[H.E.A.R.T.] H. Hanger หัวใจชิงรัก
Part 8# Phupha เงินสด รถ เอทีเอ็ม (สายเปย์ที่แท้ทรู)
เช้านี้ผมตื่นมาด้วยความสดชื่นและสดใส แถมยังสุขล้นจนอดไม่ได้ที่จะฉีกยิ้มกว้าง เพราะการตื่นมาแล้วมีคนที่ชอบนอนอยู่ข้างๆ มันช่างรู้สึกดีจนเกินบรรยายจริงๆ
ผมนอนมองตะวันที่กำลังหลับตาพริ้มอยู่แบบนี้มาได้สักพัก สีหน้าตอนนี้ช่างน่ารักน่าเอ็นดูจนผมแทบอดใจไม่ไหว แต่ดูจากปฏิกิริยาของตะวันเมื่อคืนนี้ผมก็รู้แล้วว่าผมทำเกินไป เพราะงั้นผมเลยตัดสินใจว่าจะไม่รุกหนักเท่าเดิม ผมจะค่อยๆ อ่อนโยนจนกว่าตะวันจะโอนอ่อนคล้อยตาม
ถึงผมจะเลิกรุกหนัก แต่ก็ใช่ว่าผมจะยอมให้ไอ้พวกน้องๆ มันแซงได้หรอกนะ ผมออกตัวสตาร์ทช้ากว่าใครก็จริง แต่ผมจะแสดงให้พวกมันดูว่าผมนี่แหละจะเป็นคนที่เข้าเส้นชัยเป็นคนแรก!
ตอนนี้เป็นเวลา 8 โมงกว่าๆ ถ้าเป็นปกติป่านนี้ตะวันต้องตื่นมาทำกับข้าวให้คนในบ้านกินเรียบร้อยแล้ว ที่วันนี้ยังนอนอยู่บนเตียงคงเป็นเพราะเหนื่อยสะสมจากพิษไข้ และเหนื่อย (ปนสุขสม) จากการปลดปล่อยเมื่อคืนนี้
แต่ผมว่านะ ตะวันคงได้นอนอีกแค่แป๊บเดียว เพราะอีกเดี๋ยวไอ้ตัวป่วนมันก็คงจะมาก่อกวนตะวันแน่นอน
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“พี่ตะวันอยู่ข้างในรึเปล่าครับ ตื่นรึยังเอ่ย ออกมาเปิดประตูให้ผมหน่อย”
นั่นไง พูดยังไม่ทันขาดคำไอ้เจ้าน้องเล็กของบ้านก็มารบกวนการนอนของตะวันเข้าซะแล้ว แต่นี่ก็ถือเป็นข้อดีล่ะนะ เพราะผมจะได้แสดงให้ดูสักทีว่าตอนนี้ผมอยู่เหนือกว่าพวกมันกี่เท่าตัว
“อืม...เสียงใครน่ะครับคุณภูผา” ตะวันลืมตาขึ้นมาอย่างงัวเงียแล้วพยายามจะชันตัวลุกขึ้น เพราะตอนนี้วายังคงร้องเรียกและเคาะประตูไม่หยุด แล้วถ้าผมฟังไม่ผิดตอนนี้ทั้งธาร พฤกษ์ และเพลิง ก็น่าจะมาสมทบอยู่ที่หน้าประตูด้วย เพราะผมเหมือนได้ยินเสียงคนหลายๆ คนกำลังคุยกัน
ดี! มากันครบทุกคนแบบนี้จะได้เห็นกันอย่างชัดเจนไปเลย!
“เสียงวาน่ะตะวัน แต่ว่านายไม่ต้องฝืนลุกขึ้นมาหรอก” ผมดันตะวันให้กลับลงไปนอนเหมือนเดิม
“แต่ว่า...”
“ไม่มีแต่ นอนต่อเถอะตะวัน ฝืนมากๆ เดี๋ยวไข้กลับมาอีกจะว่าไงหืม”
“ถ้างั้น...ผมนอนต่อก็ได้ครับ”
“ดีมาก” ด้วยความที่ตะวันทำตัวว่าง่ายเป็นเด็กดี เพราะงั้นผมจึงได้ให้รางวัลโดยการก้มหน้าลงไปจูบที่หน้าผากดังจุ๊บ
การกระทำนั้นทำเอาตะวันเบิกตากว้างด้วยความตกใจ แต่พอผมเลื่อนใบหน้าลงไปจูบที่ริมฝีปากพร้อมขบเม้มเบาๆ ตะวันก็หน้าร้อนฉ่าจนต้องเอาผ้าห่มขึ้นมาปิดบังใบหน้าด้วยความเขินอาย
“คุณภูผาอ่า...” -///-
“หึหึ” ความน่ารักของตะวันทำเอาผมอดที่จะยิ้มและหัวเราะออกมาไม่ได้ แต่ว่าพอได้ยินเสียงเคาะประตูและร้องเรียกตะวันที่ยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ ผมก็ทำหน้าเบื่อหน่ายและต้องลุกขึ้นจากเตียงด้วยความเซ็งสุดขีด
“พี่ตะวันตอบผมหน่อยครับ! ไม่สบายหรือว่าไข้กลับรึเปล่า! ถ้าอีก 1 นาทีพี่ตะวันไม่เปิดผมจะ...”
“จะอะไรของแก?” ผมชิงเปิดประตูก่อนที่วาจะได้พูดจนจบประโยค พอเห็นหน้าผมเท่านั้นแหละวาก็ทำหน้าตกใจเป็นไก่ตาแตกทันที รวมทั้งพฤกษ์และเพลิงก็ด้วย ขนาดธารที่รู้เรื่องที่ผมชอบตะวันแล้วก็ยังทำหน้าตกใจเลยที่เห็นผมเปิดประตูออกมาแบบนี้
“พะ...พะ...พะ...พี่ภู...” เห็นแค่นี้ก็ถึงกับติดอ่างซะแล้วน้องผม
“อืม พี่เอง หรือแกคิดว่าไม่ใช่”
“กะ...กะ...ก็ใช่ครับ ตะ...แต่ว่า...ทะ...ทำไมพี่ภูถึงได้...” ดูท่าวาจะช็อคเอามากๆ เลยพูดตะกุกตะกักได้ถึงขนาดนี้ เล่นเอาผมที่กำลังเก็กขรึมอยู่เกือบจะหลุดขำออกมา พฤกษ์ที่ทนรอให้วาพูดจนจบประโยคไม่ไหวเลยพูดแทรกขึ้นก่อนด้วยความร้อนรน
“พี่ภูเข้าไปทำอะไรในห้องของตะวันครับ” เป็นคำถามที่ดี นี่แหละที่ผมรออยู่เลย
“จะเข้าไปทำอะไรได้ล่ะ พี่ก็ต้องเข้าไปนอนน่ะสิ” ผมตอบด้วยใบหน้านิ่งๆ แต่ในใจนี่อยากจะยิ้มอย่างผู้ชนะใจจะขาด คำตอบนั้นทำเอาพฤกษ์ถึงกับช็อคจนตัวแข็งทื่อไปเลย
“เดี๋ยวๆๆ พี่ภูเข้าไปนอนกับตะวันตั้งแต่ตอนไหน” คำถามนี้เพลิงเป็นคนถาม ผมจึงได้ตอบกลับไปอย่างนิ่งๆ เหมือนเดิม
“เมื่อคืน”
“ถ้างั้นก็หมายความว่า...”
“พี่นอนอยู่กับตะวันในห้องทั้งคืนยังไงล่ะ”
“ห้ะ!! ทั้งคืน!!” คราวนี้เพลิงกับวาประสานเสียงออกมาพร้อมกันด้วยความตกใจ
“ใช่ ถ้าพวกแกอยากรู้อะไรมากกว่านี้ก็ไปถามตะวันเอาเองละกัน แต่ว่าสัก 3 – 4 ชั่วโมงค่อยไปปลุกนะ ตอนนี้ปล่อยให้ตะวันนอนพักเถอะเพราะเมื่อคืนพวกเราเหนื่อยกันมาก”
“ห้ะ!! เหนื่อยกันมาก!!”
“เออ แล้วนี่พวกแกจะเสียงดังไปไหน พี่บอกแล้วไงว่าอยากให้ตะวันนอนพัก”
ผมพยายามพูดตอกย้ำให้พวกมันเข้าใจผิดไปเรื่อยๆ ถึงแม้ว่าสิ่งที่พวกมันคิดจะเกินจริงไปหน่อยเพราะผมกับตะวันไม่ได้มีอะไรกัน แต่ผมก็ไม่คิดจะแก้ความเข้าใจผิดนั้นหรอกนะ ให้พวกมันเข้าใจแบบนี้แหละดีแล้ว
ส่วนความจริงจะเป็นยังไงพวกมันคงไม่กล้าถามตะวันตรงๆ หรอก แต่ถึงจะถามตะวันก็คงเขินหน้าแดงแล้วก็รีบกลบเกลื่อนจนพวกมันยิ่งสงสัยมากขึ้นอยู่ดี และท้ายที่สุดพวกมันก็จะเชื่อในสิ่งที่ผมพูดทั้งหมด
“พี่ภู แต่ว่าเรื่องนี้มัน...”
“พอๆๆ เลิกซักไซ้พี่ได้แล้วเพลิง พี่ไม่ได้มีเวลาว่างมาตอบคำถามแกทั้งวันนะ แยกย้ายกันไปที่อื่นได้แล้ว” ผมพูดจบก็ปลีกตัวออกมาทันที แต่เพลิงและวายังไม่ยอมจบเลยทำท่าจะตามมาคุยกับผมต่อ ส่วนพฤกษ์นั้นก็ยังยืนแข็งค้างเป็นท่อนไม้เหมือนเดิม ยังดีที่ธาร (น่าจะ) อยู่ทีมผมเลยห้ามพวกมันเอาไว้แล้วสั่งให้สลายตัว
ผมเดินขึ้นห้องอย่างอารมณ์ดี เพราะในที่สุดก็กำจัดคู่แข่งทั้งหมดได้เป็นที่เรียบร้อย หลังจากนี้ผมคิดว่าคงจะไม่มีใครมาจีบตะวันแข่งกับผมแล้วล่ะนะ ถ้ามีก็คงจะแค่หยอดนิดหยอดหน่อยตามประสานั่นแหละ
พอคิดได้แบบนี้ผมก็สบายใจ เลยว่าจะอาบน้ำให้สดชื่นแล้วไปทำงานที่ค้างเอาไว้ตั้งแต่เมื่อคืนต่อ แต่ว่ายังไม่ทันที่ผมจะได้ไปไหน ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นมาซะก่อน
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“นั่นใคร?”
“ผมธารเองพี่ภู” พอรู้ว่าไม่ใช่เพลิงกับวาที่คิดจะมาซักไซ้ ผมเลยเดินไปเปิดประตูให้ธารเข้ามาในห้อง
“แกมีอะไร?” คำถามของผมดูห้วนๆ เหมือนจะไม่พอใจ แต่ความจริงแล้วตอนนี้ผมกำลังมีความสุขอยู่ต่างหาก
“ผมอยากรู้เรื่องของพี่กับตะวันที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ขอความจริงด้วยนะพี่ภู ไม่งั้นถ้าผมรู้ความจริงผมแฉพี่หมดเปลือกแน่” ธารพูดยิ้มๆ พลางยืนกอดอกพิงประตูห้อง พอโดนถาม (ขู่) แบบนี้แล้วผมจะทำยังไงได้ล่ะนอกจากต้องเล่าความจริงทั้งหมดให้ธารฟัง
ซึ่งพอได้ฟังจนจบธารก็ถึงกับพูดออกมาเลยว่า...
“โอ้โห พี่นี่มันตัวร้ายชัดๆ”
“แกพูดผิดพูดใหม่ได้นะธาร พี่ไม่ใช่ตัวร้ายแต่เป็นพระเอกต่างหาก” เพราะพระเอกตัวจริงของตะวัน มีแค่ผมคนเดียวเท่านั้น!
“งั้นผมพูดใหม่ก็ได้ พี่น่ะร้ายมากเลยนะรู้ตัวมั้ย”
“แล้วพี่เคยบอกรึไงว่าพี่เป็นคนดี บ้านนี้ก็มีแต่พวกวายร้ายทั้งนั้น”
“จริงอยู่ที่บ้านนี้มีแต่พวกวายร้าย แต่คนที่ร้ายที่สุดก็คือพี่ภูนั่นแหละ”
“เรื่องนี้พี่ไม่เถียง แล้วพี่แถมให้ด้วยเลยว่า...นอกจากจะร้ายที่สุดพี่ยังฉลาดที่สุดในบ้านอีกด้วย หึหึหึ” ผมหัวเราะในลำคออย่างชั่วร้าย ส่วนธารก็ได้แต่ส่ายหน้าไปมาอย่างเหนื่อยใจ
“เฮ้อออออ ผมล่ะสงสารตะวันจริงจริ้ง ที่ดันไปถูกใจวายร้ายตัวพ่ออย่างพี่ได้น่ะ ดูท่าคงจะรอดยากซะแล้ว...”
Tawan
หลังจากวันนั้น วันที่คุณภูผาขอ (บังคับ) มานอนกับผมที่ห้อง ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาคุณภูผาก็เข้ามานอนกับผมที่ห้องทุกคืน ตอนแรกผมก็กลัวอยู่หรอกว่าคุณภูผาจะบังคับทำอะไรผมเหมือนคืนแรกรึเปล่า แต่ก็ปรากฏว่าคุณภูผาไม่ได้ทำ อย่างมากก็มีแค่จูบเท่านั้น เพราะงั้นผมเลยสามารถหลับโดยมีคุณภูผานอนกอดได้อย่างสบายใจ
ตลอด 1 สัปดาห์ที่ผ่านมาทำให้ผมได้อยู่ใกล้ชิดและรู้จักคุณภูผามากขึ้น (แต่กลับกันผมกลับรู้สึกว่าพฤกษ์และเพลิงได้ตีตัวออกห่างจากผมอย่างน่าประหลาด ยังดีที่น้องวากับคุณธารยังเข้ามาคุยเล่นกับผมเหมือนเดิม) ตัวตนที่แท้จริงของคุณภูผาไม่ได้น่ากลัว เจ้าอารมณ์ ชอบดุ หรือว่าเป็นจอมเผด็จการอย่างที่ผมเคยคิดเอาไว้ ความจริงแล้วคุณภูผาเป็นผู้ชายที่อ่อนโยนและอบอุ่นมาก มากซะจนบางครั้งมันก็ทำให้ผมรู้สึกหน้าร้อนผ่าวและใจเต้นตึกตักอย่างไม่ทราบสาเหตุ
แต่ถึงจะอ่อนโยนและอบอุ่น คุณภูผาก็แอบมีความเจ้าเล่ห์เช่นกัน เพราะบางครั้งก็ชอบเข้ามากอด หอม จูบ หรือว่าทำอะไรแปลกๆ กับผม ต่อให้ผมไม่ยอมคุณภูผาก็จะชักแม่น้ำทั้ง 5 มาหว่านล้อมจนผมใจอ่อนยอมจนได้
ผมไม่รู้เหมือนกันว่าคุณภูผาทำอย่างนี้ไปเพื่ออะไร เพราะเกลียดหรืออยากแกล้งคุณภูผาก็บอกว่าไม่ใช่ แต่ถ้าจะให้คิดเข้าข้างตัวเองว่าบางทีคุณภูผาอาจจะชอบผม ผมก็ไม่กล้าคิดเหมือนกัน
จริงอยู่ว่าพฤกษ์เคยบอกว่าบ้านนี้ไม่มีใครชอบผู้หญิง แต่คุณภูผาก็ไม่เคยบอกว่าชอบผู้ชายเหมือนกัน ยิ่งผู้ชายธรรมดาๆ ไม่มีอะไรโดดเด่นอย่างผมแล้ว มันแทบไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่คุณภูผาจะหันมาชอบ
ผิดกับคุณภูผา ที่ผมมองว่าเป็นผู้ชายที่ดูดีและมีเสน่ห์เอามากๆ นอกจากรูปร่างหน้าตาแล้วหน้าที่การงานก็ยังดีอีกต่างหาก นิสัยใจคอก็ไม่ใช่คนเลวร้าย ผมกล้าพูดได้เลยว่าคุณภูผาเป็นคนที่เพียบพร้อมและเพอร์เฟคจริงๆ
เพราะงั้นคนแบบนั้นน่ะหรอจะมาชอบคนอย่างผมได้?
ถ้าบอกว่าคนอย่างผมไปชอบคุณภูผามันยังดูเป็นไปได้มากกว่าซะอีก...ไม่สิ บางทีมันอาจจะเป็นไปแล้วก็ได้ ผมคิดว่าตอนนี้ผมอาจจะชอบคุณภูผาเข้าแล้ว
ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก
พอคิดได้แบบนี้หัวใจของผมมันก็เต้นรัวจนแทบจะระเบิด แถมใบหน้าก็ยังร้อนวาบราวกับโดนไฟเผา
ทำไงดี นี่หมายความว่าผมชอบคุณภูผาจริงๆ แล้วใช่มั้ย?
“ทำอะไรอยู่น่ะตะวัน!”
“ว้ากกกกกกกก!” จู่ๆ คุณภูผาที่มาจากไหนก็ไม่รู้เข้ามากอดผมจากทางด้านหลัง ผมที่กำลังใจจดใจจ่ออยู่กับความคิดเลยไม่ทันได้รู้ตัว จึงสะดุ้งตกใจร้องเสียงหลงลั่นบ้าน
“ตกใจอะไรขนาดนั้น ฉันไม่ใช่ผีสักหน่อย” คุณภูผาพูดจบก็หัวเราะอย่างขบขัน
“ไม่ใช่ก็เหมือนใช่แหละครับ ก็คุณภูผาเล่นมาแบบไม่ให้ซุ่มให้เสียงเลยนี่นา” ผมบ่นพลางพยายามแกะแขนปลาหมึกที่กอดเอวของผมอยู่ แต่ไม่ว่าจะแกะเท่าไหร่ปลาหมึกตัวนี้ก็ไม่ยอมปล่อย เพราะงั้นผมจึงได้ปล่อยเลยตามเลยอย่างช่วยไม่ได้
“ฉันเรียกนายแล้วนะ แต่นายไม่ได้ยินเองต่างหาก มัวแต่ใจลอยคิดถึงใครอยู่ก็ไม่รู้” คุณภูผาพูดอย่างตัดพ้อทำเป็นงอน
อยากจะบอกจริงๆ ว่าคนที่ผมมัวแต่ใจลอยคิดถึงไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นตัวคุณภูผาเองนั่นแหละ
“ผมไม่ได้กำลังคิดถึงใครครับ แต่ผมกำลังคิดเมนูอาหารเย็นนี้อยู่ต่างหาก” เรื่องที่พูดผมไม่ได้โกหกนะ เพราะก่อนที่ผมจะคิดถึงเรื่องคุณภูผาผมกำลังคิดเมนูอาหารเย็นอยู่จริงๆ
“อ้อ แล้วคิดได้รึยัง”
“ยังเลยครับ พอคิดจะทำอะไรวัตถุดิบที่ต้องใช้มันก็ขาดนิดๆ หน่อยๆ ถ้าจะเอาที่มีมายำรวมกันผมก็กลัวว่ามันจะไม่อร่อยน่ะครับ”
“วัตถุดิบไม่พองั้นหรอเนี่ย ก็นะ...มันจะครบอาทิตย์แล้วนี่นา แต่ว่าตอนนี้ฉันไม่ว่างซะด้วยสิ ต้องรีบส่งงานให้ลูกค้าก่อน 5 โมงเย็น ไว้ส่งเสร็จแล้วฉันจะพานายออกไปซื้อแล้วกันนะ”
“แต่ถ้ารอจนถึงตอนนั้นรถมันก็ติดพอดีน่ะสิครับ วันนี้เป็นวันศุกร์ด้วย แค่คุณภูผาออกไปรับน้องวาอย่างเดียวก็น่าจะกินเวลาเป็นชั่วโมงแล้วนะครับ ผมว่าผมออกไปซื้อเองดีกว่า แม็กซ์แวลูก็อยู่ไม่ไกลเท่าไหร่ด้วย” ตอนนี้เป็นเวลาบ่าย 3 โมง รถเลยยังไม่น่าจะติดเท่าไหร่
“อืม...เอางั้นก็ได้ ว่าแต่นายขับรถเป็นรึเปล่า”
“เป็นครับ”
“แล้วใบขับขี่ล่ะ?”
“มีทั้งมอเตอร์ไซค์และรถยนต์เลยครับ”
“ดี ถ้างั้นนายรออยู่นี่แล้วกัน เดี๋ยวฉันไปหยิบกุญแจรถกับเงินสดมาให้” คุณภูผาพูดจบก็คลายอ้อมแขนออกจากเอวผมแล้วเดินกลับไปยังห้องทำงาน โดยที่ผมยังคงยืนอึ้งอยู่กับที่ เพราะไม่คิดว่าการที่คุณภูผาถามเรื่องขับรถกับใบขับขี่ คุณภูผาจะให้ผมเอารถของตัวเองไปใช้จริงๆ ตอนแรกผมคิดว่ากะจะนั่งรถเมล์ไม่ก็แท็กซี่ไปด้วยซ้ำ
จากนั้นไม่เกิน 5 นาทีคุณภูผาก็เดินกลับมา แล้วตรงมาหาผมพร้อมกับเอาของวางไว้ในมือ
“นี่กุญแจรถ เงินสด กับเอทีเอ็ม ฉันยังไม่ได้กดเลยมีเงินติดกระเป๋าแค่นิดหน่อย ถ้าหากไม่พอนายก็ไปกดเอาที่ตู้ได้เลย รหัสคือ...”
“เดี๋ยวววววววว เดี๋ยวก่อนครับคุณภูผา เอ่อ...คุณภูผาไม่ต้องบอกรหัสกับผมหรอกครับ แล้วก็เก็บบัตรเอาไว้กับตัวด้วย เงินสดที่ให้มาผมว่ายังไงมันก็พอครับ” เงินที่คุณภูผาให้มา 3 พัน ถึงไม่พอผมก็จะตัดบางรายการออกจนพอให้ได้ ใครมันจะไปกล้าเอาบัตรเอทีเอ็มของคนอื่นมากดอย่างหน้าตาเฉยได้เล่า
คุณภูผานะคุณภูผา นี่คิดอะไรอยู่ถึงได้ให้ทั้งเงิน รถ แล้วก็เอทีเอ็มกับผมมาง่ายๆ กันเนี่ย!
“เงินแค่นี้มันจะพออยู่หรอ อย่าลืมสิว่าบ้านนี้อยู่กัน 6 คนเลยนะตะวัน”
“ก็ถ้าไม่พอเดี๋ยววันหลังผมค่อยให้คุณภูผาพาออกไปซื้ออีกก็ได้นี่ครับ”
“แต่ฉันว่า...”
“ไม่มีแต่แล้วครับ คุณภูผาเก็บบัตรไว้เถอะ ผมต้องรีบออกไปแล้ว ขืนช้ากว่านี้เดี๋ยวคุณภูผาจะไปรับน้องวาไม่ทัน” ผมพูดจบก็รีบยัดบัตรเอทีเอ็มใส่คืนในมือคุณภูผา จากนั้นก็รีบวิ่งออกมาจากบ้านแล้วไปขึ้นรถทันที
เฮ้อออออ ตั้งแต่เกิดมาผมยังไม่เคยรับอะไรที่มันลำบากใจขนาดนี้มาก่อนเลย ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าคุณภูผาคิดอะไรอยู่กันแน่ ของแบบนั้นมันใช่ของที่จะเอามายื่นให้คนอื่นรึไงกัน
จากนั้นผมก็สตาร์ทรถ แล้วขับออกไปด้วยความเกร็งและระมัดระวังสุดๆ เพราะหากมีเหตุไม่คาดฝันที่ทำให้รถเป็นรอยหรือเกิดอุบัติเหตุผมคงไม่มีปัญญาชดใช้แน่นอน ดังนั้นผมเลยใช้เวลานานกว่าปกติถึงจะมาถึงแม็กซ์แวลู แต่อย่างน้อยผมก็มาถึงที่นี่อย่างปลอดภัยล่ะนะ
ผมใช้เวลาหยิบวัตถุดิบประมาณครึ่งชั่วโมง เพราะต้องคิดไปด้วยว่าใครชอบอะไร และจะทำอะไรแต่ละมื้อให้ทุกคนกิน จากนั้นจึงไปหยิบขนมและของใช้จิปาถะเอาไว้ติดบ้าน เสร็จแล้วก็เดินวนอีกรอบเผื่อว่าผมจะลืมซื้ออะไรไป
ในขณะนั้นเองผมก็สะดุดเข้ากับของอย่างหนึ่ง ทันทีที่เห็นผมก็รีบเข็นรถเข็นวิ่งตรงไปหยิบมันขึ้นมาจากชั้นวางทันที ซึ่งนั่นก็คือ...กุ้งลายเสือลดราคา 50%!
ว้าววววววว วันนี้ผมโชคดีสุดๆ เลย นานๆ ทีผมจะเห็นกุ้งชนิดนี้ลดราคา แถมยังไม่ใช่แค่แพคเดียวด้วยเพราะมันลดถึง 2 แพค ดังนั้นผมเลยรีบวางพวกมันลงในรถเข็น แล้วก็คิดว่าจะเอามันไปทำเมนูอะไรให้ทุกคนกินเย็นนี้ดี เพราะของลดราคามันอยู่ได้แค่วันเดียวเท่านั้น ผมเลยต้องรีบทำก่อนที่มันจะเสีย
เอ...จะว่าไปตั้งแต่เป็นแม่บ้านมาผมยังไม่เคยทำอาหารจากกุ้งเลยนี่นา ไม่แน่ว่าบางทีคนบ้านนี้อาจจะไม่ค่อยชอบกินกุ้งกัน เพราะงั้นผมเลยคิดว่าจะทำเป็นอาหารว่างไม่ใช่จานหลัก แล้วจังหวะนั้นเทมปุระมันก็ลอยเข้ามาในหัว
เอาอันนี้แหละ!
พอตัดสินใจได้แล้วผมก็ไปเลือกซื้อส่วนผสมเพิ่ม โดยคำนวณให้มันพอดีกับเงินที่เหลือ เสร็จแล้วผมก็รีบไปจ่ายเงินและขับรถตรงกลับบ้านทันที
เมื่อไปถึงคุณภูผาที่ส่งงานเสร็จแล้วก็มาช่วยขนของเข้าไปในครัว แต่ก็ไม่ได้ช่วยจัดอะไรเพราะต้องรีบไปรับน้องวาที่โรงเรียน
ผมใช้เวลาจัดของสักพัก ซึ่งในขณะที่จัดผมก็เกิดปิ๊งไอเดียหนึ่งขึ้นมาว่าผมจะทำเทมปุระหลายๆ อย่าง โดยมีทั้งของที่ทำจากทะเลและของที่ทำจากผักรวมกัน ซึ่งผมจะชุบแป้งให้หนากว่าปกตินิดหน่อย และจะตัดหางกุ้งรวมทั้งจุดเด่นของวัตถุดิบตัวอื่นๆ ออก เพราะไม่อยากให้รู้ว่าข้างในแป้งมีอะไร
การที่ผมทำแบบนี้ก็เพราะอยากให้ทุกคนลุ้นและสนุกในการกิน แล้วผมก็อยากให้น้องวาสามารถกินผักที่เกลียดได้อย่างเอร็ดอร่อยด้วย เพราะตอนเด็กๆ ผมก็ไม่ชอบกินผักเหมือนกัน แต่พอคุณแม่ทำแบบนี้ให้กิน ผมก็รู้สึกว่าผักมันอร่อยแล้วก็กินง่ายกว่าที่คิดเยอะเลย
ผมลงมือทอดเทมปุระพลางฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดี ซึ่งขณะที่ทอดสมาชิกในบ้านแต่ละคนก็ทยอยกันกลับมา เริ่มจากพฤกษ์ เพลิง ตามด้วยคุณธาร และอีกสักพักคุณภูผากับน้องวาก็คงจะกลับมาล่ะมั้ง
“วันนี้ทำกับข้าวเร็วจัง มีอะไรให้เราช่วยมั้ยตะวัน” พฤกษ์เดินเข้ามาในครัวแล้วถามขึ้น
“อันนี้ไม่ใช่กับข้าวแต่เป็นของกินเล่นน่ะ แต่เราทำใกล้เสร็จแล้ว พฤกษ์ไปนั่งรอหน้าทีวีกับเพลิงและคุณธารเลยก็ได้”
“โอเค ถ้าเสร็จแล้วก็บอกนะ เดี๋ยวเรามายกออกไปให้”
“ได้เลย ขอบใจมากนะพฤกษ์” ไม่ว่าจะเมื่อไหร่พฤกษ์ก็ยังเป็นเพื่อนที่ดีและมีน้ำใจกับผมเสมอ
หลังจากที่พฤกษ์เดินออกไป เพียงไม่กี่นาทีคุณภูผากับน้องวาก็กลับมา ซึ่งพอมาถึงคุณภูผาก็ไปนั่งพักเหนื่อยที่โซฟาเพราะเห็นบ่นว่ารถติดสุดๆ ส่วนน้องวาที่พลังงานเต็มเปี่ยมก็รีบเข้ามาหาผมในครัวด้วยความร่าเริง
“หอมจังเลย พี่ตะวันกำลังทำอะไรอยู่ครับ อ๊ะ! เทมปุระนี่นา” น้องวาที่หยุดยืนอยู่ตรงโต๊ะอาหารพูดขึ้น เพราะผมวางจานเทมปุระที่ทอดเสร็จชุดแรกเอาไว้
“ในนี้มีอะไรบ้างครับเนี่ยพี่ตะวัน ผมเห็นรูปร่างมันไม่ค่อยเหมือนกันเท่าไหร่เลย”
“ไม่บอก แต่ว่าพี่ทำหลายๆ อย่างปนกัน ถ้าอยากรู้ก็ต้องลองชิมดูนะน้องวา” ผมพูดยิ้มๆ ส่วนน้องวาก็ทำปากจู๋และพองลมที่แก้ม
“ง่า...ผมเริ่มกลัวแล้วนะครับ”
“ฮ่าๆๆ ไม่ต้องกลัวหรอกน่า พี่ไม่ใส่อะไรแปลกๆ เข้าไปหรอก”
“จริงนะครับ?”
“จริงสิ เห็นพี่เป็นคนชอบแกล้งรึไง”
“ก็...เปล่าครับ”
“เห็นมั้ยล่ะ เพราะงั้นก็ลองชิมดู พี่รับรองว่ามีแต่ของอร่อยแน่นอน” พอผมพูดแบบนี้น้องวาก็จ้องไปที่เทมปุระแล้วตัดสินใจสักพักหนึ่ง
“โอเคครับ ผมจะลองชิมดูก็ได้”
“น่ารักที่สุดเลย” ผมยิ้มกว้าง น้องวาเลยหยิบเทมปุระชิ้นหนึ่งขึ้นมาใส่ปาก ซึ่งพอกัดลงไปเท่านั้นแหละ...
“อี๋~~~~~~~~ นี่มันหัวหอมนี่นา แหวะ!” น้องวาทำหน้าพะอืดพะอมสุดขีด ก่อนจะรีบหยิบทิชชู่ขึ้นมาคายหัวหอมใส่แล้วโยนทิ้งลงถังขยะ จากนั้นก็รีบวิ่งไปเปิดตู้เย็นหยิบน้ำขึ้นมาดื่มหลายอึกเพื่อล้างปาก
“โหย หัวหอมรสชาติออกจะหวาน น้องวาคายทิ้งแบบนี้พี่เสียดายนะเนี่ย” ผมนึกว่าการทำแบบนี้จะทำให้น้องวากินผักได้ง่ายขึ้นซะอีก แต่สงสัยแรงเกลียดผักท่าจะมากกว่าผมตอนเป็นเด็กหลายเท่าเลยล่ะ
“หวานตรงไหนครับพี่ตะวัน รสชาติมันแบบ...อี๋~~~~~~~~” น้องวาทำท่าพะอืดพะอมอีกรอบ
“ลองเปิดใจดูนะน้องวา ตอนแรกๆ อาจจะรู้สึกไม่คุ้นรสชาติเท่าไหร่ แต่พอกินไปเรื่อยๆ เดี๋ยวน้องวาก็จะชินเอง ผักบางอย่างมันหวานแล้วก็อร่อยมากเลยนะ” ที่ผมพูดไม่ได้โกหกเกินจริงแต่อย่างใด แต่น้องวาก็ยังทำท่าขยะแขยงเหมือนเดิม
“ให้ผมตายซะยังดีกว่าต้องมากินผักอะพี่ตะวัน”
“โธ่ ผักมันก็ไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้นสักหน่อย ลองกินให้พี่หน่อยนะน้องวา ที่พี่ตั้งใจทำเทมปุระก็เพื่อน้องวาเลยนะรู้มั้ย” ผมลองอ้อนน้องวาดู หวังว่ามันคงจะได้ผลนะ
“ง่า พี่ตะวันเล่นพูดขนาดนี้ผมจะกล้าปฏิเสธได้ยังไงล่ะครับ” พอได้ยินแบบนี้ผมก็ยิ้มกว้างออกมาทันทีเลยน่ะสิ
“น่ารักมากเลยน้องวา”
“ถ้าคิดว่าผมน่ารักจริงๆ พี่ตะวันต้องให้รางวัลผมนะ”
“หืม? รางวัล?”
“ครับ ผมขอไม่มากหรอก แค่ขอหอมแก้มพี่ตะวันเท่านั้นเอง” น้องวายิ้มกรุ้มกริ่ม แต่ผมนี่สิกลับตกใจจนตาเบิกกว้าง
“หา! หอมแก้มเนี่ยนะ!”
“ครับ แค่ฟอดเดียวเอง เอางี้ถ้าผมหยิบได้ชิ้นที่เป็นผักผมสัญญาเลยว่าจะกินให้หมดไม่มีเหลือ เพราะงั้นพี่ตะวันต้องให้รางวัลผมน้า นะๆๆๆ” น้องวาทำเสียงออดอ้อนแล้วส่งสายตาปิ๊งๆ ผมที่เป็นคนใจอ่อนอยู่แล้ว พอเจอลูกอ้อนขนาดนี้เข้าไปก็เลยต้องยอมตกลงอย่างช่วยไม่ได้
“เฮ้ออออ ก็ได้ๆ”
“เย่ๆๆ” น้องวาร้องตะโกนด้วยความดีใจ ส่วนผมก็ยิ้มให้อย่างเอ็นดู เพราะแค่หอมแก้มมันก็ไม่ได้เสียหายอะไรเท่าไหร่ ถ้าเทียบกับคุณภูผาที่มักจะทำอะไรต่อมิอะไรกับผมแล้ว เรื่องแค่นี้มันเทียบกันไม่ติดเลยล่ะ
พอคิดว่าก่อนหน้านี้ผมถูกคุณภูผาทำอะไรบ้าง ผมก็รู้สึกว่าหน้าของผมมันร้อนวาบขึ้นมาเลยแฮะ
“งั้นผมขอเลือกชิ้นที่จะกินก่อนนะครับพี่ตะวัน” น้องวาพูดขึ้น ผมจึงหลุดออกจากภวังค์ที่กำลังคิดอะไรฟุ้งซ่าน
“โอเค งั้นเดี๋ยวพี่ทอดเทมปุระต่อก่อนนะ” ผมพูดจบก็หันกลับไปเอาวัตถุดิบที่หั่นเตรียมไว้ในจานไปชุบแป้งที่ผสมเอาไว้ จากนั้นก็เอาลงไปทอดในกระทะจนเหลืองกรอบน่ากิน
ในช่วงเวลานั้นผมกำลังจดจ่ออยู่ที่การทอดเทมปุระ เลยไม่ได้หันกลับไปมองน้องวาว่ากำลังทำอะไรอยู่ เลือกชิ้นที่จะกินได้รึยัง หรือว่าคิดจะตุกติกอะไรมั้ย เพราะงั้นกว่าที่น้องวาจะส่งเสียงพูดกับผม ผมเลยไม่รู้ว่าเวลามันได้ผ่านไปนานกี่นาทีแล้ว
“พะ...พี่ตะวัน...ของที่พี่ทอด...มีอะไรบ้างครับ” น้ำเสียงของน้องวาที่ดูแปลกไปทำให้ผมรีบหันกลับไปมอง จึงพบว่าตอนนี้น้องวากำลังเหงื่อตก ตื่นกลัว และลนลานยังไงก็ไม่รู้บอกไม่ถูก
“น้องวาเป็นอะไรรึเปล่า ทำไมสีหน้าดูไม่ค่อยดีเลย” ผมวางตะหลิว กดสวิตช์ปิดเตา แล้วรีบตรงเข้าไปหาน้องวาอย่างเป็นกังวล
“พี่ตะวันตอบผมมาก่อน ขะ...ของที่พี่ทอดมีอะไร...หนึ่งในนั้นมีกุ้ง...ใช่มั้ยครับ” น้องวาพยายามเค้นเสียงถาม แต่ว่าตาไม่ได้มองมาที่ผม กลับมองไปที่แขนที่ตอนนี้เริ่มมีผื่นสีแดงผุดขึ้นมา ซึ่งดูท่ายิ่งนานไปยิ่งจะลามไปทั่วผิวมากขึ้นเรื่อยๆ
“ชะ...ใช่ มีกุ้ง หมึก ปลา ละ...แล้วก็พวกผักอย่างหัวหอม แครอท เห็ด ฟักทอง ตะ...แต่เรื่องนั้นช่างมันก่อน น้องวาเป็นอะไร ยะ...อย่าบอกนะว่าน้องวาแพ้กุ้ง”
“ครับ...ผมแพ้...แพ้หนักมาก...”
ระหว่างที่พูดผมก็สังเกตเห็นว่าที่ปากและคางของน้องวาเริ่มบวม ผมคิดว่าถ้ายิ่งปล่อยเอาไว้ต้องแย่แน่ๆ และผมก็ไม่รู้ว่าต้องช่วยเหลือหรือปฐมพยาบาลยังไง ทางเดียวที่ผมคิดออกคือต้องรีบไปบอกเรื่องนี้ให้ทุกคนรู้เท่านั้น
“น้องวารอพี่ตรงนี้ก่อนนะ พี่จะรีบไปตามคนมาช่วย” ผมพูดจบก็รีบวิ่งออกจากครัวไปหาทุกคนที่รวมตัวกันอยู่หน้าทีวีในห้องรับแขก เพราะถ้าจะให้ผมตะโกนเรียกจากห้องครัว เสียงของผมคงมาไม่ถึงที่นี่แน่ๆ
“แย่แล้วครับทุกคน! น้องวาแย่แล้ว!” พอได้ยินแบบนี้ ทุกคนที่กำลังดูทีวีอยู่ก็ทำหน้าเคร่งเครียดกันขึ้นมาเลย
“วาเป็นอะไร?” คุณภูผาถามเสียงเข้มแล้วจ้องมาที่ใบหน้าของผม ส่วนคนอื่นๆ ก็ด้วย
“คือ...น้องวาเผลอกินกุ้งเข้าไป ผมไม่รู้ว่าน้องวาแพ้ก็เลย...” แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้พูดให้จบประโยค คุณภูผาก็รีบวิ่งตรงไปยังห้องครัวทันที โดยมีพฤกษ์และเพลิงวิ่งตามไปติดๆ
“บอกฉันมาว่าวาเผลอกินกุ้งไปได้ยังไง” คุณธารที่ยังคงอยู่ตรงนี้ถามผมขึ้น แต่ถึงจะไม่ได้ไปไหน คุณธารก็มีสีหน้าเป็นกังวลและร้อนรนไม่ต่างจากคนอื่นๆ เลย
“คือผมทำเทมปุระผักและทะเลรวมกันน่ะครับ ผมชุบแป้งหนาๆ เพื่อพรางไม่ให้รู้ว่าข้างในเป็นอะไร เพราะอยากให้ทุกคนลุ้นและสนุกในการกิน แล้วผมก็คิดว่าถ้าทำแบบนี้น้องวาอาจจะเริ่มกินผักได้สักที แต่ผม...ผมทำพลาดไป...ผมไม่รู้ว่าน้องวาแพ้กุ้งครับคุณธาร...” ยิ่งพูดน้ำเสียงของผมก็ยิ่งสั่น ส่วนน้ำตาก็ยิ่งไหลรินออกมาจากดวงตาทั้งสองข้าง
ผมไม่รู้จริงๆ ว่าน้องวาแพ้กุ้งเพราะไม่เคยมีใครบอกผม แต่ถึงอย่างนั้นผมก็รู้สึกผิดอยู่ดี เพราะผมสะเพร่าเองที่ไม่เคยถาม เรื่องที่ผมถามมีแต่ของที่แต่ละคนชอบเท่านั้นเอง
“ใจเย็นๆ นะไม่ต้องร้องไห้ เรื่องนี้ตะวันไม่ผิดเพราะตะวันไม่รู้ และฉันก็เห็นถึงความตั้งใจกับความหวังดีของตะวัน เพราะงั้นหยุดร้องไห้ได้แล้วนะ” คุณธารยิ้มหวานให้กำลังใจ แถมยังใช้มือประคองที่ข้างแก้มและเช็ดน้ำตาให้ผมอีกด้วย
“ครับคุณธาร”
ซึ่งขณะนั้นเองผม ก็เห็นว่าคุณภูผากำลังอุ้มน้องวาที่มีสีหน้าไม่สู้ดีและหายใจเริ่มติดขัดเดินมาทางนี้ โดยมีพฤกษ์และเพลิงเดินตามมาติดๆ อย่างกระวนกระวาย ผมจึงรีบวิ่งเข้าไปหาเพราะห่วงอาการของน้องวา
“น้องวาเป็นยังไงบ้างครับคุณภูผา อาการยังไม่ดีขึ้นอีกหรอครับ แล้วได้กินยา...” แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้พูดจนจบประโยค คุณภูผาก็ใช้หางตาตวัดมองมาที่ผม จากนั้นก็เบี่ยงตัวหลบราวกับรังเกียจที่จะให้ผมสัมผัสตัวเองและน้องวา
“หลีกไป เกะกะ”
คำพูดนั้นยังไม่เท่าไหร่ แต่น้ำเสียงและสายตาของคุณภูผาที่มองมานี่สิ มันทำให้ผมถึงกับช็อกและใจหล่นวูบลงไปที่พื้น น้ำตาที่ถูกคุณธารเช็ดให้ก็รื้นขึ้นก่อนที่จะไหลรินลงมาอีกครั้ง
น้ำเสียงและสายตาแบบนั้นมันยิ่งกว่าตอนที่ผมกับคุณภูผาเจอกันวันแรกซะอีก
นี่ผม...คงถูกคุณภูผาเกลียดเข้าจริงๆ แล้วใช่มั้ย?
2BC
หัวใจชิงรักตอนที่ 8 ก็จบลงไปแล้วน้า ถ้าชอบหรือฝากคอมเมนท์เป็นกำลังใจให้เราด้วยนะคะ