“แค่มีเขา ต่อให้ไม่มีอากาศผมก็อยู่ได้” เสียงทุ้มดังที่เหนือศีรษะทำให้ต้องรีบปิดสมุดไดอารี่ แต่ดูเหมือนว่าจะช้าไปแล้วเพราะประโยคสุดท้ายที่เพิ่งเขียนเสร็จไปถูกคนด้านหลังอ่านไปแล้ว “ทำอะไร…นั่นมันสมุดไดอารี่ของฉันนี่”
“เปล่า” ผมปฏิเสธ ซึ่งมันช่างโง่เง่าสิ้นดี ในเมื่อสมุดกับปากกายังคามืออยู่
กรณ์ถอยกายห่างออกไปเล็กน้อย ร่างสูงยืนกอดอกเอียงคอมอง ใบหน้าหล่อซูบซีดลงเพราะพักผ่อนไม่เพียงพอ ขอบตาคล้ำ ริมฝีปากแห้งกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด
ดนตร์ลุกจากเก้าอี้ เพราะกรณ์นั่นเองเลยรู้ว่าเวลานี้มันเย็นมากแล้ว แสงแดดรำไรที่ส่องกระทบกับใบไม้สีอ่อน สวนนอกบ้านเริ่มเห็นเป็นรูปเป็นร่าง ดอกไม้ต้นน้อยที่ไปซื้อมาแล้วลงมือปลูกด้วยตัวเองกำลังตั้งต้นชูช่อมีใบเลี้ยงผลิออกมาให้เห็นบ้างแล้ว ยอดหญ้าเปลี่ยนสีจากสีน้ำตาลเป็นสีเขียวอ่อน แม้ว่าจะไม่ได้สวยเหมือนสวนในฝันแต่ก็มองแล้วสบายตา ถึงตอนปลูกจะถูกเอ็ดว่าไร้สาระทว่าตอนนี้ใครบางคนก็เปรยว่าอยากจะหาต้นไม้มาเพิ่มอีก
ทุกอย่างมันกำลังเดินไปข้างหน้า พัฒนาไปทีละก้าวไม่เร่งรีบ ค่อยเป็นค่อยไป มือที่จับไว้มันแน่นขึ้นทุกวัน เช่นเดียวกับสายใยของความรักที่ถักทอจากด้ายเส้นเล็กจนตอนนี้กลายเป็นเกลียวเชือกเส้นใหญ่
กรณ์เหนื่อย...เขารู้
มือเรียวอุ่นยกขึ้นประคองข้างแก้มสาก ดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะละเลยการโกนหนวดมาหลายวัน ตอแข็งๆ เลยผุดจากสันกรามและลูกคางเป็นเคราเขียวครึ้ม แต่ถึงอย่างนั้นความดูดีไม่ได้ลดลงเลย กลับมีเสน่ห์ไปอีกแบบ สีหน้าดูเหนื่อยล้าก็จริงทว่าแววตาเป็นประกายสุกใส กรณ์เอียงแก้มรับ พร้อมกับจูบเบาๆ ที่กลางฝ่ามือ
“เหนื่อยไหมที่ต้องรักผม เหนื่อยไหมที่ต้องรักผู้ชาย เหนื่อยไหมที่ต้องอดทนต่อสายตาคนรอบข้าง เหนื่อยไหมที่ต้องพาผมไปรู้จักคนในครอบครัว เหนื่อยไหมที่ต้องปกป้องผม....แต่ถ้าวันไหนพี่เหนื่อย พี่บอกผมมานะครับ แล้วผมจะเป็นฝ่ายทำให้พี่บ้าง ผมจะปกป้องพี่ ทำเพื่อพี่ และจะรักพี่ไปจนกว่าจะไม่มีแรงหายใจ”
“เห็นฉันเป็นพวกอ่อนแออย่างนั้นเลยหรือไง”
“เปล่าครับ” ดนตร์สั่นศีรษะ “ผมแค่อยากจะบอกกับพี่ว่าผมรักพี่”
กรณ์อมยิ้ม รวบมือเอาไว้แล้วพรมจูบที่ปลายนิ้วทีละนิ้ว ขณะที่ดวงตาจับจ้องมองตรงมา ภาพของตัวเองที่สะท้อนในนั้นทำเอาหัวใจสั่นไหว แรกเริ่มเขาหลงรักผู้ชายคนนี้เพราะรูปลักษณ์ภายนอกไม่ต่างจากคนอื่นๆ ทว่าเมื่อเวลาผ่านไป ได้รู้จักนิสัยใจคอ ข้อเด่น ข้อด้อย นั่นกลับยิ่งทำให้เขายิ่งรักกรณ์มากกว่าเดิม ถึงตอนนี้ต่อให้กรณ์กลายเป็นคนที่ขี้เหร่ที่สุดในโลกเขาก็รัก
เขารักทุกอย่างที่หล่อหลอมเป็นกรณ์
“ทำไมอยู่ดีๆ ถึงปากหวานขึ้นมาได้” ริมฝีปากอุ่นหยุดที่ปลายนิ้วก้อย ขยับเท้าเข้าใกล้จนระยะห่างระหว่างร่างเหลือไม่ถึงคืบ ลมหายใจเป่ารดใส่กัน กลิ่นกายที่คุ้นชิน ไออุ่นที่คุ้นเคย ตั้งแต่เมื่อไรกันที่รู้สึกว่าไม่อาจขาดสิ่งเหล่านี้ไปได้...รักเหลือเกิน
“ผมไม่อยากให้พี่เลิกรักผม พี่ห้ามเลิกรักผมเด็ดขาด เหนื่อยได้แต่ห้ามเลิกรัก สัญญานะ”
“แล้วใครบอกว่าเหนื่อย” กรณ์ยิ้มละมุน ปล่อยมือจากนิ้วเรียวแล้วเปลี่ยนเป็นรั้งต้นคอขาวเอาไว้แทน ใบหน้าของทั้งคู่อยู่ห่างแค่ลมหายใจกั้นเท่านั้น “สิ่งที่ฉันทำคือสิ่งที่ฉันรัก ไม่มีใครเหนื่อยหรอกถ้าได้ทำในสิ่งที่รัก”
“รวมถึงรักผมด้วยใช่ไหม”
“นั่นน่ะอันดับแรกเลย” จมูกโด่งกดลงบนหน้าผากเนียน ไล่เรื่อยจนถึงปลายจมูก แล้วจึงเคลื่อนไปที่ปรางแก้มใส “ฉันรักนาย นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันรู้สึกถึงความรักจริงๆ รักโดยไม่มีข้อแม้หรือเงื่อนไขใดๆ รู้ไหมนายเป็นคนแรกเลยนะที่ฉันพาไปที่บ้าน แล้วก็เป็นคนแรกที่คุณย่าไม่บ่นฉันเรื่องแฟน”
“ทำไมล่ะครับ”
กรณ์คลี่ยิ้มหวานทั้งที่ยังหาเศษหาเลยอยู่กับแก้มนุ่ม “ย่ากลัวว่าจะเหมือนแม่ ท่านบอกว่าฉันนิสัยเหมือนพ่อ ท่านกลัวว่าผู้หญิงพวกนั้นจะเสียใจถ้าต้องมาเป็นแฟนกับคนอย่างฉัน แต่พอฉันเล่าเรื่องนายท่านถามฉันแค่ว่าฉันรักนายไหม พอฉันบอกว่ารัก ท่านก็ไม่ถามอะไรอีก แถมยังเร่งให้พานายไปหาด้วย ท่านชอบนายนะ”
“ผมก็รักท่านครับ” ดนตร์บอก คุณย่าแก้วทำให้เขารู้สึกเหมือนได้พบคุณยายที่จากไป “เอ่อ...มีอีกคนที่ผมอยากรู้จัก ผมถามถึงท่านได้ไหม”
คิ้วหนาเลิกขึ้น “ใคร?”
“.......เอ่อ...คุณแม่ของพี่...ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ผม...”
“ได้สิ”
มือหนาสอดรัดรอบเอวก่อนจะเกี่ยวกอดพากันไปที่โซฟากลางห้อง
ภายในบ้านเริ่มมืดจากแสงที่น้อยลง เงาสีดำของคนสองคนทาบกับผนังห้อง น่าแปลกที่ไม่มีใครสนใจที่จะเปิดไฟกลับชอบแสงสีส้มสลัวๆ จากธรรมชาติมากกว่า
กรณ์หย่อนสะโพกลงนั่งก่อนแล้วค่อยรั้งอีกร่างนั่งบนตักตัวเอง โดยให้อีกฝ่ายหันหน้าเข้าหา สองขากางคร่อมหน้าขา มือขาวยกคล้องไว้ที่ต้นคอ แม้ดนตร์จะไม่ใช่เด็กชายตัวน้อยแต่น้ำหนักแค่นี้เขาก็สามารถรองรับได้อย่างสบายๆ อย่าว่าแต่นั่งตักเลยต่อให้อุ้มก็ทำได้
“อยากรู้อะไรเกี่ยวกับแม่ฉันล่ะ ถามมาได้”
“คือ...” คนบนตักอึกอัก ขยับสะโพกกลมแน่นบนหน้าขาไปมา “ผมอยากรู้ว่าแม่ของพี่จะชอบผมไหม”
“หึ เด็กโง่” กรณ์ใช้นิ้วดีดไปที่หน้าผากหนึ่งเปาะ ช่วงนี้ผมของดนตร์ยาวลงมาปรกหน้าผากแล้ว เขาเอื้อมมือคว้าหนังยางแถวๆ นั้นมาแล้วรวบปอยผมไว้หนึ่งกระจุกก่อนจะใช้หนังยางมัดมันไว้ ดวงหน้าผ่องดูใสสว่างขึ้นมาบ้าง แถมทรงผมต๊องๆ ยังช่วยให้อ่อนเยาว์ลงไปอีกหลายปี เหมือนมีแฟนเป็นเด็กหนุ่มอายุสิบหกไม่มีผิด “จะชอบหรือไม่ชอบก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร แค่ฉันชอบนายก็พอแล้ว แต่ถ้าไม่สบายใจจะบอกให้ก็ได้ว่าแม่น่ะรักฉันที่สุดในโลก ฉันรักใครแม่ก็จะรักด้วย เอาไว้ฝึกงานเสร็จฉันจะพานายไปหาท่าน”
“จริงหรือครับ” เด็กตาตี่ทำตาโตแล้วก็หรี่ลงเหลือเท่าเดิม “ว่าแต่แม่ของพี่อยู่ที่ไหนหรือครับ”
“อเมริกา”
“ห๊ะ!” คราวนี้ตาเบิกกว้างกว่าเดิม ทั้งตลกทั้งน่ารัก
“หูหนวกหรือไง” เขาดึงไปที่ติ่งหูเล็กๆ หนึ่งที “อเมริกา”
“ไกลจังเลย ให้แม่พี่มาที่นี่ไม่ได้หรือ”
“ทำไมถึงต้องให้คนแก่อายุห้าสิบกว่านั่งเครื่องนานๆ ด้วยล่ะ”
ดนตร์ขยับตัวอีกหน ท่อนขาเรียวยกสูงจนขากางเกงร่นไปถึงไหนต่อไหน วันนี้อากาศอบอุ่นขึ้นเด็กดื้อเงียบเลยแต่งตัวเปิดเผยเนื้อตัวมากกว่าปกติ เสื้อยืดตัวเก่าเป็นของทิ้งแล้วจากเขาและกางเกงบ๊อกเซอร์สีตุ่นๆ เสื้อดูจะหลวมเกินไปหน่อยเพราะคอมันเลื่อนต่ำลงมาถึงหัวไหล่ อวดผิวขาวโดยไม่ได้ตั้งใจ ส่วนขานั้นไม่ต้องพูดถึง ดนตร์เป็นผู้ชายที่มีเรียวขาสวยยิ่งกว่าผู้หญิงบางคนเสียอีก แถมยังไม่มีไรขนให้ขุ่นเคืองตาอีกด้วย
วันนี้ดนตร์ทำตัวน่ารักผิดปกติ จากเด็กไม่ค่อยพูดขี้อายกลายเป็นเด็กขี้อ้อนเสียอย่างนั้น แต่ก็น่ารักน่าฟัดอย่าบอกใคร เจ้าตัวไม่รู้หรอกว่าเขาแอบมองมือขาวๆ ตวัดปลายปากกาลงหน้ากระดาษมาพักใหญ่แล้ว และได้อ่านข้อความพวกนั้นตั้งแต่ต้นจนจบ มันเหมือนเรียงความในอดีตเล่าถึงเหตุการณ์ที่ประทับใจผ่านตัวหนังสือไม่กี่หน้า แต่ที่ทำให้หัวใจพองคับอกคือข้อความพวกนั้นมันเกี่ยวกับตัวเขาทั้งสิ้น ตั้งแต่วันแรกที่เจอกันจนถึงวันนี้
แต่อีกอย่างที่ดนตร์ไม่รู้ก็คือความรู้สึกของเขาที่มีต่อเจ้าตัวในวันแรกที่ได้พบกัน ตอนนั้นเขาทำหน้าที่เป็นกรรมการคัดเลือกเด็กปีหนึ่งเข้าชรมภาพยนตร์แทนชนวีร์ ตอนนั้นมีเด็กปีหนึ่งมาสมัครหลายคน แต่เขากลับจำได้แค่เด็กใส่แว่นท่าทางเห่ยๆ คนหนึ่งเท่านั้น เด็กผู้ชายท่าทางซื่อๆ ที่มองสบตาเขาแค่ครั้งเดียว จากนั้นก็หายไป เขาไม่รู้จักชื่อเด็กคนนั้น แต่ไม่รู้ทำไมถึงได้ชอบมองหากระทั่งวันหนึ่งชนวีร์ก็พาเด็กคนนั้นมาที่สนามบาสในฐานะทีมของคู่แข่ง
พวกเขาได้แข่งบาสด้วยกัน เด็กตัวสูงไม่มากสวมแว่นเล่นบาสเก่งไม่น้อย ถึงจะสูงสู้คนอื่นไม่ได้แต่กลับเคลื่อนไหวได้รวดเร็ว เขาจับจ้องเด็กคนนั้นในทุกๆ อิริยาบถแม้แต่ตอนที่ล้มจนได้แผลนั่นก็ด้วย แต่ก็ไม่ได้ให้ความช่วยเหลือแถมนิสัยปากเสียยังทำให้โดนเกลียดขี้หน้าไปโดยปริยาย ถึงอย่างนั้นเขาก็คอยแต่มองหาเด็กคนนั้นอยู่ดี
ไม่ได้มีแค่เขาเท่านั้นที่เกิดสนใจเด็กแว่นหนาจอมอวดดีแต่เพื่อนรักทั้งสองก็ด้วย อริญชย์และธาวินแสดงความต้องการออกมาอย่างไม่ปิดบัง แถมยังกล้าประกาศว่าชอบอย่างไม่ห่วงสายตาคนรอบข้าง ขณะที่เขาเองที่รู้สึกไม่ต่างกันกลับกล้าๆ กลัวๆ ไม่ใช่เพราะกลัวว่าสังคมจะรับไม่ได้หากแต่ในตอนนั้นเขายังมีคนรักอยู่ และไม่อยากทำร้ายเธอโดยที่เธอไม่ได้มีความผิดอะไร ทว่าหัวใจมันเล่นตลกกับความรู้สึก ยิ่งนานวันเขายิ่งถอนสายตาจากเด็กคนนั้นไม่ได้ และในที่สุดก็เผลอทำเรื่องเลวร้ายลงไป แม้เจ้าตัวจะปฏิเสธการรับผิดชอบ แถมยังคอยหนีหน้าด้วยซ้ำแต่เขาก็ไม่ยอมลดละความพยายาม แน่นอนว่ามันไม่ใช่แค่ต้องการรับผิดชอบทว่าเพราะความรู้สึกในก้นบึ้งของหัวใจด้วย เขาชอบเด็กคนนั้นเข้าแล้วจริงๆ
เวลาผ่านไปความรู้สึกยิ่งชัดเจน ก่อนหน้านี้เขาเคยคบกับผู้หญิงมาบ้าง แต่มันไม่เคยเลยที่จะรู้สึกรุนแรงมากขนาดนี้ เขาทั้งต้องการ และหึงหวง มีสภาพไม่ต่างจากมดแดงแฝงพวงมะม่วง ทว่าก็ยังทำอะไรไม่ได้มากอยู่ดีเพราะเขายังไม่เลิกรากับคนรัก กระทั่งวันที่ประสบอุบัติเหตุ เขาถึงได้ตัดสินใจเด็ดขาด เขาเลือกเด็กคนนั้นแทนคนรักเก่า เขาทำร้ายหัวใจของเธอและได้แผลเป็นที่ขมับมาเป็นผลตอบแทน แต่ก็นับว่าเป็นการแลกเปลี่ยนที่คุ้มค่า เขามีความกล้าที่จะทำตามหัวใจตัวเอง และไม่สนใจว่าใครจะมองอย่างไร ในเมื่อมันคือเสียงของหัวใจก็ไม่จำเป็นต้องฟังเสียงอื่นอีก
“รักฉันให้มากๆ นะ”
“ครับ?” คนบนตักเอียงคอมอง เปลือกตาบางกะพริบรัวๆ
“ก็ถ้านายรักฉันมากเท่าไร ฉันก็จะรักนายมากเท่านั้น”
“ไม่ครับ” เด็กดื้อเงียบส่ายหัว “เพราะผมจะรักพี่มากกว่านั้น”
กรณ์ยิ้มกว้าง กดจมูกไปบนแก้มนุ่มหนักๆ ทั้งสองข้าง “อ้อนขนาดนี้จะเลิกรักได้ยังไง”
ดนตร์หน้าแดง ซุกหน้าซบลงบนหัวไหล่ “ผมรักพี่ ตั้งแต่วันแรกที่เจอหน้าเลย”
“อืม...รู้แล้ว”
ศีรษะเล็กผงกขึ้น “พี่รู้ได้ยังไง! แอบอ่านที่ผมเขียนใช่ไหม” ริมฝีปากสีแดงยู่ขึ้นจนเกือบชิดปลายจมูก
“ก็นะ..” เขายักไหล่ “ที่จริงมันก็ไม่แปลกหรอก ฉันมันหล่อใครๆ ก็ชอบทั้งนั้น”
“เพิ่งรู้ว่ามีแฟนหลงตัวเอง”
“แล้วจริงไหมล่ะ”
“จริง!” ดนตร์กระแทกเสียงตอบ “แต่ตอนนี้ถึงพี่ไม่หล่อ หรือเป็นขอทานข้างถนนผมก็รักพี่”
กรณ์ไม่รู้ตัวหรอกว่าตอนนี้ริมฝีปากมันฉีกกว้างขนาดไหน ในอกอุ่นซ่านไปหมด สองมือโอบประคองร่างบนตักเอาไว้ เพิ่งได้รู้ว่าการที่ได้รักใครสักคนโดยได้ความรักตอบกลับมามันจะรู้สึกดีมากขนาดนี้นี่เอง
“ไอ้เด็กขี้อ้อนเอ๊ย”
“แล้วถ้าผมอยากทำให้พี่เหนื่อยล่ะ พี่จะทำยังไง” จู่ๆ เด็กขี้อ้อนบนตักก็เปลี่ยนประเด็น กรณ์เลิกคิ้วมอง
“จะทำอะไรล่ะ”
“ก็...ทำแบบนี้”
สะโพกอิ่มเคลื่อนสูงขึ้นจนบางอย่างที่ซ่อนอยู่ในกางเกงบ๊อกเซอร์สะกิดถูกเป้ากางเกง ไอ้เจ้าเด็กตัวดีนี่กำลังหาเรื่องเหนื่อยเองเสียมากกว่า สำหรับเขาต่อให้ ‘ทำ’ ข้ามวันข้ามคืนก็สะกดคำว่าเหนื่อยไม่เป็นหรอก ห่วงก็แต่อีกคนที่ทำเป็นปากดีแต่สุดท้ายเห็นนอนสลบเป็นตายทุกที
“ใครกันแน่ที่จะเหนื่อย” เขาหรี่ตามอง พลางสอดมือหายเข้าไปในชายเสื้อยืดตัวเก่า จำได้ว่าโยนมันทิ้งไปแล้วแต่เด็กนี่กลับเก็บมาใส่อีก แต่ก็ดีเหมือนกันผ้าบางๆ อยู่บนกายขาวๆ มันเข้ากันดีไม่ยอก ผิวกายอ่อนนุ่มตกอยู่ใต้ฝ่ามือ เขาลูบเลยขึ้นไปสูงถึงรอยต่อระหว่างหัวไหล่ แล้วเลื่อนต่ำลงมาที่เนินบั้นท้ายเนียน ดนตร์ขยับสะโพกสูงขึ้นราวกับจะเชิญชวนกัน
กรณ์กดยิ้มที่มุมปาก ความขี้อายของเจ้าเด็กดื้อกำลังหายไปทีละนิด แต่จะโทษใครได้ในเมื่อเขาเป็นคนสอนมาเองกับมือ การแสดงความรักกับคนที่รักไม่ใช่เรื่องผิดอะไร ภาษากายบางครั้งก็สำคัญกว่าคำพูด เขาก้มลงจูบที่ซอกคอขาว กลิ่นหอมเฉพาะตัวยังคงเอกลักษณ์ไว้เหมือนเดิม กลิ่นน้ำนมอ่อนๆ ที่แม้แต่เจ้าตัวเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเพราะอะไร เคล้าด้วยกลิ่นสบู่ที่เจือจางลงไปมากแล้วแต่ก็ยังหลงเหลือติดผิวอยู่บ้าง ริมฝีปากดูดเม้มฝากฝังร่องรอยแห่งการเป็นเจ้าของไว้แถวๆ นั้น ดนตร์ครางเบาๆ เอียงคอเปิดทางให้เขาอย่างน่ารัก
มือหนาขยำหนักๆ ลงไปบนบั้นท้ายกลม ส่วนหน้าของดนตร์มีปฏิกิริยามากกว่าเดิม มันเสียดสีถูไถกับของเขา ร่างเล็กกว่าบนตักหายใจไม่เป็นจังหวะ มือเหนี่ยวรั้งต้นคอแน่นขึ้นเรื่อยๆ แก้มขาวแดงระเรื่อด้วยเลือดฝาด ถึงตอนนี้ดนตร์ควรกลับคำ เพราะคนที่เหนื่อยไม่ใช่เขาแน่นอน
เสื้อตัวบางถูกถอดออกทางศีรษะ ปล่อยให้ร่างกายท่อนบนเปล่าเปลือยอวดผิวขาวผ่องละเอียด เม็ดทับทิมสีแดงสองเม็ดดูโดดเด่นบนผิวขาว ป้านฐานรอบๆ มีตุ่มเล็กๆ ผุดขึ้น กรณ์ใช้นิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้บดขยี้ที่ปลายถันจนมันแข็งชันก่อนจะก้มลงลิ้มลองรสหวาน เขาดูดกลืนพร้อมกับตวัดปลายลิ้นหยอกล้อ ดนตร์ครางกระเส่า สะโพกขยับบดเบียดเย้ายวน กระทั่งมันบวมเป่งถึงได้ยืดตัวขึ้นแล้วป้อนจูบหวานให้แทน
เรียวลิ้นทั้งสองเกี่ยวกระหวัดผลัดกันรุกไล่ เสียงชื้นแฉะดังขึ้นแทรกเสียงลมหายใจกระเส่า ดนตร์ช่วยเขาถอดเสื้อด้วยความเร่งร้อน ริมฝีปากผละออกจากกันแค่ตอนที่ต้องเอาเสื้อออกจากร่างกายเท่านั้น เด็กดื้อเบียดเนื้อตัวเข้ามาชิด มือเลื่อนจากต้นคอไล่ไปตามแขนและลำตัว แบ่งปันความเร่าร้อนผ่านการลูบไล้ ขณะที่บั้นท้ายขยับขึ้นลงไม่หยุด เขาพรมจูบไปทั่วผิวขาว สร้างรอยแดงสีกุหลาบไว้ทั่วทุกที่แต่เจ้าตัวก็ไม่เอ่ยปากห้าม กางเกงบ๊อกเซอร์ปลิวไปตกกองรวมกับเสื้อยืดตัวเก่าตามด้วยชั้นในสีขาว แค่ชั่วอึดใจดนตร์ก็เปลือยทั้งร่างแต่ท่านั่งยังคงเหมือนเดิม
“จะลงข้างล่างไหม” เขาถามด้วยห่วงว่าเจ้าเด็กจอมอวดดีจะเหนื่อยเสียก่อนจบบทแรก แต่ดนตร์ส่ายหัว
“ผมจะทำเอง”
“แน่ใจ?”
“อื้ม!” เจ้าตัวพยักหน้าหนักแน่น แล้วเคลื่อนมือไปมาที่หน้าตัก จัดการปลดตะขอกางเกงพร้อมรูดซิปลง กรณ์โหย่งสะโพกขึ้นเพื่ออำนวยให้อีกฝ่ายกำจัดอาภรณ์ได้สะดวกขึ้น ไม่นานส่วนหน้าก็หลุดจากพันธนาการ เขาเหลือบมองคนบนตักอีกหน คราวนี้หน้าของดนตร์แดงยิ่งกว่ามะเขือเทศสุกเสียอีก “ทำ...ทำไมถึงใหญ่นัก”
“ก็ตามตัว” เขาตอบให้ถึงจะรู้ว่านั่นเป็นแค่การพึมพำก็ตาม
ดนตร์เม้มปากเป็นเส้นตรงก่อนจะใช้มือรูดรั้งให้ แค่ความอ่อนนุ่มของฝ่ามือเขาก็สะท้านไปทั้งตัว ยิ่งตอนมันรูดขึ้นไปตามแนวยาวเคล้นเคล้าเบาๆ ที่ส่วนปลาย เขาเสียวแทบขาดใจ ดนตร์ขยับมืออีกสองสามทีมันก็พร้อมออกรบเต็มที่
ร่างโปร่งยืดกายขึ้นเล็กน้อย แล้วเอื้อมมือไปด้านหลังจุ่มจ้วงปลายนิ้วเปียกลื่นเข้าสู่ร่างกายของตัวเอง ความคับแน่นทำให้ใบหน้าน่ารักเหยเก แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ถอดใจพยายามจนความฝืดเคืองลดลงจนนิ้วเคลื่อนไหวได้ง่ายขึ้น จากหนึ่งนิ้วไปเป็นสองนิ้วและสาม ตลอดเวลาที่นิ้วทั้งสามขยับอยู่ในกายตัวเองนั้น ดวงตาคมกริบของกรณ์ก็จับจ้องไม่ว่างเว้น ความเสียวเสียดทวีสูง เขาไม่เคยเห็นดนตร์มีท่าทางร้อนแรงขนาดนี้มาก่อน ทำทุกอย่างด้วยตัวเองแม้แต่ตอนเบิกทาง
“อื้อ...แน่น อ๊ะ เสียว”
กรณ์กัดฟันกรอด เสียงครางสลับกับคำบอกถึงอาการไม่ต่างจากเชื้อเพลิงชั้นดี ยิ่งสีหน้ากึ่งทรมานกึ่งสุขสมนั่นยิ่งกระตุ้นให้เส้นความอดทนขาดผึง
เขาไม่สนใจแล้วว่าช่องทางนั้นมันจะพร้อมแล้วหรือยัง กรณ์กระชากนิ้วทั้งสามนั้นออกแล้วดันสะโพกเข้าหา ความใหญ่โตทะลุผ่านเยื่อบุน้อยๆ ไปทีเดียวสุดทาง! ดนตร์สะดุ้งเฮือกพยายามจะดิ้นรนหนี แต่เขายึดเอวคอดเล็กไว้เสียก่อนแล้วจับมันกดลง ตอกเนื้อร้อนให้เข้าลึกกว่าเดิม แล้วกดแช่อยู่อย่างนั้น ไอร้อนแผ่ซ่านไปทั่วหน้า หูอื้อ ตาลายกับความต้องการที่มากล้นจนเกินควบคุม
“พี่กรณ์! อื้อ มันเจ็บนะ!”
“นายยั่วฉันเอง รับรองคืนนี้นายกับฉันได้เหนื่อยสมใจแน่”
กรณ์สวนสะโพกขึ้นแล้วผ่อนออก ช้าเนิบนาบในนาทีแรก จนเมื่อความคับแน่นคลายตัวลงจังหวะรักเลยเร็วขึ้น ดนตร์กลับมาตอบสนองได้อีกครั้ง กล้ามเนื้อตอดรัดอย่างบ้าคลั่ง เยื่อเมือกอ่อนห่อหุ้มช่วยทำให้การเคลื่อนไหวง่ายกว่าเดิม ส่วนหน้าของดนตร์ตั้งชันโดยไม่ต้องปลุกเร้า ก้นกลมตีกับหน้าขาเป็นเสียงดัง สองแขนเกาะเหนี่ยวหัวไหล่เอาไว้ ใบหน้าน่ารักแหงนเงยไปด้านหลัง เขาก้มลงดูดกลืนยอดอกตรงหน้าอีกครั้ง สลับกันทั้งสองข้าง ดนตร์หวีดร้องเสียงดังอย่างลืมอาย พลางขย่มสะโพกเข้าใส่อย่างลืมเจ็บด้วยเช่นกัน
ภายในบีบรัดแน่นขึ้นเรื่อยๆ บางครั้งส่วนปลายก็เลื่อนไถลไปถูกจุดอ่อนไหว ดนตร์ยิ่งร้องดังกว่าเดิม ตัวสั่นไปหมด สิ้นเรี่ยวแรงเสียเดี๋ยวนั้น เดือดร้อนเขาที่ต้องเร่งเร้าจังหวะแต่เพียงผู้เดียว เด็กดื้อตัวอ่อนซวนซบลงมาที่หัวไหล่ ปล่อยให้เขากำกับลีลารักเอง แต่พอมีแรงก็ช่วยขย่มกลับ ดนตร์บิดกายไปมา เนื้อร้อนด้านหน้าแดงก่ำ เขาเลื่อนมือไปช่วยรูดรั้ง แต่ไม่กี่ทีสายธารสีขาวก็พวยพุ่ง เปรอะเปื้อนถึงคางมน กรณ์ใช้ลิ้นตวัดกลืนลงไปอย่างไม่คิดรังเกียจ ขณะเดียวกันก็รัวสะโพกใส่ไม่หยุด หน้าท้องปวดเกร็งไปด้วยความต้องการที่อัดแน่น จากนั้นไม่กี่อึดใจลาวาขุ่นก็หลั่งรดรินเนื้ออ่อน ดนตร์สะท้านครั้งแล้วครั้งเล่าไม่ต่างกับเขา เสียงครางยังสะท้อนอยู่ในแก้วหู พวกเขาผวาเข้ากอดกันแน่น ต่างก็รู้ดีว่าบทรักยังไม่จบลงง่ายๆ …
ไม่ว่าเส้นทางแห่งรักนี้จะมีจุดสิ้นสุดเป็นอย่างไร แต่สองมือที่กุมกันไว้จะไม่มีวันปล่อยจากกันแน่นอน ต่อให้หนทางข้างหน้าจะยากลำบากกว่าที่เคยพบเจอก็จะไม่หวาดหวั่น แค่ขอให้เชื่อมั่นในกันและกัน ไม่เหนื่อยที่จะรัก แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว...
..................The End………………
จบแล้วค่ะ ขอบคุณสำหรับการติดตามนะคะ
สุดท้ายฝากแบบรูปเล่มด้วยนะคะ มีตอนพิเศษสำหรับอีกสามคู่ที่เหลือและตอนพิเศษของกรณ์และดนตร์ นะคะ
1.อริญช์+พระนาย
2.ธาวิน+จันทร์ทิวา
3.นักรบ+เมธัส
คิดว่าน่าจะวางขายในช่วงงานฟิคในเดือนพฤศจิกายนนะคะ