของกินที่ชอบ-ไม่ชอบไปแล้ว” นอกจากน้องวาจะไม่โกรธผม ยังโทษว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นความผิดของตัวเองอีกต่างหาก แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังคิดว่าตัวเองเป็นคนผิดอยู่ดี


               “ถึงอย่างนั้นก็เถอะ พี่น่าจะเอะใจว่าทำไมบ้านนี้ถึงไม่มีใครกินกุ้งเลย ทั้งที่มันไม่ได้หากินยากแถมยังอร่อยอีกต่างหาก” พอผมพูดแบบนี้เพลิงเลยขัดขึ้นเพราะไม่เห็นด้วย


               “ไม่นะตะวัน คนที่เอะใจต้องเป็นไอ้วามากกว่า เห็นเทมปุระก็ต้องคิดแล้วว่าเป็นกุ้ง แต่นี่ดันกินเข้าไปเฉย”


               “นั่นสิ” พฤกษ์เห็นด้วย


               “พี่ก็ว่างั้น” คุณธารก็อีกคน น้องวาที่เห็นอย่างนั้นเลยทำปากจู๋ก่อนจะพูดขึ้นด้วยเสียงอ่อยๆ


“ง่า...ก็ผมนึกว่าผมบอกเรื่องนี้กับพี่ตะวันไปแล้วนี่ครับ ผมเลยไม่คิดว่าในนั้นมันจะมีกุ้งอ่า”


“ไม่ต้องมาอ้างเลย แกมันตะกละอยากกินของอร่อยคนเดียวล่ะสิ” พูดจบเพลิงก็เขกกะโหลกวาด้วยความหมั่นไส้ แต่ก็เขกแค่เบาๆ ไม่ได้รุนแรง ถึงอย่างนั้นน้องวากลับเล่นใหญ่ร้องโอดครวญซะเสียงดัง


“โอ๊ยยยยยย ใจร้ายยยยยย นี่ผมป่วยอยู่นะพี่เพลิง!”


“ไม่ต้องมาสำออย จ้อไม่หยุดขนาดนี้แกอย่ามาอ้างเลยว่าป่วย จริงปะไอ้พฤกษ์?” เพลิงหันไปถามความเห็นของพฤกษ์ที่ยืนอยู่ข้างๆ


“เออ คนป่วยอะไรพูดเป็นต่อยหอยขนาดนี้” สมแล้วที่เป็นแฝดกัน เพราะเข้ากันได้อย่างเป็นปี่เป็นขลุ่ยจริงๆ คู่นี้


“พี่พฤกษ์พี่เพลิงใจร้าย! ง่ะ พี่ธารก็อย่าหัวเราะไปด้วยสิครับ!” น้องวาพองลมที่แก้มอย่างขัดใจเพราะถูกพวกพี่ๆ แกล้ง ดังนั้นผมที่เป็นคนเดียวที่อยู่ตรงนี้ เลยถูกน้องวากอดแขนเอาไว้แล้วอ้อนให้มาเป็นพวก


“พี่ตะวันดูพี่ใจร้ายพวกนี้สิครับ ผมป่วยอยู่แท้ๆ ยังแกล้งกันได้ลงคอ หวังว่าพี่ตะวันคงจะไม่ร่วมวงแกล้งผมไปด้วยคนหรอกนะครับ” น้องวาช้อนตาปริบๆ ขึ้นมามอง ผมเลยยิ้มให้บางๆ ก่อนจะลูบศีรษะเล็กๆ ด้วยความอ่อนโยน


“พี่ไม่แกล้งน้องวาแน่นอน แล้วพี่ก็จะดูแลน้องวาเป็นอย่างดีจนกว่าจะหายด้วยนะ”


“เย่! พี่ตะวันใจดีที่สุดในโลกเลย!” น้องวาชูกำปั้นขึ้นอย่างดีใจ จากนั้นก็เอียงใบหน้ามาซบลงที่แขนของผมแล้วถูไปมา


ผมที่เห็นอย่างนั้นเลยไม่กล้าพูดออกไปว่า หลังจากที่น้องวาหายดีผมจะลาออกตามที่ได้ตั้งใจเอาไว้ เพราะถึงน้องวาจะไม่โกรธ แต่ผมก็ต้องรับผิดชอบในการกระทำของตัวเองอยู่ดี ซึ่งผมก็คิดว่าคุณภูผาน่าจะยินดีและพอใจ ที่คนก่อปัญหาอย่างผมจะออกจากบ้านไปได้สักที...


คืนนี้พวกเราทุกคนตัดสินใจอยู่เฝ้าน้องวาเพราะไม่มีใครอยากกลับบ้าน ซึ่งนอนหลับบ้างไม่หลับบ้าง เนื่องจากแต่ละคนต้องนั่งหลับกันบนเก้าอี้ไม่ก็โซฟา มีแค่เพลิงคนเดียวที่นอนราบไปกับพื้นแล้วใช้แขนหนุนแทนหมอน ซึ่งก็ไม่ได้เป็นปัญหาต่อการนอนแต่อย่างใด แถมดูเหมือนว่าจะนอนสบายกว่าใครเพื่อนอีกต่างหาก...ช่างเป็นคนที่อยู่ง่ายนอนง่ายซะจริง


หลังจากนั้นช่วงสายๆ เมื่อไม่มีอะไรแล้วคุณหมอก็อนุญาตให้น้องวากลับบ้านได้ โดยพวกผมยกเว้นคุณภูผาจะกลับบ้านกันก่อน เพราะคุณภูผาต้องเคลียร์ค่ารักษาพยาบาลแล้วก็จะเลยไปทำธุระต่อ จะกลับมาอีกทีก็ช่วงค่ำๆ ไม่ก็ดึกๆ ดังนั้นตลอดทั้งวันจึงไม่ต้องให้ผมทำกับข้าวเผื่อ


ตอนแรกผมก็รู้สึกแปลกใจนิดๆ เพราะปกติคุณภูผาจะเป็นคนติดบ้านมาก วันๆ เอาแต่ทำงานในห้องแทบจะไม่ออกไปไหนแท้ๆ ถึงจะมีธุระจริงๆ ก็ออกไปแค่ 2 – 3 ชั่วโมงเท่านั้น ไม่เคยหายไปทั้งวันขนาดนี้


แต่พอหลังจากนั้นเกือบทั้งอาทิตย์คุณภูผาก็หายไปทั้งวัน แถมกลับมาตอนดึกๆ ก็ไม่พูดไม่จาและหน้าหงิกงอใส่ผมอยู่ตลอด ผมจึงเข้าใจได้ว่าคุณภูผาคงเกลียดผมมากและไม่อยากเจอหน้าผมอีกต่อไปแล้ว


แต่นั่นก็ดีแล้วล่ะ เพราะมันทำให้ผมสามารถตัดใจออกไปจากบ้านหลังนี้ได้อย่างง่ายดาย และผมก็จะได้ตัดใจจากคุณภูผาได้โดยไม่มีลังเล


ผมใช้เวลาที่เหลืออยู่ทำหน้าที่ของตัวเองเป็นอย่างดีที่สุด ทั้งเรื่องงานบ้านและเรื่องดูแลทุกคนโดยเฉพาะน้องวา ซึ่งทุกคนก็ดูมีความสุขกันมาก อาจเพราะไม่มีใครเอะใจเลยก็ได้ว่าผมจะออกจากบ้านไปจริงๆ ดังนั้นเลยไม่มีใครคอยจับตามองผม พอตกกลางคืนก็แยกย้ายกันกลับเข้าไปนอนในห้องอย่างสบายใจ


จนกระทั่งวันนี้ซึ่งเป็นวันศุกร์ ผมไม่มีเรียนและอยู่บ้านคนเดียวเลยสามารถเก็บเสื้อผ้าและข้าวของได้อย่างสบายๆ โดยไม่ต้องระมัดระวังอะไร เสร็จแล้วผมก็ไปทำงานบ้านทุกอย่าง โดยไล่เช็คห้องของแต่ละคนเลยว่าสะอาดเรียบร้อยดีมั้ย เพราะถึงจะเป็นวันสุดท้ายแต่ผมก็อยากให้ทุกอย่างออกมาดีไม่มีขาดตกบกพร่อง


จากนั้นผมก็ไปทำอาหารเย็นเพื่อที่จะได้กินร่วมกันกับทุกคนเป็นมื้อสุดท้าย ผมทำอาหารที่ทุกคนชอบอย่างตั้งใจและสุดฝีมือ ซึ่งผมก็หวังว่ามื้อสุดท้ายคุณภูผาจะได้มานั่งกินด้วย แต่มันก็ไม่ได้เป็นอย่างที่คิด เพราะคุณภูผาก็ยังคงไม่กลับมากินข้าวเย็นเหมือนเคย


หลังจากกินข้าวเย็นกันเสร็จเรียบร้อย คุณธารกับเพลิงก็ออกไปเปิดหูเปิดตานอกบ้าน ส่วนพฤกษ์กับวาก็นั่งดูทีวีและอยู่คุยเล่นกับผมต่อ จนกระทั่งใกล้จะได้เวลานอนทั้ง 2 คนจึงขอตัวแยกย้ายขึ้นไปบนห้อง

ทางสะดวกแล้วสินะ

ผมเดินเข้าไปในห้องแล้วเอากระเป๋าเสื้อผ้ากับถุงหนังสือที่แอบซ่อนไว้ออกมา จากนั้นก็เขียนจดหมายเพื่อขอบคุณและบอกลาทุกคน เสร็จแล้วก็วางเอาไว้บนโต๊ะเขียนหนังสือข้างๆ หัวเตียง ก่อนที่ผมจะสะพายกระเป๋าและหิ้วถุงหนังสือเดินออกมา


รู้สึกใจหายนิดๆ แฮะ


ผมกวาดสายตามองไปรอบๆ ตัวบ้าน เวลาเดือนกว่าๆ ที่อยู่ที่นี่ ถึงแม้มันจะสั้นแต่ผมก็รู้สึกผูกพันกับทุกคนราวกับเป็นครอบครัวเดียวกัน ประสบการณ์และความทรงจำตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่ ผมจะจดจำและเก็บมันเอาไว้ในใจราวกับสิ่งล้ำค่าไม่รู้ลืม...


“ลาก่อนนะทุกคน” ผมบอกลาด้วยเสียงแผ่วเบาราวกับกระซิบ จากนั้นจึงใช้นิ้วมือปาดน้ำตาที่มันซึมออกมา ก่อนที่จะรีบเดินออกไปจากบ้านเพราะกลัวน้ำตามันจะไหลออกมาจริงๆ


ผมตั้งใจว่าจะเดินไปขึ้นแท็กซี่ที่หน้าปากซอย เพื่อไปยังร้านของพี่กิตติที่เอื้อเฟื้อที่นอนให้ผม


แต่ถึงอย่างนั้น...

ยังไม่ทันที่ผมจะได้ไปไหน แค่พอผมเปิดประตูรั้วออกไป ผมก็เจอกับคุณภูผายืนกอดอกรออยู่ด้วยใบหน้าอันบูดบึ้งซะแล้ว!


               “คะ...คะ...คะ...คุณภูผา!” สาบานเลยว่าถึงแม้จะเห็นผี แต่ผมก็ไม่คิดว่าตัวเองจะตกใจได้ถึงขนาดนี้เลยจริงๆ


“ใช่ฉันเอง...หึ! กะเอาไว้แล้วว่านายต้องแอบหนีไปสักวัน ไม่เสียแรงจริงๆ ที่อุตส่าห์อดหลับอดนอนมาดักเฝ้านายทุกคืน”


หา? อดหลับอดนอนมาดักเฝ้าผมทุกคืน!


ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่า...ตลอดหลายวันที่ผ่านมาคุณภูผาไม่ได้ไปไหน แต่มาดักรอผมอยู่ที่หน้าบ้านเนี่ยนะ!

               2BC


สวัสดีค่ะทุกคน หัวใจชิงรักตอนที่ 9 ก็จบลงไปเรียบร้อยแล้วน้า จบไปพร้อมกับความค้างคาเชื่อว่าหลายๆคนอาจจะอยากปาโทรศัพท์ทิ้งหรือว่าด่ากราดเค้าเพราะอยากอ่านต่อมากๆเลยใช่ม้า ซึ่งก็รอกันไม่นานหรอกนะคะ วันอาทิตย์ได้อ่านกันแน่นอนค่าที่ร้าก :give2:
ก่อนลากันตรงนี้ก็ต้องขอขอบคุณทุกคนมากๆเลยนะคะที่เข้ามาอ่านและคอมเมนท์ให้เราทุกคนคือกำลังใจของเราจริงๆค่า  :pig4: รักทุกคนมากๆเลยน้า แล้วเจอกันตอนหน้าค่ะ บ๊ายบายยยยยยยย  :bye2:
(10 ส.ค. 60)

ออฟไลน์ aiyuki

  • รักแท้ไม่แบ่งแม้เพศพันธุ์
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2636
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-6
ตะวันจะหนีทำไมล่ะ ลาออกตรงๆเลย ไหนๆก็จะออกแล้วนี่นา

ออฟไลน์ WilpeR

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1556
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-2
ตะวันหนีแบบนี้ไม่ดีเลยน้า ทำไมไม่พูดกันดีๆล่ะ

ออฟไลน์ Y-Darkness

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด