ซีรีส์ [H.E.A.R.T.] ❤ หัวใจ...รัก [END]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ซีรีส์ [H.E.A.R.T.] ❤ หัวใจ...รัก [END]  (อ่าน 205632 ครั้ง)

ออฟไลน์ Micky_MN

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 198
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-3
โกรธพี่ภูมากแต่ยกโทษให้ตอนจบนี้หล่ะ o13

ออฟไลน์ Micky_MN

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 198
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-3
อยากให้พี่ภูลดความแข็งลงซักนิด

ออฟไลน์ Y-Darkness

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0

ออฟไลน์ Sameejaejung

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +457/-17
[H.E.A.R.T.] H. Hanger หัวใจชิงรัก


Part 10# Tawan แผนเซอร์ไพรส์

               
“คะ...คุณภูผาจะมาดักเฝ้าผมทำไมครับ ก็คุณภูผาเป็นคนบอกเองไม่ใช่หรอว่า หลังจากที่ผมดูแลน้องวาจนหายดีแล้ว คุณภูผาจะอนุญาตให้ผมลาออกไงครับ” ผมจำคำพูดของคุณภูผาแบบเป๊ะๆ ไม่ได้ แต่ผมก็มั่นใจว่าคุณภูผาพูดทำนองนี้ไม่ผิดแน่นอน

               
แต่ถึงจะคิดอย่างนั้น คุณภูผากลับทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้แล้วพูดขึ้นว่า...

               
“ฉันพูดว่าอยากลาออกก็เชิญ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าจะอนุญาตให้นายลาออกสักหน่อย”


“หา?” นี่ผมจับใจความไม่ได้หรือว่าคุณภูผาพูดไม่รู้เรื่องกันแน่เนี่ย!


“ไม่ต้องมาหา แล้วก็ไม่ต้องทำหน้างงด้วย ฉันไม่อนุญาตให้นายลาออก เพราะงั้นกลับเข้าบ้านไปซะ” คุณภูผาพูดจบก็เดินเข้ามาคว้าแขนของผมแล้วจะลากเข้าไปในบ้าน แต่ผมไม่ยอมจึงขืนตัวเอาไว้อย่างสุดฤทธิ์


“ไม่เอาครับผมไม่กลับ! ผมจะไม่ทำงานที่บ้านหลังนี้อีกแล้ว! ผมจะลาออกครับคุณภูผา!” ในขณะที่พูดผมก็พยายามสะบัดแขนและแกะมือของคุณภูผาออกไปด้วย แต่มันก็ไม่เป็นผล เพราะคุณภูผายิ่งเพิ่มแรงบีบมากขึ้นกว่าเดิม


“ก็ฉันบอกแล้วไงว่าฉันไม่ให้ลาออก! นายต้องทำงานที่นี่ต่อเข้าใจมั้ย!”


“ผมไม่เข้าใจครับ! แล้วผมก็จะไม่ทำตามคำสั่งของคุณภูผาด้วย! คุณภูผาไม่ใช่เจ้านายของผมอีกแล้ว! ตอนนี้เจ้านายของผมมีแค่พี่กิตติคนเดียวเท่านั้นครับ!”


ผมรู้สึกเหนื่อยจริงๆ ที่ต้องเค้นเสียงตะโกนใส่คุณภูผาแบบนี้ แต่ที่เหนื่อยกว่าก็คือการตัดสินใจต่อต้านจอมเผด็จการอย่างคุณภูผานี่แหละ เพราะผมไม่รู้ว่าทุกอย่างมันจะเลวร้ายลงกว่าเดิมมั้ย แต่ถึงอย่างนั้นผมก็จะไม่ยอมอ่อนข้อให้คุณภูผาอีกแล้ว


ผมก็มีความรู้สึกและหัวจิตหัวใจเหมือนกัน เพราะงั้นผมจะสามารถฝืนทำงานอยู่ในบ้านที่มีคนเกลียดผมได้ยังไง โดยเฉพาะคนคนนั้นยังเป็นคนที่ผมชอบอีกต่างหาก


“ถ้านายจะพูดอย่างนั้น งั้นฉันจะจ้างนายเป็นแม่บ้านต่อโดยเพิ่มเงินเดือนให้ 2 เท่า แถมบวกเงินเดือนจากร้านอาหารที่นายทำอยู่ด้วยเลยเอ้า!”


โธ่เอ๊ย! นี่คุณภูผาไม่ได้เข้าใจในสิ่งที่ผมพูดเลยสักนิด!


“เรื่องเงินมันไม่ใช่ปัญหานะครับคุณภูผา ปัญหาของผมมันอยู่ที่ใจต่างหาก ใจของผมไม่ต้องการทำงานที่นี่ ผมไม่อยากอยู่ที่บ้านหลังนี้ ไม่อยากเห็นหน้าและทำงานกับคุณ เพราะงั้น...ต่อให้คุณเพิ่มเงินให้อีกกี่เท่าผมก็จะไม่ทำต่อเด็ดขาด!” ผมจ้องเข้าไปในดวงตาของคุณภูผาแล้วพูดอย่างหนักแน่น คำพูดนั้นทำให้คุณภูผาถึงกับชะงัก ผมเลยใช้โอกาสนั้นสะบัดข้อมือให้หลุดจากพันธนาการแล้วก้าวถอยหลังออกมาอยู่ห่างๆ


ผมรู้สึกตกใจที่คุณภูผามีปฏิกิริยาแบบนี้กับคำพูดของผม บางทีอาจจะช็อกเรื่องที่รู้ว่าไม่สามารถซื้อผมได้ด้วยเงินล่ะมั้ง


“นาย...เกลียดฉันขนาดนี้เลยงั้นหรอ?” น้ำเสียงของคุณภูผาที่เอ่ยออกมาดูหมดอาลัยตายอยาก แถมสีหน้าก็ยังดูเจ็บปวดมากอย่างที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน


“เอ่อ...คือ...” ผมรู้สึกใจหล่นวูบอย่างบอกไม่ถูกที่ทำให้คุณภูผาเป็นได้ถึงขนาดนี้ ตอนนี้ผมใจอ่อนยวบและละลายราวกับเทียนที่ถูกไฟลน


แต่ถึงอย่างนั้นผมก็จะแสดงออกให้คุณภูผารู้ไม่ได้ เพราะคุณภูผาต้องใช้โอกาสนี้บังคับให้ผมทำงานที่นี่ต่อแน่ และคนที่ต้องเจ็บปวดทรมานก็ไม่ใช่ใคร คนคนนั้นก็คือตัวผมเอง


“ผม...ขอโทษครับ” ผมก้มหน้าลงไม่กล้าสบตากับคุณภูผา เพราะไม่อยากรับรู้ว่าคุณภูผากำลังทำหน้าแบบไหน ก่อนที่ผมจะค่อยๆ ถอยหลังแล้วหมุนตัวเดินจากไป พลางคิดในใจว่าต้องตัดใจจากคุณภูผาให้ได้แม้ว่าต้องใช้เวลามากเท่าไหร่ก็ตาม


แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้เดินไปถึงไหน ผมก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นผมจึงได้หันหลังกลับไปดูด้วยความสงสัย แต่ก็ต้องร้องอุทานขึ้นมาด้วยความตกใจ เมื่อถูกคุณภูผาช้อนตัวขึ้นมาอุ้มเอาไว้อยู่ในอ้อมอก


“ว้ากกกกกกกกก!!! นี่มันอะไรกันครับคุณภูผา! ปล่อยผมลงเดี๋ยวนี้เลยนะครับ!” ผมออกแรงดิ้นไปมา แต่คุณภูผาก็ยังเดินอย่างมั่นคงไม่มีสะทกสะท้านเลยสักนิด


“ไม่ต้องกลัวหรอกฉันปล่อยนายแน่ แต่ว่ารอให้ฉันเดินถึงรถก่อนนะ” รถที่ว่าก็คือรถของคุณภูผาที่จอดแอบเอาไว้ไม่ไกลจากตัวบ้าน ท่าทางทุกๆ วันคงจะเฝ้าดูผมอยู่ในรถคันนี้ไม่ผิดแน่


“คุณภูผาจะพาผมไปไหน! ที่คุณทำอยู่นี่มันเรียกว่าอาชญากรรมได้เลยนะครับ!”


“ฉันไม่สน ดักเฝ้าทั้งอาทิตย์ก็ทำมาแล้ว แค่ดักฉุดเพิ่มอีกมันจะเป็นไรไป”


“คุณภูผา!”


“ฉันจำชื่อของตัวเองได้น่า”


“โอ๊ยยยยยย ผมไม่ได้เรียกคุณเพราะแบบนั้นนะครับ!” ตอนนี้ผมปวดประสาทจนแทบจะเป็นบ้าอยู่แล้ว แต่คุณภูผากลับเดินด้วยใบหน้าระรื่น แถมยังยิ้มที่มุมปากอย่างพึงพอใจจนกระทั่งไปถึงตัวรถ


“ไม่เอานะครับผมไม่เข้าไป!” ผมออกแรงดิ้นมากขึ้นเมื่อคุณภูผาเปิดประตูฝั่งคนขับ แล้วพยายามจับตัวผมยัดเข้าไปยังเบาะที่อยู่ข้างๆ


“ดิ้นไปก็เท่านั้น นายสู้แรงฉันไม่ได้หรอกน่า” แล้วก็เป็นอย่างที่คุณภูผาว่าไว้จริงๆ แรงอย่างผมไม่มีทางสู้คุณภูผาได้เลย เพราะงั้นผมเลยถูกคุณภูผาจับยัดเข้าไปข้างในได้สำเร็จ แถมระหว่างที่กำลังจัดแจงท่าทางและสัมภาระที่ทับตัวผมอยู่ คุณภูผาก็แทรกตัวเข้ามานั่งประจำที่ก่อนจะรีบขับรถออกไปซะแล้ว


ไม่นะ แบบนี้ผมก็หมดโอกาสที่จะเปิดประตูหนีแล้วน่ะสิ เพราะถ้าจะให้เปิดแล้วกระโดดลงตอนรถวิ่งเร็วขนาดนี้ สภาพร่างกายของผมต้องยับเยินปางตายแน่ๆ


“คุณภูผาจอดรถให้ผมลงด้วยครับ” ถึงจะรู้อยู่แล้วว่าคุณภูผาไม่มีทางทำตามคำขอของผม แต่ผมก็คิดอะไรไม่ออกอีกแล้วนอกจากวิธีนี้


“...” เงียบ ไร้เสียงตอบรับใดๆ ทั้งสิ้น


“คุณภูผาได้ยินที่ผมพูดมั้ยครับ” ผมเริ่มขึ้นเสียงเล็กน้อยเพราะชักโมโห ผมมั่นใจว่าคุณภูผาต้องได้ยินที่ผมพูดแน่นอน แต่คุณภูผาทำเป็นไม่ใส่ใจเฉยๆ


“...”  แล้วก็เงียบ ไร้เสียงตอบรับเช่นเคย


“คุณภูผา! ถ้าได้ยินก็ช่วยตอบผมด้วยครับ!” ตอนนี้ผมรู้สึกโมโหจริงๆ แล้ว ซึ่งก็ดูเหมือนว่าคุณภูผาจะรู้เลยยอมเปิดปากพูดกับผมสักที


“ได้ยิน” ถึงจะเป็นคำพูดสั้นๆ ห้วนๆ ก็เถอะ แต่อย่างน้อยก็ดีกว่าคุณภูผาทำเป็นไม่รู้ใส่ผมล่ะนะ


“ถ้าได้ยินก็รบกวนช่วยจอดรถให้ผมลงด้วยครับ” ตอนนี้ผมเริ่มอารมณ์เย็นลงแล้ว แต่สิ่งที่คุณภูผาตอบกลับมามันกลับทำให้ผมอารมณ์ร้อนมากขึ้นกว่าเดิม


“ไม่จอด”


“คุณภูผา!”


“ต้องให้บอกสักกี่ครั้งว่าฉันจำชื่อของตัวเองได้”


“คุณภูผา!!” สาบานได้เลยว่า ตั้งแต่เกิดมาผมยังไม่เคยโมโหเรื่องอะไรหรือใครมากขนาดนี้มาก่อนในชีวิต ความรู้สึกตอนนี้เหมือนกับว่ามีไฟสุมอยู่ในตัวของผมจนร้อนแทบพันองศา


“ฉันรู้ว่านายกำลังโมโห แต่ฉันก็ไม่จอดให้นายลงหรอกนะ แล้วฉันก็จะไม่ตอบด้วยว่าจะพานายไปที่ไหน” พอได้ยินแบบนี้ความโมโหของผมก็ยิ่งปรี๊ดขึ้นมามากกว่าเดิมน่ะสิ


แต่ผมไม่ใช่คนประเภทที่โมโหแล้วชอบโวยวายหรือทำลายข้าวของ ผมเป็นคนประเภทที่โมโหแล้วนิ่งมากกว่า ที่ตะโกนออกไปอย่างที่ผ่านมาก็ถือว่าเป็นอะไรที่สุดๆ แล้ว เพราะงั้นผมเลยเหนื่อยจนนั่งอย่างเงียบๆ ไปตลอดทาง โดยพยายามทำใจปล่อยให้ความรู้สึกที่อัดอั้นอยู่ค่อยๆ จางหาย จนกระทั่งผมเผลอหลับไปตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้...


ตื่นมาอีกทีผมก็พบว่าตอนนี้เป็นเวลาเช้าตรู่ซะแล้ว แสงอาทิตย์ที่ค่อยๆ โผล่พ้นขึ้นมาส่องกระทบเปลือกตาของผม จนทำให้ผมที่หลับสนิทรู้สึกตัวขึ้นในที่สุด

             
“อืม...” ผมบิดขี้เกียจเบาๆ เพราะรู้สึกเมื่อยที่ต้องนอนหลับบนรถเป็นเวลานานๆ แต่ว่ามันก็แค่เล็กน้อยเท่านั้น เพราะคุณภูผาปรับเบาะเอนลงจนสุดเพื่อให้ผมนอนได้สบาย แถมยังเอาเสื้อเชิ้ตมาคลุมที่ร่างกายเพราะคงเห็นว่าผมหนาวอีกด้วย

               
การกระทำของคุณภูผาทำให้ผมรู้สึกสับสนจริงๆ เพราะคุณภูผาบางทีก็ดี แต่บางทีก็ร้าย บางเวลาก็ดูเหมือนเอาใจใส่ แต่บางเวลาก็ดูเหมือนละเลย

             
“เฮ้อออออ” มีเรื่องให้คิดไม่ตกตั้งแต่เช้าเลยแฮะ แต่เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน ตอนนี้ผมต้องลุกขึ้นมาดูว่าที่นี่คือที่ไหน แล้วคุณภูผาทำไมถึงหายไป ไม่คิดจะอยู่เฝ้าผมเพราะกลัวหนีแบบเมื่อคืนอีกหรอ

               
แต่พอผมลุกขึ้นมาความสงสัยทั้งหมดก็ได้หายไป กลายเป็นความตกใจได้เข้ามาแทนที่ เพราะว่าตอนนี้ผมกำลังอยู่ที่ชายทะเล โดยมีคุณภูผาใส่เสื้อกล้ามกับกางเกงยีนส์ยืนสูบบุหรี่อยู่ที่ท้ายรถ!


ทะเลเนี่ยนะ?


คุณภูผาพาผมมาที่นี่ทำไม?


แล้วอย่าบอกนะว่า...เสื้อที่ผมห่มอยู่คุณภูผาเสียสละถอดออกมาให้ผม?

               
ด้วยความสงสัย ผมจึงได้ออกไปหาคุณภูผาโดยถือเสื้อติดมือไปด้วย คุณภูผาที่เห็นผมลงจากรถมาเลยรีบเดินไปทิ้งบุหรี่ที่ถังขยะใกล้ๆ นานหลายอาทิตย์แล้วนะที่ผมไม่เห็นคุณภูผาสูบบุหรี่แบบนี้ บางทีอาจจะกำลังเครียดเรื่องอะไรสักอย่างอยู่ก็ได้

               
“ตื่นนานแล้วหรอตะวัน” คุณภูผาถามขึ้นเมื่อเดินมาอยู่ข้างๆ ผม

               
“เมื่อกี้นี้ครับ เอ่อ...ตัวนี้ใช่เสื้อที่คุณภูผาใส่เมื่อคืนรึเปล่า” พูดจบผมก็ยื่นเสื้อที่อยู่ในมือคืนให้

               
“อืม ฉันเห็นว่านายนอนขดตัวเพราะหนาวน่ะ” คุณภูผารับเสื้อคืนไปแล้วสวมกลับไปใหม่


“ขอบคุณนะครับที่อุตส่าห์ถอดเสื้อมาห่มให้ผม ว่าแต่คุณภูผาพาผมมาที่นี่ทำไมหรอครับ”


“แล้วนายคิดว่าฉันพามาที่นี่ทำไมล่ะ”


“ไม่รู้สิครับ แต่หวังว่าคุณภูผาคงไม่ใจร้ายพาผมมาปล่อยทิ้งเอาไว้ที่นี่หรอกนะ” ที่นี่คือหัวหินที่ผมไม่เคยมา ดังนั้นผมเลยแอบรู้สึกหวั่นใจเล็กน้อย คุณภูผาที่เห็นอย่างนั้นเลยหลุดยิ้มและหัวเราะออกมาเบาๆ จากนั้นจึงได้จ้องมองเข้ามาในดวงตาของผมอย่างหวานซึ้ง


“ฉันจะกล้าปล่อยนายทิ้งเอาไว้ที่นี่ได้ยังไง ในเมื่อนายคือคนสำคัญในชีวิตของฉัน”


“คนสำคัญ?” ผมทวนคำพูดของคุณภูผาอย่างไม่ค่อยเชื่อหูตัวเองเท่าไหร่ เมื่อกี้ผมฟังผิดไปใช่มั้ย คุณภูผาเนี่ยนะบอกว่าผมคือคนสำคัญ


แต่ถึงจะคิดแบบนั้นผมกลับภาวนาขอให้สิ่งที่คุณภูผาพูดมาเป็นความจริง ตอนนี้หัวใจของผมเต้นแรงมากจนแทบจะระเบิดออกมาอยู่แล้ว

               
“คนสำคัญที่ว่ามันหมายความว่ายังไงหรอครับ?” ผมกลั้นใจถามออกไปเพราะไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเอง แต่คุณภูผานอกจากจะไม่ตอบแล้วยังถามผมกลับซะงั้น

 “แล้วนายคิดว่ามันหมายความว่ายังไงล่ะ” คุณภูผาพูดยิ้มๆ

               
“ผม...ผมไม่รู้ครับ” ถ้าคุณภูผาไม่พูดออกมาตรงๆ ผมจะรู้ได้ยังไง อย่างที่เคยบอกไปว่าผมไม่กล้าคิดเข้าข้างตัวเองหรอกนะ


ก่อนหน้านี้คุณภูผายังกระชากลากถูและขึ้นเสียงใส่ผมอยู่เลย แต่ตอนนี้กลับพูดจาและมองเข้ามาในดวงตาของผมอย่างอ่อนโยนราวกับคนละคน การกระทำของคุณภูผามันย้อนแยงกันเกินไปจนผมเดาอะไรไม่ถูกแล้ว


“ถ้านายไม่รู้ก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันค่อยหาวิธีบอกให้นายเข้าใจเองก็ได้ แต่ตอนนี้ฉันว่าเราไปหาอะไรกินกันดีกว่า” คุณภูผาพูดจบก็ใช้รีโมทล็อกรถ จากนั้นก็จูงมือผมเดินไปยังร้านอาหารที่อยู่ไม่ไกล ซึ่งเป็นเพียงไม่กี่ร้านที่เปิดในเวลาเช้าตรู่ขนาดนี้

             
 “นายอยากกินอะไรเป็นพิเศษมั้ย” คุณภูผาถามผมเมื่อพนักงานเอาเมนูมาให้

               
“ไม่มีครับ ผมกินอะไรก็ได้”


อันที่จริงพอมองเมนูอาหารพวกนี้แล้วผมกลับรู้สึกไม่ค่อยอยากกิน เพราะส่วนใหญ่มันเป็นเมนูที่ทำจากกุ้งซึ่งมันทำให้ผมนึกถึงเรื่องของน้องวา คุณภูผาที่พอจะเดาออกเลยพูดขึ้นมาว่า...

               
“เรื่องของวาฉันมาคิดๆ ดูแล้ว คนที่ผิดไม่ใช่นายแต่เป็นวากับฉันมากกว่า วาผิดที่ลืมบอกเรื่องแพ้กุ้งกับนาย ส่วนฉันก็ผิดที่เป็นพี่ใหญ่แต่กลับไม่ย้ำเรื่องสำคัญ แถมพอเกิดเรื่องขึ้นกลับพาลไปโทษนายที่ไม่รู้เรื่องซะได้ ฉันมันเป็นผู้ชายที่ไม่ได้เรื่องจริงๆ เพราะงั้น...ฉันขอโทษนะตะวัน ยกโทษให้ฉันได้มั้ย” คุณภูผาจ้องมองเข้ามาในดวงตาของผมอย่างเว้าวอนเพราะรู้สึกผิด ผมที่ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าคุณภูผาจะพูดแบบนี้ก็เล่นเอาอึ้งจนทำอะไรไม่ถูก

                 
“เอ่อ...คือ...คุณภูผาไม่ต้องขอโทษผมหรอกครับ เพราะผมไม่ได้รู้สึกโกรธคุณภูผาเลย เรื่องของน้องวาผมคิดว่าผมผิดเองที่ไม่รู้จักสังเกต ความจริงผมว่าผมผิดตั้งแต่ลืมถามเรื่องอาหารที่แพ้แล้วด้วยซ้ำ ผมทำหน้าที่ได้บกพร่องทั้งที่ต้องดูแลทุกคนให้ดีที่สุด เพราะงั้นคนที่ผิดก็คือผมไม่ใช่คุณภูผาหรือน้องวาหรอกครับ” พอได้ยินแบบนี้คุณภูผาก็ยิ้มออกมาบางๆ จากนั้นก็เลื่อนมือมาวางทับมือของผมที่อยู่บนโต๊ะเอาไว้

               
“นายทั้งน่ารักและแสนดีขนาดนี้ ฉันรู้สึกแปลกใจจริงๆ ว่าอะไรดลใจให้ก่อนหน้านี้ฉันหลงผิดคิดอคติกับนาย เรื่องนี้คงเป็นเรื่องที่ผิดพลาดที่สุดในชีวิตของฉันเลยมั้ง” คำพูดนั้นทำเอาผมรู้สึกหน้าร้อนวาบขึ้นมา ส่วนริมฝีปากก็แทบจะหลุดยิ้มด้วยความเขินอายอยู่แล้ว

               
“ผม...คือ...เอ่อ...ผมหิวข้าวแล้วครับคุณภูผา” ผมไม่รู้จะพูดอะไรเพราะรู้สึกเขินจนแทบตาลาย จึงตัดสินใจเปลี่ยนเรื่องหนีแล้วชักมือกลับลงมาม้วนชายเสื้อเล่น คุณภูผาที่เห็นอย่างนั้นเลยยิ้มและหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะเรียกพนักงานให้เดินมาทางนี้


คุณภูผาสั่งอาหารมาถึง 5 อย่างด้วยกัน ซึ่งนั่นก็มีปูนึ่ง กุ้งผัดผงกะหรี่ หมึกทอดกระเทียม ปลากะพงทอดน้ำปลา และต้มยำทะเล รายการอาหารที่มากถึงขนาดนี้ทั้งที่มากินกันแค่ 2 คนทำเอาผมได้แต่มองตาปริบๆ ด้วยความอึ้ง

             
 “เราสองคนจะกินหมดหรอครับคุณภูผา”

             
 “ก็นายเป็นคนบอกเองไม่ใช่หรอว่าหิว”

               
“แต่ผมไม่คิดว่าคุณภูผาจะสั่งมาเยอะขนาดนี้นี่ครับ”

               
“ไม่รู้ล่ะฉันสั่งมาแล้ว เพราะงั้นนายต้องรับผิดชอบครึ่งนึงเข้าใจมั้ย ไม่อย่างนั้นฉันจะจับนายมานั่งตักแล้วป้อนทีละคำเลยคอยดู” คุณภูผาขู่ผม แต่ผมก็ไม่คิดว่าจะเป็นคำขู่ที่จริงจังอะไร เพราะงั้นเมื่อกับข้าวมาถึงผมจึงกินเท่าที่กินปกติ ไม่ได้กินเยอะถึงครึ่งนึงอย่างที่คุณภูผาบอก


ดังนั้น...


               
“อ๊ะ! คุณภูผาจะทำอะไรน่ะครับ!” ผมถามด้วยความตกใจที่เห็นคุณภูผาลุกเดินมาทางนี้ จากนั้นก็นั่งลงตรงเก้าอี้ข้างๆ แล้วพยายามอุ้มตัวผมไปนั่งตัก

               
“ถามมาได้ ฉันก็จะจับนายมานั่งตักแล้วป้อนกับข้าวที่เหลือให้หมดน่ะสิ”


 “หา! นี่คุณภูผาเอาจริงหรอครับ!”

             
 “แน่นอน นายเลือกมาเลยว่าอยากให้ฉันป้อนด้วยช้อน หรือว่าอยากให้ฉันป้อนด้วยปาก” คุณภูผายิ้มอย่างเจ้าเล่ห์

               
“ผมไม่เลือกสักอย่างนั่นแหละครับ!” ผมออกแรงดิ้นอย่างสุดชีวิตจนหลุดจากวงแขนของคุณภูผา จากนั้นก็วิ่งไปนั่งยังฝั่งตรงข้าม แล้วยกมือห้ามเมื่อคุณภูผาทำท่าจะลุกตามมา

               
“หยุดเลยนะครับ! ผมสัญญาก็ได้ว่าจะกินกับข้าวที่เหลือให้เกลี้ยงเลย!” ต่อให้ท้องแตกตายผมก็จะไม่ยอมหยุดกินเด็ดขาด!

               
“โอเค แต่ฉันให้เวลาแค่ 15 นาทีนะ ถ้าเกินนั้นฉันจะจับนายมานั่งตักแล้วป้อนจริงๆ ด้วย...แน่นอนว่าป้อนด้วยปากไม่ใช่ด้วยช้อน” เท่านั้นแหละผมก็รีบตั้งหน้าตั้งตากินอาหารที่อยู่ตรงหน้าทันที เพราะผมเชื่อว่าคนที่ไม่แคร์หน้าอินทร์หน้าพรหมอย่างคุณภูผา ต้องทำตามสิ่งที่พูดเอาไว้ล้านเปอร์เซ็นต์แน่นอน

               
จากนั้น 15 นาทีผ่านไปไม่ขาดไม่เกิน ผมก็สามารถกินอาหารที่อยู่ตรงหน้าหมดลงได้อย่างสำเร็จ ซึ่งนั่นมันก็ทำให้ผมโล่งอกจนถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ คุณภูผาที่เห็นอย่างนั้นเลยยิ้มน้อยๆ จากนั้นจึงได้กวักมือเรียกให้ผมยื่นใบหน้าเข้าไปใกล้ๆ

               
“มีอะไรหรอครับ”

               
“ฉันจะให้รางวัลน่ะ”

               
“รางวัล?”

               
“ก็อย่างนี้ไง...” คุณภูผาพูดจบก็ยื่นใบหน้าเข้ามาใกล้ๆ พร้อมกับยกเมนูขึ้นมาบังศีรษะเอาไว้ ซึ่งในจังหวะที่ผมกำลังงุนงงและสงสัยอยู่นั่นเอง ริมฝีปากของคุณภูผาก็ได้เคลื่อนเข้ามาสัมผัสกับริมฝีปากของผมซะแล้ว

               
จุ๊บ!

               
O.O!

               
“รางวัลพิเศษสำหรับนายที่เป็นเด็กดีไงล่ะ” คุณภูผาพูดยิ้มกรุ้มกริ่ม ส่วนผมที่ไม่คิดว่าคุณภูผาจะกล้าจูบผมกลางร้านก็ถึงกับช็อกจนตัวแข็งค้าง กระทั่งคุณภูผาจ่ายเงินเสร็จเรียบร้อยแล้วจูงมือผมออกจากร้าน ผมก็ยังมึนๆ เอ๋อๆ ไม่ค่อยมีสติเท่าไหร่เลย

             
 “ไปเดินเล่นที่ชายหาดกันมั้ย เช้าๆ แบบนี้อากาศกำลังดีแดดก็ยังไม่มีด้วย”

               
“ครับ” ผมตอบรับอย่างใจลอย เพราะราวกับว่าวิญญาณของผมได้หลุดออกไปจากร่าง ตั้งแต่ที่ถูกคุณภูผาจูบที่ร้านอาหารแล้ว

               
จริงอยู่ว่าก่อนหน้านี้ผมเคยถูกคุณภูผาทำอะไรที่มันมากกว่านี้ แต่นี่มันเป็นครั้งแรกเลยที่ผมรับรู้ได้ว่าคุณภูผามีความรู้สึกพิเศษให้กับผม

               
นี่ผมคงไม่ได้คิดไปเองหรอกใช่มั้ย?

               
ผมจะสามารถคิดเข้าข้างตัวเองได้มั้ยว่า บางทีคุณภูผาก็อาจจะชอบผมเหมือนกัน?

               
จากนั้นตลอดทั้งวันคุณภูผาก็เทคแคร์ดูแลผมเป็นอย่างดี โดยพาผมไปเดินกินลมชมวิวที่ชายหาด ตามด้วยการไปเที่ยวที่อุทยาน ตลาดน้ำ เพลินวาน และเวเนเซีย


อย่างที่เคยบอกไปว่าผมไม่เคยมาหัวหินเลย เพราะงั้นผมจึงได้ตื่นเต้นกับความสวยงามและแปลกตาของที่นี่ วันนี้ผมรู้สึกสนุกสนานและยิ้มได้กว้างมากกว่าหลายสัปดาห์ที่ผ่านมารวมกันซะอีก แต่นั่นไม่ได้เป็นเพราะสถานที่ที่ผมมาเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเพราะคนที่อยู่ข้างๆ ที่กุมมือของผมและส่งยิ้มอย่างอบอุ่นมาให้ตลอดทั้งวันต่างหาก

               
ผมมีความสุขมากจนลืมนึกถึงใครต่อใครที่อาจจะกำลังเป็นห่วงผมอยู่ เอาจริงๆ ผมลืมสนิทจนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคุณภูผาแอบเอาโทรศัพท์ในกระเป๋าของผมไปซ่อน ส่วนคุณภูผาก็แทบไม่ได้เอาโทรศัพท์ของตัวเองออกมาใช้เลย คุณภูผาให้เวลาทั้งหมดกับผมคนเดียวตลอดทั้งวัน

               
“นี่เรากำลังจะไปไหนกันครับคุณภูผา” ผมถามหลังจากที่พวกเรากินอาหารค่ำกันเรียบร้อยแล้ว ในใจผมคิดว่าคุณภูผาคงจะพาผมกลับบ้านเลยมั้ง แต่คุณภูผากลับตอบผมมาว่า...

               
“ไปโรงแรม”

               
“หา! โรงแรม!” ผมตกใจมากจนอุทานดังลั่น คุณภูผาที่เห็นอย่างนั้นเลยหัวเราะอย่างขบขันในขณะที่กำลังขับรถอยู่

               
“ฉันล้อเล่นหรอกน่า ฉันจะพานายไปบ้านเพื่อนของฉันต่างหาก” แต่ถึงจะได้ยินแบบนี้ ผมก็ยังรู้สึกไม่ค่อยไว้ใจคุณภูผาอยู่ดีนั่นแหละ


“แล้วทำไมต้องไปที่นั่นด้วยล่ะครับ”

               
“ก็คืนนี้เราสองคนจะนอนค้างกันที่นั่นน่ะสิ”

               
“ทำไมต้องนอนค้างด้วยครับ กลับบ้านเลยไม่ได้หรอ”

               
“ถามว่าได้มั้ยมันก็ได้อยู่นั่นแหละ แต่ฉันไม่อยากเสี่ยงขับรถกลับบ้านตอนนี้ เพราะเมื่อคืนฉันไม่ได้นอนแถมวันนี้ยังเดินเที่ยวตลอดวัน แล้วนายคงจะยังไม่รู้สินะว่าฉันเป็นคนสายตาสั้น ที่ฉันไม่ใส่แว่นหรือคอนแทคเลนส์เป็นเพราะรำคาญ แต่เวลากลางคืนถ้าไม่ใส่ฉันจะมองทางไม่ค่อยเห็นน่ะ”

               
“อ๋อ อย่างนี้นี่เอง” ผมก็ลืมคิดไปว่าคุณภูผาอาจจะล้าจนขับรถกลับไม่ไหว ส่วนเรื่องที่สายตาสั้น มิน่าล่ะคืนนั้นที่ไปรับผมที่หมดสติถึงได้ใส่แว่นสายตา นั่นน่ะทำเอาผมหลงเข้าใจผิดคิดว่าคุณภูผาเป็นพฤกษ์เพราะมองอะไรไม่ค่อยเห็น

               
จากนั้นประมาณ 15 นาทีต่อมาคุณภูผาก็ขับรถมาถึงตัวบ้านที่ไร้แสงไฟ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังมองเห็นความสวยงามของบ้านสไตล์วินเทจที่ตั้งอยู่ริมทะเล บางทีที่นี่อาจจะเป็นบ้านพักต่างอากาศที่ไม่มีใครอยู่เป็นประจำก็ได้ล่ะมั้ง


“นายเข้าไปในบ้านก่อนเลยนะ เดี๋ยวฉันจะถือกระเป๋ากับข้าวของแล้วเดินตามไป”


“ได้ครับ แล้วกุญแจ...?”


“บ้านไม่ได้ล็อกหรอกนายเข้าไปข้างในได้เลย” ผมรู้สึกแปลกใจนิดๆ ที่บ้านหลังนี้ไม่ได้ล็อกกุญแจ แต่ก็พยายามคิดหาเหตุผลเอาเองว่า บางทีเพื่อนของคุณภูผาที่เป็นเจ้าของอาจจะอยู่แถวนี้เลยมาเปิดบ้านไว้ให้ล่ะมั้ง


ดังนั้นผมจึงได้เดินลงจากรถไปยังตัวบ้าน ความมืดมิดไม่ได้เป็นปัญหาแต่อย่างใดเพราะผมสายตาปกติ ส่วนสิ่งลี้ลับที่มองไม่เห็นผมก็ไม่เคยนึกกลัว แต่มีครั้งนี้นี่แหละที่ผมชักเริ่มหวั่นใจ เพราะผมได้กลิ่นหอมของดอกไม้ และกลิ่นควันไฟจางๆ ลอยออกมาจากบ้าน


คงไม่มีอะไรหรอกน่า


ผมพยายามปลอบใจตัวเองแล้วยื่นมือออกไปเปิดประตูบ้าน ซึ่งพอเปิดออกมาเท่านั้นแหละผมก็ต้องเบิกตาออกกว้างด้วยความตกใจ แต่นั่นไม่ใช่เพราะว่าผมเจอเรื่องสยองขวัญสั่นประสาท แต่เป็นเพราะว่าผมเจอเทียนหอมนับร้อยถ้วยเปล่งแสงและเรียงรายตามทางเดิน


ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก


ตอนนี้หัวใจของผมเต้นแรงมาก ก่อนที่มันจะยิ่งเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อสองขาของผมเดินตามทางที่เทียนวางเรียงเอาไว้จนไปสิ้นสุดอยู่ที่ห้องโถง


ซึ่งที่นั่นเอง มันก็ทำให้ผมพบคุณภูผายืนถือช่อดอกไม้อยู่กลางห้อง โดยมีเทียนหอมวางเรียงเป็นรูปหัวใจล้อมรอบตัวคุณภูผาเอาไว้อีกที ภาพที่เห็นนี้ทำเอาความรู้สึกนับพันถาโถมเข้ามาจนผมตั้งตัวไม่ถูก ก่อนที่มันจะรวมตัวกันเป็นหยดน้ำเอ่อคลอที่ตา เมื่อคุณภูผาพูดขึ้นมาว่า...


“ฉันรักนายนะตะวัน ขอโอกาสให้ฉันดูแลนายไปตลอดชีวิตได้รึเปล่า”


2BC


 :mew1: สวัสดีค่าทุกคน เห็นเค้ามาทักทายเซย์ไฮแบบนี้ก็แสดงว่าตอนที่ 10 ของหัวใจชิงรักได้จบลงไปแล้วจ้า จบได้ค้างนิดนึง แต่วันเสาร์เค้ามาอัพแน่นอนค่า
มาพูดเรื่องตอนนี้กันบ้าง คนที่เคยเกลียดพี่ภูตอนนี้เปลี่ยนใจกลับมารักบ้างรึยังน้อ เพราะตอนนี้โดยเฉพาะครึ่งหลังพี่แกเปลี่ยนจากหลังเท้าเป็นหน้ามือกันเลยทีเดียว มีความหวาน ดูแล เทคแคร์ เจ้าเล่ห์ แต่ก็มุ้งมิ้ง มีความย้อนแยงกับตอนที่เจอกันแรกๆเหมือนที่ตะวันบอกเลยเนอะ 555555  :laugh:
ก็หวังว่าพี่ภูในโหมดนี้จะทำให้ทุกคนเปิดใจรักได้น้า แต่ถ้าไม่ก็รอตอนหน้าแล้วกันเนอะ เพราะพี่แกจะเป็นคนบรรยายเอง แล้วมาลุ้นกับความรู้สึกของพี่แกและที่มาของแผนเซอร์ไพรส์กันนะคะทุกคน   :L2:
ก่อนลากันในค่ำคืนนี้เค้าก็ขอขอบคุณทุกคนมากๆเลยนะคะที่เข้ามาอ่านและคอมเมนท์ให้นิยายของเค้า  :pig4: ขอบคุณที่ตามลุ้นและเชียร์ความรักของคู่ภูตะวัน ซึ่ง...การเดินทางมันก็ใกล้สิ้นสุดแล้วค่ะ อีกแค่ 3 ตอนเท่านั้นก็จะได้บทสรุปของคู่นี้แล้ว เพราะงั้นเค้าเลยว่าจะเปิดให้จองนิยายวันเสาร์นี้ ราคาก็เบาๆ 200 กว่าบาท ยังไงก็ฝากเอ็นดูและรับเลี้ยงหนุ่มๆด้วยน้า  :m13:
(16 ส.ค. 60)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-08-2017 12:56:06 โดย *|=สามีแจจุง=|* »

ออฟไลน์ aiyuki

  • รักแท้ไม่แบ่งแม้เพศพันธุ์
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2636
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-6
เซอร์ไพร์สจริงๆ

ออฟไลน์ Micky_MN

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 198
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-3
ฟินที่สุดดีต่อจัยมากอิจฉาตะวัน :o8:

ออฟไลน์ Y-Darkness

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0

ออฟไลน์ Sameejaejung

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +457/-17


เปิดพรีออเดอร์ Hanger หัวใจชิงรัก


- สั่งจองได้ตั้งแต่วันนี้ – 30 ก.ย. 60 (แต่สามารถชำระได้ถึง 1 ต.ค. 60 เป็นวันสุดท้าย)
- หนังสือราคา 259 บาท จำนวนหน้าประมาณ 230 หน้า จัดส่งประมาณสิ้นเดือน ต.ค. 60



เรื่องย่อ

“บ้านนี้ไม่มีใครชอบผู้หญิงหรอกนะ
แล้วรูปร่างหน้าตาแบบตะวันถึงแม้จะไม่ใช่สเปค
แต่ทุกคนก็ยังอยากได้อยู่ดี”
ผมเบิกตากว้างจนแทบถลนกับเรื่องที่ได้ยิน
แล้วอย่างนี้การทำหน้าที่แม่บ้านให้พี่น้องทั้ง 5 จะเป็นยังไง
เพราะแค่เริ่มต้นทุกคนก็เข้าจู่โจมผมซะแล้ว
เริ่มจาก “พฤกษ์” เพื่อนในเอกที่แอบชอบผม
เสริมด้วย “เพลิง” คู่แฝดตัวแสบ
ตามด้วย “ธาร” พี่รองคนสวย
ต่อด้วย “วา” น้องเล็กตัวร้าย
ปิดท้ายด้วย “ภูผา” พี่ใหญ่
ที่ตอนแรกดูเหมือนว่าจะเกลียดผมเข้าไส้
แต่ไป ๆ มา ๆ กลับจู่โจมผมหนักกว่าใครในบ้าน!


สั่งจองได้ที่ >>> https://goo.gl/Q11trr
ดูรายชื่อและสถานะ >>> https://goo.gl/ytWpvv







ถ้าหากอ่านรายละเอียดแล้วไม่เข้าใจ หรือมีข้อสงสัยตรงไหน สามารถคอมเมนท์หรือทักข้อความมาถามที่แฟนเพจ Sameejaejung ได้เลยค่ะ ฝากรับเลี้ยงหนุ่มๆด้วยนะคะทุกคน  :กอด1:



ออฟไลน์ Sameejaejung

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +457/-17
[H.E.A.R.T.] H. Hanger หัวใจชิงรัก


Part 11# Phupha ค่ำคืนแสนหวาน


               ผมเป็นคนพูดไม่ค่อยเก่ง พูดอะไรหวานๆ ไม่ค่อยเป็น ชอบเน้นที่การกระทำมากกว่า แต่ถึงอย่างนั้นผมก็เป็นคนรักใครรักจริงและรักมั่นคงอย่างเช่นภูผา...ซึ่งก็คือชื่อของผมเอง


               ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันนี้ ผมกล้าพูดได้เลยว่าผมไม่เคยทำแบบนี้ให้ใครมาก่อน ตะวันเป็นคนแรกที่ผมทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างให้ โดยเฉพาะเวลา ความรู้สึก รวมทั้งแผนเซอร์ไพรส์นี้ด้วย


               ผมคิดเรื่องนี้ได้ในระหว่างที่กำลังขับรถหลังจากตะวันหลับไป ผมรู้สึกผิดที่ใจร้อนไปหน่อย ทั้งเรื่องที่ต่อว่าตะวันเรื่องวาแล้วก็ฉุดขึ้นมาในรถ แต่ถ้าจะให้ผมพูดขอโทษเฉยๆ ตะวันก็อาจจะไม่ยกโทษให้ ผมเลยคิดว่าต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อสร้างความประทับใจ ซึ่งชื่อของธารก็โผล่ขึ้นมาในหัวเป็นคนแรก


               ธารเป็นผู้จัดการโรงแรมที่มีชื่อเสียงระดับหนึ่ง เหล่าเซเลปดารามักจะไปจัดอีเวนท์หรือแต่งงานที่นั่น ผมเลยคิดว่าธารน่าจะมีไอเดียดีๆ รวมทั้งรู้จักออแกไนซ์เก่งๆ และผมก็คิดไม่ผิดเพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ตะวันดูประทับใจมาก


               ผมพาตะวันไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ ของหัวหินทั้งวัน ถึงนั่นจะเป็นเพราะต้องถ่วงเวลาให้ออแกไนซ์หาบ้านพักสวยๆ ติดทะเล และจัดเทียนหอมไม่รู้กี่ร้อยอันมาวางเรียงจนแทบจะทั่วบ้าน แต่ผมก็ดูแลเทคแคร์ตะวันเป็นอย่างดี เพราะผมต้องการและตั้งใจที่จะทำแบบนั้นจริงๆ


ผมรู้ว่าก่อนหน้านี้ผมไม่ค่อยได้ทำดีกับตะวันเท่าไหร่ ยิ่งช่วงแรกๆ ขนาดคำพูดดีๆ ยังแทบไม่มีเลยด้วยซ้ำ เพราะงั้นผมเลยอยากจะชดเชยตรงส่วนนี้ ถึงจะรู้ว่ามันคงชดเชยได้ไม่มาก แต่จากนี้ไปผมจะชดเชยให้ทั้งชีวิตอย่างแน่นอน


               “ฉันรักนายนะตะวัน ขอโอกาสให้ฉันดูแลนายไปตลอดชีวิตได้รึเปล่า”


สารภาพตามตรงว่าผมจำบทพูดที่ท่องมาไม่ได้ เพราะตอนที่วิ่งมาเข้าประตูข้างบ้านผมลนลานสุดๆ แถมระหว่างที่รอให้ตะวันมาถึงผมก็ตื่นเต้นจนสมองขาวโพลน ดังนั้นประโยคที่พูดออกไปมันก็อาจจะดูธรรมดา ไม่ซาบซึ้ง ไม่ประทับใจ จนทำให้ทุกอย่างที่เตรียมการมาพังไปก็ได้


ดังนั้นตอนนี้ผมถึงได้ลุ้นสุดๆ ว่าตะวันจะรับรักผมมั้ย ผมจะดีพอและคู่ควรที่ตะวันจะยอมให้ดูแลรึเปล่า แต่ถึงจะคิดอย่างนั้นตะวันกลับพูดขึ้นมาว่า...


               “เป็นผมดีแล้วหรอครับคุณภูผา ผมเป็นแค่คนธรรมดาที่ไม่มีอะไรเลยนะครับ” ตะวันใช้ดวงตากลมโตที่มีน้ำตาคลออยู่มองมาที่ผม ผมจึงเดินเข้าไปใกล้ๆ แล้วพูดเพื่อเพิ่มความมั่นใจให้กับตะวัน


               “ทำไมนายถึงคิดแบบนั้นล่ะ นายทั้งน่ารัก นิสัยดี ทำอาหารก็อร่อย แถมยังเรียบร้อยและขยันอีกต่างหาก เพราะงั้นเลิกมองตัวเองไร้ค่าได้แล้วนะ สำหรับฉันนายมีค่ามากกว่าทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้ซะอีก”


               “คุณภูผา...” ตะวันพูดได้แค่นี้น้ำตาที่คลออยู่ก็เอ่อล้นออกมาทันที


               “อย่าร้องไห้สิ พอเห็นนายร้องไห้แบบนี้ฉันก็ทำอะไรไม่ถูกเลยนะ” ผมพูดอย่างเก้ๆ กังๆ แต่ก็ได้ยื่นมือออกไปเช็ดคราบน้ำตาออกจากแก้มใสๆ ของตะวันอย่างอ่อนโยน


               “ก็ผมไม่คิดว่าคุณภูผาจะทำเรื่องเซอร์ไพรส์แล้วก็บอกรักผมแบบนี้ครับ”


               “ฉันก็ไม่เคยคิดเหมือนกันว่าตัวเองจะทำอะไรแบบนี้ได้ ว่าแต่นายเถอะ ไม่คิดจะบอกความรู้สึกของตัวเองให้ฉันรู้หน่อยหรอ นายได้รักฉันเหมือนที่ฉันรักนายรึเปล่า แล้วนายยินดีที่จะให้ฉันดูแลไปตลอดชีวิตเลยมั้ย” ผมจ้องมองเข้าไปในดวงตากลมโตของตะวันอย่างหวานซึ้ง แล้วยื่นช่อดอกไม้ที่อยู่ในมือออกไปข้างหน้า


               เพียงแค่ระยะเวลาไม่กี่วินาทีที่ตะวันเงียบไป ผมรู้สึกแทบจะขาดใจเพราะรู้สึกเหมือนว่ารอคอยคำตอบมานานนับปี ก่อนที่ในที่สุดตะวันจะยื่นมือมารับช่อดอกไม้ไว้ในมือ แล้วตอบผมกลับมาว่า...


               “ผมก็รักคุณเหมือนกันครับคุณภูผา ผมยินดีมากๆ ที่จะให้คุณดูแลผมไปตลอดชีวิต ส่วนผมเองก็จะดูแลคุณภูผาเหมือนกัน แล้วก็สัญญาด้วยครับว่าจะรักคุณภูผาคนเดียวตลอดไป” เท่านั้นแหละผมก็ยิ้มกว้างออกมาทันที ก่อนจะรีบสวมกอดตะวันเอาไว้แนบแน่นอย่างมีความสุข


               “ขอบคุณนะตะวัน ตอนนี้ฉันรู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้ชายที่โชคดีที่สุดในโลกเลย” ที่ผมพูดมันไม่ได้เกินจริงแต่อย่างใด การได้ตะวันที่แสนดีขนาดนี้มาเป็นคู่ชีวิตนั้นคือของขวัญที่ดีที่สุดแล้ว


เมื่อก่อนผมอาจจะไม่ค่อยได้ทำดีกับตะวันมากนัก แต่จากนี้ไปผมสัญญาเลยว่าจะรัก จะดูแลตะวันเป็นอย่างดี และจะไม่ทำให้ตะวันเสียใจเป็นอันขาด


ผมสัญญา...


               ผมเอียงใบหน้าไปจูบที่ขมับของตะวันก่อนที่จะกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น ซึ่งตะวันก็กอดตอบผมอย่างแนบแน่นเช่นกัน เราสองคนกอดกันอยู่อย่างนั้นเนิ่นนาน เพื่อซึมซับความรัก ความอบอุ่น และความสุขที่อบอวลอยู่รอบกาย จนไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่เราสองคนจึงได้คลายอ้อมกอดออกมา


               “เป็นอะไรไป ทำไมถึงได้เอาแต่ก้มหน้าแบบนั้นล่ะตะวัน” ผมถามเพราะไม่เห็นตะวันจะเงยหน้าขึ้นมาเลย หรือจะเขินอายจนไม่กล้ามองหน้าผมกันนะ


               “ผมไม่รู้จะทำหน้ายังไง ตอนนี้ผมเขินแล้วก็อายจนทำอะไรไม่ถูกแล้วครับ” ยิ่งพูดตะวันก็ยิ่งก้มหน้ามากขึ้นจนแทบจะชิดแผ่นอก แต่ถึงอย่างนั้นผมก็เห็นใบหูที่แดงจัดจนแทบจะเป็นลูกมะเขือเทศ


               “ไม่ต้องอายไปหรอก นี่มันพึ่งจะเริ่มต้นเอง ยังมีเรื่องที่มันน่าอายกว่านี้อีกเยอะ” ผมพูดยิ้มๆ ซึ่งพอได้ยินแบบนี้ตะวันก็รีบเงยหน้าขึ้นมาทันที


               “คุณภูผาหมายความว่ายังไงหรอครับ”


               “นั่นสินะ แล้วนายคิดว่ายังไงล่ะ เรื่องที่คนรักกันทำกันมันมีอยู่ไม่กี่เรื่องใช่มั้ยล่ะ” ผมพูดจบก็ยื่นสองแขนไปโอบรอบเอวของตะวันเอาไว้หลวมๆ ส่วนตะวันก็เอียงศีรษะเล็กน้อยแล้วเริ่มใช้สมองคิด


               “อืม...เรื่องที่คนรักกันทำกัน...............อ๊ะ!” หลังจากที่คิดอยู่นานตะวันก็อุทานขึ้นมาแบบนี้ แถมยังมีสีหน้าตกใจและแดงวาบมากกว่าเมื่อกี้อีกต่างหาก


               “ทำหน้าแบบนี้แสดงว่าคิดเหมือนกันกับฉันสินะ” ผมยิ้มที่มุมปากส่วนตะวันก็รีบส่ายหน้าไปมาทันที


               “เปล่านะครับ! ใครจะไปคิดเรื่องลามกแบบคุณภูผาได้เล่า!”


               “หืม? ฉันได้บอกเมื่อไหร่ว่าฉันคิดเรื่องแบบนั้น มีแต่นายต่างหากที่คิดไม่งั้นจะพูดออกมาได้ยังไง” พอได้ยินแบบนี้ตะวันก็ถึงกับหน้าหราและทำปากพะงาบๆ เพราะไปไม่เป็นเลยน่ะสิ


               “นะ...นั่นมัน...ผมไม่ได้คิดนะครับคุณภูผา”


               “อย่าปฏิเสธเลยน่า ถ้าอยากทำก็บอกมาตรงๆ เลยก็ได้ ฉันไม่ว่าอะไรแถมยังยินดีบริการเต็มที่ด้วยซ้ำ”


               “โธ่คุณภูผา ผมไม่ได้อยาก...อ๊ะ! จะทำอะไรน่ะครับ คุณภูผาจะพาผมไปไหน” ตะวันที่ยังพูดไม่จบประโยคร้องเสียงหลง เมื่อถูกผมช้อนตัวขึ้นมาไว้ในอ้อมอกแล้วพาเดินออกไปจากตรงนี้


               “ฉันจะพานายไปที่ห้องนอน”


               “หา! ห้องนอน! ไม่เอานะครับผมไม่ไป!” ตะวันเริ่มออกแรงดิ้นซะยกใหญ่ แต่แรงแค่นี้มันไม่สามารถทำอะไรผมได้เลยแม้แต่น้อย


               “ไม่ต้องดิ้นให้เปลืองแรงหรอกตะวัน ฉันว่านายเก็บแรงเอาไว้ใช้บนเตียงจะดีกว่า” แต่ก็ดูเหมือนว่าความหวังดีของผมจะไม่เป็นผล เพราะตะวันกลับยิ่งออกแรงดิ้นมากกว่าเมื่อกี้ซะอีก


               “คุณภูผา! ผมไม่เล่นนะครับ! ปล่อยผมลงเดี๋ยวนี้เลยนะ!”


               “ไอ้ปล่อยน่ะปล่อยแน่ แต่...รอให้ถึงเตียงก่อนนะ”


               “คุณภูผา!” แน่นอนว่าตะวันไม่มีทางรอเฉยๆ ต้องยิ่งออกแรงดิ้นให้ถึงที่สุดอยู่แล้ว แต่ไม่ว่าจะออกแรงดิ้นเท่าไหร่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมสะเทือนจนปล่อยตะวันได้อยู่ดี เพราะงั้นตอนนี้ผมจึงพาตะวันเข้ามาที่ห้องนอนและวางลงบนเตียงได้อย่างสำเร็จ


               “เป็นของฉันนะตะวัน เลิกดิ้นได้แล้วเด็กดี” ผมพูดอย่างอ่อนโยนพร้อมกับใช้ฝ่ามือลูบที่เส้นผมของตะวันอย่างแผ่วเบา การกระทำนั้นทำให้ตะวันที่ยังดิ้นอยู่ลดการต่อต้านลงได้อย่างชะงัด จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นอาการเขินอายขึ้นมาแทน


               “แต่ว่า...มันจะไม่เร็วไปหน่อยหรอครับคุณภูผา”


               “เร็วอะไรกันเล่า ฉันอายุ 30 แล้วนะตะวัน หรือนายกะจะรอให้ฉันอายุ 40 ก่อนหืม?” พอผมพูดแบบนี้ตะวันก็หลุดเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ


               “ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นสักหน่อย ที่ผมพูดหมายถึงเราสองคนพึ่งจะตกลงคบกันวันนี้เองนะครับ”


               “ก็แล้วยังไง จะวันนี้หรือวันหน้านายก็ต้องเป็นของฉันอยู่ดี ที่สำคัญก่อนหน้านี้เราสองคนก็เคยทำกันจนเกือบจะถึงขั้นสุดท้ายอยู่แล้วไม่ใช่หรอ”


               “นั่นมัน...ก็ใช่ครับ”


               “เห็นมั้ยล่ะ แล้วอย่างนี้นายจะให้ฉันรออะไร” ตะวันเงียบไปหลังจากที่ผมพูดจบ สีหน้าตอนนี้ดูลังเลและกังวลจนผมรู้สึกได้


“ตอนนี้ผมยังไม่พร้อมครับคุณภูผา ผมกลัว...” ตะวันหลุบสายตาลงต่ำและพูดด้วยเสียงอ้อมแอ้ม ผมที่ได้ยินอย่างนั้นเลยก้มหน้าลงไปจูบที่ศีรษะของตะวันอย่างแผ่วเบาเพื่อให้ผ่อนคลาย


“ไม่ต้องกลัวหรอกนะ ฉันสัญญาว่าจะอ่อนโยนกับนาย แล้วก็จะทำให้นายรู้สึกดีสุดๆ จนลืมความเจ็บไปเลย” ผมไม่อยากโกหกว่าครั้งแรกมันไม่เจ็บ แต่ผมก็มั่นใจว่าจะทำให้ตะวันรู้สึกดีจนลืมเจ็บได้อย่างที่พูดแน่นอน


“ว่ายังไงตะวัน นายจะยอมเป็นของฉันรึเปล่า” ผมถามพลางใช้สายตาที่มีแต่ความปรารถนาจ้องมองเข้าไปในดวงตากลมโตของตะวัน ซึ่งตอนนี้มันกำลังสั่นไหว ส่วนใบหน้าก็ค่อยๆ ขึ้นสีเลือดฝาดจนแดงจัด ก่อนที่ตะวันจะตอบกลับผมมาว่า...


“ครับ ผมจะเป็นของคุณ...” พูดจบตะวันก็ยกสองมือขึ้นมาโอบรอบศีรษะของผมเอาไว้ ผมจึงยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนจะก้มหน้าลงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งริมฝีปากของเราสองคนสัมผัสกันในที่สุด...


“อืม...” ตะวันครางออกมาเบาๆ เมื่อผมขบเม้มและดูดดุนที่ริมฝีปาก จากนั้นก็สอดลิ้นเข้าไปชิมความหวานที่อยู่ภายใน ก่อนที่ผมจะได้สัมผัสกับลิ้นเล็กๆ ที่ยังคงไม่ประสีประสา แต่ถึงอย่างนั้นก็พยายามตอบสนองและไล่ตามลิ้นของผมที่ตวัดเกี่ยวพันไปมาอยู่ดี


               เราสองคนจูบกันเนิ่นนาน จนริมฝีปากและปลายลิ้นแทบจะหลอมรวมกัน โดยในระหว่างนั้นผมก็ใช้มือปลดเปลื้องเสื้อผ้าของตัวเองและตะวัน จนกระทั่งร่างกายของเราสองคนเปลือยเปล่า


               ถึงแม้ผมจะไม่ได้เปิดไฟในห้อง แต่แสงจันทร์ก็สาดส่องเข้ามาทางหน้าต่าง ทำให้ผมได้เห็นร่างกายเปลือยเปล่าของตะวันที่ขาวเนียนงดงาม จนผมห้ามใจที่จะใช้มือลูบไล้ไปมาด้วยความหลงใหลไม่ได้


               “อา...” ตะวันครางหวิวเมื่อผมวางมือลงที่แผ่นอกแล้วนวดคลึงเบาๆ ก่อนที่ผมจะค่อยๆ ลูบไล้ฝ่ามือลงไปเรื่อยๆ ผ่านเอวบาง ท้องน้อย สะโพก และเรียวขา การกระทำนั้นทำให้ร่างกายของตะวันสั่นสะท้าน โดยที่หลุดเสียงครางออกมาเป็นระยะ


               ผมจับเรียวขาของตะวันแยกออกจากกัน จากนั้นก็กดจูบลงที่น่องเนียนข้างหนึ่ง แล้วจึงค่อยๆ จูบไล่ขึ้นไปยังส่วนบนช้าๆ จนกระทั่งถึงซอกขาตะวันที่กำลังจิกเล็บลงบนที่นอนอย่างเสียวซ่าน ก็ครางกระเส่าด้วยร่างกายสั่นสะท้านทันที


“ซี้ดดด...อา...คุณภูผา...ยะ...อ๊า!” แล้วเสียงครางกระเส่าก็กลายเป็นหวีดร้องเสียงสูง เมื่อผมได้ใช้มือข้างหนึ่งกอบกุมส่วนนั้นของตะวันที่ตั้งชันเอาไว้ จากนั้นก็ใช้ริมฝีปากครอบครองลงไป ทั้งที่ผมไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะทำเรื่องแบบนี้ให้ใครในชีวิต


“อ๊า! อ๊ะ! ยะ...ไม่นะ...ตรงนั้นมัน...อ๊ะ...อ๊า!” ตะวันร้องครางหนักขึ้นเมื่อผมออกแรงดูดที่ส่วนปลาย ความเสียวซ่านทำให้ร่างกายของตะวันสั่นระริก แต่ถึงอย่างนั้นตะวันก็ยังมีปฏิกิริยาต่อต้านทั้งการพูดจาและใช้มือห้ามอยู่ดี


“อ๊ะ...อ๊า...คุณภูผา...ที่แบบนั้น...อื้อ...ไม่ต้องทำถึงขนาดนั้น...ซี้ดด...อ๊า...” ตะวันพูดแทบไม่เป็นภาษา ความเสียวซ่านทำให้สะโพกเล็กลอยขึ้นสูงจากที่นอน พร้อมกับท่อนเนื้อที่อยู่ภายในปากของผมได้ขยายใหญ่ขึ้น ผมที่เห็นอย่างนั้นเลยยิ่งออกแรงดูดส่วนนั้น ทั้งยังขยับริมฝีปากขึ้นลงไปพร้อมๆ กับการขยับฝ่ามือ


“อ๊า...อ๊ะ...อ๊า...คุณภูผา...อ๊า...” ตะวันครางลั่นด้วยความสุขสม สองมือที่เคยผลักไสผมตอนนี้ได้กลายเป็นขยุ้มที่เส้นผมของผมเพื่อระบายความเสียวซ่านเรียบร้อยแล้ว


ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าตะวันกำลังรู้สึกดีขนาดไหน เพราะตอนนี้แก่นกายได้มีน้ำใสๆ ไหลซึมออกมาแล้ว เพราะงั้นผมจึงได้ใช้ลิ้นตวัดเลียมัน ในขณะที่ยังคงดูดดุนและรูดรั้งส่วนนั้นขึ้นลงโดยที่ไม่ได้ลดความเร็วลงเลย


“อ๊า...ซี้ดดด...อ๊า...อ๊ะ...อ๊า...” พูดตามตรงตอนนี้สีหน้าของตะวันช่างเร้าอารมณ์เป็นบ้า ส่วนเสียงครางที่ทั้งหวานกระเส่าและแหบพร่า มันก็ยิ่งทำให้ความปรารถนาของผมพลุ่งพล่านและปั่นป่วน


ผมอยากได้ยินเสียงครางหวานๆ และสีหน้าของตะวันที่เร้าอารมณ์มากกว่านี้ ดังนั้นผมจึงได้ออกแรงดูดท่อนเนื้อที่อยู่ในปากให้แรงขึ้น ใช้ลิ้นดุนและตวัดเลียให้รวดเร็วขึ้นเช่นกัน ส่วนฝ่ามือนั้นก็ไม่ได้ลดแรงลงเลยแม้แต่น้อย


“อ๊า...คะ...คุณภูผา...ซี้ดด...ผมจะ...อ๊า...จะเสร็จแล้ว...” ตะวันบิดกายเร่า ผมจึงได้เร่งจังหวะทุกอย่างทั้งฝ่ามือ ริมฝีปาก และปลายลิ้นให้เคลื่อนไหวด้วยความเร็วสูงสุด เพื่อปรนเปรอความสุขสมและเสียวซ่านให้กับตะวันที่ผมรักสุดหัวใจ


ซึ่งในที่สุดหลังจากนั้นเพียงไม่กี่วินาที...


“อ๊ะ...อ๊ะ...อ๊า...ซี้ดด...อ๊าาาาาาาา!” ตะวันก็กรีดร้องออกมาอย่างสุดเสียง ก่อนจะจิกปลายเท้าลงบนที่นอนพร้อมยกสะโพกขึ้นสูง แล้วทำการปลดปล่อยความเสียวซ่านทั้งหมดเข้ามาในปากของผม


“อา...อา...” ตะวันหายใจอย่างเหนื่อยหอบ ส่วนผมก็ถอนริมฝีปากออกมาจากส่วนนั้นที่อ่อนนุ่มลง แล้วจัดการกลืนของเหลวสีขาวขุ่นลงไปในคออย่างไม่นึกรังเกียจ


ตอนนี้ตะวันไปถึงฝั่งฝันแล้ว แต่ผมยังคงอยู่ในห้วงความปรารถนาอยู่เลย ดังนั้นผมจึงยืดตัวขึ้นไปเปิดลิ้นชักข้างหัวเตียง เพราะผมคิดว่าธารน่าจะรอบคอบไม่ลืมใส่ของสำคัญเอาไว้ ซึ่งน้องรักคนนี้ก็ไม่ทำให้ผมผิดหวัง ในนั้นมีของที่ผมต้องการจริงๆ แถมยังมีอีกหลายๆ สิ่งที่เกินความจำเป็นอีกต่างหาก


ผมไม่สนใจอย่างอื่นแล้วหยิบเจลหล่อลื่นขึ้นมา จากนั้นก็เปิดฝาตามด้วยการบีบใส่มือแล้วละเลงจนเปียกชุ่ม เสร็จแล้วผมก็นำไปหมุนวนตรงปากทางเข้าของตะวัน ที่ผมได้จับเรียวขาทั้งสองให้ตั้งขึ้นและแยกออกจากกันช้าๆ


               “คะ...คุณภูผา...” ตะวันเสียงสั่นด้วยความอับอาย แถมยังดูหวาดกลัวและเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้นผมจึงได้โน้มตัวลงไปจูบที่ริมฝีปากของตะวันด้วยความอ่อนโยน


               “ไม่ต้องกลัวนะตะวัน ฉันสัญญาว่าเราสองคนจะมีความสุขไปพร้อมกัน” พอได้ยินแบบนั้นตะวันก็ดูผ่อนคลายมากขึ้น ดวงตากลมโตที่มองมาฉายชัดถึงคำว่าเชื่อใจในตัวผม และผมก็จะไม่ทำให้ตะวันผิดหวังแน่นอน


               ผมก้มหน้าลงไปจูบตะวันอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่ได้เป็นแค่ปากแตะปากอย่างครั้งที่แล้ว เพราะผมได้ขบเม้ม ดูดดุน และสอดลิ้นเข้าไปชิมความหวานภายใน ทั้งยังตวัดเกี่ยวพันกับลิ้นของตะวันไปมาอีกด้วย


               “อืม...อา...” ผมถอนจูบออกมา จากนั้นก็ฝังใบหน้าลงที่ซอกคอของตะวันแล้วพรมจูบซุกไซ้ ผมฝากรอยรักเอาไว้ 2 – 3 รอยอย่างห้ามใจไม่ไหว ก่อนที่จะค่อยๆ เคลื่อนใบหน้าลงไปจนกระทั่งถึงแผ่นอก ที่มีส่วนยอดกำลังตั้งชูชันและแข็งเป็นไต


               “อ๊ะ...อ๊า...” ตะวันร้องครางด้วยความเสียว เมื่อผมกดจูบลงไปที่ยอดอกตามด้วยการใช้ลิ้นเลียและดูดดุนจนเกิดเสียงอันลามกขึ้น ส่วนยอดอกอีกข้างผมก็ไม่ได้ปล่อยให้มันเว้นว่าง เพราะได้ใช้มือข้างหนึ่งขึ้นไปเค้นคลึงและบีบขยี้เพื่อเพิ่มความสุขสมเป็น 2 เท่า


               “อ๊ะ...อ๊ะ...อ๊า” ความเสียวซ่านที่ได้รับทำเอาตะวันครางระงม จากนั้นก็ยกมือขึ้นมาขยุ้มเส้นผมของผมอย่างรุนแรง


               ในจังหวะนี้เอง ผมก็ถือโอกาสสอดนิ้วที่หมุนวนมานานเข้าไปข้างในช่องทางด้านหลังของตะวัน โดยผมเลือกสอดนิ้วกลางซึ่งเป็นนิ้วที่ยาวที่สุด แต่ถึงอย่างนั้นมันกลับเข้าไปได้ไม่หมด เพราะข้างในมันทั้งแคบแล้วก็บีบรัดนิ้วผมแน่นมาก


               “อย่าเกร็งนะตะวัน ผ่อนคลายหน่อยเด็กดี...ใช่ อย่างนั้น...” ตะวันทำตามที่ผมบอกอย่างว่าง่าย เพราะงั้นผมจึงสามารถสอดนิ้วเข้าไปข้างในได้จนสุด ความอ่อนนุ่มและอุ่นร้อนที่ตอดรัดเป็นจังหวะทำเอาผมแทบคลั่งอยู่แล้ว


               “เป็นยังไงบ้าง ไม่เจ็บใช่รึเปล่าตะวัน” ผมถามเสียงแหบพร่า สารภาพเลยว่าตอนนี้ผมอยากเอาแก่นกายเข้าไปแทนที่นิ้วกลางใจจะขาด แต่ผมก็จะพยายามอดทนไม่ทำอะไรแบบนั้น เพราะผมอยากให้ตะวันมีความสุขไปพร้อมกับผมด้วย


               “มะ...ไม่เจ็บครับ แต่ว่า...อา...ผมอึดอัด...อื้อ...นิดหน่อย...” ตะวันตอบไปครางไป เพราะผมได้ขยับนิ้วที่อยู่ภายในเข้าออกช้าๆ แถมยังคว้านลึก หมุนวน และหักงอเพื่อขยายช่องทางให้คุ้นชิน จนเมื่อมันขยายกว้างขึ้นและนุ่มลงแล้วผมจึงได้สอดนิ้วชี้เพิ่มเข้าไปข้างใน


               “อื้อ!” ตะวันนิ่วหน้า ท่าทางจะอึดอัดมากเพราะสองนิ้วของผมที่อยู่ข้างในแทบจะขยับไม่ได้ ดังนั้นผมจึงใช้มือข้างหนึ่งรูดรั้งแก่นกายของตะวัน ส่วนริมฝีปากก็ดูดเลียยอดอกที่แข็งชันเพื่อกระตุ้นความเสียวซ่าน จนตอนนี้ผมสามารถขยับสองนิ้วที่อยู่ภายในได้แล้ว


“อา...อ๊ะ...อ๊ะ...อ๊า...” ตะวันครางกระเส่า สองมือขยุ้มที่เส้นผมของผมตามแรงอารมณ์ ผมจึงเร่งการขยับนิ้วเข้าออกให้เร็วขึ้น ส่วนปลายลิ้นและฝ่ามือก็ยังคงปรนเปรอความสุขสมให้ตะวันไม่ได้ขาด


               “อ๊า...อ๊า...ซี้ดด...อ๊า...” เมื่อโดนกระตุ้นจุดเสียวทั้ง 3 ที่พร้อมกัน ทำให้ตะวันถึงกับครางลั่นด้วยความเสียวซ่าน ส่วนช่องทางตอดรัดนิ้วของผมแน่นและถี่ยิบจนผมแทบบ้า ผมจึงคิดว่าตอนนี้ตะวันน่าจะพร้อมรับผมเข้าไปข้างในแล้ว


               ผมจัดการถอดนิ้วออกมาจากช่องทางด้านหลังของตะวัน จากนั้นก็หยิบเจลหล่อลื่นมาบีบใส่มือ แล้วนำไปชโลมแก่นกายที่ทั้งแข็งขึงและขยายใหญ่จนทั่วทั้งลำ ตะวันที่มองเห็นภาพนั้นก็ถึงกับตกใจและตื่นกลัวขึ้นมาเลย


               “ยะ...ใหญ่ขนาดนี้ จะเข้ามาได้จริงๆ หรอครับ” ตะวันถามอย่างหวาดๆ


               “ได้แน่นอนอยู่แล้ว เชื่อใจฉันนะตะวัน” ผมโน้มตัวลงไปจูบที่หน้าผากมนอย่างอ่อนโยน ซึ่งนั่นก็ทำให้ตะวันผ่อนคลายขึ้นมาได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงตื่นกลัวอยู่ดี เพราะงั้นผมจึงได้นำแก่นกายไปบดเบียดและหมุนวนที่ช่องทางด้านหลัง เพื่อให้ตะวันคุ้นชินแม้ว่าผมจะทรมานเพราะอยากเข้าไปจะตายอยู่แล้ว


               “อื้อ...คุณภูผา...” ยิ่งเสียงครางหวานๆ และเรียกชื่อผมด้วยเสียงกระเส่าแบบนี้ มันก็ยิ่งทำให้ผมของขึ้นจนแทบบ้า แต่ว่านั่นก็ยังไม่เท่ากับการที่ช่องทางอันอ่อนนุ่มแทบจะดูดกลืนแก่นกายของผมเข้าไป จนผมอดใจไม่ไหวเผลอขยับสะโพกจนส่วนหัวมันผลุบเข้าไปข้างในจนได้


               “อึ่ก! อื้อ!!” ตะวันนิ่วหน้าด้วยความเจ็บปวด ส่วนร่างกายก็แข็งเกร็งจนบีบรัดผมแน่น ซึ่งนั่นมันก็ทำให้ผมเสียวสุดๆ จนหลุดเสียงครางออกมา


               “ซี้ดด...อา...” แต่ถึงจะเสียวแค่ไหน ผมก็ต้องกัดฟันทนพยายามข่มใจไม่ขยับ เพราะต้องการให้ตะวันผ่อนคลายและคุ้นชินกับท่อนเนื้อของผมซะก่อน ดังนั้นผมจึงได้ก้มหน้าลงไปจูบริมฝีปากบาง ตามด้วยการดูดเบาๆ และขบเม้มยั่วเย้าจนตะวันเลิกเกร็งในที่สุด


               “เป็นของฉันนะตะวัน” พูดจบผมก็ค่อยๆ ดันแก่นกายเข้าไปในช่องทางรักช้าๆ จนในที่สุดก็สามารถเข้าไปข้างในได้จนมิดลำ


               “อา...” ผมหลุดเสียงครางออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ เพราะช่องทางด้านหลังของตะวันทั้งร้อนและอ่อนนุ่ม แถมยังบีบและตอดรัดท่อนเนื้อของผมแน่นมากจนผมเสียวแทบขาดใจ


               “เป็นยังไงบ้าง โอเครึเปล่าตะวัน” ผมลูบศีรษะของคนใต้ร่างที่มีเหงื่อไหลซึมออกมา


               “คะ...ครับ...มะ...ไม่เจ็บมากอย่างที่คิด” ตะวันหอบเล็กน้อย ส่วนร่างกายก็ยังคงเกร็งอยู่แต่ไม่มากเท่าไหร่ ผมเลยสามารถขยับแก่นกายเข้าออกได้ โดยเริ่มจากช้าๆ แล้วจึงเพิ่มความเร็วขึ้นเรื่อยๆ จนตอนนี้สีหน้าอันทรมานของตะวันได้เปลี่ยนไปกลายเป็นสุขสม


               “อา...อื้ม...อา...คุณภูผา...ซี้ดด...อา...” ตะวันครางด้วยความเสียว สองมือขยุ้มที่ศีรษะของผมจนยุ่งเหยิงไปหมด แต่ผมก็ไม่มีเวลาไปสนใจตรงนั้น เพราะช่องทางด้านหลังของตะวันบีบและตอดรัดแก่นกายของผมแน่นมาก ทำเอาผมเสียวสุดๆ จนหยุดขยับสะโพกไม่ได้เลย


               “อ๊ะ...อ๊ะ...อ๊า! คุณภูผา...อ๊ะ...อ๊า!” ตะวันหวีดร้องเสียงสูง เมื่อแก่นกายของผมโดนจุดเสียวที่อยู่ภายใน ผมที่รู้แล้วว่าจุดนั้นอยู่ตรงไหน เลยยิ่งกระแทกแก่นกายเข้าไปอย่างแรงและรวดเร็ว จนช่องทางด้านหลังยิ่งบีบและตอดรัดแก่นกายของผมแน่นยิ่งขึ้น


               “อาา...ดีมั้ยตะวัน รู้สึกดีเหมือนฉันใช่มั้ย” ผมถามด้วยเสียงกระเส่า ส่วนสะโพกก็ยังขยับโดยที่ไม่ได้ลดความเร็วลงเลย แถมมีแต่จะเร็วมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยซ้ำ


               “อ๊า...ดีครับ...ตรงนั้น...อ๊า...อ๊ะ...อ๊า...” นอกจากคำพูดที่ยืนยัน สีหน้าและน้ำเสียงของตะวันก็แสดงออกได้อย่างชัดเจนเลยว่าตอนนี้กำลังรู้สึกดีขนาดไหน ผมจึงได้กระแทกแก่นกายเข้าไปข้างในอย่างไม่ยั้ง โดยเน้นย้ำแต่ตรงจุดนั้นจนตะวันเสียวแทบขาดใจ


               “อ๊ะ...อ๊า...อ๊า...คุณภูผา! อ๊ะ...อ๊า...” นอกจากช่วงล่างที่ขยับเข้าออก ฝ่ามือของผมก็ยังบีบขยี้ที่ยอดอกสีชมพูไปมา พร้อมกับฝ่ามืออีกข้างที่ได้เลื่อนไปชักส่วนนั้นของตะวันขึ้นลง ส่งผลให้ตอนนี้ท่อนเนื้อในมือของผมได้มีน้ำใสๆ ไหลออกมา ส่วนช่องทางด้านหลังก็บีบและตอดรัดแก่นกายของผมจนเสียวแทบบ้าอยู่แล้ว


               “ซี้ดด...อา...ตะวัน” ผมครางอย่างพึงพอใจ แล้วเร่งจังหวะการซอยแก่นกายเข้าไปข้างในอย่างถี่ยิบ เพราะตอนนี้ผมใกล้จะถึงขีดสุดของความอดทน ซึ่งก็ดูเหมือนว่าตะวันก็เช่นกัน


“คุณภูผา...คุณภูผา! อ๊า...ผมจะ...อ๊ะ...อ๊า...จะเสร็จแล้ว!” เมื่อได้ยินแบบนี้ผมจึงเลื่อนมือลงไปตรึงที่สะโพกของตะวัน จากนั้นก็กระแทกกระทั้นแก่นกายเข้าไปอย่างไม่ยั้งทั้งรุนแรงและรวดเร็ว


“อาา...” ตอนนี้ผมเสียวสุดๆ จนแทบจะทนไม่ไหว เพราะตะวันได้ขยับสะโพกสอดรับกับจังหวะของผม แถมข้างในก็ยังดูดกลืนและตอดรัดท่อนเนื้อของผมถี่ยิบอีกต่างหาก


“ซี้ดดด...อาา”


“อ๊ะ...อ๊ะ...อ๊า...คุณภูผา! คุณภูผา! อ๊า...อ๊า!” ตะวันกรีดร้องออกมาอย่างสุดเสียง เมื่อผมซอยแก่นกายเข้าไปอย่างถี่ยิบด้วยความเร็วสูงสุด ความเสียวซ่านที่ได้รับทำเอาตะวันทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว


“อ๊ะ...อ๊ะ...อ๊า...อ๊าาาาาาาาาาา!” สิ้นเสียงนั้นตะวันก็ปลดปล่อยความสุขสมออกมาทันที ส่วนผมที่ถูกช่องทางรักตอดรัดอย่างรุนแรงก็พ่ายแพ้ต่อความเสียวเช่นกัน จึงได้กระแทกกระทั้นแก่นกายอย่างไม่ยั้ง แล้วฝังในส่วนที่ลึกที่สุดเมื่อถึงจุดสุดยอด


“อาาาส์” ผมครางอย่างสุดกลั้น แล้วปลดปล่อยความสุขสมทั้งหมดเข้าไปในตัวของตะวันจนแทบจะล้นทะลักออกมาข้างนอก


“รักนะตะวัน ฉันรักนาย” ผมก้มหน้าลงไปจูบหน้าผากของตะวันอย่างแผ่วเบา ซึ่งตอนนี้ดูเหมือนว่าจะเหนื่อยจัดจนหลับไปเรียบร้อยแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นริมฝีปากบางก็ยังอมยิ้มขึ้นมานิดนึง บางทีอาจจะรับรู้ถึงความรักที่ผมส่งไปก็ได้


“ราตรีสวัสดิ์สุดที่รักของฉัน” ผมพูดจบก็จัดแจงท่าทางการนอนของตะวันให้หลับอย่างสบาย ตามด้วยการทำความสะอาดร่างกายไม่ให้เหนียวเหนอะหนะ จากนั้นผมก็ล้มตัวลงไปนอนกอดตะวัน โดยที่ค่ำคืนนั้นก็เป็นค่ำคืนที่ผมหลับฝันดีและมีความสุขที่สุดในชีวิต...


2BC


สะ...สวัสดีค่าทุกคน  :-[ หัวใจชิงรักตอนที่ 11 ค่ำคืนแสนหวาน ก็จบลงไปแล้วน้า ถ้าหากทุกคนชื่นชอบเราก็จะดีใจมากเลย ยังไงก็คอมเมนท์มาเม้ามอยความฟินกันด้วยน้า  :m13: ส่วนตอนหน้าเจอกันวันศุกร์ค่าที่ร้าก บ๊ายบายยยยย  :bye2:
(22 ส.ค. 60)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-08-2017 21:40:35 โดย *|=สามีแจจุง=|* »

ออฟไลน์ aiyuki

  • รักแท้ไม่แบ่งแม้เพศพันธุ์
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2636
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-6
บทจะรุก คุณภูผาก็รุกซะตั้งตัวไม่ติดเลย ^^

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Y-Darkness

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0

ออฟไลน์ Micky_MN

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 198
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-3
 :o8: เขินอ่า ตะวันจะถูกพี่ภูกินแล้ว

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ Micky_MN

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 198
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-3
 :m25: :m25: :m25: อูย เลือดไหลหมดตัว :jul1:  :jul1:

ออฟไลน์ uyong

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-1

ออฟไลน์ Y-Darkness

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0

ออฟไลน์ aiyuki

  • รักแท้ไม่แบ่งแม้เพศพันธุ์
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2636
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-6
เลือดท่วมแล้วววว

ออฟไลน์ Sameejaejung

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +457/-17
[H.E.A.R.T.] H. Hanger หัวใจชิงรัก


Part 12# Tawan ข้าวใหม่ปลามัน


               ในที่สุดความรักของผมก็สมหวัง...


               เมื่อคืนผมกับคุณภูผาได้ตกลงคบกัน แถมเราสองคนยังมีอะไรกันเป็นที่เรียบร้อยอีกด้วย ผมรู้สึกเขิน อาย และประหม่า แต่ถึงอย่างนั้นผมก็มีความสุขมากเพราะคุณภูผาอ่อนโยนกับผมเหลือเกิน


               ผมยิ้มออกมาบางๆ พลางมองหน้าของคุณภูผาที่นอนกอดผมเอาไว้โดยที่ยังคงหลับสนิท ทั้งที่ตอนนี้ก็สายมากแล้ว ความจริงผมตื่นมาได้สักพักแล้วแหละ แต่ที่ยังไม่ขยับตัวลุกไปไหนก็เพราะไม่อยากให้คุณภูผาตื่น ผมอยากให้คุณภูผานอนอย่างเต็มอิ่ม เพราะคืนก่อนหน้านี้คุณภูผาขับรถพาผมมาหัวหินโดยที่ไม่ได้นอนเลย


               “ผมรักคุณนะครับ” ผมพูดด้วยเสียงแผ่วเบาราวกับกระซิบ เพราะผมจำได้รางๆ ว่าเมื่อคืนคุณภูผาได้พูดแบบนี้กับผม แต่ว่าผมรู้สึกเหนื่อยและล้ามากเกินกว่าจะตอบกลับไป ดังนั้นผมจึงได้อยากบอกว่าผมก็รักคุณภูผาเหมือนกัน ส่วนเรื่องที่ว่าทำไมผมไม่รอบอกตอนตื่น เหตุผลก็มีแค่อย่างเดียวคือผมกลัวจะเขินจนทำอะไรไม่ถูกนั่นเอง


แต่ถึงจะคิดอย่างนั้น...


คุณภูผาที่ผมคิดว่ากำลังหลับอยู่กลับลืมตาขึ้นมา แถมยังเคลื่อนใบหน้าเข้ามาจูบผมอย่างรวดเร็วอีกด้วย!


“ต่อไปพอตื่นนอนไม่ต้องพูดว่าอรุณสวัสดิ์แล้วนะ พูดว่านายรักฉันแบบเมื่อกี้ดีกว่าเป็นไหนๆ” คุณภูผาพูดยิ้มๆ หน้าตาไม่ได้ดูงัวเงียเหมือนคนพึ่งตื่นนอนเลยแม้แต่น้อย


“นะ...นี่คุณภูผาตื่นมาตั้งแต่ตอนไหนครับเนี่ย” ผมพูดขึ้นอย่างตกใจเมื่อตั้งสติได้ หลังจากที่เอ๋อเมื่อถูกจูบสักพักหนึ่ง


“ก็เกือบจะพร้อมกับนายนั่นแหละ นายขยับตัวนิดนึงตอนตื่นฉันเลยรู้สึกตัว”


“โธ่...แล้วทำไมถึงได้แกล้งหลับล่ะครับ ผมก็อุตส่าห์พยายามเกร็งตัวนอนนิ่งๆ อยู่ได้ตั้งนาน” ผมอดที่จะบ่นไม่ได้เพราะถูกแกล้งตั้งแต่ตอนตื่น โดยแอบหวังว่าคุณภูผาจะมีเหตุผลซึ้งๆ ที่ดูน่ารักๆ แต่พอได้ฟังเท่านั้นแหละผมก็แทบอยากบ้าตาย


“ก็ฉันอยากรู้นี่นาว่าพอตื่นแล้วนายจะทำอะไร จะแอบแต๊ะอั๋งหรือว่าลักหลับฉันรึเปล่า”


               “ใครมันจะไปทำแบบนั้นกันล่ะครับ!” พูดจบผมก็ใช้สองมือทุบไปที่แผ่นอกของคุณภูผา ถึงแม้ว่าผมจะทุบเบาๆ ไม่ได้ใส่แรงลงไปมากมายอะไร แต่คุณภูผากลับรวบมือของผมเอาไว้ด้วยกันซะงั้น


               “ปล่อยมือผมนะ แค่แกล้งไม่พอแล้วยังจะมารังแกกันอีกหรอครับ”


               “ฉันได้รังแกนายที่ไหน นายเองนั่นแหละที่มาทุบฉันก่อน แต่จะว่าไปไหนๆ ก็ถูกกล่าวหาอยู่แล้ว งั้นฉันก็จะรังแกนายจริงๆ เลยดีกว่า” พูดจบคุณภูผาก็พลิกตัวขึ้นมาคร่อมผมเอาไว้ แล้วจับรวบข้อมือของผมให้ขึ้นไปอยู่ที่เหนือศีรษะ


               “ยะ...อย่านะครับ คุณภูผาจะทำอะไร” ผมถามอย่างตะกุกตะกัก หวังว่าคงจะไม่ใช่อย่างที่ผมคิดหรอกนะ


               “ฉันก็บอกแล้วไงว่าจะรังแกนาย แต่ไม่ต้องกลัวหรอกนะ รับรองว่านายจะต้องชอบที่ถูกฉันรังแก” คุณภูผายกยิ้มที่มุมปาก พลางใช้สายตาหื่นกระหายจ้องมองมาที่ผม


ผมที่เห็นอย่างนั้นก็คงจะนอนเฉยๆ ให้ถูกกินตั้งแต่ตอนตื่นหรอก แน่นอนว่าผมต้องออกแรงดิ้นและโน้มน้าวคุณภูผาให้เลิกคิดรังแกผมอยู่แล้ว


“มะ...ไม่นะครับ เมื่อคืนเราสองคนก็พึ่งทำ...อ๊ะ! อย่าจับตรงนั้นสิครับคุณภูผา! อา...ยะ...อย่าครับ...คุณภูผา...อื้ม...อาา...”


และแล้วแรงต่อต้านของผมก็พ่ายแพ้ต่อแรงปรารถนาที่ถูกคุณภูผาปลุกเร้าไม่ได้ ดังนั้นผมจึงถูกคุณภูผารังแก (แต่อ่อนโยน) เป็นชั่วโมง ก่อนที่ผมจะเพลียจัดจนกระทั่งเผลอหลับไป...



................................................

................................

................


               ตื่นมาอีกทีผมก็พบว่าตอนนี้เป็นเวลาเกือบจะเย็นแล้ว ผมรู้สึกตกใจที่ตัวเองทำไมนอนไปได้นานขนาดนี้ แต่ที่ผมรู้สึกตกใจยิ่งกว่าก็คือการที่คุณภูผาไม่รู้หายไปไหน เพราะงั้นผมจึงได้ลุกจากที่นอนแล้วเดินออกไปตามหา


               บ้านหลังนี้ไม่กว้างเท่าไหร่ ผมเลยเดินเพียงแค่แป๊บเดียวก็ทั่วทั้งบ้านแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังหาคุณภูผาไม่เจออยู่ดี


               ไปไหนของเขากันนะ?


               ผมถามตัวเองด้วยความสงสัย ก่อนที่สายตาจะเหลือบไปเห็นคุณภูผายืนหันหลังคุยกับใครสักคนอยู่ที่รั้วบ้าน


ผมมองเห็นไม่ชัดว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใครเพราะตัวคุณภูผาบังอยู่ แถมผมยังมองผ่านหน้าต่างที่ค่อนข้างไกลและเขาก็ใส่หมวกปิดหน้าปิดตา แต่ถึงอย่างนั้นผมกลับรู้สึกคุ้นเคยกับเขาอย่างประหลาดยังไงไม่รู้ เพราะงั้นผมจึงจะเดินออกไปดู แต่คุณภูผาก็หันหน้ากลับมาแล้วเดินมาทางนี้ซะก่อน


               “อ้าว ตื่นมาตั้งแต่ตอนไหนเนี่ยตะวัน” คุณภูผาถามด้วยความตกใจเมื่อเห็นผมเดินมาที่หน้าประตูบ้าน


               “เมื่อกี้นี้เองครับ พอเห็นว่าคุณกำลังคุยกับใครสักคนที่ผมรู้สึกว่าคุ้นๆ เลยว่าจะออกไปดูสักหน่อย” ระหว่างที่พูดผมก็พยายามมองหาผู้ชายคนนั้น แต่ผมก็ไม่เห็นเลยแม้แต่เงาเพราะคงจะกลับไปแล้ว


               “คุ้น? กับหนึ่งในทีมออแกไนซ์เนี่ยนะ?” คุณภูผาขมวดคิ้วด้วยความงุนงง ซึ่งนั่นก็ทำให้ผมถึงกับงงไปด้วย


               “เอ่อ...ทีมออแกไนซ์ที่ว่า...?”


               “ก็ที่มาจัดบ้านจนเซอร์ไพรส์นายเมื่อคืนไง วันนี้พวกนั้นมาเก็บอุปกรณ์แล้วก็ส่งตัวแทนมารับเงินที่เหลืออีกครึ่งนึงน่ะ” คุณภูผาพูดอย่างชิลๆ แต่ผมนี่สิที่ถึงกับอึ้งและตกใจจนพูดอะไรแทบไม่ออก


               “ดะ...เดี๋ยวนะ เมื่อคืนคุณภูผาถึงกับต้องจ้างทีมออแกไนซ์เลยหรอครับ” ผมไม่รู้หรอกนะว่าค่าใช้จ่ายทั้งหมดมันเท่าไหร่ แต่ที่แน่ๆ มันต้องไม่ใช่น้อยๆ อย่างหลักร้อยหลักพันแน่นอน


               “ก็แน่ล่ะสิ ฉันมีเวลามาทำเองที่ไหน แล้วก็...ฉันอยากให้นายประทับใจจนรับรักฉันด้วย” ประโยคหลังคุณภูผาเบนสายตาไปทางอื่น แถมยังเลื่อนมือข้างหนึ่งขึ้นมาเกาท้ายทอยด้วยความเขินและประหม่าอีกด้วย


ท่าทางที่ไม่ค่อยมั่นใจแบบนั้นดูไม่สมกับเป็นคุณภูผาเท่าไหร่ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ทำให้ผมยิ้มออกมาได้อยู่ดี


               “ความจริงคุณไม่ต้องทำอะไรสิ้นเปลืองแบบนี้ก็ได้นะครับ เพราะยังไงผมก็รักคุณอยู่แล้ว” ผมรู้สึกเขินนิดหน่อยที่ต้องพูดอะไรหวานๆ แบบนี้ แต่คนที่เขินไม่ได้มีแค่ผมคนเดียว เพราะคุณภูผาก็เขินเป็นเพื่อนผมด้วยเหมือนกัน


               “นายนี่จะพูดจาน่ารักเกินไปแล้วนะ” คุณภูผาเดินเข้ามาใกล้แล้วโอบเอวผมเอาไว้หลวมๆ จากนั้นก็ก้มหน้าลงมาจนกระทั่งริมฝีปากของเราสองคนสัมผัสกัน


               ผมหลับตาลงเพื่อซึมซับความรักและความอ่อนโยนจากคุณภูผาด้วยความเต็มใจ ตอนนี้ผมรู้สึกมีความสุขมากจนร่างกายแทบจะลอยได้อยู่แล้ว แต่หลังจากที่คุณภูผาถอนจูบออกไปเท่านั้นแหละ บรรยากาศอันอบอุ่นและหวานซึ้งมันก็หายวับไปทันที


               “แย่ล่ะ ฉันชักอยากจะทำอีกรอบซะแล้วสิ”


               “หา! นะ...นี่คุณภูผาล้อผมเล่นใช่มั้ย!”


               “จะลองจับดูมั้ยล่ะ?”


               “ใครมันจะไปทำเรื่องแบบนั้นกันครับ!”


               ตอนนี้ผมอยากจะกัดลิ้นตายให้มันรู้แล้วรู้รอดจริงๆ ทั้งที่เมื่อคืนกับเมื่อเช้าก็พึ่งทำไปแท้ๆ แต่แค่ตอนเย็นก็เกิดอยากทำขึ้นมาอีก นี่คุณภูผาไปกินโด่ไม่รู้ล้มมารึไง!


               “ไม่ต้องอายไปหรอกน่า มากกว่านี้ก็เคยทำมาแล้วแท้ๆ” คุณภูผายิ้มกรุ้มกริ่ม คำพูดนั้นทำเอาผมหน้าร้อนด้วยความอับอายจนแทบไฟลุก


               “ผมไม่อยากฟังเรื่องพวกนี้อีกแล้วนะครับ!” ผมหน้าบึ้งแล้วยกสองมือขึ้นมาปิดหูเพื่อแสดงความไม่พอใจ แต่ทั้งที่ผมทำถึงขนาดนั้น คุณภูผาก็ยังไม่ยอมหยุดเลยสักนิด


“อะไรกันเล่า นายเป็นคนยั่วให้ฉันของขึ้นเองแท้ๆ”


“ผมได้ไปทำเรื่องแบบนั้นเมื่อไหร่กันครับ!” ตอนนี้ผมรู้สึกเหนื่อยจริงๆ ที่ต้องเค้นเสียงใส่คุณภูผา แต่ที่เหนื่อยกว่านั้นก็คือการถูกกล่าวหาลอยๆ นี่แหละ


ผมจำได้ว่าคุณภูผาเคยพูดแบบนี้กับผมแล้วครั้งหนึ่ง ตอนนั้นผมคิดว่าคุณภูผาอาจจะเบลอๆ เลยไม่ได้ติดใจอะไร แต่ทำไมถึงได้มีอีกเป็นครั้งที่สองก็ไม่รู้


“ฉันเคยบอกแล้วนี่ว่าสายตาของนายน่ะมันยั่วสุดๆ ถึงจะดูไร้เดียงสาแต่ก็น่าปู้ยี่ปู้ยำทำให้แปดเปื้อนซะเหลือเกิน”


“คุณภูผา!”


“ไม่ใช่แค่สายตานะ แต่เสียงของนายที่ดูแหบพร่า สีหน้าที่แดงนิดๆ แถมยังจื่อปากที่ช้ำหน่อยๆ มันได้อารมณ์สุดๆ เลย รู้ตัวมั้ยว่านายทำให้ฮอร์โมนของฉันพลุ่งพล่าน จนเหมือนได้ย้อนวัยกลับไปเป็นวัยรุ่นยังไงยังงั้น” ยิ่งได้ฟังสิ่งที่คุณภูผาพูดมากเท่าไหร่ผมก็ยิ่งลมแทบจับมากเท่านั้น


คุณภูผาที่ผมเคยมองว่าสุขุมเป็นผู้ใหญ่หายไปไหน ทำไมตรงหน้าผมถึงได้มีแต่ตาแก่โรคจิตที่ผมไม่รู้จักได้ล่ะเนี่ย!


“.............................................แล้ว”


“หืม? เมื่อกี้นายว่าอะไรนะ?” คุณภูผาถามพลางเอียงหูเข้ามาใกล้ๆ เพราะคงไม่ได้ยินสิ่งที่ผมพึมพำออกไปเมื่อกี้


“ผมบอกว่าผมทนไม่ไหวแล้ว...ผมทนฟังเรื่องแบบนี้ต่อไปไม่ไหวแล้วครับ!” พูดจบผมก็รวบรวมแรงที่มีทั้งหมดผลักคุณภูผาออกไป จากนั้นก็ใช้โอกาสนี้วิ่งหนีให้ไกลจากตรงนี้อย่างสุดชีวิต


“จะไปไหนน่ะตะวัน! กลับมารับผิดชอบฉันเดี๋ยวนี้เลยนะ!” คุณภูผาตะโกนไล่หลังมา แต่ผมก็ไม่แม้แต่จะเสียเวลาหันกลับไปดูเพราะกลัวคุณภูผาจะวิ่งตามผมทัน


แต่ถึงจะคิดอย่างนั้น...


“จับได้แล้ว!”


“ว้ากกกกกกกกกก!” ผมร้องเสียงหลงเพราะถูกคุณภูผาตามทันแล้วอุ้มขึ้นมาอยู่ในท่าเจ้าหญิง ผมก็ลืมไปว่าขาของคุณภูผายาวกว่าผมแค่ไหน แถมเรี่ยวแรงของผมก็หดหายเพราะถูกกิจกรรมเมื่อคืนกับเมื่อเช้าสูบออกไปจนเกือบหมด


“ปล่อยผมลงนะครับคุณภูผา!” ผมออกแรงดิ้นไปมาเพราะคิดว่าจะต้องถูกคุณภูผากินอีกเป็นครั้งที่ 3 และคุณภูผาก็คงจะต้องบอกประมาณว่า ‘ไอ้ปล่อยน่ะปล่อยแน่ แต่จะปล่อยลงที่เตียงนะ’ อะไรแบบนี้ แต่เอาเข้าจริงๆ คุณภูผากลับพาผมไปที่ชายหาด แล้วปล่อยผมลงยืนตรงที่คลื่นซัดสาดเข้ามายังชายฝั่งซะงั้น


“ทำหน้าอะไรแบบนั้น หรือหวังจะให้ฉันพาไปที่เตียง?” คุณภูผาพูดยิ้มๆ


“ผมไม่พูดกับคุณแล้ว คนอะไรขี้แกล้งชะมัด” ผมพองลมที่แก้มแล้วก้าวท้าวเดินหนี คุณภูผาที่เห็นอย่างนั้นเลยรีบเดินตามมา จากนั้นก็ยื่นมือออกมาสอดประสานกับมือของผม


“ฉันไม่แกล้งแล้วก็ได้ หายงอนฉันนะตะวัน” คุณภูผาพูดพลางส่งสายตาปริบๆ มาให้ผม การกระทำที่ขัดกับภาพลักษณ์แบบนั้นทำเอาผมถึงกับหลุดยิ้มแล้วก็ขำออกมา


“โอเคครับ ผมไม่งอนแล้วก็ได้” พอได้ยินแบบนี้คุณภูผาก็ยิ้มกว้าง จากนั้นก็เอี้ยวใบหน้ามาหอมแก้มผมฟอดใหญ่ โดยให้เหตุผลที่มักอ้างอยู่เสมอว่า...


“รางวัลสำหรับเด็กดี”


ตอนนี้ผมได้แต่อมยิ้มอย่างขวยเขินและเอียงอาย แต่ถึงอย่างนั้นผมก็มีความสุขมากจนแทบจะล้นออกมานอกอก ซึ่งผมก็สัมผัสได้ว่าคุณภูผาก็กำลังมีความสุขเหมือนกับผมเช่นกัน


จากนั้นเราสองคนก็เดินไปตามชายหาด โดยไม่ยอมห่างและปล่อยมือจากกันเลยแม้แต่เสี้ยววินาที ก่อนที่เราทั้งคู่จะมานั่งดูพระอาทิตย์ตกดินเคียงข้างกันอย่างมีความสุข...


ผมกับคุณภูผาค้างกันที่นี่อีกคืน ก่อนที่ช่วงสายๆ เราสองคนจะเดินทางกลับบ้านโดยไม่ลืมแวะซื้อของฝากไปให้ทุกคน แต่พอไปถึงกลับไม่มีใครสนใจของฝากเลยสักนิด เพราะทุกคนรีบรุมเข้ามากอดผมแล้วประนามคุณภูผากันยกใหญ่ โดยเฉพาะน้องวาแล้วก็เพลิง


               “พี่ภูใจร้าย! มาแย่งพี่ตะวันไปจากผมได้ยังไง! จำไว้เลยว่าผมจะไม่พูดด้วยทั้งอาทิตย์เลยคอยดู!” น้องวากอดอกแล้วจ้องคุณภูผาอย่างเอาเรื่อง เพลิงที่ได้ยินอย่างนั้นเลยรีบพูดเสริมทันที


               “เฮอะ! ปากก็บอกว่าเกลียด ไม่ชอบ อยากไล่ออกจากบ้านอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ที่แท้ก็เล็งตะวันเอาไว้เหมือนกัน แถมยังได้ใจตะวันไปอีก เจ็บใจจริงโว้ยยยยยย!” เพลิงโวยวายจนแทบจะพ่นไฟออกมา คุณภูผาที่ยืนนิ่งอยู่นานก็ถึงกับกลอกตามองบน


               “อย่ามาทำเป็นโมโหพี่หน่อยเลย พี่รู้หรอกว่าแกแค่อยากได้ แต่ไม่ได้คิดจริงจังกับตะวัน” ประโยคนั้นทำเอาผมอยากหันไปถามคุณภูผาจริงๆ ว่ามันหมายความว่ายังไง โดยเฉพาะคำว่า ‘อยากได้’ ที่ผมรู้สึกข้องใจมาก แต่ว่าเพลิงก็ดันพูดกับคุณภูผาขึ้นมาซะก่อน


               “โอเค เรื่องนั้นผมไม่เถียง แต่ที่ผมพูดคือผมเจ็บใจแทนไอ้พฤกษ์ต่างหาก เพราะมันแอบชอบตะวันมาตั้งแต่ตอนปี 1 แล้ว” ประโยคนั้นทำเอาผมอึ้งจนร่างกายแข็งทื่อแทบจะเป็นท่อนไม้ ส่วนคนอื่นๆ ก็ไม่ได้มีอาการต่างไปจากผมเลยโดยเฉพาะคุณภูผา


ยกเว้นก็แต่...


               “บ้าเอ๊ย เพลิงรู้โลกรู้จริงๆ กูบอกแล้วไงว่ามึงต้องเหยียบเรื่องนี้ให้มิดห้ามพูดเด็ดขาด” พฤกษ์พูดขึ้นพร้อมกุมขมับ จากนั้นก็จัดการใช้ศอกกระทุ้งสีข้างของเพลิงอย่างแรงจนร้องโอดโอย แต่พฤกษ์ก็ไม่ได้สนใจแล้วหันมองมาทางผมกับคุณภูผา


               “ทั้งสองคนอย่าไปใส่ใจเรื่องที่ไอ้เพลิงมันพูดเลย จะว่าไงดีล่ะ...คือเรื่องนั้นมันนานมากแล้ว ความรู้สึกนั้นมันไม่มีหลงเหลืออีกแล้วล่ะ” พฤกษ์พยายามฝืนยิ้มออกมาให้เป็นธรรมชาติ แต่ถึงอย่างนั้นกลับไม่ยอมสบตาใครเลยสักคน


               “พฤกษ์ คือพี่...” คุณภูผาคงจะพยายามพูดปลอบใจหรือว่าขอโทษเพราะรู้สึกผิด แต่พฤกษ์ก็ชิงยกมือห้ามและพูดขัดขึ้นมาซะก่อน


               “ถ้าพี่ภูจะขอโทษผมก็ไม่ต้องเลยนะครับ ผมบอกแล้วไงว่าเรื่องนั้นมันเป็นอดีตไปแล้ว ตอนนี้ผมไม่ได้คิดอะไรกับตะวันจริงๆ แล้วผมก็ดีใจมากที่พี่กับตะวันได้ลงเอยกัน ผมรู้สึกยินดีแล้วก็มีความสุขมาก” ประโยคสุดท้ายพฤกษ์ยิ้มออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติ แถมยังจ้องมองมาที่ผมกับคุณภูผาโดยไม่หลบตา ผมรู้สึกได้ว่าพฤกษ์พูดมันออกมาจากใจจริงๆ อย่างที่พูด


               “ขอบใจนะพฤกษ์” จากที่มีสีหน้าเป็นกังวลคุณภูผาก็ยิ้มออกมาได้ พอเห็นเรื่องทุกอย่างคลี่คลายลงด้วยดีกองเชียร์ที่ลุ้นอยู่ข้างๆ ก็ถึงกับถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก


               “เอาล่ะ พี่ว่าทุกคนควรจะสลายตัวกันได้แล้วนะ พี่ภูกับตะวันเดินทางมาเหนื่อยๆ ก็ควรปล่อยให้พักผ่อนกันบ้าง เอ้าแยกย้ายกันได้แล้ว” คุณธารพูดขึ้นแล้วออกแรงดันแต่ละคนให้สลายตัวออกไปจากตรงนี้ ซึ่งก็ดีเหมือนกันเพราะผมยังทำตัวไม่ถูก แล้วก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรโดยเฉพาะกับพฤกษ์


               หวังว่าหลังจากนี้พฤกษ์จะได้เจอคนดีๆ และเป็นคนที่ใช่ในเร็ววันด้วยเทอญ...


.............................................
..............................
...............


               วันต่อมาผมก็ออกไปเรียนแต่เช้าพร้อมพฤกษ์ตามปกติ โดยที่พฤกษ์ก็ยังคงวางตัวเป็นเพื่อนที่ปรารถนาดีและเป็นห่วงเป็นใย แต่ก็ไม่ได้มากเกินไปจนล้ำเส้นเข้ามา การมีเพื่อนที่ดีอย่างพฤกษ์ทำให้ผมรู้สึกดีและสบายใจจริงๆ


               ที่มหา’ลัยเราสองคนไม่ค่อยได้คุยกันมากนัก เอาจริงๆ ไม่มีเพื่อนคนไหนรู้ว่าเราสองคนอยู่บ้านเดียวกันเลยด้วยซ้ำ รู้แค่ว่าผมอาศัยติดรถมาด้วยเพราะบ้านอยู่ทางเดียวกัน การที่ผมตั้งใจปิดบังก็ไม่มีอะไรมากนอกจากรักสงบไม่อยากเป็นจุดเด่น เพราะอย่างที่เคยบอกไปว่าที่มหา’ลัยพฤกษ์เป็นคนดังจึงมักจะมีคนรุมล้อมอยู่เสมอ


               หลังจากเลิกเรียนถ้าเป็นปกติพฤกษ์ก็จะตรงกลับบ้าน ส่วนผมก็จะไปทำงานพิเศษที่ร้านอาหาร แต่ว่าวันนี้ไม่ปกติ เพราะว่าผมได้หอบของมากมายที่ซื้อมาจากหัวหินไปฝากทุกคนที่ร้าน พฤกษ์ที่กลัวว่าผมจะเดินทางลำบากเลยอาสามาส่งถึงที่


               “ขอบใจมากเลยนะพฤกษ์”


               “ไม่เป็นไร ว่าแต่จะให้เรารอรับกลับด้วยเลยมั้ย”


               “อุ้ยอย่าเลย แค่นี้เราก็เกรงใจจะแย่อยู่แล้ว พฤกษ์กลับบ้านไปอ่านหนังสือแล้วก็พักผ่อนเถอะ”


“เอางั้นก็ได้” พฤกษ์ยอมอย่างว่าง่าย ผมจึงได้ยิ้มให้แล้วก็โบกมือลา จากนั้นจึงหอบข้าวของทุกอย่างลงรถแล้วเดินตรงไปยังร้านที่ตั้งอยู่ข้างหน้า แต่ว่ายังไม่ทันที่ผมจะได้เปิดประตูเข้าไป คนที่อยู่ข้างในก็ดันประตูพรวดออกมาซะก่อน


               “ฮั่นแน่! หนุ่มที่ไหนมาส่งหรอฮ้าน้องตาหวาน ถึงคนนั้นจะหนุ่มกว่า แต่แอบนอกใจคุณภูผามันไม่ดีเลยนะรู้มั้ย” แน่นอนว่าเสียงแบบนี้ต้องเป็นพี่กิตติอยู่แล้ว ท่าทางจะแอบดูอยู่จากข้างในตั้งแต่ที่ผมกับพฤกษ์มาถึง แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้ตอบอะไร หมิวที่ยืนอยู่ด้วยกันก็ชิงพูดขัดขึ้นมาซะก่อน


               “แหมเจ๊คิตตี้ อย่ามาทำเป็นพูดดีเลยค่ะ ที่เจ๊พูดแบบนี้ก็เพราะอยากให้ตะวันแบ่งมาให้สักคนใช่มั้ยล่ะ หนูรู้ทันเจ๊หรอก”


               “ต๊าย! ยัยนี่อยู่นานแล้วชักรู้มาก! เดี๋ยวแม่ไล่ออกซะเลยดีมั้ยยะ!” พอได้ยินแบบนี้หมิวก็รีบยกสองมือขึ้นมาประกบกันไว้ที่เหนือศีรษะทันที


“เจ๊คิตตี้คนสวย หนูผิดไปแล้วยกโทษให้หนูด้วยนะค้า” หมิวทำตาปริบๆ แต่ความจริงก็ไม่ได้สำนึกอะไรหรอก เพราะพี่กิตติก็ไม่ได้โกรธจริงจังอยู่แล้ว


               “ย่ะ! ถ้ามีอีกแม่จะสั่งให้ตบปากตามอายุเลยคอยดู!” พี่กิตติจิกตามองแรงใส่หมิว จากนั้นก็หันมาทำตาเป็นประกายอยากรู้อยากเห็นมาทางผม


               “นี่น้องตาหวาน สรุปหนุ่มหล่อเมื่อกี้นี้ใครหรอ เป็นแค่กิ๊กหรือว่าเป็นชู้”


               “โธ่...ไม่ใช่ทั้งคู่นั่นแหละครับ คนที่มาส่งผมเป็นเพื่อนชื่อว่าพฤกษ์ ซึ่งพฤกษ์เนี่ยก็เป็นน้องชายของคุณภูผา แล้วผมก็ไม่เคยคิดจะนอกใจคุณภูผาด้วยครับ” พอผมพูดแบบนี้พี่กิตติก็ร้องอ๋อแล้วพยักหน้าเข้าใจ แต่แล้วเพียงเสี้ยววินาทีก็มองมาที่ผมใหม่เพราะเหมือนจะสะกิดใจอะไรสักอย่าง


               “เดี๋ยวนะน้องตาหวาน ที่พูดมาเมื่อกี้เจ๊รู้สึกข้องใจอะไรนี้สนึง”


               “เรื่องอะไรหรอครับ หรือพี่กิตติไม่เชื่อว่าพฤกษ์เป็นน้องของคุณภูผา?”


               “โอ้โนๆๆ เจ๊ไม่ได้โฟกัสตรงจุดนั้น แต่เจ๊โฟกัสที่น้องตาหวานบอกว่าไม่เคยคิดจะนอกใจคุณภูผาต่างหาก บอกเจ๊มาเดี๋ยวนี้เลยนะว่ามันอะไรยังไง” ตอนนี้ผมได้แต่เบิกตากว้างด้วยความตกใจ เพราะดันเผลอหลุดปากพูดเรื่องที่คบกับคุณภูผาออกไปซะแล้ว


               “เอ่อ...คือ...เรื่องนั้น...” ผมคิดอะไรไม่ออกแถมยังไปไม่เป็นอีกต่างหาก พี่กิตติที่เห็นอย่างนั้นเลยแสยะยิ้มออกกว้าง จากนั้นก็ก้าวเท้าเข้ามาจนประชิดตัวผม


               “เจ๊ว่าท่าทางเราจะได้คุยกันยาวเลยล่ะน้องตาหวาน...ยัยหมิว หล่อนไปบอกใครก็ได้ให้ดูแลร้านแทนเจ๊ที เพราะวันนี้เจ๊จะเผือกยาวไปจนกว่าจะนิพพานเลยจ้า!”


               “กรี๊ด! รับแซ่บค่ะเจ๊! แต่เจ๊รอหนูก่อนนะเดี๋ยวหนูจะรีบมาเผือกด้วย!” หมิวพูดจบก็รีบวิ่งไปหาคนดูแลร้านตามคำสั่ง จากนั้นเพียงไม่กี่นาทีก็รีบกลับมาสมทบกับผมที่ถูกพี่กิตติลากขึ้นมาบนห้องที่อยู่ชั้นสอง พร้อมจัดเตรียมที่ทางและเสบียงอย่างเสร็จสรรพ       
     

และแล้วในที่สุดวันนี้ผมก็ไม่ได้ทำงาน เพราะต้องเล่าเรื่องระหว่างตัวเองกับคุณภูผา (แต่ก็มีข้ามบ้างโดยเฉพาะเรื่องคืนนั้น) ให้พี่กิตติและหมิวฟัง ซึ่งการที่ผมไม่ได้ปิดบังเพราะทั้งสองเป็นคนสนิทที่ผมไว้ใจได้ ผมเชื่อว่าทั้งคู่จะไม่เอาเรื่องนี้ไปพูดให้ผมและคุณภูผาเสียหาย ที่มาซักไซ้ก็เพราะอยากรู้และอยากแสดงความยินดีกับผมนั่นเอง


               พอได้เวลาเลิกงานผมก็กลับบ้านตามปกติ โดยหลังจากลงรถแท็กซี่ที่มาจอดหน้าบ้านผมก็เอาแต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เพราะขำกับข้อความที่พี่กิตติและหมิวส่งมาแซวในไลน์กลุ่มที่พึ่งตั้ง


ผมมัวแต่สนใจตรงนั้นเลยไม่ทันได้มองว่ามีคนกำลังดักรออยู่ ซึ่งเขาคนนั้นก็ค่อยๆ ย่างสามขุมเข้ามาทางข้างหลังช้าๆ ก่อนที่เขาจะรีบรวบตัวและเอามืออุดปากผมเอาไว้ เพื่อกันไม่ให้ผมหนีและส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือ!


2BC


สวัสดีค่า หัวใจชิงรักตอนที่ 12 ก็จบลงไปแล้วน้า  :katai2-1: ตอนนี้แอบเอาชื่อตอนและรูปที่โพสต์ลงเพจมาหลอกนิดนึง กะให้ลุ้นเรื่องพฤกษ์ที่แอบรักตะวัน แต่ก็ปรากฏว่า.......จบตอนมันมีพีคกว่านั้นจ้า  o22
ตอนหน้ามาลุ้นกันนะคะว่าคนที่แอบซุ่มจับตัวตะวันนั้นเป็นใคร (ถ้าเป็นภูผานี่มีฮา 555555  :laugh:) ซึ่ง...ตอนหน้าก็จะเป็นตอนจบของเรื่องแล้ว (แบ่งลงเป็นทีละครึ่งเหมือนเดิม และจะมีบทส่งท้ายอีก 1 ตอน) แอบใจหายนิดนึงเนอะ แต่ก็คิดในแง่ดีว่าจะได้อ่านเรื่องใหม่แล้ว ส่วนจะเป็นเรื่องของใครและแนวไหนก็ต้องมาลุ้นกันนะคะ  :m13:
ก่อนลากันในค่ำคืนนี้ที่ขาดไม่ได้คือเค้าต้องขอขอบคุณทุกคนมากๆเลยนะคะที่เข้ามาอ่าน คอมเมนท์ และสั่งจองนิยายเข้ามา ทุกคนน่ารักมากๆ รักทุกคนเลยน้า แล้วเจอกันตอนหน้าค่ะบ๊ายบาย  :bye2:
(28 ส.ค. 60)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-09-2017 19:19:05 โดย *|=สามีแจจุง=|* »

ออฟไลน์ Y-Darkness

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0

ออฟไลน์ uyong

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-1
โดนน้องๆจัดการแน่ๆภูผา มาเอาแม่บ้านที่รักของพวกเค้ามากินเนี้ย :pig4: :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Micky_MN

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 198
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-3
 :o8: สวีทหวานมากๆ

ออฟไลน์ Y-Darkness

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0

ออฟไลน์ Micky_MN

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 198
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-3
ใคร!!!!!!บังอาจจับตัวตะวัน พี่ภูช่วยตะวันด้วย

ออฟไลน์ Sameejaejung

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +457/-17
Part 13# Tawan ความจริงที่ไม่มีวันได้รู้

             
“อื้อ!!!” ผมร้องประท้วงในลำคอด้วยความตกใจ พร้อมกับออกแรงดิ้นไปมาอย่างสุดชีวิต เพราะไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะมีใครมาแอบซุ่มอยู่แล้วจับตัวผมเอาไว้ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเขาจะแค่ทำร้ายหรือจะฆ่าผมให้ตายกันแน่

             
ตอนนี้ผมกลัวมาก ร่างกายของผมสั่นและน้ำตาไหลพรากอย่างห้ามไม่อยู่ เพราะผมคิดว่าวันนี้อาจเป็นวันสุดท้ายที่ผมจะมีชีวิตอยู่ก็ได้


แต่ถึงจะคิดอย่างนั้น...


ผู้ชายที่ล็อกตัวและปิดปากผมเอาไว้ กลับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ผมจำได้ขึ้นใจอย่างไม่มีวันลืม แม้ว่าผมจะไม่ได้เห็นหน้าและได้ยินเสียงเขามาเป็นเดือนแล้วก็ตาม

               
“แกหยุดดิ้นสักทีได้มั้ย ฉันไม่ได้จะมาทำร้ายแกสักหน่อยไอ้ลูกบ้า” เท่านั้นแหละร่างกายของผมก็ถึงกับชะงักไปทันที เขาที่เห็นอย่างนั้นเลยปล่อยแขนและมือออกจากตัวผม


“คุณพ่อ!” ผมพูดอย่างดีใจแล้วรีบหันหลังกลับไปสวมกอดท่านเอาไว้ ผมน้ำตาไหลพรากด้วยความคิดถึงสุดหัวใจ จนลืมสังเกตสีหน้าของท่านว่าเป็นแบบไหน รวมทั้งสรรพนามที่ใช้เรียกแทนตัวเองกับผมก็เปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน

               
“คุณพ่อมาที่นี่ได้ยังไง แล้วก่อนหน้านี้ไปอยู่ไหนมา คุณพ่อรู้มั้ยว่าผมคิดถึงแล้วก็เป็นห่วง...”

               
“โอ๊ย! พอๆๆ แกไม่ต้องถามเซ้าซี้แล้วก็สาธยายความรู้สึกหรอกฉันไม่อยากฟัง” คุณพ่อพูดขัดขึ้นก่อนที่ผมจะพูดจบประโยค จากนั้นก็ดันตัวผมออกไปโดยที่มีท่าทีรำคาญ

               
ผมคิดว่าคุณพ่ออาจจะเหนื่อยเลยไม่อยากให้ผมซักถามแล้วก็เซ้าซี้ล่ะมั้ง แต่ถึงจะคิดอย่างนั้นท่านกลับพูดขึ้นมาว่า...

               
“ที่ฉันมาวันนี้คือฉันจะมาขอเงินจากแก พรุ่งนี้เจ้าหนี้จะมาเอาแล้ว ถ้าฉันยังไม่มีให้พวกมันได้ฆ่าฉันตายแน่ๆ” สิ่งที่ได้ยินทำเอาผมรู้สึกช็อกจนร่างกายแข็งทื่อ ที่คุณพ่อมาหาผมไม่ใช่ว่าคิดถึงแต่เป็นเพราะต้องการเงินอย่างนั้นเองหรอเนี่ย

               
รู้สึกจุกจนพูดอะไรแทบไม่ออกเลย...

               
“ตอนนี้แกมีเงินอยู่เท่าไหร่” คุณพ่อพูดอย่างเร่งเร้า ผมจึงได้หยิบกระเป๋าตังออกมาแล้วเปิดดูเงินที่อยู่ข้างใน

               
“มีประมาณ 5 พันครับคุณพ่อ” ปกติผมไม่ได้พกเงินติดตัวมากขนาดนี้หรอก แต่ว่าผมกดมาไว้เผื่อใช้จ่ายตั้งแต่วันที่ตั้งใจจะลาออกจากบ้านแล้ว และถึงแม้ผมจะยังทำงานต่อที่นี่ แต่ผมก็ยังไม่มีเวลาเอาเงินไปฝากธนาคารเลย

               
“แล้วเงินในบัญชีล่ะ?”

               
“ไม่มีแล้วครับ ทั้งตัวผมมีแค่นี้ แต่ผมยังไม่จำเป็นต้องใช้อะไร เพราะงั้นคุณพ่อเอาไปทั้งหมดเลยก็ได้ครับ” ผมหยิบเงินออกจากกระเป๋าตังให้ท่านอย่างไม่คิดเสียดาย เพราะผมเป็นห่วงท่านไม่อยากให้เจ้าหนี้มาทำร้ายหรือว่าฆ่าแกง แต่ท่านก็เบ้ปากแล้วดันมือของผมที่ถือเงินอยู่ออกไปอย่างไม่เห็นค่า

               
“เงินแค่นี้มันจะไปพออะไร ที่ฉันต้องการคือ 3 หมื่นไม่ใช่ 5 พัน!”

               
“หา! เงินมากขนาดนั้นผมไม่มีหรอกครับคุณพ่อ!” ผมรู้สึกตกใจมากที่คุณพ่อมีหนี้ขนาดนี้ จริงอยู่ว่าเมื่อก่อนจะมีคนจากร้านเหล้าหรือนักพนันที่ท่านติดหนี้ไว้มาทวง แต่ยอดมันก็แค่หลักร้อยหรือพันต้นๆ ไม่เคยถึงหมื่นแบบนี้เลย

               
“ไม่รู้ล่ะ ถึงไม่มีแกก็ต้องไปหาหยิบยืมมาให้ฉัน ไม่อย่างนั้นพวกมันได้ฆ่าฉันทิ้งแน่ๆ หรือว่าแกอยากให้ฉันตาย!”

               
“ผมจะไปอยากให้คุณพ่อตายได้ยังไงกันครับ แต่คุณพ่อมาบอกกะทันหันแบบนี้ผมจะไปหาเงินทันได้ยังไง เพื่อนที่มหา’ลัยของผมก็ใช่ว่าจะมีเงินกันขนาดนั้น แถมผมยังทำแต่งานเลยแทบไม่สนิทกับใครอีกต่างหาก”

               
“ถ้าเพื่อนไม่มีงั้นแกก็ยืมเจ้านายแกสิ! เออใช่ จะว่าไปฉันก็ว่าจะถามแกตั้งแต่มาแล้ว ตอนนี้แกอยู่บ้านหลังนี้งั้นหรอ?” คุณพ่อมองไปยังบ้านที่ผมอาศัยอยู่ ซึ่งนั่นมันก็ทำให้ผมถึงกับเหงื่อตกและลำบากใจที่จะตอบคำถาม

               
“เอ่อ...คือ...ใช่ครับ ผมอาศัยอยู่ที่นี่ ผมทำงานเป็นแม่บ้านน่ะครับ” พอได้ยินแบบนี้คุณพ่อก็ตาเป็นประกายแล้วยิ้มกว้างออกมาทันที

               
“โอ้โห! บ้านหลังใหญ่แถมยังหรูขนาดนี้ แสดงว่าเจ้านายของแกก็ต้องรวยมากเลยน่ะสิ” คุณพ่อเดินเข้ามาใกล้แล้วใช้สองมือจับไหล่ของผมเอาไว้

               
“เรื่องนั้น...ผมไม่รู้หรอกครับคุณพ่อ” ผมก้มหน้าหลบตา ซึ่งนั่นมันก็ทำให้ท่านรู้สึกโมโหจนบีบไหล่ของผมแน่น

               
“แกจะไม่รู้ได้ยังไง! อย่ามาโกหกฉันนะ! หรือแกเห็นว่าฉันมีเขางอกออกมาที่หัว!”

               
“ไม่ใช่อย่างนั้นนะครับคุณพ่อ คือผมพึ่งทำงานที่นี่ได้แค่เดือนกว่าๆ แล้วผมก็ไม่กล้าออกปากขอยืมเงินเจ้านายมาให้คุณพ่อด้วยครับ”


ผมจะกล้าบากหน้าไปขอยืมเงินคุณภูผาได้ยังไง คุณภูผาคงคิดว่าผมตั้งใจปอกลอกแน่ๆ เพราะเราสองคนพึ่งคบกันได้แค่ 2 วันเท่านั้นเอง


แต่ถึงจะไม่ได้คบกัน ในฐานะลูกจ้างผมก็ไม่กล้าไปขอยืมเงินคุณภูผาอยู่ดี เพราะผมกินฟรีอยู่ฟรีโดยที่รับเงินเดือนเต็มๆ มันก็มากเกินพอแล้ว


“แกไม่กล้าพูดเรื่องขอยืมเงินงั้นหรอ?” คุณพ่อทวนคำพูดของผม น้ำเสียงของท่านดูปกติ ส่วนสีหน้าก็ไม่ได้มีท่าทีโมโหผม เลยคิดว่าท่านน่าจะเข้าใจความลำบากใจของผม

               
“ครับ เพราะงั้นคุณพ่อช่วยไปเจรจากับเจ้าหนี้ได้มั้ย บอกว่าขอผลัดไปก่อนแล้วสิ้นเดือนจะจ่ายคืนให้นะครับ ซึ่งมันอาจจะไม่ทั้งหมด แต่ผมสัญญาว่าจะเอาให้คุณพ่อมากที่สุดเลยครับ” ผมพยายามต่อรอง แน่นอนว่าผมตั้งใจจะทำตามที่พูดไม่ได้โกหกอยู่แล้ว ซึ่งผมก็คิดว่าคุณพ่อคงจะเข้าใจและเห็นด้วย แต่ว่ามันก็ไม่ได้เป็นอย่างที่ผมคิดเลย

               
“แกจะบ้ารึไง! จะโลกสวยไปถึงไหนหา! เจ้าหนี้มันคงจะฟังที่ฉันพล่ามหรอก! แค่รู้ว่าฉันไม่มีเงินมันก็คงเอาลูกตะกั่วยัดปากฉันแล้ว!”

               
“ถะ...ถ้างั้นเดี๋ยวผมจะเป็นคนไปคุยให้เองก็ได้ ผมจะให้บัตรประชาชนหรือเอกสารทุกอย่างเพื่อยืนยันว่าผมจะใช้หนี้ให้จริงๆ”

               
“โว้ยยยยยยยยย! นี่แกไม่ได้เข้าใจอะไรเลยใช่มั้ย! พวกมันไม่ได้ต้องการอะไรนอกจากเงิน 3 หมื่นเข้าใจมั้ยไอ้ลูกโง่!”

               
“โธ่ คุณพ่อครับ...” ผมพูดอย่างสิ้นหวัง ตอนนี้คุณพ่อกับผมความคิดไม่ตรงกันจนพูดจากันไม่รู้เรื่องแล้ว ผมไม่รู้จริงๆ ว่าปัญหาหนี้สินก้อนนี้มันจะจบลงยังไง

               
ซึ่งขณะที่ผมกำลังกลุ้มใจจนสมองแทบจะระเบิดนั่นเอง...

               
“ตะวันนั่นใคร แล้วเอะอะโวยวายอะไรกันจนเสียงดังเข้าไปในบ้าน” คุณภูผาที่กำลังเดินออกมาจากบ้านพูดขึ้น จากนั้นก็ดึงตัวผมไปอยู่ข้างๆ แล้วจ้องไปที่คุณพ่อตาขวาง

               
“คุณเป็นใคร มาทำอะไรที่หน้าบ้านผม แล้วมายุ่งกับแฟนผมทำไม” ไม่พูดเปล่าคุณภูผายังใช้มือโอบที่ไหล่ของผมเอาไว้เพื่อปกป้องและแสดงความเป็นเจ้าของ คุณพ่อที่เห็นอย่างนั้นจากที่หน้าบึ้งอยู่ก็ยิ้มที่มุมปากออกมาทันที

               
“หืม...แฟน?”

               
“ใช่ คุณมีปัญหารึไง”

               
“แน่นอนมันก็ต้องมีอยู่แล้ว ฉันไม่คิดจะยกลูกชายให้แกฟรีๆ หรอกนะ” เท่านั้นแหละผมก็ถึงกับเหวอจนไปไม่เป็น ทำได้แค่เบิกตากว้างและอ้าปากค้างเท่านั้นเอง

               
“ตะวันนั่นพ่อของนายหรอ” คุณภูผาหันหน้ามาถาม ผมที่พอจะตั้งสติได้แล้วจึงพยักหน้าลงเพื่อยืนยัน

               
“ครับ” ผมไม่ได้ลงรายละเอียดว่าท่านเป็นพ่อเลี้ยง เพราะผมรักและเคารพท่านราวกับว่าเป็นพ่อแท้ๆ แล้วผมก็กลัวว่าถ้าบอกเรื่องนี้ไปคุณภูผาอาจจะเล่นงานคุณพ่อเอา เพราะยังไงซะท่านก็ไม่ได้มีสายเลือดเดียวกันกับผม

               
“แล้วคุณมาที่นี่มีธุระอะไร”

               
“ฉันจะมาขอเงินตะวัน แต่ในเมื่อมันไม่มีแกก็เอามาให้ฉันแทนแล้วกันถือซะว่าเป็นค่าตัว ฉันเรียกไม่เยอะหรอกแค่แสนเดียวพอ”

               
“คุณพ่อ!” ตอนนี้ผมทั้งโมโหและรู้สึกอับอายมากจนแทบแทรกแผ่นดินหนี ผมไม่คิดเลยจริงๆ ว่าคุณพ่อจะกล้าพูดแบบนั้นกับคุณภูผา แถมยังเรียกเงินมากกว่าเดิมโดยอ้างว่าเป็นค่าตัวของผมอีกต่างหาก


เงิน 1 แสนบาทบางคนอาจจะคิดว่าน้อย แต่สำหรับผมแล้วมันมีค่ามาก เพราะผมสามารถอยู่ได้ทั้งปี หรือถ้าเอาไปจ่ายค่าเทอมก็ได้ตั้งหลายเทอม แล้วผมก็ไม่คิดว่าคุณภูผาจำเป็นต้องมาเสียเงินกับเรื่องแบบนี้ด้วย

               
“คุณภูผาอย่าไปใส่ใจที่คุณพ่อพูดเลยนะครับ ท่านคงจะเมาเลยล้อเล่นไปอย่างนั้นเอง เพราะงั้นผมว่าตอนนี้คุณภูผาเข้าบ้านไปก่อนเถอะนะครับ ผมขอคุยอะไรกับคุณพ่อให้รู้เรื่องแล้วจะตามเข้าไป” ผมพยายามหว่านล้อมและดันคุณภูผาให้เข้าไปในบ้าน แต่คุณภูผาก็ไม่ขยับแถมยังจ้องไปที่หน้าของคุณพ่ออย่างไม่วางตา ซึ่งคุณพ่อก็เช่นกัน

               
จนกระทั่งผ่านไปสักพักคุณภูผาก็พูดขึ้นเพื่อทำลายความเงียบ

               
“คุณรออยู่ตรงนี้ก่อนแล้วกันเดี๋ยวผมมา” คุณภูผาพูดกับคุณพ่อ จากนั้นก็หมุนตัวเดินกลับเข้าไปในบ้านโดยไม่ได้พูดอะไรกับผมเลย

ตอนนี้ผมรู้สึกงงและสับสนมาก ผมอยากถามคุณภูผาว่าจะไปไหน ไปทำอะไร แต่ผมก็ไม่อยากทิ้งคุณพ่อเอาไว้คนเดียวเลยตัดสินใจยืนอยู่กับท่านตรงนี้

               
ทุกวินาทีที่กำลังดำเนินไปมันช่างแสนยาวนานสำหรับผม ในสมองของผมได้จำลองเหตุการณ์ขึ้นมามากมาย โดยทั้งหมดเป็นเรื่องเลวร้ายต่างกันก็ที่มากน้อยเท่านั้น ซึ่งนั่นมันก็ทำให้ผมวิตกกังวลเพราะเป็นห่วงคุณพ่อ ผมจึงตั้งใจว่าจะพยายามเกลี้ยกล่อมให้ท่านกลับไป แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไรคุณภูผาก็เดินออกมาจากบ้านซะแล้ว

               
“คุณภูผาอย่าทำอะไรคุณพ่อเลยนะครับ คือท่าน...” ผมตั้งใจจะพูดแก้ตัวให้คุณพ่อ แต่คุณภูผาก็วางมือลงที่ศีรษะของผมแล้วลูบเบาๆ อย่างอ่อนโยน

               
“วางใจเถอะ ฉันไม่ได้คิดจะทำอะไรพ่อของนายหรอก ฉันแค่จะพูดอะไรด้วยนิดหน่อยเท่านั้นแหละ” คุณภูผายิ้มอย่างอ่อนโยน พอได้ยินแบบนี้ผมจึงรู้สึกโล่งใจราวกับได้ยกภูเขาอันหนักอึ้งออกไปจากอก เพราะงั้นผมจึงหลีกทางให้คุณภูผาสามารถคุยกับคุณพ่อได้อย่างสะดวก

               
“แกมีอะไรจะพูดกับฉัน”

               
“เรื่องค่าตัวของตะวัน ผมว่าคุณเรียกน้อยไปหน่อยนะ”

               
“หา?” คุณพ่อทำหน้างง อย่างว่าแต่ท่านเลยเพราะตอนนี้ผมก็งงไปด้วยเหมือนกัน

               
“สำหรับผมตะวันมีค่ามากกว่านั้น ไม่ว่าเงินเท่าไหร่ก็ไม่สามารถประเมินค่าได้ แต่ไหนๆ คุณก็เรียกเงินมาแล้ว เพราะงั้นผมก็จะให้ตามคำขอ แต่อย่ามองว่ามันเป็นค่าตัว ให้เรียกว่าค่าสินสอดจะดีกว่า” คุณภูผาพูดจบก็หยิบเช็คออกมาจากกระเป๋าเสื้อแล้วยื่นส่งให้คุณพ่อ ซึ่งนั่นมันก็ทำให้ผมถึงกับเหวอเพราะไม่คิดว่าคุณภูผาจะให้เงินคุณพ่อจริงๆ แต่นั่นมันก็ไม่ได้ทำให้ผมเหวอมากกว่าสิ่งที่คุณพ่อพูดออกมา

               
“เฮ้ย!!! เงินหนึ่งล้าน!!!”

               
“ว่าไงนะครับคุณพ่อ!” ตอนนี้ผมกับคุณพ่อเบิกตากว้างด้วยความตกใจเหมือนกัน แต่จะต่างกันตรงที่หลังจากนั้นพ่อของผมก็น้ำตาคลอพลางโห่ร้องแล้วหัวเราะลั่น ส่วนผมเมื่อตั้งสติได้ก็หันไปหาคุณภูผา จากนั้นก็เอ่ยถามออกมาด้วยความไม่เข้าใจ

               
“ทำไม...เงินมากมายขนาดนั้น...” บอกตามตรงเลยว่าตอนนี้ผมอึ้งจนสมองแทบไม่ทำงาน ผมไม่สามารถเรียบเรียงคำพูดและคำถามที่อยู่ในหัวเป็นล้านออกมาได้ แต่ถึงอย่างนั้นคุณภูผาก็ดูเหมือนว่าจะเข้าใจความรู้สึกของผม

               
“ฉันบอกแล้วไงว่าสำหรับนายเงินเท่าไหร่ก็ไม่สามารถประเมินค่าได้ เพราะงั้นเงิน 1 ล้านมันยังถูกเกินไปเลยด้วยซ้ำ”

               
“แต่คุณภูผาครับ ผมไม่ได้มีค่ามากมายขนาดนั้น ผมมันก็แค่...”

               
“ชู่วววว เงียบเถอะ ฉันตัดสินใจให้เงินพ่อนายไปแล้ว ฉันรู้ว่านายไม่พอใจเพราะงั้นฉันเลยบอกไงว่าให้ถือเป็นค่าสินสอด”

               
“คุณภูผา...” ตอนนี้ผมพูดอะไรไม่ออกจริงๆ เพราะผมทั้งจุกแต่ก็รู้สึกซึ้งในเวลาเดียวกัน คุณภูผาเลยยิ้มให้แล้วลูบที่ศีรษะของผม 2 – 3 ครั้ง จากนั้นก็เบี่ยงตัวเดินตรงไปหาคุณพ่อของผมที่ยังคงโห่ร้องด้วยความดีใจอยู่เลย


“เงินนั่นถึงผมจะบอกว่าเป็นค่าสินสอดของตะวัน แต่ผมก็มีข้อแม้ไม่ได้ให้คุณฟรีๆ หรอกนะ”


“จะมีข้อแม้หรืออะไรก็รีบๆ ว่ามา หวังว่าแกคงไม่เล่นตุกติกจะเอาเงินคืนนะ ยังไงฉันก็ไม่ให้” คุณพ่อพูดอย่างหวาดระแวงแล้วรีบพับเช็คใส่ในกระเป๋าเสื้อ


“ผมไม่ได้จะเล่นตุกติกแล้วก็จะเอาเงินคืนด้วย ผมแค่อยากให้คุณรับปากว่า ถ้าจะรับเงินนั่นคุณต้องออกไปจากชีวิตของตะวัน แล้วก็ห้ามกลับมายุ่งวุ่นวายหรือขอเงินอีกเด็ดขาด ถ้าคุณยังมาให้ตะวันเห็นหน้า ผมจะเรียกตำรวจลากคุณเข้าคุกแน่นอน แล้วก็อย่าคิดล่ะว่าผมจะใจอ่อน เพราะผมไม่ได้เป็นคนใจดีเหมือนกับตะวัน” สิ่งที่คุณภูผาพูดทำเอาผมถึงกับช็อก แต่ที่ช็อกยิ่งกว่าก็คือคำตอบจากคุณพ่อที่พูดออกมาอย่างไม่มีลังเลเลยแม้แต่น้อย

 
“ได้ ฉันรับปากว่าจะไม่มาเจอหน้ามันอีก แค่นี้ใช่มั้ยที่แกจะขอ”


“ใช่ ผมไม่มีอะไรจะพูดแล้ว เพราะงั้นคุณก็กลับไปซะ แล้วอย่าลืมล่ะว่าห้ามกลับมาให้ตะวันเห็นหน้าอีกเด็ดขาด” คุณภูผาพูดจบก็หันกลับมาแล้วจะจูงมือผมเข้าไปในบ้าน แต่ว่าผมก็ขืนตัวไม่ไปไหน แล้วเรียกคุณพ่อที่กำลังเดินจากไปเอาไว้ซะก่อน


“เดี๋ยวครับคุณพ่อ!”


“มีอะไร” คุณพ่อหยุดชะงักแล้วหันกลับมามองผมด้วยความรำคาญ สายตานั้นมันทำให้ผมรู้สึกกลัวจนแทบไม่กล้าถามในสิ่งที่คิด แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังอยากรู้คำตอบอยู่ดีจนกลั้นใจถามออกไป


“คุณพ่อเคยรักผมบ้างมั้ยครับ เคยเห็นผมเป็นลูกจริงๆ บ้างรึเปล่า” ส่วนผมนั้นแน่นอนว่าผมรักคุณพ่อมาก แล้วก็คิดเสมอว่าท่านคือคุณพ่อแท้ๆ แม้ว่าจะไม่ได้มีสายเลือดเดียวกัน แต่ถึงอย่างนั้นท่านกลับตอบผมมาว่า...


“หึ! ถามอะไรโง่ๆ ถ้าฉันรักแกฉันจะทำแบบนี้กับแกมั้ยล่ะ แกมันก็แค่ตัวหาเงินให้ฉันใช้เท่านั้นแหละ”


สิ่งที่ได้ยินมันทำให้ผมรู้สึกจุกที่อกราวกับมีอะไรบีบรัดอย่างรุนแรง แถมมันยังเจ็บจนแทบหายใจไม่ออกอีกต่างหาก จนความเจ็บนั้นมันได้กลายเป็นน้ำตาที่ไหลทะลักลงมาอย่างไม่ขาดสาย แต่ถึงอย่างนั้นคุณพ่อก็ไม่สนใจ เพียงแค่ปรายตามามองเท่านั้นแล้วก็เดินจากไปทันที


“ฮึ่ก...ฮือออออออออ” ผมปล่อยโฮออกมาอย่างสุดกลั้น คุณภูผาที่เห็นอย่างนั้นเลยตรงเข้ามากอดปลอบผมเอาไว้


ผมคิดไม่ออกจริงๆ ว่าถ้าตอนนี้ไม่มีคุณภูผาอยู่ข้างกายผมจะเป็นยังไง ผมจะทำใจได้มั้ยที่รู้ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา คุณพ่อเห็นผมเป็นแค่ตัวหาเงินและไม่เคยรักผมเลย...



PhuPha



   ตอนนี้ผมกำลังกอดปลอบตะวันที่ร้องไห้สะอึกสะอื้นจนตัวสั่นอย่างน่าสงสาร เมื่อรับรู้ว่าพ่อเลี้ยงที่เคารพรักราวกับพ่อแท้ๆ ไม่เคยเห็นตัวเองเป็นลูกเลยแม้แต่น้อย ผมเข้าใจความรู้สึกของตะวันดี เพราะผมก็เคยรู้สึกแบบนั้นกับพ่อและแม่ของตัวเองมาก่อนเหมือนกัน


    แต่ถึงอย่างนั้น ครั้งนี้ผมก็เข้าใจและนับถือหัวใจของพ่อตะวันด้วย...


   ย้อนกลับไปเมื่อ 2 วันก่อน ผมได้เจอกับพ่อตะวันมาก่อนแล้วที่หัวหิน ตอนนั้นผมกำลังเดินไปที่รถเพื่อจะเอาเสื้อผ้ามาเปลี่ยน แต่ก็เห็นมีคนมาด้อมๆ มองๆ อยู่ใกล้ๆ เลยเดินเข้าไปหา จึงได้รู้ว่าเขาคือพ่อของตะวัน


    ผมไม่ค่อยรู้เรื่องครอบครัวของตะวันเท่าไหร่ แต่ก็พอรู้จากพฤกษ์นิดหน่อยว่าแม่ของตะวันเสียชีวิตไปแล้ว เพราะงั้นตะวันจึงต้องอยู่กับพ่อเลี้ยง 2 คนที่ดูเหมือนว่าจะยังทำใจกับเรื่องนี้ไม่ได้ แต่ผมก็ไม่ได้รู้ละเอียดขนาดที่ว่าท่านจะกินแต่เหล้า เอาแต่เล่นพนัน และไม่ทำการทำงาน จนกระทั่งได้ฟังจากปากของท่านเอง


   ท่านเล่าด้วยความภาคภูมิใจว่าตะวันเป็นเด็กดีมาก เพราะต้องแบกรับค่าใช้จ่ายทุกอย่างแต่ก็ไม่เคยบ่นหรือตำหนิอะไรท่านเลย มิหนำซ้ำยังดูแลท่านเป็นอย่างดีอีกต่างหาก แต่ท่านก็ไม่เคยเห็นค่าหรือคิดกลับตัวกลับใจได้ จนกระทั่งวันนั้น...


   ตะวันยื่นเงินค่าเช่าห้อง 3 เดือนที่ค้างไว้ให้ท่านไปจ่าย ซึ่งท่านก็ตั้งใจจะเอาไปจ่ายจริงๆ แต่ก็ดันถูกคนในอพาร์ทเม้นท์ที่รู้จักขโมยเงินไปซะก่อน ซ้ำร้ายพอจะไปแจ้งความกลับถูกเขาคนนั้นชิงแจ้งตัดหน้า แถมตำรวจยังเชื่อเขาซะด้วยเพราะตัวท่านเองมีประวัติไม่ดี ทำให้ท่านต้องถูกจับเข้าคุกในที่สุด


   กว่าความจริงจะปรากฏเวลาก็ผ่านไปนานเกือบเดือน เพราะคนร้ายตัวจริงถูกจับกุมข้อหาชิงทรัพย์ ทำให้ตำรวจเจ้าของคดีต้องรื้อทุกอย่างแล้วสอบสวนใหม่ ซึ่งนั่นมันก็ทำให้ตำรวจคนนั้นรู้สึกผิดมาก จึงได้ไถ่โทษโดยการฝากฝังให้ท่านไปทำงานกับเพื่อนที่อยู่หัวหิน
ท่านที่ไม่กล้ากลับไปสู้หน้าตะวันอยู่แล้ว จึงตั้งใจจะทำงานจนมั่นคงและเก็บเงินสักก้อนก่อนจะไปรับตะวันมาอยู่ด้วยกัน แต่ท่านก็เจอตะวันกับผมเดินเล่นด้วยกันที่หัวหินเข้าซะก่อน


   ท่านบอกว่าเจอพวกเราสองคนที่เวเนซีย เพราะท่านทำงานเป็นผู้ช่วยในร้านค้าของที่นั่น จากนั้นจึงได้คอยแอบมองเพราะคิดถึงและเป็นห่วงตะวัน ก่อนที่จะถึงขั้นสะกดรอยตามมาถึงบ้านพักต่างอากาศริมทะเล


   แต่ด้วยความที่ไม่กล้าเข้ามาทักและไม่อยากรบกวนตอนมืดค่ำ ท่านจึงได้ตัดใจแล้วกลับมาใหม่ในวันรุ่งขึ้น ซึ่งก็ทำให้ผมได้พบและเข้ามาพูดคุยกับท่านในตอนนี้นั่นเอง


   ผมแนะนำตัวอย่างไม่คิดจะปิดบังว่าเป็นคนรักของตะวัน แต่ท่านก็ดูไม่ได้ตกใจคงเพราะน่าจะรู้ตั้งแต่ตอนที่แอบตามดูแล้ว ท่านบอกว่าไม่มีปัญหาหรือคัดค้านอะไรทั้งนั้น เพียงแค่ตะวันมีความสุขท่านก็พึงพอใจและมีความสุขด้วย


   “ความจริงผมตั้งใจว่าจะมารับตะวันไปอยู่ด้วยกัน แต่ก็คงไม่ต้องเพราะตะวันมีคุณอยู่ข้างๆ อยู่แล้ว คุณสัญญากับผมได้มั้ยว่าจะรักและดูแลตะวันอย่างดี จะไม่มีวันทำให้ตะวันเสียใจเด็ดขาด” พ่อของตะวันมองเข้ามาที่ดวงตาของผม ซึ่งผมก็ตอบกลับไปอย่างมั่นคงและหนักแน่นโดยไม่ต้องเสียเวลาคิดเลยแม้แต่น้อย


“ครับ ผมสัญญา”


“ขอบใจมาก แต่ถึงคุณไม่สัญญาผมก็เชื่อว่าคุณต้องดูแลตะวันได้ดีแน่นอน รอยยิ้มของตะวันที่เห็นเมื่อวานมันสดใสและออกมาจากใจจริงๆ ซึ่งตั้งแต่แม่ของเขาตายผมก็แทบไม่เคยเห็นมันอีกเลย...” พูดถึงตรงนี้สีหน้าของท่านก็ดูเศร้าหมองลงอย่างเห็นได้ชัด ก่อนที่ท่านจะพูดขึ้นอีกว่า...


“ที่ผ่านมาผมแย่มากที่ทำตัวเป็นภาระตะวัน เอาแต่เข้าบ่อนไม่ก็กินเหล้าหัวราน้ำ แต่ถึงอย่างนั้นตะวันก็ยังดูแลผมเป็นอย่างดี ถ้าเป็นคนอื่นคงหนีไปไม่สนใจแล้วเพราะยังไงผมก็ไม่ใช่พ่อแท้ๆ ตะวันเป็นเด็กดีมากจริงๆ มากซะจนผมละอายใจไม่กล้าที่จะไปสู้หน้าเลย”


“คุณพูดเหมือนว่าจะไม่ไปเจอตะวัน?”


“ใช่ ผมตัดสินใจแล้ว ถ้าตะวันเห็นผมแล้วรู้ว่าผมตั้งใจจะลงหลักปักฐานที่นี่ บางทีตะวันอาจจะตัดสินใจทิ้งคุณแล้วมาอยู่ดูแลผมก็ได้ คุณก็รู้ว่าตะวันเป็นคนที่เลือกความสุขของตัวเองเอาไว้ลำดับสุดท้าย เพราะงั้นผมถึงเลือกตัดใจไม่ไปเจอตะวันจะดีกว่า”


“คุณ...คิดดีแล้วหรอครับ?” ผมรู้สึกทึ่งในความคิดนั้นเพราะมันสุดโต่งเกินไป ไม่ต้องบอกเลยว่ามันยากแค่ไหนที่จะตัดใจได้ถึงขนาดนี้ ทั้งที่มันก็มีตั้งหลายวิธีที่จะทำให้ทุกฝ่ายมีความสุข


“ผมคิดดีแล้ว ถึงคุณจะโน้มน้าวยังไงผมก็ไม่เปลี่ยนใจหรอก แถมผมยังมีเรื่องที่จะขอร้องให้คุณช่วยด้วย”


“เรื่องอะไรครับ”


“ช่วยเล่นละครตบตาตะวันที ผมอยากให้ตะวันเกลียด หรือไม่ก็ผิดหวังจนไม่คิดถึงและตามหาผมอีก ผมอยากให้ตะวันมีความสุขกับปัจจุบันและอนาคตที่มีคุณ คุณพอจะช่วยผมได้มั้ย”


เรื่องที่ถูกขอให้ช่วยมันทำให้ผมตัดสินใจลำบากมากจริงๆ เพราะผมไม่อยากให้ตะวันกับพ่อต้องจากกันทั้งที่ยังรักและห่วงใยกัน ที่สำคัญผมไม่อยากเห็นตะวันต้องเจ็บปวดจนต้องเสียน้ำตา แต่ผมก็เดาว่าถึงผมจะไม่ช่วยท่านก็คงมีวิธีจัดการด้วยตัวเอง และตะวันก็คงจะต้องร้องไห้ด้วยความเสียใจคนเดียวแน่นอน


เพราะงั้น...


“ได้ครับ ผมจะช่วยคุณเล่นละคร แต่ว่าผมมีข้อแม้นิดหน่อยนะครับ” แล้วผมก็กระซิบบอกข้อแม้ที่ว่า ซึ่งท่านก็ดูตกใจเล็กน้อย แต่ก็ยอมรับปากทำตามที่ผมร้องขอ ก่อนที่ท่านคุยนัดแนะเรื่องแผนการ พร้อมวันเวลาที่จะเล่นละครตบตาตะวัน


แล้วหลังจากนั้น เหตุการณ์ก็เกิดขึ้นและดำเนินมาจนถึงตอนนี้...


“ไหนๆ คุณก็เรียกเงินมาแล้ว เพราะงั้นผมก็จะให้ตามคำขอ แต่อย่ามองว่ามันเป็นค่าตัว ให้เรียกว่าค่าสินสอดจะดีกว่า” พูดจบผมก็หยิบเช็คออกมาจากกระเป๋าเสื้อแล้วยื่นส่งให้พ่อตะวัน ซึ่งนั่นมันก็ทำให้ท่านถึงกับงงเล็กน้อย เพราะนี่มันไม่ได้อยู่ในแผนการที่ท่านเตี๊ยมเอาไว้กับผม


ความจริงผมต้องทำทีว่าจะโทรเรียกตำรวจ ท่านที่กลัวเลยรีบหนีไปแต่ก็จะชี้หน้าด่าตะวันทิ้งท้าย พร้อมกับลั่นว่าจะตัดพ่อตัดลูกแล้วไม่ให้ตะวันมาเจอหน้าอีก ดังนั้นเมื่อได้เช็คจากผมท่านเลยมีสีหน้างุนงง ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นตกใจเมื่อเห็นจำนวนเงินที่เขียนเอาไว้ในนั้น


   “เฮ้ย!!! เงินหนึ่งล้าน!!!”


   “ว่าไงนะครับคุณพ่อ!” ไม่ใช่แค่ท่านแต่ตะวันก็ตกใจเช่นเดียวกัน ผมเลยแอบยิ้มและพยักหน้าให้ท่านรับเช็คจำนวนนั้นไป ก่อนที่ตะวันจะหันมาหาผมด้วยสีหน้าไม่เข้าใจเลยสักนิด


   “ทำไม...เงินมากมายขนาดนั้น...”


   “ฉันบอกแล้วไงว่าสำหรับนายเงินเท่าไหร่ก็ไม่สามารถประเมินค่าได้ เพราะงั้นเงิน 1 ล้านมันยังถูกเกินไปเลยด้วยซ้ำ” แน่นอนว่าผมคิดอย่างนั้นจริงๆ ตะวันเป็นสิ่งที่มีค่าในชีวิตของผมที่ไม่สามารถประเมินค่าได้ ต่อให้เอาอะไรมาแลกผมก็ไม่ยอม


   “แต่คุณภูผาครับ ผมไม่ได้มีค่ามากมายขนาดนั้น ผมมันก็แค่...”


   “ชู่วววว เงียบเถอะ ฉันตัดสินใจให้เงินพ่อนายไปแล้ว ฉันรู้ว่านายไม่พอใจเพราะงั้นฉันเลยบอกไงว่าให้ถือเป็นค่าสินสอด” ประโยคนี้ผมตั้งใจพูดกับพ่อของตะวันด้วย เพราะผมรู้ว่าถ้าให้เฉยๆ ท่านคงไม่รับอย่างแน่นอน


   “คุณภูผา...” ตะวันพูดอะไรไม่ออก ผมจึงยิ้มให้แล้วลูบที่ศีรษะเล็กๆ 2 – 3 ครั้ง จากนั้นก็เบี่ยงตัวเดินตรงไปหาพ่อของตะวัน ที่กำลังแสดงละครทำเป็นโห่ร้องด้วยความดีใจที่ได้เงินก้อนใหญ่ ก่อนที่เหตุการณ์จะดำเนินต่อไปจนกระทั่งท่านรับปากว่าจะไม่มาเจอหน้าตะวันอีกเป็นครั้งที่สอง


ซึ่งก่อนที่ท่านจะไป...


“เดี๋ยวครับคุณพ่อ!” ตะวันก็เรียกท่านเอาไว้ ท่านจึงหยุดชะงักแล้วหันกลับมามองด้วยความรำคาญ


“มีอะไร”


“คุณพ่อเคยรักผมบ้างมั้ยครับ เคยเห็นผมเป็นลูกจริงๆ บ้างรึเปล่า” ตะวันถามด้วยเสียงสั่นเครือ ผมคิดว่าบางทีตะวันอาจจะพอรู้คำตอบอยู่แล้ว แต่ที่ถามก็คงเพราะคาดหวังว่าท่านจะตอบแบบถนอมน้ำใจ ถึงแม้จะโกหกก็ไม่เป็นไรถ้ามันทำให้รู้สึกดี


แต่แน่นอน ท่านต้องเลือกพูดจาทำร้ายจิตใจจนตะวันร้องไห้ออกมาอยู่แล้ว


“หึ! ถามอะไรโง่ๆ ถ้าฉันรักแกฉันจะทำแบบนี้กับแกมั้ยล่ะ แกมันก็แค่ตัวหาเงินให้ฉันใช้เท่านั้นแหละ” พูดจบท่านก็ปรายตามองไปที่ตะวัน จากนั้นก็หมุนตัวกลับแล้วเดินจากไปอย่างไร้เยื่อใยทันที แต่ถึงอย่างนั้นถ้าสังเกตดีๆ จะพบว่า แววตาของท่านนั้นเศร้าและขมขื่นเหลือเกินที่ต้องโกหกตะวันออกไปแบบนี้


เสียดายจริงๆ ที่ตะวันมองไม่เห็น เพราะภาพทุกอย่างได้ถูกน้ำตาที่พังทลายลงมาบดบังมันเอาไว้จนพร่ามัว...


“ฮึ่ก...ฮือออออออออ” ตะวันร้องไห้ปานจะขาดใจ ทำเอาผมที่เป็นส่วนหนึ่งในแผนการนี้รู้สึกผิดเอามากๆ จึงได้ตรงเข้าไปกอดปลอบตะวันแล้วพร่ำขอโทษอยู่ในใจซ้ำไปซ้ำมา


หลังจากนี้ผมจะไม่ทำให้ตะวันเสียใจจนร้องไห้อีกเป็นอันขาด ผมจะรัก ทะนุถนอม และดูแลตะวันเป็นอย่างดี แล้วผมก็จะทำให้ตะวันมีความสุขในทุกๆ วันโดยมีผมเคียงข้างตลอดไป


ผมมั่นใจว่าจะต้องทำได้อย่างแน่นอน


ผมสัญญา...


2BC


สวัสดีค่ะทุกคน หัวใจชิงรักตอนที่ 13 ก็จบลงไปเรียบร้อยแล้วน้า  สำหรับตอนนี้ก็อย่างที่เค้าเคยบอกไปแล้วเนอะว่าจะเป็นตอนจบของเรื่องแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็อย่าพึ่งใจหายกันนะคะ เพราะยังมีบทส่งท้ายอีก 1 ตอนที่จะทำให้เรื่องราวสมบูรณ์มากขึ้น ซึ่ง...จะเป็นตอนแบบไหน จะหวานหยดย้อยหรือว่าซึ้งตราตรึงใจก็ต้องมาลุ้นกันนะคะ รอกันไม่นานค่ะพรุ่งนี้ค่ำๆเค้าจะรีบมาอัพให้เลย แล้วเจอกันนะคะ มาร่วมส่งท้ายความรักของพี่ภูและตะวันกันด้วยน้า  :m13:
(4 ก.ย. 60)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-09-2017 19:01:09 โดย *|=สามีแจจุง=|* »

ออฟไลน์ Micky_MN

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 198
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-3
ไม่ต้องมีหรอกพ่อแบบนี้ เลวๆๆๆๆ :angry2:

ออฟไลน์ Y-Darkness

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ Y-Darkness

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0

ออฟไลน์ Micky_MN

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 198
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-3
 :mew4: น้ำตาซึม ด่าคุณพ่อไปเยอะด้วย

ออฟไลน์ Sameejaejung

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +457/-17
[H.E.A.R.T.] H. Hanger หัวใจชิงรัก


บทส่งท้าย


   “คุณภูผา คุณจะรับตะวันเป็นคู่ชีวิต พร้อมสัญญาว่าจะรัก ซื่อสัตย์ และดูแลทั้งยามทุกข์หรือยามสุขตลอดไปหรือไม่” พี่กิตติที่รับหน้าที่เป็นบาทหลวงจำเป็นพูดขึ้น โดยมีกองเชียร์อีก 4 คนอย่างคุณธาร พฤกษ์ เพลิง และน้องวาอยู่ข้างๆ ซึ่งกำลังมองมาที่ผมกับคุณภูผาพลางลุ้นจนตัวเกร็ง


    วันนี้เป็นวันครบรอบ 1 เดือนที่เราคบกัน ดังนั้นคุณภูผาเลยชวนผมกับทุกคนในบ้าน รวมทั้งพี่กิตติมายังบ้านพักต่างอากาศที่หัวหิน ซึ่งมีแต่ความทรงจำดีๆ เพื่อจัดงานเลี้ยงเล็กๆ เฉลิมฉลอง โดยที่ผมไม่เคยคิดเลยว่าคุณภูผาจะทำเซอร์ไพรส์เป็นครั้งที่ 2 ด้วยการขอผมแต่งงานแบบนี้


   หลังจากที่พี่กิตติพูดจบคุณภูผาก็หันมองไปทางรั้วบ้าน ซึ่งผมไม่ได้เอะใจเลยว่ามีใครคนหนึ่งกำลังแอบมองมาและน้ำตาซึมอยู่ที่นั่น จากนั้นคุณภูผาก็หันหน้ากลับมา แล้วจ้องมองเข้ามาในดวงตาของผมอย่างหนักแน่นและมั่นคง พร้อมกับพูดขึ้นว่า...


   “ครับ ผมจะรับตะวันเป็นคู่ชีวิต พร้อมสัญญาว่าจะรัก ซื่อสัตย์ และดูแลทั้งยามทุกข์หรือยามสุขตลอดไป” คำพูดนั้นทำเอาผมซึ้งและตื้นตันจนอดที่จะน้ำตารื้นขึ้นมาไม่ได้


   “ส่วนตะวัน คุณก็จะรับคุณภูผาเป็นคู่ชีวิต พร้อมสัญญาว่าจะรัก ซื่อสัตย์ และดูแลทั้งยามทุกข์หรือยามสุขตลอดไปเช่นกันใช่รึเปล่า” คราวนี้พี่กิตติถามผม ซึ่งผมก็ตอบกลับไปอย่างไม่ลังเลเช่นกัน


   “ครับ ผมจะรับคุณภูผาเป็นคู่ชีวิต พร้อมสัญญาว่าจะรัก ซื่อสัตย์ และดูแลทั้งยามทุกข์หรือยามสุขตลอดไป”


   “เอาล่ะ เมื่อท่านทั้งสองได้สัญญาเช่นนี้ ข้าพเจ้าก็ขอให้ท่านสวมแหวนที่นิ้วนางข้างซ้ายให้กันและกัน เพื่อแสดงถึงความรักและความซื่อสัตย์แต่เพียงผู้เดียว” พอได้ยินพี่กิตติพูดแบบนี้ คุณภูผาก็หยิบกล่องกำมะหยี่สีแดงออกมาจากกระเป๋า จากนั้นก็เปิดออกแล้วหยิบแหวนทองคำขาวเรียบๆ แต่สลักชื่อของเราสองคนเอาไว้ข้างในออกมา


   คุณภูผาบรรจงจับมือผมเอาไว้อย่างแผ่วเบาแล้วค่อยๆ สวมแหวนเข้ามาช้าๆ เสร็จแล้วผมก็หยิบแหวนตามด้วยการสวมให้คุณภูผาบ้าง ก่อนที่เราทั้งคู่จะยิ้มให้กันและมองตากันด้วยความรักอย่างหวานซึ้ง


   “คราวนี้ก็ถึงคราวเสี่ยงทายหาผู้โชคดีที่จะได้มีคู่เป็นคนต่อไปแล้ว ซึ่ง.................หมดหน้าที่ของเจ๊แล้วนะฮ้า! โยนดอกไม้มาทางนี้เลยค่ะน้องตาหวาน! เจ๊อยากมีผัวกับเขาสักทีแล้วค่า!”


ตอนนี้พี่กิตติได้ทิ้งคราบบาทหลวงผู้สำรวม กลายเป็นเจ๊คิตตี้ผู้มีจริตจะก้านเกินผู้หญิงไปเรียบร้อยแล้ว ผมกับคุณภูผาที่มองตากันอย่างหวานซึ้งเลยหัวเราะออกมาอย่างขำๆ จากนั้นคุณภูผาก็เกณฑ์ทุกคนไปยืนเรียงกัน โดยที่ผมนั้นยืนหันหลัง จึงไม่รู้ว่าใครกำลังยืนอยู่ตรงจุดไหน


   “พร้อมมั้ยครับทุกคน!” ผมตะโกนถาม ชักตื่นเต้นขึ้นมานิดๆ ซะแล้วสิ


   “พร้อม!!!!!” ชายหนุ่มทั้ง 5 (ที่มีหัวใจเป็นหญิงสาวอยู่ 1) ตะโกนขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกัน ผมจึงสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วนับ 1 – 3 จากนั้นก็โยนช่อดอกไม้ที่อยู่ในมือส่งไปที่ข้างหลังทันที


   ซึ่งคนที่ได้รับนั่นก็คือ...


   “อ๊ะ! ไหงโยนมาทางฉันได้ล่ะตะวัน?” คุณธารพูดขึ้น ผมจึงหันหลังกลับไปดู จึงเห็นว่าตอนนี้คุณธารกำลังทำหน้างงๆ โดยที่มีช่อดอกไม้อยู่ในมือ


   “ว้าววววว อย่างนี้พี่ธารก็จะได้แต่งงานเป็นคนต่อไปใช่มั้ยครับเนี่ย” น้องวาพูดพร้อมกับทำตาเป็นประกายอย่างตื่นเต้น แต่คุณธารกลับทำหน้ายี้ใส่ซะงั้น


   “พูดเป็นเล่นน่ะวา คนอย่างพี่เนี่ยนะจะแต่งงาน? ฝันไปเถอะ!” ผมรู้สึกแปลกใจที่คุณธารพูดออกมาแบบนี้ เพราะงั้นผมจึงได้ถามออกไปเพื่อให้หายข้องใจ


“ทำไมหรอครับคุณธาร การได้แต่งงานกับคนที่รักมันมีความสุขมากเลยนะครับ” พูดจบผมก็หันมองไปที่คุณภูผา คุณภูผาจึงเดินมาใกล้ๆ แล้วกุมมือผมเอาไว้


   “ความสุขของฉันคือการไม่ผูกมัดกับใครต่างหาก ความรักมันเป็นเรื่องที่น่าเบื่อจะตายไป ฉันไม่คิดว่าตัวเองจะทนอยู่กับคนคนเดียวแบบจำเจตลอดไปได้หรอกนะตะวัน”


   “ที่คุณธารพูดแบบนั้นเพราะยังไม่เจอคนที่ใช่ต่างหากล่ะครับ ผมเชื่อว่าถ้าคุณธารได้เจอคนคนนั้น ความคิดของคุณธารจะต้องเปลี่ยนไปอย่างแน่นอน” ผมเชื่ออย่างที่พูดจริงๆ แต่ก็ดูเหมือนว่าคุณธารจะไม่ได้เชื่อเหมือนผม แถมยังมองว่าเป็นเรื่องไร้สาระอีกต่างหาก


   “เฮ้อออออ วันนี้เป็นวันมงคลของตะวันกับพี่ภูนะ เพราะงั้นฉันว่าเราอย่าเสียเวลาแล้วมาฉลองกันต่อดีกว่า...เจ๊คิตตี้ครับ ช่วยนำทุกคนฉลองหน่อยได้มั้ยเอ่ย?” คุณธารจงใจเปลี่ยนเรื่องแล้วโยนหน้าที่ให้พี่กิตติ พี่แกที่เป็นคนตลก เฮฮา และสนิทกับทุกคนแล้วแม้จะพึ่งเจอกันวันนี้ จึงได้รับช่วงต่อจากคุณธารทันทีอย่างไม่มีติดขัด


   “เอาล่ะทุกคน ตอนนี้พิธีสาบานรักและการโยนช่อดอกไม้ก็เสร็จสิ้นลงเรียบร้อยแล้ว เพราะงั้นเรามาดื่มฉลองให้กับคู่รักอย่างคุณภูผาและน้องตาหวานกันดีกว่า ทุกคนว่าดีมั้ยฮ้า!”


   “ดี!!!”


   “โอเค แต่ว่าก่อนที่พวกเราจะดื่มฉลองกัน ยังมีเรื่องสำคัญอีก 1 เรื่องนะคะที่คุณภูผากับน้องตาหวานยังไม่ได้ทำ มีใครรู้มั้ยว่าเรื่องนั้นคือเรื่องอะไร” พี่คิตตี้ยิ้มกรุ้มกริ่ม น้องวาจึงยกมือขึ้นแล้วตะโกนตอบออกมาทั้งๆ ที่ผมยังงงอยู่เลย


   “ผมรู้ครับเจ๊คิตตี้! จูบสาบานใช่มั้ยครับ!” เท่านั้นแหละผมก็เบิกตากว้างแล้วหน้าร้อนวาบขึ้นมาทันที


   “ถูกต้องเลยฮ้า! ไหนใครอยากเห็นคุณภูผากับน้องตาหวานจูบกันบ้างขอเสียงเชียร์หน่อยเร้วววว!” พี่กิตติพูดจบก็เอียงหน้าไปข้างๆ แล้วเอามือป้องหู ทุกคนที่อยู่ที่นี่ทั้งคุณธาร พฤกษ์ เพลิง และน้องวาจึงร่วมใจกันส่งเสียงเชียร์อย่างพร้อมเพรียงกันจนกึกก้องไปทั้งชายหาด


   “จูบเลยๆๆๆๆๆๆ”


   ตอนนี้ผมเขินและอายมากจนแทบแทรกแผ่นดินหนีอยู่แล้ว แต่คุณภูผากลับไม่เป็นเหมือนผม แถมยังดูเหมือนว่าจะชอบใจอีกต่างหาก เพราะได้ใช้สองมือจับไหล่ของผมให้หันไปหา ก่อนที่จะก้มหน้าลงมากระซิบกับผมว่า...


   “ไม่ต้องเขินไปหรอกน่า มากกว่านี้ก็เคยทำมาแล้วไม่ใช่รึไง”


   “คุณภูผา!” ผมถลึงตาใส่ ก่อนจะรีบหันซ้ายหันขวาว่ามีใครได้ยินที่คุณภูผาพูดรึเปล่า แต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่มี เพราะตอนนี้เสียงเชียร์กับเสียงปรบมือนั้นดังมากจริงๆ


   “ถ้าอายจะหลับตาลงก็ได้นะ แล้วคิดซะว่าตอนนี้เรากำลังอยู่ในห้องกันแค่สองคน”


   ผมไม่คิดว่าสิ่งที่คุณภูผาพูดมันจะทำได้ง่ายๆ แต่เอาเข้าจริงพอหลับตาลงแล้วลองตั้งสมาธิดูมันก็ไม่ยากอย่างที่คิด ตอนนี้ผมไม่รับรู้ถึงเสียงรบกวนของคนรอบข้างแต่อย่างใด ผมรับรู้แต่เสียงลมหายใจและไออุ่นของคุณภูผา ที่ค่อยๆ ขยับเข้ามาแนบชิดจนกระทั่งแผ่ซ่านไปทั้งหัวใจ


   จูบนี้แม้จะไม่ได้เป็นจูบแรก แต่ก็เป็นจูบที่หวานล้ำและตราตรึงที่สุดในความทรงจำ เพราะมันโอบล้อมไปด้วยผู้คนที่ผมรัก ท่ามกลางเสียงคลื่นที่ซัดสาด แสงจันทร์อันนวลผ่อง และดวงดาวที่สุกสกาวนับล้าน ที่เป็นสัขขีพยานในการจูบสาบานรักของพวกเรา...


...จบบริบูรณ์...


สวัสดีค่ะทุกคน ในที่สุดความรักของภูผาและตะวันก็เดินทางมาถึงตอนจบแล้วนะคะ ซึ่งก็เป็นความรักที่ขมนิดๆ ในตอนแรกเนอะ แต่เรื่องพอกลางเรื่องไปก็หวานหยดย้อยจนบางคนอาจจะเลี่ยนได้เลย > < แต่ถึงอย่างนั้นเราก็หวังว่าทุกคนจะประทับใจและชื่นชอบกันนะคะ  :impress3:
มาพูดถึงนิสัยตัวละครกันหน่อย เอาพระเอกอย่างภูผาพี่ใหญ่ก่อนเลย ช่วงแรกพี่แกก็จะมีความไบโพลาร์หน่อยๆ เดี๋ยวก็ดี เดี๋ยวก็ร้าย เป็นคนที่แทบทุกเสียงที่อ่านออนไลน์บอกว่ามีความย้อนแยงในตัวสูงมาก  :laugh: แต่นั่นก็เพราะยังอคติกับตะวันอยู่ พอหายอคติพี่แกนี่รุกแรงกว่าใครเพื่อน แถมยังอบอุ่นและโรแมนติกซะด้วย เชื่อว่าคนที่เคยด่าหลายๆ คนได้กลายเป็นชอบและเชียร์พี่แกสุดใจแน่นอน  o18
ส่วนตะวัน นายเอกของเรื่องที่ถึงแม้ชีวิตจะรันทดและอาภัพ ถึงอย่างนั้นก็ยังเป็นคนดีเสมอต้นเสมอปลาย เป็นคนอ่อนหวาน พูดเพราะ และขยันมาก งานบ้านงานครัวนี่ทำได้ทุกอย่าง แถมยังชอบดูแลคนอื่นอีกต่างหาก ก็ไม่แปลกหรอกเนอะที่ทุกคนจะรักและเอ็นดู  :man1: ภูผาโชคดีมากๆ ที่เป็นคนได้หัวใจของตะวันไปครอง
ตั้งแต่บรรทัดแรกจนถึงบรรทัดสุดท้ายที่ได้อ่านนิยายเรื่องนี้ เราก็หวังว่าทุกคนจะชอบ มีความสุข และประทับใจกับความรักของคู่ภูตะวันนะคะ มันอาจจะเป็นความรักเรียบๆ ไม่หวือหวา แต่ถึงอย่างนั้นความรักที่ทั้งคู่มีให้กันมันไม่ได้ธรรมดาเลยล่ะค่ะ
และสำหรับคนที่ต้องการความรักแบบแซ่บๆ และร้อนแรงยิ่งกว่าแดดประเทศไทย ก็ต้องติดตามเรื่องต่อไปของโปรเจคซีรีส์นี้เลยค่ะ นั่นก็คือ... E. Erotic หัวใจร้อนรัก  :z1: แค่ชื่อก็การันตีถึงความแซ่บแล้ว มีใครรู้มั้ยนะว่าจะเป็นเรื่องของใครในบ้าน และเขาคนนั้นจะคู่กับหนุ่มแบบไหน แต่ถ้าไม่อยากเดาก็มาลุ้นกันอีกไม่กี่วันนะคะ น่าจะศุกร์หรือเสาร์นี้แหละเราจะมาลงให้อ่านแน่นอน ลงต่อในบทความนี้เลยค่า ^^
ปล.ขอขอบคุณทุกคนมากๆเลยนะคะที่ติดตามและเอาใจช่วยคู่ภูตะวันมาจนถึงตอนนี้  :pig4: ขอบคุณจริงๆที่เข้ามาอ่าน คอมเมนท์ให้ และสั่งจองหนังสือนิยายเข้ามานะคะ ขอย้ำนิดนึงหนังสือจะเปิดจองถึงสิ้นเดือนก.ย.นี้ ราคาเบาๆ 259 เท่านั้น ยังไงก็ช่วยรับพี่ภูและตะวันไปนอนกอดนอนฟัดด้วยน้า มีตอนพิเศษในเล่ม 2 ตอนรับรองว่าถูกใจแน่นอนค่ะ รักทุกคนเลยน้า แล้วเจอกันคู่ต่อไปค่ะ บ๊ายบายยยยยย  :bye2:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด