My Angel ผมไม่ใช้นางฟ้า(โว๊ยยย)ตอนพิเศษ ของขวัญวันปีใหม่ 1/1/2018
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: My Angel ผมไม่ใช้นางฟ้า(โว๊ยยย)ตอนพิเศษ ของขวัญวันปีใหม่ 1/1/2018  (อ่าน 29364 ครั้ง)

ออฟไลน์ Monkey D

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 698
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-0
ติ๊ง
 
 
เสียงเตือนข้อความจากไลน์ดังขึ้น  ผมก็รีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาตอบทันที  เพราะรู้ๆอยู่ว่าเป็นใคร
 
 
-ฝนตกหนักมาก   
 
 
-ยังไม่ต้องออกมานะ 
 
 
-เดี๋ยวโดนฝนจะไม่สบาย
 
 
/ถึงแล้วหรอ/
 
 
/อยู่ไหนจะได้ไปหา/
 
 
-ยืนหลบฝนอยู่ป้ายรถเมล์หน้ารร.
 
 
-ไม่ต้องฝ่าฝนออกมานะ
 
 
-กูรอได้ สบมอห
 
 -สติ้กเกอร์หมีเล่นลูกบอล
 
 
 
ไอ้บ้า  ใครมันจะปล่อยให้มึงยืนตากฝนอยู่คนเดียวได้กันล่ะ
 
 
“พวกมึง  กูกลับก่อนนะ  ปวดท้องว่ะอยากนั่งห้องน้ำที่บ้าน  ไปล่ะ”
 
 
“อ้าว  เฮ้ย  ฝนตกหนักนะเว้ย”     เสียงไอ้เจสตะโกนบอกแต่ผมก็ไม่ได้สนใจรีบเอากระเป๋านักเรียนยัดใส่ในเสื้อนักเรียนแล้วกอดไว้อย่างกลัวหนังสือข้างในจะเปียก   แล้วก็วิ่งฝ่าฝนออกมาเลยครับ
 
 
 
 
 
“คริส!”   ผมตะโกนเรียกมันที่นั่งอยู่บนที่รั่งรอรถเมล์
 
 
“บอกว่าไม่ให้วิ่งฝ่าฝนมาไง  ดื้อจังว่ะเปี๊ยก”    ปากดุที่มันก็รีบล้วงผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋ากางเกงออกมาเช็ดหน้าเช็ดหัวให้ผมอย่างไว
 
 
 
จากที่หนาวเพราะเปียกฝน  กลายมาเป็นร้อนเพราะเขินมันซะได้
 
 
 
“ก็ไม่อยากให้มึงรอคนเดียวนิ”
 
 
“เป็นห่วงกูด้วยหรอ  น่ารักว่ะ”
 
 
 
“ไม่ได้ห่วงซะหน่อย  แค่กลัวมีคนมาหนาวช็อคตายหน้าโรงเรียนหรอกเว้ย”
 
 
“หึหึ”  ไอ้คริสอย่างชอบใจแล้วเอามือมาขยี้หัวผมจนยุ่งไปหมด
 
 
“อย่าดิว่ะ  หัวยุ่งหมดแล้วเนี่ย....แล้วเอาไงจะยืนหลบฝนอยู่ตรงนี้ก่อนหรือจะวิ่งไปบ้านกู”
 
 
“ไปบ้านเปี๊ยกดิ   ดูแล้วมันน่าจะตกนาน”
 
 
“โอเค  คงเปียกหมดแน่ๆ  แต่เดี๋ยวค่อยเปลี่ยนเสื้อผ้ากูเอาก็ได้เนอะ”   ผมบอกมันแล้วทำท่าจะวิ่งออกไปอีกครั้ง
 
 
แต่ก็ถูกมันเอามือดึงไว้   จนผมต้องหันมามองอย่างงงๆ  ตกลงจะไปหรือไม่ไปกันแน่
 
 
“ลืมไปแล้วหรอว่ามึงอยู่กับใคร”
 
 
“อะไร  ก็อยู่กับมึงไง  ประสาทป่ะเนี้ยะ”
 
 
“เออ  แล้วคริสเป็นอะไรกับปิ๊นครับ”   มามุขไหนของมันอีกว่ะ  พูดเพราะทีไรแม่งต้องได้ทำเรื่องแปลกๆตลอด
 
 
“ก็..แฟนไง”  ผมพูดเสียงเบา  มองมันอย่างงงๆ
 
 
“ใช่  เราเป็นแฟนกันนะ ก็ต้องฝ่าฝนไปแบบแฟนๆดิ”   มันยิ้มเขินใหญ่
 
 
ผมว่าล่ะ มโนฉากเลี่ยนๆไว้ในหัวอีกแล้วใช่ไหมเนี้ย  ไอ้ต๊องเอ๊ย
 
 
“แล้วทำยังไงอะ”   เห็นแก่หน้ามัน  จะยอมแกล้งโง่ให้ก็ได้ว่ะ   สงสารดูท่าแล้วคงคิดมานาน ฮ่าๆๆๆ
 
 
 
“ก็เอาเสื้อคลุมกูนี่ไง   โรแมนติกอะดิ”  มันยิ้มแป้นก่อนจะถอดเสื้อคลุมตัวใหญ่ออกมาแล้วกางแขนบังหัวผมไว้
 
 
แม่งเอ๊ย  โคตรเขิน!     
 
 
ผมนี่แทบจะกลั้นยิ้มไว้ไม่อยู่กับความน่ารักแปลกๆของมัน   มันก็เป็นของมันแบบนี้แหละครับ  แล้วผมก็ชอบที่มันเป็นแบบนี้ด้วย
 
 
“พร้อมนะ”  มันหันหน้ามาถามใกล้ๆหลังจากที่เราอยู่ใต้เสื้อคลุมตัวเดียวกัน
 
 
“อืม”   ผมพยักหน้าแล้วหลุดยิ้มอย่างเสียไม่ได้   ก่อนที่เราทั้งสองคนจะเดินฝ่าฝนกันไป  ทั้งๆที่ฝนก็ตกหนักแต่เท้าของเราทั้งคู่ก็พากันเดินไปอย่างไม่รีบร้อน  ความกลัวเปียกได้หายไป  เมื่อมีใครคอยเดินอยู่ข้างๆกัน...
 
 
 
เคยมีคนบอกผมว่าชีวิตช่วงมัธยมมันดีที่สุด  เราได้ทั้งเพื่อนที่จริงใจ  ได้เล่นสนุกเต็มที่  แล้วยิ่งถ้ามีความรักในวัยนี้  มันจะเป็นความรักที่ตราตรึงอยู่ในใจ   การกระทำต่างๆจะถูกฝังไว้ในความทรงจำไม่ว่าจะกลับมานึกถึงเมื่อไหร่  มันก็จะทำให้เรายิ้มได้เสมอ...
 
 
 
ไม่รู้ว่าอนาคตผมกับคริสมันจะเปลี่ยนแปลงไปยังไง   แต่ตอนนี้ผมมีความสุขจริงๆครับ
 
 
 
การได้ทำตามหัวใจตัวเอง  มันมีความสุขมากจริงๆ
 
.
 
.
 
.
 
.
 
“อ้าวไอ้ปอวิ่งตามไอ้ปิ๊นไปไม่ทันหรอว่ะ”   ไอ้เจสเอ่ยปากถามเมื่อผมก้าวเข้ามานั่งใต้ตึกเรียนเหมือนเดิม
 
 
“เปล่า”
 
 
“เปล่าอะไร  เปล่านี่ทันหรือไม่ทัน”
 
 
“ทัน...”
 
 
“เอ้า  ถ้าทันแล้วทำไมร่มยังอยู่กับมึงเหมือนเดิมว่ะ  ไหนบอกจะให้เอาไปให้ไอ้ปิ๊นไง”   เจสถามอย่างสงสัย  ก็ตอนแรกบอกว่ามันพกร่มมาจะวิ่งเอาไปให้ไอ้ปิ๊น  กลัวว่าไอ้ปิ๊นเปียกฝนแล้วจะป่วยอีก   แต่ทำไมกลับเป็นมันเองที่ตัวเปียกชุ่มอย่างกับไปยืนตากฝนมาซะงั้น  ทั้งๆที่ร่มก็อยู่ที่มัน
 
 
 
ปอนิ่งเงียบในมือกำร่มพับได้ไว้แน่น
 
 
เขาเห็นตั้งแต่ไอ้คริสนั่นเอาผ้ามาเช็ดหน้าเช็ดหัวปิ๊น  ทั้งๆที่ฝนตกหนักแต่ทั้งสองคนกลับยิ้มอย่างมีความสุขแล้วพากันฝ่าฝนไปใต้เสื้อคลุมตัวเดียวกัน  ทั้งที่ดูก็รู้ว่าเสื้อแค่ตัวเดียวนั้นมันไม่ได้ช่วยกันฝนอะไรเลย
 
 
 
แต่ ‘เพื่อน’ เขาก็ยังเลือกไปกับมัน…
 
 
 
 
“ปิ๊นมันมีร่มที่ดีกว่าของกูแล้วว่ะ”   


--------------------------


 

ออฟไลน์ Laliat

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 253
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ Januarysky

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 507
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
ปอทำใจนะ
อวยพรขอให้เจอคนของปอจริงๆ
 :mew1:

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4102
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8

ออฟไลน์ Monkey D

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 698
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-0
บทที่  20  คำสัญญา
 
                       
 
ผมกับคริสพากันเดินมาจนถึงบ้าน  ซึ่งแน่นอนว่าเปียกกันทั้งคู่   เสื้อไอ้คริสมันไม่ได้ช่วยอะไรเลยจริงๆ  คะแนนบังฝนให้ติดลบร้อย  แต่คะแนนความโรแมนติคให้เกินล้านครับ  อิอิ
 
 
จากนั้นเราก็ผลัดกันอาบน้ำครับ  กลัวเป็นหวัดแล้วจะป่วยซะก่อน ใกล้จะถึงช่วงสอบไฟนอลแล้วด้วยต้องดูแลรักษาร่างกายกันให้ดี
 
 
“มึงไปอาบน้ำก่อนเลย  เดี๋ยวกูหาชุดให้เปลี่ยน”  ผมพาไอ้คริสเข้าห้องนอนแล้วชี้ให้มันไปอาบน้ำก่อน
 
 
“ไม่อาบพร้อมกันอ่ะ   ช่วยชาติประหยัดน้ำนะเว้ย 555”   
 
 
“ตลกตาย  รีบๆไปอาบเลยเร็ว  ไม่งั้นกูไล่กลับบ้านซะเลยนิ”
 
 
“เขินอะดิ”
 
 
“เขินพ่องงงง  ไปอาบน้ำ!”  ผมหันไปแว๊ดใส่ก่อนจะขว้างผ้าเช็ดตัวผืนใหม่ใส่ตัวมัน
 
 
“555 ไปแล้วคร้าบคุณแฟน”   ไอ้คริสรีบคว้าผ้าเช็ดตัวไว้ก่อน  แล้วยิ้มหน้าระรื่นเดินเข้าห้องน้ำไป
 
 
ต้องทำให้ผมโมโหก่อนตลอดอ่ะมัน   แล้วพอผมโมโหก็หาว่าผมเขิน  ใส่ความกันชัดๆ
 
 
ผมไม่ได้เขินสักหน่อย  นี่แก้มแดงธรรมชาติหรอก  -///-
 
.
.
.
.
 
หาเสื้อผ้าที่คิดว่ามันน่าจะใส่ได้ก็เป็นเสื้อยืดธรรมดากับกางเกงเล ขาห้าส่วนครับใช้มัดเอามีอยู่ตัวเดียวที่มันน่าจะใส่ได้  ที่เหลือก็เล็กๆมันใส่ไม่ได้แน่ๆ  พอได้ครบก็เคาะประตูห้องน้ำเรียกมันครับ
 
“กูเอาชุดวางไว้หน้าห้องน้ำนะ”  ผมบอกแล้วก้มวางชุดไว้กับพื้นหน้าประตูห้องน้ำ

 
แอด
 
 
จู่ๆประตูห้องน้ำก็เปิดพรวดออกมา    ผมที่กำลังจะเงยหน้าขึ้นพอดีก็ดันไปตรงตำแหน่งบางอย่างของไอ้คริสแล้วก็ได้เห็นเต็มสองตา
 
 

นี่ใช่ไหมไซต์ฝรั่ง  OMG
 
 

“ทำไมไม่เอาผ้าเช็ดตัวมาปิดดดด”   ><   ว๊ากกกกกกกกกกก  กูจะบ้าตาย ฮือ เต็มๆเลยติดตาเลยอ่ะ  โอ๊ยยย ทำไมใหญ่จังว่ะ  เฮ้ย ไม่เอาไม่นึกถึงดิ
 
ตอนไม่แข็งยังขนาดนี้  แล้วถ้าแข็งจะขนาดไหนวะ....
 
ฟ๊ากกกกกกกก  คิดบ้าอะไรของกูว่ะเนี่ย  ฮืออออ
 
 
ผมนั่งหันหลังหลับตาปี้เอามือปิดหน้าพลางสลัดหัวไปมาอยากไม่อยากนึกถึงสิ่งที่เห็นเมื่อกี้  กรรมของลูกกะตากูจริงจิ๊ง
 
 
“ก็ไม่รู้นิหว่า ว่าจะอยู่ตรงหน้าประตูพอดี  หึหึ  เป็นไงใหญ่ล่ะสิลูกชายกูอะ 555”
 
 
“ไอ้บ้า ! ไอ้โรคจิตชอบโชว์ของหรอ ทุเรศ อุบาทที่สุดอ่ะ”  ผมตะโกนว่ามันต่อ  ไอ้คริสเองก็เหมือนยิ่งชอบใจหัวเราะคิกคักๆอยู่ด้านหลัง   เป็นโรคจิตจริงๆสินะ  ฮึ่ยยย
 
 
“แต่งตัวเสร็จแล้ว  หันมามองได้แล้ว  ปิ่นปิ๊นของพี่คริส”   มันพูดเสียงหวานแล้วเอามือขยี้หัวผมไปด้วย
 
 
“ฮึ่ยยย  อย่ามาถูกตัวกูนะเว้ยไอ้โรคจิต”  ผมลุกขึ้นสะบัดหัวออกจากมือมัน   ถอยหลังออกห่าง
 
 
“555  ทำหน้าตลกว่ะปิ๊น  น่ารักฉิบหาย กูโคตรอยากจับมาฟัดแก้มเลยจริงๆ”
 
 
“อ..อ.ไอ้บ้า  กูหล่อเหอะ  ไม่ได้น่ารักซะหน่อย”   หล่อกว่ามึงด้วย โด่ว  ไม่อยากจะพูดด้วยมันจะเสียเซลฟ์
 
 
“หึหึหึ  เออ หล่อก็หล่อ  ปิ่นปิ๊นพูดไรมาคริสก็เชื่อหมดแหละ  ดีไหม” ^^
 
 
“..ก..ก็.แน่ล่ะ กูพูดความจริงนี่”  เวลาคริสมันเรียกชื่อเล่นผมเต็มนี่ก็ทำเอาผมเขินแปลกๆ?
 
 
“แฟนใครวะ  น่ารัก  เอ๊ย หล่อจริงๆ”  มันทำตาเยิ้ม ยิ้มหวานยังกับโดนยามา  ไอ้ห่า  ขนลุกสุดๆ
 
 
“เสร็จแล้วก็ถอยไปดิ  จะอาบบ้าง ชิ”
 
 
“เดี๋ยวก่อนดิ  ไอ้กางเกงตัวนี้มันใหญ่ไปอ่ะปิ๊น  มีตัวเล็กกว่านี้ป่าว  ดูดิใหญ่จนต้องเอามือดึงไว้เลยเนี่ย”   ไอ้คริสบอก  ผมก็เพิ่งสังเกตว่าอีกมือของมันกำขอบกางเกเลไว้แน่น  สงสัยจะใส่ไม่เป็น
 
 
“ก็ผูกดิ   มันต้องผูกเชือกเว้ย   ใส่ไม่เป็นหรอ”
 
 
“มัดไง  ไม่เคยใส่  ไหนเชือกอะ  กางเกงอะไรวะเนี่ย”  ไอ้คริสบ่นกระปอดกระแปดพลางมองหาเชือก
 
 
“ทึ่มจริงๆเลย  มานิเดี๋ยวผูกให้  ยืนเฉยๆล่ะ”  ผมที่ทนดูไม่ไหวเลยเข้าไปใกล้  เอามือโอบหลังคริสไปดึงเชือกมามัดเอวสอบของมันไว้ให้แน่นก่อนจะมัดทบอีกที
 
 
กลิ่นหอมสดชื่นหลังอาบน้ำเสร็จใหม่ๆ  ลอยเข้าจมูกผมอยู่ตลอดตอนที่มัดเชือกให้มัน  ทำให้เต้นเต้นผิดจังหวะแปลกๆ  ยิ่งตอนที่มือผมไปกระทบกับหน้าท้องมันรู้สึกเหมือนกับถูกกระแสไฟวิ่งเข้าใส่ตัวเลยครับ  ภาพที่มันเปิดประตูห้องน้ำทั้งที่เปลือยกายอยู่แวปเข้ามาในหัว  หน้าผมร้อนวูบวาบไปหมดเมื่อนึกถึงจนไม่กล้าเงยหน้าให้อีกฝ่ายได้เห็น
 
 
ถ้ามันเห็นหน้าแดงๆของผมก็รู้สิว่าผมคิดอกุศลอยู่...
 
 
“เสร็จแล้ว   กูไปอาบน้ำก่อนนะ”  ผมบอกแล้วรีบเดินก้มหน้าเข้าไปในห้องน้ำ
 
 
แม่งเอ๊ย   หัวใจผมมันเป็นบ้าอะไรอีกล่ะ  รู้ว่าภาพตอนนั้นมันน่าช็อคแต่มันก็ไม่ควรจะเต้นแรงขนาดนี้ป่ะว่ะ  ว่าไอ้คริสโรคจิต  แต่เหมือนว่าผมเองนี่แหละที่น่าจะโรคจิตกว่ามันอะ
 
 
ผมหันไปเปิดน้ำในอ่างล้างมือก่อนจะกวักน้ำลูบหน้าตัวเองให้หายร้อน   เมื่อมองในกระจกสีหน้าผมก็ดูไม่จืดจริงๆ  แก้มแดงไปหมด   ทั้งๆที่มันก็นานแล้วนะที่มีคริสเข้ามาในชีวิตผมแต่ทำไมผมถึงยังใจเต้นแรงกับมันตลอดก็ไม่รู้  ไม่เคยชินสักทีจริงๆ
 
 
มึงนี่โคตรมีอิทธิพลต่อหัวใจกูจริงๆไอ้บ้าคริส
 
 
แล้วถ้าวันนึงไม่มีมันอยู่ข้างๆกันอีกเหมือนเดิม   ถ้าถึงวันนั้นจริงๆ...ผมจะเสียใจไหมนะ
 
.
.
.
.
.
.
 
 
หลังจากอาบน้ำเสร็จเราก็ลงมาข้างล่าง  คริสมันก็เปิดทีวีนั่งดูช่องการ์ตูนของไปครับ   ผมก็เอาเสื้อผ้ามันที่เปียกมันซักก่อนจะเอาไปปั่นแห้งอีกที  ทำอย่างกับผมเป็นพ่อบ้านพ่อเรือนเลยเนอะ     แต่ตะกี้เกือบเทน้ำยาล้างจานแทนน้ำยาซักผ้าไปแล้วครับ 555       
 
 
แล้วผมก็เปิดกระเป๋านักเรียนดูว่ามีอะไรเปียกบ้างแต่ก็โชคดีครับที่ผมเอาสมุดใส่ไว้ในแฟ้มพลาสติกอีกทีเลยไม่มีอะไรเปียก   ส่วนกระเป๋าไอ้คริสผมไม่ได้ค้นดูหรอกครับไม่ชอบยุ่งย่ามกับของๆใครเห็นว่าของมันเป็นกระเป๋าหนังด้วยเลยคิดว่าคงไม่มีอะไรเปียกหรอก
 
แต่จนป่านนี้ฝนก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตกเลยครับ   ผมเลยออกไปดูหน้าบ้านก็เรียบร้อยครับ
 
 
น้ำท่วมถนนแล้ว! 

 
ตายๆๆ  เมื่อไหร่จะหยุดก็ไม่รู้   นี่ก็หกโมงเย็นแล้วด้วยเริ่มจะหิวอีกรอบ  พี่ปูนก็ยังไม่กลับคงติดฝนนานแน่ๆ   
 
 
“เป็นไร  ทำหน้าบูดเป็นตูดเลย”   คริสหันหน้ามาถามพอผมนั่งลงไปบนโซฟาข้างๆมัน
 
 
“ก็ฝนตกไม่หยุดสักที   พี่ปูนก็ยังไม่กลับ  เซ็ง”
 
 
“แค่นั้นจริงๆน่ะหรอ”
 
 
“ก็จริงดิวะ  ถามทำไม”
 
 
“ป่าว  ก็แค่คิดว่า...ที่หน้าบูดก็เพราะหิวมากกว่า”    คริสยิ้มมุมปากนั่งมองคนหน้าบูดอย่างเดาใจ
 
“ไม่ใช่สักหน่อยเถอะ”  ผมห่วงพี่กับเบื่อฝนตกต่างหากหรอก   ไอ้คริสมันมั่ว
 
 
โครกกก  ครากกกก
 
 
“โห   ไม่ค่อยหิวเลยเนอะ  เมื่อกี้เสียงตัวการ์ตูนมันร้องใช่ป่ะว่ะ ดั๊งดังเลยเนอะปิ่นปิ๊น” ^^
 
 
“...”   ทำไมต้องมาท้องตอนนี้ด้วยวะเนี้ย  ขายหน้าไอ้คริสสุดๆ
 
 
พอหงุดหงิดเพราะหิวกับหมั่นไส้ท่าทางหัวเราะชอบใจของไอ้คริส  ผมก็เลยใช้เท้าถีบเข้าไปที่ลำตัวมันแม่ง
 
 
ปั่ก!
 
 
“หุบปาก”
 
 
“อู๊ยยยย  ซี้ดดดด  ถีบเข้าได้  เจ็บนะ”   พอเห็นไอ้คริสหน้านิ่วคิ้วขมวด  ผมก็รู้สึกดีซะงั้น   
 
 
“555  สะใจว่ะ  โดนซะมั้งก็ดี”
 
 
“ดีไรเล่า   ถีบโดนแผลเก่าเต็มๆเลย”   ไอ้คริสบ่นทำหน้างอนใส่  ก่อนจะเลิกเสื้อดู
 
 
“เฮ้ย!   ทำไมมันม่วงช้ำแบบนั้นอะ   กูถีบแรงขนาดนั้นเลยหรอ”   ผมที่เห็นรอยช้ำมันที่อยู่ชายโครงด้านข้างตัวก็ตกใจ   รีบเขยิบตัวไปดูใกล้ๆ   ตอนที่มันเปลือยก็มัวแต่ตกใจไม่ได้สังเกตเลย
 
 
“ขอโทษนะคริส  ขอโทษจริงๆไม่รู้ว่าเป็นแผลอยู่   แล้วกินยา ทายา ให้หมอเช็คอะไรยัง  ไปให้หมอดูกันไหม  เพื่อกระดูกหัก..”
 
 
“ใจเย็นๆ  ไม่เป็นอะไรแล้ว  แค่แผลเก่าน่ะ  เดี๋ยวมันก็หายเองไม่ต้องห่วงแล้ว”  คริสจับมือผมไว้แล้วค่อยๆอธิบาย
 
 
“แต่..”
 
 
“แต่ก็แอบดีใจนะเนี่ย  พอเห็นสีหน้าปิ่นปิ๊นห่วงคริสคริสมากขนาดนี้อะ  555”   แล้วก็คริสก็ทำเป็นเปลี่ยนเรื่องคุยทันที
 
 
“คริสคริสพ่อง  แบ๊วตายห่าล่ะชื่อนั้นอะ”   ผมทำท่าจะทุบมันอีกรอบไอ้คริสก็รีบยกหมอนขึ้นมากันไว้
 
 
“เค้าเจ็บอยู่นะตัวเอง”   เหมือนมันรู้ว่าผมขนลุกเวลามันพูดอะไรแบบนี้ก็ยิ่งเอาใหญ่  ทำหน้าตาเป็นหมาถูกเจ้าของทิ้งแถมยังดัดเสียงได้น่าเกลียดสุดๆ  อี๊ มากๆครับ   อยู่ด้วยกันสองคนทีไรทำตัวปัญญาอ่อนทู๊กกกที
 
 
“อย่ามาเนียนเปลี่ยนเรื่องดิ   รอยช้ำนี่ไปโดนอะไรมา บอกมาก่อน”
 
 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-08-2017 21:52:34 โดย Monkey D »

ออฟไลน์ Monkey D

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 698
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-0
“....ก็..มีเรื่องนิดหน่อย”  ไอ้คริสพูดเสียงเบาหวิวไม่ยอมสบตาผมด้วย  พอได้รู้ว่ามันไปมีเรื่องอีกก็ปรี๊ดดดดขึ้นมาเลยครับ
 
 
“เอาอีกแล้วนะมึงอ่ะ!  ตลอดอ่ะ โดนตีนนี่มีความสุขมากไหม เจ็บตัวทุกที คุยกันดีๆไม่ได้ไงวะ” 
 
 
“ใจเย็นดิ  ก็แค่ไปมีเรื่องกับพวกปากหมาเอง  ไอ้เวรพวกนั้นโดนหนักกว่ากูเยอะน่า  กูโดนแค่นี้จิ้บๆ”
 
 
“แต่กูไม่ชอบ  ไม่ชอบที่มึงไปมีเรื่องกับใครเขา  ไม่ชอบที่มึงต้องมีแผลตามตัวแบบนี้  เห็นแล้วมันทนไม่ได้  เข้าใจป่ะ”   ผมเผลอพูดความในใจไปอย่างไม่รู้ตัว   เหมือนมันออกไปเองอ่ะครับ  ไม่ได้อยากจะงี่เง่าเอาแต่ใจให้มันต้องทำตามใจผมนะ
 
 
“ปิ๊น....อย่าทำหน้าเหมือนจะร้องดิ   กูใจไม่ดีนะเว้ย”   ไอ้คริสพูดขึ้นทำหน้าเป็นกังวล  นี้สีหน้าผมมันออกขนาดนั้นเลยหรอวะ
 
 
“...”   ผมเลยเลือกที่จะหันหน้าทำเป็นมองทีวีแทน   ไม่ได้จะประชดนะ  แต่แค่อยากระงับอารมณ์ขุ่นเคืองนี้ไว้  ไม่อยากทะเลาะกับมันด้วย   เคยไหมครับแบบอยากจะสั่งห้ามไม่ให้มันไปมีเรื่องกับใครอีก  แต่ก็รู้ว่าเราไม่สามารถบังคับชีวิตใครได้หรอก ยิ่งถ้าสั่งห้ามเด็ดขาดแล้วมารู้ทีหลังว่าแอบทำอีกมันก็จะยิ่งโมโหหนักกว่าเดิมแน่ๆ   เพราะฉะนั้นผมเลือกที่จะไม่พูดดีกว่า   
 
 
ของอย่างนี้ต้องให้เจ้าตัวเขาคิดเอง
 
 
“อย่าโกรธดิ”  มันเอามือมาจับหัวไหล่  ผมก็สลัดออก
 
 
“ไม่ได้โกรธ”
 
 
“นี่นะไม่โกรธ  เสียงอย่างเย็นชา”
 
 
“...”
 
 
“ไม่ทำแล้วก็ได้  สัญญา หายโกรธเถอะนะ”
 
 
“อย่ามาสัญญา พล่อยๆ  ไม่ชอบ”   ผมบอกมันตรงๆ   ผมค่อนข้างถือเรื่องคำสัญญานะครับ  ถ้าคิดว่าทำไม่ได้จะไม่ให้สัญญากับใครเด็ดขาดเลย   
 
 


อนึ่งก็เพราะ ‘ผมไม่ชอบคนผิดสัญญา’


 
 
“ไม่ได้พูดพล่อยๆ  สัญญาจริงๆ จะเลิกมีเรื่องแล้วจะตั้งใจอ่านหนังสือสอบเข้ามหา’ลัยแล้ว  โอเคไหม”
 
 
ผมหันไปมองหน้ามัน  ไอ้คริสเองก็ทำท่าชูนิ้วก้อยกระดิกไปมา
 
 
“ถ้าผิดสัญญา  มึงโดนกูต่อยแน่”   ผมชี้หน้ามันอย่างคาดโทษ   ก่อนจะมองนิ้วก้อยที่กระดิกไปมาอย่างชั่งใจ
 
 
แล้วก็เอานิ้วก้อยตัวเองไปเกี่ยวกับนิ้วก้อยไอ้คริสไว้...จะลองเชื่อคำสัญญาของมันสักครั้งก็แล้วกัน 
 
 
“ครับผม”^^
 
 
“เออ  งั้นก็ปล่อยนิ้วได้แล้วเว้ย  เกี่ยวซะแน่น” 
 
 
“ยังไม่อยากปล่อยอ่ะ อยากเกี่ยวไว้นานๆ”
 
 
“ปล่อยยยยย”  ผมพยายามจะดึงออกไอ้คริสก็เกี่ยวไว้แน่นอย่างไม่ยอมปล่อย   จนผมอยากจะทุบมันอีกรอบจริงๆ
 
 
“ให้กูจูบก่อนดิแล้วจะปล่อย”
 
 
“ห๊ะ!”
 
 
“พ.พูดบ้าอะไรวะ  ปล่อยเดี๋ยวนี้เลย”   อยู่ๆก็มาขอจูบบ้าป่าว  รู้จักกันยังไม่ถึงปีเลยจะมาจูบ  ไวไปไหมมมมม (หัวโบราณติดพ่อกับแม่)
 
 
“พูดจริงนะ   อยู่ๆก็อยากจูบมึงมากๆเลย  ขอจูบได้ไหมล่ะ”   ไอ้นี่ก็ตรงเกิ๊นนน
 
 
“ไม่ได้เว้ย  ไม่ให้”
 
 
“ทำไมอ่ะ  กูไม่มีกลิ่นปากเน่านะ”   ไอ้คริสพูดขำๆ ทำให้นึกถึงตอนที่ผมป่วยเลยครับ  แม่งอับอายดีแท้พอนึกย้อนหลังไป
 
 
“ไม่ได้อยากจูบด้วยสักหน่อย”
 
 
“กูจูบเก่งมากเลยนะ”   
 
 
“ไม่สนใจเว้ย”  แหม บอกตัวเองจูบเก่งแสดงว่ามันคงผ่านมาเยอะสิท่า  ฮึ่ยยยย  ไอ้ผู้ชายไม่รักนวลสงวนตัว!
 
 
“ลองแล้วจะติดใจ หึหึ”   
 
 
“ไม่มีทาง”  ผมแลบลิ้นให้มันอย่างไม่เชื่อสรรพคุณที่มันอวดอ้าง   
 
 
“เฮ้ย!”     
 
 
จู่ๆไอ้คริสก็เอาหน้าพุ่งมาจะงับลิ้นผม  ตกใจสิครับหงายหลังนอนไปกับโซฟาเลย  ไอ้ห่าเล่นอะไรบ้าๆ  ถ้าโดนปากขึ้นมาจริงๆทำไงวะ!
 
 
“หึหึ  ปากบอกไม่สน  แต่โดนแค่นี้ก็หน้าแดงแล้วนะ”   
 
 
“ตกใจหรอกน่ะ”   ผมรีบปฎิเสธ  ก็พอดีกับที่พี่ปูนโทรเข้ามา   ผมจึงรีบลุกออกมารับโทรศัพท์แทน
 
 
“ฮัลโหล ปูนปู๊น”
 
 
(ปิ่นปิ๊น   ที่บ้านฝนตกไหม)
 
 
“ตกครับ  หนักมากเลยยังไม่หยุดเลยเนี้ย”
 
 
(หรอ....แล้วน้ำท่วมไหม)
 
 
“ท่วมแค่ถนนอ่ะยังไม่ขึ้นมาฟุตบาทนะ”
 
 
(งั้นหรอ   แถวมอก็ตกหนักไม่หยุดเหมือนกันรถติดเป็นชั่วโมงแล้วไม่ขยับเลย...พรุ่งนี้พี่ต้องทำงานพรีเซนหน้าห้องด้วยสิ   กว่าจะถึงบ้านทำไม่ทันแน่เลย)  พี่ปูนพูดด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล   จากมหา’ลัยมาบ้านก็ไกลอยู่เหมือนกันครับ  เพราะต้องผ่านแยกรถติดหลายแยกด้วย
 
 
“อ้าวแล้วทำไงอ่ะ   ให้ปิ่นปิ๊นช่วยทำไหม  ส่งข้อมูลมาในเมลดิเดี๋ยวช่วยทำคราวๆให้ก่อนก็ได้นะ”
 
 
(ปิ่นปิ๊นทำไม่ได้หรอก  ขั้นตอนมันยากน่ะต้องตัดวิดีโอใส่ด้วย)
 
 
“หรอ  แล้วปูนปู๊นจะทำไง “
 
 
(คือ  พี่เอกเขาก็บอกให้ไปทำที่คอนโดพี่เขามันอยู่ใกล้มหา’ลัย   แต่พี่ก็ห่วงปิ่นปิ๊นไม่อยากให้อยู่บ้านคนเดียวไง)
 
 
กรรม  นี่ผมเป็นภาระให้พี่ผมโดยไม่รู้ตัวหรือเปล่าเนี้ย
 
แต่ก็ไม่อยากอยู่บ้านคนเดียวเลยอ่ะ   ฮืออออ   ยิ่งฝนตกแบบนี้โคตรกลัวไฟดับจริงๆ
 
 
“งั้น...ปุนปู๊นไปทำงานที่คอนโดพี่เอกเหอะ  เค้าอยู่คนเดียวได้  แต่ขอเปิดไฟทั่วบ้านนะ”   ถ้าอยู่คนเดียวยังไงไฟก็ต้องเปิดทั้งคืนแน่ครับ   ตรรกะคือถ้าไฟสว่างผีน่าจะไม่มางี้  555
 
 
(แน่ใจหรอ  ถ้าถึงบ้านดึกพี่ยอมปั่นงานไม่ต้องนอนก็ได้นะ )    แต่พี่ปูนก็ยังคงถามด้วยความเป็นห่วง
 
 
“อือ  แน่ใจเดี๋ยวโทรตามไอ้ตงให้มานอนเป็นเพื่อนก็ได้”  ถ้ามันยอมมาอะนะ
 
 
(งั้นก็ได้  ล็อคบ้านให้ดีนะปิ่นปิ๊น  ใครมาเรียกไม่ต้องเปิดประตูให้เด็ดขาด  มีอะไรโทรหาพี่ก่อน โอเคไหม)
 
 
“คร้าบ   ปูนปู๊นรีบไปทำงานเหอะ  สู้ๆนะ”   
 
 
(โอเค  อย่าลืมล็อคบ้านดีๆล่ะ)    พี่ปูนย้ำอีกครั้งก่อนจะวางสายไป    ผมก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
 
 
 
 
 
นี้ผมต้องอยู่คนเดียวจริงๆหรอวะเนี้ย
 
 
 
“เป็นอะไร  ทำหน้าเป็นหมาหงอยเลย”  ไอ้คริสทักพอผมกลับไปนั่งจุ่มปุ๊กอยู่บนโซฟาเหมือนเดิม
 
 
“ไม่หงอยได้ไง  ถูกทิ้งให้ต้องอยู่บ้านคนเดียวเนี่ย”    ผมบ่นนิดๆอย่างเซ็งๆนี่ถ้าไอ้คริสไม่นั่งอยู่ผมคงนอนดิ้นไปมาอย่างเด็กถูกขัดใจแน่ครับ   ฮืออออ  ก็ไม่อยากอยู่บ้านคนเดียวตอนกลางคืนแถมฝนตกหนักเสี่ยงไฟดับจริงๆอะ
 
 
“พี่ปูนไม่กลับหรอ”
 
 
“อือ”   อยากร้องไห้  จะบ้าตาย  นี้ครั้งแรกเลยนะที่ไม่มีพี่ปูนอยู่ด้วย  ยังทำใจไม่ได้จริงๆครับ  แต่ผมก็โตแล้วไม่ใช่เด็ก 3  ขวบที่ดูแลตัวเองไม่ได้ไง  ถือว่าฝึกความเข้มแข็งของลูกผู้ชายก็แล้วกัน
 
 
ฮืออออออออออออออออออ    แต่ตอนนี้ขอร้องไห้ในใจก่อนนะ
 





 
“ไม่ต้องกลัว   เดี๋ยวคืนนี้นอนเป็นแฟนเอง”                                                            





ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
 :laugh:
น่าจะกลัวตรงที่ขอนอนเป็นแฟนเอง นี่ละ
 :L2: :pig4:

ออฟไลน์ Januarysky

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 507
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
:laugh:
น่าจะกลัวตรงที่ขอนอนเป็นแฟนเอง นี่ละ
 :L2: :pig4:
มันใช่เลย
คริสไซส์ฝาหรั่งเสียด้วย
น่ากลัวมิใช่น้อย
 :hao7:

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4102
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Monkey D

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 698
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-0
ขอเปลี่ยนชื่อตอนนิดนึง

ไรท์สับสนตอนเอง 5555

กำลังเร่งปั่นเต็มที่ อีกไม่กี่ตอนก็จบแล้วล่ะ :o12:

คิดตอนจบแล้วก็อยากร้องไห้...


ขอบคุณทุกคนทุกความคิดเห็นนะที่มีมาให้กันตลอด :กอด1:

ถึงจะน้อยมากแต่มันก็คือแรงใจที่ดีสุดๆของไรท์จริงๆ


ส่วนเรื่อง ความรักทำให้ตาสว่าง ไรท์จะมาต่อหลังเรื่องนี้จบนะคะ

Good night  :L1:

ออฟไลน์ Laliat

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 253
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0

ออฟไลน์ Timber Huang

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 49
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
อยากให้มีภาค 2 แบบพาร์ท มหาวิทยาลัย งี้

ออฟไลน์ Monkey D

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 698
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-0

^
^
^
ขอบคุณทุกความคิดเห็นนะคะ :L2:

บทที่  21   ค่ำคืนของสองเรา 

 
 
“ไม่ต้องกลัว  เดี๋ยวคืนนี้นอนเป็นแฟนเอง”
 
 
“จะบ้าหรอ!  น่ากลัวกว่าอยู่คนเดียวอีก”    ผมรีบปฎิเสธ   ปกติต้องพูดว่านอนเป็นเพื่อนไม่ใช่หรอวะ  พอบอกว่านอนเป็นแฟนนี่...กูคิดไกลนะเว้ย
 
“แน่ใจ  อยู่คนเดียวได้ว่างั้น?”
 
“...เดี๋ยวโทรตามไอ้ตงก็ได้เหอะ”
 
“แล้วคิดว่ากูจะยอมให้ผู้ชายคนอื่นมานอนกับมึงไหม หึ?”  คริสพูดเสียงเข้มแล้วเอามือบีบแก้มผมทั้งสองข้างพร้อมกัน
 
“ฮึ่ยยย  กูคบกับไอ้ตงมานานกว่ามึงอีก   ไม่ง้อหรอก..”
 
 
บึ้ม!!!!
 
พรึ่บ
 
เกิดเสียงดังสนั่นไปทั่วตามด้วยไฟดับมันทั้งหลัง   ทำให้ผมกับไอ้คริสตกอยู่ในความมืดจนมองไม่เห็นหน้ากัน  ถึงจะยังไม่ดึกมากแต่เพราะว่าบ้านผมเป็นตึกทาวน์เฮ้าส์แถมปิดผ้าม่านทึบอีก  เลยมึดตึดตื้อไปใหญ่
 
“เชี่ยไรวะเนี้ย   ไฟดับทำไมตอนนี้”    ฮือออ ไอ้ปิ่นปิ๊นอยากร้องไห้ออกมาจริงๆแล้วครับ   ไฟดับแบบเหมือนรู้อะว่าพี่ผมไม่กลับแล้วผมต้องอยู่บ้านคนเดียว  แม่มมาดับได้ถูกเวลาโคตรๆ
 
 
“สงสัยเสียงหม้อแปลงระเบิดมั้ง  กูออกไปดูก่อนว่าหลังอื่นเขาดับหรือเปล่า”
 
“ไม่เอาอ่ะ  นั่งอยู่เป็นเพื่อนกูนี่แหละ”  ผมรีบคลำมือไปคว้าชายเสื้อไอ้คริสไว้  แต่ดันจับโดน...โคนต้นขามันซะงั้นรีบเปลี่ยนตำแหน่งแทบไม่ทัน   เกือบโดนอย่างอื่นแล้วไหมล่ะ -///-   
 
แต่ด้วยความกลัวที่มีมากกว่าผมเลยไม่ยอมนั่งอยู่คนเดียว ไม่เอาเด็ดขาดอ่ะ  นาทีนี้ฉากหนังผีวิ่งเข้ามาในหัวเป็นร้อยๆฉากเลยครับ  ฮือออ
 
“อ้าวไหนตะกี้บอกว่าไม่ง้อกูไง”   เสียงไอ้คริสพูดล้อเลียน
 
“ก็สถานการณ์มันเปลี่ยนไปแล้วไง   นั่งอยู่นี่แหละ ไม่ให้ไปไหนแล้วเข้าใจไหม”  กระตุกเสื้อมันอีกทีทำเหมือนกระตุกสายจูงหมาสั่งให้มันนั่งยังไงยังงั้นเลย  ถ้ายังไม่ยอมนั่งอีก สาบานเลยว่าจะกระชากลงมาทั้งตัวแน่
 
“ฮ่าๆๆ โอเคๆ  แต่กูไม่เข้าใจไฟดับก็มืดอยู่แล้ว  มึงยังจะหลับตาปี๊อีกทำไมเนี่ย  ลืมตาดิ”
 
“ไม่เอาอ่ะ”
 
“ทำไม ขอเหตุผล”
 
“ก็มันมืดไงถ้ากูลืมตาแล้วเห็น.ผ..ผีทำไงอ่ะ  กลัวนะเว้ย”  ผมบอกมันไปตามจริง  แค่คิดก็ขนลุกแล้ว
 
“ฮ่าๆๆ ตลกว่ะ  นี่บ้านมึงแท้ๆนะเนี่ย  แล้วใจคอจะนั่งอยู่แบบนี้อะนะ”
 
“เออดิ”  ผมบอกมันไปอย่างมั่นใจ  โดยลืมไปว่า
 
 
โครกกกก 
 
 
เสียงพยาธิประท้วงร้องขออาหารขึ้นมาอีกรอบแล้วครับ   จะมาหิวอะไรนักหนาตอนนี้วะเนี้ย  ไม่เห็นหรอว่าไฟมันดับ ไอ้พยาธิเฮงซวย!
 
 
“ท้องร้องดังซะขนาดนี้  หิวมากเลยอะดิ”
 
 
“แค่นี้ทนไหวน่า   เดี๋ยวมันก็สงบเองแหละ” 
 
 
โครกกกกกกก
 
“หึหึหึ  แต่กูว่ากระเพาะมึงไม่ยอมทนวะ   ที่ครัวมีอะไรกินบ้างไหมล่ะ”
 
 
“ไม่รู้ดิ   ปกติไม่ค่อยได้เปิดตู้เย็นดูอะ”  ปกติคือรอกินอย่างเดียวครับ  แหะๆ
 
 
“งั้นไปในครัวกัน  หิวมากๆเดี๋ยวจะปวดท้องหนักไปอีก”
 
 
ไอ้คริสพูดแค่นั้นเราก็พากันไปในครัวครับ  เอาจริงๆคือผมเกาะหลังไอ้คริสเดินตามมันไปในครัว  ฟิลลิ่งเดี๋ยวกับตอนไปเล่นบ้านผีสิงเลยอ่ะ 
 
 
ไอ้คริสก็เปิดไฟฉายในโทรศัพท์นำทางไป  นึกโชคดีอยู่เหมือนกันนะครับที่มีมันอยู่ด้วยในสถานการณ์มืดมิดแบบนี้  ถ้าไม่มีคริสอยู่ด้วยผมคงข่มตานอนที่โซฟาทั้งที่หิวอยู่แบบนั้นล่ะ  ไม่คิดย้ายที่ไปไหนแน่       แล้วเราก็ไปหาเทียนมาจุดกันเพราะผมจำได้ว่าซื้อเก็บไว้อยู่กล่องหนึ่ง    มีอยู่เทียนอยู่สามอันผมก็จัดการจุดหมดทั้งสามอันเลยครับ   เปลืองไม่ว่าขอสว่างๆไว้ก่อน
 
 
“ในตู้เย็นมีไส้กรอกอยู่แน่ะ  แล้วก็มีผักกับเนื้อหมูมั้ง  จะกินอะไรล่ะปิ๊น”    คริสถามหลังจากที่เปิดตู้เย็นเพื่อหาของกินกัน
 
 
“เอาไส้กรอกก็ได้เวฟเอาง่ายดี”  นาทีนี้ผมแค่ขอให้มันอยู่ท้องก็พอแล้วครับ  ไม่ต้องการอาหารเลิศหรูอะไรทั้งนั้น  อยากขึ้นห้องไปคลุมโปงนอนแล้วอ่ะ
 
 
“ตลกล่ะ  ไฟดับจะเอาไปเวฟได้ไง” 
 
แป่ววววว
 
“เออว่ะ  ลืมเลย แหะๆ  งั้นแล้วแต่มึงเลย”   ผมผลักภาระให้ไอ้คริสทั้งหมดเลยครับ  ไม่อยากคิดอะไรแล้วมัวแต่ยืนกลัวผีอยู่เนี่ย
 
 
“แล้วมีมาม่าหรือโจ๊กซองอะไรแบบนี้ตุนไว้บ้างไหม”
 
 
“มีๆอยู่บนตู้อ่ะ”   ผมชี้ไปที่ตู้เก็บของด้านบนของเคาน์เตอร์   
 
 
คริสมันก็ค้นๆรื้อๆเอาแล้วก็หยิบโจ๊กซองออกมาสี่ห่อครับ   ตอนแรกผมนึกว่ามันจะเลือกหยิบมาม่าซะอีกเพราะมันน่าจะอยู่ท้องมากกว่าโจ๊กซอง
 
 
“กินโจ๊กแล้วกันเนอะ  มึงหิวจนท้องร้องขนาดนั้นน้ำย่อยคงออกมาเต็มกระเพาะแล้วแหละ   มาม่าก็มีแต่รสเผ็ด ขืนกินเข้าไปได้นอนปวดท้องทั้งคืนแน่   พี่ปูนเคยบอกว่าถ้ามึงกินเผ็ดเยอะเกินไปจะปวดท้องด้วยกูจำได้ เดี๋ยวต้มโจ๊กแล้วก็ทอดไส้กรอกดีไหม  ง่ายดีด้วย  แก๊สยังมีอยู่ใช่ไหม”
 
 
“อือ”    ผมพยักหน้าไป  แอบอึ้งนิดๆที่มันใส่ใจจดจำรายละเอียดของผมขนาดนี้  ก็ขนาดตัวผมเองยังไม่เคยจำเลยครับว่าตัวเองกินเผ็ดมากไม่ได้จริงๆ  คือผมเป็นแผลในกระเพาะด้วยน่ะครับ  ที่ผ่านมาก็มีพี่ปูนที่คอยระวังอาหารการกินให้ตลอด
 
 ไอ้คริสก็เดินไปหยิบหม้อกับกะทะมาตั้งเตาแก๊ส  ซึ่งก็มีผมที่ประนึงเป็นจูออนค่อยเดินจับชายเสื้อตามมันไปทุกที่ไม่ยอมปล่อยจนแทบจะสิงร่างมันอยู่แล้วครับ
 
 
แต่ถึงกระนั้นผมก็ช่วยมันทำอาหารนะครับ   บอกไว้ก่อนเดี๋ยวจะหาว่าผมรอกินอย่างเดียว   ผมน่ะทั้งฉีกซองโจ๊ก ทั้งเทใส่หม้อ ทั้งเติมน้ำ  ทั้งเปิดแก๊สเลยนะครับ  ทำเยอะสุดๆ  แต่เพราะขั้นตอนมันเยอะผมเลยเปลี่ยนจากจับชายเสื้อมาเป็นคล้องแขนมันไว้แทน  ยึดแขนมันข้างหนึ่งมาเป็นของผมเลยละครับ  ไม่สนใจเลยว่ามันต้องทอดไส้กรอกเพียงมือข้างเดียว
 
 
ตอนแรกก็กลัวมันรำคาญนะแต่พอหันไปมองหน้ามัน  ก็เห็นว่าไอ้คริสมันยิ้มอย่างมีความสุขไม่มีสีหน้ารำคาญผมเลยเหมือนมันชอบที่ผมสกินชิพกับมันมากขนาดนี้อะครับ    ผมเองก็แอบอายนะ...แต่ก็ไม่ปล่อยหรอก   ถ้าไฟยังไม่มากูไม่แยกจากมึงเด็ดขาด  ฮ่าๆๆๆ
 
 
ตอนนี้สภาพเราทั้งคู่ก็คือคล้องแขนกันไว้  ผมคนโจ๊ก คริสทอดไส้กรอก 
 
 
ก็เป็นการทำอาหารที่แปลกๆดีนะครับ...ว่าไหม




(มีต่อ)

ออฟไลน์ Monkey D

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 698
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-0

“ไฟดับแบบนี้ก็ดีเหมือนกันเนอะ”
 
“หื้ม  ดีตรงไหน  ไม่เห็นดีเลยมืดจะตาย”
 
“ก็..มันทำให้กูรู้สึกเป็นคนสำคัญของมึงเลย  กูชอบนะที่มีมึงอยู่ข้างๆแบบนี้ ปิ๊น”
 
แค่ได้ฟังมันพูดพาลทำให้หัวใจผมเต้นตึกตักขึ้นมาอีกรอบ  เงยไปมองหน้าไอ้คริสก็เห็นเสี้ยวหน้าหล่อที่มีแสงเทียนส่องกระทบผิวยิ่งช่วยเพิ่มเสน่ห์ให้ดูน่าหลงใหลมากขึ้น   แววตาอ่อนโยนนั้นส่งมาให้เขาแต่เพียงผู้เดียวเสมอ  ซึ่งเขาก็มักแพ้สายตาแบบนี้ของคริสอยู่ร่ำไป
 
 
มือใหญ่เลื่อนมือไปปิดเตาแก๊สทั้งที่สายตายังมองไปยังคนตัวเล็กอย่างไม่รู้เบื่อ   เขาค่อยๆจับไหล่บางนั้นหันหน้าเข้ามาหากันก่อนจะดึงเข้ามาในอ้อมกอดจนกายแนบชิดกัน  ปิ๊นไม่ได้ขัดขืนอะไรอาจเพราะงงกับการกระทำของอีกฝ่ายหรืออาจเพราะว่าตรงนี้เป็นที่เดียวที่มีเทียนส่อง...แต่เขาจะสนใจอะไร  แค่อีกฝ่ายยืนให้กอดแบบนี้ก็ดีมากแล้ว
 
มือใหญ่ลูบกลุ่มผมนุ่มสีดำขลับของคนตัวเล็กอย่างอ่อนโยน  จมูกโด่งได้รูปก้มมาสูดกลิ่นหอมอ่อนของเส้นผมที่เพิ่งสระเข้าไปอย่างต้องการเก็บกลิ่นนี้ไว้ในปอดของตนไม่ให้หายไปไหน   
 
“ได้ยินเสียงอะไรไหม”  เขาถามคนตัวเล็กที่ศีรษะอยู่ตรง’อกข้างซ้าย’ของผมเขาพอดี
 
ปิ่นปิ๊นไม่ตอบเพราะเขาได้ยินเสียงนั้นตั้งแต่ที่อีกฝ่ายดึงเข้ามาในอ้อมกอดแล้ว   
 
เสียงหัวใจที่เต้นแรง...เป็นจังหวะเดียวกันกับหัวใจของเขา
 
 
 
 
 
“ของมึงนะปิ๊น”
 
 
เพียงคำพูดสั้นๆของคริสแต่ก็ทำให้ตัวเขารู้สึกขนลุกไปทั่วกายชั่วขณะ  หัวใจที่เคยเต้นแรงกลับรู้สึกบีบรัดอย่างเจ็บปวดชั่ววินาทีเดียว   เขาไม่รู้ว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้นน้ำตาเขาก็ไหลซึมออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ  มันเหมือนเป็นรีแอ็คชั่นที่ตัวเขาเองก็ไม่สามารถห้ามได้    อาจเป็นเพราะเขาก็รู้สึกได้ว่าคริสมันพูดจริง 
 
 
หัวใจดวงนี้เป็นของเขาทั้งใจจริงๆ
 
 
ตัวเขาเองก็รู้สึกไปไม่น้อยกว่าอีกฝ่าย  แต่เขาไม่ใช่คนที่สามารถพูดคำซึ้งๆออกมาได้แบบคริสนัก เขาเลยเลือกจะแสดงออกมาทางภาษากายมากกว่า
 
แขนเรียวที่เคยปล่อยทิ้งไว้แนบกายค่อยๆเลื่อนขึ้นไปกอดตอบอีกฝ่ายอย่างตอบรับสิ่งๆนั้น    คริสเป็นคนตัวใหญ่  เนื้อตัวก็แข็งทื่อไม่นุ่มนิ่มเลยสักนิด  แต่มันก็เป็นอ้อมกอดที่ทำให้เขารู้สึกปลอดภัย  เป็นอ้อมกอดที่เขารู้สึกอบอุ่นและก็อยากจะให้อีกคนนั้นกอดตัวเขาไว้แบบนี้เรื่อยๆไป...
 
 
“ถ้าขอจูบตอนนี้  จะหนีกูไหม”   คริสกระซิบถามคนตัวเล็กอย่างต้องการคำตอบ
 
 
 
“...ไม่หนี   แต่จะชกหน้ามึงแทน”    ปิ่นปิ๊นพูดเสียงเข้มอย่างไม่จริงจังนัก   มุมปากยกยิ้มเล็กๆเมื่อได้พูดกวนอีกฝ่าย
 
 
 
“งั้นก็ถือว่าคุ้ม”    หนุ่มลูกครึ่งยกยิ้มก่อนจะถอนตัวออกจากคนตัวเล็กมาสบตากัน
 
 
คริสก้มหน้าลงไปประทับจูบที่ริมฝีปากสีแดงสดของอีกฝ่ายอย่างนุ่มนวล  และเขาไม่คิดที่จะถอน ‘จูบครั้งแรก’ ของเขากับบปิ๊นนี้ออกไปโดยง่าย   ฝ่ามือใหญ่สอดเข้าใต้เส้นผมนุ่มของอีกฝ่ายกดเบาๆเอนให้ใบหน้าแนบชิดกันมากขึ้น  เอียงหน้าให้เข้าที่เล็กน้อยจนตรงล็อคที่พอดี  เขาก็กดจูบลงไปให้แนบแน่นยิ่งขึ้นอย่างที่ใจต้องการ  ก่อนจะจูบย้ำซ้ำๆอย่างหลงใหลในความนุ่มนิ่มของริมฝีปากนี้
 
 
จูบที่ไม่มากไม่น้อยจนเกินไปนี้มันช่างหอมหวานและตราตรึงในหัวใจของคนตัวเล็กเป็นอย่างมาก  นี่เป็นจูบแรกในชีวิตของเขา มันทั้งตกใจ  ตื่นเต้น ประหม่า  แต่ก็รู้สึกดีมากอย่างบอกไม่ถูก  ที่เขาว่ารู้สึกเหมือนมีผีเสื้อพันตัวบินอยู่ในท้องมันไม่ได้เป็นเรื่องโกหกเลยจริงๆ   
 
 
เขา ‘ประทับใจ’ ในจูบแรกนี้มาก
 
มากจนยอมยืนนิ่งรับทุกสัมผัสที่ส่งมาบนริมฝีปากนี้  ดวงตากลมที่เคยตื่นตะลึง บัดนี้ นั้นได้หลับตาพริ้มอย่างมีความสุขกับจูบที่แสนหวาน
 
 
มืดแบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะ   ไอ้บ้าคริสจะได้ไม่เห็นว่าสีหน้าของเขาตอนนี้  มันมีความสุขมากแค่ไหน
 
 
 
 
โครกกกกกกกกกกกก
 
 
เสียงประท้วงของพยาธิในกระเพาะคนตัวเล็กดังขัดจังหวะขึ้นมาอย่างต้องการแกล้งคนทั้งคู่ไม่ให้ชิมรสจูบของกันและกันมากไปกว่านี้  คริสถอนริมฝีปากออกจากปิ่นปิ๊นอย่างแอบหลุดขำนิดๆ
 
อุตส่าห์ได้โรแมนติกซะที  ก็ดันมีเสียงคนหิวข้าวมาร้องประท้วงซะได้
 
 
เขายีหัวคนอย่างเล็กอย่างหมั่นเคี้ยว  ถึงอยากจูบต่อแต่กระเพาะคนตรงหน้าก็สำคัญกว่าอยู่ดี   
 
 
ทั้งคู่สบตากันใต้แสงเทียนสีนวล  รอยยิ้มนิดๆที่แสดงออกถึงความสุขล้นจนเก็บไว้ไม่อยู่เผยออกมาให้เห็น  แม้ไม่ต้องพูดอะไรต่อแต่พวกเขาก็รับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายรู้สึกดีมากแค่ไหน  และแน่นอนว่าภาพความทรงจำเหล่านี้จะถูกบันทึกไว้ในสมองและเก็บทุกความรู้สึกนี้ไว้ในหัวใจ... 
 
 
ดินเนอร์ใต้แสงเทียนของทั้งคู่อบอวลไปด้วยความละมุนดังเช่นแสงเทียนที่ส่องแสงนวลออกมา  ถึงแม้มันจะเป็นแค่เทียนเก่าๆ มีแค่โจ๊กซองถูกๆกับไส้กรอกค้างตู้เย็นเป็นอาหารจานหลักอีกทั้งยังมีดนตรีเป็นสายฝนที่ยังคงตกไม่หยุด  แต่มันก็ทำให้คนทั้งคู่อิ่มท้องและอิ่มความรู้สึกได้เป็นอย่างดี    เพราะมันไม่สำคัญว่าสิ่งรอบข้างเป็นอย่างไร  แต่สำคัญที่ว่าทานอยู่กับใครต่างหาก
 
 
“ปิ๊น”
 
 
“หึ๊?”    เขาเงยหน้าขึ้นจากถ้วยโจ๊กหลังจากที่เอาแต่จ้องมองมาตลอดเวลาที่กิน  อย่างเขินอายอีกฝ่ายไม่กล้าสบตาด้วย
 
 
“ปิดเทอมเมื่อไหร่  เราไปเที่ยวทะเลกันนะ”   คริสเลื่อนมือมากุมมือของอีกฝ่ายไว้เป็นเชิงขอร้องอย่างต้องการคำตอบที่ตรงใจ
 
 
 
“..ก็ไปสิ”  ปิ่นปิ๊นเองก็อยากไปทะเลเหมือนกัน  คิดถึงน้ำใสๆกับทรายละเอียดเหมือนกัน  ถ้าได้ไปคลายเครียดหลังสอบเสร็จคงจะดีไม่น้อย
 
 
“สัญญาแล้วนะ”   คริสย้ำเพื่อความมั่นใจ
 
 
“อื้อ   สัญญา”  แม้จะไม่ชอบให้สัญญากับใครมากนัก  แต่เขาคิดว่านี้ไม่ใช่เรื่องเหนือบ่ากว่าแรงอะไร  จึงตกลงสัญญาไป  คริสยิ้มออกมาอย่างเปิดเผยแต่ก็ยังไม่ปล่อยมือที่กุมไว้ออก
 
 
ก็บอกแล้วไงว่าเขาชอบที่มีปิ๊นอยู่ใกล้ๆตัว  เมื่อคนตัวเล็กยังไม่มีท่าทางจะดึงออก  แล้วเรื่องอะไรที่เขาจะปล่อยมือนี้ออกไปง่ายๆล่ะ
 
 
“ปิ๊น”
 
 
“อะไรอีกกก”   คนตัวเล็กเริ่มงอแง  เรียกอยู่ได้  คนก็ยิ่งเขินๆอยู่   มือเล็กคนชามวนไปวนมาในถ้วยโจ๊กอย่างหยุดไม่อยู่
 
 
“ถ้ากินข้าวเสร็จ...ขอจูบอีกได้ป่ะ”  ที่ว่าคนเราได้คืบจะเอาศอกนั้นคงเป็นเรื่องจริง   ลองว่าได้มีครั้งแรก  ก็ต้องมีครั้งต่อไปเรื่อยๆ
 
 
“ไม่ได้”   เสียงประกาศิตประกาศดังชัดเจน  เล่นเอาคนตัวโตหน้าหงอยลงไปถนัดตา  ปิ๊นยกยิ้มอย่างสะใจที่เห็นคริสมีสีหน้าแบบนั้น
 
 
 
 
 
 
“แปรงฟันก่อน.......ค่อยพิจารณาอีกที”
 
 


----------------------
หึหึหึ 

ขอถามอะไรนิด ว่าอยากให้คู่นี้มีฉากเรทไหม
ตอนรีไรท์เรื่องนี้ตั้งใจว่าจะคุมโทนให้มันใสใส 555
แต่ก็ใกล้จะจบแล้ว เลยอยากรู้ว่าคนอ่านต้องการไหม

คิดเห็นอย่างไรบอกกันหน่อยน้า
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-08-2017 17:07:16 โดย Monkey D »

ออฟไลน์ Laliat

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 253
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
 :oo1: รอๆ
ว่าแต่ตอนจบน้ำตาท่วมจอเหรอ

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4102
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8

ออฟไลน์ Monkey D

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 698
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-0
ตอนที่  22  ระหว่างเพื่อนกับแฟน



 
ติ๊งต่อง   ติ๊งต่อง
 
เสียงกดกริ่งหน้าบ้านดังแต่เช้าตรู่  ใครมันมาแต่เช้าวะ  ไม่เกรงใจกันบ้างเลยวันหยุดแท้ๆแม่ง
 
บ่นไปอย่างงั้นแหละ   เอาเข้าจริงผมก็มุดผ้าห่มนอนต่ออย่างไม่สนใจเพราะรู้ว่าพี่ปูนที่ตื่นเช้าทุกวันต้องไปเปิดดูอยู่แล้ว  ฮ่าๆๆ   มีพี่ดีชีวิตก็ดี๊ดีไป
 
 
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
 
“ม่ายด้ายล็อคคร้าบบ”  ผมพูดเสียงยานเพราะคิดว่าคงเป็นพี่ปูนมาเคาะแน่ๆ
 
แต่ผมก็คิดผิดเพราะผ้าห่มถูกกระชากเปิดออก  ทำให้สายตาโดนแสงจากหน้าต่างส่องเข้ามาเต็มๆ  แดดมันจ้ามากจนต้องปิดตาแน่น
 
“ใครวะ!  เปิดผ้าม่านทำไมแสบตานะ”    ผมตะโกนว่า  เมื่อรู้ว่าเป็นคนอื่นแน่ๆ  พี่ปูนไม่เคยทำแบบนี้หรอก
 
“ตื่นๆๆ  รีบลุกมาติวได้แล้ว  จะเจ็ดโมงแล้วเปี๊ยก”   ไอ้คริสพูดก่อนจะมานั่งข้างๆบนเตียงแล้วเอามือยีหัวผมจนฟูไปหมด
 
“หืออออ  แล้วจะรีบมาทำไมวะ  ง่วงจะตายแล้ว”  ผมยังหลับตาพูดก่อนก็ปกติเสาร์ – อาทิตย์ ผมตื่นเก้าโมงเช้านู่นแหละครับ   ใจจริงอยากตื่นสายกว่านี้ด้วยซ้ำแต่พี่ปูนไม่ให้ครับ  กลัวน้องไม่ได้กินข้าวเช้าแล้วปวดท้อง เหอๆ
 
“ก็จะรีบมาติวให้ไง  ลุกเร็ว  นี่คนอุตส่าห์ตื่นตีห้าครึ่งเพื่อจะได้มาหาเปี๊ยกแต่เช้าเลยนะ”    แม่ง พูดซะกูดูเลวเลย  ตื่นก็ได้วะ   
 
ผมก็ค่อยๆลืมตาไปมองหน้ามันครับ   หน้าไอ้คริสก็ยังหล่อเหมือนเดิมแหละ  ดวงตาของมันก็จ้องมองมาที่ผมเหมือนเดิม   มือใหญ่ๆของคริสลูบหัวผมเบาๆมันเคลิ้มซะจนอยากหลับตาอีกรอบจริงๆ
 
 
จุ๊บ
 
 
ริมฝีปากบางก็คริสก้มลงมาประทับที่ปากอิ่มของผมเบาๆตอนที่ผมกำลังเคลิ้มๆเหมือนจะหลับอีกรอบ สร้างแรงกระตุ้นให้ผมตื่นในทันที   จนสะดุ้งลืมตาขึ้นมาอีกรอบ
 
“ทะลึ่ง!”
 
“หึหึ ก็อยากไม่ตื่นเองนิ  ถ้ายังจะหลับอีกคราวนี้จะปล้ำแล้วนะ”   คริสพูดด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์  มันน่าหมั่นไส้จนผมยกมือไปตีมันที่อกเต็มแรง
 
“โอ๊ย! อูยยยย”   มันร้องลั่นหน้าตาเจ็บปวดก่อนจะเอามืออีกข้างไปจับที่หน้าอกเบาๆ   
 
“อะไรๆ  อย่ามาทำเป็นร้องเวอร์ๆ  ตีไม่แรงสักหน่อยเถอะ”  ผมลุกขึ้นมานั่งบ่นกับท่าทางสำออยเกินจริงนั่นอย่างขำๆ
 
 
แต่หน้าไอ้คริสกลับไม่ขำด้วย   สีหน้ามันยังดูเจ็บปวดจริงๆหน้านิ่วไม่หายเลย
 
“เจ็บจริงหรอ  เฮ้ย ขอโทษ  ไม่ได้ตั้งใจให้เจ็บจริงๆนะ  มาดูหน่อยดิเป็นรอยป่าว”   ผมรีบขอโทษเพราะดูท่ามันจะเจ็บจริงๆ   เตรียมจะไปถลกเสื้อมันดู
 
“ไม่เป็นไรๆ  หายแล้ว”   ไอ้คริสเบี่ยงตัวออกไม่ยอมให้ผมดู
 
“เอามาดูก่อนเร็วๆ  อย่าให้ต้องโมโหนะ”  ผมมองหน้ามันนิ่ง  คนเป็นห่วงยังไม่รู้ตัวอีก  แค่เปิดเสื้อให้ดูแป๊บเดียวมันจะตายเลยไงว่ะ
 
“ไม่เป็นอะไรจริงๆ”  มันยืนยันแต่ไม่ยอมสบตาผม  แม่งโคตรมีพิรุจน์
 
“ถ้าไม่ให้ดูก็กลับบ้านไปเลย”    ผมหันหลังให้มันทันที  ดูทรงแล้วคงไปมีเรื่องโดนเขากระทืบตัวมาอีกแน่ๆ  แล้วก็เลยไม่กล้าให้ผมดู  คงจะกลัวผมโกรธซึ่งผมก็โกรธจริงๆ  โกรธมากด้วยห้ามไปไม่รู้กี่รอบไม่เคยฟังกัน  ปากบอกจะไม่ไปมีเรื่องอีกแต่สุดท้ายก็มี  สัญญาไม่เคยเป็นสัญญามันน่าโกรธไหมล่ะครับ
 
ไม่เข้าใจจะชอบมีเรื่องอะไรกันนักหนา  เจ็บตัวนี่มีความสุขมากนักหรอ  ถ้าโชคดีก็แค่เป็นแผลพกช้ำ  แต่ถ้าไม่ดีล่ะครับ  ถ้าอีกฝ่ายมีมีดมีปืนทำไง  จะหนีทันหรอ  พิการหรือตายไปมันคุ้มไหม  บ่นมันกี่รอบก็เอาแต่เงียบ  ถ้าไม่ห่วงคิดว่าผมจะบ่นจะว่ามันไหมล่ะ  ถ้ามันเป็นอะไรไปใจผมต้องสลายแน่
 
คิดแค่นั้นน้ำตาผมก็ไหลซะงั้น  มันไหลออกมาเฉยๆไม่มีเสียงสะอื้นอะไร   ผมไม่ใช่คนที่ชอบเรียกร้องความสนใจที่จะต้องอยากให้มันมาปลอบ  ฉะนั้นผมจึงเลือกจะนั่งนิ่งๆปล่อยให้น้ำตามันไหลไป
 
 
“ปิ๊น  ไม่เอาดิหันหน้ามาคุยกันก่อน”   เสียงไอ้คริสดูลำบากใจเอามือจับไหล่จะให้ผมหันกลับไป
 
“ไม่ต้องมายุ่ง”
 
“อย่าเป็นงี้ดิวะ  คนตั้งใจมาติวให้นะเว้ย  ก็บอกว่าหายเจ็บแล้วไงถึงไม่ได้ให้ดู”
 
“มึงไม่ต้องมาโกหก  ไปโดนยำตีนมาอีกแล้วใช่ไหมล่ะ ถึงไม่อยากให้กูเห็นแผลอะ!”  ผมเช็ดน้ำตาแล้วหันไปเผชิญหน้ากับมัน
 
“ไม่ใช่สักหน่อย  ไม่ได้ไปมีเรื่องกับใครแล้ว เชื่อกันบ้างดิ!”
 
“เชื่อก็ควายแล้ว  กี่รอบแล้วที่ไม่เคยรักษาสัญญาได้  เบื่อจะฟัง!”
 
“บอกความจริงแล้วไม่เชื่อก็ไม่รู้จะพูดยังไงเหมือนกัน!”
 
“ถ้าอยากให้เชื่อก็เปิดเสื้อให้กูดูดิ  แป๊บเดียวมันไม่ตายหรอกมั้ง”
 
“ก็..เฮ้อออ”  มันถอนหายใจอย่างหัวเสีย
 
“ถ้าคิดแบบนั้นแล้วสบายใจก็แล้วแต่”  คริสพูดเสียงเรียบ  บรรยากาศมาคุสุดๆ
 
“หึ  เห็นไหมล่ะ สุดท้ายก็ไม่กล้า”  พูดแบบนี้ก็แสดงว่าที่ผมคิดมันเป็นเรื่องจริงใช่ไหมล่ะครับ
 
“เลิกประชดประชันเหอะ  ขอร้อง คนอยากมาช่วยติวหนังสือให้นะเว้ย  ไม่ได้อยากมาทะเลาะด้วย”
 
“...”  กูผิดงั้นสิที่โวยวาย   อยากจะพูดแบบนี้แต่ก็ไม่อยากจะให้เรื่องมันบานปลายไปกว่านี้  ต่างคนก็ต่างอารมณ์คุกกรุ่นกัน
 
เราทั้งสองคนต่างคนต่างก็ไม่ยอมพูดกัน  ผมไม่พูดอะไรกับมันอีกหน้าก็ไม่มอง  ไอ้คริสเองก็เดินไปเดินมาอย่างหัวเสีย   โคตรอึดอัด  เราไม่ค่อยทะเลาะกันเท่าไหร่มากสุดก็แค่บ่นมันว่ามัน  เพราะผมคิดเสมอว่าถ้าคบกันก็ต้องมีความสุข  ไม่ใช่เอาแต่ทะเลาะกันอะไรยอมได้ก็ยอมกันไป  แต่ก็มีครั้งนี้แหละที่แรงสุดแล้ว
 
ครืดดดด  ครืดดดด
 
เสียงสั่นของโทรศัพท์ผมดังขึ้น  ตอนแรกก็คิดว่าจะไม่รับแต่ก็เกลียดบรรยากาศอึมครึ้มแบบนี้ผมเลยรับสายไป
 
“ฮัลโหล”
 
(โหล  ไอ้ปิ๊น  กูเพิ่งตื่นว่ะมึง  กว่าจะไปถึงบ้านมึงคงสักเก้าโมงเช้าอะ)
 
“อะไร  มึงจะมาบ้านกูหรอ”   
 
(อย่าบอกนะว่ามึงลืม  ก็เรานัดติวหนังสือที่บ้านมึงไง ลืมแล้วหรอว่ะ)
 
“เฮ้ย  กูลืมเลย”  ฉิบหายแล้วไง  ทำไมความจำปลาทองแบบนี้วะลืมเลยว่าจะบอกเลื่อนนัดติวกับไอ้คริส  แถมไอ้คริสก็มาแล้วด้วย
 
(ถึงลืมมึงก็ต้องจำให้ได้แล้วล่ะ  เมื่อกี้ไอ้ปอมันโทรบอกว่าออกจากบ้านแล้ว  อีกสักพักก็คงถึง)
 
เครียดเลย  พอรู้ว่าไอ้ปอมันออกมาแล้ว  จะบอกยกเลิกพวกมันก็ไม่ทันแล้ว  ทำไงดีวะกู
 
(งั้นแค่นี้นะมึง  กูไปอาบน้ำก่อน แล้วเจอกัน)
 
“เออๆ”
 
วางสายเสร็จผมนี่ถึงกับกุมขมับ  แทบจะทุบหัวให้กับความขี้ลืมของตัวเอง  ไม่รู้จะทำยังดีจริงๆ  แต่จะให้ไอ้ปอเจอกับไอ้คริสไม่ได้เด็ดขาดอ่ะ   กันไว้ก่อน ดีกว่าจะมาห้ามตอนพวกมันสองคนชกกัน  ไม่เข้าใจไอ้ปอเหมือนกันทำไมถึงไม่ชอบไอ้คริสนักหนา
 
“คริส”
 
“อะไร”   มันพูดเสียงห้วน   
 
“...”  ไม่อยากทำแบบนี้เลย  แต่ก็ต้องทำ  รู้สึกผิดว่ะ  แต่ถ้าอธิบายดีๆคริสมันคงฟังนะ
 
“มึง..กลับไปก่อนได้ไหม”
 
“ว่าไงนะ  ทำไมถึงต้องกลับ  แค่ทะเลาะกันแค่นี้มึงไล่กูกลับเลยหรอวะ”
 
“มันไม่ใช่แบบนั้น”
 
“แล้วมันแบบไหน”
 
“คือ..เพื่อนกูกำลังจะมาติวหนังสือกันที่บ้านกู  กูผิดเองที่ลืมเลื่อนนัดกับมึงอะ  ขอโทษจริงๆแต่ตอนนี้มึงรีบกลับไปก่อนได้ไหม”   ผมพูดอย่างขอร้อง
 
“แล้วทำไมต้องเป็นกูที่ต้องไปวะปิ๊น  มึงนัดกับกูก่อนนะ” 
 
“ก็รู้  ก็ขอโทษแล้วไง  เดี๋ยวเราค่อยไปติวกันวันอื่นก็ได้  แต่ตอนนี้เพื่อนกูจะมาแล้วรีบกลับไปเหอะ”
 
“เพื่อนมาแล้วทำไม  อยู่ติวด้วยกันไม่ได้หรือไง”  คริสพูดเสียงดังอย่างไม่พอใจ
 
“แล้วจะให้กูบอกเพื่อนกูว่ายังไงล่ะที่มีมึงมาติวด้วย  มึงก็รู้ว่าเพื่อนกูมันไม่รู้ว่ามึงกับกูเป็นอะไรกัน  แล้วกูก็ยังไม่อยากให้ความลับแตกด้วย!”   ผมที่เริ่มอารมณ์คุกกรุนมาอีกรอบลุกขึ้นยืนพูดเสียงดัง
 
“ทำไม  คบกับกูมันน่าอายมากนักหรือไง! ถึงบอกใครไม่ได้!”   ไอ้คริสเองก็ไม่ยอมมายืนตะคอกอยู่ตรงหน้ากันอย่างไม่พอใจ
 
“มันไม่ใช่อย่างงั้นเว้ย  แต่มันยังไม่ถึงเวลา  มึงอย่างี่เง่าดิ!”
 
“....หึ...มึงว่ากูงี่เง่าหรอ...มึงไม่รู้หรอกว่ากูอดทนแค่ไหน  ถ้ากูงี่เง่าจริง  วันก่อนกูเดินเข้าไปชกหน้าเพื่อนมึงแล้ว! คงไม่ฝืนใจทำเป็นยิ้มให้มึงหรอก อย่าคิดนะว่าไม่เห็น  ให้มันนอนตักกลางโรงเรียนซะขนาดนั้น  ไม่อายเลยใช่ไหม หน้าด้านขึ้นมาเชียว!  ตกลงไอ้เหี้ยนั่นเพื่อนหรือผัวกันแน่!!!”
 

ปั่ก!!!
 
หมัดเล็กๆส่งเข้าไปเต็มแรงที่ใบหน้าของคนรักอย่างเจ็บปวด   ทำไมต้องด่ากันถึงขนาดนี้ด้วย  เห็นเขาเป็นคนอย่างนั้นจริงๆหรือไง   น้ำตาแห่งความรู้สึกเจ็บปวดและเสียใจไหลลงมาอย่างห้ามไม่อยู่   ทำไมไม่เข้าใจกันบ้าง  ไม่ใช่ว่าอายที่คบกับมัน  แต่เพราะเขารักทั้งมันแล้วก็รักทั้งเพื่อนมากพอๆกัน  แต่อยากรักษาไว้ทั้งสองอย่างเท่านั้นเอง  ไอ้ปอไม่ชอบคริสเขารู้ดี  ถ้ามันรู้และขอให้เขาเลิก  เขาจะตัดสินใจยังไงได้  มันคงจะแย่มากแน่ๆ  เพราะเขาไม่อยากเสียอะไรไปเลย
 
“หึ  มึงต่อยกูเพื่อปกป้องมันเลยหรอวะปิ๊น   มึงรักมันมากกว่ากูหรอ”  คริสเองก็หันมามองเขาอย่างไม่เชื่อว่าจะต่อยมันจริงๆ
 
“มันไม่ใช่อย่าง..”
 
“ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว  กูเข้าใจ  กูรู้แล้วต่อให้กูทำดีกับมึงรักมึงมากแค่ไหน กูแม่งก็ไม่ใช่คนสำคัญที่สุดของมึงอยู่ดี”   คริสพูดออกมาอย่างเจ็บปวดใจ  หันหลังไปคว้ากระเป๋าเป้หนักอึ้งที่แบกหนังสือมาเต็มกระเป๋ามาแล้วเดินออกจากห้องนอนไป
 
 
ทำไมเรื่องมันถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้วะ  เขาไม่ได้ตั้งใจให้มันกลายเป็นแบบนี้  อย่าพูดว่ามึงไม่สำคัญสำหรับกูได้ไหม   เพราะมึงสำคัญมาก...แล้วกุก็ไม่อยากเสียมึงไป
 
 
สองขาวิ่งออกมาตามเด็กหนุ่มอีกคนอย่างอัตโนมัติ  ยังไงก็ต้องพูดกันให้รู้เรื่องก่อน  เขาไม่อยากให้จากกันด้วยความรู้สึกแย่ๆแบบนี้
 
“คริส  มึงฟังกูก่อนดิวะ”  ปิ๊นตะโกนเรียกจากบันไดเมื่อเห็นอีกฝ่ายนั่งใส่รองเท้าผ้าใบอย่างรีบร้อน
 
“กูไม่อยากฟัง!”  คริสพูดอย่างขุ่นเคือง  ก่อนจะรีบลุกไปเปิดประตูบ้านออก  พอดีกับที่ปิ๊นวิ่งตามมาทัน
 
 
แต่คริสก็ไม่ได้เดินออกไป  ปิ๊นจึงรีบวิ่งมาดึงมือคริสไว้อย่างฉุดรั้ง
 
“ขอโทษ  กูไม่ได้ตั้งใจ”  ปิ๊นบอกเสียงสั่น  ดึงมือคริสไว้แน่น  น้ำตาเอ่อบังภาพจนมัวไปหมด
 
“ขอโทษใคร...”
 
“กู...หรือไอ้นี่”   มือใหญ่กำหมัดไว้แน่นอยู่ข้างลำตัว   แววตานิ่งจ้องมองไปยังคนตรงหน้า   ปิ๊นที่รู้สึกถึงความผิดปกติรีบเช็ดน้ำตาออกแล้วมองร่างของใครอีกคนที่อยู่ด้านหน้าประตู
 
 
 
“ไอ้ปอ”
 
 
“มันทำอะไรมึงไอ้ปิ๊น  ร้องไห้ทำไม!”   ปอรีบเดินแทรกเข้ามาหาเพื่อนรักตัวเองจนไม่สนว่าจะไปกระแทกตัวใครให้พ้นทาง
 
“ป..เปล่า..มึงมาเร็วจัง”  ปิ๊นตกใจมากแต่ก็พยายามหยุดน้ำตาตัวเองไว้และ...รีบปล่อยมือออกจากอีกคน
 
 
คริสมองดูมือของคนรักที่ปล่อยจากมือเขาอย่างรวดเร็ว  มันโคตรจี้ดในใจเขาสุดๆ  แค่ไอ้หมอนี่มาก็ปล่อยมือเขาทิ้งแล้ว  กลัวมันรู้ความจริงหรือกลัวมันเข้าใจผิดกันแน่  เขาเห็นก็รู้แต่แรกแล้วว่าเพื่อนคนนี้ของปิ๊นมันไม่ได้มองปิ๊นเป็นแค่เพื่อนแน่   ตอนไปรอรับก็เคยไปแอบดูอยู่บ่อยๆ  แต่ไม่อยากเอามาเป็นประเด็นให้ทะเลาะกัน  เพราะเขาเชื่อใจว่าปิ๊นไม่ได้คิดอะไรกับอีกฝ่ายแน่
 
 
แต่เขาคงคิดผิด
 
 
“ก็จะรีบมาหามึงนี่แหละ”   ปอพูดเสียงอ่อนลงแล้วยกมือขึ้นหมายจะเช็ดคราบน้ำตาให้


 
พลั่ก!
 
 
เหมือนร่างกายมันทำไปเองก่อนหัวสมองจะสั่งการซะอีก  คริสผลักอีกฝ่ายออกจากคนรักอย่างเต็มแรง  ดวงตาบ่งบอกถึงความไม่พอใจอย่างที่สุด
 
“อย่ามาแตะคนของกู”   
 
“แล้วจะผลักไอ้ปอมันทำไมอะคริส”  ปิ๊นหันมาว่าก่อนจะกลับไปที่เพื่อนตัวเองที่ล้มลงนั่ง แล้วพยุงให้ลุกยืน
 
“...”  แม่ง โดนตีอกเมื่อกี้ยังไม่เจ็บเท่าแฟนตัวเองเข้าข้างคนอื่นเลยจริงๆ
 
“หึ  ปิ๊นไม่เคยเป็นของมึง  อย่ามามโนไปหน่อยเลยว่ะ!”  ปอพูดแล้วยิ้มเหยียดใส่คริส   การกระทำแบบนี้ไม่ต่างจากราดน้ำมันเข้ากองไฟ    คริสโมโหจนเข้าไปกระชากคอเสื้อปอแน่น
 
“ปิ๊น เป็น แฟน กู!”  คริสพูดเน้นทุกคำอย่างจงใจให้อีกคนรู้ความจริงสักที   เขาไม่อยากจะต้องอยู่แบบนี้แล้ว  ทำไมต้องมาเกรงใจแค่เพื่อนคนเดียว  ลองถ้าเพื่อนเขามาวุ่นวายแบบนี้เขาเลิกคบแน่ ไม่มัวมาเกรงใจคิดมากแบบปิ๊นหรอก
 
“หึ   ไอ้แฟนที่ต้องบังคับกันน่ะหรอ  ตลกว่ะ  คิดว่าตัวเองเป็นพระเอกละครน้ำเน่าหรือไง  นี่มันโลกแห่งความจริงโว้ย  ที่เพื่อนกูยอมเป็นแฟนมึงก็แค่ต้องการรับผิดชอบที่ทำหนังสือมึงหายเท่านั้นแหละ”  ปอกระชากมือคริสออกจากคอเสื้อตัวเอง   มองด้วยแววตาสมเพช
 
“  ปิ๊น! มัน! ไม่! ได้! รัก! มึง!”   
 
 
“ไอ้สัสเอ๊ย  ไม่ไหวแล้วเว้ย!”  คริสพุ่งเข้าไปชกปอจนล้มนอนด้วยกันทั้งคู่ต่างคนต่างผลัดกันต่อย หมัดแลกหมัด อย่างไม่มีใครยอมใคร
 
“พอ  อย่าทำแบบนี้  พอดิว่ะ!”   ปิ๊นพยายามห้ามแต่ก็ไม่มีใครฟัง ฟัดยิ่งกว่าหมากัดกันอีก
 
“มีเรื่องอะไรกันปิ๊น  เสียงดังไปถึงชั้นสามแน่ะ  เฮ้ย! ต่อยกันทำไม”   ปูนที่อ่านหนังสืออยู่บนห้องแต่ได้ยินเสียงดังเดินลงมาถามน้องชายตัวเองก่อนจะตกใจที่เห็นผู้ชายสองคนต่อยกันนัว
 
“...”  ปิ๊นมองทั้งคู่แล้วรู้สึกอยากจะร้องไห้ออกมาอีกรอบ   เรื่องมันจะบานปลายเกินไปแล้ว  เห็นทั้งแฟนตัวเองกับเพื่อนตัวเองมีเรื่องอย่างจะฆ่ากันให้ตาย  คนกลางอย่างเขามันทั้งอึดอัด ทั้งเสียใจ ทั้งปวดหัว
 
คริสที่มีเรื่องต่อยตีบ่อยแน่นอนว่าเขามีชั้นเชิงในการหลบหมัดมากกว่าปอ  ถึงแม้ว่าปอจะออกกำลังบ่อยก็ตามแต่คนที่นานๆจะมีเรื่องที  ย่อมต้องเสียท่าให้กับคนที่ช่ำชองเรื่องแบบนี้  คริสผลิกมาอยู่ข้างบน  ก่อนจะรัวหมัดใส่หน้าปอไม่ยั้ง   
 
กล้าดียังไงมาบอกว่าปิ๊นไม่รักเขา   มันเป็นใครถึงมีสิทธิ์มาพูดแบบนี้  มันก็แค่คนนอก  เขามั่นใจว่าทั้งตัวเขาและปิ๊นรักกันจริง   รักมากด้วย  ไอ้ปากหมาๆแบบนี้มันต้องโดนต่อยให้ปากแตกจนพูดไม่ได้ไปสักอาทิตย์นึงถึงจะสาแก่ใจ!

 
ซ่า!
 
ถังน้ำที่บรรจุน้ำมาเต็มถึงสาดเข้าไปเต็มๆที่ตัวคริสจนเปียกไปหมด   คริสตวัดตาไปมองว่าเป็นฝีมือใครก็ต้องปวดใจอีกรอบเมื่อเห็นว่าเป็นคนรักของตัวเอง
 
“พอทีเถอะว่ะ  เลิกทำตัวแบบนี้เหอะ มันทุเรศ! รู้ตัวบ้างไหม!”  ปิ๊นพูดอย่างเหลืออดเต็มทน
 
“ก็ดูไอ้เชี่ยนี่มันพูดดิ  ปากหมาแบบมันก็ต้องโดนแบบนี้แหละ”
 
“พอเหอะคริส  มึงนั่นแหละที่ควรหยุด!  เอะอะต่อยตีแบบนี้กูรับไม่ได้หรอกนะเว้ย!”
 
“เออ  กูมันอันธพาล! พอใจยัง กูทำห่าอะไรก็ผิดหมดแหละ!”  ดวงตาสีอัลมอลแดงก่ำ  หัวใจเหมือนถูกบีบให้แตกสลายซ้ำๆจนเกินจะทน   ทำไมถึงได้ว่าเขาอยู่ฝ่ายเดียว  สาดน้ำใส่เขาอยู่คนเดียว
 
หรือว่าไม่เคยรักเขาจริงๆงั้นหรอ
 
“มึงกลับไปสงบสติอารมณ์ก่อนเหอะ  ไว้ค่อยมาคุยกันวันหลัง”   ปิ๊นบอกอีกฝ่ายไป  มือกุมขมับอย่างปวดหัวจริงๆ   ขืนอยู่แบบนี้ต่อไปมีแต่พังพินาศกว่าเดิม
 
“ไม่ต้องคุยวันหลังหรอกปิ๊น  เอามันให้จบกันวันนี้ไปเลย”   ปอพูดขึ้นเช็ดเลือดออกจากมุมปากเดินไปหยิบกระเป๋าตัวเองแล้วล้วงเอาบางสิ่งออกมา
 
 



“นี่ใช่ไหม ที่มึงอยากได้คืน”

---------------------------

ใกล้จะจบแล้วนะคะ อีกไม่กี่ตอนก็จบแล้วววว

แอบใจหายนิดนึงเนอะ

ติดตามนะคะหลังจากนี้ดราม่าล้วนๆ5555

ออฟไลน์ Monkey D

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 698
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-0

ตอนที่  23  คืนเขาไป



“นี่ใช่ไหม ที่มึงอยากได้คืน”

หนังสือรูปทรงคุ้นตาที่ผมเคยเห็นและอ่านมาเมื่อหลายเดือนก่อน  แล้วก็เป็นคนที่ทำให้มันหายไป  หาซื้อเล่มใหม่ยังไงก็หาไม่เจอ  แต่ตอนนี้มันกลับมาอยู่ในมือของไอ้ปอที่ยื่นส่งให้ไอ้คริส  ที่ก็ยืนตะลึงไม่ต่างจากผม

“มึงไปได้..มาจากไหน”  ผมถามไอ้ปออย่างไม่อยากจะเชื่อว่ามันจะหามาได้จริงๆ

“จากน้องกูน่ะ  มันช่วยหาได้”

“...”

“ถ้าหาหนังสือมาคืนให้ได้เมื่อไรก็ค่อยเลิกกัน”

“แต่มีข้อแม้นะเว้ย  ถ้ากูหาหนังสือมาคืนไม่ได้ กูก็ยอมเป็นแฟนกับมึงแค่สามเดือนเท่านั้นพอ  ถ้าครบสามเดือนถือว่ากูชดใช้ให้มึงแล้ว มึงกับกูก็เลิกกันแยกย้ายกันไปนะเว้ย”   

“ไม่! สามเดือนมันน้อยไป อย่างน้อยก็ต้องหกเดือน ตามนี้แหละ หกเดือน!”

คำพูดของไอ้คริสวันนั้นมันดังก้องอยู่ในหัวผมเต็มไปหมด  ไม่รู้ว่าไอ้คริสจะยังจำได้ไหม  แล้วถ้ามันจำได้...

มันจะเลิกคบกับผมตามที่เคยพูดไว้หรือเปล่า


“เอาไปสิวะ  อยากได้คืนมากไม่ใช่หรอ   แล้วไม่ต้องมายุ่งวุ่นวายกับปิ๊นอีกถือว่าชดใช้คืนให้หมดแล้ว”  ไอ้ปอเดินตรงเข้าไปที่ไอ้คริสแล้วดึงมือมันมารับหนังสือไว้

“กูอยากได้เล่มเก่าของกูคืนต่างหาก  ไม่ใช่เล่มใหม่ที่เป็นของใครก็ไม่รู้” 

“หึ  หัวหมอจริงนะมึง  งั้นก็เปิดดูข้างในให้เต็มตาสิ  ว่าชื่อที่เขียนอยู่ข้างในใช่ชื่อมึงหรือเปล่า”  ปอพูดอย่างยิ้มกระย่องใจ  คริสได้แต่กำหนังสือแน่นมองดูหนังสือในมือ

ไม่ใช่หรอก  ยังไงก็ไม่ใช่  ไม่บังเอิญขนาดนั้นหรอก

คริสหน้าเครียดแต่ก็ค่อยๆเปิดหน้าปกออก  เผยให้เห็นหน้าปกด้านในที่มุมล่างด้านขวามีลายมือเขียนแสดงความเป็นเจ้าของไว้ว่า

‘Kirs’



“หึ  เงียบแบบนี้แสดงว่าใช่ของมึงใช่ไหมล่ะ  โชคดีฉิบหายเลยว่าไหมว่ะ”


“น้องมึงไปได้มาจากไหน”  ผมเอ่ยปากถาม

“น้องกูมันไปเป็นจิตอาสาทำความสะอาดโรงเรียนชนบทที่ถูกน้ำท่วมแล้วเจอพอดี  โชคดีที่เล่มนี้มันวางอยู่ชั้นบนสุดเลยไม่เปียกน้ำ”

“...”  ตอนอยากได้คืนแทบเป็นแทบตายหายังไงก็ไม่เจอ   แต่พอไม่ได้ต้องการแล้วมันกลับมาอยู่ตรงหน้าอย่างง่ายๆ

ทำไมไม่เจอให้เร็วกว่านี้   ถ้าเจอได้เร็วกว่านี้  ความสัมพันธ์ของเขากับไอ้คริสคงไม่ยืดเยื้อมานานจนกลายเป็นผูกพันธ์กันแบบนี้หรอก 

“ได้ของที่ต้องการแล้วก็ออกไปจากชีวิตเพื่อนกูได้แล้ว!  จะยืนโง่อยู่อีกทำไม”  ไอ้ปอตอกย้ำไอ้คริสอีกรอบ   มันใช้แขนโอบไหล่ผมไว้ใกล้ตัวแล้วยิ้มเยาะ  ซึ่งผมเองก็ไม่ได้สนใจจะปัดออกเพราะมัวแต่มองไอ้คริสอยู่

คริสมันไม่พูดโต้ตอบหรือเดินออกไปแต่อย่างใด  แต่มันมองมาที่ผม  สายตาของมันแฝงไปด้วยความเจ็บปวด

“ใช่  กูมันโง่  โง่ที่คิดว่าจะเปลี่ยนใจใครได้  ทั้งที่ไม่มีทางตั้งแต่แรก”  คริสพูดออกมาอย่างเจ็บปวด  ภาพตรงหน้าเขาตอนนี้มันก็ชัดเจนแล้วว่าปิ๊นเลือกใคร  กับเขาแทบไม่ให้ถูกตัว  ยิ่งอยู่ต่อหน้าคนเยอะแบบนี้ยิ่งไม่มีทางไปกันใหญ่  แต่กับไอ้ปอไม่เคยแม้แต่จะขืนตัวออกห่าง...

“หึ! ไม่มีกูมาวุ่นวายแล้วขอให้ชีวิตมึงมีความสุขนะ”   คริสพูดทิ้งท้ายก่อนจะเดินออกจากบ้านไป   ไม่แม้แต่หันกลับมามองอีก



ไปแล้ว  มันไปแล้วจริงๆ  จบแล้วใช่ไหมเรื่องของผมกับมัน  ผมควรจะดีใจไม่ใช่หรอ  แต่ทำไมใจผมมันเจ็บเหลือเกิน   อยากจะวิ่งตามไปรั้งมันไว้แต่แขนที่กอดไหล่ผมไว้มันเหมือนเตือนผมว่า  ถ้าผมวิ่งไปตามไอ้คริสความเป็นเพื่อนที่มีกันมายาวนานอาจจะจบลงด้วยเช่นกัน

“สบายใจแล้วนะมึง  ต่อไปมันคงไม่มาวุ่นวายกับมึงแล้วล่ะ  ขึ้นไปติวหนังสือกันเลยไหม”  ปอยิ้มนิดๆเขารู้สึกโล่งใจมากที่ขจัดไอ้คริสออกไปจากชีวิตของเพื่อนเขาได้


“...”   ผมไม่รู้จะตอบอะไรมัน  สมองมันว่าง มันตื้อจนคิดอะไรไม่ออก  ไม่รู้แม้กระทั่งว่าจะห้ามน้ำตาอย่างไร  ได้แต่ก้มหน้าโง่ๆลงไปเพื่อปิดบังไม่ให้ใครเห็น


“พี่ว่าเลื่อนวันติวไปก่อนเหอะนะปอ  ปอเองก็โดนต่อยจนหน้าช้ำหมดขนาดนี้ไปนั่งทำแผลกับพี่ก่อนดีกว่า  ปิ๊นเองก็ขึ้นไปพักผ่อนก่อนเถอะเมื่อคืนอ่านหนังสือถึงตีหนึ่งเลยไม่ใช่หรอ  ไปนอนอีกสักงีบเถอะ  ติวไปตอนนี้ก็ไม่เข้าหัวแน่”  ปูนโกหกคำโต   แต่เพื่อน้องชายสุดที่รักเขายอมโกหกได้  สภาพจิตใจปิ๊นตอนนี้คงไม่พร้อมจะรับอะไรแน่แค่ปั้นหน้าว่าไม่เป็นอะไรยังยากเกินไปเลย ณ ตอนนี้    ให้ขึ้นไปพักหรือไปร้องไห้อะไรก็แล้วแต่บนห้องคนเดียวก่อนน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด 

“แต่ว่า...”  ปอคิดคัดค้าน

“นะปอ  เชื่อพี่เถอะ”

“ก็ได้ครับ”   เมื่อเห็นท่าทางขอร้องอย่างจริงจังของพี่ปูนเขาจึงต้องยอมรับอย่างเสียไม่ได้


ปิ๊นเองก็ก้มหน้าเดินขึ้นห้องตัวเองไป  กดล็อคประตูอย่างกันไม่ให้ใครเข้ามา  ก่อนจะปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาอย่างไม่ขาดสาย

เจ็บเหลือเกิน  เจ็บจริงๆ  นี่ใช่ไหมยาพิษที่อันตรายที่สุดของความรัก  มันช่างทรมานเหลือเกิน

ผมปล่อยให้น้ำตามันไหลอยู่อย่างนั้นโดยไม่นึกเช็ด   จนมันแห้งเหือดไปเองตามเวลาที่ยาวนานหลายชั่วโมง

ผมรู้ว่ารักไอ้คริส  แต่ก็ไม่คิดว่าจะรักจนเจ็บปวดใจได้ถึงขนาดนี้  อยากคุยกับมัน  อยากขอโทษที่สาดน้ำใส่มัน ที่ต่อว่ามัน  แต่ก็ไม่รู้ว่าตอนนี้ไอ้คริสมันจะอยากคุยด้วยหรือเปล่า

หันไปหยิบโทรศัพท์มาได้แต่กดดูชื่อไอ้คริส แต่ไม่กล้าโทรออกไป  เพราะไม่รู้ว่าจะพูดยังไง จะขอให้มันกลับมาคบกันเหมือนเดิมหรอ  หรือจะอะไรยังไงดี  เมื่อคิดแล้วว่าใจยังไม่กล้าคุยด้วย  ผมจึงกดเข้าเฟสบุคที่ไม่ได้เข้ามานานแสนนานกดพิมพ์หาชื่อไอ้คริส  แต่พอเมื่อเจอใจผมก็แทบหยุดเต้นอีกรอบ


รูปโปรไฟล์ที่เคยเป็นรูปคู่ของเขากับมันตั้งแต่วันที่มันมาทวงแล้วบังคับถ่ายไอ้คริสก็ไม่เคยเปลี่ยนรูปเลยแต่พอวันนี้มันกลับเปลี่ยนรูปเป็นสีดำ...ทั้งยังลบรูปคู่นั้นทิ้งออกไปจากเฟสบุคอีกด้วย

‘โสดแล้วโว้ย  ฉลองไหนดี  เชิญคนหน้าตาดีทักแชทมาบอกทีนะครับ!!!’    สเตตัสเมื่อไม่กี่นาทีของมันโพสขึ้นมา  วินาทีนั้นผมรู้สึก...

.

.

.

“ไอ้เหี้ย!”  ด่ามันไปทั้งน้ำตา   กูเสียใจมากขนาดนี้มึงกลับดีใจพร้อมชักชวนคนใหม่เลยทันทีงี้หรอว่ะ  แม่งเอ๊ย   จากอารมณ์เสียใจสุดๆมันกลายเป็นพลิก!  พลิกอารมณ์เป็นโกรธสุดๆแทน  โกรธมากด้วย  ที่เห็นว่าเสียใจนั้นการแสดงใช่ไหม จริงๆมึงไม่ได้เสียใจกับการเลิกกับกูเลยงั้นดิ   เออสิผมเองมันก็ไม่หล่อไม่น่ารักอยู่แล้วนิ  หน้าอย่างมึงคงหาคนใหม่ที่ดีกว่ากูได้สบายๆ  กูไม่น่าเสียน้ำตาให้คนอย่างมึงเลยจริงๆ

ด้วยความโมโห โกรธ แค้น  ผมจึงกดบล็อคไอ้คริสออกจากเฟสทันทีอย่างรวดเร็ว  แล้วกดปิดโทรศัพท์แม่ง นาทีนี้คือไม่สนไม่ค.ว.ยคิดวิเคราะห์แยกแยะอะไรแล้ว


“อยากจะไปคบกับใครใหม่ก็เชิญ!  กูจะไม่ร้องไห้เพราะมึงอีกแล้ว  สัสคริส!”




------------------------------------
ปิ๊นก็คือปิ๊น
ติดตามกันต่อไป

ออฟไลน์ Monkey D

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 698
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-0

ตอน 24 

เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก   วันนี้ก็เป็นสุดท้ายของการสอบปิดเทอมใหญ่แล้ว  ซึ่งแม่งตรงกับวันวาเลนไทน์พอดี OMG!

ตั้งแต่ผมเดินออกจากบ้านมาบนทางฟุตบาทก็เต็มไปด้วยร้านขายดอกกุหลาบหลากสีสัน  แต่มากสุดก็แน่นอนว่าเป็นสีแดง  มีทั้งเป็นดอกเดี่ยวๆที่ใหญ่สวยมากแต่เห็นราคาแล้วรู้สึกขี้เหร่ขึ้นมาทันที  เหอๆ  จัดเป็นช่อดอกไม้ก็มี บ้างก็เป็นช่อช็อคโกแลตฟอร์เรโรร์ยอดฮิตของทุกที  ทำไมไม่มีช่อป๊อกกี้  ช่อจุ๊บปาจุ๊บบ้างว่ะถูกกว่าตั้งเยอะอิ่มไปหลายวันด้วย  แล้วนั้นอะไรเด็กผู้หญิงพากันเลือกดอกไม้กันใหญ่ก็คงเอาไปให้หนุ่มที่ไหนสักราย   สิ้นเปลืองโดยใช่เหตุว่าไหมครับ  เก็บตังค์ไว้ซื้อเกมส์เล่นกว่า ชิ   เชิญพวกมีคู่สิ้นเปลืองเงินไปกับของไร้สาระแบบนี้ให้หมดตัวไปเลยยิ่งดี! (โสดแล้วพาล)

ผมรีบเดินจ้ำให้ถึงโรงเรียนโดยไวที่สุด  เหม็นความรักของวันวาเลนไทน์อ่ะครับ  คนมีคู่เขาจะรู้ไหมว่าเป็นคนโสดน่ะดีสุดแล้ว  อยากทำอะไรก็ได้ตามใจตัว  อยากกลับมานอนตอนเย็นก็ได้นอนไม่นั่งรอใครเป็นชั่วโมง   อยากไปไหนก็ไปไม่ต้องรายงานใคร  อยากใช้เคสโทรศัพท์ลายไหนก็ได้ใช้  อยากกินอะไรก็ได้กินไม่ต้องถามความคิดใคร  ดี๊ดีสุดๆเลย   อ่อ  แล้วก็ไม่ต้องเสียใจเพราะใครด้วย!

จึกๆ

อยู่ก็มีใครไม่รู้มาจิ้มที่ด้านหลังของผมครับ  ผมที่กำลังเหม็นความรักเลยหันไปมองอย่างเซ็งๆ  ก็พบกับเด็กผู้หญิงม.ต้นโรงเรียนผมนี่แหละครับ  ว่าแต่มาจิ้มผมทำไมว่ะ  ผมไม่ใช่ขนมมันฝรั่งมีรูนะเว้ยถึงต้องมาจิ้ม

“มีอะไรหรือเปล่าครับน้อง”   ผมถามไป  เอ๊ะ  หรือว่าน้องเขาจะปิ๊ง ผมวะ  เอาดอกไม้มาให้งี้เปล่า

“เอออออ  คือออออ  หนู  มีเรื่องจะถามพี่อะค่ะ”   

“อ่อ  ถามมาเลยครับ”  เพื่อน้องเขาจะถามว่าขอเป็นแฟนผมได้ไหม  อิอิ

“วันนี้  เพื่อนพี่ที่หน้าหล่อๆเรียนเอกชนจะมาหาป่ะคะ  หนูอยากให้ดอกไม้พี่เขา”   เด็กสาวพูดเสร็จก็แก้มแดงเขินบิดไปบิดมา

“-_-“   ไม่ได้ขอผมเป็นแฟนยังไม่จี้ดเท่ามาถามหาไอ้บ้านั่นเลยจริงๆ

“ว่าไงคะพี่  จะมาไหมอ่า”

“มันไม่มาแล้วล่ะครับ”

“ทำไมอะคะ  ก็เห็นมายืนรอพี่ทุกวันเลยนี่น่า  ก็มีช่วงนี้แหละที่ไม่เห็นหน้าได้สักอาทิตย์นึงแล้ว”  พวกที่อยากรู้อยากเห็นเรื่องของคนอื่น  แถวบ้านเขาเรียกว่าอะไรนะครับ  ผมนึกไม่ออก  ใช่เสือกหรือเปล่า?

“อ่อ  มันตายห่าไปแล้วครับ  ไม่มีธุระอะไรแล้วพี่ขอตัวนะน้อง”   ผมตอบเหวี่ยงๆแล้วชิ่งออกมาเลย  เหอะ  คนอย่างไอ้บ้านั่นมีอะไรดีวะ  ทำไมคนถึงชอบกันนัก  มีดีแค่หน้าตาแหละวะ  นอกนั้นก็ไม่เห็นมีอะไรดีเลยสักอย่าง 


ผมเดินขึ้นมาบนห้องเรียนก็เจอไอ้ปอไอ้เจสนั่งอยู่ก่อนแล้ว  พยักหน้าทักทายกันพอเป็นพิธี  ไอ้ปอก็อ่านหนังสือของมันไป  ไอ้เจสก็กำลังเล่นกีต้าร์อยู่  ส่วนผมก็หยิบมือถือมาเล่นเกมส์ครับ  สอบวันสุดท้ายแล้วขอชิลหน่อยเถอะวิชานี้ผมอ่านเมื่อคืนแล้วด้วยไม่มีไรมากคิดว่าผ่านแน่นอน


เล่นๆอยู่ไอ้เจสก็ดีดเพลงไปหลายเพลงจนกระทั่งมันดีดเพลงๆหนึ่งที่คุ้นหูผมอย่างมาก...


“เธอ เธอทั้งนั้นที่ทำ ให้ช่วงชีวิตของฉันน่าจดจำ
จนฉันได้เจอเธอ  โอ้วววว
ขอบคุณสรวงสวรรค์  ให้เราได้เจอะกัน 
ขอบคุณคนๆนั้นที่ทำให้ฉันได้พบเธอ
ขอบคุณทุกเรื่องราว  ต้นเหตุที่ในวันนี้ฉันนั้นได้เจอ
เธอสุดที่รักกก   วู้ววววว”

“พวกมึงว่าเพลงไหนดีกว่ากันว่ะกูจะเอาไปร้องเซอร์ไพรท์มิ้งสักหน่อย  เพลงเมื่กี้ดีไหมว่ะความหมายก็ดีนะเว้ย  นึกถึงความหลังอ่ะ  ถ้าไม่มีไอ้เด็กม.ต้นที่ชู๊ตบาสไปโดนหัวมิ้งแล้วโทษว่าเป็นกูจนกูโดนมิ้งด่า กูก็คงไม่ตกหลุมรักมิ้งแน่ๆ  คิดถึงความหลังแล้วโรแมนติคว่ะ”   ถ้าคนๆนั้นของไอ้เจสคือเด็กม.ต้น   ของผมก็คงเป็นลุงตำรวจที่จับผมยัดใส่รถโรงพยาบาลล่ะมั้ง  หรือจะเป็นพี่พยาบาลที่ดันลืมของแล้วทิ้งผมไว้กับมันสองต่อสองจนเป็นจุดเริ่มต้นของพรบ้าๆนั้นกันนะ...แล้วผมจะคิดถึง  ไม่สิ  ก็แค่นึกถึงความหลังทำไมกัน

“มึงไม่ต้องส่งเสียงควายออกลูกแบบให้มิ้ง  เขาก็ดีใจแทบตายล่ะมั้ง”  ผมพูดแขวะ  เพราะเพลงบ้าๆนั้นแท้ๆทำให้ตัวเกมส์ผมแพ้เลยดูดิ  เซ็งเป็ด

“โห  ไอ้ปิ๊นพูดแบบนี้เดี๋ยวฟาดด้วยกีต้าร์ให้ปากแตกเลย   อิจฉาอ่ะดี๊ไอ้คนไม่มีคู่”


ฉึก!


นี้ถ้าเป็นหนังจีนผมคงเจ็บอกจนมีเลือดออกจากปากล่ะ  แม่งพูดแต่ล่ะคำแทงใจดำกูฉิบหาย

“อ้าวเงียบ  แทงใจดำใช่ไหมละสัส  ฮ่าๆๆๆ”

“ไร้สาระแหละ  กูแค่ใช้สมาธิเล่นเกมส์หรอกเว้ย  หุบปากได้แล้วมึงอ่ะน่ารำคาญ”  ผมด่าไอ้เจสกลบเกลื่อน

“ไม่แน่นะเว้ย  ไอ้คริสอาจจะมาเซอร์ไพท์มึงที่โรงเรียนก็ได้ หึหึหึ”  ไอ้เจสพูดอย่างกวนประสาท  แล้วก็เป็นการกวนประสาทที่ได้ผลมากเสียด้วย  เพราะมันทำให้ใจผมเจ็บแปล๊บๆขึ้นมาได้ตั้ง 2 วินาที

“กูบอกว่าอย่าพูดชื่อไอ้เหี้ยนั้นอีกไงวะไอ้เจส  เล่นกีตาร์โง่ๆของมึงไปน่ะดีแล้ว”  ไอ้ปอเงยหน้าจากหนังสือมาว่าไอ้เจสเสียงเข้ม   ไอ้เจสเองก็ได้แค่ยักไหล่เบะปากก่อนจะหันกลับไปเล่นกีตาร์ตามเดิม


“กรี้ดดด  น่ารักอ่ะแก”

“น่าร๊ากกกก  แฟนใครวะแก  ใส่มาเซอร์ไพท์แน่เลยอ่ะ”

“เชี่ย โคตรทุ่มทุนสร้าง”

เสียงกรี้ดกร้าดดังงขึ้นที่ระเบียงทางเดินชั้นเรียนที่ห้องผมอยู่พอดี   ตอนแรกก็งงๆว่าเขากรี้ดอะไรกัน  แต่พอสักแป๊บก็เห็นเต็มๆสองตา

มาสคอสมิกกี้เม้าส์!

ใช่ครับคุณได้ยินไม่ผิดหรอกมาสคอสมิกกี้เม้าส์ตัวสูงที่กำลังเดินเข้ามาในห้องเรียนของผม...

ตึกๆ  ตึกๆ ตึกๆ

เจ้ามาสคอสตัวนี้ทำให้ผมนึกถึงใครบางคนที่ชอบตุ๊กตามากๆ  ใครบ้างคนที่ลากผมไปดูขบวนพาเหรดตุ๊กตาด้วยกันแล้วทำตาวิ๊งค์ๆเป็นเด็กน้อย  ใครบ้างคนที่อยากสร้างสวนสนุกเพื่อที่เขาจะได้เห็นตุ๊กตาเยอะๆตอนที่เล่นเครื่องเล่นเป็นเพื่อนผม...


เจ้าตุ๊กตามาสคอสตัวนี้เอามือไพล่หลังไว้เหมือนมีอะไรซ่อนอยู่  แถมเขายังเดินตรงมาทางที่พวกผมนั้นกันอยู่ด้วย


ไม่ใช่ไอ้คริสหรอกเว้ยไอ้ปิ๊นมึงอย่าไปหวังอะไรกับมันอีกเลย  มันไปมีแฟนใหม่แล้วปานนี้ เสียงเดวิลตะโกนบอกผมด้านซ้าย

ใช่แน่ๆเลยปิ๊น  จำไม่ได้หรอว่าคริสมันชอบทำเรื่องโรแมนติกให้นายบ่อยๆ  ครั้งนี้คงทุ่มทุนสร้างเพื่อมาง้อนายแน่ๆ  เสียงเทวดาตะโกนบอกทางด้านขวาคัดค้านเดวิล


จะใช่จริงๆหรอ  จะเป็นไปได้หรอ  นั้นคือสิ่งที่ผมคิดอยู่  ไอ้ปอกับไอ้เจสเองก็ดูอึ้งไม่แตกต่างจากผมนักคนที่อยู่รอบๆต่างก็ดูลุ้นว่ามาสคอสตัวนี้จะไปหยุดอยู่ที่ใคร 


จนกระทั่งมาหยุดอยู่ที่ผม...



แล้วก็เดินผ่านไป...ไปหาเพื่อนผู้หญิงคนนึงที่นั่งอยู่ท้ายสุดของห้องแล้วส่งช่อดอกไม้ที่ซ่อนไว้ข้างหลังให้  เรียกเสียงโห่ร้องกรี้ดกร๊าดได้เป็นอย่างดี  ก่อนที่ผู้ชายจะถอดหัวตุ๊กตาออกเผยให้เห็นว่าเป็นแฟนของเธอเองเป็นเด็กชั้นเดียวกันเพียงแค่คนละห้องเท่านั้นเอง


เจ็บเข้าไปสิใจกู   ก็บอกแล้วว่าอย่าหวังอะไรลมๆแล้งๆ  เป็นไงสุดท้ายก็คิดไปเองฝ่ายเดียวจริงๆ  หึ  น่าอายชะมัด


“เฮ้ยไอ้ปิ๊น ไปห้องน้ำเป็นเพื่อนกูหน่อยดิ”  ไอ้เจสเอ่ยชวนผม

“มึงก็ไปเองดิ  กระเจี๊ยวไม่ได้ติดกันสักหน่อย”  ผมบอกมัน

“น่านะมึง  ไปเป็นเพื่อนกูหน่อย กูเพื่อนรักมึงนะเว้ยยย มึงต้องตามใจกูดิ”

“รักปานจะเตะให้หมากัดตายน่ะสิ   ไปก็ได้วะเร็วๆ”  เห็นว่าอีกสิบนาทีก็จะต้องลงไปเข้าแถวแล้วน่ะครับเข้าห้องน้ำให้เรียบร้อยไปเลยก็ดีเหมือนกัน


ด้วยความที่ห้องน้ำมันอยู่สุดริมชั้นนี้ซึ่งก็อยู่คนละฝากของห้องเรียนผมเลย  ก็ต้องใช้เวลาเดินสักหน่อยนึง

“มึงยังคิดถึงไอ้คริสอยู่ใช่ไหม”  จู่ๆไอ้เจสก็พูดขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย

“ม..ไม่ใช่สักหน่อย  กูลืมมันไปแล้ว”

“แน่ใจ  แต่กูไม่คิดอย่างนั้นนะ  ตั้งแต่วันนั้นที่อยู่มึงก็เลื่อนนัดติวกัน  กูว่ามึงไม่เหมือนเดิม  ถึงไอ้ปอจะบอกว่าเคลียร์ได้แล้วก็เถอะแต่พูดกันตรงๆคือมึงกับไอ้คริสจบแบบไม่สวยใช่ไหมวะ”

“ตกลงมึงอยากเข้าห้องน้ำหรืออยากมาถามเรื่องไม่เป็นเรื่องกันแน่”

“ก็ทั้งสองอย่างแหละมึง  ที่ถามก็เพราะว่าเป็นห่วงมึงนะเว้ย  กูว่ามึงดูฝืนๆที่จะทำตัวเป็นปกติอะ  ถึงปากมึงจะด่าว่ากูแขวะกู  แต่กูรับรู้ได้ว่ามึงแค่พ่นปากพูดไปอย่างนั้นแต่ไม่มีอารมณ์ความรู้สึกอะไรอยู่ในนั้นเลยสักนิด กูไม่โอเคนะเว้ยที่เพื่อนกูเป็นแบบนี้”

“...” ผมใจสั่นๆพอฟังไอ้เจสพูดเสร็จหน้าตามันกังวลมาก  ที่ตกใจคือไม่คิดว่ามันจะจับผิดได้ขนาดนั้น  ทั้งที่คิดว่าผมก็ทำเป็นปกติเนียนที่สุดแล้วนะ  แอบซึ้งเหมือนกันนะครับที่มันใส่ใจผมขนาดนี้

“ถ้ามึงยังคิดถึงมันอยู่ก็กลับไปคุยกันสิ่วะ จะทรมานตัวเองแบบนี้ไปให้ได้อะไร  มึงรู้ไหมสายตามึงที่มองไอ้มาสคอสนั้น  มันฉายแววแห่งความหวังขึ้นมาชัดเจนมาก  มึงก็คิดว่าเป็นไอ้คริสจริงๆใช่ไหมล่ะ  แถมพอรู้ว่าไม่ใช่แววตามึงดิ่งหมองสุดๆเลย  อย่างงี้อะนะเรียกว่าลืมมันได้แล้ว”

“ก็ใช่ตอนนี้อาจจะยังไม่ลืมได้100% แต่ขอเวลาอีกหน่อยลืมได้แน่ๆ  อีกอย่างกูคงไม่กลับไปคุยกับคนที่ประกาศฉลองที่โสดตั้งแต่เลิกกันยังไม่ถึงชั่วโมงหรอก  คนแบบนั้นกูเกลียด”  ผมบอกเหตุผลไอ้เจสไปตรงๆส่วนหนึ่งก็มั่นใจว่าไอ้เจสคงไม่เอาเรื่องนี้ไปบอกใครแน่  มันเป็นคนปากมากก็จริงครับ  แต่ทุกครั้งที่เป็นเรื่องจริงจังไอ้เจสก็ไม่เคยหลุดพูดเช่นกัน

“ไอ้สเตตัสนั้นอ่ะนะ  โห  นี่มึงโง่หรือซื่อบื้อวะ”  ไอ้เจสถึงกับเท้าเอวด่าผมแถมดีดกระโหลกผมไปหนึ่งที

“โอ๊ย  เจ็บนะเว้ยดีดมาได้”

“ก็ต้องดีดเพื่อกระตุ้นสมองมึงให้ทำงานบ้างนะสิเว้ย  ไอ้ลูกหมา   ต่อไปกูเรียกไอ้ลูกควายแล้ว”

“อะไรของมึงวะ  กูไม่เข้าใจ”

“คือ  มึงคิดว่าสิ่งที่ไอ้คริสโพสคือสิ่งที่ไอ้คริสมันคิดแบบนั้นจริงๆหรอวะ”

“ก็ใช่น่ะสิ  ถ้าไม่คิดคงไม่โพสแบบนั้นหรอก  แถมลบรูปคู่ทิ้งด้วยนะมึง  แค่นี้ก็ชัดเจนแล้วป่ะล่ะ”  ผมเถียงมัน พอพูดถึงอีกก็ของขึ้นหัวร้อนขึ้นมาอีกรอบ

“มึงรู้จักคำว่าประชดป่ะว่ะ อารมณ์ชั่ววูบแบบนั้นอ่ะ  ไอ้คริสมันคงไม่ได้หมายความแบบนั้นจริงๆหรอกเชื่อกูดิ”

“มึงจะมารู้ดีอะไร  มึงไม่ได้เป็นมันนิ”

“เออกูไม่ใช่ไอ้คริส  แต่กูมีความรักมาเยอะเว้ย  เอาง่ายๆแค่มิ้งเนี่ยงอนกูทีก็ประชดประชันกูแบบนี้แหละบางทีโพสแรงกว่าที่ไอ้คริสโพสด้วยซ้ำ  แต่กูเข้าใจไงว่ามิ้งไม่ได้หมายความแบบนั้นจริงๆ  มิ้งก็แค่เรียกร้องความสนใจจากกูแค่นั้น  เพราะเขาอยากให้กูรักกูสนใจไง”

“...”

“แล้วมึงจำไว้เลยนะเว้ย  คนเราถ้าไม่รักกันเขาไม่งี่เง่าใส่กันหรอก  แต่ที่เขางี่เง่าก็เพราะเขาต้องการความรักจากเราแค่นั้นเอง”

“...จะจริงหรอมึง”  ผมไม่แน่ใจจริงๆว่าไอ้คริสจะเป็นเหมือนมิ้ง

“ถามหัวใจมึงดูก็แล้วกันว่าเชื่อแบบนั้นหรือเปล่า”

“แต่ไอ้ปอมันไม่ชอบไอ้คริสนะ  ถ้ากูกลับไปคบกับมันต่อ  ไอ้ปอคงตัดเพื่อนกับกูแน่”  นี้ล่ะปัญหาใหญ่ระดับชาติอีกอย่างนึงของผมเลย

“ปิ๊น  มึงอย่าดูถูกคำว่ามิตรภาพดิวะ”   

“ถ้ามึงรักไอ้คริสจริงๆ  กูเชื่อว่าไอ้ปอต้องยอมรับได้  เพียงแค่ต้องใช้เวลายอมรับนานสักหน่อยแค่นั้นเอง  มันคงไม่บ้าตัดเพื่อนเพราะเพื่อนทำในสิ่งที่มีความสุขหรอก   ถ้ามันทำแบบนั้นจริงมันก็จะกลายเป็นแค่เพื่อนแย่ๆที่เห็นแก่ตัว เห็นแก่ความสุขตัวเองมากกว่าความรู้สึกมึง  แล้วกูก็โคตรเชื่อมั่นว่าไอ้ปอจะไม่ทำแบบนั้นแน่”

“...”   จะจริงหรอว่ะ  มันจะไม่โกรธจริงหรอ  ผมได้แต่คิดกังวลไปมา

“ไอ้ปอมันรักมึงนะเว้ย ยังไงมันก็ไม่มีทางทิ้งมึงแน่นอน”  ไอ้เจสย้ำอีกครั้งเอามือตบบ่าผมอย่างให้หนักแน่นในความรู้สึกตนเอง

“แล้วถ้ามันทิ้งกู  เลิกคบกูเป็นเพื่อนจริงๆล่ะ”  ผมถามอีก

“กูก็จะยังเป็นเพื่อนมึงต่อไป  ไม่ทิ้งมึงไปไหนแน่นอน”


"..."


"ความรักก็อย่างนี้แหละมึง มีอุปสรรคอะไรขัดขวางเต็มไปหมด ไม่มีอะไรได้ดังใจทุกอย่างหรอก ต้องปรับต้องจูนกันไป มันถึงจะไปด้วยกันรอดเว้ย"

"แต่มันคงสายไปแล้วล่ะมึง มันมาไกลเกินจะย้อนกลับไปแล้ว"

"ไม่มีคำว่าสายเกินไปถ้าใจยังตรงกัน" ไอ้เจสยิ้มเจ้าเล่ห์

"หมายความว่าไงวะ ไอ้เจส" ผมงงกับคำคมมัน

"อ่ะ มีคนเขาฝากมาให้" ไอ้เจสยื่นซองจดหมายมาให้ผม

"อะไร ทำบุญผ้าป่าหรอ 555"

"อ่ะ ถูกต้องงงงง ถุย! อยากรู้ว่าของใครก็เปิดดูเอาเองเว้ย"

ผมรับซองจดหมายมาพลิกดูหน้าซองก็เห็นลายมือคุ้นตา

' Kirs '



"ยิ้มได้แล้วใช่ป่ะ"

"ไม่รู้เว้ย ยังไม่ได้อ่านข้างในเลย อาจเป็นจดหมายลูกโซ่ก็ได้" ความปากแข็งนี่เป็นข้อเสียของผมที่แก้ไม่หายจริงๆ ทั้งที่ตอนนี้ใจโคตรพองโตเลย

"คิดได้แค่นั้นก็เรื่องของมึงเถอะไอ้ลูกหมา แต่ตอนนี้รีบเดินกูฉี่จะแตกล่ะสัส" ไอ้เจสเอามือกุมเป้ารีบวิ่งไปเข้าห้องน้ำผมก็ได้แต่ขำท่าทางมันแล้วเดินตามไป


การมีเพื่อนที่ดี คอยรัก คอยเตือน คอยห่วงและเข้าใจเราทุกอย่าง มันช่างเป็นโชคดีของผมจริงๆ


-------------------------------
"ตกลงมึงจะบอกมันไหม ว่ามึงชอบมัน"

"กู...กลัวเสียเพื่อนว่ะ"

"มึงกับมันนี้แคร์กันฉิบหาย โอกาสมีแค่ครั้งเดียวนะมึง ถ้าไม่กล้าบอกมึงก็ไม่ควรรั้งมันไว้แบบนี้ มึงอยากให้มันเศร้าอยู่แบบนี้เหรอ"

"..."

"ลุยเลยมึง กูเชียร์มึงนะเว้ย"

"..."

เด็กหนุ่มตัวโตสูดหายใจลึกๆให้กำลังใจตัวเองก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูงในมือถือช่อดอกไม้พร้อมกล่องช็อคโกแลตยี่ห้อโปรดของอีกคนเดินตรงเจ้าไปหาเพื่อนรักที่ยังนั่งเล่นเกมส์อยู่

"ปิ่น"

"ว่าไงมึง" ร่างเล็กพูดทั้งที่สายตายังจดจ่ออยู่กับเกมส์

"...กูมีเรื่องจะบอก"

"เรื่องไรอะ" ปิ๊นกดหยุดเกมส์ เงยหน้าขึ้นมาสบตาปอตรงๆ

"..."

"ว่าไงมึง"

"คือ..ช่วยกินช็อกโกแลตหน่อยดิ มีรุ่นน้องเอามาให้กูว่ะ"

"โหยยย อิจฉาวุ้ย แต่ก็ลาบปากกูดี เอามาๆ" ปิ๊นหัวเราะก่อนจะรีบแกะกล่องช็อกโกแลตออกมากินอย่างอร่อย  เจสที่คอยลุ้นอยู่ไม่ไกลได้แต่ส่ายหน้าอย่างผิดหวัง แต่ก็ไม่ต่างจากที่เขาคิดมากนักว่าสุดท้ายคนรักเพื่อนแบบไอ้ปอก็ไม่อยากทำอะไรที่มันเสี่ยงจะเสียเพื่อนไปเหมือนกับไอ้ปิ๊นเช่นกัน

เมื่อมันไม่กล้าบอกความในใจ มันก็ต้องปล่อยไอ้ปิ๊นไปแล้วทำตัวเป็นแค่เพื่อนเช่นเดิม

เจสทำเป็นเดินเข้าไปนั่งรวมกลุ่มแล้วแกล้งแย่งช็อกโกแลตให้เพื่อนตัวเล็กโวยวายเล่นเฮฮากันภายในกลุ่มเพื่อนเช่นดังเดิม ปิ๊นที่หวงของกินเลยรีบถือกล่องช็อกโกแลตวิ่งหนีเจสไปดื้อๆ

"อย่าตามมานะโว้ยยยยย" ปิ๊นตะโกนบอกหลังวิ่งหนีไป

"กูต่อให้ขาสั้นๆมึงหนีไปก่อน เดี๋ยวกูตามแน่ " เจสตะโกนบอกไอ้ปิ๊นก็รีบวิ่งหนีใหญ่เจสดูตามจนมั่นใจว่าปิ๊นจะไม่ได้ยินในสิ่งที่คุยกัน

"มึงเลือกแล้วใช่ไหม"

"อืม เป็นแค่เพื่อนกันก็ดีแล้ว"

"พระเอกจริงๆ เอาเถอะมึงคงคิดดีแล้ว แต่รู้ใช่ไหมว่าต่อจากนี้มึงไม่มีสิทธ์ไปรั้งมันไว้อีกแล้ว"

"อืม กูรู้แล้ว"

"ไอ้เจสสส กูจะแดกหมดกล่องแล้วนะ มึงอดแน่" ปิ๊นย้อนกลับมาโชว์ว่าตัวเองกินหมดไปครึ่งกล่องแล้ว

"ได้ไงวะ เอามาแบ่งกูมั้งดิ" เจสลืมเรื่องที่คุยกันก่อนจะวิ่งไล่ตามเพื่อนตัวเล็กไป

"ว๊ากกกกกกก" ปิ๊นร้องลั่นเมื่อเห็นเจสวิ่งมาด้วยความไวแล้วรีบวิ่งหนีต่อ

ปอได้แต่ยืนยิ้มดูเพื่อนทั้งสองแกล้งกันไปมา ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากบอกความในใจ แต่พอสบตากับปิ๊น...เขาไม่เห็นตัวเองอยู่ในสายตาของเพื่อนเลยสักนิด ถ้ามันเป็นอย่างนั้นแล้วบอกไปก็คงจะมองหน้ากันไม่ติด  สู้เป็นเพื่อนกันต่อไปแบบนี้คงดีกว่า เพราะคำว่าเพื่อน มันยาวนานและยั่งยืนเสมอ



อีกนิดนึงจะจบแล้ว ทนหน่อย ต่อให้จบอย่าท้อ(บอกตัวเองเฉยๆ)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Timber Huang

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 49
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
รอตอนจบอยู่นะ มาต่อเถอะ :z13:

ออฟไลน์ Monkey D

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 698
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-0



3​  เดือน​ผ่าน​ไป​

วัน​เปิดเทอม​

"ไง​ ไอ้ลูกหมาปิดเทอมใหญ่ทั้งที หายหัวเงียบไปเลยนะกูโทรไปก็รับ ทำไรวะ"  ไอ้เจสที่เพิ่งจะมาเรียนทักผม

"ก็.. อ่านหนังสือ​เตรียม​สอบ​ไง​ กลัวไม่มีสมาธิเลยปิดเครื่อง"

"ถึงว่า​ซิ​ เพราะ​มึงอ่านหนังสือนี้เอง แดดเมืองไทยเลยร้อนแทบเผากูตาย"

"ไม่เกี่ยวกับกูไหมล่ะไอ้ห่า ว่าแต่มึงเหอะวันแรกก็มาซะสายโด่ง สายขนาดนี้ไม่น่ามาแล้วนะ"

" 5555​ กูลืมตื่นนึกว่ายังปิดเทอมอยู่  แต่อยู่ม.6นี่ดีฉิบหาย มาสายครูก็ไม่ว่าว่ะ กูบอกอยู่ม.6อ่านหนังสือเตรียมสอบดึกเลยตื่นสาย ครูเวรไม่ทำโทษด้วย สบายเลยกู "

" มึงชั่วมาก หลอกครู ระวัง​ผลกรรมจะทำให้มึงสอบไม่ติด​" ผมชี้หน้าคาดโทษมัน แต่ก็เหมือนไอ้เจสจะไม่ใส่ใจอะไรเหมือนเคย

"กินข้าว​เช้า​มาหรือยังปิ๊น กูว่ามึงดูผอมลงนะ" ไอ้ปอถามด้วยสีหน้ากังวล

"กินแล้ว​ๆ​ ไม่ต้อง​ห่วงหรอก ช่วง​นี้กูเลิกกินขนมของหวานมั้งมันเลยผอมลง แหะๆ"

"อืม​ ๆ​ เลิกกินได้ก็ดีแล้วมันไม่ดีต่อสุขภาพ"

"ผอมเพราะตรอมใจโดนแฟนทิ้งมากกว่ามั้งงงง" ไอ้เจสล้อเลียนตามสไตล์มัน

"... "  ผมไม่ได้ตรอมใจเพราะมันสักหน่อย

"เฮ้ย​ ครูมาแล้วนั่งที่เร็ว " เสียงเดิมของเพื่อนที่ทำหน้าที่ดูต้นทาง ตะโกนบอกก่อนที่ทุกคนจะรีบกลับไปนั่งที่ของตนเอง

" นักเรียน​ทำความเคารพ​"

"สวัสดี​ครับ​/สวัสดี​ค่ะ​คุณ​ครู​"

"สวัสดี​จ้ะ​ นั่งลงเถอะ"

"ขอบคุณ​ครับ​/ขอบคุณ​ค่ะ​"

"เป็น​ไงบ้าง​ปิดเทอม​ไป​ยาว​ๆ ทำอะไร​กัน​บ้าง​ล่ะ" ครูกันวิภา ซึ่ง​เป็น​ครูที่ปรึกษาของห้องผมชวนพูดคุยกันอย่างคุ้นเคย ทุกคน​ต่าง​เล่าเรื่อง​ราว​ต่าง​ๆให้กันฟัง

"พวก​ผมไปเข้าค่ายจิตอาสาทำฝ้ายกั้นน้ำครับ"

"หนูไปดูคอนเสิรต์ค่ะ"

"พวก​ผม​ไปเที่ยว​ทะเล​ด้วย​กันครับ"
.
.
"จากที่ฟังดูพวกเธอใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขจริงๆนะ แต่ครูก็อยากให้พวกเธอตั้งใจอ่านหนังสือกันด้วย ช่วง​เวลานี้เป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่จะตัดสินอนาคตของเธอ ใครมีความฝันจะเข้าคณะอะไร มหาลัยไหน ก็​จงทุ่มเทเพื่อมันอย่างเต็มที่ จะ​ได้​ไม่ต้อง​มา​นั่ง​เสียใจ​ภายหลัง​ พวกเธอรู้ใช่ไหมว่าการจะทำตามความฝันได้มันยากเย็นมากขนาดไหน แต่​หากพวกเธอตั้งใจจริงและพยายามมากพอ​ ครูคิดว่ามันคงไม่ไกลเกินเอื้อมนับจากนี้ชีวิตของเด็กม.6อย่างพวกเธอก็จะมีแต่การสอบ ขอ​ให้ตั้งใจเรียนและ อ่านหนังสือให้มาก แล้ว​รักษา​สุขภาพ​ตัวเองดีๆด้วย ครูพายเรือมาส่งพวก​เธอใกล้จะถึงฝั่งแล้วอย่าให้มีอะไรมาขัดขวางเลยนะ "

" อีกเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กันคือ พวก​เราอยู่ด้วยกันมาจะสามปีแล้ว และ​ครูคิดว่าพวกเธอคงอยากจะเรียนจบไปพร้อมกับเพื่อนๆของเธอใช่ไหม"  ทุกคน​พยักหน้า​ตาม​ แล้ว​หันไปมองเพื่อนของตัวเอง ผมก็เช่นกันที่หันมามองไอ้ปอไอ้เจสอย่างพร้อมเพรียง

"ดีมาก​ ครูดีใจที่พวกเธอรักกัน แต่แน่นอนว่ามีพบต้องมีจาก เพื่อน​ไม่ได้​อยู่กับเราตลอดไป ตัวเธอเองต่างหากที่ต้องอยู่ด้วยกันตลอดไป ฉะนั้น​ใน​ตอนนี้​ที่​เรายังอยู่ด้วยกัน เรา​ทุกคน​ต้อง​ช่วยกัน​นะ​  เพื่อนต้องช่วยเพื่อนลากกันไปให้จบพร้อมกันให้ได้ คนไหนที่หัวดีก็นัด​ติวให้เพื่อนบ้าง ส่วน​คนไหนที่ไม่ค่อยกระตือรือล้นครูก็ขอให้พวกเธอทำตัวเองให้ดีขึ้นขยันให้มากขึ้น ส่งงานให้ครบ เริ่มฝึกดูแลชีวิตตัวเองได้แล้ว เพราะ​ถ้า​เธอ​เข้า​มหา​ลัย​ไปจะไม่มีใครมาคอยจ้ำจี้จำไชเธอ​ หรือ​คอยบ่นตามงานเธอแบบนี้อีก​แล้ว​นะ​ ปรับตกสถานเดียว" พวกเราทุกคนต่างตั้งใจฟังที่ครูพูดมากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา อาจเพราะรู้ว่าเหลือเวลาอีกไม่มากที่จะได้อยู่ด้วยกันแบบนี้ เพราะ​อนาคต​พวกเราก็ต้องแยกย้ายไปตามเส้นทางของแต่ละคน ซึ่ง​ไม่​รู้เลยว่ามันจะเป็นเช่นไร


"วันนี้​ครูอาจพูดเยอะหน่อยแต่ก็เพราะหวังดีกับพวกเธอทุกคนนะ​ เดี๋ยว​ครูจะปล่อยให้พวกเธอเตรียมตัวเรียนวิชาถัดไปแล้วกัน อย่าลืมตั้งใจเรียนล่ะ  อ้อ​ ใครอยากปรึกษาอะไรไปที่ห้องพักครูได้เลยหลังเลิกเรียนตอนเย็นครูจะอยู่ถึงหกโมงเย็นนะ​" ครูกันวิภา​ยิ้มให้​ก่อนที่หัวหน้าห้องจะบอกทำความเคารพ

"นักเรียน​ทำ​ความเคารพ​"

"ขอบคุณ​ครับ/ขอบคุณ​ค่ะ​คุณ​ครู​" เสียง​ขอบคุณ​ดังก้องห้องเรียนกว่าทุกคน เมื่อ​ครูกันวิภา​เดินออกไปทุกคนนั่งลงบนเก้าอี้เงียบๆไม่ส่งเสียงเฮดีใจเหมือนทุกครั้งที่จะได้นั่งเล่นรอเรียนวิชาถัดไป ผมคิดว่าทุกคนกำลังตระหนักถึงคำพูดของครู รวมถึง​อนาคต​ในวันข้างหน้าของตัวเอง กลุ่ม​ผู้​หญิงบางคนเริ่มคุยกันว่าจะเข้ามหาลัยไหนดี​ คณะ​อะไร​ดี​ และ​เมื่อรู้ว่าต่างคนก็ต่างอยากไปในแต่ละที่ไม่เหมือนกัน ก็​มี​แอบน้ำตาไหลกันบ้าง กลุ่ม​ผู้​ชายหลังจากนิ่งไปสักพักก็กลับมาพูดเล่นเฮฮากันใหม่ หากแต่ในความตลกนั้นมีความห่วงใยเพิ่มมากขึ้น

"ไอ้เชี้ยโก๋ถ้ามึงไม่จบพร้อมพวกกูนะ กูจ้างนักเลงมากระทืบให้ตายเลย ไอ้สาสสส"

"เออ​จริง​ ถ้า​มึงส่งงานไม่ตรงเวลาอีก กูจะตบ​หัวให้ทิ่ม "

" เออๆๆๆ ก็​ได้วะไอ้พวกห่า แค่นี้ต้องใช้ความรุนแรง"

"5555555 ก็​เหมาะ​กับมึงไง"


ผมนั่งดูเพื่อนรอบๆห้องอย่างตั้งใจที่จะเก็บความทรงจำนี้ไว้ ถึง​จะ​เป็น​ช่วงเวลาที่มีแต่เรื่องให้กังวล แต่ก็ยังมีเพื่อนคอยเคียงข้างอยู่..



"ไอ้ปิ๊น มึงอยากเข้าคณะอะไรวะ"  ไอ้เจสเอ่ยปากถาม

"ยัง​ไม่​รู้​เลย​ว่ะ​ แม่อยากให้กูเรียนครูแล้วรับราชการ  แต่พ่ออยากให้กูเรียนประมงที่มหาลัยใกล้ๆบ้านพ่อ " ผม​ตอบ​ไป​

" เอาตัวมึง​เองดิที่ไม่เกี่ยวกับพ่อแม่อะ"

"... ออกแบบ​มั้ง"

"ออกแบบ? จะ​ออกแบบ​อะไร​วะ​ สินค้า​ ผลิตภัณฑ์​ รายการ​??? "

" ก็... ประมาณ​นั้น​มั้ง"

"แล้วมึงล่ะไอ้ปอ จะ​เข้าคณะอะไร"

"บริหาร​"

"โห​ หนุ่มนักธุรกิจ เท่ไม่เบา แต่ไม่มีใครอยากเข้าวิศวะเหมือนกูเลยหรอวะ สาวชอบเยอะนะเว้ย"

" ใครจะอยากเรียนกับมึงแค่นี้ก็เบื้อขี้หน้าจะตายแล้วโว้ย"

"ปากดีนะมึง ถ้า​วันปัจฉิมกูเห็นหมาที่ไหนร้องไห้จะตบหัวให้ร้องหนักกว่าเดิมอีก "

" เออออ​ กูไม่ร้องแน่ๆ "

" เอออออ​ กูจะรอดู.. ว่าแต่ตอนนี้มึงโสดหรือยังมีแฟนวะ" จู่ๆไอ้เจสก็เปลี่ยนเรื่องอย่างกระทันหันจนผมแทบตามอารมณ์มันไม่ทัน

"โสด" ผมตอบตามความจริงไป

"โสดจริงดิ มึงไม่ได้กลับไปรีเทิรน์.. "เจสตาโตเมื่อเพื่อนบอกว่าโสด ทั้งที่​คิดว่ามันคงคืนดีกันตั้งแต่วันวาเลนไทน์แล้ว เพราะ​ไอ้คริสก็เป็นส่งจดหมายมาง้อก่อน ไอ้ปิ๊นเองก็ดูยังรักไอ้คริสเช่นกัน... แล้ว​ทำไม​ถึง​ไม่ได้​คืนดีกันวะ

" ไม่ล่ะ​ กูว่าอยู่ตัวคนเดียวก็ดีอยู่แล้ว " ปอที่นั่งเงียบแต่ตั้งใจฟังทุกประโยคหันหน้าไปมองเพื่อนข้างกายทันที 

" มึงแน่ใจหรอวะ" เจสถามย้ำอีกครั้ง

"อืม​ กูตัดสินใจแล้ว.. ต่อจากนี้​ไป​กูจะทุ่มเทให้ชีวิตและครอบครัวกูเอง ก็​เหมือน​ที่ครูพูดไงมึง เพื่อน​ไม่ได้​อยู่​กับ​เรา​ตลอดไป​ แฟนก็คงไม่ได้อยู่กับเราตลอดไป มีแต่ตัวเราที่อยู่กับเรา "

" ทำไม​พูดจาแปลกๆวะ ไอ้ลูกหมา ยังไง​กูก็เป็นเพื่อนมึงตลอดไปน่า มีอะไรขอให้บอกกูจะไป​หามึงถึงที่แน่นอน"

"อือ.. ขอบใจ​มาก​นะ​มึง" ผมส่งยิ้มจางๆให้ไอ้เจส รู้สึก​เอ็นดูท่าทางที่จริงจังของมันเมื่อกี้นี้สุดๆ


มีแค่พวกมึงกูก็มีความสุขแล้ว





วันเสาร์​

ณ​ สถาบัน​ติววิชาเคมี


นี้​เป็น​ครั้งแรก​ที่​พวกผม​ 3​ คน​ มาติวด้วยกันที่สถาบันติววิชาเคมีแห่งหนึ่ง ปกติ​จะให้ไอ้ปอติวให้เฉยๆ แต่เพราะต้องเตรียมตัวสอบเข้ามหาลัยเราจึงจำเป็นต้องมาติวที่นี่ เพราะ​มีชื่อเสียง​ มีแนวข้อสอบและเทคนิคที่ทำให้แก้โจทย์ได้ง่ายขึ้น และ​ที่​สำ​คัญคือ​ ฟรีครับ ! 5​5555​

แต่​ก็​ฟรีแค่วันนี้วันเดียวแหละครับเพราะเหมือนเขาให้ทดลองเรียนมากกว่าถ้าชอบถ้าเข้าใจในการสอนก็ค่อยมาลงครอสเรียนแบบเสียเงินเอาอีกที

วันนี้​เลยมีเด็กมารอติวฟรีกันเต็มไปหมด มากหน้าหลายตา​จนผมหาไอ้เจสไอ้ปอไม่เจอ เลยส่งไลน์ไปถามมันว่าอยู่ตรงไหน ก็​ได้คำตอบว่าพวกมันนั่งอยู่ชั้น 3​ ห้อง​ A ที่​นั่ง​ VIP เหอะ​ๆ หรือ​แถวหน้า​สุดนั่นเอง

เดินขึ้นมาจนถึงชั้น 3​ มองผ่านช่องกระจกประตูไปที่ด้านหน้าห้องเรียนก็เห็นไอ้เจสกับไอ้ปอนั่งอยู่เว้นที่นั่งตรงกลางไว้ให้ผมเหมือนเคย เห็น​แบบนั้นเลยรีบเปิดประตูแล้วตรงดิ่งไปนั่งที่ว่างตรงกลางพวกมันทันที   บรรยากาศ​ใน​ห้อง​เงียบ​เสียง​ไปสักแป๊บเดียวตอนที่ผมเดินเข้าไป คงเป็นเรื่องธรรมดาที่คนจะชอบหันมาดูว่าใครเปิดประตูเข้ามา แต่​พอรู้ว่าไม่ใช่เพื่อนตัวเองก็หันกลับไปคุยกันต่อ


"สายนะมึงวันนี้" ไอ้เจสรีบพูดข่ม

"รถมันติดนี่หว่า รอรถเมล์นานด้วยเลยสาย"

"มาสายเลี้ยงขนมกูด้วย ค่าจ้าง​จองที่นั่งให้มึง"

"ฝันไปเหอะ สลึงนึงกูก็ไม่ให้เว้ย"

"ชิ" ไอ้เจสทำท่ากระฟัดกระเฟียด ผมก็เลยไหวไหล่ใส่ไม่สนใจ เตรียม​สมุดออกมารอจดเพราะใกล้เวลาที่จะฉายวิดีโอสอนแล้ว จริงๆ​ติวเตอร์​มาสอนสดนะครับแต่รู้สึกว่าจะสอนอยู่ชั้น 2​ ซึ่ง​ที่นั่งคงเต็มไปตั้งแต่เปิดประตูให้เข้า

"วันนี้​ตั้งใจ​เรียน​นะ​ อย่าคุย​มองแค่หน้าจอพอ" ไอ้ปอบอกสีหน้านิ่งๆเหมือนเคย

"อือ​ ไม่คุยหรอก แต่ถ้ากูไม่เข้าใจตรงไหนจะเก็บไว้ถามมึงทีหลังนะ"  ผมส่งยิ้มให้มัน

"เออ​ เข้าใจว่าสมองมึงพกมาน้อย หึหึ​" ไอ้ปอยิ้มมุมปากก่อนจะเอามือมาขยี้หัวผมให้ยุ่งเยิงไปหมด


ปัง!

เสียงของตกดังจากทางด้านหลังเล่นเอาผมสะดุ้ง จะ​หันหลัง​ไป​มอง​





ออฟไลน์ Monkey D

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 698
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-0
ที่เหลือจะมาลงให้ตอนเที่ยงๆนะคะ​ ขอตรวจทานเนื้อหาอีกรอบก่อน วันนี้​ดึกแล้วตาลาย

ออฟไลน์ Monkey D

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 698
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-0

"กูบอกว่าให้มองแต่หน้าจอไง อย่าวอกแวกดิ" ไอ้ปอเอามือจับหน้าผมไว้ไม่ให้หันไป  ผมก็เลยพยักหน้าเข้าใจ พอดีกับที่หน้าจอขึ้นฉายถ่ายทอดสดการสอนแล้วด้วย

เสียงในห้องเงียบลงต่างคนต่างตั้งใจฟังการสอนอย่างจริงจัง พยายามเก็บเกี่ยวความรู้ให้ได้มากที่สุด ไอ้เจสเอาโทรศัพท์ออกมาวางตั้งถ่ายวิดีโอไปและก็ฟังบรรยายไปด้วย ผมเองก็ตั้งใจทำโจทย์ถูกบ้างผิดบ้างแต่พอฟังเฉลยและวิธีคิดก็เข้าใจมากขึ้น  คิดว่าช่วยได้เยอะจริงๆจนอยากจะลงเรียนเต็มคลอส


เมื่อแก้โจทย์สุดท้ายเสร็จก็หยุดพักเที่ยงกัน แล้ว​ค่อยมาติวครึ่งหลังต่อตอนบ่าย  ผมบิดขี้เกียจเล็กน้อยเตรียมจะลุกออก แต่ไอ้เจสก็ดึงเสื้อผมให้กลับไปนั่งลงเหมือนเดิม

"อะไร​วะ​ ไม่ลุกลงไปกินข้าวหรอ"  ผมถาม

"เดี๋ยว​ค่อย​ลุกไปก็ได้ ออกไปตอนนี้ก็ไปยืนเบียดกันตอนเดินลงที่บันไดอีก ตั้งกี่ชั้นกี่ห้องเรียน นั่งเล่นที่นี่ไปสัก10นาทีก่อนดิวะ"

"เออๆ​ ก็​ดีเหมือนกัน " ผมพยักหน้าแล้วหันไปคุยกับไอ้ปอเรื่องที่ยังไม่ค่อยเข้าใจ ปล่อยให้ไอ้เจสคุยไลน์กับมิ้งไป

จนคนออกไปหมดห้องเหลือไว้แต่กร​ะเป๋าสมุดจองที่ไว้ เสียงคนเดินหน้าห้องก็เบาลงพวกผมเลยเดินออกกัน เอามาแค่กระเป๋าตังค์กับโทรศัพท์ เพราะ​ในห้องมีกล้องวงจรปิดเลยไม่กลัวกระเป๋าหายน่ะครับ

พวกผมเลือกกินอะไรง่ายๆที่ร้านสะดวกซื้อใกล้สถาบันติว ยืนกินกันเสร็จก็พากันรีบเดินกลับเพราะใกล้ถึงเวลาติวแล้ว

"พวก​มึงขึ้นไปก่อนเลย กูเข้าห้องน้ำก่อนว่ะ เหมือน​จะ​ปวดหนัก" ผมบอกพวกมันเพราะรู้สึกอยากถ่ายมาก คงเพราะเมื่อคืนตามใจปากกินซีฟู๊ดที่พี่เสือซื้อมาฝากไปเต็มกระเพาะ

"เออๆ​ แล้ว​รีบขึ้นไปล่ะ" ไอ้เจสพูด

"ถ้า​ปวดมากก็โทรบอกนะเดี๋ยวกูลงไปหาซื้อยาธาตุน้ำขาวให้" ไอ้ปอพูดด้วยความเป็นห่วง

"เออ​ ๆ กูไปห้องน้ำก่อน"

แล้ว​ผมก็รีบเข้าห้องน้ำ โชคดีที่ห้องน้ำว่างมากไม่มีคนเลยคงเพราะไปติวกันหมดผมเลยนั่งห้องน้ำได้อย่างสบายใจพร้อมกับเล่นเกมในโทรศัพท์ไปเพลินๆ จนเสร็จธุระก็วางโทรศัพท์ไว้บนถังชักโครกแล้วจัดการทำความสะอาดตัวเองก่อนจะกดชักโครกแล้วเดินออกมาด้วยความโล่ง

ก้มลงล้างมือแล้วเช็คความหล่อหน้ากระจกเล็กน้อยก็เตรียมตัวจะเดินออกไป

แกร๊ก​

เสียงเปิดประตูห้องน้ำเข้ามาตามมาด้วยร่างของเด็กหนุ่มตัวสูงและหน้าตาที่คุ้นเคย..

.

.

.

ช่วงเวลา​ที่​ยืน​มองหน้ากัน ผมรู้สึกเหมือนเวลาหยุดหมุนไปชั่วขณะ มีแต่ความเงียบเข้าโอบล้อม แววตาของคนตัวสูงสั่นไหวเล็กน้อยเฉกเช่นเดียวกับผม ก่อนจะกลับมานิ่งเฉยเหมือนเดิม   ผมไม่รู้จะพูดอะไรหรือทักทายมันยังไง  ไม่รู้​สิ​ ผมไม่ได้เจอหรือคุยกับมันมานานแล้ว มันเหมือนว่าผมเดินจากมันมาไกลแล้ว

ต่อให้​ในอดีตผมกับมันจะมีความทรงจำร่วมกันมากมายแค่ไหน แต่ในตอนนี้เราสองคนไม่ต่างอะไรกับแค่คนเคยรู้จักกัน..

"คริส​จ้า​ เสร็จ​หรือยัง​นานแล้วน้า " น้ำเสียง​หวานติดออดอ้อน ดังเรียกมาจากด้านนอก ช่วยทำให้บรรยากาศเทาๆจางหายไป

" แป๊บนึง​นะเดียร์​  จะขึ้นไปก่อนก็ได้" คริสตอบกลับโดยที่หน้ายังมองตรงมาที่ผมอยู่

"ไม่เอา​ เค้าจะรอคริสขึ้นไปพร้อมกันนิ เค้ารอต่อก็ได้"  เสียงงองแง๊ง ของ​ผู้​หญิง​ตอบกลับ​มา​ ผมเดาว่าคงเป็นแฟนใหม่ของมัน เพราะ​ไม่​งั้นคงไม่ทำน้ำเสียงอ้อนได้น่ารักแบบนี้

รู้​อย่างนี้​แล้ว​ก็​สบายใจ.. ใช่ครับผมสบายใจที่มันมีชีวิตที่'ปกติ ' ผมเดินต่อไปเพื่อจะขึ้นไปติว หากแต่มือหนาที่อบอุ่นจับดึงมือของผมไว้

เรายืน​หยุดนิ่ง อยู่​ข้างๆกันเพียงแต่เราไม่หันมามองกัน  เหมือน​จะ​ใกล้​แต่ก็ดูห่างไกล


"ได้รับจดหมายหรือเปล่า" เสียงทุ้ม​คุ้นหูพูดเสียงเบาราวกับกระซิบให้ผมได้ยินแค่คนเดียว  คำถาม​สั้น​ๆ​ที่เหมือนตอกลงมาที่หัวใจที่เคยตายด้าน ให้​เจ็บแปล๊บขึ้นมาอีกครั้ง

"ได้​"  เพียง​แค่ตอบไปมือหนาบีบมือผมแรงขึ้นจนรู้สึกเจ็บ

"แล้ว​ทำไม​ถึง​ไม่ไป"  เสียงสั่นๆถามกลับมาอีกรอบ

".. เพราะ​ไม่​อยาก​ไป​ไง"  ผมตอบมันไปตามความจริง มือที่เคยบีบแน่นราวกับกลัวผมจะหลุดไป ตอนนี้กลับปล่อยอย่างง่ายดายคล้ายหมดแรงจะดึงรั้ง 

เมื่อความอบอุ่นหายไป เหลือไว้แค่ไออุ่นที่ทำให้รู้ว่าครั้งหนึ่งเคยมีคนกุมมือนี้ไว้


ผมเลือกที่จะเดินออกมาแล้วตรงเข้าไปนั่งเรียนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งที่​จริงผมพยายามสะกดกลั้นความรู้สึกไว้ไม่ให้มันพุ่งออกมา

แกร๊ก​

"ไอ้คริส เข้าห้องน้ำนานจังวะ มึงพาเดียร์ไปทำอะไรหรือเปล่า 555 " 

"บ้าหรอ​ แดนก็พูดไปเรื่อย คิคิ​" เสียง​กระซิบเบาแต่เพราะห้องเรียนที่มีแต่ความเงียบทำให้ได้ยินชัดเจน

ไอ้เจสกับไอ้ปอหันมามองผมพร้อมกัน เหมือน​กลัวผมจะหันกลับไปมองด้านหลัง แต่ผมก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นตาจ้องมองที่หน้าจอเหมือนเดิม



แล้ว​ทำไมถึงไม่ไป น่ะหรอ..




ย้อนไป​ 3​ เดือนก่อน​

วันวาเลนไทน์​  หลัง​เลิกเรียน​



ออฟไลน์ Monkey D

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 698
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-0

ย้อนไป​ 3​ เดือนก่อน​

วันวาเลนไทน์​  หลัง​สอบเสร็จ

อออออออออด​

เสียงหมดเวลาสอบวิชา สุดท้ายของวันนี้ ดังขึ้น​

สิ้นสุด​การ​รอคอยแล้วโว้ยยยยย  วันนี้​แหละ​ผมจะกลับไปคืนดีกับไอ้บ้าคริส กร๊ากกก​ ไม่มีอีโก้อะไรอีกแล้ว บอกตามตรงว่าโคตรคิดถึงมัน

"กูกลับบ้านก่อน​นะเว้ย" ผมสะพายกระเป๋าพลางบอกพวกไอ้เจสไอ้ปอไปด้วย

"ไหนตอนนั้นมึงบอกจะชวนกันไปกินฉลองจบม.5ไง ปิ๊น​ แล้ว​ทำไม​รีบ​กลับ​"  ไอ้ปอถาม  กระตุ้น​ความจำผม​ที่​ลืมไปสนิท

"ค่อยนัดกันวันหลังก็ได้ วันนี้​มึงคงมีธุระต้องไปทำใช่ไหมไอ้ปิ๊น" ไอ้เจสช่วยแก้ตัวให้  กูรักมึงฉิบหายไอ้เพื่อนรัก

"แหะๆ​ ไว้วันอื่นค่อยนัดเจอกันอีกทีนะเว้ย ไอ้ปอมึงอย่าโกรธกูนะ"  ผมหันไปทำตาปริบๆใส่

"พูด​อย่าง​กับ​กู​เคย​โกรธมึง"  ไอ้ปอบ่นมุบมิบแล้ว ถอนหายใจ ก่อนจะพยักหน้าส่งให้ ประมาณ​ว่า​จะ​ไปไหน​ก็​เรื่องของมึง 555

"งั้นกูไปก่อนนะ บ๊ายบ่าย"  ผมส่งยิ้มให้แล้วรีบเดินกลับบ้าน เพราะ​อยาก​อ่าน​จดหมาย​ที่​ไอ้คริส​ฝากมาจะแย่ มัน​จะ​เขียน​อะไร​น้ำเน่า​ๆให้ชวนอ้วกไหมก็ไม่รู้ เอ๊ะ​ หรือ​มันจะส่งจดหมายมาด่าผมวะ แบบผมมันเป็นแฟนที่ห่วยที่สุดที่เคยเจอ​มา​ของมันงี้.. แต่​ถ้า​มี​โอกาสอีกครั้ง ผมสัญญาว่าจะเป็นแฟนที่ดีมากกว่าเดิม


คิด​วนไปวนมาไม่ทันไรก็ถึงบ้าน แปลก​ใจเล็กน้อยที่ประตูบ้านปิดไม่สนิท ยัง​ไม่​ทันได้เดินเข้าไปก็ได้ยินเสียงดังลอดออกมา

"ทำไม​ทำแบบนี้ ไหนพี่บอกรักผมคนเดียวไง! " เสียง​พี่ปูนตะโกนดังออกมา

" พี่​ขอโทษ.. แต่​พี่​ว่า​เราเลิกกันน่ะดีแล้ว" 
เชี่ยยยย​ ทำไมพี่เอกถึงบอกเลิกพี่ปูนง่ายๆแบบนี้วะ ไหนตอนนั้นบอกรักพี่ปูนมากไง!

"พูดง่ายเนอะ ไอ้คำว่าเลิกเนี้ย ทำไมพี่พูดมันออกมาได้ง่ายดายขนาดนี้ เรื่อง​ของพี่กับผมที่ผ่านมามันไม่มีความหมายเลยหรอ" น้ำเสียงตัดพ้อของพี่ปูนทำให้ผมกำหมัดแน่น กล้าดียังไงมาทำให้พี่ผมเสียน้ำตา

"แล้ว​ปูนจะให้พี่ทำยังไง พี่​พลาดทำน้องเขาท้องไปแล้ว พ่อแม่​เราก็รู้จักกัน ยังไง​พี่​ก็​ต้อง​รับผิดชอบ​เขา​" 

"พลาด.. หรือ​ตั้งใจ​ คิดว่า​ผมไม่เห็นแชทในไลน์หรือยังไง พี่​โกหกผมทำไม พี่​แม่งเลว​มากนะ​ทำทุกอย่างให้ผมเชื่อว่าพี่รักผมมาก แต่พอวันที่ผมรักพี่หมดใจพี่กลับจะขว้างมันทิ้งไปง่ายๆเหมือนผมไม่มีความหมายอะไรเลยกับพี่สักอย่าง พี่​คิดบ้างไหมว่าผมจะรู้สึกยังไง เสียใจ​แค่ไหน.. ฮึก​" ถึง​ตอนนี้ผมเปิดประตูแล้วเดินเข้าไปกอดพี่ปูนไว้แน่น ยิ่งทำให้พี่ปูนร้องไห้หนักกว่าเดิม  ผมหันไปมองหน้าไอ้คนเลวที่ทำพี่ผมเสียใจอย่างโกรธแค้น

แต่​พี่​เอกกลับหลบตาลงมองพื้น อย่างคนขี้คลาด

"พี่​รู้​ว่า​พี่ผิด​ พี่เลวเอง​ แต่ปูนก็รู้ใช่ไหมว่าความรักของเรายังไงมันก็ไปไม่ถึงฝั่ง ในความฝันของเราเราอาจจะอยู่ด้วยกันไปจนตาย แต่​ในโลกความเป็นจริง ผู้ชาย​กับผู้ชายยังไงมันก็ไม่มีวันคู่กันได้หรอก พ่อแม่​พี่เองก็ไม่ยอมรับปูน พาลโกรธพี่ ปูนอยากให้พี่เป็นลูกอกตัญญูทำให้พ่อแม่เสียใจหรอ"

พี่ปูนสะอื้นร้องไห้แรงกว่าเดิม บ่าผมตอนนี้แบกรับความเสียใจของพี่ชายเพียงคนเดียวไว้จนเปียกชื้นด้วยน้ำตาเต็มเสื้อ

"พี่ขอโทษสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำให้ปูนเสียใจ แต่เรื่องของเราสองคนมันคงมาได้ไกลแค่นี้จริงๆ"
.
.
.

คนหนึ่​งเดินจากไป ทิ้งสองคนไว้ให้จมกับความเสียใจ และ​ปลอบใจ​กัน​เอง​


ท่ามกลางความเงียบและมืดมีเพียงแค่แสงไฟจากด้านนอกลอดผ่านเข้ามา  ไม่รู้​ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ที่ผมนั่งโอบกอดพี่ปูนไว้ปล่อยให้เขาร้องไห้จนพอใจ ผมปลอบใครไม่เก่งแต่ผมจะไม่ทิ้งพี่ชายผมไปไหนแน่นอน ในเวลานี้พี่ชายที่เคยเข้มแข็งดูแลผมมาตลอดช่างดูอ่อนแอและเปราะบางเหลือเกิน จนผมกลัวว่าหากผมละสายตาไปมันอาจจะ​แตกสลายได้..


"สุดท้าย... ผู้ชาย​ก็​ต้อง​คู่​กับ​ผู้หญิง​ใช่ไหม​ ปิ๊น"  น้ำเสียงอ่อนแรงถามขึ้นมา  พี่​ปูนร้องไห้จนน้ำตาแห้งเหือดทิ้งไว้แต่คราบน้ำตาและดวงตาที่ไร้จุดหมาย

"... "  ผมได้แต่นิ่งเงียบไปกับคำถามนั้น  ผมเคยคิดว่าผู้ชายก็ต้องคู่กับผู้หญิง แต่เหตุการณ์ของผมที่เกิดขึ้นกับไอ้คริสมันก็ทำให้ผมเรียนรู้ว่าการรักคนเพศเดียวกันมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิด  ความสุข​ที่​เกิดขึ้น​ร่วมกันกับคริส

มันคือเรื่องจริงในความรู้สึกของผม


แต่ในโลกความจริงมันก็เหมือนที่ไอ้พี่เอกพูด ไม่ใช่​ทุกคน​ที่​จะยอมรับความรักในรูปแบบนี้ได้


คำถาม​ของพี่ปูนมันจึงเป็นคำถามที่ไม่มีตอบ

"ยังไง​ผมก็อยู่กับพี่ปูนเสมอนะ"  ไม่ทิ้งพี่ไปไหนแน่นอน

ประโยคท้ายต้องเก็บไว้พูดคนเดียวในใจด้วยกลัวจะไปสะกิดแผลใจของพี่ตนเอง


ผมลูบหลังปลอบจนเห็นว่าพี่ปูนเผลอหลับไปแล้วจึงค่อยๆจับนอนไปกับโซฟา และ​ค่อยๆเช็ดคราบน้ำตาให้อย่างเบามือ

หยุด​ร้องไห้​แล้ว​ พี่ชายของผม

เหมือน​คันกั้นน้ำที่กักเก็บความรู้สึกไว้มากล้นจนเกินจะรับมือไว้  น้ำตาผมร่วงหล่น​ออกมาอย่างไม่ขาดสาย ผมไม่เคยเห็นพี่ปูนเป็นแบบนี้มาก่อน  พี่ปูนใจดีแต่ไม่อ่อนแอ เขาเข้มแข็งกว่าที่เห็นภายนอกมาก​  แต่ตอนนี้แค่เพราะคนๆเดียวที่เข้ามาในชีวิต เข้า​มาเพื่อทำให้เกิดความรู้สึกต่างๆมากมายแล้วจากไปอย่างไม่ใยดี มันกลับทำให้พี่ผมอ่อนแออย่างไม่น่าเชื่อจริงๆ


แล้ว​ถ้า​เป็น​ผมล่ะ ผมที่ขี้กลัว กังวลไปกับทุกสิ่ง เข้มแข็ง​ไม่ได้​ครึ่งของพี่ปูนด้วยซ้ำ หากเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นมา ถ้า​พ่อแม่ผมหรือพ่อแม่มันไม่ยอมรับเเบบพี่เอก ผมคงทนไม่ไหวเช่นกัน..



และ​ถ้า​ไม่​อยาก​ให้​ตัวเอง​ตกอยู่ในสภาพแบบพี่ปูน ผมว่า... ผมควรหยุดทุกความรู้สึกไว้แค่นี้  เลิกกันตอนนี้มันคงดีที่สุดแล้ว




ปิดเทอม​ครั้ง​นั้น​ของผ​ม​ จึงเป็นช่วงเวลาที่เปลี่ยนหน้าที่กันกับพี่ปูน ผมที่เคยแต่นอนเล่นรอกินข้าว รอให้พี่ปูนดูแลได้เปลี่ยนมาทำหน้าที่เป็นคนดูแลพี่ปูนเอง  ผมเข้าใจว่าพี่เอกคือรักแรกและเป็นรักที่ฝังใจมากของปูน พอถูกดึงออกไปจากใจมันย่อมต้องใช้เวลารักษาแผลนาน

โชคดีที่ปิดเทอมแล้วผมจึงมีเวลาดูแลพี่ปูนเต็มที่ นั่งรถไปมหาลัยเป็นเพื่อน​ รอกินข้าวเที่ยงด้วยและรอกลับพร้อมกัน  ถึง​พี่ปูนจะบอกไม่ต้องทำแต่ผมเต็มใจ  ก็​เห็น​สีหน้าหม่นหมองขนาดนั้นผมจะปล่อยให้อยู่คนเดียวได้อย่างไร  บอกตรงๆว่าในความคิดผมคือกลัวพี่ปูนจะเป็นโรคซึมเศร้า  อย่างน้อยก็นั่งฟังผมพูดมากให้รำคาญหูเล่นดีกว่าเอาเวลาไปคิดเรื่องอะไรที่ไม่ควรคิด

เรื่องนี้ผมไม่ได้บอกใครเลย เพราะ​มัน​ไม่​ใช่เรื่องที่น่าเล่าให้ใครฟัง พูดไปก็ใช่ว่าจะมีคนเข้าใจความรู้สึกเราทั้งหมด เพราะ​งั้น​ช่วง​เวลา​ปิดเทอม​ผมจะทุ่มมันไปกับพี่ปูนทั้งหมด สนใจแค่พี่ผมคนเดียว  


จนลืมคนอื่นๆไปหมดสิ้น..


ออฟไลน์ Monkey D

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 698
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-0

ติวจนจบของวันนี้  ทุก​คนก็ต่างแยกย้ายกันไป บางคน​ก็​กลับ​บ้าน​ บ้างคนก็เดินเล่นกับเพื่อนต่อ

"ไอ้ปิ๊น ไอ้ปอ​ ไปเดินห้างเป็นเพื่อนกูก่อนนะอยากซื้อโดนัทกินวะ"  ไอ้เจสพูดชวนตอนที่เราสามคนกำลังเดินลงบันไดมาชั้นล่างของสถาบันติวเตอร์

"อืม"  ปอพยักหน้ารับ

"ไปแป๊บเดียวนะมึง กูต้องรีบกลับบ้าน เดี๋ยว​กูโทรถามพี่ปูนก่อนว่าอยากกินอะไรหรือเปล่า"  ผมบอกแล้วเอามือล้วงกระเป๋ากางเกง​หาโทรศัพท์  แต่ไม่เจอ จึงถอดกระเป๋าเป้ออกจากหลังมารื้อหาดูอีกที

"หาอะไรวะ"

"โทรศัพท์​  กูหาไม่เจอวะ ไอ้เจสมึงลองโทรเข้าเครื่องกูดิ"

"เออๆ​ โทรเดี๋ยวนี้แหละ"  ไอ้เจสกดโทรหาเบอร์ผม

"ติดแล้วๆมึง กระเป๋ามึงสั่นไหม" มันพูดแต่ผมไม่รับรู้ถึงการสั่นของโทรศัพท์ในกระเป๋าเลยสักนิด

"สายตัดไปแล้ววะ"

"ลองโทรอีกรอบซิ"  ไอ้ปอสั่งไอ้เจสอีกรอบ

"ติดแต่ไม่มีคนรับวะ แล้ว​มึงไปลืมไว้ที่ไหนหรือเปล่า ลองนึกดิ"

"กูก็เอาไว้ในกระเป๋าตลอดนะ"  ผมบอกมันก็ผมเอาแต่ดูหน้าจอการสอนไม่ได้หยิบโทรศัพท์ออกมาเลย

"แล้ว​ตอน​ไป​เข้า​ห้องน้ำ​ ได้เอาออกมาเล่นหรือเปล่า"  ไอ้ปอถาม

"เ​ออออออออ จริงด้วยมึงกูเอาออกมาเล่นเกม คงเผลอวางไว้แล้วลืมเอาออกมาแน่ๆ"  ผมตบหน้าผากให้กับความขี้ลืมของตัวเอง

"รีบไปหาเลยให้ไว เร็ว"  แล้วพวกผมก็รีบวิ่งมาที่ห้องน้ำแล้วเปิดหามันทุกห้องแต่ก็ไม่เจอ  พอลองโทรไปเครื่องผมอีกครั้งมันก็ปิดเครื่องไปแล้ว

จะหายไปไม่ได้นะเว้ย

"อย่าทำหน้าเหมือนลูกหมาโดนทิ้งสิวะ ลองไปถามที่เคาท์เตอร์ดูเผื่อมีใครเก็บได้แล้วเอาไปคืนที่นั่น"

"อือ"



"ไม่มีใคร​ เก็บ​โทรศัพท์มาคืนนะคะ พี่​เสียใจ​ด้วยจริงๆนะน้อง"  คำตอบของพี่พนักงานที่เป็นความหวังดังฟางเส้นสุดท้ายก็ขาดลง..


"ไม่เป็นไร​นะมึง เดี๋ยว​ค่อยซื้อใหม่ก็ได้​ กูมีโทรศัพท์อยู่สองเครื่อง เอาไปใช้ก่อนเครื่องนึงดิ"  ไอ้เจสรีบเอาโทรศัพท์เครื่องเก่าของมันมาให้ แต่ผมก็ส่ายหน้าปฏิเสธไป


โทรศัพท์​น่ะซื้อใหม่ได้ก็จริง แต่สิ่งที่อยู่ในนั้นมันย้อนกลับไปถ่ายใหม่ไม่ได้แล้วไง.. ทำไม​กูไม่รู้จักอัพลงเฟสแล้วตั้งค่าส่วนตัวไว้วะ


บางทีพระเจ้าอาจ​อยากให้ผมทิ้งทุกอย่างไปแล้วเริ่มต้นใหม่จริงๆสักที..
.
.
.
ซะเมื่อไหร่​ ล่ะครับ

เพราะ​พอผมกลับถึงบ้านกำลังจะนอนพร้อมกับพี่ปูน คือผมย้ายมานอนห้องพี่ปูนชั่วคราวน่ะครับ โทรศัพท์​พี่ผมก็ดังพอดี ก่อนที่พี่ปูนจะส่งมาให้บอกว่าไอ้ตงโทรมา​

"ว่าไงมึง โทรมามีอะไร "

"โทรมาสมน้ำหน้าคนทำโทรศัพท์หาย 55555​"

"เชี่ยแม่ง ไม่ต้องมาซ้ำเติมเลย"

"กูเปล่ามาซ้ำเติมซะหน่อย กูแค่จะมาบอกข่าวดี"

"ข่าวดีอะไรอ่ะ ไอ้เด็กดิสโก้ท้องแล้วหรอ"  ผมแกล้งพูดหยอก

"ฟวยเถอะ ไอ้ห่าปากดีแบบนี้เดี๋ยวกูก็ไม่คืนโทรศัพท์ให้ซะนี้"

"ห่ะ​ มึงว่าไงนะ จะคืนโทรศัพท์ให้กูหรอ มึงเก็บได้หรอวะ"  ผมลุกพรวดขึ้นมานั่ง

".. ก็​ไม่​เชิง​ เพื่อน​กูเจอใน​ห้องน้ำพอดีน่ะมึง​  กูเห็นมันโพสประกาศหาเจ้าของ ลงเฟสบุ๊คพอดีเลยจำได้ว่าของมึง"

"โหย​ เพื่อ​นมึง​ประเสริฐ​แท้​  ฝากบอกด้วยว่าขอบคุณมากไว้จะเลี้ยงข้าววันหลังนะ"

"เออๆ​ ได้"

"งั้นเดี๋ยวกูวิ่งไปเอาโทรศัพท์ที่บ้านมึงตอนนี้เลยแล้วกัน"

"เห้ยๆ​ ยัง​มาไม่ได้"

"ทำไมอ่ะ​"

"คือ.... กูจะนอนแล้ว ไว้พรุ่งนี้เช้าค่อยมาเอาแล้วกัน"

"หน้าอย่างมึงเนี้ยนะจะนอนตอนสามทุ่มครึ่ง  แถมพรุ่งนี้ก็วันอาทิตย์อีก  โคตรมีพิรุธเลยว่ะ มึงปิดบังอะไรกูเปล่า"  ผมทำน้ำเสียงจับผิดมัน​

"มึงนี้..รู้ทันตลอด...บอกก็ได้วะ...ไอ้ดิสโก้มันค้างบ้านกู"  ไอ้ตงพูดเสียงอ้อมแอ้มเหมือนไม่อยากบอก

"555 จริงดิ"  ผมไม่อยากจะเชื่อ

"เออดิ​ จะฟังเสียงมันไหมล่ะ ไอ้ดิสพูดทักไอ้ปิ๊นดิ"

"เฮลโลลล​ เพื่อนสามี​~"

"สามีพ่องงง กลับที่มึงไปเลย"

"แงงงง​ เรียกเค้ามาแล้วก็ไล่เค้าเฉย งอน! "

" เออ​ เรื่อง​ของ​มึงเหอะ... งั้นแค่นี้ก่อนนะไอ้ปิ๊นเจอกันพรุ่งนี้" ไอ้ตงพูดเสียงหงุดหงิด

" แหมๆ​พอเมียบอกงอนแล้วรีบวางสายไปง้อเลยนะ 5555" ผมล้อมันอย่างอารมณ์ดี

"ถุย​ กูจะไปไล่มันออกจากบ้านต่างหาก แค่นี้​หละ! "

" นี่พี่จะไล่คนน่ารักอย่างผมลงจริงหรออออ ว๊ากกก" เสียงร้องหลงของไอ้เด็กดิสโก้แทรกเข้ามาก่อนสายจะถูกตัดไป

ผมได้แต่ยิ้มขำกับความหลงตัวเองของไอ้เด็กดิสโก้ นิสัยเหมือนไอ้คริสไม่มีผิด 5555...


อีกแล้ว​  เผลอ​คิดถึง​มันอีกแล้ว

ถึงจะคอยบอกตัวเองว่าให้ลืมแต่ก็เหมือนว่ายิ่งย้ำให้จดจำ

"ตงมันพูดอะไรหรอปิ๊น  ถึง​ได้หัวเราะขนาดนั้น"
พี่ปูนพลิกตัวตะแคงมาถาม

"อ๋อ​ แค่ขำมันกับกิ๊กเด็กมันน่ะ ไม่มีอะไรหรอก เอ่อมันบอกว่าเพื่อนมันเก็บโทรศัพท์ปิ๊นได้ เดี๋ยว​พรุ่งนี้​ไป​เอาคืน​ แค่นี้แหละ"

"โชคดี​จังเลยที่ได้คืน  นึกว่าต้องเสียเงินซื้อให้ใหม่ซะแล้ว"  พี่​ปูนพูดยิ้มทะเล้นให้ เดี๋ยว​นี้เริ่มใกล้จะกลับคืนปกติแล้ว​  เริ่มพูดคุยและยิ้มมากขึ้น  ไม่นิ่งเงียบซึมเหมือนข่วงแรกๆแล้ว

"นั่นสิ​ กะว่าถ้าซื้อใหม่จะเอาไอโฟนรุ่นล่าสุดซะหน่อย หว๋าอดเลย​ บอกมันว่าไม่ต้องเอามาคืนดีไหมนะ" ผมทำท่าเซ็งใส่

"ถ้า​น้องพี่อยากได้อะไรพี่ก็ซื้อให้ได้หมดแหละ  ปิ​๊น​มีความสุข​พี่​ก็​มี​ความสุข​นะ"  พี่ปูนส่งยิ้มให้ในเงามืด

"ผมก็เหมือนกัน"

"พรุ่งนี้​กลับ​ไป​นอนห้องตัวเองได้แล้วนะ  พี่บอกตั้งกี่ครั้งแรกว่าไม่ต้องมานอนเป็นเพื่อน"

"ไม่เอาอ่ะ​  ไม่ปล่อยให้อยู่คนเดียวหรอก"   ถึงตอนนี้พี่ปูนเริ่มจะโอเคขึ้น  แต่ผมก็ไม่วางใจอยู่ดี หลายข่าวที่คนฆ่าตัวตายมักแสดงออกว่าตัวเองดีขึ้นแล้วแต่จริงๆแล้วไม่ใช่เลย


"นี่​  พี่ไม่ฆ่าตัวตายหรอกน่า  ขืนพี่ตายไปมีหวังปิ๊นขายบ้านทิ้งแน่ๆกลัวผีซะขนาดนี้"  รู้ทันอีกแน่ะพี่ผม

"แต่ว่า.. "

" พี่โอเคขึ้นแล้วจริงๆปิ่นปิ๊น  พี่รู้นะว่าเราเป็นห่วง พี่ยอมรับว่าพี่เคยเสียใจมาก  แต่สุดท้ายเรื่องมันก็ผ่านไปแล้ว ยังไงชีวิตก็ต้องเดินหน้าต่อไปใช่ไหมล่ะ เพราะ​งั้นเลิกห่วงเถอะ  กลับไปมีชีวิตเป็นของตัวเองได้แล้ว"

"... ก็​ได้"  เมื่อยืนยันหนักแน่นขนาดนี้ผมก็ต้องยอมล่ะครับ

"นอนเหอะพี่ง่วงแล้ว"

"ฝันดีนะพี่ปูน"


บางทีการเข้านอนเร็วก็เป็นวิธีนึงที่ทำ​ให้เราผ่านพ้นคืนวันได้เร็วขึ้น



ออฟไลน์ Monkey D

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 698
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-0


01.30 น.

กลางดึกที่เงียบสงัดมีเพียงแสงไฟจากเสาไฟริมฟุตบาทส่องสว่างลงมา  นานๆถึงมามีรถขับผ่านถนนไปสักคัน

รถแท็กซี่​คันนึงเข้ามาเทียบจอดริมฟุตบาทหน้าตึกแถว ก่อนจะมีเด็กหนุ่มวัยรุ่นหน้าลูกครึ่งลงมาจากรถ  รถแท็กซี่​ขับจากไปแล้วเหลือแค่ตัวเขาที่ยืนนิ่งอยู่ใต้เสาไฟมองหน้าบ้านที่คุ้นเคยพลางนึกถึงสิ่งต่างๆที่เคยเกิดขึ้น


มองย้อนขึ้นไปขวาในซอกตึกตรงนั้นสินะที่เป็นจุดเริ่มต้นของทุกอย่าง

ครั้งแรก​ที่​ได้เจอกัน.. นางฟ้าที่มาให้พร

ฟุตบาทตรงใกล้ ป้ายจราจร​ที่​เคย​ยืนทะเลาะกันจนลืมสนใจว่ามีคนมองเยอะมากแค่ไหน.. คิดแล้วก็นึกขำไม่รู้ว่าทำไมตอนนั้น ถึง​กล้ายืนทะเลาะกันได้ อาจเป็นเพราะเขาชอบมันตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นจึงอยากจะคุยต่อให้ได้ถึงจะเป็นการคุยแบบทะเลาะกันก็ตามแต่เขารู้ว่าในตอนนั้นหัวใจเขาเต้นแรงมากเมื่อได้อยู่ใกล้มัน ถ้าไม่หาข้ออ้างเรื่องกระเป๋าและเรื่องหนังสือ เขากับมันก็คงไม่ได้รู้จักกันมากขึ้น

ร้านบิงซูที่เคยไปนั่งกินด้วยกันแล้วเขาก็แกล้งไม่สั่งแบบที่มันชอบ เพราะ​อยาก​เห็น​หน้า​ตอนมันหงุดหงิด.. . มันน่ารักดี

บ้านมันที่เคยเข้าไป​  กินข้าว​ใต้แสงเทียน ห้องนอนชั้นสองที่เคยนอนอยู่บนเตียงเดียว จริงๆ​ตอนนั้น​เขาร้อนมากแต่ก็กลัวว่าถ้าเปิดแอร์มันจะตัวร้อนหนักกว่าเดิม

และสุดท้ายหน้าประตูบานนี้ที่เขาเดินออกมาด้วนอารมณ์โมโหแล้วก็ไม่ได้กลับเข้าไปอีกเลย..


ถ้า​ย้อนไป​ได้เขาคงจะใจเย็นและมีสติกว่านี้ คงไม่บ้าสติแตกไปชกไอ้หมอนั่นจนเหตุการณ์บานปลายถึงขั้นนั้น  แต่ก็อย่างว่าคนเราจะคิดได้ว่าควรทำอย่างไรก็ต่อเมื่อเหตุการณ์มันผ่านไปแล้ว


ถึงอยากจะกลับไปแก้ไขแค่ไหนแต่มันก็ไม่มีเวลาแล้วในตอนนี้


"รอนานไหมวะ พอมึงโทรบอกว่าใกล้ถึงนี้​กูรีบวิ่งออกมาเลยนะ"  คนมาใหม่พูดเสียงหอบหลังจากที่หยุดวิ่งอยู่หน้าบ้านเพื่อนสนิท

"ไม่หรอก... มาไวไปด้วยซ้ำ" หนุ่มหน้าลูกครึ่งตอบเสียงเบาหากแต่แววตาสีอัลมอลยังคงเงยหน้ามองไปยังตัวบ้านตรงหน้า


"มองไปมันก็ไม่เดินออกมาหรอกมันหลับไปนานแล้ว ถ้า​อยาก​เจอ​กูโทรปลุกให้เอาไหม ไอ้คริส"  ตงถามคริสเตรียมจะกดโทรออก

"ไม่ต้องหรอกกูแค่เอาโทรศัพท์มาคืนเฉยๆแล้วก็จะไปแล้ว พ่อกับแม่รออยู่"  คริสบอกแล้วล้วงเอาโทรศัพท์ที่เขา'เก็บได้'  ส่ง​ให้​ตง​

"มึงแน่ใจนะว่าจะไม่ให้บอกไอ้ปิ๊นว่ามึงจะไปเมืองนอก  เฮ้อ​ออ​  แล้วทำไมถึงได้ไปกระทันหันแบบนี้วะ  มึงควรเคลียร์กันให้รู้เรื่องก่อนไปป่ะวะจะได้กลับมาเจอกันอีกทีตอนไหนก็ไม่รู้" ตงเกาผมอย่างหัวเสีย หงุดหงิด​ที่​รู้​ทุกอย่าง​แต่​ทำอะไร​ไม่ได้​เลย​

"มัน​เป็นเรื่อง​ในครอบครัวน่ะ  กูเองก็ไม่ทันตั้งตัวเหมือนกัน... "

"เออๆ​ งั้นกูจะไม่ก้าวก่ายล่ะกัน แล้ว​บินไปตอนไหนวะ"

"ตอนตี​ 5​  แต่​ก็​ต้อง​ไป​ถึง​สนามบิน​ก่อนเวลา​ 2​ ชั่วโมง​  เดี๋ยว​กูก็คงนั่งแท็กซี่ไปเลย"

"อืม​ งั้นลาตรงนี้เลยนะเว้ย เดินทาง​ปลอดภัย​นะมึง​ หวังว่าคงได้เจอกันอีกนะไอ้คริส"  ตงตบไหล่คริสเบาๆ

"ขอบใจเว้ยไอ้ตง"

"แท็กซี่​มาพอดีเลย  กูเรียกให้"  ตงเดินไปยื่นมือโบกเรียกแท็กซี่ที่ขึ้นป้ายว่างให้พอรถจอดรับก็จัดการบอกสถานที่จุดหมายและเปิดประตูรถให้  พอรู้ว่าจะไม่ได้เจอไอ้คริสอีกนาน... หรืออาจจะไม่ได้เจออีกเลย  ก็​อยาก​จะ​ทำดีกับมันให้มากๆเป็นการส่งท้าย

"ขอบใจนะมึง  อีกเรื่อง... ช่วยดูแล​ไอ้ปิ๊นมันด้วยนะ  ถ้า​มี​ใคร​มา​ชอบมันมึงก็ช่วยแสกนคนที่ไม่ดีออกไปด้วยนะเว้ย  มันยิ่งโง่ๆอยู่"  คริสแค่นยิ้มขำแล้วเข้าไปนั่งในตัวรถ


"ไม่ต้องห่วง กูรับปากว่าจะดูแลมัน อีกอย่าง... ​มันฝากบอกถึงคนที่เก็บโทรศัพท์มันมาคืนได้ว่ามันจะเลี้ยงข้าว  ถ้า​มึงอยากให้มันเลี้ยงข้าวก็กลับมาไวๆนะ"  ตงส่งยิ้มให้ก่อนจะปิดประตูรถแท็กซี่  แล้วยืนโบกมือลา ก่อนจะเดินกลับเข้าซอยบ้านตัวเองไป


รถแท็กซี่​เคลื่อนออกห่างจากตัวบ้านไปไกลเรื่อยๆ คริสเอี่ยวตัวหันมองบ้านจากกระจกหลัง​รถจนรถเลี้ยวไปอีกทางและมองไม่เห็นอีกต่อไป


เขาถอนหายใจ​เอนพิงกายไปกับพนักพิงเบาะหลัง  นี้อาจไม่ใช่ความรักครั้งแรกหรือความรักที่ดีนัก มันอาจเป็นเพียงความรักของเด็กวัยรุ่นสองคนที่มันไม่สามารถพากันไปได้ตลอดรอดฝั่ง​ ถึงแม้​จะ​ถึง​ตอนจบแต่เรื่องราวระหว่างทางมันมีความหมายกับเขาเสมอ  ​ถึง​ตอนนี้ความรู้สึกของพวกเราอาจเปลี่ยนไปแต่เขามั่นใจว่าปิ๊นไม่เกลียดเขา เหมือน​ที่​ตัวเขาเองก็ยังรู้สึกดีกับมันอยู่

ถึง​เขาไม่เข้าใจว่าทำไมปิ๊นถึงไม่มาตามนัดในจดหมาย ยังโกรธเขาอยู่หรือเพราะเหตุอะไร  แต่ในตอนนี้มันคงไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว  ตัวเขาต้องย้ายตามครอบครัวไปเมืองนอกแบบกระทันหัน ไม่มีเวลาไปตามหาเหตุผลอีกแล้ว เพราะ​ถึง​รู้​ไปเขาก็ต้องจากปิ๊นไปไกลอยู่ดี

สิ่งที่เขาทำได้คือการบันทึกความทรงจำดีๆและความรู้สึกเหล่านั้นเก็บไว้ในส่วนลึกของหัวใจแค่นั้นเอง






"ปิ๊น ตงเอาโทรศัพท์มาคืนให้แต่เช้าแหน่ะ  พี่​เอาวางไว้ที่โซฟา"  พี่ปูนบอกเมื่อเห็นผมเดินลงมา เพราะ​พี่ปูนกลับมาทำอาหารแล้วผมเลยตื่นสายนิดหน่อย

"อ้าวหรอ  ว่าจะไปบ้านมันอยู่แล้วเชียว"

"ยังไง​ก็​มากินข้าวเช้าก่อนแล้วกัน พี่รอกินพร้อมเรานะ หิวจะแย่แล้ว"  พี่ปูนบ่นในมือถือช้อนส้อมพร้อมทานมาก  คงหิวจริงๆ


"คร้าบๆ"


หลังจาก​กินข้าว​และ​ล้างจานเสร็จผมก็ขึ้นมาเข้าห้องนอนผม เพราะคิดว่าจะทบทวนเรื่องที่ไปติวมาเมื่อวานน่ะครับ  ผมเปิดเพลงในโทรศัพท์ที่เพิ่งได้คืนมาแล้วใส่หูฟังขณะทำโจทย์ไปด้วย  จะได้ไม่เงียบเกินไป  ผมไม่ค่อยชอบความเงียบเท่าไหร่ มันวังเวง น่ากลัว


"โจทย์​ข้อนี้มันเนื้อหาของม.5​ นี่หว่า หนังสือ​เคมี.5​ อยู่​ไหนวะ​"  ผมบ่นกับตัวเองก่อนจะไล่หาหนังสือไปตามชั้นที่เก็บหนังสือเรียนไว้  ไม่นานก็หาเจอหยิบกลับมานั่งไล่เปิดหนังสือหาบทที่เกี่ยวกับโจทย์จนไปเจอกับซองจดหมายที่เคยสอดเก็บไว้แล้วก็ไม่ได้เปิดอ่านเลย


ลืมไปสนิท


'คริส'


ผมหยิบซองจดหมายที่ปิดผนึกไว้อย่างดีขึ้นมาดูอีกครั้ง ชั่งใจว่าควรเปิดอ่านมันดีหรือไม่


แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะเก็บมันเอาไปไว้ในลิ้นชักแทน  บางอย่าง​ถ้า​ไม่​รู้คงจะดีกว่าในเมื่อต่างคนก็ต่างไปแล้ว...


ผมกลับมาตั้งใจทำโจทย์ต่อเพราะรู้สึกว่าสมองผมเริ่มจะฟุ้งซ่านถึงใครบางคนอีกแล้ว


"ฮัลโหล​ เทสๆ​ อัดยังวะ "  เสียงไอ้คริสดังขึ้นมา


นี่​ผมฟุ่งซ่านถึงขนาดได้ยินเสียงมันเลยหรอวะ


" อ้าวเริ่มอัดแล้วนี่  หวัดดีนางฟ้านี่กูเอง คริส.. "  ผมเริ่มเข้าใจว่าเสียงที่ได้ยินมันมาจากโทรศัพท์ที่ถูกอัดเสียง​ไว้​  มือที่จับปากกาไว้ถูกวางลงแล้วนั่งทิ้งตัวพิงเก้าอี้ตั้งใจฟังเสียงที่พูดออกมา


"เรื่องวันนั้นขอโทษนะที่ก่อเรื่องที่บ้านมึง  กูผิดเองแหละที่ใจร้อน ขอโทษจริงๆ อย่าโกรธกูเลย"  กูลืมเรื่องวันนั้นไปหมดแล้วไม่ได้โกรธสักหน่อย


"อีกอย่างกูขอโทษนะที่มาวุ่นวายกับโทรศัพท์มึง.... กูดีใจมากนะที่มึงยังไม่ลบรูปเราทิ้ง เห็น​แอบถ่ายกูด้วยนิกูหล่อมากใช่ไหมล่ะถึงต้องถ่ายเก็บไว้ ฮะๆ"    เขาหลุดยิ้มเพราะหมั่นไส้ประโยคที่หลงตัวเองของไอ้คริส ไอร้อนขึ้นที่หน้าเล็กน้อยเมื่อลับถูกเปิดเผย​

ใช่แล้ว ผมยังเก็บรูปมันไว้อยู่ เคยคิดจะลบทิ้งให้หมด แต่ก็ทำไม่ได้เลยเลือกที่จะเก็บไว้แต่ไม่เปิดดู...


"ขอบคุณ​นะที่ไม่ได้เกลียดกู กูมีบางอย่างที่อยากทำให้ก่อนที่ต้องไปเมืองนอกน่ะ"  เมืองนอก​งั้น​หรอ​ ไปทำไม ไปเที่ยว​หรือไงนะ


"ก็​ไม่​รู้เหมือนกันว่าจะได้กลับมาไทยอีกไหม ไม่รู้ว่าจะได้เจอหน้ามึงอีกหรือเปล่า กูไม่รู้อนาคตจริงๆว่ะ  กูเลยอยากบันทึกเรื่องราวของเราสองคนไว้เป็นความทรงจำ ถ้ามึงไม่ชอบหรือรู้สึกแย่ที่ได้ฟังมึงลบทิ้งได้นะ แต่ก็อยากขอให้ฟังสิ่งที่กูจะบอกสักครั้ง  ตั้งใจฟังนะปิ๊น"  ผมรู้สึกขอบตาร้อนผ่าวเมื่อมันบอกว่าอาจจะไม่ได้กลับมาที่นี่อีก​


มันรู้สึกใจหาย


เสียงไอ้คริสหายไปได้ยินแต่เสียงครุกครักสักเดี๋ยวเดียว​  ก่อนที่จะมีเสียงของกีต้าร์ดีดเป็นทำนองเพลงช้าๆส่งผ่านมา

"เธอคงพอรู้ ในสิ่งเหล่านี้
โดยไม่มีถ้อยคำบอกไว้
เธอคงพอรู้ จากทุกความเป็นไป
ในวันที่สองเราใกล้กัน


มันดีดกีต้าร์และร้องเพลงเหมือนตอนที่เคยร้องเพลงให้ผมฟังที่หลังโรงเรียน  ต่างกันที่เนื้อร้องและความรู้สึกเท่านั้น..


แม้ในวันนั้น ยั่งยืนเพียงฝัน
เป็นแค่เพียงเมื่อวานผ่านไป
เธอคงพอรู้ไม่ว่านานเพียงใด
ไม่นานเกินไปให้ใจฉันจำ


จะเก็บมันเอาไว้ในใจ เมื่อครั้งมีเธอ
และฉันรู้สึกครั้งนี้ยังไง
ให้เป็นความคิดถึง แม้นานเท่าไหร่
เธอจะอยู่ในใจ เป็นเรื่องจริงในความทรงจำ


เสียงสั่นๆปนเสียงสูดหายใจแรง  ผมไม่รู้ว่าไอ้คริสร้องไห้หรือเปล่า... แต่ผมน่ะน้ำตาไหลแล้ว



จะเก็บมันเอาไว้ในใจ เพราะฉันไม่อาจ
ฝืนย้อนคืนวัน ให้หวนได้ใหม่
ทำได้เพียงคิดถึง นับจากนี้ไป
เธอจะอยู่ในใจ เป็นเรื่องจริงในความทรงจำ

จะเก็บมันเอาไว้

จะเก็บมันเอาไว้ในใจ เมื่อครั้งมีเธอ
และฉันรู้สึกครั้งนี้ยังไง
ให้เป็นความคิดถึง แม้นานเท่าไหร่
เธอจะอยู่ในใจ เป็นเรื่องจริงในความทรงจำ


จะเก็บมันเอาไว้

จะเก็บมันเอาไว้







"รักมึงนะ.. นางฟ้า"





จบบริบูรณ์​






ออฟไลน์ unicorncolour

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1001
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2590
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

ออฟไลน์ net. net_n2537

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 304
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด