Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 25 Journey อวสาน [16/10/60] หน้าที่ 6
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 25 Journey อวสาน [16/10/60] หน้าที่ 6  (อ่าน 78273 ครั้ง)

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7
ชะนีโยน่าจะโดนอะไรมากกว่านี้นะ ดนตร์เกือบตายเลยนะถ้าไปช่วยไม่ทันน่ะ

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ libra82

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 285
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +236/-5
Chapter 24 Jealous

สยามแสควร์เต็มไปด้วยหนุ่มสาววัยรุ่นเลยไปถึงวัยทำงานเดินกันให้ขวักไขว่ เกือบชั่วโมงแล้วที่ดนตร์เดินเตร็ดเตร่อยู่แถวนี้หลัง
จากกลับเลิกเรียน ช่วงนี้ไม่มีอะไรให้น่าเป็นห่วง การเรียนก็ราบรื่น รายงานทำส่งได้ตามกำหนด เพื่อนฝูงก็เป็นปกติ จะผิดแปลกไปเสียหน่อยที่เขาไม่ได้พักอยู่ที่หอพักนักศึกษาแล้ว

เพราะโดนบังคับให้ย้ายข้าวของเครื่องใช้ทุกอย่างไปอยู่ที่บ้านหลังหนึ่ง...บ้านขนาดกลาง ตั้งอยู่ย่านชานเมือง ห่างจากมหาวิทยาลัยพอประมาณ ใช้เวลาเดินทางร่วมชั่วโมง แม้จะลำบากกว่าเดิมแต่เพื่อความสบายใจของใครบางคนเขาเลยยอม

ที่จริงแล้วบ้านหลังนั้นเป็นบ้านเก่า ที่มองครั้งแรกเหมือนบ้านร้างไม่มีผิด แต่จะเรียกว่าบ้านร้างก็ไม่ผิดอีกเช่นกัน ภายนอกที่ค่อนข้างทรุดโทรม ภายในแทบไม่มีเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งใดๆ ฝุ่นจับตามพื้น ต้องบูรณะกันชุดใหญ่ถึงจะมีสภาพให้พร้อมรับรองผู้อาศัย ทว่าเจ้าของบ้านก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรมาก ทั้งรูปแบบและสีสัน ส่วนด้านในก็ดัดแปลงบ้างตามการใช้งานโดยเฉพาะห้องครัวที่กรณ์ตกแต่งเพื่อเขาเป็นพิเศษ

หลังจากใช้เวลาเข้าร้านนั้นออกร้านนี้ สุดท้ายก็ได้กาแฟจากร้านดังมาหนึ่งแก้ว ระหว่างที่กำลังตัดสินใจว่าจะซื้ออะไรกลับไปทำเป็นมื้อเย็นดี สายตาก็สะดุดกับแผงหนังสือข้างทางเข้าเสียก่อน แมกกาซีนรายเดือนหน้าปกดาราวัยรุ่นและไอดอลหน้าใหม่ในคอนเซ็ปต์คู่รักดึงดูดสายตา ข้างๆ กันนั้นเป็นหนังสือแนะนำการท่องเที่ยว ภาพลำธารสีขาวเลาะเลียบทิวเขาสูง แม้ว่ารูปแบบการนำเสนอจะแตกต่างกันแต่ก็น่าสนใจพอกัน เขาหยิบมันมาทั้งสองเล่มแล้วส่งให้คนขายคิดเงิน

หลังจากจ่ายเงินค่าแมกกาซีนและหนังสือแนะนำการท่องเที่ยวแล้ว เขาก็หาที่ว่างใกล้ๆ กันนั้นดูดกาแฟเย็นและอ่านแมกกาซีน ที่เลือกแมกกาซีนก่อนเพราะคนที่อยู่บนหน้าปกมันน่าสนใจมากกว่า

นี่เป็นผลงานชิ้นแรกที่เป็นรูปเป็นร่างของกรณ์แต่กลับส่องประกายโดดเด่น โครงหน้าเรียวได้รูป ดวงตาคมใหญ่ติดดุดัน คิ้วหนาพาดยาวจรดหางตา จมูกโด่งเป็นสันและริมฝีปากหยักหนา ทุกอย่างบนใบหน้ารับกันได้อย่างเหมาะเจาะ ยิ่งได้โครงร่างสูงใหญ่ยิ่งส่งให้เจ้าตัวมีเสน่ห์มากขึ้นไปอีก ไม่แปลกใจหรอกที่สาวน้อยสาวใหญ่ที่ไหนเมื่อได้เห็นก็ต้องมองเหลียวหลัง แม้แต่เขาที่เป็นผู้ชายยังเผลอจ้องมองอยู่พักใหญ่และกว่าจะรู้ตัวเขาก็เลิกมองไม่ได้แล้ว

กรณ์วางท่าได้สมเป็นคู่รักของนางแบบจริงๆ ท่วงท่าการจับประคองหรือโอบกอด สีหน้าที่แสดงออกล้วนแล้วแต่เป็นธรรมชาติ รอยยิ้มติดมุมปากนับเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว เสื้อผ้าที่สวมใส่บนร่างกายสมส่วนทำให้ดูน่าสนใจมากกว่าอยู่ในหุ่นลองเสื้อ กรณ์มีแววจะรุ่งในวงการบันเทิงหากแต่เจ้าตัวปฏิเสธที่จะรับงานชิ้นอื่นอีก เพราะต้องเข้าฝึกงานในอีกไม่กี่วันข้างหน้า

ตากลมไล่มองไปตามนิ้วมือที่โอบเอวบางคอดกิ่วของนางแบบสาวที่เข้าคู่กัน รดาสวยจนตาพร่าเลยทีเดียว คำนิยามนี้ไม่ได้เกินจริงแต่อย่างใดเพราะเขาเคยเห็นตัวจริงของเธอมาแล้วถึงสามครั้งสามครา หลายเสียงบอกว่าเธอเหมาะกับกรณ์ ถ้าหากมีโอกาสได้ร่วมงานกันอีกคงจับมือกันดังเป็นพลุแตกแน่นอน มือขาวไล่เปิดไปทีละหน้า เพ่งพิศพิเคราะห์พิจารณาอย่างตั้งใจ ไม่เพียงแต่ชื่นชมกับรูปมากมายเขายังอ่านข้อความเล็กๆ ที่ท้ายหน้ากระดาษอีกด้วย เรียกได้ว่าเก็บทุกรายละเอียดให้คุ้มกับเงินหลายหยวนที่เสียไปเลยทีเดียว

กาแฟเกือบหมดแก้วถึงได้อ่านแมกกาซีนจบ จากนั้นถึงได้หยิบหนังสือท่องเที่ยวขึ้นมาดูบ้าง ที่หน้าปกไม่มีรูปนายแบบหรือนางแบบ หากแต่เป็นสถานที่ที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี ตอนที่เห็นด้วยตาเปล่าก็คิดว่ามันธรรมดาแต่เมื่อมันถูกถ่ายออกมาเป็นภาพด้วยช่างภาพระดับประเทศมันทั้งสวยและสง่างาม สำหรับเขาแล้วเนื้อหาด้านในน่าสนใจกว่าแมกกาซีนเมื่อครู่ เพราะมันบรรยายถึงเมืองที่อยู่บนหน้าปกได้ดีเลยทีเดียว ไม่น่าเชื่อว่าเวลาไม่ถึงสัปดาห์อาใหญ่จะถ่ายทอดเมืองเชียงใหม่ออกมาได้ดีขนาดนี้ แม้แต่ตัวเขาที่เป็นประชากรของเมืองนั้นยังไม่ใส่ใจรายละเอียดยิบย่อยพวกนี้เลย แถมแต่ละภาพที่ถ่ายมานั้นก็สวยเสียจนอดอมยิ้มไม่ได้

ไล่เปิดไปเรื่อยๆ ก็ต้องสะดุดกับภาพของเด็กหนุ่มในชุดสไตล์วินเทจ สีอ่อนของเสื้อผ้า เล่นลวดลายนิดหน่อยสวมอยู่บนร่างกายสมส่วน แต่อาจจะเล็กไปหน่อยสำหรับผู้ชาย คนในภาพยิ้มให้กล้องอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่รู้ตัวเลยว่ายิ้มแบบนี้ไปเมื่อไร แถมบางรูปก็ทำหน้าตลกดูพิลึกพิลั่นมากกว่าจะหล่อเหลาเหมือนอีกคน

ดนตร์ปิดหนังสือท่องเที่ยวลงหลังจากอ่านครบทุกตัวอักษร เขาอ่านเล่มนี้คุ้มเสียยิ่งกว่าแมกกาซีนเล่มแรกเสียอีก เพราะรู้สึกว่าเนื้อหาด้านในมันเหมาะกับเขามากกว่า กาแฟหมดแก้วพอดี เหลือเงินในกระเป๋าอยู่อีกนิดหน่อยน่าจะพอสำหรับมื้อเย็น เมื่อครู่คนที่เป็นนายแบบบนหน้าปกแมกกาซีนส่งข้อความมาบอกว่าอยากกินสเต็กเนื้อ เท่าที่จำได้ในตู้เย็นไม่เหลือของสดแล้ว เมนูนี้ต้องกินคู่กับมันบดหรือไม่ก็สลัดเสียด้วยสิ และแน่นอนว่าใครคนนั้นย่อมไม่กินแค่สเต็กแน่ดีไม่ดีอาจจะพ่วงขนมปังปิ้งทาเนยอีกสองแผ่น น้ำผลไม้ หรือไม่ก็อาจจะเป็นไวน์อีกแก้ว

ตะวันทำท่าจะลาลับขอบฟ้าแล้ว ฤดูหนาวพระอาทิตย์ตกดินเร็วทุกวัน แสงแดดอบอุ่นถูกแทนที่ด้วยอากาศหนาวเย็น มือเรียวกระชับเสื้อแจ็คเก็ตสีเข้ม จับหนังสือทั้งสองเล่มลงถุงก่อนจะลุกเอาแก้วกาแฟไปทิ้ง กาแฟร้านดังรสชาติดีสมคำล่ำลือแม้น้ำแข็งจะละลายแต่ความกลมกล่อมก็ยังไม่จางไปด้วย นี่ถ้าหากพี่พายรู้ว่ารสชาติร้านคู่แข่งดีขนาดนี้มีหวังให้ปรับปรุงสูตรกันยกใหญ่ ว่าแล้วก็คิดถึง นานแล้วที่ไม่ได้กลับไปที่ร้าน ไม่เคยลืมว่าทุกคนในร้านมีพระคุณกับตัวเองแค่ไหน ให้ความรู้ในการชงกาแฟ ทำขนมแถมยังให้ขนมติดมือกลับมากินอีกด้วย ถ้ามีเวลาว่างเมื่อไรคงต้องหาโอกาสกลับไปเยี่ยมเยียนสักครั้ง

จมูกชักจะคัดขึ้นมานิดหน่อยคงเพราะกินกาแฟเย็นในฤดูหนาวอุณหภูมิในร่างกายมันเลยต่ำกว่าปกติ ถึงจะรู้ว่าไม่ดีต่อสุขภาพแต่เขาชอบกินแบบเย็นมากกว่าแบบร้อนนี่นา

ห้างสรรพสินค้าที่มีทุกอย่างให้เลือกสรรอยู่ห่างจากจุดที่นั่งดูดกาแฟอ่านหนังสือไปไม่กี่เมตร เขาอยู่ศูนย์กลางของกรุงเทพฯ ที่มีทุกสิ่งไว้อำนวยความสะดวก เรียกได้ว่าเดินแค่ไม่กี่ก้าวก็ได้สิ่งที่ต้องการแล้ว แต่ความสะดวกสบายที่มากเกินไปก็นำพามาซึ่งความขี้เกียจ เขาเองก็ชักจะติดนิสัยแบบนั้นแล้วเหมือนกัน ดังนั้นวันนี้เลยเลือกที่จะมาที่นี่ด้วยรถโดยสารและปฏิเสธออดี้สีขาวไปอย่างสิ้นเชิง

เจ้าของรถออดี้สีขาวทำหน้ายุ่งจนถึงบู้บี้ ก็แหงล่ะจะมีสักกี่คนที่ปฏิเสธรถยนต์ที่สมรรถภาพดีเยี่ยมแถมยังมีสารถีเป็นหนุ่มรูปหล่อประจำมหาวิทยาลัย คงมีแต่คนโง่อย่างดนตร์นี่แหละที่ยอมเสียเงินนั่งรถโดยสารเบียดกับคนอื่นแทนการนั่งสบายบนเบาะหนังนุ่ม

‘ไม่เอาหรอกครับ คนละทางกันเลย พี่ไปเถอะ ผมไปเองได้’

‘คนละทางแล้วไง ขึ้นมาเถอะน่าเดี๋ยวไปส่ง’

‘ไม่เอาครับ ผมอยากนั่งรถไปเองมากกว่า’

‘อย่าดื้อ รีบขึ้นมา’

‘ไม่เอา ผมจะไปเอง’

เขาตัดบทเพียงแค่นั้นไม่อยากต่อความยาวสาวความยืด ก็เลยโดนรวบตัวไปจูบชุดใหญ่เป็นการลงโทษก่อนที่คนบ้าอำนาจจะปล่อยให้นั่งรถโดยสารมาเอง

สาเหตุที่ไม่อยากนั่งออดี้สีขาว เพราะวันนี้เจ้าของรถต้องไปรายงานตัวที่บริษัทในฐานะนักศึกษาฝึกงาน เขาไม่อยากให้อีกคนต้องเสียเวลาวนรถวกกลับไปกลับมา ระยะทางจากบ้านพักมาที่นี่ก็ไม่ได้ลำบากนัก เขาต้องหัดพึ่งพาตัวเองบ้างเพราะอีกหน่อยหากเจ้าของรถออดี้สีขาวต้องไปฝึกงานอีกหลายเดือน เขาก็จะต้องนั่งรถโดยสารมาเรียนด้วยตัวเอง

ดูเหมือนว่าการรายงานตัวพร้อมกับสัมภาษณ์ประวัติในคราวเดียวจะผ่านพ้นไปด้วยดี แม้จะไม่มีข้อความใดๆ มายืนยันความรู้สึกแต่แค่ตัวหนังสือที่บอกว่า ‘อยากกินสเต็กเนื้อ’ แค่นั้นก็เดาได้ว่าไม่มีอะไรให้ต้องเป็นห่วง

ภายในแผนกขายของสดมีเนื้อให้เลือกมากมายจำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าอีกคนชอบกินเนื้อแบบนุ่มๆ เขาคงต้องซื้อส่วนที่ได้มาจากหลังของวัวหรือที่เรียกว่า Rib eye [1] มีเวลาอีกราวสองถึงสามชั่วโมงกว่าคนอยากกินจะกลับมาถึง แบ่งสัดส่วนแล้วเขาต้องรีบซื้อของทั้งหมดภายในเวลาหนึ่งชั่วโมงแล้วใช้ สองชั่วโมงในการหมักและย่างเนื้อ ระหว่างที่รอเนื้อหมักก็จะทำสลัดผักและมันบดรอ แน่นอนว่าเขาทำอาหารฝรั่งนี้ไม่เป็นแต่โชคดีที่มีแม่เก่ง อาหารคาวหวานจะเมนูไทยหรือสากลทำได้หมด เขาเลยได้สูตรมาแบบไม่ต้องเสียเงิน ส่วนของน้ำสเต็กต้องมีเห็ดด้วยแต่ต้องตัดทิ้งเพราะเจ้าตัวเขาไม่กินเห็ด

เลือกวัตถุดิบลงรถเข็นจนเกือบครบ คราวนี้ก็เหลือขนมปังและน้ำผลไม้ ส่วนไวน์ไม่ต้องหาเพราะที่บ้านมีบาร์เหล้าเป็นของตัวเอง คุณกริชนำของพวกนี้มาบำรุงบำเรอให้ เพราะเห็นว่ารสนิยมของลูกชายกับตนเองตรงกัน

ร่างโปร่งเข็นรถเข้าไปในแผนกเบเกอรี่ กลิ่นขนมปังเพิ่งอบใหม่ๆ หอมกรุ่นไปทั่ว กลิ่นละมุนชวนหลงใหลพวกนี้มันทำให้สมาธิแตกกระเจิงได้ทุกที เห็นทีวันนี้คงไม่ได้แค่ขนมปังเสียแล้ว บางทีอาจจะมีครัวซองต์หรือเค้กหอมๆ อีกชิ้นไปเสริมทัพ ดันรถไปเรื่อยๆ ได้ขนมปังอบใหม่มาสองชิ้น แต่ระหว่างที่กำลังคีบครัวซองต์สีเหลืองทองน่ากินลงถุง ก็รู้สึกว่าที่หัวไหล่มีบางอย่างมาสะกิด พอเอี้ยวตัวไปดูก็ต้องเงยหน้าขึ้นอีก เพราะที่ระดับสายตาไปปะทะเป็นที่แรกเป็นแผ่นอกของมนุษย์ คิ้วเรียวกระตุกน้อยๆ ตอนที่เห็นหน้าของอีกฝ่าย

“คุณ....ซัน”

“ดีจังที่ยังจำกันได้” ชายหนุ่มตัวสูงยิ้มละไมกลับมา “มาซื้อของเหรอ”

ช่างเป็นคำถามที่ฟังแล้วงี่เง่าสิ้นดี ทั้งสถานที่และของที่อยู่ในรถเข็นมันก็บอกอยู่แล้ว หากแต่จะบอกไปว่ามา ‘ล้างจาน’ ก็เกรงว่าจะเสียมารยาทกับผู้สูงวัยกว่า “ครับ แล้วคุณล่ะ”

“ซื้อของเหมือนกัน แต่...ไม่รู้จะซื้ออะไรดี”

“ทำไมอย่างนั้นล่ะครับ” เขาถามกลับ พลางชะโงกหน้าไปมองในรถเข็น ดูเหมือนว่าอาจารย์หนุ่มคนนี้จะไม่ได้โกหกเพราะนอกจากน้ำแร่หนึ่งขวดก็ไม่มีอะไรในรถเข็นอีก

“ฉันไม่ถนัดเรื่องซื้อของเท่าไรน่ะ”

“แล้วปกติใครซื้อให้ล่ะครับ”

“ไม่มี อาศัยฝากท้องกับร้านทุกวัน” อคิราห์บอก ถ้าตาไม่ได้ฝาดไปดูเหมือนว่าที่โหนกแก้มจะระเรื่อขึ้นเล็กน้อย

ที่จริงเรื่องไม่เคยเดินซุปเปอร์มาร์เก็ตของผู้ชายนั้นไม่น่าแปลกสักเท่าไร เพราะถ้าหากเป็นหนุ่มโสดก็จะฝากท้องไว้ตามร้านอาหารอย่างอคิราห์หรือไม่ก็อาหารฟาสต์ฟู้ดง่ายๆ ดูอย่างใครบางคนที่เพิ่งอยู่ด้วยกัน รายนั้นก็ซื้อไม่เป็นแต่ถ้าได้ซื้อก็หยิบใส่ๆ แบบไม่เสียเวลาอ่านส่วนผสมหรือเทียบราคา เรียกว่า ‘สักแต่ว่าซื้อ’ จริงๆ

“แล้วคุณอยากได้อะไรล่ะครับ เผื่อผมพอจะช่วยได้”

อคิราห์ยกมือขึ้นเกาหัว คิ้วหนาขมวดน้อยๆ “คือฉันอยากจะลองทำอาหารดูเองบ้าง รู้สึกเบื่อร้านอาหารเต็มที แต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มจากอะไรดี”

“ลองเป็นพวกอาหารสำเร็จรูปดูไหมล่ะครับ แล้วก็ซื้อของสดไปเพิ่มตอนปรุงอีกนิดหน่อย”

“อย่างนั้นเหรอ....” อคิราห์ลังเล แต่ก็ยอมพยักหน้า “เอาสิ สงสัยเธอคงต้องช่วยฉันเยอะเลยล่ะ”

ริมฝีปากอิ่มคลี่ยิ้ม เรื่องแค่นี้เล็กน้อยมากถ้าเทียบกับอีกคนที่อยากกินสเต็กเนื้อ “ด้วยความยินดีครับ”

……………………………



การจราจรในช่วงเย็นจนเกือบหัวค่ำแน่นขนัดเป็นอาจิณ แม้จะพบเจอแทบทุกวันแต่ก็ยังอดหงุดหงิดไม่ได้อยู่ดี ไม่รู้ว่าป่านนี้ดนตร์กลับถึงบ้านแล้วหรือยัง เมนูมื้อเย็นที่บอกไปจะพร้อมรับประทานเลยหรือเปล่า แล้วจะมีของหวานอะไรไว้ให้ล้างปาก คิดถึงตรงนี้ก็อดแปลกใจตัวเองไม่ได้ ทั้งที่แต่ไหนแต่ไรไม่เคยพิศวาสขนมหวานสักนิด ทว่าหลังกลับมาจากบ้านของดนตร์ เขาก็กลายเป็นคนกินขนมไปเสียแล้ว แต่ก็ใช่ว่าจะกินมันหมดทุกอย่าง ต้องขึ้นอยู่กับคนเลือกด้วย พ่อครัวส่วนตัวรู้ดีว่าเขาชอบกินอะไรคู่กับอะไร ไม่ใช่แค่ฝีมือแต่ยังรู้ใจกันอีกด้วย

พอคิดถึงใครคนนั้นขึ้นมาก็อดรู้สึกตะหงิดๆ ในใจไม่ได้ ไม่ใช่แค่คิดถึง แต่เหมือนมีบางอย่างสะกิดใจ บางทีอาจจะแค่คิดไปเองแต่ในความคิดไปเองนั้นมันบอกว่าพ่อครัวตัวขาวไม่ได้ทำอาหารอยู่ที่บ้านแน่ๆ

เขาคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาไล่หาชื่อที่บันทึกไว้ว่า ‘ลูกเจี๊ยบ’ แล้วกดโทรออก แต่หลังจากฟังเสียงสัญญาณพักใหญ่ก็ไม่มีการตอบรับ ลองทำซ้ำก็เป็นเหมือนเดิม หัวใจเริ่มเต้นไม่เป็นปกติ เพราะก่อนหน้านี้ที่ติดต่อกับอีกฝ่ายไม่ได้ก็เกิดเรื่องร้ายขึ้น เจ็บหนักถึงกับต้องเข้าห้องฉุกเฉิน ดีที่ไม่เป็นอะไรมากแค่ร่างกายอ่อนเพลียเพราะอยู่ในสถานที่ที่มีอากาศไม่เพียงพอนานเกินไป

คิ้วหนาเข้มขมวดแน่นขึ้นเรื่อยๆ เมื่อปลายสายยังไม่มีทีท่าว่าจะรับสาย เลยเลิกโทรเปลี่ยนเป็นส่งข้อความผ่าน เฟซบุ๊คไปแทน แต่อีกคนก็ยังไม่ยอมอ่านอยู่ดี ยิ่งไม่มีการตอบรับก็ยิ่งหงุดหงิด แม้จะค่อนข้างแน่ใจว่าคงไม่มีเหตุร้ายแรงอะไรกับอีกฝ่ายอีกเพราะเขาจัดการสะสางตัวปัญหาให้แล้ว แต่ทำไมใจมันยังเต้นแปลกๆ ไม่เชิงเป็นห่วงแต่คล้ายกับมีเสี้ยนแทงเสียมากกว่า

ตาคมหันมองทิวทัศน์คุ้นตาข้างทาง เพราะเบื่อที่จะจ้องทะเบียนรถยนต์แล้ว เกือบยี่สิบนาทีที่รถยังไม่ได้ขยับไปไหน ใจก็ร้อนกระหวัดไปถึงอีกคนทุกวินาที แล้วหางตาก็เหลือบเห็นเงาร่างของใครสักคน เด็กผู้หญิงในชุดมัธยมปลาย เขารอให้เด็กคนนั้นเดินเข้ามาในระยะสายตาแล้วเพ่งมองอย่างละเอียด นี่กระมังสาเหตุที่ทำให้หัวใจไม่เป็นปกติ

ต้องตา...

เด็กสาวในเครื่องแบบมัธยมปลายที่มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นโรงเรียนสตรีล้วน เจ้าหล่อนเดินไปเล่นโทรศัพท์ไป บางครั้งก็เงยหน้าขึ้นมองทาง แล้วก็หยุดเท้าตรงหน้าทางเข้าห้างสรรพสินค้าดัง ใจของเขาไม่ดีอีกแล้ว ราวกับว่าเสี้ยนหัวใจไม่ได้มีแค่ต้องตาเท่านั้น

แล้วก็จริงดังคาด เมื่อเห็นร่างโปร่งของคนคุ้นเคยเดินเคียงข้างมากับผู้ชายตัวสูงในชุดกึ่งสูท ใบหน้าหล่อเหลาโดดเด่นกว่าใคร ในมือของทั้งคู่มีถุงน้อยใหญ่เต็มไปหมด ทั้งสามหยุดชะงักเมื่อพบกันแล้วก็เป็นต้องตาที่กล่าวทักทายก่อน

กรณ์หรี่ตาลง แต่มือกลับบีบพวงมาลัยแน่น ไอ้เจ้าเด็กตัวดีนั่นมันกำลังยิ้มกว้างให้เด็กสาวแถมข้างๆ กันนั้นยังเป็นผู้ชายคนที่เขาไม่คิดว่าจะได้พบกันอีก แต่นั่นก็ไม่สำคัญเท่ากับการที่มันดันมาอยู่กับคนรักของเขา

อย่างกับรถไฟชนกัน คนพาลเย้ยหยันในใจ

รถเคลื่อนตัวได้แล้วเล็กน้อย เขาตัดสินใจหักพวงมาลัยเข้าไปในทางเข้าห้างแทน อยากรู้เหมือนกันว่าถ้ารถไฟสามขบวนชนกัน ขบวนไหนจะชนะ!

…………………………….


[1] Rib eye: ตรงนี้จะเป็นเนื้อล้วนๆ ไม่มีซี่โครงติดมาด้วย ซึ่งได้รับความนิยมมากๆ ซึ่งมักนำไปใช้ทำ สเต็ก, ย่างหรือทอด เนื้อจะมีมันแทรกนิดหน่อยพอประมาณ

...........................
อีกไม่กี่ตอนก็จบแล้ว... :hao7:

อวดหน้าปกกันหน่อย



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-10-2017 18:53:23 โดย libra82 »

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26

ออฟไลน์ tae1234

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 380
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
ใครจะชนะ เอาใจช่วยกรณ์

ออฟไลน์ weedear

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-4

ออฟไลน์ libra82

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 285
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +236/-5
ตอนที่ 24 100%

ไม่คิดว่าจากแค่จะซื้อวัตถุดิบในการทำสเต็กเป็นมื้อเย็นให้ใครบางคน กลายเป็นว่าตอนนี้เขามีของกินของใช้เต็มไม้เต็มมือไปหมด แน่นอนว่าเงินที่มีติดตัวมันไม่พอซื้อ แต่ที่ได้เพิ่มเข้ามาเป็นสินน้ำใจจากคนที่เขาให้คำแนะนำไป อาจารย์อคิราห์ตอบแทนน้ำใจของเขาด้วยขนมถุงใหญ่และอุปกรณ์ทำเค้กอีกชุด เพราะหลุดปากบอกไปว่าอยากจะหัดทำเค้ก

“ถือไหวไหม ส่งมาสิเดี๋ยวช่วยถือ”

อคิราห์แสดงน้ำใจแต่เขาปฏิเสธ “ไม่เป็นไรครับ แค่นี้เอง”

“แค่นี้เหรอ” คิ้วหนายกสูง “นิ้วเกร็งจนเขียวแล้ว ส่งมาเถอะน่า”

“ไม่เป็นไรครับ” เขายังยืนกราน แต่อีกฝ่ายก็ไม่ยอมแพ้ พยายามจะช่วยเขาถือเสียให้ได้ ทั้งที่ของตัวเองก็เต็มมือไปหมดเช่นกัน

“พี่เพลง!”

ระหว่างที่กำลังแย่งถือของอยู่นั้นเสียงทักก็ดังขึ้น เสียงใสคุ้นหูชอบกล พอหันกลับไปมองก็เห็นร่างแน่งน้อยของเด็กสาววัยมัธยม ต้องตานั่นเอง ดวงหน้าอ่อนใสกับผมหน้าม้าเข้ากันได้ดี ริมฝีปากรูปกระจับฉีกยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาวเรียงเป็นระเบียบ

“พวกพี่มาซื้อของกันหรือคะ”

คำถามที่แสนงี่เง่าดังขึ้นเป็นครั้งที่สอง แต่เขาไม่ถือสา ฉีกยิ้มตอบกลับไป “ใช่ แล้วเธอล่ะมาทำอะไร”

“กำลังจะกลับบ้านค่ะ นี่ไม่ใช่พี่รูปหล่อคนนั้นนี่คะ” คิ้วเรียวสวยขมวดน้อยๆ เพ่งมองไปยังร่างสูงของชายหนุ่ม “พี่คนนั้นหน้าดุกว่านี้ แต่ก็หล่อสมกับพี่เพลงดี”

“อะแฮ่ม!” เขากระแอมแก้เขิน รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนเจ้าชู้ควงผู้ชายไม่ซ้ำวัน

“ผมชื่ออคิราห์ เรียกว่าพี่ซันก็ได้ครับ เป็นเพื่อนกับเพลง แล้วก็น่าเป็นคนละคนกับที่คุณเคยเห็น” อคิราห์แนะนำตัวเองเสร็จสรรพพร้อมกับไขข้อสงสัยให้อีกด้วย “แล้วคุณล่ะครับชื่ออะไร นี่เรียนอยู่โรงเรียนXXใช่ไหม”

“พี่เก่งจังเลยค่ะ” ต้องตายิ้มกว้าง ดวงตากลมโตเป็นประกายวาววับ...ประหลาด ชวนให้คนมองรู้สึกขนลุกอย่างบอกไม่ถูก มันเหมือนกำลังคิดเรื่อง ‘ไม่ดี’ อยู่ “หนูว่าพี่เพลงกับพี่ซันก็เหมาะกันดีนะคะ พี่ซันดูใจดี อบอุ่น เป็นกันเองแต่พี่คนนั้นดูดิบๆ ห่ามๆ ยังไงไม่รู้ หนูว่าพี่เพลงเหมาะกับพี่ซันมากกว่าอีก”

“เอ่อคือ พวกพี่ไม่ใช่...”

“ไหนเธอว่าใครเหมาะกับใครมากกว่านะ”

ท่ามกลางเสียงเซ็งแซ่รอบตัวบวกกับเสียงการจราจรที่แน่นขนัด กลับมีเสียงหนึ่งแทรกเข้ามา แม้จะไม่ได้ดังจนเหมือนตะโกนแต่กลับชัดเจนเหมือนพูดตรงๆ ใส่หู ขนอ่อนในกายลุกชันอย่างไม่มีสาเหตุ แค่กระแสน้ำเสียงก็รู้แล้วว่าคนพูดอยู่ในอารมณ์แบบใด

บ้าน่า เขาอาจจะแค่หูฝาดไปเองก็ได้ มันไม่บังเอิญขนาดนั้นหรอก!

แต่ขนก็ยังลุกอยู่อย่างนั้น

กระทั่งไออุ่นและกลิ่นกายที่คุ้นเคยโชยเข้ามาถึงได้แน่ใจว่า หูไม่ได้ฝาดไปและความบังเอิญอันแสนเลวร้ายมันเกิดขึ้นได้จริงๆ

หัวไหล่เอียงไปข้างหนึ่งเมื่อท่อนแขนใหญ่วาดทับลงมา ไม่เพียงแค่นั้นยังเหนี่ยวรั้งกอดกระชับแสดงความเป็นเจ้าของอีกด้วย ดนตร์ปิดตาลงพร้อมพรูลมหายใจแผ่วๆ เรือนกายอุ่นไม่ได้ทำให้ผ่อนคลายเลยสักนิดกลับทำให้ร่างกายตึงเครียดกว่าเดิมเสียอีก

“สวัสดีครับ คุณอคิราห์ ไม่คิดว่าจะได้เจอกันอีก” คนมาที่หลังเป็นฝ่ายเอ่ยทักขึ้นก่อน น้ำเสียงไม่เป็นมิตรสักเท่าไร

“ครับ ผมเองก็ไม่คิดว่าจะเจอคุณเหมือนกัน” อีกฝ่ายสวนกลับ ตากลมสบประสานอย่างไม่หวาดเกรง

“ต้องเจอสิครับ” เจ้าของมือที่หัวไหล่ยิ้มเย้ยหยัน “เพลงอยู่ที่ไหน ผมก็ต้องอยู่ด้วย นกหนูแถวนี้มันเยอะ ต้องคอยไล่ตีให้พ้นหูพ้นตา”

“หึ” อคิราห์หัวเราะขึ้นจมูก “เนื้อหอมก็อย่างนี้แหละครับ ทั้งนกทั้งหนูอยากลิ้มลองทั้งนั้น”

“เพราะอย่างนี้ผมถึงได้ต้องคอยตามประกบ”

คนกลางยืนกะพริบตาปริบๆ สถานการณ์ตอนนี้เหมือนเดจาวู คลับคล้ายคลับคลาว่ามันเกิดขึ้นมาก่อน ไม่ใช่แค่ครั้งแรกแต่ยังหลายครั้งซะนี่ อันที่จริงมันบ่อยเสียจนจำไม่ได้ว่าเกิดขึ้นที่ไหนและเมื่อไรบ้าง

คนขี้หึง!

ต้องตายืนกะพริบตาปริบๆ มองคนนั้นทีคนนี้ที ตากลมช้อนมองพี่ชายตัวสูงสองคนที่ยืนประกบดนตร์ทั้งสองฝั่ง แต่พี่ชายที่เพิ่งมาใหม่แสดงออกชัดเจนว่าตัวเองมีเครดิตดีกว่า มือใหญ่โอบรอบหัวไหล่ค่อนข้างเล็กปลายนิ้วบีบกระชับ แผงอกหนาเบียดชิดกับแผ่นหลังของดนตร์ ใบหน้าหล่อเหลาแต่ติดดุอย่างที่เคยตำหนิไว้มองตรงมาแม้แค่เพียงชั่วประเดี๋ยวเดียวแต่ก็เสียวไปทั้งสันหลัง ต้องตารู้สึกว่าหายใจไม่ทั่วท้อง พลังงานบางอย่างแผ่มาจากพี่ชายคนนั้น...พลังงานที่น่ากลัวและอันตราย คล้ายๆ เสือหวงเหยื่อ หมาป่าหวงลูกแกะ หรืออะไรเทือกๆ นั้น

ถึงแม้จะอยากเชียร์พี่ซันแทบขาดใจ แต่จากรูปการณ์แล้วพี่ชายหน้าดุน่าจะมีชัยมากกว่า ต้องตาหลบตาคมดุ ก้มหน้างุด ไม่ได้เขินอายแต่ชอบใจมากกว่า!

ย้อนไปเมื่อราวๆ สองถึงสามเดือนที่แล้ว ในร้านกาแฟข้างมหาวิทยาลัยชื่อดัง เธอได้พบกับพนักงานหน้าใส ใส่แว่น สวมเครื่องแบบประจำร้าน มองเผินๆ อาจไม่มีอะไรสะดุดตา แต่ถ้าหากว่าเผลอจ้องเมื่อไรหัวใจจะมีปฏิกิริยาทันที พนักงานคนนั้นชื่อดนตร์หรือเพลง เธอไม่ใช่เด็กสาวใจกล้าถึงขนาดเอ่ยถามชื่อกับเจ้าตัวเอง แต่อ่านจากป้ายชื่อที่ติดบนหน้าอกต่างหาก

พี่เพลงเป็นผู้ชายผิวขาว...ขาวมาก ดวงตากลม ขนตายาวพอประมาณ คิ้วเป็นสีดำตัดกับสีผิว จมูกโด่งสวย ริมฝีปากสีแดง รูปร่างและส่วนสูงกำลังพอดี ออกจะติดผอมไปนิดด้วยซ้ำ แว่นทรงกลมดูเชยไปนิดแต่ก็เข้ากับเจ้าตัวได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ เครื่องแบบร้านกาแฟที่มีผ้าคาดเอวยิ่งเน้นให้ช่วงเอวดูเล็ก ตอนนั้นหัวใจที่เคยเต้นเป็นปกติกลับเพิ่มจังหวะขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งได้เห็นรอยยิ้มสดใสและลักยิ้มที่ข้างแก้มขวา ยิ่งทำให้ใจสั่น ความน่ารักของพี่เพลงทำให้เธอต้องแอบมาที่ร้านกาแฟเป็นประจำเพื่อแอบมอง กระทั่งวันหนึ่งโอกาสก็มาถึงโดยมีพนักงานในร้านให้ความร่วมมือ เขาคงเห็นว่าเธอแอบมองพี่เพลงมาพักใหญ่แล้วกระมัง

แต่ใครเลยจะรู้ว่าโอกาสที่ได้รับมานั้นจะสั้นเหลือเกิน พี่เพลงที่น่ารักของเธอมีเจ้าของแล้ว ถึงไม่มีใครยืนยันว่าเป็นความจริงหรือไม่ แต่หลังจากที่ผู้ชายหน้าดุคนนั้นแบกพี่เพลงใส่บ่า เธอก็ไม่เจอพี่เพลงที่ร้านกาแฟอีกเลย ล่าสุดที่เจอกันคือในร้านอาหาร แน่นอนว่าในร้านนั้นก็มีผู้ชายหน้าดุอยู่ด้วย

แม้จะผิดหวังแต่กลับไม่เสียใจ พอตั้งสติได้ก็มาทบทวนไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนอีกที คนน่ารักอย่างพี่เพลงจะมีแฟนเป็นผู้หญิงได้อย่างไร ในเมื่อรัศมีความน่ารักของตัวเองมันกลบผู้หญิงเสียหมด คนน่ารักก็ต้องคู่กับคนหล่อ พี่หน้าดุคนนั้นก็หล่อดี ถึงจะดูแตกต่างแต่ก็ลงตัวแบบแปลกๆ สรุปง่ายๆ สุดท้ายเธอก็ผันตัวจากที่อยากได้เป็นแฟนมาเป็นแฟนคลับแทน

“เธอ...”

ต้องตาสะดุ้งน้อยๆ มองหน้าคนเรียก ตาคมดุมองตรงมา เป็นผู้ชายที่ไม่น่ารักเอาซะเลย! “คะ?”

“ฉันถามไปทำไมไม่ตอบ”

“ถาม? อะไรเหรอคะ” เธอถามกลับ จำไม่ได้ว่าพี่หน้าดุคนนี้ถามอะไร และตั้งแต่เมื่อไร

ผู้ชายหน้าดุของต้องตากลอกตาขึ้นฟ้า ทำหน้าเบื่อหน่าย ทิ้งน้ำหนักแขนไปที่บ่าเล็กมากกว่าเดิมพลางยื่นหน้าเข้าไปใกล้...ใกล้ชนิดที่ลมหายใจประชิดผิวแก้ว “ฉันถามว่าใครเหมาะกับใคร”

“อ่อ...” ต้องตาพยักหน้าช้าๆ “คือ...พี่เพลง...จะอยู่กับใครก็เหมาะหมดแหละค่ะ แต่หนูเชียร์พี่ซันนะ แบร้!”

ทันทีที่ลิ้นสีชมพูผ่านพ้นกลีบปากสีเดียวกัน เจ้าของร่างน้อยในเครื่องแบบชุดนักเรียนก็เผ่นแน่บ เหลือไว้แค่เสียงรองเท้ากระทบกับพื้นซีเมนต์เท่านั้น

กรณ์กัดฟันกรอด ยัยเด็กนี่วอนหาที่ตายซะแล้ว ออกตัวแรงเชียร์ไอ้อคิราห์หน้าจืดไม่พอยังกล้าแลบลิ้นล้อเลียนเขาอีก!

“ต้องตานี่น่ารักดีนะครับ” อคิราห์เอ่ยชม ไม่รู้ว่าเพราะเรื่องที่กล้าล้อเลียนกรณ์หรือเรื่องที่ยกธงเชียร์ตัวเองกันแน่

“เด็กเปรต!” แต่อีกคนไม่เห็นด้วย

อาจารย์หนุ่มสูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอด ถึงตอนนี้เข้าใจแล้วว่าทำไมกรณ์ถึงเลือกดนตร์ คนที่มองโลกในแง่ดี พูดจาพาซื่อ และจริงใจ ไม่ใช่แค่รูปลักษณ์ภายนอก หากแต่ลึกลงไปถึงจิตใจเลยต่างหาก เห็นแล้วก็อดอิจฉาไม่ได้ น่าเสียดายที่เขาตาไม่ถึงแถมยังมาช้า...หลายก้าวเสียด้วย

“ผมกลับก่อนนะครับ แล้วก็ขอบคุณมาก” อคิราห์ยกถุงในมือให้สูงขึ้น ของพวกนี้ดนตร์เป็นคนเลือกให้ทั้งหมด เห็นทีจะต้องจดเอาไว้เสียแล้วเพราะมั่นใจดนตร์คงไม่ได้กลับมาแนะนำให้อีก พอเหลือบไปมองคนข้างๆ อีกฝ่ายก็จ้องตาไม่กะพริบ ท่าทางเหมือนหมาหวงก้างไม่มีผิด ชักอยากจะเอาไม้เคาะหัวหมาเสียจริง!

“ยินดีครับ” ดนตร์น้อมตัวลงเล็กน้อย และก็ทำได้แค่นั้นเพราะมือที่ยึดตรงหัวไหล่บังคับเอาไว้

“รีบๆ ไปได้แล้ว เดี๋ยวแฟนก็รอนานหรอก” กรณ์เอ่ยปากไล่อย่างไม่เกรงใจ

“ไม่มีแล้ว...เลิกกันแล้ว วันเดียวกับที่คุณเอารองเท้ากับกระเป๋าไปโยนใส่นั่นแหละ”

“รองเท้า? กระเป๋า?” คราวนี้คนสงสัยคือดนตร์ ใบหน้าน่ารักผินมองคนข้างๆ “พี่ไปทำอะไรพวกเขาเหรอครับ”

“เรื่องของผู้ใหญ่ เด็กอย่างนายไม่เกี่ยว” กรณ์ตอบ ยังคงความกวนเอาไว้เต็มอัตรา

“ไม่เกี่ยวได้ยังไง เดี๋ยวเรื่องก็ไม่จบกันพอดี” ดนตร์เริ่มหน้าบึ้ง เสียงแข็งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

“จบแล้วล่ะครับ เทอมหน้ายาหยีก็ไปเรียนที่อเมริกาแล้ว”

“อเมริกา? ทำไมล่ะครับ”

อคิราห์ผ่อนลมหายใจช้าๆ เกินเดือนกระมังแล้วที่เขากับโยษิตาไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย วันที่กรณ์บุกเอารองเท้ากับกระเป๋าแบรนด์เนมไปเทใส่บนโต๊ะอาหาร เป็นวันที่เขาสะสางปัญหาทุกอย่าง โยษิตาไม่ยอมเล่าเรื่องอะไรให้เขาฟังแม้แต่คำเดียว ปล่อยให้ความเงียบปกคลุมพร้อมกับความสงสัยในหัว แต่มันเหมือนช้างตายทั้งตัวเอาใบบัวปิดไม่มิด สีหน้าติดกังวลของเธอทำให้เส้นความอดทนของเขาขาดผึงลง หลังจากคาดคั้นอยู่นั้นเลยได้คำตอบสั้นๆ ห้วนๆ ว่า

‘เพราะมัน! ไอ้ตุ๊ดนั่น ไอ้เพลง!’

แค่ชื่อของดนตร์มันก็มากพอแล้ว เขาไปสืบข้อมูลเพิ่มเติมจากเพื่อนสนิทของโยษิตา แรกเริ่มนั้นไม่มีใครบอกกับเขาสักคนแต่มันก็ไม่ได้ยากเกินความสามารถ เด็กพวกนั้นก็นิสัยไม่ต่างจากโยษิตาหลงใหลในสิ่งของนอกกาย เขายอมเสียเงินแสนเพื่อซื้อ Hermès แลกกับสิ่งที่โยษิตาทำไว้

โยษิตารักแรงและแค้นแรงมากกว่าที่คิดไว้นัก ไม่น่าเชื่อว่าผู้หญิงหน้าตาน่ารักเหมือนตุ๊กตาจะกล้าทำเรื่องเลวร้ายได้ขนาดนั้น แม้ไม่มีภาพแต่เขาก็จินตนาการได้ว่าดนตร์จะทรมานแค่ไหน และเขาก็ไม่อาจให้คนจิตใจโหดร้ายมาเป็นแม่ของลูกได้ เขาขอยกเลิกการหมั้นหมายโดยไม่ได้บอกเหตุผลใดๆ กับใคร ยอมถูกบิดาดุด่าอยู่หลายวัน ส่วนครอบครัวของโยษิตาก็ต่อว่าต่อขานเขาไม่หยุด ขู่อาฆาตจะฟ้องร้องเพราะทำให้ลูกสาวเสียหาย แต่เขาไม่ยี่หระ ถึงจะไม่มีนามสกุลค้ำหลังก็มั่นใจว่าอาชีพอาจารย์ของเขาก็สามารถเลี้ยงชีพได้ เขาแยกตัวมาอยู่คอนโดพร้อมกับตัดความสัมพันธ์กับโยษิตา โดยมีแค่ข้อความสั้นๆ ไปถึงเธอว่า

‘ผมให้คุณมาเป็นแม่ของลูกไม่ได้’

โยษิตาไม่ได้ตามมาอาละวาด แต่เธอลาออกจากมหาวิทยาลัยกลางคัน และจะไปเรียนต่อที่อเมริกาในเทอมหน้า แม้จะรู้สึกผิดแต่นี่มันดีที่สุด

“อนาคตน่ะ ดีกรีนักเรียนนอกมันดีกว่าไม่ใช่หรือ” เขาตอบยิ้มๆ ถึงจะเลิกรากันไป ถึงโยษิตาจะทำเรื่องไม่ดีแต่ครั้งหนึ่งเธอก็น่ารักเสียจนเขาต้องยอมเป็นมือที่สาม ไม่สิ อันที่จริงแล้วคนที่เป็นมือที่สามคือกรณ์ต่างหาก แต่อีกฝ่ายไม่รู้ตัว เพราะเรื่องการหมั้นของเขากับโยษิตาเป็นแค่การตกลงกันระหว่างผู้ใหญ่ เขาเองเดิมทีก็ไม่เห็นด้วยแต่เมื่อได้พบโยษิตาเขาก็นึกพอใจ แม้จะรู้ว่าเธอมีคนรักแล้วแต่ก็ยังดึงดันเพราะคิดว่าตัวเองถือไพ่เหนือกว่า แต่สุดท้ายเขาเองก็ทำเหมือนกรณ์ คือทิ้งเธอ...จากกันตอนที่ยังเหลือความรู้สึกดีๆ ก่อนที่มันจะไม่เหลืออะไรไว้ให้ระลึกถึงอีกเลย

“อ่า...ครับ” ดนตร์รับคำ หน้าสลดลง คงคิดว่าเป็นเพราะตัวเองโยษิตาเลยต้องไปที่อื่น

“ถึงเวลาก็ต้องเลือก นายเองก็เหมือนกัน ฉันหวังว่าสิ่งที่นายเลือกมันจะไม่ทำให้นายเสียใจ”

อคิราห์ยิ้มให้อีกครั้งก่อนจะน้อมศีรษะลงเป็นเชิงอำลา ดนตร์ฝืนยิ้มและก็รู้ว่าถึงเขาจะเดินลับสายตาไปแล้วดนตร์ยังคงมองอยู่ที่เดิม

เมื่อไม่มีรถไฟทั้งสองขบวนแล้วก็เหลือแค่ขบวนสุดท้ายอย่างกรณ์ มือหนายังบีบกระชับที่หัวไหล่ของคนรัก เรื่องราวของโยษิตาที่ได้ยินจากปากของอคิราห์สั้นๆ นั้น เขาเองก็พอรู้มาบ้าง แค่ไม่รู้ว่าจะไปเมื่อไรเท่านั้นเอง หลังจากก่อเรื่องโยษิตาก็ไม่เคยตามมาตอแยอะไรอีก ไม่รู้ว่ากลัวคำขู่หรือเพราะไม่กล้าสู้หน้ากันแน่ แม้แต่ในเฟซบุ๊คก็เงียบสงบ มันเหมือนพายุใหญ่พัดโหมใส่แต่พอหมดเม็ดฝน ฟ้าหลังฝนมันงดงามและเงียบสงบ และคราวนี้เขามั่นใจว่าพายุโยษิตาจะไม่มาถล่มเป็นครั้งที่สามแน่

ดนตร์นิ่งไปพักใหญ่ เพราะเขาไม่เคยบอกอะไรที่เกี่ยวกับโยษิตาให้ฟังอีกเลย แม้แต่ในวันที่ตามไปเอาเรื่องถึงร้านอาหารก็ด้วย เขาอยากให้ดนตร์สบายใจพร้อมๆ กับปลอดภัย ถึงจะเป็นคนรักของเขา แต่ก็เป็นผู้ชาย เขารู้ว่าดนตร์ไม่ทำร้ายผู้หญิงแน่ ถึงจะโดนกระทำหนักเจียนตายก็ตาม

“เพราะผมใช่ไหม พี่ยาหยนีเลยต้องไปอยู่ที่อื่น”

“นายเป็นเจ้าของมหา’ ลัย หรือไง”

“ครับ?” เด็กหน้าหงอยเงยหน้าขึ้น ไม่รู้ทำไมเรื่องมันถึงกลับตาลปัตรไปหมดแบบนี้ ต้องเป็นเขาไม่ใช่หรือไงที่ต้องถูกเอาใจ

“ก็ถ้านายไม่ได้เป็นเจ้าของ นายก็ไม่มีสิทธิ์จะไล่ใครออกได้”

“ไม่เห็นจะรู้สึกดีขึ้นสักนิด” ดนตร์ย่นจมูก พลางผลักแขนออกจากบ่า “แล้วมาที่นี่ได้ยังไงครับ”

มาที่นี่ได้อย่างไร? ...จริงสิ เขาเกือบลืมไปแล้วว่าทำไมจู่ๆ ถึงได้หักเลี้ยวรถเข้ามาในห้างนี้ได้ ไอความโกรธที่จางลงไปเมื่อครู่กลับมาคุกรุ่นอีกครั้ง “พอดีจมูกดีน่ะ ได้กลิ่นเหม็นตุๆ แถวนี้”

เขาทำจมูกฟุดฟิดเหนือเส้นผมสีเข้ม มันไม่มีกลิ่นอย่างที่ว่าหรอกมีแต่กลิ่นแชมพูติดอยู่ต่างหาก หอมเสียจนต้องกดจมูกลงไปฝัง เสียงใครสักคนอุทานพอหันไปมองก็เห็นเด็กสาวสองคนที่เดินจูงมือกันมาทำหน้าตกใจ แต่เขาไม่แคร์แถมยังมองกลับไปด้วยสายตาท้าทายอีกต่างหาก แค่ผู้ชายรักกันไม่เห็นจะเสียหาย สำหรับเขาแล้วความรักไม่ได้จำกัดแค่ผู้หญิงกับผู้ชาย แต่ขึ้นอยู่กับว่าอยู่กับใครแล้วสบายใจมากกว่า

“ทำบ้าอะไร! คนมองกันใหญ่แล้ว” ข้อศอกแหลมกระทุ้งมาที่หน้าท้อง แม้ไม่หนักมากแต่ก็เล่นเอาเสียวท้องได้เหมือนกัน

“แล้วไง” กรณ์ยักไหล่ แต่ก็ยอมผละจากกลุ่มผมหอม เด็กบ้าอะไรใช้อะไรก็หอมไปหมด! “อย่ามาทำเฉไฉ เรามีเรื่องต้องเคลียร์กันอยู่นะ”

“เรื่องอะไร” คิ้วดำยกน้อยๆ เพิ่งสังเกตเห็นว่าข้อนิ้วขาวๆ เปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำแล้ว คงเพราะหิ้วของหนักนานเกินไป เขาฉวยถุงพวกนั้นเอามาถือไว้เอง อดหงุดหงิดไม่ได้เมื่อคิดว่าตอนที่ซื้อของพวกนี้ดนตร์อยู่กับใคร

“ก็แล้วไปทำอะไรกับใครมาล่ะ”

“อย่าอ้อมไปอ้อมมาได้ไหม” เสื้อถูกคว้าเอาไว้ พ่อครัวหัวป่าก์ขยับเท้ามาขวางหน้าเอาไว้ ปลายเท้าเขย่งเท้าเพิ่มความสูงให้ตัวเองอีกนิด แต่ศีรษะก็ยังไม่พ้นปลายจมูกของเขาอยู่ดี

“ก็ได้...แต่ต้องไปคุยกันในรถ”

ดนตร์ยังไม่ได้ตอบตกลงหรือตอบรับในคราแรก แต่กวาดตามองไปรอบๆ ตัวก่อน พอรู้สึกตัวว่าสถานที่ที่อยู่นั้นมันคือหน้าห้างสรรพสินค้ากลางกรุงเทพฯ ก็ยอมพยักหน้า แล้วเดินตามหลังมาเงียบๆ ระหว่างทางก็แอบสำรวจของที่ดนตร์ซื้อมาด้วย พอเห็นว่ามีเนื้อวัวส่วนที่เป็น Rib eye ก็พอจะหายหงุดหงิดไปได้บ้าง แถมยังมีเบเกอรี่ถุงใหญ่มาอีกด้วย

ที่บอกว่าคุยกันในรถแต่เอาเข้าจริงๆ ตลอดการเดินทางที่ต้องฝ่าการจราจรที่แสนติดขัดนั้นก็ไม่มีใครพูดอะไรอีกเลย ดนตร์น่าจะรู้ว่าอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาหัวเสีย อันที่จริงความหงุดหงิดก็ลดลงไปเยอะแล้ว แต่หันไปเห็นหน้าที่จ๋อยลงของเด็กดื้อเงียบก็เลยอยากจะเล่นละครต่ออีกสักหน่อย

...บทแฟนหนุ่มหึงโหดมันสนุกดีจะตาย...

รถจอดแล้วแต่ผู้โดยสารยังนั่งนิ่งไม่ขยับ ใบหน้าเล็กเท่าฝ่ามือเหมือนจะหดเล็กลงจนเหลือเท่ากำปั้นได้ ตากลมที่บัดนี้ไม่มีแว่นตามาบดบังความน่ารักช้อนมอง แก้วตาน้ำตาลเข้มมีแววคล้ายกับสำนึกผิด ริมฝีปากอิ่มเม้มเป็นเส้นตรงแล้วคลายออกพร้อมกับลมหายใจที่พรูออกมาเฮือกใหญ่

“ขอโทษครับ” คำขอโทษหลุดออกมา เสียงที่พูดเบาหวิวไม่ต่างจากเสียงกระซิบ “ผมรู้ว่าพี่ไม่ชอบให้ผมอยู่กับคนอื่น แต่ผมไม่ได้คิดอะไรกับพี่ซันจริงๆ นะ”

“ไปคุยกันในบ้าน” เขาบอก ดนตร์พยักหน้าหงึกหงัก เดินลอยๆ ไปที่หลังรถจะไปเอาของที่ซื้อมาแต่ถูกเขาชิงไปเสียก่อน

ดนตร์เดินตามต้อยๆ พอแกล้งหยุดเดินหน้าก็เลยทิ่มลงมาที่หลัง เจ้าตัวร้องโอย เอี้ยวตัวไปดูก็เห็นว่ากำลังคลำจมูกป้อยๆ

“ซุ่มซ่าม”

“ก็ใครใช้ให้หยุดเดินล่ะ”

“จะเปิดประตู ไม่ให้หยุดได้ยังไง”

คนตัวเล็กกว่าทำหน้ายู่ ยืนรอกระทั่งประตูเปิดออก

กลิ่นหอมอ่อนๆ ของน้ำยาปรับอากาศที่ฉีดไว้ก่อนไปยังหลงเหลืออยู่ในอากาศ ตาพร่าไปเล็กน้อยตอนที่กรณ์เปิดไฟ แต่ก็ทำให้เห็นอะไรชัดขึ้นโดยเฉพาะหน้าซีดๆ ของเด็กดื้อเงียบ

“พี่กรณ์”

“อะไร” เขาแสร้งทำเสียงห้วน วางถุงที่ซื้อมาบนโต๊ะ กลิ่นหอมของเบเกอรี่เรียกน้ำย่อยได้ดีเหลือเกิน เขานี่นับวันยิ่งเสียนิสัย แต่ก่อนเคยกินขนมไร้สาระพวกนี้เสียที่ไหน พอได้คลุกคลีใกล้ชิดกับคนที่มีกลิ่นเหมือนนมเข้าหน่อยก็พลอยชอบกินขนมหวานๆ ไปด้วย เมื่อครู่ตอนที่เอาของออกจากท้ายรถเพิ่งเห็นว่าดนตร์ซื้ออุปกรณ์ทำครัวมาด้วย คล้ายกับที่เคยเห็นคุณดารินใช้ตอนทำขนมเค้ก สงสัยลูกชายคุณดารินคงอยากจะทำขึ้นมาบ้าง

“ผม...รู้ว่าพี่ไม่พอใจที่ผมอยู่กับพี่ซัน แต่ผมไม่ได้คิดอะไรกับเขาจริงๆ นะครับ”

ตากลมที่ปกติหางตาจะตวัดเฉี่ยวขึ้นนิดหน่อย บัดนี้มันตกลงมองดูคล้ายกับลูกหมาตัวน้อยๆ ที่กำลังอ้อนวอนให้เจ้านายยกโทษให้

“แล้วไปเจอกันได้ยังไง”

“บังเอิญครับ พี่ซันเขามาหาซื้อของพอดี ผมก็เลย...”

“ทำตัวเป็นคนดี เฮอะ!” เสียงขึ้นไปอยู่ที่จมูกให้สมกับที่กำลังแสดงความไม่พอใจอยู่ หน้าที่ดูเหมือนจะเหลือเท่ากำปั้น ตอนนี้ยิ่งหดเล็กลงไปอีก ทั้งน่าสงสารและน่าแกล้งไปพร้อมกัน “รู้อะไรไหม ความใจดีของนายมันจะนำพาหายนะมาให้ ไอ้คุณซันเป็นแฟนใหม่ของยาหยีนะ ขนาดฉันเป็นแฟนเก่ายังเล่นงานหนักขนาดนั้น แล้วนี่แฟนใหม่แถมยังเป็นคู่หมั้น ไม่กลัวโดนจับขังอีกหรือไง”

“ไม่กลัว” ดนตร์ส่ายหน้าหวือจนผมปลิว “ก็พี่ซันบอกว่าพี่ยาหยีจะไปเมืองนอกแล้ว เขาคงไม่อยากยุ่งกับผมแล้ว”

“จะแน่ใจได้ยังไง”

“ก็...ก็พี่ซันบอกอย่างนั้น” เสียงของดนตร์อ่อนลง คิ้วขมวดมุ่น ตาหลุบต่ำมองพื้น เจ้าตัวเองก็ไม่มั่นใจนักหรอกว่าโยษิตาจะตามมาราวีอีกไหม แต่เขามั่นใจเกินหนึ่งล้านเปอร์เซ็นต์ว่าโยษิตาจะไม่มีทางมายุ่งเกี่ยวกับเขาและดนตร์อีก

“นายมันซื่อเกินไป” เขาเตือน “ดูไม่ออกหรือไงว่าผู้ชายที่เข้ามาหาน่ะ เขาคิดยังไง”

“ผมเป็นผู้ชาย!”

“แต่เป็นผู้ชายที่มีผัวแล้ว” กรณ์เพิ่มคำนิยามให้ “ฉันขอเตือนนายเป็นครั้งสุดท้ายนะ นายมีผัวแล้ว ถึงคนอื่นไม่รู้ แต่ตัวนายเองก็รู้อยู่แก่ใจ ฉันทั้งขี้หึงแล้วก็ขี้หวง แต่นายก็ยังทำให้ฉันเป็นบ้า นายไม่รู้หรอกว่าสายตาที่ไอ้ซันมองมาน่ะมันเป็นยังไง หรือว่านายอยากจะให้ฉันบ้าจริงๆ รู้ไหมตอนที่เห็นนายอยู่กับไอ้หมอนั่นกับยัยเด็กต้องตา ฉันเจ็บไปทั้งใจ กลัวว่านายจะหวั่นไหว กลัวว่านายจะชอบคนอื่นมากกว่าฉัน กลัวว่า...!”

ปึก!

ร่างเล็กโผเข้าใส่เต็มแรง สองมือยึดที่อกเสื้อ ปลายเท้าเขย่งขึ้นเพิ่มความสูง ริมฝีปากกดทับลงมาแนบแน่น ลิ้นเล็กพยายามแทรกซอนเข้ามา แต่เขาเม้มปากไม่ยอมง่ายๆ อีกฝ่ายเองก็เช่นกัน ดนตร์ไม่ลดละความตั้งใจ เจ้าเด็กดื้อปล่อยมือจากอกเสื้อแล้วเลื่อนมาประคองหน้าเขาเอาไว้แทน เบียดกายเข้ามาแนบชิด

“พะ..พี่กรณ์” ดนตร์หน้าแดงเป็นมะเขือเทศตอนที่ถอยใบหน้าห่างออกมา “ทำไม...ไม่เปิดปาก”

เขาแสร้งมองไปที่อื่น ร่างกายที่ยังชิดกันเล่นเอาเขวไปหลายรอบ เกือบจะยกมือโอบรอบเอวเล็กๆ นั่นแล้ว แต่เจ้าตัวดีดันผละปากออกไปเสียก่อน

“คิดว่าทำแบบนี้ฉันจะหายโกรธหรือไง”

“แล้ว...จะให้ทำยังไง”

กรณ์กระตุกยิ้มมุมปาก รอยยิ้มเจ้าเล่ห์เหมือนหมาป่าหลอกล่อลูกแกะแสนซื่อ เขาขยับขาดันร่างเล็กกว่าไปติดกับบาร์เหล้า ดนตร์ผ่อนกายเอนไปด้านหลังโดยใช้ศอกพยุงตัวเอาไว้ หน้าตาเหรอหรานั่นยิ่งทำให้อยากแกล้งมากกว่าเดิม

“ทำกันบนนี้ จนกว่าฉันจะหายโกรธ”

“ไม่เอา” ดนตร์ส่ายหน้าดิก “สะ...สเต็ก! พี่อยากกินสเต็กไม่ใช่เหรอ เนื้อยังไม่ได้หมักเลย ต้องหมักก่อนเดี๋ยวจะไม่อร่อย”

“เนื้อสดน่าจะอร่อยกว่า” เขาว่า พลางใช้ลิ้นแตะไปที่มุมปากของอีกคน “ถ้ากินเนื้อสดอิ่มบางทีนายอาจจะไม่ต้องทำสเต็กก็ได้นะ”

“ตะ..แต่” ดนตร์ทำท่าจะแย้ง มือน้อยยันอกเอาไว้ “...รีบทำนะ ทำตรงนี้มันปวดหลัง”

“จะพยายาม”

แม้จะรับปากไปอย่างนั้นแต่สุดท้าย บนบาร์เหล้าก็กลายเป็นสมรภูมิรักขนาดย่อม กลิ่นน้ำยาปรับอากาศถูกกลิ่นคาวอ่อนๆ แทนที่ เนื้อสดที่กรณ์ได้ลิ้มลองรส มันอร่อยกว่าสเต็กเป็นไหนๆ ...

...............................

ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
กรณ์ถ้าจะหึงจะหวงแรงขนาดเน้ เตรียมทิชชุ่ไว้ให้ด้วย :haun4:

ออฟไลน์ pamhicc

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 264
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ก็เพลงน่ารักใครๆก็พากันหลงรัก
พี่กรณ์นี่ตามหึงจนเหนื่อย 555555  :pig4:

ออฟไลน์ libra82

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 285
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +236/-5
Chapter 25 Journey

เวลาหนึ่งปี ผ่านไปไวกว่าที่รู้สึกนัก ไม่น่าเชื่อเลยว่าตอนนี้เขาจะเป็นนักศึกษาปีสองของคณะนิเทศน์แล้ว ผ่านมาหนึ่งปี มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย ในแต่ละวันมักจะมีความทรงจำใหม่ๆ ให้ได้เก็บเอาไว้เสมอ ทั้งดีและไม่ดี ประทับใจและอยากจะลืม แต่สิ่งที่เขาได้จากการเป็นนักศึกษาเต็มตัวภายในรั้วมหาวิทยาลัยก็คือมิตรภาพ เขามีเพื่อนที่แสนดีถึงสามคน คนที่หนึ่งคือมิ่งขวัญอดีตรูมเมท สองคือเมธัสเพื่อนรักปากร้ายแต่แสนจริงใจ และสามลลิตาดาวคณะที่ทั้งสวยและใจดี น่าแปลกใจอยู่นิดหน่อยทั้งที่สมบูรณ์พร้อมด้วยรูปร่างหน้าตากลับไม่มีแฟน หรือแม้แต่คนมาจีบ เขาเคยถามเจ้าตัว เลยได้คำตอบมาว่า

‘เพราะฉันสวยเกินไป’

เป็นคำตอบที่ชวนหมั่นไส้นักแต่เขากลับไม่รู้สึกเช่นนั้น และรู้ดีว่าสาเหตุที่ลลิตายังเป็นโสดเพราะคุณแม่ที่ยังคอยตามรับตามส่ง แม้จะขึ้นปีสองแล้วก็ตาม

แต่คนที่ไม่น่าจะมีใครมาสนใจอย่างเขากลับมีคนรักก่อนใคร แถมยังเป็นผู้ชายที่มีดีกรีเป็นถึงหนุ่มฮอตของมหาวิทยาลัยอีกด้วย และตอนนี้ก็กลายเป็นเด็กฝึกงานอย่างเต็มตัวไปแล้ว

เมื่อปีที่แล้วกรณ์เป็นนักศึกษาชั้นปีที่สามของคณะสถาปัตย์ ผู้ชายปากร้าย เย็นชาจนถึงเย่อหยิ่ง ทว่าลึกๆ แล้วน้อยคนจะรู้ว่าผู้ชายที่ดูคล้ายจะเข้าถึงยากคนนี้ ใจดี และจริงใจแค่ไหน ถ้าหากไม่มีเรื่องราวนำพาให้มาเจอกัน เขาก็คงจะได้แค่แอบมองผู้ชายคนนี้ตลอดไป คงต้องขอบคุณรุ่นพี่ตัวอ้วนอย่างชนวีร์ที่ทำให้เขาได้ร่วมแข่งบาสจนได้แผล มีปากเสียง ไม่ชอบหน้า แต่สุดท้ายก็ลงเอยด้วยคำว่า ‘คนรัก’

หลังจากผ่านเรื่องดีและเลวร้ายมา มือที่จับกันไว้มันแน่นขึ้นทุกวัน แม้ไม่มีคำบอกรักแต่แค่มองตาก็รู้ว่าความรักที่มีให้กันมันมากมายแค่ไหน บางทีความรักที่แท้จริงก็ไม่ต้องการเวลา แค่คนสองคนก็เพียงพอแล้ว

กรณ์เข้าฝึกงานที่บริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ที่แค่เอ่ยชื่อคนค่อนประเทศก็รู้จัก เป็นบริษัทรับออกแบบบ้านและสิ่งปลูกสร้าง ซึ่งก็ตรงกับที่กรณ์เรียนพอดี ไม่เพียงแต่จะได้ประสบการณ์หากมีโอกาสกรณ์อาจจะได้แสดงฝีมือทางด้านศิลปะควบคู่กับการสร้างสรรค์ผลงานอีกด้วย และด้วยความจำเป็นนี้ทำให้เจ้าตัวต้องปฏิเสธงานในวงการบันเทิงไประยะหนึ่ง แต่ก็อาจจะกลับมาเล่นหนังสั้นให้กับญาติผู้น้องอย่างชนวีร์ก็ได้...หากมีโอกาส

ส่วนตัวเขาเองหลังจากนิตยสารท่องเที่ยวตีพิมพ์ไป ก็มีคนรู้จักเขามากขึ้นแต่ก็อยู่ในวงแคบๆ ถึงอย่างไรเสียก็ต้องขอบอาใหญ่ที่มอบโอกาสให้ ถึงจะไม่ได้โด่งดังเปรี้ยงปร้างแต่ก็เป็นอีกงานที่ท้าทายความสามารถด้วยเช่นกัน ในฐานะนักศึกษาคณะนิเทศน์ฯ งานทุกอย่างที่เกี่ยวกับวงการนี้มันคือโอกาสที่จะสร้างประสบการณ์และฝึกปรือความสามารถไปในตัว ทั้งงานเบื้องหน้าและเบื้องหลัง

เรื่องการเรียน เกรดเฉลี่ยที่เกินสามมานิดหน่อยนับว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดี แต่กว่าจะผ่านการสอบปลายภาคมาได้ก็ทำเอาเลือดตาแทบกระเด็น ดีที่ได้หัวกะทิอย่างกรณ์ที่บอกเคล็ดลับในการอ่านหนังสือมาให้ ตลอดสัปดาห์แห่งการสอบ สภาพของเขาและกรณ์ไม่ต่างจากซอมบี้ที่ทั้งหิวโหยและเหนื่อยล้า แต่พอพ้นช่วงเวลานั้นมาได้มันเหมือนได้ขึ้นสวรรค์ไม่มีผิด กรณ์เลี้ยงฉลองการสอบเสร็จด้วยการพาเขาไปเที่ยวที่ภูเก็ต ซึ่งเขาก็ไม่แน่ใจนักว่ามันเป็นการพาไปพักผ่อนหรืออะไรกันแน่ เพราะเมื่อไปถึงเขาก็ต้องพบครอบครัวของกรณ์ ที่ประกอบด้วยคุณกริช และคุณย่าแก้ว

เขาเคยพบกับคุณกริชมาแล้ว อุปนิสัยของกรณ์ได้รับการถ่ายทอดทางพันธุกรรมมาอย่างแน่แท้ สองพ่อลูกมีอะไรคล้ายกันอย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งวิธีการพูด ความคิด แม้กระทั่งอารมณ์ เพียงแต่คุณกริช จะรู้จักควบคุมได้มากกว่าคงเพราะวุฒิภาวะนั่นเอง

บ้านของกรณ์ใหญ่สมกับเป็นผู้มีฐานะ อาณาเขตกว้างขวางกินพื้นที่ร่วมสองไร่ รอบบริเวณล้อมรอบด้วยกำแพงปูนสูงสามเมตร ด้านหน้าเป็นประตูรั้วอัลลอยด์และมีสุนัขพันธุ์ร็อตไวเลอร์เฝ้าไว้ ตอนที่เห็นมันครั้งแรกเขาตกใจกลัวจนเข่าทรุด ปากห้อยๆ และน้ำลายไหลยืดของมันชวนให้เสียวน่องดีเหลือเกิน แต่พอมันเห็นหน้าเจ้านาย หน้าดุๆ ของมันก็กลายเป็นน้องหมาแสนน่ารัก ดวงตาสดใสและเต็มไปด้วยความซื่อสัตย์ กรณ์สอนให้มันรู้จักเขาและสั่งไม่ให้ทำร้าย เขาไม่รู้หรอกว่าเจ้าร็อตไวเลอร์ที่ชื่อแบล็คนั่นมันจะเข้าใจหรือเปล่า แต่มันก็ไม่ได้ทำร้ายเขาเพียงแค่มองด้วยสายตาไม่เป็นมิตรสักเท่าไร ซึ่งมองไปมองมาก็คล้ายกับเจ้าของมันอยู่เหมือนกัน

แต่ที่ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นหัวใจและยิ้มได้คือคุณย่าแก้ว ท่านเป็นหญิงชรารูปร่างเล็กวัยใกล้เจ็ดสิบปี แต่ผมยังเป็นสีดำสนิท ไม่มีผมขาวสักเส้น ใบหน้าอิ่มเอิบดูอ่อนกว่าวัยเสียด้วยซ้ำ เสื้อผ้าอาภรณ์ที่สวมใส่แม้จะไม่ได้หรูหราฟูฟ่าแต่ก็ดูดีและยังเป็นสไตล์วินเทจที่แม้จะโบราณแต่ก็ร่วมสมัย

กรณ์แนะนำว่าเขาคือคนรักอย่างไม่อ้อมค้อม นอกจากจะไม่แสดงอาการตกใจแล้วคุณย่าแก้ว ยังซักถามถึงเรื่องราวของเขาและกรณ์อย่างเป็นกันเองอีกด้วย บางครั้งก็แทรกวีรกรรมวัยเด็กของกรณ์ให้ฟังอีกต่างหาก แต่ที่ตลกที่สุดคือภาพในอดีตที่ท่านนำมาให้ดูตั้งแต่กรณ์ยังเป็นทารกวัยแบเบาะจนเข้ามัธยม ใบหน้าและอิริยาบถต่างๆ ที่เขาไม่เคยเห็นมันเรียกรอยยิ้มและเสียงหัวเราะได้พร้อมกัน

เขาอยู่บ้านของกรณ์ได้สามวัน แต่เป็นสามวันที่มีความสุขจนไม่อาจหาคำบรรยายได้ ไร้สภาวะกดดัน ทั้งจากคุณกริช และคุณย่าแก้ว ต่างก็ให้การต้อนรับและเอ็นดูเขาไม่ต่างจากลูกหลาน ในวันที่ต้องกลับคุณย่าขอให้เขากลับมาเยี่ยมท่านอีกและเขาก็รับปาก

หลังจากกลับจากการพักผ่อนได้ไม่กี่วันกรณ์ก็ต้องเป็นนักศึกษาฝึกงานทันที เช่นเดียวกันกับชนวีร์ อริญชย์ ธาวิน และนักรบ ชนวีร์ได้ฝึกงานที่บริษัทผลิตหนังรายใหญ่อันดับต้นๆ ของประเทศเลยทีเดียว ส่วนอริญชย์เลือกที่จะเป็นผู้ช่วยช่างภาพใหญ่อย่างอาใหญ่ที่เขาเองก็เพิ่งรู้เหมือนกันว่าท่านมีบริษัทรับถ่ายภาพเล็กๆ อยู่ด้วย ขณะที่ธาวินเลือกไปเป็นเด็กฝึกงานของบริษัทของบิดาตัวเอง และนักรบรายนี้ได้ฝึกงานในบริษัทรับตกแต่ง โดยรวมแล้วคนที่น่าจะลำบากกว่าใครคงเป็นกรณ์ เพราะตำแหน่งที่ได้ทำคือเด็กรับใช้อย่างแท้จริง!

กรณ์ต้องทำทุกอย่างตามที่รุ่นพี่สั่ง ไม่ว่าจะถ่ายเอกสาร ซื้อมื้อเที่ยง ชงกาแฟ หรือแม้แต่บีบนวด ซึ่งกว่าจะได้แสดงฝีมือก็ต้องทนเป็นเบ๊คนอื่นอยู่ร่วมอาทิตย์เลยทีเดียว กระทั่งเข้าสัปดาห์ที่สองของการฝึกงาน กรณ์ถึงได้มีโอกาสจับดินสอช่วยรุ่นพี่ร่างโครงงาน แต่ก็ถูกสั่งให้แก้ใหม่อยู่หลายรอบ ทว่าคนอย่างกรณ์ไม่รู้จักคำว่ายอมแพ้

กรณ์เอางานที่ถูกสั่งให้แก้กลับมาทำที่บ้าน ขังตัวเองอยู่ในห้องที่กั้นไว้สำหรับทำงานอยู่สองคืนติด และสั่งห้ามไม่ให้เขารบกวนจนกว่างานจะเสร็จ สุดท้ายก็ยอมออกมาด้วยสภาพอิดโรย ขอบตาดำคล้ำ เปลือกตาบวมตุ่ย ริมฝีปากแห้งผาก โดยมีงานที่แก้แล้วติดมือมาด้วย

เมื่อเห็นคนรักจริงจังเขาเองก็ต้องปฏิวัติตัวเองด้วยเหมือนกัน ตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่าปีที่สองของการเป็นนักศึกษาจะต้องสร้างความภาคภูมิใจให้กับกรณ์และครอบครัวให้ได้ เกรดเฉลี่ยจะต้องดีกว่าเดิมขณะเดียวกันฝีมือทางการแสดงก็ต้องดีขึ้นตามไปด้วย เขาเลือกเรียนที่คณะนี้ด้วยรักในด้านนี้ หลังจากดูคะแนนสอบแล้วเขาก็ค้นพบว่าสิ่งที่เขาทำได้ดีคือการเขียนบท ดังนั้นเขาน่าจะเอาดีทางด้านนี้ และควรจะเริ่มต้นฝึกฝนเสียตั้งแต่ตอนนี้ ถ้าหากกรณ์ก้าวไปข้างหน้าในฐานะนักแสดงหรือนักออกแบบก็ดี เขาเองก็ควรจะมีบางสิ่งที่ทัดเทียมกัน

วันนี้ก็เหมือนกับตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา กรณ์ตื่นไปฝึกงานแต่เช้า การเป็นนักศึกษาฝึกงานทำให้กรณ์ผู้ตื่นยากกลายเป็นคนตื่นเช้าไปโดยปริยาย แถมไม่อิดออดต่อรองขอนอนต่ออีกด้วย มีบ่นนิดหน่อยตอนกลับมาว่าเหนื่อยและอ้อนขอกินขนม ระยะหลังมานี่กรณ์เริ่มติดขนมแต่ต้องเป็นขนมฝีมือของเขาเท่านั้น อุปกรณ์ทำเค้กที่ไปซื้อกับอคิราห์เมื่อคราวก่อนได้ใช้งานจริงๆ

พอทำงานบ้านเสร็จเขาก็กลายเป็นคนว่างงาน เพราะเป็นช่วงปิดเทอมนักศึกษาพากันกลับบ้าน เขาเองก็อยากกลับไปอ้อนพ่ออ้อนแม่บ้างเหมือนกันแต่ก็ไม่อยากทิ้งกรณ์ไว้คนเดียว อดรู้สึกผิดนิดๆ ที่ไม่ได้กลับบ้านในช่วงวันหยุดปีใหม่ ทว่าไม่มีใครว่า เพราะปีใหม่ที่เชียงใหม่วุ่นวายมาก รถเยอะกลัวว่าจะเกิดอันตราย แต่กำชับว่าถ้ากรณ์ฝึกงานเสร็จเมื่อไรให้พามาเยี่ยมบ้าง โดยเฉพาะช่วงนี้ที่อีกฝ่ายเหนื่อยมากเป็นพิเศษเลยอยากจะอยู่เป็นกำลังใจหรือทำอะไรเล็กๆ น้อยๆ ให้ แค่งานบ้านหรือทำสวนถึงจะโดนบ่นบ้างแต่ก็ยินดีและเต็มใจ

สวนเก่าที่บูรณะขึ้นมาใหม่ดูดีขึ้นไม่น้อยเลย รอให้ผ่านฤดูหนาวไปอีกหน่อยต้นไม้และดอกไม้ที่ลงมือลงแรงไปคงจะเบ่งบานชูช่อออกมาให้ได้เห็นกันบ้าง

แดดในตอนบ่ายอ่อนๆ ละมุนและอบอุ่นกำลังดี แต่อีกไม่ถึงเดือนจะเข้าสู่ฤดูร้อนอย่างแท้จริง ดนตร์ลุกขึ้นบิดไล่ความขี้เกียจ อีกหลายชั่วโมงกว่าจะได้เวลาทำมื้อเย็น วันนี้ไม่ต้องออกไปซื้อเพราะวันก่อนกรณ์พาไปเลือกซื้อจนหนำใจแล้ว ด้วยเหตุผลที่ว่า

‘ไม่อยากให้เจอรถไฟขบวนอื่นอีก’

ปลายเท้าเปล่าเปลือยขาวสะอาดจรดแผ่วเบาไปบนพื้นไม้ขัดมัน ยืนเก้ๆ กังๆ อยู่หน้าห้องทำงานส่วนตัวของกรณ์ เขาไม่ค่อยได้เข้าไปยุ่มย่ามสักเท่าไร เพราะเวลาทำงานกรณ์ไม่ชอบให้ใครกวนใจเว้นเสียแต่ว่าเจ้าตัวจะบอกเอง แต่ไม่รู้ทำไมวันนี้เขาถึงอยากเข้าไปในห้องนี้นัก พอลองขยับลูกบิดดูก็พบว่าไม่ได้ล็อค แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าอาจจะโดนบ่นจนหูชาแต่ความต้องการมันห้ามไม่ได้

ภายในห้องแทบไม่มีเฟอร์นิเจอร์อะไรเลย มีแต่โต๊ะทำงาน คอมพิวเตอร์ โคมไฟ โซฟาตัวยาว และกองสมุด ดินสอ ปากกา แบบร่างและอุปกรณ์ที่เกี่ยวกับการวาดรูป ออกแบบ ดนตร์ส่ายหัวเบาๆ เมื่อเห็นเศษยางลบตกเกลื่อนบนพื้นโต๊ะทำงาน เลยใช้มือปัดมันทิ้งลงถังขยะ พอเหลือบมองไปที่ถังขยะก็เจอกับก้อนกระดาษกลมๆ มากมาย เขาหยิบมันขึ้นมาคลี่ดูจึงได้รู้ว่าทั้งหมดคือแบบร่างที่กรณ์ทำเสีย

เขาไม่รู้ว่ามันผิดพลาดตรงไหนแต่ทุกอันล้วนแล้วแต่สวยงามและประณีต ลายเส้นโดดเด่นมีเอกลักษณ์ เขารีดกระดาษยับๆ พวกนั้นแล้ววางทับกันไว้ หากกรณ์ไม่ต้องการเขาก็จะเก็บมันไว้ ในสายตาคนอื่นมันเป็นแค่ขยะ แต่สำหรับเขาทุกลายเส้นที่เกิดจากฝีมือของกรณ์มันคือสิ่งของที่มีความหมาย

เขาลองนั่งบนเก้าอี้บุนวมหมุนได้ดู มันนิ่มและสบายพอสมควร รื้อดูโต๊ะทำงานอีกเล็กน้อยก็เจอกับสมุดเก่าๆ ลายการ์ตูนสมัยยังเป็นเด็กเล่มหนึ่ง หน้าแรกของเล่มมีชื่อเจ้าของเขียนติดอยู่ด้วย

‘ด.ช. กรณ์ อายุ 10 ปี ชั้น ป.4/1’

หน้าที่สอง

‘วันศุกร์ ที่ 9 กุมภาพันธ์ 2544 วันนี้เป็นวันเกิดของผมแต่.....’

คิ้วเรียวเลิกสูงเพราะข้อความที่เขียนมันมีแค่นั้น พอลองเปิดไปหน้าอื่นๆ ก็ไม่พบกับอะไรอีก มีเพียงหน้ากระดาษสีน้ำตาลเท่านั้น

สมุดเล่มนี้คงจะเป็นไดอารี่ของกรณ์ แต่เจ้าตัวกลับไม่บันทึกอะไรลงไปอีกนอกจากบอกวันที่เป็นวันเกิดครบรอบ lสิบขวบของตัวเอง

จู่ๆ มือก็คว้าปากกาที่เสียบอยู่แถวนั้นขึ้นมา สมองพลันประมวลเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แล้วมือก็ขยับตามที่สั่ง ข้อความจากลายมือของเขาปรากฏอยู่ในหน้าที่สองของไดอารี่

‘ผมเป็นผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง ที่มีความฝันไม่ต่างจากคนอื่น อยากเรียนจบมีงานทำ แต่งงานแล้วมีลูกสาวตัวเล็กๆ แล้วผมก็เลือกทำตามความฝันของตัวเอง ฝันของผมไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรแค่อยากจะเป็นนักแสดงหรืออะไรก็ได้เพื่อขจัดความขี้อายออกไป แต่มันไม่ง่ายเลยเพราะเมื่อผมได้มาเป็นนักศึกษาที่นี่ผมก็ต้องเจอกับคนที่ทำให้ผมกลายเป็นคนขี้อาย เก็บตัวและหลบซ่อนมากกว่าเดิม และเป็นคนที่เปลี่ยนแปลงความคิดและความรู้สึกของผมไปตลอดกาล

เขาเป็นรุ่นพี่ที่เป็นหนึ่งในคณะกรรมการคัดเลือกสมาชิกเข้าชมรมและเป็นผู้ชาย ตอนนั้นผมไม่รู้ว่าหัวใจตัวเองเป็นอะไร รู้แค่มันเต้นไม่เป็นจังหวะ เหงื่อไหลซึม มือเย็นไปหมด เพียงแค่ได้สบตากับเขาเท่านั้น แล้วผมก็ไม่กล้ามองหน้าเขาอีก แต่ผมจำชื่อที่อยู่บนหน้าอกของเขาได้ เขาชื่อ ‘กรณ์’ เป็นรุ่นพี่ต่างคณะ และหลังจากนั้นผมก็กลายเป็นคนโรคจิต หลบอยู่ในเงาและแอบมองเขาพร้อมกับเก็บข้อมูลของเขาไปด้วย กระทั่งวันหนึ่งพรพรหมอลเวงก็พาให้เขามาพบกับผมที่สนามบาสในฐานะคู่แข่ง

ทีมของผมแพ้แถมผมก็ได้แผลเพราะมัวแต่เหม่อจนล้มอย่างแรง เขาหาว่าผมสำออยอ่อนแอ ตอนนั้นผมน้อยใจเขาจนเก็บอาการไว้ไม่อยู่เลยเผลอทำปั้นปึ่งประชดประชันใส่ ผมเลยโดนเขาเกลียดขี้หน้าไปโดยปริยาย แต่จากวันนั้นผมกับเขาก็ได้เจอกันบ่อยขึ้น ทว่าสิ่งที่น่าตลกก็คือ เขาได้รับคัดเลือกให้เล่นเป็นพระเอกในหนังสั้นทั้งที่เรียนคณะสถาปัตย์ฯ ส่วนผมเรียนคณะนิเทศน์แท้ๆ แต่เป็นได้แค่เบ๊ของผู้กำกับ

ระหว่างการถ่ายทำผมถูกเขาแกล้งเพราะไม่ชอบหน้า แต่มีครั้งหนึ่งที่พี่อ้วนชนวีร์ให้โอกาสผมได้เป็นคู่ซ้อมให้เขาแทนลลิตา พระเจ้าครับ! หัวใจผมแทบหลุดจากขั้ว เขาหล่อเหลือเกิน หล่อจนน่าอิจฉา หล่อจนผมคิดว่าตัวเองเป็นนางเอกถึงแม้จะน่าอายแต่ผมรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ

ผมไม่เพียงแค่แอบชอบเขา แต่ผมตกหลุมรักเขาเข้าแล้ว!

ทว่าสวรรค์ไม่เมตตาคนบาปอย่างผมนัก คนหล่อระดับมหาวิทยาลัยอย่างเขาต้องมีคนรักที่เหมาะสมกันอยู่แล้ว หล่อนเป็นผู้หญิงที่สวยเหมือนตุ๊กตา เป็นคู่รักที่ทั้งมหาวิทยาลัยอิจฉา ผมได้แต่เฝ้ามองพวกเขาและเจียมตัวอยู่อย่างนั้น พยายามไม่เอาหน้าไปให้เขาเห็น แต่ก็เหมือนฟ้ากลั่นแกล้ง ผมกับเขามีสัมพันธ์บางอย่างที่ผูกมัดกันไว้ด้วยด้ายที่มองไม่เห็น

จากนั้นความสัมพันธ์แบบงงๆ ก็เกิดขึ้น เขาตามตอแยผมมากขึ้น เข้ามาวุ่นวายในชีวิตของผมมากขึ้น บางครั้งก็ทำเหมือนหึงหวง แต่บางครั้งก็ทำเหมือนรังเกียจ ผมเริ่มจะอ่อนไหวมากขึ้นเรื่อยๆ ขณะเดียวกันก็ยิ่งรู้สึกบาปมากกว่าเดิมเพราะไม่ใช่แค่มีความสัมพันธ์ต้องห้ามกับผู้ชาย แต่ผมกำลังจะทำร้ายผู้หญิงอีกด้วย ผมเลยตัดสินใจว่าควรจะหยุดเรื่องที่ผิดครรลองคลองธรรมนี้ซะ แต่แล้วก็เกิดอุบัติเหตุกับเขาโดยมีผมเป็นสาเหตุ รถของเขาพังยับเยินผมกลัวจนทำอะไรไม่ถูก ผมกลัวว่าเขาจะตายทว่าผมก็ใจดำไม่ไปเยี่ยมเขาเลยสักวัน ไม่ใช่ไม่ห่วงแต่ผมอยากจะเดินออกมาจริงๆ

แล้วก็เหมือนสวรรค์แกล้งอีกจนได้ เขาเลิกกับคนรักแล้วเลือกที่จะมาราวีผมแทน ผมไม่รู้หรอกว่าหัวเขาได้รับการกระทบกระเทือนจากวันที่รถคว่ำหรือเปล่า แต่เขาทำเหมือนกับ ‘ชอบ’ ผมจริงๆ หัวใจของผมมันพองเหมือนลูกโป่ง ใครจะไม่ดีใจกันล่ะ! จู่ๆ คนที่แอบชอบแอบรักมาทำท่าทางเหมือนจะมีใจกลับมา แถมบางครั้งก็ประกาศโต้งๆ ว่าผมคือคนของเขา แม้จะเขินจนแทบแทรกแผ่นดินหนีแต่ผมก็เลือกที่จะทำเป็นนิ่งเฉย ก็อย่างที่บอกผมมันคนขี้อาย

ผมกับเขามีช่วงเวลาที่ได้รู้จักกันมากขึ้น ได้เห็นมุมมองอีกด้านที่ไม่เคยเห็น ผมได้รู้ว่าแท้ที่จริงแล้วเขาเป็นคนใจดีมากแค่ไหน เขาช่วยผมทำรายงานในตอนที่ผมป่วย ถึงจะขี้เก๊กแต่ก็แอบตลก ผมชอบตอนเขาเพิ่งตื่นนอน ผมของเขาจะยุ่งเป็นรังนก แทบไม่เหลือมาดหนุ่มสุดเท่เลย แต่นั่นคือตัวตนจริงๆ ส่วนเขาเองจะชอบผมตรงไหนผมก็ไม่เคยได้ถาม ออกจะงงๆ สับสน ทว่ามันก็ดำเนินมาจนถึงตอนนี้

สิ่งที่เขาทำให้ผมประทับใจ มีมากจนนับนิ้วไม่ถูก เขาช่วยชีวิตผมถึงสองครั้งโดยไม่คำนึงถึงตัวเอง เขากล้าหาญ มั่นใจในสิ่งที่เลือก เขายอมทำตามใจบิดาเพื่อให้ได้รักกับผม โชคดีที่ครอบครัวของพวกเรายอมรับได้ แม้จะไม่ใช่ทั้งหมดแต่อย่างน้อยเราก็รักกันได้โดยไม่ต้องปิดบังใคร

ความรักของเราเรียบง่าย เหมือนคู่รักทั่วไป แค่เราต่างก็เป็นผู้ชายทั้งคู่เท่านั้นเอง จนถึงตอนนี้ผมก็ยังมั่นใจว่าตัวเองเป็นผู้ชาย ไม่ได้เบี่ยงเบนอยากเปลี่ยนเพศแต่ก็ไม่คิดจะมีคนรักเป็นต่างเพศอีก เพราะผู้ชายที่ชื่อกรณ์ได้ตอบโจทย์คนรักที่ผมต้องการไว้หมดแล้ว…แค่มีเขา ต่อให้ไม่มีอากาศผมก็อยู่ได้’

(มีต่อ)

ออฟไลน์ libra82

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 285
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +236/-5
“แค่มีเขา ต่อให้ไม่มีอากาศผมก็อยู่ได้” เสียงทุ้มดังที่เหนือศีรษะทำให้ต้องรีบปิดสมุดไดอารี่ แต่ดูเหมือนว่าจะช้าไปแล้วเพราะประโยคสุดท้ายที่เพิ่งเขียนเสร็จไปถูกคนด้านหลังอ่านไปแล้ว “ทำอะไร…นั่นมันสมุดไดอารี่ของฉันนี่”

“เปล่า” ผมปฏิเสธ ซึ่งมันช่างโง่เง่าสิ้นดี ในเมื่อสมุดกับปากกายังคามืออยู่

กรณ์ถอยกายห่างออกไปเล็กน้อย ร่างสูงยืนกอดอกเอียงคอมอง ใบหน้าหล่อซูบซีดลงเพราะพักผ่อนไม่เพียงพอ ขอบตาคล้ำ ริมฝีปากแห้งกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด

ดนตร์ลุกจากเก้าอี้ เพราะกรณ์นั่นเองเลยรู้ว่าเวลานี้มันเย็นมากแล้ว แสงแดดรำไรที่ส่องกระทบกับใบไม้สีอ่อน สวนนอกบ้านเริ่มเห็นเป็นรูปเป็นร่าง ดอกไม้ต้นน้อยที่ไปซื้อมาแล้วลงมือปลูกด้วยตัวเองกำลังตั้งต้นชูช่อมีใบเลี้ยงผลิออกมาให้เห็นบ้างแล้ว ยอดหญ้าเปลี่ยนสีจากสีน้ำตาลเป็นสีเขียวอ่อน แม้ว่าจะไม่ได้สวยเหมือนสวนในฝันแต่ก็มองแล้วสบายตา ถึงตอนปลูกจะถูกเอ็ดว่าไร้สาระทว่าตอนนี้ใครบางคนก็เปรยว่าอยากจะหาต้นไม้มาเพิ่มอีก

ทุกอย่างมันกำลังเดินไปข้างหน้า พัฒนาไปทีละก้าวไม่เร่งรีบ ค่อยเป็นค่อยไป มือที่จับไว้มันแน่นขึ้นทุกวัน เช่นเดียวกับสายใยของความรักที่ถักทอจากด้ายเส้นเล็กจนตอนนี้กลายเป็นเกลียวเชือกเส้นใหญ่

กรณ์เหนื่อย...เขารู้

มือเรียวอุ่นยกขึ้นประคองข้างแก้มสาก ดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะละเลยการโกนหนวดมาหลายวัน ตอแข็งๆ เลยผุดจากสันกรามและลูกคางเป็นเคราเขียวครึ้ม แต่ถึงอย่างนั้นความดูดีไม่ได้ลดลงเลย กลับมีเสน่ห์ไปอีกแบบ สีหน้าดูเหนื่อยล้าก็จริงทว่าแววตาเป็นประกายสุกใส กรณ์เอียงแก้มรับ พร้อมกับจูบเบาๆ ที่กลางฝ่ามือ

“เหนื่อยไหมที่ต้องรักผม เหนื่อยไหมที่ต้องรักผู้ชาย เหนื่อยไหมที่ต้องอดทนต่อสายตาคนรอบข้าง เหนื่อยไหมที่ต้องพาผมไปรู้จักคนในครอบครัว เหนื่อยไหมที่ต้องปกป้องผม....แต่ถ้าวันไหนพี่เหนื่อย พี่บอกผมมานะครับ แล้วผมจะเป็นฝ่ายทำให้พี่บ้าง ผมจะปกป้องพี่ ทำเพื่อพี่ และจะรักพี่ไปจนกว่าจะไม่มีแรงหายใจ”

“เห็นฉันเป็นพวกอ่อนแออย่างนั้นเลยหรือไง”

“เปล่าครับ” ดนตร์สั่นศีรษะ “ผมแค่อยากจะบอกกับพี่ว่าผมรักพี่”

กรณ์อมยิ้ม รวบมือเอาไว้แล้วพรมจูบที่ปลายนิ้วทีละนิ้ว ขณะที่ดวงตาจับจ้องมองตรงมา ภาพของตัวเองที่สะท้อนในนั้นทำเอาหัวใจสั่นไหว แรกเริ่มเขาหลงรักผู้ชายคนนี้เพราะรูปลักษณ์ภายนอกไม่ต่างจากคนอื่นๆ ทว่าเมื่อเวลาผ่านไป ได้รู้จักนิสัยใจคอ ข้อเด่น ข้อด้อย นั่นกลับยิ่งทำให้เขายิ่งรักกรณ์มากกว่าเดิม ถึงตอนนี้ต่อให้กรณ์กลายเป็นคนที่ขี้เหร่ที่สุดในโลกเขาก็รัก

เขารักทุกอย่างที่หล่อหลอมเป็นกรณ์

“ทำไมอยู่ดีๆ ถึงปากหวานขึ้นมาได้” ริมฝีปากอุ่นหยุดที่ปลายนิ้วก้อย ขยับเท้าเข้าใกล้จนระยะห่างระหว่างร่างเหลือไม่ถึงคืบ ลมหายใจเป่ารดใส่กัน กลิ่นกายที่คุ้นชิน ไออุ่นที่คุ้นเคย ตั้งแต่เมื่อไรกันที่รู้สึกว่าไม่อาจขาดสิ่งเหล่านี้ไปได้...รักเหลือเกิน

“ผมไม่อยากให้พี่เลิกรักผม พี่ห้ามเลิกรักผมเด็ดขาด เหนื่อยได้แต่ห้ามเลิกรัก สัญญานะ”

“แล้วใครบอกว่าเหนื่อย” กรณ์ยิ้มละมุน ปล่อยมือจากนิ้วเรียวแล้วเปลี่ยนเป็นรั้งต้นคอขาวเอาไว้แทน ใบหน้าของทั้งคู่อยู่ห่างแค่ลมหายใจกั้นเท่านั้น “สิ่งที่ฉันทำคือสิ่งที่ฉันรัก ไม่มีใครเหนื่อยหรอกถ้าได้ทำในสิ่งที่รัก”

“รวมถึงรักผมด้วยใช่ไหม”

“นั่นน่ะอันดับแรกเลย” จมูกโด่งกดลงบนหน้าผากเนียน ไล่เรื่อยจนถึงปลายจมูก แล้วจึงเคลื่อนไปที่ปรางแก้มใส “ฉันรักนาย นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันรู้สึกถึงความรักจริงๆ รักโดยไม่มีข้อแม้หรือเงื่อนไขใดๆ รู้ไหมนายเป็นคนแรกเลยนะที่ฉันพาไปที่บ้าน แล้วก็เป็นคนแรกที่คุณย่าไม่บ่นฉันเรื่องแฟน”

“ทำไมล่ะครับ”

กรณ์คลี่ยิ้มหวานทั้งที่ยังหาเศษหาเลยอยู่กับแก้มนุ่ม “ย่ากลัวว่าจะเหมือนแม่ ท่านบอกว่าฉันนิสัยเหมือนพ่อ ท่านกลัวว่าผู้หญิงพวกนั้นจะเสียใจถ้าต้องมาเป็นแฟนกับคนอย่างฉัน แต่พอฉันเล่าเรื่องนายท่านถามฉันแค่ว่าฉันรักนายไหม พอฉันบอกว่ารัก ท่านก็ไม่ถามอะไรอีก แถมยังเร่งให้พานายไปหาด้วย ท่านชอบนายนะ”

“ผมก็รักท่านครับ” ดนตร์บอก คุณย่าแก้วทำให้เขารู้สึกเหมือนได้พบคุณยายที่จากไป “เอ่อ...มีอีกคนที่ผมอยากรู้จัก ผมถามถึงท่านได้ไหม”

คิ้วหนาเลิกขึ้น “ใคร?”

“.......เอ่อ...คุณแม่ของพี่...ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ผม...”

“ได้สิ”

มือหนาสอดรัดรอบเอวก่อนจะเกี่ยวกอดพากันไปที่โซฟากลางห้อง

ภายในบ้านเริ่มมืดจากแสงที่น้อยลง เงาสีดำของคนสองคนทาบกับผนังห้อง น่าแปลกที่ไม่มีใครสนใจที่จะเปิดไฟกลับชอบแสงสีส้มสลัวๆ จากธรรมชาติมากกว่า

กรณ์หย่อนสะโพกลงนั่งก่อนแล้วค่อยรั้งอีกร่างนั่งบนตักตัวเอง โดยให้อีกฝ่ายหันหน้าเข้าหา สองขากางคร่อมหน้าขา มือขาวยกคล้องไว้ที่ต้นคอ แม้ดนตร์จะไม่ใช่เด็กชายตัวน้อยแต่น้ำหนักแค่นี้เขาก็สามารถรองรับได้อย่างสบายๆ อย่าว่าแต่นั่งตักเลยต่อให้อุ้มก็ทำได้

“อยากรู้อะไรเกี่ยวกับแม่ฉันล่ะ ถามมาได้”

“คือ...” คนบนตักอึกอัก ขยับสะโพกกลมแน่นบนหน้าขาไปมา “ผมอยากรู้ว่าแม่ของพี่จะชอบผมไหม”

“หึ เด็กโง่” กรณ์ใช้นิ้วดีดไปที่หน้าผากหนึ่งเปาะ ช่วงนี้ผมของดนตร์ยาวลงมาปรกหน้าผากแล้ว เขาเอื้อมมือคว้าหนังยางแถวๆ นั้นมาแล้วรวบปอยผมไว้หนึ่งกระจุกก่อนจะใช้หนังยางมัดมันไว้ ดวงหน้าผ่องดูใสสว่างขึ้นมาบ้าง แถมทรงผมต๊องๆ ยังช่วยให้อ่อนเยาว์ลงไปอีกหลายปี เหมือนมีแฟนเป็นเด็กหนุ่มอายุสิบหกไม่มีผิด “จะชอบหรือไม่ชอบก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร แค่ฉันชอบนายก็พอแล้ว แต่ถ้าไม่สบายใจจะบอกให้ก็ได้ว่าแม่น่ะรักฉันที่สุดในโลก ฉันรักใครแม่ก็จะรักด้วย เอาไว้ฝึกงานเสร็จฉันจะพานายไปหาท่าน”

“จริงหรือครับ” เด็กตาตี่ทำตาโตแล้วก็หรี่ลงเหลือเท่าเดิม “ว่าแต่แม่ของพี่อยู่ที่ไหนหรือครับ”

“อเมริกา”

“ห๊ะ!” คราวนี้ตาเบิกกว้างกว่าเดิม ทั้งตลกทั้งน่ารัก

“หูหนวกหรือไง” เขาดึงไปที่ติ่งหูเล็กๆ หนึ่งที “อเมริกา”

“ไกลจังเลย ให้แม่พี่มาที่นี่ไม่ได้หรือ”

“ทำไมถึงต้องให้คนแก่อายุห้าสิบกว่านั่งเครื่องนานๆ ด้วยล่ะ”

ดนตร์ขยับตัวอีกหน ท่อนขาเรียวยกสูงจนขากางเกงร่นไปถึงไหนต่อไหน วันนี้อากาศอบอุ่นขึ้นเด็กดื้อเงียบเลยแต่งตัวเปิดเผยเนื้อตัวมากกว่าปกติ เสื้อยืดตัวเก่าเป็นของทิ้งแล้วจากเขาและกางเกงบ๊อกเซอร์สีตุ่นๆ เสื้อดูจะหลวมเกินไปหน่อยเพราะคอมันเลื่อนต่ำลงมาถึงหัวไหล่ อวดผิวขาวโดยไม่ได้ตั้งใจ ส่วนขานั้นไม่ต้องพูดถึง ดนตร์เป็นผู้ชายที่มีเรียวขาสวยยิ่งกว่าผู้หญิงบางคนเสียอีก แถมยังไม่มีไรขนให้ขุ่นเคืองตาอีกด้วย

วันนี้ดนตร์ทำตัวน่ารักผิดปกติ จากเด็กไม่ค่อยพูดขี้อายกลายเป็นเด็กขี้อ้อนเสียอย่างนั้น แต่ก็น่ารักน่าฟัดอย่าบอกใคร เจ้าตัวไม่รู้หรอกว่าเขาแอบมองมือขาวๆ ตวัดปลายปากกาลงหน้ากระดาษมาพักใหญ่แล้ว และได้อ่านข้อความพวกนั้นตั้งแต่ต้นจนจบ มันเหมือนเรียงความในอดีตเล่าถึงเหตุการณ์ที่ประทับใจผ่านตัวหนังสือไม่กี่หน้า แต่ที่ทำให้หัวใจพองคับอกคือข้อความพวกนั้นมันเกี่ยวกับตัวเขาทั้งสิ้น ตั้งแต่วันแรกที่เจอกันจนถึงวันนี้

แต่อีกอย่างที่ดนตร์ไม่รู้ก็คือความรู้สึกของเขาที่มีต่อเจ้าตัวในวันแรกที่ได้พบกัน ตอนนั้นเขาทำหน้าที่เป็นกรรมการคัดเลือกเด็กปีหนึ่งเข้าชรมภาพยนตร์แทนชนวีร์ ตอนนั้นมีเด็กปีหนึ่งมาสมัครหลายคน แต่เขากลับจำได้แค่เด็กใส่แว่นท่าทางเห่ยๆ คนหนึ่งเท่านั้น เด็กผู้ชายท่าทางซื่อๆ ที่มองสบตาเขาแค่ครั้งเดียว จากนั้นก็หายไป เขาไม่รู้จักชื่อเด็กคนนั้น แต่ไม่รู้ทำไมถึงได้ชอบมองหากระทั่งวันหนึ่งชนวีร์ก็พาเด็กคนนั้นมาที่สนามบาสในฐานะทีมของคู่แข่ง

พวกเขาได้แข่งบาสด้วยกัน เด็กตัวสูงไม่มากสวมแว่นเล่นบาสเก่งไม่น้อย ถึงจะสูงสู้คนอื่นไม่ได้แต่กลับเคลื่อนไหวได้รวดเร็ว เขาจับจ้องเด็กคนนั้นในทุกๆ อิริยาบถแม้แต่ตอนที่ล้มจนได้แผลนั่นก็ด้วย แต่ก็ไม่ได้ให้ความช่วยเหลือแถมนิสัยปากเสียยังทำให้โดนเกลียดขี้หน้าไปโดยปริยาย ถึงอย่างนั้นเขาก็คอยแต่มองหาเด็กคนนั้นอยู่ดี

ไม่ได้มีแค่เขาเท่านั้นที่เกิดสนใจเด็กแว่นหนาจอมอวดดีแต่เพื่อนรักทั้งสองก็ด้วย อริญชย์และธาวินแสดงความต้องการออกมาอย่างไม่ปิดบัง แถมยังกล้าประกาศว่าชอบอย่างไม่ห่วงสายตาคนรอบข้าง ขณะที่เขาเองที่รู้สึกไม่ต่างกันกลับกล้าๆ กลัวๆ ไม่ใช่เพราะกลัวว่าสังคมจะรับไม่ได้หากแต่ในตอนนั้นเขายังมีคนรักอยู่ และไม่อยากทำร้ายเธอโดยที่เธอไม่ได้มีความผิดอะไร ทว่าหัวใจมันเล่นตลกกับความรู้สึก ยิ่งนานวันเขายิ่งถอนสายตาจากเด็กคนนั้นไม่ได้ และในที่สุดก็เผลอทำเรื่องเลวร้ายลงไป แม้เจ้าตัวจะปฏิเสธการรับผิดชอบ แถมยังคอยหนีหน้าด้วยซ้ำแต่เขาก็ไม่ยอมลดละความพยายาม แน่นอนว่ามันไม่ใช่แค่ต้องการรับผิดชอบทว่าเพราะความรู้สึกในก้นบึ้งของหัวใจด้วย เขาชอบเด็กคนนั้นเข้าแล้วจริงๆ

เวลาผ่านไปความรู้สึกยิ่งชัดเจน ก่อนหน้านี้เขาเคยคบกับผู้หญิงมาบ้าง แต่มันไม่เคยเลยที่จะรู้สึกรุนแรงมากขนาดนี้ เขาทั้งต้องการ และหึงหวง มีสภาพไม่ต่างจากมดแดงแฝงพวงมะม่วง ทว่าก็ยังทำอะไรไม่ได้มากอยู่ดีเพราะเขายังไม่เลิกรากับคนรัก กระทั่งวันที่ประสบอุบัติเหตุ เขาถึงได้ตัดสินใจเด็ดขาด เขาเลือกเด็กคนนั้นแทนคนรักเก่า เขาทำร้ายหัวใจของเธอและได้แผลเป็นที่ขมับมาเป็นผลตอบแทน แต่ก็นับว่าเป็นการแลกเปลี่ยนที่คุ้มค่า เขามีความกล้าที่จะทำตามหัวใจตัวเอง และไม่สนใจว่าใครจะมองอย่างไร ในเมื่อมันคือเสียงของหัวใจก็ไม่จำเป็นต้องฟังเสียงอื่นอีก

“รักฉันให้มากๆ นะ”

“ครับ?” คนบนตักเอียงคอมอง เปลือกตาบางกะพริบรัวๆ

“ก็ถ้านายรักฉันมากเท่าไร ฉันก็จะรักนายมากเท่านั้น”

“ไม่ครับ” เด็กดื้อเงียบส่ายหัว “เพราะผมจะรักพี่มากกว่านั้น”

กรณ์ยิ้มกว้าง กดจมูกไปบนแก้มนุ่มหนักๆ ทั้งสองข้าง “อ้อนขนาดนี้จะเลิกรักได้ยังไง”

ดนตร์หน้าแดง ซุกหน้าซบลงบนหัวไหล่ “ผมรักพี่ ตั้งแต่วันแรกที่เจอหน้าเลย”

“อืม...รู้แล้ว”

ศีรษะเล็กผงกขึ้น “พี่รู้ได้ยังไง! แอบอ่านที่ผมเขียนใช่ไหม” ริมฝีปากสีแดงยู่ขึ้นจนเกือบชิดปลายจมูก

“ก็นะ..” เขายักไหล่ “ที่จริงมันก็ไม่แปลกหรอก ฉันมันหล่อใครๆ ก็ชอบทั้งนั้น”

“เพิ่งรู้ว่ามีแฟนหลงตัวเอง”

“แล้วจริงไหมล่ะ”

“จริง!” ดนตร์กระแทกเสียงตอบ “แต่ตอนนี้ถึงพี่ไม่หล่อ หรือเป็นขอทานข้างถนนผมก็รักพี่”

กรณ์ไม่รู้ตัวหรอกว่าตอนนี้ริมฝีปากมันฉีกกว้างขนาดไหน ในอกอุ่นซ่านไปหมด สองมือโอบประคองร่างบนตักเอาไว้ เพิ่งได้รู้ว่าการที่ได้รักใครสักคนโดยได้ความรักตอบกลับมามันจะรู้สึกดีมากขนาดนี้นี่เอง

“ไอ้เด็กขี้อ้อนเอ๊ย”

“แล้วถ้าผมอยากทำให้พี่เหนื่อยล่ะ พี่จะทำยังไง” จู่ๆ เด็กขี้อ้อนบนตักก็เปลี่ยนประเด็น กรณ์เลิกคิ้วมอง

“จะทำอะไรล่ะ”

“ก็...ทำแบบนี้”

สะโพกอิ่มเคลื่อนสูงขึ้นจนบางอย่างที่ซ่อนอยู่ในกางเกงบ๊อกเซอร์สะกิดถูกเป้ากางเกง ไอ้เจ้าเด็กตัวดีนี่กำลังหาเรื่องเหนื่อยเองเสียมากกว่า สำหรับเขาต่อให้ ‘ทำ’ ข้ามวันข้ามคืนก็สะกดคำว่าเหนื่อยไม่เป็นหรอก ห่วงก็แต่อีกคนที่ทำเป็นปากดีแต่สุดท้ายเห็นนอนสลบเป็นตายทุกที

“ใครกันแน่ที่จะเหนื่อย” เขาหรี่ตามอง พลางสอดมือหายเข้าไปในชายเสื้อยืดตัวเก่า จำได้ว่าโยนมันทิ้งไปแล้วแต่เด็กนี่กลับเก็บมาใส่อีก แต่ก็ดีเหมือนกันผ้าบางๆ อยู่บนกายขาวๆ มันเข้ากันดีไม่ยอก ผิวกายอ่อนนุ่มตกอยู่ใต้ฝ่ามือ เขาลูบเลยขึ้นไปสูงถึงรอยต่อระหว่างหัวไหล่ แล้วเลื่อนต่ำลงมาที่เนินบั้นท้ายเนียน ดนตร์ขยับสะโพกสูงขึ้นราวกับจะเชิญชวนกัน

กรณ์กดยิ้มที่มุมปาก ความขี้อายของเจ้าเด็กดื้อกำลังหายไปทีละนิด แต่จะโทษใครได้ในเมื่อเขาเป็นคนสอนมาเองกับมือ การแสดงความรักกับคนที่รักไม่ใช่เรื่องผิดอะไร ภาษากายบางครั้งก็สำคัญกว่าคำพูด เขาก้มลงจูบที่ซอกคอขาว กลิ่นหอมเฉพาะตัวยังคงเอกลักษณ์ไว้เหมือนเดิม กลิ่นน้ำนมอ่อนๆ ที่แม้แต่เจ้าตัวเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเพราะอะไร เคล้าด้วยกลิ่นสบู่ที่เจือจางลงไปมากแล้วแต่ก็ยังหลงเหลือติดผิวอยู่บ้าง ริมฝีปากดูดเม้มฝากฝังร่องรอยแห่งการเป็นเจ้าของไว้แถวๆ นั้น ดนตร์ครางเบาๆ เอียงคอเปิดทางให้เขาอย่างน่ารัก

มือหนาขยำหนักๆ ลงไปบนบั้นท้ายกลม ส่วนหน้าของดนตร์มีปฏิกิริยามากกว่าเดิม มันเสียดสีถูไถกับของเขา ร่างเล็กกว่าบนตักหายใจไม่เป็นจังหวะ มือเหนี่ยวรั้งต้นคอแน่นขึ้นเรื่อยๆ แก้มขาวแดงระเรื่อด้วยเลือดฝาด ถึงตอนนี้ดนตร์ควรกลับคำ เพราะคนที่เหนื่อยไม่ใช่เขาแน่นอน

เสื้อตัวบางถูกถอดออกทางศีรษะ ปล่อยให้ร่างกายท่อนบนเปล่าเปลือยอวดผิวขาวผ่องละเอียด เม็ดทับทิมสีแดงสองเม็ดดูโดดเด่นบนผิวขาว ป้านฐานรอบๆ มีตุ่มเล็กๆ ผุดขึ้น กรณ์ใช้นิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้บดขยี้ที่ปลายถันจนมันแข็งชันก่อนจะก้มลงลิ้มลองรสหวาน เขาดูดกลืนพร้อมกับตวัดปลายลิ้นหยอกล้อ ดนตร์ครางกระเส่า สะโพกขยับบดเบียดเย้ายวน กระทั่งมันบวมเป่งถึงได้ยืดตัวขึ้นแล้วป้อนจูบหวานให้แทน

เรียวลิ้นทั้งสองเกี่ยวกระหวัดผลัดกันรุกไล่ เสียงชื้นแฉะดังขึ้นแทรกเสียงลมหายใจกระเส่า ดนตร์ช่วยเขาถอดเสื้อด้วยความเร่งร้อน ริมฝีปากผละออกจากกันแค่ตอนที่ต้องเอาเสื้อออกจากร่างกายเท่านั้น เด็กดื้อเบียดเนื้อตัวเข้ามาชิด มือเลื่อนจากต้นคอไล่ไปตามแขนและลำตัว แบ่งปันความเร่าร้อนผ่านการลูบไล้ ขณะที่บั้นท้ายขยับขึ้นลงไม่หยุด เขาพรมจูบไปทั่วผิวขาว สร้างรอยแดงสีกุหลาบไว้ทั่วทุกที่แต่เจ้าตัวก็ไม่เอ่ยปากห้าม กางเกงบ๊อกเซอร์ปลิวไปตกกองรวมกับเสื้อยืดตัวเก่าตามด้วยชั้นในสีขาว แค่ชั่วอึดใจดนตร์ก็เปลือยทั้งร่างแต่ท่านั่งยังคงเหมือนเดิม

“จะลงข้างล่างไหม” เขาถามด้วยห่วงว่าเจ้าเด็กจอมอวดดีจะเหนื่อยเสียก่อนจบบทแรก แต่ดนตร์ส่ายหัว

“ผมจะทำเอง”

“แน่ใจ?”

“อื้ม!” เจ้าตัวพยักหน้าหนักแน่น แล้วเคลื่อนมือไปมาที่หน้าตัก จัดการปลดตะขอกางเกงพร้อมรูดซิปลง กรณ์โหย่งสะโพกขึ้นเพื่ออำนวยให้อีกฝ่ายกำจัดอาภรณ์ได้สะดวกขึ้น ไม่นานส่วนหน้าก็หลุดจากพันธนาการ เขาเหลือบมองคนบนตักอีกหน คราวนี้หน้าของดนตร์แดงยิ่งกว่ามะเขือเทศสุกเสียอีก “ทำ...ทำไมถึงใหญ่นัก”

“ก็ตามตัว” เขาตอบให้ถึงจะรู้ว่านั่นเป็นแค่การพึมพำก็ตาม

ดนตร์เม้มปากเป็นเส้นตรงก่อนจะใช้มือรูดรั้งให้ แค่ความอ่อนนุ่มของฝ่ามือเขาก็สะท้านไปทั้งตัว ยิ่งตอนมันรูดขึ้นไปตามแนวยาวเคล้นเคล้าเบาๆ ที่ส่วนปลาย เขาเสียวแทบขาดใจ ดนตร์ขยับมืออีกสองสามทีมันก็พร้อมออกรบเต็มที่

ร่างโปร่งยืดกายขึ้นเล็กน้อย แล้วเอื้อมมือไปด้านหลังจุ่มจ้วงปลายนิ้วเปียกลื่นเข้าสู่ร่างกายของตัวเอง ความคับแน่นทำให้ใบหน้าน่ารักเหยเก แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ถอดใจพยายามจนความฝืดเคืองลดลงจนนิ้วเคลื่อนไหวได้ง่ายขึ้น จากหนึ่งนิ้วไปเป็นสองนิ้วและสาม ตลอดเวลาที่นิ้วทั้งสามขยับอยู่ในกายตัวเองนั้น ดวงตาคมกริบของกรณ์ก็จับจ้องไม่ว่างเว้น ความเสียวเสียดทวีสูง เขาไม่เคยเห็นดนตร์มีท่าทางร้อนแรงขนาดนี้มาก่อน ทำทุกอย่างด้วยตัวเองแม้แต่ตอนเบิกทาง

“อื้อ...แน่น อ๊ะ เสียว”

กรณ์กัดฟันกรอด เสียงครางสลับกับคำบอกถึงอาการไม่ต่างจากเชื้อเพลิงชั้นดี ยิ่งสีหน้ากึ่งทรมานกึ่งสุขสมนั่นยิ่งกระตุ้นให้เส้นความอดทนขาดผึง

เขาไม่สนใจแล้วว่าช่องทางนั้นมันจะพร้อมแล้วหรือยัง กรณ์กระชากนิ้วทั้งสามนั้นออกแล้วดันสะโพกเข้าหา ความใหญ่โตทะลุผ่านเยื่อบุน้อยๆ ไปทีเดียวสุดทาง! ดนตร์สะดุ้งเฮือกพยายามจะดิ้นรนหนี แต่เขายึดเอวคอดเล็กไว้เสียก่อนแล้วจับมันกดลง ตอกเนื้อร้อนให้เข้าลึกกว่าเดิม แล้วกดแช่อยู่อย่างนั้น ไอร้อนแผ่ซ่านไปทั่วหน้า หูอื้อ ตาลายกับความต้องการที่มากล้นจนเกินควบคุม

“พี่กรณ์! อื้อ มันเจ็บนะ!”

“นายยั่วฉันเอง รับรองคืนนี้นายกับฉันได้เหนื่อยสมใจแน่”

กรณ์สวนสะโพกขึ้นแล้วผ่อนออก ช้าเนิบนาบในนาทีแรก จนเมื่อความคับแน่นคลายตัวลงจังหวะรักเลยเร็วขึ้น ดนตร์กลับมาตอบสนองได้อีกครั้ง กล้ามเนื้อตอดรัดอย่างบ้าคลั่ง เยื่อเมือกอ่อนห่อหุ้มช่วยทำให้การเคลื่อนไหวง่ายกว่าเดิม ส่วนหน้าของดนตร์ตั้งชันโดยไม่ต้องปลุกเร้า ก้นกลมตีกับหน้าขาเป็นเสียงดัง สองแขนเกาะเหนี่ยวหัวไหล่เอาไว้ ใบหน้าน่ารักแหงนเงยไปด้านหลัง เขาก้มลงดูดกลืนยอดอกตรงหน้าอีกครั้ง สลับกันทั้งสองข้าง ดนตร์หวีดร้องเสียงดังอย่างลืมอาย พลางขย่มสะโพกเข้าใส่อย่างลืมเจ็บด้วยเช่นกัน

ภายในบีบรัดแน่นขึ้นเรื่อยๆ บางครั้งส่วนปลายก็เลื่อนไถลไปถูกจุดอ่อนไหว ดนตร์ยิ่งร้องดังกว่าเดิม ตัวสั่นไปหมด สิ้นเรี่ยวแรงเสียเดี๋ยวนั้น เดือดร้อนเขาที่ต้องเร่งเร้าจังหวะแต่เพียงผู้เดียว เด็กดื้อตัวอ่อนซวนซบลงมาที่หัวไหล่ ปล่อยให้เขากำกับลีลารักเอง แต่พอมีแรงก็ช่วยขย่มกลับ ดนตร์บิดกายไปมา เนื้อร้อนด้านหน้าแดงก่ำ เขาเลื่อนมือไปช่วยรูดรั้ง แต่ไม่กี่ทีสายธารสีขาวก็พวยพุ่ง เปรอะเปื้อนถึงคางมน กรณ์ใช้ลิ้นตวัดกลืนลงไปอย่างไม่คิดรังเกียจ ขณะเดียวกันก็รัวสะโพกใส่ไม่หยุด หน้าท้องปวดเกร็งไปด้วยความต้องการที่อัดแน่น จากนั้นไม่กี่อึดใจลาวาขุ่นก็หลั่งรดรินเนื้ออ่อน ดนตร์สะท้านครั้งแล้วครั้งเล่าไม่ต่างกับเขา เสียงครางยังสะท้อนอยู่ในแก้วหู พวกเขาผวาเข้ากอดกันแน่น ต่างก็รู้ดีว่าบทรักยังไม่จบลงง่ายๆ …

ไม่ว่าเส้นทางแห่งรักนี้จะมีจุดสิ้นสุดเป็นอย่างไร แต่สองมือที่กุมกันไว้จะไม่มีวันปล่อยจากกันแน่นอน ต่อให้หนทางข้างหน้าจะยากลำบากกว่าที่เคยพบเจอก็จะไม่หวาดหวั่น แค่ขอให้เชื่อมั่นในกันและกัน ไม่เหนื่อยที่จะรัก แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว...

                                                           ..................The End………………

 :mew6: จบแล้วค่ะ ขอบคุณสำหรับการติดตามนะคะ
สุดท้ายฝากแบบรูปเล่มด้วยนะคะ มีตอนพิเศษสำหรับอีกสามคู่ที่เหลือและตอนพิเศษของกรณ์และดนตร์ นะคะ
1.อริญช์+พระนาย
2.ธาวิน+จันทร์ทิวา
3.นักรบ+เมธัส
คิดว่าน่าจะวางขายในช่วงงานฟิคในเดือนพฤศจิกายนนะคะ




CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4991
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
 :pighaun:
จบได้หวานแต่เรียกเลือดมากๆๆๆ

 :pig4:

ออฟไลน์ Supparang-k

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1908
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-3
งื้อออออ...ช่างเป็นตอนจบที่ร้อนแรงเว่อร์ 

ออฟไลน์ pamhicc

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 264
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
พี่กรณ์ก็หื่นยันตอนสุดท้าย 5555555555
ขอบคุณมากนะคะ สนุกๆๆๆ

ออฟไลน์ zuu_zaa

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2003
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +115/-1

ออฟไลน์ KARMI

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-2

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ $VAN$

  • Moderator
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1738
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +307/-6
สนุกมากค่ะ กรณ์ตอนแรกๆร้ายกับเพลงมาก แต่พอรู้ตัวว่าชอบเพลงแล้วก็แสดงชัดไปหมดว่ารักว่าหวงว่าหึง และหลงหัวปักหัวปำไปเลย มันดีอ่ะ ชอบๆ

บวกๆจ้า^^

ออฟไลน์ jing_sng

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 761
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-1
อ่านช่วงแรก คุ้นมาก อ่านต่อไป เอ้ยก๊อปหรือเปล่า เตรียมจะไปฟ้องคนเขียนกันเลยทีเดียว จนมาอ่านคำชี้แจง โอเค คนเขียนบอกว่าแปลงมาจากฟิคเรื่องหนึ่ง ชัดเลย
แม้นจะรู้สึกประดักประเดิด(เขียนถูกไหมเนี้ย) จากดอกเหมยเป็นดอกจำปี ก็มองๆ ผ่านไป เอาจริงๆ ก็ไม่ได้อ่านละเอียดเพราะอ่านฉบับเดิมมาสัก2 รอบได้

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ КίmY

  • BJYX♥
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1714
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-3
แซ่บกันจริงๆ  :hao6:
 :L2: :pig4: :pig4: :L2:

ออฟไลน์ บีเวอร์

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 392
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1

ออฟไลน์ twinmonkey0311

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5480
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +110/-9

ออฟไลน์ elfeleves

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
เกิดความสงสัยจนทนไม่ได้ต้อง เพลงรักกรณ์ที่ตรงไหน ... ไม่ได้มีความดีงามสักนิดเดียว ถ้าจำไม่ผิดตอนแรกๆ บอกว่าชอบเพราะหน้าตาดี ถ้าเหตุผลแค่นี้ มันทำให้เป็นรักฝังใจได้ด้วยเหรอ

ส่วนกรณ์ ไม่รู้จะหาคำไหนมาด่าได้ บอกได้คำเดียว เลว (เกินบรรยาย)

ส่วนวีร์จะให้กรณ์รับผิดชอบ รับยังไง
ถ้าให้เป็นแฟน ไม่เห็นด้วย กรณีถ้ากรณ์ไม่ได้รักเพลง แค่ความผิดพลาดแค่ครั้งเดียว ต้องให้เพลงทุกข์ไปทั้งชีวิตเหรอ แล้วยาหยีเอาไปไว้ไหน (กรณีนี้ she ไม่ได้ผิดอะไรด้วยเลย แม้จะไม่ชอบ she เท่าไหร่)
เอาแค่คำขอโทษ แล้วทำตามที่เพลงต้องการ น่าจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด

บรรยายความรู้สึก ณ.กำลังอ่านตอนที่ 6 และขอกลับไปอ่านต่อตอนต่อไปเลย อยากรู้

ออฟไลน์ O-RA DUNGPRANG

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +50/-5

ออฟไลน์ unicorncolour

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1001
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1

ออฟไลน์ HPG

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
 :กอด1: อ่านรวดเดียวเลย ทำไมถึงมาเจอเรื่องนี้ตอนที่จบแล้วนะ
อยากมีโอกาสให้กำลังใจคนเขียนระหว่างทางมากเลยค่ะ
นี่มาเจอกันตอนปลายทางแล้ว
งือ~เสียดาย  :o8:
เรื่องสนุกมากๆๆๆๆๆเลย
น้องเพลงน่ารักมากกกกก

แต่อยากกระซิบบอกว่า
พี่ซันนี่มาแรงแซงทางโค้งมากเลยค่ะ
บุคลิกแบบว่าอยากได้คนนี้เป็นพระเอกซักเรื่องเลย
นึกภาพผู้ชายตัวโตๆขรึมๆหัดทำอาหารสิคะ
กรี๊ดดดดดดด 55555+

ออฟไลน์ AngPao1932

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 155
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
เพลงมีความเป็นคนดีในระดับที่สูงมาก มากจนมันทำให้เพลงเสียเปรียบหรือป่าว กร ไม่มีความดีจุดไหนมาดึงดูดได้เลยจริง ส่วนเรื่องยาหยี คือแบบกรทำไมทำแค่นี้ มองในอีกมุมถ้าเพลงตายล่ะ ไม่ตั้งใจแต่ก็คิดไตร่ตรองมาก่อนหรือป่าว ถ้าไม่สั่งสอนหนักๆมันก็จะไปทำกับคนอื่นอีก


ขอบคุณนักเขียนที่แต่งให้อ่านจ้า และขอเป็นกำลังใจให้ในทุกๆเรื่องจ้า :mew1: :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ HunHan9407

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 81
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
รอก่อนนะเดี๋ยวไปอ่าน

ออฟไลน์ Maeo

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 164
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด