Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 25 Journey อวสาน [16/10/60] หน้าที่ 6
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Do you know? รู้ไหม...ว่าใครรักคุณ Chapter 25 Journey อวสาน [16/10/60] หน้าที่ 6  (อ่าน 78107 ครั้ง)

ออฟไลน์ Sutharat

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 30
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
มีคนเห็นความน่ารักของเพลงแล้วตอบรับเลยค่ะจะได้ไม่คิดว่าตัวเองไม่คู่ควรกับการณ์อีก

ออฟไลน์ libra82

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 285
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +236/-5
Chapter 18 Family


     “สนใจอยากเป็นนายแบบไหม”

   คำถามเดิมซ้ำๆ ดังวนไปวนมาอยู่ในหูและลามไปถึงสมอง หากแต่ยังคิดหาคำตอบไม่ได้

    ตลอดทั้งช่วงบ่ายเขาอาศัยอยู่ในสตูดิโอถ่ายภาพ เฝ้ามองการทำงานของกรณ์ในฐานะนายแบบ แม้จะไม่ใช่สิ่งที่ถนัดแต่กรณ์ก็ทำได้ดี หลังจากโดนอาใหญ่ติงไปอยู่สองสามครั้ง และแต่ละครั้งเขาจะเป็นฝ่ายขอให้ท่านใจเย็นลงโดยให้เหตุผลว่ากรณ์ยังเป็นมือใหม่ แล้วก็ใส่มุขตลกลงไปเพื่อให้ท่านผ่อนคลายลง หลังจากได้คลุกคลีอยู่กับอาใหญ่ก็พบว่าท่านเป็นคนไม่ค่อยพูดแต่ถ้าวาจาหลุดออกจากปากเมื่อไร ผู้ฟังก็สะอึกได้ ทว่าลึกๆ แล้ว อาใหญ่ผู้นี้ใจดีเหมือนกับญาติผู้ใหญ่คนหนึ่ง

    กรณ์แสดงท่าทางตามที่อาใหญ่บอก การแสดงสีหน้าและแววตาก็สื่ออารมณ์ออกมาได้ดี รดาก็เช่นกัน ทั้งคู่ทำงานเข้าขากันได้ดี หลายเสียงชื่นชมว่าเป็นคู่ที่เหมาะสม เขาเองก็รู้สึกเช่นนั้น กรณ์กับรดาเหมาะสมกันมากจริงๆ แม้แต่โยษิตาก็ยังเทียบไม่ได้ เพราะไม่ใช่แค่รูปร่างหน้าตาหากแต่รดายังมีกิริยามารยาทน่ารัก จริตกำลังดีอย่างที่ผู้หญิงพึงมี... ส่วนเขาไม่มีอะไรเหมาะสมกับกรณ์สักอย่าง แค่เป็นเพศเดียวกันก็ถูกต่อต้านแล้ว

    งานสิ้นสุดลงเกือบห้าทุ่ม กรณ์และรดาถูกจับเปลี่ยนชุดไปมาอยู่เกือบสิบครั้ง เขาเห็นความอ่อนล้าในใบหน้าของกรณ์แต่เจ้าตัวก็ไม่ปริปากบ่น มิหนำซ้ำยังตั้งใจทำงานมากกว่าเดิม กระทั่งมีเสียงประกาศจากอาใหญ่ ทุกคนก็ร้องเฮด้วยความยินดี ทีมงานชวนกันไปเลี้ยงฉลอง แต่กรณ์ปฏิเสธ รดาก็เช่นกัน ส่วนอาใหญ่กับอริญชย์หันมาชวนเขาแทน ซึ่งแน่นอนว่ากรณ์ไม่ยอมให้เขาตอบรับ ทันทีที่ออกมาจากห้องแต่งตัวก็ดึงคอเสื้อเขาออกไป ไม่ยอมทักทายพี่รันเลยสักคำ

    พอขึ้นรถก็ไม่พูดไม่จา แต่อ้าปากหาวเป็นระยะ หมู่นี้กรณ์ไม่ค่อยได้พักผ่อน ทั้งเรื่องเรียน เตรียมตัวฝึกงานและงานใหม่ที่เพิ่งได้รับมา แว่วๆ ว่ากรณ์อาจจะได้ถ่ายโฆษณาด้วย มันน่าอิจฉาพอๆ กับอนาถตัวเขาเอง ทั้งที่เรียนสายนี้แท้ๆ แต่ไม่เคยมีผลงานอะไรให้ได้แสดงฝีมือบ้างเลย นี่ถ้าไม่ได้เป็นเบ๊ของพี่วินเขาคงเป็นแค่นักศึกษาที่ไร้ตัวตนเท่านั้น

    ดนตร์นั่งมองท้องฟ้าสีส้ม พระอาทิตย์กำลังจะจับขอบฟ้าในอีกไม่กี่นาที เขาตื่นตั้งแต่ก่อนไก่โห่เสียอีก เพราะคำชักชวนของอาใหญ่ ตอนนั้นเขาไม่ได้ตอบคำถามของท่านเพราะไม่แน่ใจว่าท่านพูดเล่นหรือเปล่า แต่คนในวัยนั้นไม่น่าจะมีอารมณ์ขันมาล้อเขาเล่น และก่อนที่จะโดนกรณ์ลากตัวออกมาท่านก็ยัดนามบัตรใส่มือเขามา

    เขาดึงกระดาษแผ่นเล็กที่ค่อนข้างยับออกจากกระเป๋าเงิน คลี่มันออกแล้วอ่านตัวอักษรเล็กๆ ในนั้น มันระบุชื่อที่อยู่และเบอร์โทรศัพท์ของอาใหญ่ไว้ครบ ใจเต้นแรงขึ้นมาหนึ่งจังหวะเมื่อคิดว่าตัวเองจะได้เข้าไปอยู่ในหน้านิตยสาร แต่เมื่อคิดพิจารณารูปร่างหน้าตาของตัวเองก็ต้องถอนหายใจ หน้าตาเขามันธรรมดา จืดชืด ไร้ความน่าสนใจ แล้วจะไปเป็นนายแบบได้อย่างไร

    “ทำอะไร”

    ดนตร์สะดุ้งโหยงรีบกำนามบัตรไว้ เขายังไม่ได้บอกเรื่องที่ถูกทาบทามให้ไปเป็นนายแบบ เพราะกลัวจะโดนล้อ อีกอย่างเขาไม่คิดว่ากรณ์จะอนุญาตง่ายๆ ด้วย

    ...แล้วทำไมเขาต้องขออนุญาต ในเมื่อกรณ์ไม่ได้เป็นผู้ปกครองของเขาเสียหน่อย...

    “ถามทำไมไม่ตอบ”

    ช่วงเอวถูกวงแขนยาวแข็งแรงลากรั้งจนแทบจะขึ้นไปนั่งเกยบนตักของคนตัวใหญ่กว่า คางมนได้รูปวางลงบนหัวไหล่ ผมยุ่งๆ มีกลิ่นเจลจัดแต่งทรงผมติดอยู่ทิ่มอยู่แถวข้างแก้มเขา เมื่อคืนกรณ์อาบน้ำแบบขอไปที ผมไม่ได้หวีด้วยซ้ำ เขาเหลือบตามอง กรณ์ทำตาปรือปรอยคล้ายคนไม่อยากตื่น แต่ก็ยังไม่วายใช้มือเอาเปรียบเขาด้วยการสอดเข้ามาในตัวเสื้อ เขารีบตะครุบจับมันไว้ก่อนที่จะไล่มาถึงเนินอก

    “ไม่เอานะครับ มันเช้าแล้ว” เขาปราม ร่างกายตื่นตัวอย่างรวดเร็ว คิดแล้วก็แค้นใจเพราะกรณ์แท้ๆ ที่ทำให้เขากลายเป็นพวกไวไฟไปเสียแล้ว

    “ก็ไม่ได้จะทำอะไรสักหน่อย”

    คนเจ้าเล่ห์บอก แล้วก็หยุดมือไว้ที่แค่ช่วงเอว กอดกระชับแน่นขึ้นโดยที่ยังวางศีรษะไว้กับหัวไหล่ของเขา นานจนได้ยินเสียงลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอ กรณ์หลับไปทั้งท่านั้น เขาเองก็ไม่คิดจะปลุก ปล่อยให้คนง่วงได้นอนต่อ

    ในชีวิตของผู้ชายหน้าตาธรรมดาคนหนึ่ง เคยมีแฟนเป็นผู้หญิง ทำกิจกรรมโลดโผนแบบเด็กผู้ชายคนอื่น คุยเรื่องทะลึ่งตึงตัน แอบดูหนังโป๊ ดำเนินชีวิตไม่ได้ต่างจากผู้ชายคนอื่นๆ ทั่วไป แต่ใครจะรู้ว่าวันหนึ่งจะมาตกหลุมรักเพศเดียวกัน แม้จะเคยสั่งให้ตัวเองหยุดยั้งความรู้สึกแบบนั้นเป็นร้อยเป็นพันครั้ง แต่สุดท้ายก็ไม่อาจละสายตาจากคนๆ นั้นได้ อย่างที่หลายๆ คนบอก เรื่องความรู้สึกมันห้ามหรือบังคับไม่ได้จริงๆ แม้จะรู้ว่าผิดก็ตาม

    เกือบหนึ่งปีที่ดนตร์แอบมองรุ่นพี่ปีสามที่ชื่อกรณ์ นับตั้งแต่วันแรกที่เจอกัน เขาก็ไม่อาจละสายตาจากกรณ์ได้เลย ไม่ว่าอีกฝ่ายจะทำอะไรสายตาของเขาก็เผลอจับจ้อง หากไม่เห็นก็จะมองหา ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่ากรณ์ไม่มีทางจะหันมามองตัวเอง ที่ร้ายไปกว่านั้นกรณ์มีคนรักแล้ว และเป็นผู้หญิง แต่แล้วเพราะโชคชะตาหรืออะไรบางอย่างก็ทำให้เขากับกรณ์มีช่วงเวลาแบบนี้ร่วมกันได้ และถึงจะได้อยู่ด้วยกัน ทว่าเขากลับไม่เคยถามอีกฝ่ายเลยว่าคิดอย่างไรกับเขา ไม่ได้คาดหวังถึงคำว่า ‘รัก’ แต่ก็อยากได้ยินจากปากและอยากให้มันเป็นออกมาจากใจด้วยเช่นกัน

    ...อย่าว่าแต่กรณ์เลย เขาเองก็ไม่เคยบอกรักให้ได้ยิน ทั้งที่รักผู้ชายคนนี้เต็มหัวใจ รักจนไม่สนใจเงื่อนไขใดๆ ของสังคม…

    หลังจากปล่อยให้กรณ์ได้นอนต่อบนหัวไหล่ตัวเองอีกร่วมสิบนาที เขาก็ปลุกแล้วดันคนตัวใหญ่ให้ไปล้างหน้าอาบน้ำเพราะวันนี้กรณ์มีเรียนตอนเช้า เขาเองก็ด้วย ระหว่างที่ขับรถเขาป้อนแซนด์วิชที่ทำเองแบบปัจจุบันทันด่วนให้กรณ์ เพราะตั้งแต่เมื่อคืนกรณ์กับเขายังไม่ได้กินอะไรเลย การที่ได้อยู่ร่วมกันแม้จะเป็นระยะเวลาไม่กี่วัน ทำให้รู้ว่ากรณ์ไม่ใช่คนเรื่องมากในการกิน ทั้งคู่มาถึงมหาวิทยาลัยตอนเกือบเก้าโมง ก่อนจะลงจากรถก็โดนหอมแก้มไปฟอดใหญ่ แล้วจึงแยกย้ายกันไปเรียน

    ตกเย็นเขาต้องกลับไปที่พักเอง เพราะกรณ์มีคุยงานกับชนวีร์ เขาไม่ได้งี่เง่าอยากรู้อะไรเพิ่มเติม แค่อีกฝ่ายส่งข้อความมาบอกก็รับรู้ ระหว่างที่รอรถเมล์โทรศัพท์ก็ดังขึ้น คนที่โทรเข้ามาคืออริญชย์

    “ครับพี่...”

    “เย็นนี้ว่างไหม...ต้องว่างสิ ไอ้กรณ์มันไปกับไอ้อ้วน ตอนนี้นายอยู่ที่ไหน เดี๋ยวพี่ไปรับ อาใหญ่อยากคุยกับนายน่ะ”

    “ครับ? เอ่อ...” ดนตร์ลังเล ตั้งแต่เมื่อวานแล้วเขาครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ตลอด พอเข้าเรียนก็ลืมไปเลย “...ผมอยู่หน้ามหา’ลัยนี่เองครับ”

    หลังจากบอกพิกัดที่อยู่ไป ไม่ถึงห้านาที รถออดี้สีดำก็มาจอดตรงหน้า เจ้าของรถกดกระจกลงอวดใบหน้าหล่อเหลา อริญชย์สวมแว่นกันแดดสีดำยิ่งส่งให้เจ้าตัวเท่กว่าเดิม ดูเหมือนว่าจะตัดผมมาใหม่ด้วย

    “พี่รันตัดผมใหม่เหรอครับ” ดนตร์ทักทาย รุ่นพี่หนุ่มยิ้มกว้างพยักหน้าเล็กน้อย

    “ขึ้นรถเร็ว อาใหญ่รอนายอยู่”

    รถออดี้ยังคงวิ่งด้วยความเร็วที่ไม่ต่างจากครั้งแรกที่ได้นั่ง ทั้งอริญชย์ ธาวินและกรณ์ต่างก็เป็นพวกบ้าความเร็ว ถึงขนาดเคยประลองฝีมือกันมาแล้ว โดยมีเขาร่วมอยู่ในเหตุการณ์ มันเป็นครั้งแรกที่ได้ไปเหยียบสนามแข่งรถ โดยตัวเองไปยืนอยู่กลางสนามและเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นอุบัติเหตุร้ายแรงต่อหน้าต่อตา เขาเผลอจิกมือลงกับเบาะหนังชั้นดี เหลือบมองเบื้องหน้าบ้างเป็นระยะ แต่หลักๆ จะหลับตาเสียมากกว่า

    กระทั่งรถหยุดลง เขาถึงได้ลืมตาขึ้น สิ่งแรกที่ได้เห็นคือรอยยิ้มกว้างของอริญชย์ หน้าเขาคงตลกมากอีกฝ่ายถึงได้ระเบิดหัวเราะเสียงดัง

    “หน้าซีดเป็นกระดาษเลยนะ”

   ดนตร์ไม่ตอบโต้ ได้แต่ย่นจมูกใส่

    สถานที่ที่อริญชย์พามาเป็นเกสต์เฮาส์สองชั้นสไตล์คอนเทมโพรารี่ สีขาว ดูทันสมัยและเข้ากับอาใหญ่ ตัวบ้านมีอาณาบริเวณแม้พื้นที่จะไม่ได้กว้างมากแต่ก็เป็นส่วนตัว ไฟสีเหลืองนวลติดอยู่ตามมุมรั้ว ช่วยเพิ่มความละมุนให้กับยามเย็นที่หนาวเหน็บ ไม่มีต้นไม้สักต้นมีแต่กระถางดอกไม้เล็กๆ วางเรียงแบบไม่เป็นระเบียบอยู่บนชายปูน บางต้นก็ตายแล้วแต่บางต้นก็มีดอกให้เห็น แต่ก็เล็กแกร็นเสียจนน่าสงสาร เจ้าของบ้านคงยุ่งมากจนไม่มีเวลาดูแล

    อริญชย์เดินนำเข้าไปในตัวบ้าน ที่เป็นสีขาวเช่นเดียวกับด้านนอก การตกแต่งหรูหราและมีสไตล์ เฟอร์นิเจอร์หลายชิ้นนำเข้าจากต่างประเทศ เขาเห็นแผ่นไม้แกะสลักเป็นรูปช้างด้วย เดาว่าคงมาจากประเทศไทย

   “นั่งตรงนี้ เดี๋ยวไปตามอาใหญ่ก่อน”

    เขาถูกสั่งให้นั่งรออยู่ในห้องโถงโอ่อ่า บ้านของอาใหญ่เหมือนกับฉากในหนังฝรั่งที่เคยดู เผลอยกมือลูบโซฟาหนังนุ่มๆ ไปหลายหน ไม่ใช่ว่าไม่เคยนั่งเพราะที่คอนโดของกรณ์ก็มีเหมือนกัน แต่พอย้ายไปอยู่บ้านหลังเก่าโมดิฟายใหม่ อะไรๆ ก็ยังไม่เข้าที่ เขาไม่ได้ติดสบายแค่อยากทดลองเป็นเศรษฐีบ้างก็เท่านั้นเอง นั่งเล่นอยู่ไม่ถึงห้านาที เจ้าของบ้านก็ลงมา เขาลุกขึ้นโค้งตัวลงเพื่อทำการทักทายผู้สูงวัย อาใหญ่ยิ้มกลับ สีหน้าอิดโรยอย่างเห็นได้ชัด

    “ไม่ต้องเป็นทางการขนาดนั้นหรอก” อาใหญ่โบกมือในอากาศ ก่อนจะนั่งลงบนโซฟาตัวเดียวกัน แล้วเริ่มเข้าเรื่องทันที “คืออย่างนี้ มีหนังสือเล่มหนึ่งให้งานฉันมา เขาไม่อยากได้นายแบบหน้าเดิมๆ อยากได้เด็กใหม่ๆ ยิ่งไม่เคยผ่านงานไหนมาเลยยิ่งดี แล้วฉันก็คิดว่านายพอใช้ได้”

    “ผมเนี่ยนะ” ดนตร์ชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง อาใหญ่พยักหน้า “แต่ผมไม่หล่อ....”

    “นายแบบไม่จำเป็นต้องหล่อ แค่ให้เหมาะกับงานก็พอ”

    จากนั้นอาใหญ่ก็อธิบายถึงธีมงานคร่าวๆ ด้วยความรู้เรื่องถ่ายภาพที่มีแค่หางอึ่งทำให้จับใจความได้แค่ว่า งานชิ้นนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเสื้อผ้าแต่เป็นการเน้นเทคนิคการถ่ายของช่างภาพมากกว่า แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทำไมต้องเป็นเขา

   “แล้วทำไมถึงต้องเป็นผมล่ะครับ หน้าตาผมไม่ได้น่าสนใจตรงไหนเลย”

    “ถ้าฉันทำให้คนไม่น่าสนใจกลายเป็นน่าสนใจขึ้นมา มันก็น่าสนุกดีไม่ใช่เหรอ” อาใหญ่บอก ดวงตาเป็นประกายราวกับกำลังทำเรื่องท้าทาย

    “ไม่ต้องเครียดไปหรอก แค่ถ่ายภาพเล่นๆ คิดซะว่าถ่ายรูปเล่นไง” อริญชย์สำทับอีกแรง

    แม้จะเป็นการเกลี่ยกล่อม แต่เขากลับไม่รู้สึกถึงแรงกดดันเลย ตรงกันข้ามกันกลับรู้สึกถึงแรงกระตุ้นจากภายใน มันคือโอกาส และเขาก็ไม่ควรปล่อยให้มันหลุดมือไป

    “ตกลงครับ ฝากตัวด้วยนะครับ...อาใหญ่”

    “ทำไมถึงไม่มาปรึกษาฉันก่อน จะรู้ได้ไงว่าไอ้สองอาหลานนั่นไม่ได้หลอกนาย ถ้ามันรวมหัวกันมอมยานายแล้วทำเรื่องอย่างว่าจะทำยังไง”

    เสียงบ่นดังยาวต่อเนื่องจากคนที่กำลังหน้าดำคร่ำเครียดเพราะไม่เห็นด้วยกับการตอบรับเป็นนายแบบของดนตร์ หลังจากที่ได้ยินว่าอาใหญ่ ช่างภาพจอมกวนโมโหแถมยังมีศักดิ์เป็นอาของอริญชย์ ชักชวนให้คนของตัวเองไปเป็นนายแบบ แน่นอนว่าถ้าหากเป็นเอเจนซี่รายอื่นเขาคงสนับสนุนหรืออย่างน้อยก็ช่วยคัดกรองให้ แต่สองอาหลานนี่มันไม่น่าไว้ใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนเป็นหลาน ที่จ้องจะงาบดนตร์อยู่แล้ว

    “ไม่มีใครเขาคิดอคติเหมือนพี่หรอก” ดนตร์ค่อนแคะเบาๆ แต่ก็ดังพอที่จะกระตุ้นต่อมโมโหให้โตกว่าเดิม

    “เพลง!!”

    “พี่ครับ~” ดนตร์ทอดเสียงอ่อน ใช้แววตาออดอ้อน ยอมรับว่าวินาทีแรกที่ได้เห็นมันเล่นเอาใจสั่นเลยทีเดียว “แค่ถ่ายแบบเอง นะ นะ นะ...นะครับ ผมสัญญาว่าจะไม่มีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นแน่นอน หรือว่าพี่...ไม่ไว้ใจผม”

    กรณ์บอกให้ตัวเองใจแข็ง แม้ว่าดวงตากลมแต่แก้วตากลมใสนั่นจะชวนให้กระโจนเข้าหาก็ตาม ตั้งแต่หลอกล่อให้มาเป็นคนของกรณ์ ดนตร์ไม่เคยทำหน้าตาน่าฟัดแบบนี้ให้เห็นเลยสักครั้งเดียว ไอ้เจ้าเด็กนี่ไม่รู้หรอกว่า หน้าตาตอนอ้อนมันน่ารักพอๆ กับน่าลากขึ้นเตียง ริมฝีปากอิ่มแดงจัดเผยอน้อยๆ พอเห็นฟันกระต่าย ที่ร้ายคือสายตา!

    ...ลูกอ้อนของดนตร์ช่างร้ายกาจนัก!...

    ชายหนุ่มกระแอมดังๆ สองสามที เพื่อเรียกสติตัวเอง ก่อนจะปั้นหน้าดุ ที่จริงแล้วเรื่องการเป็นนายแบบของดนตร์ก็ไม่ได้ร้ายแรงนัก แค่ติดตรงที่คนชวนดันเป็นอาของอริญชย์เท่านั้นเอง ถ้าหากยอมปล่อยไปโดยไม่มีคนคุม เชื่อได้เลยว่าอริญชย์ต้องรุกหนักบุกทำแต้มแน่นอน ซึ่งเขาไม่มีวันยอม!

    “ถ่ายที่ไหน เมื่อไร ยังไง แล้วได้ค่าตัวเท่าไร”

    ดนตร์ยิ้มหวานจนตาหยีเป็นเส้นเดียว หัวใจเขากระตุกวูบอีกครั้งเมื่อเห็นลักยิ้มที่ข้างแก้ม

    ...น่ารักเกินไปแล้ว...

    “ถ่ายที่เชียงใหม่ครับ บ้านเกิดผมเอง ที่นั่นมีที่สวยๆ เยอะ แต่เป็นแบบอันซีนไทยแลนด์ อาใหญ่ท่านไปรีเสิร์ชข้อมูลมาดีมากเลยครับ รู้จักสถานที่ดีกว่าผมอีก แล้วก็จะได้ใช้โอกาสนี้กลับบ้านด้วย...” ดนตร์หยุดไป น้ำเสียงอ่อนลง “...ผมคิดถึงบ้าน”

    คำว่า ‘คิดถึง’ หยุดความคิดงี่เง่าของเขาได้ชะงักงัน เขาลืมไปเลยว่าดนตร์ยังไม่ได้กลับบ้านไปหาพ่อแม่เลยตั้งแต่ขึ้นมาเรียนที่กรุงเทพฯ สำหรับคนที่ไม่ค่อยผูกพันกับคำว่าครอบครัวอย่างเขาไม่เคยยี่หระเท่าไรนัก แต่คนที่มีครอบครัวอบอุ่นอย่างดนตร์ การห่างบ้านมาเป็นเวลานานๆ คงทั้งคิดถึงและโหยหาความอบอุ่นที่เคยได้รับ ส่วนเขามันอ้างว้างจนชินไปเสียแล้ว

    “ก็ได้...แต่ต้องให้ฉันไปด้วย”

    “ห๊ะ! แต่ว่า...”

   “ไม่มีแต่ ไม่อย่างนั้นเรื่องถ่ายแบบก็เลิกหวังไปได้เลย แล้วอีกอย่าง....” กรณ์ใช้สายตาเจ้าเล่ห์ ไล่มองลูกแกะตัวขาวตั้งแต่หัวจรดเท้า “คืนนี้เราต้องทำข้อตกลงกัน...ทั้งคืน”


(มีต่อ)

ออฟไลน์ libra82

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 285
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +236/-5
          หลังจากสอบเทสต์ย่อยเสร็จอาใหญ่ก็พาทีมงานถ่ายแบบย่อมๆ เดินทางไปเชียงใหม่ทันที มีเวลาแค่สามวันเท่านั้นคือศุกร์ เสาร์และอาทิตย์  แน่นอนว่ากรณ์ก็ต้องไปด้วย เพราะถ้าหากปฏิเสธเขาจะพลาดโอกาสนี้ไป แม้ว่าจะต้องแลกด้วยการปล่อยให้อีกฝ่ายได้ทำตามใจตั้งแต่เย็นจนพระอาทิตย์สางก็ตาม

    การเดินทางครั้งนี้ใช้เครื่องบินเป็นพาหนะ โดยอาใหญ่เป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายทั้งหมด ทีมงานของอาใหญ่มีด้วยกัน สามคน คือตัวอาใหญ่เอง ช่างแต่งหน้าพร้อมทำผมในตัว และพี่รัน ที่ยังไม่มีตำแหน่งตายตัว

   ที่นั่งของเขาติดกับอริญชย์เพราะอาใหญ่เป็นคนจองตั๋วเครื่องบิน อาใหญ่กับลูกน้องนั่งในแถวถัดมา จากกรุงเทพฯ มาเชียงใหม่ใช้เวลาการเดินทางไม่นานนัก นอนหลับเต็มอิ่มเครื่องก็ลงจอดแล้ว ดนตร์ยังไม่ได้โทรบอกที่บ้านว่าเขาจะกลับมาบ้าน เดิมทีตั้งใจว่าจะกลับก่อนปีใหม่สักวันสองวัน แต่กำหนดการเลื่อนขึ้นมาเร็วกว่าเดิมเล็กน้อยเพราะมีงานเข้ามาเกี่ยว อาใหญ่เพิ่งรู้ว่ารู้ว่าเชียงใหม่เป็นบ้านเกิดของเขาจากคำบอกเล่าของอริษญย์ มันอาจดูเหมือนเป็นการจงใจ แต่อาใหญ่ยืนยันว่าที่เลือกเชียงใหม่เป็นเพราะหลงรักในธรรมชาติจริงๆ

    ดนตร์ดึงโทรศัพท์ออกมากดนิ้วไปบนแป้นหน้าจอ ใส่โลเคชั่นที่อยู่ พร้อมกับข้อความสั้นว่า ‘@เชียงใหม่ ถึงบ้านแล้ว’ จากนั้นก็กดโพสต์ในเฟซบุ๊คของตัวเองตอนเกือบเที่ยง

    “ผมขอกลับบ้านก่อนนะครับ แล้วพรุ่งนี้จะรีบไปหาที่โรงแรมแต่เช้าเลย” ดนตร์บอกกับอาใหญ่ระหว่างที่ยืนรอรถแท็กซี่ ซึ่งท่านก็ไม่ได้คัดค้านอะไรได้แต่พยักหน้าอนุญาต

    “ฉันไปบ้านนายด้วยได้ไหม” อริญชย์กระซิบถาม

   “ได้ซิครับ แต่บ้านผมเล็กนะ ไม่ใหญ่เหมือนวังของพี่”

    “ใหญ่แต่อยู่คนเดียวก็เหงานะ” ดวงตาคมดูหงอยเหงาเมื่อพูดถึงบ้านหลังใหญ่ของตัวเอง

   ดนตร์รู้สึกผิดที่พูดไม่ทันคิด รีบยกมือขึ้นลูบแผ่นหลังกว้างเป็นเชิงขอโทษ “งั้นปีนี้ผมอนุญาติให้พี่รันเป็นแขกพิเศษ”

    “แขกพิเศษอะไร”

    “ก็อีกสองวันจะเป็นวันเกิดของน้ำเหนือ หลานชายผมเอง” ดนตร์ยักคิ้วไว พอพูดถึงน้ำเหนือก็คิดถึง อยากจะกลับไปดึงแก้มนิ่มใจจะขาด

    “หลานชาย? ฉันไปได้เหรอ”

    “ได้สิครับ ฉลองกันหลายๆ คนสนุกดี”

    อริญชย์ยิ้มกว้าง แสงสีเทาในดวงตาถูกแทนที่ด้วยประกายสดใส ดนตร์อมยิ้มจนเห็นลักยิ้มที่ข้างแก้ม บ้านหลังเล็กของเขายินดีต้อนรับพี่ชายที่แสนดีเสมอ…



    บ้านของดนตร์เป็นบ้านปูนสองชั้นปลูกตามสมัยนิยมแต่ยังมีกลิ่นไอสไตล์ล้านนาให้เห็นอยู่บ้าง ตั้งอยู่ในอาณาบริเวณร่วมหนึ่งไร่ มีต้นไม้น้อยใหญ่ที่ถูกปลูกอย่างเป็นระเบียบ สวนดอกไม้น่ารัก แถมยังมีแปลงผักเล็กๆ มีการแบ่งพื้นที่ใช้สอยได้คุ้มค่าเลยทีเดียว เมื่อกริ่งที่รั้วอัลลอยด์ดังขึ้นก็มีเสียงเห่าของสุนัขดังขึ้นทันที ก่อนที่จะมีเสียงเอ็ดของผู้หญิงตามมา ไม่นานรั้วก็เปิดออก เจ้าหมาตัวโตพันธุ์โกลเด้นลีทรีฟเวอร์ก็วิ่งออกมาต้อนรับด้วยลิ้นยาวๆ เปียกๆ และสองขาที่ยกขึ้นกระโจนใส่ผู้มาเยือน

    “อั่งเปาหยุดนะ! หยุดสิ! เจ้าหมาตัวนี้เอ็ดไม่เคยฟังเลย ขอโทษด้วยนะคะคุณ....เพลง!!” เจ้าของบ้านอุทานเสียงดัง
ดวงตากลมเบิกกว้างด้วยความแปลกใจ และเพียงแค่เสี้ยววินาทีก็เปลี่ยนเป็นปีติยินดี “จะมาทำไมไม่บอก ไหนว่าจะกลับก่อนปีใหม่ไง”

    “พูดมากเหมือนเดิมเลยนะพี่”

    “ไอ้เจ้าเด็กบ้า!”

    ดนตร์ยิ้มกว้างแล้วทั้งร่างก็เซไปด้านหลังด้วยแรงโถมจากพี่สาว เขายกมือขึ้นโอบร่างเล็กกว่าเอาไว้ วางใบหน้าลงกับหัวไหล่บางของพี่สาว ความคิดถึงท่วมท้นหัวใจจนต้องกลั้นน้ำตาเอาไว้

    “คิดถึงพี่นะครับ” คนเป็นน้องกระซิบบอก พี่สาวของเขาผอมลงกว่าครั้งสุดท้ายที่เจอกัน ตัวเล็กนิดเดียวไม่น่าเชื่อเลยว่าจะสามารถอุ้มท้องเจ้าหลานชายตัวอ้วนกลมเป็นลูกขนุนได้

    “คิดถึงเหมือนกัน” พี่สาวกระซิบกลับ ก่อนจะคลายอ้อมแขนแล้วผละห่างออกมาเล็กน้อย ดวงตากลมที่เหมือนกันกับของเขาเปี๊ยบกวาดไล่มองตั้งแต่เส้นผมถึงปลายเท้า “ผอมลงไปหรือเปล่า ดูสิแก้มตอบเลย” มืออ่อนนุ่มทาบที่ผิวแก้ม

    “อาหารที่กรุงเทพฯ ไม่อร่อย สู้ฝีมือแม่ไม่ได้เลย”

   โฮ่ง โฮ่ง

    “เฮ้ย! อย่าเลียสิ ฉันไม่ชอบหมา”

    เสียงชายหนุ่มที่ทั้งทุ้มและต่ำกว่าดนตร์ดังขึ้น สองพี่น้องหันมองต้นตอ หนุ่มหล่อตัวสูงเกินหกฟุตกำลังยกขาซ้ายสลับขวาเบี่ยงตัวหนีเจ้าอั่งเปาอย่างน่าขัน แถมยังโบกมือไล่ราวกับมันเป็นสัตว์น่ารังเกียจไม่ใช่สุนัขพันธุ์ขี้เล่นและใจดี

    ถึงตอนนี้ดนตร์เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเขาไม่ได้กลับบ้านมาเพียงลำพัง แต่ยังมีรุ่นพี่คนสนิทมาด้วย อริญชย์กระโดดโหยงเหยงหลบเจ้าอั่งเป่าที่พยายามจะสร้างสัมพันธไมตรีด้วย แต่อริญชย์ไม่มีวี่แววว่าจะตอบรับสักนิด ดนตร์เกือบหลุดขำถ้าไม่เห็นคำถามจากสายตาของพี่สาวเข้าเสียก่อน

    “เอ่อ...นี่พี่รันครับ รุ่นพี่ที่มหา’ลัย”

    เขาอธิบายสั้น พี่นับดาวยังไม่ได้ถามอะไรเพิ่มเติมแต่เชื่อเหลือเกินว่าไม่เกินคืนนี้ทุกข้อสงสัยที่เกี่ยวกับอริญชย์จะต้องถูกซักจนขาวแน่

    เจ้าอั่งเปาตัวยุ่งถูกพี่นับดาวจับดึงจนยอมถอยจากอริญชย์ อาคันตุกะหนุ่มถอนหายใจเสียงดังสีหน้าผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัด “ต้องขอโทษด้วยนะคะ เจ้าอั่งเปามันขี้เล่นไปหน่อย”

    “ไม่เป็นไรครับ…ผมต่างหากที่ต้องขอโทษ พอดีไม่ค่อยถูกกับหมาเท่าไรน่ะครับ ถ้าเป็นแมวพอไหว”

    “ชอบแมวเหรอคะ” นับดาวตาวาว “ชอบเหมือนกันเลยค่ะ แต่รายนี้” ตากลมเหลือบไปทางดนตร์ “ดันแพ้ขนแมว เลยห้ามเลี้ยง แต่กับขนหมากลับไม่เป็นอะไรนะคะ เจอขนแมวทีไรจามเป็นวันๆ”

    “เพลงเนี่ยเหรอครับ แพ้ขนแมว”

    “ใช่ค่ะ จามไม่หยุดเลย ตาหูแดงไปหมดจนฉันต้องเอาแมวไปให้เพื่อนเลี้ยงแทน”

   “พอเลยๆ ทำไมต้องมาเผาผมต่อหน้าคนอื่นด้วยล่ะ” คนถูกพาดพิงทำปากคว่ำ เมื่ออดีตถูกระลึก

    “คนอื่นที่ไหน ก็นายบอกว่ารันเป็นรุ่นพี่ที่มหา’ ลัย เออตายจริง! ลืมไปเลย ฉันชื่อนับดาวนะคะ เป็นพี่สาวของเพลง” นับดาวแนะนำตัวอีกครั้ง ก่อนจะผายมือต้อนรับแขกของน้องชาย “เข้ามาก่อนสิคะ…บ้านเรายินดีต้อนรับค่ะ”

    ครอบครัวของดนตร์ประกอบไปด้วยนที ผู้เป็นบิดา มารดาชื่อดาริน นับดาวพี่สาว และดนตร์น้องคนเล็กของบ้าน แต่ตอนนี้มีสมาชิกใหม่เพิ่มมาอีกหนึ่งราย นั่นคือน้ำเหนือ ลูกชายของนับดาว เด็กทารกวัยสิบสองเดือนตัวอ้วนท้วนจ้ำม่ำน่าฟัด แก้มเป็นพวงใส ดวงตากลมดำ ชอบส่งเสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊าก เป็นสมาชิกใหม่ที่สร้างความสุขให้กับครอบครัว ส่วนสามีของนับดาว ทำงานอยู่เชียงราย วันหยุดถึงกลับมา

    อริญชย์ถูกแนะนำตัวอีกครั้งต่อหน้าทุกคน บิดาของดนตร์เป็นชายวัยใกล้หกสิบปี ดวงตาสีสนิมอยู่หลังแว่นกรอบสีทองทรงกลม ท่าทางใจดีและเป็นกันเอง ส่วนมารดาเป็นสตรีรูปร่างผอมบาง ใบหน้าสวยงามตามวัยแต่เชื่อเหลือเกินเมื่อครั้งยังสาวท่านมีความสวยระดับนางงามบนเวทีแน่นอน ทั้งสองให้การต้อนรับอริญชย์ดีไม่ต่างจากญาติของตัวเอง มีน้ำ ขนมมารับรอง ชวนพูดคุยช่วยทำให้ผ่อนคลายเหมือนได้คุยกับญาติผู้ใหญ่มากกว่าจะเป็นคนแปลกหน้า

    “กินข้าวต้มหัวหงอกนี่สิ ป้าเขาทำเองเลยนะ กล้วยเก็บมาจากหลังบ้าน เจ้าน้ำเหนือกินทีเป็นลูกๆ เลย เด็กอะไรไม่รู้กินเก่งเหมือนยัดหมอน”

    ข้าวต้มหัวหงอกที่เจ้าบ้านบอก ก็คือข้าวต้มมัดของภาคกลาง แต่เวลากินจะหั่นเป็นชิ้นพอดีคำแล้วนำเอามะพร้าวอ่อนขูดมาวางด้านบน เลยเรียกว่าข้าวต้มหัวหงอก อริญชย์มองไปยังร่างเด็กชายตัวกลมที่กำลังนั่งขย่มบนตัวดนตร์ น้ำเหนือหน้าเหมือนนับดาวผู้เป็นเลยแม่ไม่น้อย เลยทำให้บางมุมมีส่วนคล้ายดนตร์อยู่ไม่น้อย โดยปกติอริญชย์เป็นพวกไม่ค่อยถูกกับเด็กนัก ยิ่งเด็กเล็กยิ่งถอยห่าง เพราะไม่ชอบเสียงกรีดร้องเท่าไรนัก แต่น้ำเหนือผิดกับเด็กคนอื่นที่เคยเจอมา ทารกน้อยอารมณ์ดีหัวเราะตลอดเวลา แถมบางครั้งยังส่งเสียงอ้อแอ้คล้ายกับจะสนทนากับผู้ใหญ่ได้อีกด้วย

    “เลี้ยงยากไหมครับ” อริญชย์เอ่ยถาม ระหว่างนั้นก็ตักขนมเข้าปาก ที่จริงแล้วชายหนุ่มไม่นิยมกินขนมนัก แต่ไม่อาจปฏิเสธได้ด้วยเกรงจะเสียมารยาท ทว่าทันทีที่ปลายลิ้นรับรสหวานกำลังดี ฟันได้เคี้ยวกับข้าวเหนียวเนื้อนุ่มหวานกำลังดี เขาก็ห้ามมือตัวเองไม่ได้อีก นทียังไม่ทันได้ตอบคำถามขนมก็เกือบจะหมดจานแล้ว

    “อร่อยล่ะสิ” นทียิ้มบางๆ “เลี้ยงง่ายมาก ดูจากตัวสิ กินหมดทุกอย่าง ไม่ค่อยงอแงยกเว้นตอนหิวกับปวดท้อง”

     “น่ารักดีครับ หน้าเหมือนเพลงเลย”

    “ใช่ ตอนเห็นทีแรกนึกว่าแฝดเจ้าเพลง”

    อริญชย์หัวเราะเบาๆ มองสองน้าหลานที่เล่นกันง่วน น้ำเหนือทั้งขี้อ้อน ทั้งน่ารัก ตัวอ้วนพีน่าฟัด เขากินไปนั่งมองเด็กอ้วนไป รู้ตัวอีกทีขนมก็หมดเกลี้ยง เจ้าบ้านส่งน้ำชาอุ่นๆ ให้ เขาขอบคุณท่านแล้วค่อยๆ จิบน้ำชากลิ่นหอมรสฝาดนิดๆ ลดอาการฝืดคอ แล้วก็ค้นพบอีกอย่างว่าข้าวต้มมัดกับน้ำชามันเข้ากันได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อ

    ดนตร์ส่งตัวหลานชายตัวอ้วนให้พี่สาวหลังจากระบายความคิดถึงไปชุดใหญ่ ก่อนจะเดินมาสมทบกับบิดาและอริญชย์แล้วหยิบขนมเข้าปากเคี้ยวตุ้ยๆ

    “มาถึงก็กินกับกิน ไม่คิดจะเล่าเรื่องที่กรุงเทพฯ ให้ฟังหน่อยหรือไง” นทีบ่นแต่ไม่จริงจังนักแถมยังใจดีส่งถ้วยน้ำชาให้ลูกชายเสียอีก

    “ก็ผมหิวนี่”

    อาคันตุกะของบ้านมองภาพครอบครัวแล้วก็อดสะท้อนใจไม่ได้ ครอบครัวของดนตร์ไม่ได้มีฐานะร่ำรวยระดับมหาเศรษฐีก็จริงทว่ากลับมีความรักเต็มเปี่ยมจนคนนอกอย่างเขายังสัมผัสได้ ไม่แปลกใจเลยที่ดนตร์จะเป็นเด็กดีเพราะถูกเลี้ยงดูมาในครอบครัวที่ดีนี่เอง พวกเขานั่งพูดคุยกันอีกพักใหญ่ คุณดารินก็มาถามให้ไปทานข้าวในครัวเพราะได้เวลามื้อเย็นพอดี ดนตร์ชวนเขาเอากระเป๋าไปเก็บบนห้องรับรองแขกก่อน

    “มันเคยเป็นห้องเก่าของพี่นับดาวครับ พอมีน้ำเหนือเลยต้องทำห้องเพิ่ม”

    ห้องที่ดนตร์พามาเป็นห้องขนาดกลาง ร่องรอยของเจ้าของเก่ายังมีให้เห็นสังเกตได้จากโปสเตอร์นักร้องดัง และผนังบางส่วนที่ยังเป็นสีชมพู ส่วนอื่นๆ ก็ไม่ได้แย่นัก เตียงสามฟุตครึ่ง ซึ่งคาดว่าขาของเขาน่าจะเลยมาเล็กน้อย ตู้เสื้อผ้าเล็กๆ โคมไฟ และโต๊ะตัวเล็กๆ อีกตัวที่มุมห้อง อริญชย์เอากระเป๋าไปวางบนเตียง ย่อตัวลงนั่งทดสอบความแข็งแกร่ง

    “นี่ผ้าห่มครับ เชียงใหม่หนาวกว่าที่กรุงเทพฯ เยอะเลย” ผ้าห่มสีขาวสะอาดเช่นเดียวกับกลิ่นจมอยู่ในอ้อมแขนเล็ก ดนตร์โยนมันใส่ตัวเขา “ห้องน้ำมีในตัวนะครับ ไม่รู้ว่าเครื่องทำน้ำอุ่นยังใช้ได้อยู่หรือเปล่า แต่ถ้ามันเสียพี่ไปอาบห้องผมได้นะ อยู่ติดๆ กันนี่แหละ อ้อ! ห้องฝั่งซ้ายนะ ถ้าฝั่งขวาเป็นห้องน้ำเหนือ”

    ห้องนี้เล็กกว่าห้องของเขาหลายเท่าตัว ไม่มีเฟอร์นิเจอร์หรือสิ่งอำนวยความสะดวกใดๆ และถึงแม้จะยังไม่ได้เข้าไปสำรวจในห้องน้ำก็เดาได้ว่าคงไม่มีอ่างน้ำวนไว้บริการเป็นแน่ ไฟก็แค่หลอดนีออนธรรมดาไม่ใช่โคมระย้า และไม่มีเครื่องเครื่องปรับอากาศ มีแค่พัดลม ทว่ามันกลับทำให้เขารู้สึกอบอุ่นไม่ใช่แค่ร่างกายแต่ยังไปถึงหัวใจด้วย เขารู้ดีว่าองค์ประกอบภายนอกมันไม่สำคัญหากแต่เป็นเพราะครอบครัวต่างหาก

   ...เขาทั้งมีความสุขและอิจฉาไปพร้อมกัน...

   “เพลง”

    “ครับ?”

    “...ขอบคุณนะ”

    คิ้วสวยเลิกขึ้นเล็กน้อยด้วยความแปลกใจ ก่อนจะคลายลงพร้อมรอยยิ้ม “ไม่เป็นไรครับ”


    ตาคมเหลือบมองนาฬิกาข้อมือที่เดินอย่างเอื่อยเฉื่อย แต่ละนาทีผ่านไปเชื่องช้าเสียจนน่าหงุดหงิด ชายหนุ่มเผลอถอนหายใจเสียงดังจนคนข้างๆ ได้ยิน

    “เป็นอะไร”

    “ไม่มีอะไร” เขาส่ายหน้าปฏิเสธทั้งที่ในอกร้อนรุ่มเหมือนมีไฟมาสุม ให้ตายเถอะ! ทำไมพ่อต้องนัดให้เขามาคุยกับบริษัทที่จะต้องฝึกงานวันนี้ด้วย!

    วันนี้เป็นวันมหาโลกาวินาศสำหรับเขาอย่างแท้จริง สู้อุตส่าห์วางแผนจะไปตามประกบว่าที่ดนตร์เพื่อป้องกันไม่ให้นกหนูที่ไหนมาก่อกวนได้ แต่ทุกอย่างก็พังไม่เป็นท่าเพราะบริษัทที่บิดาหาไว้ให้เขาเพื่อเข้าฝึกงานเรียกคุยรายละเอียดในวันนี้ เขาพยายามเกลี่ยกล่อมบิดาอยู่นานเพื่อหาทางเลื่อนวันออกไปแต่ก็ไม่เป็นผล เพราะเป็นบริษัทค่อนข้างใหญ่ กฎระเบียบเข้มงวด และถ้าหากเขาผิดนัดตั้งแต่วันแรกมันจะกระทบกับชื่อเสียงของบิดาด้วย ดังนั้นเขาถึงต้องยอมให้ดนตร์เดินทางไปก่อนแล้วเขาจะบินตามไปทันทีที่เสร็จธุระ

    เขาถูกนัดตอนเก้าโมงที่โรงแรมหรูกลางเมืองกรุงเทพฯ หลังจากส่งดนตร์ขึ้นเครื่องแล้วก็ต้องรีบบึ่งรถมาที่นี่ทันที เขามาถึงก่อนเวลานัดสิบห้านาที แต่ก็ยังช้ากว่าบิดาที่บินตรงมาจากภูเก็ต และเข้าพักที่นี่เพื่อเข้าร่วมการพูดคุยในครั้งนี้ด้วย

    ท่านไม่ได้ถามถึงดนตร์ ซึ่งนั่นก็นับว่าเป็นเรื่องดีเพราะไม่อย่างนั้นท่านจะรู้ว่าเขากำลังจะบินตามคนรักไปเชียงใหม่ในวันนี้!

    เขาถูกเชิญให้เข้าไปพบกับคุณเพชร เจ้าของบริษัทรับออกแบบบ้านและสิ่งปลูกสร้าง คุณเพชรเป็นชายวัยใกล้เคียงกับ
บิดา ผมสีดอกเลา ใบหน้ามีริ้วรอยแห่งวัย ผู้ใหญ่ทั้งคู่ทักทายกันเล็กน้อยก่อนที่บิดาจะแนะนำตัวเขาอย่างเป็นทางการ

    รายละเอียดของงานไม่ได้ยุ่งยากนัก แผนกที่เขาต้องทำเกี่ยวข้องกับที่เรียนมาด้วย ผลงานของเขาถูกเอามาเป็นหนึ่งในตัวช่วยตัดสินใจ แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะได้แสดงฝีมือ เพราะเขาคือนักศึกษาฝึกงานซึ่งเป็นชนชั้นที่ต่ำที่สุดของบริษัท และแน่นอนว่าตำแหน่งลูกชายเพื่อนเจ้าของบริษัทไม่ได้มีความหมายเลย

    ...ตามข้อตกลงที่ทำกันไว้...

    กว่าจะทำความเข้าใจกันเสร็จก็กินเวลาไปถึงครึ่งวัน คุณเพชรที่มีทีท่าเป็นกันเองมากขึ้นชวนเขากับบิดาไปทานมื้อเที่ยงที่ห้องอาหารของโรงแรม ระหว่างนั้นเขาก็ฟังการรื้อฟื้นความหลังของเพื่อนรักทั้งสองตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยจนถึงวัยทำงาน จากนั้นทั้งคู่ก็แยกย้ายกันไปทำงานของตัวเอง นานทีปีหนถึงจะได้กลับมาพบปะกันบ้าง เขาได้รู้อีกอย่างหนึ่งว่าคุณเพชรเองก็หย่าร้างกับภรรยาเหมือนกันและมีลูกหนึ่งคน เป็นผู้ชายอายุมากกว่าเขา สองสามปีและตอนนี้เรียนอยู่ที่อเมริกา ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดคุณเพชรจะมีลูกชายเป็นด็อกเตอร์ในเร็ววันนี้แน่นอน

    เวลาล่วงไปจนถึงบ่ายจัด จากแค่กินข้าวพูดคุยกลายเป็นมีไวน์ชั้นยอดเข้ามาร่วม ผู้ใหญ่สองคนคุยกันออกรสมากกว่าเดิม ซึ่งส่วนใหญ่ก็ไม่ได้เกี่ยวกับเขา มีบ้างที่ถามไถ่ถึงการเรียน ชีวิตส่วนตัว เขาก็ตอบไปแบบสงวนคำ ความกังวลมีมากขึ้นทุกนาที ดนตร์โพสต์ในเฟซบุ๊คเมื่อหลายชั่วโมงก่อนว่าถึงเชียงใหม่แล้ว ไม่รู้ว่าอริญชย์มันจะทำคะแนนใส่ดนตร์ไปกี่กระบุงแล้ว ยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิด ทั้งหึงทั้งหวง ทั้งเป็นห่วงตีกันวุ่นไปหมด

    “เป็นอะไร”

   “ไม่มีอะไร” เขาตอบคำถามบิดา รู้สึกปวดที่หัวคิ้วคงเพราะขมวดมันนานเกินไป

    “ขึ้นเครื่องกี่โมง”

    “ครับ?”

    “จะไปเชียงใหม่ไม่ใช่หรือไง จองตั๋วไว้กี่โมงล่ะ” บิดาถามต่อ กรณ์เลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ ท่านระบายยิ้มบางที่มุมปาก “ฉันเป็นพ่อแกนะกรณ์ เรื่องของแกทำไมฉันจะไม่รู้”

    กรณ์ขยับปากพึมพำต่อว่าบิดา ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าเขาต้องตามดนตร์ไปเชียงใหม่แต่กลับยื้อเวลาราวกับจงใจแกล้ง

    “ผมยังไม่ได้จองตั๋ว จะซื้อแล้วไปเลย”

    “แล้วรออะไร ทำไมยังไม่ไปสักที”

    “ก็!!...” กรณ์หยุดปากตัวเองไว้ได้ทัน ไม่ได้โกรธแค่หน้าชาเพราะรู้สึกเหมือนเด็กโดนผู้ใหญ่แกล้ง

    “อ้าว กรณ์มีธุระเหรอ ไปสิ เดี๋ยวลุงกับกริชจะอยู่คุยกันอีกพัก ติดลมแล้วล่ะ” คุณเพชรบอก แก้มเริ่มแดงด้วยฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ราคาแพง

    เขาเลื่อนกายออกจากเก้าอี้ทรงสูง โค้งตัวลงต่ำก่อนจะกล่าวอำลาผู้ใหญ่ทั้งสอง แต่ก่อนจะเดินจากไปเสียงของบิดาก็ดังขึ้น

    “ฉันไม่ได้รู้เรื่องแกดีขนาดนั้นหรอก ฉันแค่กดติตามเพลงในเฟซบุ๊คไว้น่ะ”

                                                              ………………………….

ขอโทษนะคะที่อัพช้า  อย่างที่เคยบอกไปว่าแม่ป่วยต้องดูแลแม่ เหนื่อยมากเลย

ขอกำลังใจหน่อยเด้อค่า

ป.ล. มีนิยายมาให้ช่วยอุดหนุน สนุกๆ เรื่องราวของรักธรรมเด็กชั้นมัธยม ที่ต้องใช้หนี้แทนพ่อแม่ด้วยการดูแลลูกชายเจ้าหนี้ ดราม่า ซาบซ่าส์ถึงใจ

  The Chain โซ่ร้ายพันธนาการรัก



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-08-2017 20:33:08 โดย libra82 »

ออฟไลน์ แม้วธวัลหทัย

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
คุณพ่อพี่กรรรรณ์
มีความป๋าแบบที่น้องชอบบบ
งื้อออออ

รักๆ พี่กวางนะคะ
ขอบคุณสำหรับตอนนี้

กรณ์หัวปั่นบ้างก็ดี

น้ำเหนือออ
เด็กอ้วนนน
อยากฟัดดดดดดด

ออฟไลน์ pamhicc

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 265
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
เพลงจะเป็นนายแบบแล้ว เย้ๆ จะมีคนเข้าหาอีกไหมน้ออ
ขอบคุณมากนะคะะ ขอให้คุณแม่หายป่วยไวๆนะคะ สู้ๆๆ :กอด1:

ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1425
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
พี่กรณ์นี่หลงเพลงมากๆๆๆเลยนะคะ โดนพ่อแกล้งอีก55
ถึงเชียงใหม่ระเบิดจะลงมั้ยเนี่ยะ

ออฟไลน์ panitanun

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 482
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1

ออฟไลน์ libra82

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 285
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +236/-5
Chapter 19 Welcome to My Home


    อากาศที่เชียงใหม่หนาวกว่ากรุงเทพฯ หลายเท่า เพราะเป็นจังหวัดที่รายล้อมด้วภูเขาเลยทำให้อุณหภูมิต่ำกว่าที่เคยสัมผัส มือหนากระชับเสื้อแขนยาวแน่นกว่าเดิม เพราะไม่ได้เช็คสภาพอากาศก่อนออกเดินทาง ชุดที่สวมใส่มาเลยไม่พอให้ไออุ่น แต่ใครมันจะใจเย็นได้ขนาดนั้น มากกว่าสิบสองชั่วโมงแล้วที่ปล่อยให้ดนตร์อยู่กับอริญชย์ ใจเขาร้อนยิ่งกว่าไฟแค่คิดว่าไอ้เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดมันจะฉอเลาะออดอ้อนดนตร์ เจ้าเด็กนั่นก็ซื่อก็เหลือใจ ไม่เคยตามลูกไม้ใครทัน!

    แท็กซี่จอดหน้าบ้านที่มีเลขที่ระบุไว้ตามกระดาษที่เขาส่งให้ตั้งแต่ก้าวขึ้นรถมา ถ้าหากชนวีร์ไม่ได้หลอกกัน บ้านสองชั้นท่าทางน่าอยู่หลังนี้คือบ้านของดนตร์ เขาจ่ายเงินให้คุณลุงคนขับและให้ส่วนที่เหลือเป็นค่าเหนื่อยในการขับวนหา พอก้าวลงจากรถลมเย็นก็พัดใส่ หน้าชาจนเหมือนเอาน้ำแข็งมาถูเล่น

   ตัวบ้านไม่ได้ใหญ่โตอะไร เทียบไม่ได้กับบ้านของเขาที่ภูเก็ตด้วยซ้ำ ทว่าเขากลับรับรู้ได้ถึงความอบอุ่น ความสุขหรือแม้แต่เสียงหัวเราะ ทั้งที่ไม่มีสรรพเสียงใดๆ หลุดมาให้ได้ยินนอกจากเสียงลมเย็นวาบที่กรีดผ่านผิวกายเท่านั้น หลังช่องหน้าต่างมีแสงสีส้มอ่อน เงาของต้นไม้ไม่ได้ดูน่ากลัวแต่ชวนร่มรื่นเสียมากกว่า เขาได้กลิ่นหอมอ่อนๆ คล้ายกับดอกไม้อีกด้วย

   โฮ่ง โฮ่ง!

    เสียงเห่าของสุนัขทำให้เขาเผลอยกขาหนีโดยอัตโนมัติก่อนที่ทันจะได้เห็นตัวด้วยซ้ำ พอหายตกใจก็หันมองไปรอบๆ เพ่งสายตาฝ่าความมืดโดยมีแค่แสงจากเสาไฟห่างๆ คอยช่วย แล้วก็พบกับเจ้าตูบตัวใหญ่ขนสีทอง มันยืนเห่าอยู่ในรั้วบ้าน กรณ์ลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก

   “ไง รูปหล่อ เจ้าของเราอยู่หรือเปล่า”

    โฮ่ง!

   เจ้ารูปหล่อที่เขาเรียกเห่ารับอีกครั้ง มันกระดิกหางต้อนรับอย่างเป็นมิตร มองไปมองมาก็ดูคล้ายเจ้าของไม่น้อย ยิ่งมองก็ยิ่งเอ็นดู เขาเดินเข้าไปใกล้ๆ มันก็ยื่นหน้าผ่านซี่รั้วอัลลอยด์ออกมา ลิ้นยาวห้อยลงมา น้ำลายไหลยืดยาว เจ้าโกลเด้นรีทีฟเวอร์ตัวนี้น่ารักเหมือนดนตร์เปี๊ยบ!

    โฮ่ง!

    “อั่งเปา เห่าอะไรน่ะ! มันดึกแล้วนะ เดี๋ยวข้างบ้านก็ออกมาด่าหรอก...อั่งเปา เข้ามานี่...อั่ง....”

    ดวงหน้าขาวค่อยๆ ปรากฏผ่านเงามืด ระยะห่างแคบลงเรื่อยๆ กระทั่งร่างโปร่งบางในชุดลำลองสบายๆ แต่อบอุ่นมาหยุดหลังประตูรั้ว กรอบหน้าไร้แว่นตาที่คอยบดบังความน่ารัก ดวงตากลมแต่มีแก้วตากลมใสมองตรงมา ริมฝีปากสดปลั่งเผยอขึ้นน้อยๆ นัยน์ตามีแววตระหนก

   “พี่...พี่กรณ์!” เจ้าของบ้านร้องเรียกชื่อเขาด้วยความตื่นเต้นระคนยินดี ดนตร์ผวามาที่ประตูรั้ว มือควานหาไปทั่วตัวราวกับจะหาอะไรบางอย่าง คิ้วสวยขมวดเข้าหากันน้อยๆ แล้วก็มีเสียงฮึดฮัดตามมา “รอแป๊บนะครับ เดี๋ยวผมไปเอากุญแจ...”

    มือขวาที่เย็นจนปลายนิ้วเริ่มชายกขึ้นคว้าต้นคอขาวของคนที่อยู่อีกฝั่งเอาไว้ ออกแรงรั้งให้ใบหน้าน่ารักโน้มต่ำเข้ามาใกล้ ก่อนจะประทับริมฝีปากลงไปบนกลีบปากนุ่มที่แสนโหยหา เวลาแค่สิบสองชั่วโมง สำหรับเขามันยาวนานพอๆ กับสิบสองปี ดนตร์ชะงักค้างไปชั่วอึดใจ พอตั้งหลักได้ก็ปล่อยตัวไปตามธรรมชาติ ร่างโปร่งขยับเข้าใกล้รั้วอัลลอยด์มากขึ้น กรณ์สอดมือรัดช่วงเอวบาง กระชากจนส่วนล่างของพวกเขาแนบชิดกันมีเพียงแค่ซี่รั้วเหล็กกั้นเอาไว้เท่านั้น ดนตร์ขยับหน้าปรับองศารับจูบเร่าร้อนเอาแต่ใจในช่วงแรก จากนั้นไม่นานก็หวานฉ่ำกำซ่านไปถึงหัวใจ คนตัวเล็กกว่าตัวสั่นด้วยฤทธิ์จูบ สมองชาวาบ ความคิดถดถอย ขณะที่ร่างกายอ่อนเปลี้ยไปหมดคล้ายคนไม่มีกระดูก จนต้องยกมือเกาะหัวไหล่หนาเอาไว้เพื่อช่วยพยุงกาย

    โฮ่ง โฮ่ง!

    เจ้าของบ้านสะดุ้งเฮือกหลังจากตกอยู่ในภวังค์นานหลายนาที แต่กว่าจะผละริมฝีปากออกมาได้มันก็บวมเห่อ แดงจัดไปหมด ดวงตากลมปรือปรอยแต่มีแววตื่นตระหนกอยู่เล็กน้อย กลีบปากอิ่มฉ่ำวาวเป็นเงา ร่างโปร่งหายใจเร็วจนหัวไหล่สะท้าน มือทั้งสองยังเกาะที่หัวไหล่ของอาคันตุกะพิเศษที่มาเยือน

    “เพลง!”

    ดนตร์อ้าปากหวอ หันหน้าขวับไปตามเสียงเรียก กรณ์เองก็เช่นกัน ตาคมเหลือบมองไปทางต้นเสียง เขาเห็นเงาของผู้หญิงผมสั้น รูปร่างค่อนข้างเล็ก อยู่ในชุดนอน เจ้ารูปหล่อหรือที่ดนตร์เรียกว่าอั่งเปาเห่าอีกรอบแล้ววิ่งกระดิกหางเข้าหา ไม่นานเมื่อพ้นจากเงาร่มของต้นไม้ใหญ่ กรณ์ก็ได้เห็นหน้าของสตรีผู้นั้นชัดเจนขึ้น ไม่ต้องเสียเวลาคาดเดา ผู้หญิงคนนี้คือ นับดาว พี่สาวของดนตร์นั่นเอง

    ยิ่งได้เห็นในระยะนี้ สองพี่น้องมีความคล้ายคลึงกันมากทีเดียว เขาไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเจ้าเด็กอ้วนน้ำเหนือถึงได้มีส่วนคล้ายดนตร์นัก

    “ใคร?” นับดาวถาม ส่งสายตาไม่เป็นมิตรมาให้แขกในยามดึก...ราวกับว่าเห็นอะไรบางอย่างที่ไม่สมควร

    “เอ่อ...รุ่นพี่ที่มหา’ลัย ครับ ชื่อกรณ์...พี่กรณ์ นี่พี่นับดาว พี่สาวผมเอง”

    กรณ์ปรับสีหน้าให้จริงจังมากขึ้น ก่อนจะทำความเคารพพี่สาวของดนตร์ ถ้าเดาไม่ผิดเธอน่าจะมีอายุมากกว่าเขาด้วยเช่นกัน
 
    นับดาวทำแค่พยักหน้ารับแล้วส่งกุญแจให้ดนตร์เพื่อประตูรั้วให้รุ่นพี่อีกคนที่มาเยือนใหม่ได้เข้ามาด้านใน ลมพัดแรงขึ้นกว่าเดิม จนคนแปลกถิ่นเผลอสูดปากครวญ ดนตร์อมยิ้มน้อยๆ ระหว่างที่รอให้คนตัวสูงเดินผ่านหน้าไป ก่อนจะลงกุญแจล็อคตามเดิม เมื่อทั้งหมดผ่านเข้าสู่ตัวบ้านฮวงทั้งหมดแล้ว เจ้าอั่งเปาเห่ารับอีกสองครั้ง ทำท่าจะต้อนรับแขกด้วยสองขาหน้า แต่โดนนับดาวดุเสียงเข้มเลยครางหงิงๆ วิ่งหางลู่กลับไปที่ของตัวเอง

    ระยะทางจากประตูรั้วไปที่ตัวบ้านราวๆ สิบเมตร สองข้างทางมีกระถางต้นไม้น่ารักๆ วางเรียงราย เขาเห็นของเล่นเด็กหลายชิ้นวางเกลื่อนอยู่บนสนาม บางชิ้นมีรอยขาดวิ่นคล้ายกับรอยฟัน เจ้าอั่งเปาคงช่วยน้ำเหนือเล่นของพวกนี้

   เมื่อประตูบ้านเปิดเขาก็ต้องหรี่ตาลงด้วยยังไม่ชินกับแสงสว่าง ไออุ่นจากด้านในทำให้หายใจได้คล่องขึ้น เขาเป็นพวกไม่ถูกกับอากาศหนาวเท่าไรนัก ยิ่งมาแปลกถิ่น อาการคัดจมูกยิ่งกำเริบ

   “เข้ามาก่อนสิ ว่าแต่กินอะไรมาหรือยัง เพลงเข้าไปดูซิว่าเหลืออะไรบ้าง”

    นับดาวบอก ถึงจะตัวเล็กแต่น้ำเสียงของเธอก็ก้องกังวาน ใบหน้าที่คล้ายกับดนตร์พยักพเยิดเป็นเชิงอนุญาตให้เขาหาที่ว่างๆ นั่ง

    กรณ์หย่อนสะโพกลงนั่งบนโซฟาสีอ่อนกลางห้องโถงอบอุ่น ไฟสีส้มช่วยทำให้ผ่อนคลาย กลิ่นหอมอ่อนๆ คล้ายนมลอยคลุ้งในอากาศ ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจนักเพราะที่นี่มีเด็กอ่อน เขาเหลือบมองรูปถ่ายสมาชิกของครอบครัว จากอาวุโสจนถึงวัยเยาว์ เด็กชายตัวอ้วนพีนั่งบนโซฟาหัวเราะโชว์ฟันไม่กี่ซี่คือสมาชิกคนล่าสุด นอกจากนั้นเขายังได้เห็นดนตร์วัยเด็กที่อยู่ในกรอบรูปเล็กๆ แก้มยุ้ยเป็นพวงแดงระเรื่อ ถึงตอนนี้แก้มจะหายไปเยอะแต่ก็ยังมีให้เห็น

    “คุณเป็นอะไรกับเพลงเหรอ” นับดาวนั่งลงบนโซฟาอีกตัวที่อยู่ติดกัน สีหน้าของเธอเคร่งเครียด เปิดฉากการต้อนรับอย่างจริงจัง

    “คุณเห็นอะไร...บ้าง?”

    เธอถอนหายใจ คิ้วที่ค่อนข้างเข้มขมวดน้อยๆ ผิวหน้าระเรื่อขึ้นเล็กน้อย “ฉันเห็นคุณจูบน้องชายฉัน”

    เสียงพูดแทบจะลอดผ่านไรฟันออกมา เธอหายใจแรงอยู่สองสามครั้งแล้วรีบปรับให้กลับมาเป็นปกติ... แต่นั่นไม่ได้ทำให้กรณ์รู้สึกหวาดหวั่นเลยสักนิด เพราะเขาไม่คิดจะปิดบังสถานะ ทุกครั้งที่คบหาดูใจกับใครสักคน เขาก็พร้อมที่เปิดเผยออกหน้าออกตา แม้ว่าครั้งนี้คนรักของเขาจะเป็นเพศเดียวกันแต่ก็ไม่อายที่จะบอกกับใคร ติดก็แต่อีกฝ่ายเท่านั้น ที่เขาค่อนข้างมั่นใจว่ายังไม่ได้บอกกับใครว่าตอนนี้กำลังคบอยู่กับเขา

    แม้ว่านี่จะเป็นสถานการณ์ ‘กลืนไม่เข้าคายไม่ออก’ แต่ขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกถึงความท้าทาย กรณ์ยิ้มมุมปาก ‘อย่างนี้สิน่าสนุก’

    “อย่างนั้นก็ไม่ต้องอารัมภบทให้มากความ ผมกับเพลง เราคบกัน”

    กรณ์จงใจเน้นคำว่า ‘คบกัน’ ไม่ได้อยากจะกระตุ้นต่อมโมโหให้ทำงานหนักกว่าเดิม ทว่าเขาอยากจะเน้นย้ำว่าเขาเป็นคนสำคัญของดนตร์

    “แต่คุณเป็นผู้ชาย เพลงก็ด้วย!”

   “แล้วยังไง คุณรังเกียจน้องชายตัวเองเหรอ” เขาถามกลับ นับดาวชะงักไปราวครึ่งวินาที ก่อนจะส่ายหน้า

   “ฉันไม่เคยรังเกียจสายเลือดตัวเอง แต่...”

    “เขาจะชอบผู้หญิงหรือผู้ชาย ยังไงเขาก็ยังเป็นน้องคุณอยู่ดี คุณไม่ต้องยอมรับเรื่องของเราก็ได้ แค่รับรู้ไว้ก็พอว่าผมรักน้องชายของคุณจริงๆ”

    นับดาวไม่ตอบ เธอเอาแต่จ้องหน้าเขานิ่ง ดวงตากลมมีแววสับสน นานจนสุดช่วงลมหายใจสามครั้ง เธอถึงได้เปลี่ยนสีหน้า ความมึนตึงที่ก่อตัวในคราวแรกละลายหายไปแต่ยังไม่ทั้งหมด เธอยังรักษาทีท่าของความเป็นพี่สาวเอาไว้

   “ฉันรักเพลง อะไรที่เพลงเลือกฉันก็ยินดีที่จะยอมรับ แต่พ่อกับแม่ ฉันว่าคุณคงต้องเหนื่อยหน่อยแล้วล่ะ”

    ไม่กี่อึดใจหลังจากนับดาวบอก ดนตร์ก็กลับออกมาจากห้องครัวพร้อมกับข้าวต้มร้อนๆ หอมกรุ่น กระเพาะที่ขาดอาหารมาหลายชั่วโมงติดต่อกันส่งเสียงโครกคราก ควันสีขาวลอยเหนือถ้วยกระเบื้องเคลือบ ดนตร์ไม่ได้มีแค่ข้าวต้มแต่ยังมีน้ำชาอุ่นๆ แถมมาด้วย ในเมื่อเจ้าของบ้านต้อนรับด้วยอาหารเขาก็ยินดีที่จะรับไว้ ทันทีที่ถ้วยข้าวต้มวางลงตรงหน้าเขาก็จัดการทันทีโดยไม่ต้องรอให้เตือน

    ระหว่างที่กำลังจัดการกับข้าวต้ม นับดาวก็ขอตัวขึ้นไปดูน้ำเหนือ ทิ้งให้เขาอยู่ด้านล่างกับดนตร์ตามลำพัง ภายในบ้านค่อนข้างเงียบแม้ว่าเพิ่งจะหัวค่ำ แต่ด้วยฤดูหนาวทำให้ความมืดปกคลุมตั้งแต่ช่วงเย็น ลมด้านนอกพัดดังตึงๆ เป็นระยะๆ แทรกกับเสียงทีวีที่น่าจะดังมาจากห้องใครสักคน แต่ที่ห้องโถงจอสี่สิบนิ้ว เป็นสีดำสนิท เขาเหลือบมองเจ้าของบ้านสลับกับกินข้าวต้มรสหวานกำลังดี ตัวข้าวเม็ดสีขาวนุ่มลิ้น ไม่รู้ว่าเพราะหิวหรือเพราะฝีมือกันแน่ที่ทำให้รู้สึกว่าข้าวต้มถ้วยนี้รสชาติดียิ่งกว่าที่อยู่ในโรงแรมเสียอีก

    “คืนนี้ฉันนอนห้องนายนะ”

    “ห๊ะ! อะไรนะครับ”

   “หูตึงหรือไง ฉันบอกว่าฉันจะนอนห้องนาย”

    “ไม่ได้..คือ...พี่รันก็....อยู่”

    “อะไรนะ!”

    ช้อนข้าวถูกทิ้งลงในถ้วย โชคดีที่ข้าวต้มพร่องลงไปเยอะเลยไม่ได้กระเด็นออกมานอกถ้วย คิ้วหนาเข้มของกรณ์ขมวดแน่น อารมณ์ดีๆ ที่กำลังก่อตัวสลายไปอย่างรวดเร็ว มือเรียวยาวคว้าคอเสื้อของอีกฝ่ายเอาไว้แล้วดึงเข้าหา ดนตร์หน้าเหวอ ขืนตัวสุดกำลัง

    “ใจเย็นๆ สิครับ พี่เขาแค่อยากจะมาเที่ยวเฉยๆ”

    “จะให้ใจเย็นได้ยังไง นายก็รู้ว่าไอ้หมอนั่นมันคิดไม่ซื่อ อย่าทำตัวเป็นพวกโลกสวยไปหน่อยเลย”

    “พี่ครับ เบาๆ ผมหายใจไม่ออก” กรณ์คลายมือออกแต่ยังไม่ปล่อยเสียทีเดียว “ผมให้พี่รันนอนอีกห้อง”

   “จะห้องไหน มันก็มาบ้านนายก่อนฉัน!”

    “พี่รันมาในฐานะเพื่อน แต่พี่...ไม่ใช่” ปลายเสียงอ่อยลง คงหมายจะใช้ลูกอ้อนกับเขา

   “แล้วฉันมาในฐานะอะไร เมื่อกี้นายบอกกับพี่นับดาวไม่ใช่เหรอว่าฉันเป็นรุ่นพี่ที่มหา’ลัย”

    ดนตร์ยกมือขึ้นประคองมือที่ขยุ้มคอเสื้อไว้ บีบเบาๆ ราวกับจะให้เขาผ่อนคลายลง ดวงตากลมอ่อนแสง ริมฝีปากอิ่มเม้มเข้าหากันจนเป็นเส้นตรง ร่างกายที่ขืนเอาไว้ผ่อนลงจนเอนเข้าหาเอง นี่ถ้าหากไม่ติดโต๊ะตัวกลางที่กั้นไว้ เจ้าตัวคงได้ขึ้นมานั่งเกยบนตักไปแล้ว ใบหน้าที่นับวันก็ยิ่งน่ารักขยับเข้ามาใกล้ ทิ้งระยะห่างแค่ปลายจมูกเท่านั้น ใกล้เสียจนเห็นเงาตัวเองในแก้วตาสีสวย

    “ขอเวลาหน่อยนะครับ ผมยังไม่กล้าบอกกับใคร ถ้าผมได้ความกล้ามาจากพี่สักนิดหนึ่งก็คงดี”

    แม้ว่าจะพยายามบอกกับตัวเองว่าลูกอ้อนของดนตร์จะไม่ได้ผลในตอนที่โกรธจนลมออกหู ทว่ามันผิดพลาดไปหมดเพียงแค่ได้เห็นสีหน้าและแววตาน่ารักๆ นั่น ใจเขาก็อ่อนยวบเสียแล้ว ก่อนหน้านั้นเขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าผู้ชายจะอ้อนเป็น จนมาเจอกับตัว แต่ถ้าหากเป็นคนอื่นมันคงไม่น่า ‘จับกด’ เท่านี้หรอก

    “อีกนานแค่ไหน” เขาถามกลับ มือไม่ได้ขยุ้มคอเสื้อแล้ว แค่เกี่ยวๆ ไว้เท่านั้น แต่ที่ไม่ปล่อยเพราะมุมนี้มันก็ดีไม่น้อย เนื่องจากชุดนอนของดนตร์ไม่ได้มิดชิดนัก เสื้อเชิ้ตติดกระดุมตัวใหญ่โคร่งยามที่ก้มลงแม้จะแค่นิดเดียวก็เห็นไปถึงไหนต่อไหน โดยเฉพาะเม็ดทับทิมสีหวานนั่น เมื่อต้องกับอากาศหนาวมันชูชันน่ามองใช่หยอก

    “ก็....จนกว่าผมจะกล้าพอ”

   “แล้วเมื่อไรจะกล้า” กรณ์ถามต่อ สายตามองลอดเสื้อเข้าไปจนถึงหน้าท้องสวย กล้ามเนื้อน้อยๆ มีร่องรอยการออกกำลังกายให้ได้เห็นบ้าง เขาจำได้ว่าดนตร์ชอบเต้น แต่ไม่เคยเห็นจะวาดลีลาให้เห็นแบบจังๆ สักที

    “โธ่ ให้เวลาผมหน่อยสิครับ เราเพิ่ง...คบกัน ไม่ใช่หรือไง” ปลายเสียงแผ่วลง แต่แก้มขึ้นสีสุกปลั่งไม่ต่างจากลูกมะเขือเทศ

    กรณ์ใช้จังหวะนั้นหอมไปที่แก้มนวลฟอดใหญ่ ดนตร์สะดุ้งผละมือออกแล้วไปกุมแก้มตัวเอง พอเห็นสายตาของเขาก็นึกขึ้นได้ว่าเสื้อเชิ้ตที่สวมอยู่มันไม่ได้ปกป้องเนื้อตัวเอาเสียเลย แถมเสื้อกันหนาวแบบแจ็คเก็ตก็แค่สวมคลุมไว้ไม่ได้รูปซิปปิดซึ่งไม่ได้ช่วยอะไร

    “มาถึงเร็วดีนี่ หวงก้างชะมัด”

   เสียงทักที่ไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไรนักดังจากบันไดทางขึ้นชั้นสอง อริญชย์อยู่ตรงนั้นในชุดพร้อมเข้านอน ร่างสูงใหญ่ยืนอิงสะโพกกับราวบันไดขั้นสุดท้าย ใบหน้าหล่อเหลาเรียบเฉย ไม่แสดงความยินดียินร้าย แต่ปล่อยสัญญาณอันตรายกระจายไว้รอบตัว

    กรณ์ลุกขึ้นจากที่นั่ง พลางสอดมือรั้งเอวบางเข้ามาประชิดลำตัว แสดงความเป็นเจ้าของเต็มที่ “ก็แถวนี้มันมีหมาจ้องจะคาบไปกิน ก็ต้องหวงเป็นธรรมดา”

   “ไอ้!”

    “พอครับ!” ดนตร์ห้ามทัพ ก่อนจะแกะมือปลาหมึกออกจากเอวตัวเอง “คืนนี้พี่สองคนนอนด้วยกันก็แล้วกัน ผมจะไปเอาผ้าห่มกับหมอนมาเพิ่ม อ้อ! พี่กรณ์มากับผมก่อน พ่อกับแม่ยังไม่ได้เจอพี่เลย”

    “ไม่! พี่จะนอนกับนาย” กรณ์แย้ง เขาไม่มีทางนอนร่วมห้องกับอริญชย์ แค่คิดขนก็ลุกแล้ว!

    “ไม่ได้ครับ! ถ้าพี่นอนห้องเดียวกับผม พ่อกับแม่ผมจะว่ายังไง”

   “ก็ช่างสิ ฉันไม่สน”

    “แต่ผมสน!” ดนตร์เสียงดัง “ผมขอนะครับ อย่าเพิ่งให้พวกท่านต้องมารับรู้เรื่องแบบนี้เลย”

    “เพลงขอขนาดนี้แล้ว ยังทำไม่ได้อีก ก็ไม่สมควรเรียกตัวเองว่าคนรักหรอกนะ” เสียงแขวะดังมาจากบันได ก่อนที่คนพูดจะหันหลังให้ แล้วเดินขึ้นบันไดหายไป

    กรณ์กัดฟันกรอด ตอนที่จะมาที่นี่เขาไม่เคยคิดเลยว่าจะต้องนอนแยกห้องกับดนตร์ แต่ที่แย่เสียยิ่งกว่าแย่คือต้องนอนร่วมห้องกับอริญชย์ ถึงจะเป็นเพื่อนสนิทกันมาร่วม 3 ปี กอดคอกินเหล้า นอนข้างถนนด้วยกันยังทำมาแล้ว แต่ไม่เคยสักครั้งที่จะต้องนอนร่วมเตียงเดียวกัน หากเป็นเมื่อก่อนเขาคงไม่คิดหนักเท่านี้ แต่ตอนนี้ เวลานี้ เขากับอริญชย์คือศัตรูหัวใจ คิดสภาพไม่ออกเลยว่าถ้าต้องนอนเตียงเดียวกันจริงๆ จะมีสภาพเป็นอย่างไร

    “พี่กรณ์ ไปหาพ่อกับแม่กันครับ” แรงกระตุกที่ชายเสื้อทำให้เขาต้องเดินตาม ทั้งที่ยังขนลุกกับความคิดจับยักษ์สองตัวนอนเตียงเดียวกันของดนตร์

    ประตูไม้สักอย่างดีเปิดออกหลังจากถูกเคาะไปสามครั้ง ผู้ที่เปิดประตูให้เป็นสตรีสูงวัย แต่ยังคงความสวยงามในวัยสาวเอาไว้ให้เห็น เธอส่งสายตาแปลกใจมายังเขาก่อนจะวกกลับไปที่บุตรชายของตัวเอง ดนตร์ใช้ศอกกระทุ้งที่หน้าท้องเขาเบาๆ เป็นการกระตุ้น อาคันตุกะยามวิกาลทำความเคารพโดยอัตโนมัติ

   “แม่ครับนี่พี่กรณ์ เพื่อนพี่รัน พี่เขาเอ่อ...อยากมาเที่ยวบ้านเราเหมือนกัน”

    “อ้อจ้ะ หน้าตาหล่อเชียว ตามสบายนะจ๊ะ บ้านเล็กไปหน่อย คงไม่ว่ากันนะ” มารดาของดนตร์ต้อนรับเขาด้วยรอยยิ้ม คงเป็นเพราะการแนะนำตัวแบบไม่มีอะไรพิเศษเลยทำให้ท่านเอ็นดูเขาเหมือนลูกหลานคนหนึ่ง คะเนด้วยสายตาท่านคงมีอายุไล่เลี่ยกับมารดาของเขา แต่เรื่องรสนิยมและความทันสมัยห่างจากมารดาของเขาหลายขุมนั้น รายนั้นแต่งตัวทีเหมือนหลุดมาจากนิตยสารก็ไม่ปาน

    “มีอะไรหรือคุณ”

    ผู้ชายวัยใกล้กันเดินมาสมทบ ที่บานประตู ท่านมองมาที่เขาด้วยแววตาแบบเดียวกับที่มารดาของดนตร์มองในตอนแรก แล้วก็เหมือนเปิดเทปม้วนเดิม เขาถูกแนะนำตัวว่าเป็นเพื่อนของอริญชย์และอยากจะมาพักผ่อน แต่คราวนี้ดนตร์แนะนำชื่อพ่อแม่ให้ฟังด้วย มารดาของดนตร์ชื่อดาริน ส่วนบิดาชื่อนที เขาทำความเคารพพวกท่านอีกรอบ ก่อนท่านทั้งสองจะไล่ให้เขาไปพักผ่อนโดยไม่ลืมให้ดนตร์ดูแลเขาอย่างดี

(มีต่อ)

ออฟไลน์ libra82

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 285
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +236/-5
         จากนั้นดนตร์ก็พาเขามาห้องพักซึ่งอยู่อีกทิศกับห้องพักของผู้ใหญ่ บ้านหลังนี้มีการแบ่งสัดส่วนและใช้อรรถประโยชน์อย่างเต็มที่ เจ้าของบ้านหอบหมอนกับผ้าห่มมาให้จนเต็มอ้อมแขน

   “นี่นายจะให้ฉันนอนกับไอ้รันจริงๆ ใช่ไหม”

    “ครับ” ดนตร์พยักหน้าหงึก “มันจะดีกว่าให้พี่ไปพักห้องเดียวกับผม”

    “แต่ฉันเป็นผัวนาย” คำพูดขวานผ่าซากของเขาเล่นเอาคนฟังหน้าแดงไปถึงใบหู “ใจคอนายจะให้ผัวตัวเองไปนอนกับคนอื่นได้จริงๆ น่ะเหรอ”

    “ถ้าไม่ใช่กับผู้หญิง ผมโอเค!”

    พูดจบเจ้าตัวก็เม้มปากแน่น ก้มหน้างุด น่ารักเสียจนเขาต้องทิ้งสัมภาระแล้วรวบตัวมากอดไว้ ผ้าห่มกับหมอนก็หล่นตามไปด้วยโดยปริยาย กรณ์กดจมูกบนกลุ่มผมนุ่มหนักๆ ก่อนจะจับศีรษะทุยสวยแนบไปกับหัวไหล่ตัวเอง ตั้งแต่ออกตัวว่าจะคบหากัน ไม่เคยเลยสักครั้งที่ดนตร์จะแสดงความหึงหวง แม้แต่ตอนที่เขาถ่ายแบบกับรดา ดนตร์ก็ไม่เคยต่อว่าหรือมีปฏิกิริยา จะว่าไปแล้วเขาไม่เคยได้ยินคำเรียกร้องจากเจ้าตัวด้วยซ้ำ ไม่เคยขอให้ซื้อของราคาแพงให้ ไม่เคยให้มารับไปกินข้าวกลางวัน หรือไปเดินช้อปปิ้งด้วยกัน มีแต่เขาเท่านั้นที่ไล่ต้อนให้จนมุม

    “สัญญามาก่อนว่าจะไม่ยอมให้ใครแตะต้องตัวนาย นอกจากฉันเท่านั้น”

    ศีรษะสวยผงกเบาๆ มือเล็กค่อนข้างบางยกขึ้นเกาะที่ข้างเอว กรณ์สูดหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ พยายามระงับความต้องการที่พุ่งพรวดขึ้นมา ทั้งกลิ่นกาย ผิวเนื้อนุ่ม ขนาดรูปร่างที่กำลังดี ดนตร์ก็ไม่ต่างจากเชื้อเพลิง ที่แค่ประกายไฟเล็กน้อยก็พร้อมจะโหมไหม้ได้ทุกเมื่อ กรณ์ก้มหน้าลงจนปลายจมูกชิดกับต้นคอขาว ใช้ริมฝีปากงับผิวละเอียด ดูดเม้มไม่หนักไม่เบาแต่ก็สามารถสร้างเครื่องหมายแห่งการเป็นเจ้าของไว้ได้ ดนตร์ดันอกเขาออกห่าง คิ้วเข้มแต่เรียงตัวสวยขมวดมุ่น ขยับปากพึมพำว่าเป็นรอย

    “ก็ดี มันจะได้รู้ว่าฉันเป็นเจ้าของนาย”

    ดนตร์ยกเท้าเตะหน้าแข้งเขาไปที แล้วรีบวิ่งหนีกลับเข้าไปในห้องของตัวเอง กรณ์จิ๊ปากคาดโทษเจ้าเด็กตัวแสบ แต่พอไม่มีดนตร์ เขาก็ต้องเผชิญหน้ากับศัตรูหัวใจแต่เพียงลำพัง ไม่ได้นึกกลัวแค่ไม่อยากอยู่ร่วมห้องด้วย!

    เขาบิดกลอนประตูเปิดเข้าไปโดยไม่ขออนุญาตจากผู้ที่อยู่ด้านใน ห้องขนาดกลางจนถึงเล็กไร้เฟอร์นิเจอร์ตกแต่ง มีแค่เตียงเล็กๆ กับตู้เสื้อผ้าง่ายๆ และโต๊ะตัวเล็กๆ อีกตัว ดูก็รู้ว่ามันเป็นห้องพักสำหรับแขกชั่วคราว อริญชย์นอนกระดิกเท้าอยู่บนเตียง จับจองพื้นที่ที่สบายที่สุดไปแล้ว สอดมือรองใต้ศีรษะ ผิวปากตามเพลงที่กำลังฟังผ่านหูฟังสีขาว มันเหลือบหันมามองเขานิดหน่อย ก่อนจะผินหน้ากลับไปมองเพดานตามเดิม แม้จะอยากเตะมันให้ตกเตียงแค่ไหน แต่ก็ต้องระงับเอาไว้เพราะเขายังทำตัวเป็นว่าที่ลูกเขยที่ดีของบ้านตระกูลฮวงอยู่

    กรณ์ทิ้งตัวลงบนพื้นไม้ขัดเงา ความเย็นของมันผ่านเนื้อผ้าเข้ามาจนต้องสะดุ้ง เขาคว้าผ้าห่มที่ดนตร์ขนมาให้ปูรองอย่างลวกๆ พอให้ไอเย็นทุเลาลงไปบ้าง จากนั้นก็หาที่วางสัมภาระ รื้อของที่ต้องใช้ออกมา ตั้งใจว่าจะไม่อาบน้ำเพราะอากาศที่ค่อนข้างเย็นจัดทำให้ไม่มีเหงื่อออก กลิ่นตัวก็ไม่มี แค่เอาน้ำลูบหน้าสักหน่อยก็ใช้ได้แล้ว แต่จะต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าเพราะขืนนอนครบองค์แบบนี้ได้อึดอัดตายแน่ เขาหอบเสื้อผ้าที่จะใช้ผลัดเปลี่ยนหายเข้าไปในห้องน้ำ ดีหน่อยที่ห้องนี้มีห้องน้ำในตัวเลยไม่ต้องเดินไกล

    หลังจากล้างหน้าแปรงฟันเสร็จ กรณ์ก็กลับออกมาด้วยชุดพร้อมเข้านอน กางเกงวอร์มเนื้อหนาอบอุ่นกับเสื้อไหมพรมแขนยาว อากาศที่นี่หนาวกว่ากรุงเทพฯ ไม่เล็ก เขาเองก็รีบเสียจนไม่ได้เตรียมเสื้อผ้าอุ่นๆ มามากนัก คืนนี้ผ้าห่มของดนตร์จำเป็นสำหรับเขามากทีเดียว กรณ์เลือกทำเลนอน ซึ่งก็ได้มุมตรงข้ามกับเตียงที่อริญชย์จับจองไปก่อน เขาใช้ปลายเท้าเขี่ยกระเป๋าของมันไว้อีกทาง ก่อนจะล้มตัวลงนอน รู้สึกรักหมอนกับผ้าห่มที่ดนตร์ขนมาให้ เพราะรู้สึกว่ามันจะกลิ่นหอมอ่อนๆ ของเจ้าตัวติดมาด้วย ก่อนจะหลับไปเขาได้รับข้อความจากเฟซบุ๊ค ตัวอักษรไม่กี่คำและแสนจะธรรมดาแต่ก็ทำให้ต้องอมยิ้มจนปวดแก้ม

    ‘ฝันดีนะครับ…เพลง’

    พ่วงท้ายด้วยไอค่อนรูปหมาสีเหลือง

    แฟนใครวะน่ารักชะมัด!

    เปลือกตาหนากำลังจะทบปิด การเดินทางจากกรุงเทพฯมาถึงเชียงใหม่พรากเอาพลังงานไปไม่น้อย แต่ก่อนที่สติจะตัดขาด ก็มีเสียงดังมาจากอีกฟากหนึ่งของห้อง

    “ฉันยังไม่ยอมแพ้หรอกนะ ตราบใดที่เพลงยังไม่ได้บอกกับพ่อแม่ว่านายเป็นอะไร ฉันก็ยังมีหวัง”

    กรณ์กระตุกยิ้มในความมืด “อย่าหวังลมๆ แล้งๆ เลย เพลงน่ะรักเดียวใจเดียว”



    กองถ่ายขนาดเล็กออกเดินทางกันตั้งแต่เช้า และเพราะไม่มีเวลาแม้แต่จะกินข้าวเช้า คุณดาริน มารดาของดนตร์ใจดีทำแซนด์วิชง่ายๆ แต่ปริมาณไม่น้อยใส่กล่องมาให้ แถมนมสดและน้ำผลไม้กล่องใหญ่ กรณ์เปิดปากหาวอย่างไม่คิดจะรักษาภาพพจน์ เมื่อคืนเขาหลับไม่สนิทนักคงเพราะแปลกที่ แถมตอนเที่ยงคืนมีเสียงเด็กร้องให้ต้องตื่นตามอีก เขาตื่นอีกทีตอนที่อริญชย์มันจงใจเดินเหยียบขา เรียกได้ว่าส่งสาส์นรบตั้งแต่ลืมตาตื่นเลยทีเดียว

    แต่ด้วยวันนี้กรณ์ไม่ได้อยู่ในสภาพพร้อมรบสักเท่าไร แซนด์วิชของคุณดารินอร่อยมากก็จริงแต่ก็ไม่ได้ทำให้มีแรงขึ้นมาได้ อีกทั้งการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอทำให้กรณ์หลับสัปหงกไปตลอดทาง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสถานที่ที่อาใหญ่เลือกอยู่ส่วนไหนของเชียงใหม่ กระทั่งรถตู้สีขาวกลางเก่ากลางใหม่ที่อาใหญ่เช่ามาเพื่อใช้ในการเดินทางหยุดลง กรณ์ถึงได้ลืมตาตื่น แดดในยามสายแยงตาจนต้องขยับเปลือกตาเปิดปิดอยู่หลายรอบ กว่าจะตั้งหลักได้คนอื่นๆ ก็ลงจากรถไปกันหมดแล้ว

    กรณ์เดินลงจากรถอย่างเกียจคร้าน มองอาใหญ่อธิบายถึงรายละเอียดงานคร่าวๆ ให้กับทีมงานฟัง เห็นแล้วก็อดสังเวชใจไม่ได้ งานชิ้นแรกของดนตร์ไม่มีความโดดเด่นอะไรเลย แม้แต่ฉากหรูๆ สวยๆ ก็ไม่มี ไม่ต้องพูดถึงนางแบบที่จะมาร่วมงานด้วย ที่เห็นก็มีแค่ดนตร์คนเดียวเท่านั้น ส่วนเสื้อผ้าก็ยี่ห้อธรรมดา ช่างแต่งหน้าทำผมอยู่ในคนๆ เดียวเสร็จสรรพ เขาไม่คาดหวังหรอกว่ามันจะออกมาดี ในเมื่อโปรดักชั่นต่ำต้อยเช่นนี้

    “ถ้าพี่หิว พี่กินไปก่อนเลยนะครับ กินนมเยอะๆ จะได้อยู่ท้อง เดี๋ยวผมไปเตรียมตัวก่อน”

    ดนตร์ยัดกล่องที่ยังมีแซนด์วิชอยู่หลายชิ้นกับนมสดให้ ส่วนน้ำผลไม้ถูกพวกอาใหญ่จัดการหมดไปแล้ว ทุกคนท่าทางกระปี้กระเป่าผิดกับเขาลิบลับ แม้แต่อริญชย์ที่เคยคิดว่าเป็นพวกจับจดทำอะไรไม่เป็นยังขมีขมันช่วยอาใหญ่ยกขาตั้งกล้องโดยไม่ปริปากบ่นสักคำ ส่วนดนตร์วิ่งตามช่างแต่งหน้าไปบนรถตู้

    ...ตอนนี้เขาได้กลายเป็นส่วนเกินอย่างแท้จริง...

    งานของอาใหญ่เริ่มตอนเก้าโมงตรง แสงอาทิตย์สาดผ่านก้อนเมฆหนาลงมาเป็นลำแสงจ้า กระทบกับยอดหญ้าแห้งที่ชะอุ่มด้วยหยาดน้ำค้าง ดนตร์อยู่ในชุดเสื้อผ้าง่ายๆ แต่ดูอบอุ่นดีด้วยสีเอิร์ธโทน เพิ่มความโรแมนติกด้วยผ้าพันคอสีขาวกับหมวกไหมพรมเข้าชุด ใบหน้าผ่องขึ้นเล็กน้อย ดวงตากลมคมชัดกว่าเดิม พวงแก้มและปลายจมูกแดงระเรื่อคล้ายมีเลือดฝาด ริมฝีปากสดสีหวาน รวมๆ แล้วเหมือนหนุ่มน้อยวัยมัธยม สดใส ไร้เดียงสา เขาเพิ่งสังเกตเห็นว่าที่โหนกแก้มกับปลายจมูกมีจุดสีน้ำตาลเล็กๆ กระจายอยู่ คงเป็นฝีมือของช่างแต่งหน้าที่จงใจทำให้ดนตร์ดูเด็กลงด้วยรอยกะปลอมๆ

    สถานที่ที่อาใหญ่เลือกนับว่าไม่เลวนัก มันเป็นรางรถไฟที่สร้างกลางทุ่งหญ้าโล่ง ห่างออกไปมีภูเขาน้อยใหญ่ซ้อนเรียงราย เพราะอากาศที่ค่อนข้างแห้งทำให้ทุกอย่างเป็นสีน้ำตาล อาใหญ่ให้ดนตร์ไปเดินบนรางรถไฟด้วยท่าทางที่เป็นธรรมชาติที่สุด แน่นอนว่าคนที่ไม่เคยผ่านงานด้านนี้มาก่อนย่อมเกิดอาการประหม่า ในครั้งแรกดนตร์เดินตัวแข็งยิ่งกว่าหุ่นยนต์เสียอีก แต่พออริญชย์วิ่งไปกระซิบอะไรบางอย่าง นายแบบหน้าใหม่ก็ผ่อนคลายขึ้น สีหน้าและแววตาเปลี่ยนไป ท่วงท่าการเดินก็เช่นกัน ไม่น่าเชื่อว่าดนตร์สามารถทำได้ตามที่อาใหญ่ต้องการในครั้งที่สองเท่านั้น ขณะที่เขาโดนเอ็ดจนหน้าชาไปหลายรอบกว่าจะได้ภาพที่อาใหญ่พอใจ

    “เด็กคนนี้น่ารักดีนะ ยิ่งตอนยิ้มยิ่งน่ารัก อาใหญ่ตาถึงจริงๆ”

   ช่างแต่งหน้าชมไม่ขาดปาก ขณะที่สายตาจับจ้องไปยังร่างโปร่งบางที่กำลังเดินไปหัวเราะไปบนก้อนกรวดของรางรถไฟ ด้วยความเป็นมืออาชีพอาใหญ่ไม่จำเป็นต้องใช้คนจัดฉากหรือไฟสักคน แสงธรรมชาติกับมุมที่ใช้ในการถ่ายก็ทำให้ภาพออกมาสวยสมใจได้

    เขาไม่ได้ตอบโต้อะไร ได้แต่มองนายแบบหน้าใหม่แสดงฝีมือไปเงียบๆ โดยไม่ลืมมองอริญชย์ไปด้วย รายนั้นก็มองดนตร์ไม่วางตาเช่นกัน บางครั้งถึงกับเอากล้องที่พกติดมาถ่ายภาพไปด้วย ส่วนเขาได้แต่มองและข่มความไม่พอใจเอาไว้ เพราะดนตร์ไม่เคยก้าวก่ายงานของเขา เขาเองก็ควรจะให้เกียรติดนตร์ด้วยเช่นกัน

    ดนตร์ถูกพาตัวไปเปลี่ยนเสื้อผ้าอีกชุด คราวนี้เป็นแนววินเทจ กางเกงขาสั้นพับขาขึ้นมาเล็กน้อยกับเสื้อเชิ้ตลายดอกไม้สีขาวพื้นน้ำเงิน โดยมีเสื้อสูทคลุมทับหัวไหล่อีกที สวมเข้าคู่กับรองเท้าหนังส้นเตี้ย ที่แม้จะดูขัดแย้งกับอากาศแต่รอยยิ้มสดใส บวกกับท่ากระโดดโลดเต้นมันก็ชวนให้หายหนาวดีเหมือนกัน การถ่ายทำดำเนินต่อไปเรื่อยๆ กระทั่งแดดเริ่มแรงขึ้น อาใหญ่สั่งเลิกกอง โดยพรุ่งนี้จะเปลี่ยนโลเกชั่นใหม่ โดยจุดหมายอยู่ที่ริมแม่น้ำปิง

    “ขึ้นกล้องใช้ได้เลยล่ะ เก่งเหมือนกันนะเรา”

    อริญชย์เอ่ยปากชมเมื่องานวันนี้จบลง ดนตร์ยิ้มเผล่ห่อเสื้อคลุมเข้าหาตัวเพื่อให้ไออุ่น เพราะชุดที่ใช้ถ่ายมันไม่อุ่นเลยสักนิด ลมพัดมาทีขนหน้าแข้งก็พากันลุกไปหมด อริญชย์หัวเราะในคอทำท่าจะสละเสื้อของตัวเองให้ แต่ช้ากว่าอีกคน

   เสื้อแจ็คเก็ตตัวใหญ่มีกลิ่นเมนทอลหล่นใส่หัวไหล่พอดี ขนาดความใหญ่และยาวของมันให้ความอบอุ่นได้มากทีเดียว และก่อนที่จะกล่าวขอบคุณทั้งร่างก็ถูกอ้อมแขนปริศนารวบกอดไว้เสียแล้ว

   “อย่ามาใช้มุกเดิม” เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นเหนือศีรษะ ดนตร์พรูลมหายใจเบาๆ รู้ดีว่าคนที่ชอบทำอะไรพลการอย่างไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมเช่นนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน กรณ์เจ้าเดิมนี่เอง

    อริญชย์บิดปาก พลางยักไหล่ก่อนจะใช้นิ้วจิ้มลงมาที่ต้นคอขาว เล่นเอาเจ้าตัวสะดุ้ง “นี่ก็มุกเดิม”

    กรณ์กัดฟันกรอด มองตามร่างของเพื่อนรักไปจนอีกฝ่ายหายเข้าไปในรถตู้ “ต้องให้เอาโชว์หรือไงวะถึงจะเลิกบ้าสักที”

   “อย่าแม้แต่จะคิด แค่นี้ผมก็ปวดหัวจะแย่แล้ว”

   คิ้วหนากระตุกหงึก “ปวดหัวเรื่องอะไร เรื่องที่เป็นแฟนฉัน?”

    “เปล่า...” ดนตร์ทอดเสียงอ่อน เอนกายเข้าหาคล้ายกับจะเอาใจ “แค่ไม่อยากมีเรื่องก่อนที่ผมจะบอกกับพ่อแม่”

    แม้จะหงุดหงิดที่ถูกอริญชย์ก่อกวน แต่เพราะเหตุผลของดนตร์มันมีน้ำหนักต้องยอมกัดฟันอดทนจนกว่างานจะเสร็จ

   ขบวนกองถ่ายขนาดเล็กเคลื่อนจากรางรถไฟไปที่ร้านอาหารเล็กๆ แถวนั้น และเป็นร้านที่ดนตร์แนะนำว่ารสชาติดีไม่แพ้ในภัตตาคารหรู อาใหญ่สั่งอาหารเผื่อกรณ์ด้วย แม้ว่าจะไม่ใช่ส่วนหนึ่งของทีมงานก็ตาม ไม่นานอาหารพื้นเมืองหน้าตาน่ากินกฌทยอยมาเสิร์ฟ ท่าทางร้านนี้จะอร่อยสมกับที่เจ้าถิ่นแนะนำจริงๆ แค่กลิ่นก็เรียกน้ำย่อยในกระเพาะให้ทำงานได้แล้ว

    อาหารมื้อแรกของวันไม่นับรวมแซนด์วิชถูกจัดการไปในเวลาอันรวดเร็ว ทุกคนหิวโซไม่ต่างกันแม้แต่คนเรื่องมากในการกินอย่างกรณ์ก็ยังกินโดยไม่เงยหน้าขึ้นมามองใคร เพิ่งรู้ว่าอาหารง่ายๆ ในร้านเล็กๆ นี่ก็อร่อยถูกลิ้นไม่น้อย เขาคงต้องเปลี่ยนความคิดแล้วว่าอาหารอร่อยต้องอยู่ในโรงแรมหรือภัตตาคาระดับห้าดาวเท่านั้น

    “พรุ่งนี้เราจะไปถ่ายแถวริมแม่น้ำปิงกันนะ อารู้จักกับเจ้าของรีสอร์ทที่หนึ่ง วิวสวยใช้ได้”

    “หนาวคูนสองเลยทีนี้” ดนตร์ทำท่าหนาวก่อนจะยกน้ำชาขึ้นจิบ

    เมื่อจบมื้อเที่ยง อาใหญ่ก็พามาส่งถึงบ้านของดนตร์ แน่นอนว่าทั้งกรณ์และอริญชย์ยังปักหลักพักที่เดิม โดยไม่คิดจะเกรงใจเจ้าของบ้าน ทั้งหมดล่ำลากันพอประมาณ รอจนรถตู้ที่เช่ามาลับตาไปถึงได้เดินเข้าสู่รั้วบ้าน

   สวนหน้าบ้านในตอนกลางวันน่าสนใจไม่น้อย ต้นไม้ที่ยังพอเหลือใบอยู่บ้างตั้งต้นเด่นตระหง่านอยู่ชิดริมรั้ว มีม้าโยกสีเหลืองขนาดเล็กสำหรับเด็กทารกตั้งอยู่ด้วย ข้างๆ กันนั้นก็มีเครื่องเล่นเด็กหลายชิ้น อาจจะดูประหลาดไปบ้างแต่เพราะมีดอกไม้น่ารักๆ ที่ออกดอกเฉพาะในฤดูหนาวปลูกไว้ด้วย เลยทำให้มองดูคล้ายสนามเด็กเล่นกลายๆ กว่าน้ำเหนือจะโตจนเมินของเล่นพวกนี้คงเต็มสวนพอดี

    อากาศในตอนบ่ายไม่หนาวมากนัก กรณ์ยกเสื้อให้ดนตร์ไปตั้งแต่ขึ้นรถกลับ เพราะไม่อยากให้คนของตัวเองใช้ของคนอื่น
    ประตูบ้านถูกเปิดออกก่อนที่พวกเขาจะทันได้เคาะเรียกด้วยซ้ำคงเพราะเจ้าอั่งเปาเห่ารับตั้งแต่รั้วบ้านแล้วกระมัง คนด้านในเลยออกมาเปิดประตูต้อนรับ นับดาวทำหน้าฉงนตอนที่เปิดออกมาเจอผู้ชายสามคน ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าน้องชายตัวเองพาผู้ชายมาเยี่ยมบ้านถึงสองคน เจ้าบ้านเบี่ยงตัวให้กับบุรุษตัวใหญ่ทั้งสอง ใช้สายตาจับจ้องตลอดเวลาไม่ต่างจากเครื่องเลเซอร์จับความร้อน

   ในบ้านอบอุ่นเหมือนเคย ดูเหมือนว่าจะมีกลิ่นหอมคล้ายกับพวกนมเนย ดนตร์ยิ้มหน้าบานวิ่งเข้าไปในครัวก่อนใคร ร่างโปร่งสวมกอดมารดาจากด้านหลัง ก่อนจะหอมแก้มอีกฟอดใหญ่ ใช้เสียงออดอ้อมเต็มที่

   “แม่ทำเค้กใช่ไหม งื้อ อยากกินๆๆๆๆ”

    “ก็จะทำไว้ให้กินกันในงานวันเกิดน้ำเหนือไง แต่ไม่ได้ทำนานแล้ววันนี้เลยจะทดสอบฝีมือก่อนสักหน่อย”

    ดนตร์ยิ้มกว้าง เด็กจอมตะกละใช้มือจ้วงลงไปในแป้งเค้กที่เพิ่งอบเสร็จดึงบางส่วนใส่ปาก เลยโดนมารดาตีไปเพี้ยะใหญ่
 
    “อร่อยจังเลยครับ แป้งนุ้มนุ่ม เหมือนแก้มแม่เลย”

   “เจ้าเด็กปากหวาน สาวๆ ได้ฟังมีหวังติดกับเป็นแถวแน่” ผู้เป็นมารดาเอ่ยปากแซว โดยไม่รู้เลยว่าบุรุษตัวใหญ่สองคนที่ยืนอออยู่หน้าประตูเข้าครัวกำลังอมยิ้ม

   ...อย่างดนตร์น่ะ มีแต่ผู้ชายมาติดทั้งนั้น...

    ส่วนตัวเองก็หุบยิ้มไปชั่วขณะ แม้จะเคยมีสาวๆ มาติดกับบ้างก็จริงแต่ก็โดนกำจัดไปอย่างง่ายดาย นี่ถ้าหากมารดารู้ว่าลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของตัวเองมีเสน่ห์ทั้งกับเพศเดียวกันและเพศตรงข้ามคงได้ลมจับจริงๆ แน่

   “เออ พรุ่งนี้ก็วันเกิดน้ำเหนือแล้ว เดี๋ยวลูกออกไปซื้อของหน่อยนะ แม่จดรายการให้แล้ว”

   “ได้ครับ แล้วแม่จะเอาตอนไหน”

   “วันนี้เลย พรุ่งนี้เราก็จะต้องไปทำงานกับพวกพี่ๆ อีกไม่ใช่เหรอ”

   ดนตร์พยักหน้ารับ ของจะต้องถูกเตรียมภายในวันนี้หรืออย่างช้าที่สุดก็ตอนกลางวันของวันพรุ่งนี้ มือเรียวรับกระดาษที่มารดาส่งให้ รายการส่วนใหญ่เป็นอาหารที่ใช้ในงานเลี้ยงทั่วไป แต่จะมีขนมที่เด็กวัยหนึ่งขวบกินได้อยู่ด้วย

    “หาคนไปช่วยถือสักคนสิ กรณ์เป็นไง ท่าทางแข็งแรงดี”

    หน้าที่ถูกโยนใส่โดยไม่รู้ตัว กรณ์ทำหน้างงๆ แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไร

    “ให้ผมไปดีกว่าครับ กรณ์เขาไม่เก่งเรื่องพวกนี้เท่าไร” อริญชย์ออกตัวอีกคน แต่คุณดารินปฏิเสธ

   “เราน่ะมาอยู่ช่วยน้าตำน้ำพริกแกงดีกว่า หน่วยก้านดีน่าจะตำเก่งได้”

    กรณ์ยิ้มเย้ยหยันใส่เพื่อนรักแต่เป็นศัตรูหัวใจ เขารับอาสาขันแข็งแถมรับปากว่าจะช่วยดนตร์ซื้อของตามรายการได้ครบอย่างแน่นอน 

   “ฝากไว้ก่อนเถอะ!” อริญชย์พูดลอดไรฟัน ก่อนจะเดินสวนกับดนตร์ที่เดินออกมาจากห้องครัว โดยทิ้งหน้าที่หนุ่มนวดแป้งเอาไว้ให้

    เสียงรถยนต์เคลื่อนห่างออกไปแล้ว อริญชย์ละสายตาจากท้ายรถญี่ปุ่นสีดำแล้วกลับมาสนใจครกหินตรงหน้าต่อ คุณดารินทำหน้าที่นำเครื่องแกงลงครก หน้าที่ของเขาแค่ตำให้ พริกแห้ง กระเทียม หอมแดง และสมุนไพรรสร้อนอีกสี่ห้าอย่างให้เข้ากัน มันไม่ใช่งานยากก็จริงแต่ก็ต้องใช้พลังงานไม่น้อย สมควรแล้วที่งานแบบนี้จะตกเป็นของเขาถ้าให้สตรีสูงวัยผู้นี้ทำเขาคงเป็นผู้ชายที่เห็นแก่ตัวที่สุดในโลก

    “ปกติแล้วนับดาวจะเป็นคนทำน่ะ แต่พอมีน้ำเหนืองานพวกนี้เลยไม่มีใครทำ น้าเองก็ตำไม่ค่อยจะไหว ส่วนพ่อของเพลงไม่ต้องพูดถึง รายนั้นกินเป็นอย่างเดียว”

    “แล้วทำไหมไม่ซื้อล่ะครับ” อริญชย์ถาม พลางพยายามหันหน้าหนีจากครกให้ได้มากที่สุด

   “เจ้าเพลงมันไม่ชอบน่ะสิ ถ้าน้าไม่ทำเองเพลงจะไม่ยอมกิน แต่ก็ไม่เคยมาช่วยตำสักที เรียกใช้ทีไรต้องมีข้ออ้างตลอด ปวดท้องบ้างล่ะ การบ้านเยอะบ้างล่ะ หรือไม่ก็แอบปั่นจักรยานหนีไปบ้านเพื่อน กลับมาอีกทีก็กินเลย”

   เขาหัวเราะตามคำพูดของคุณดาริน จินตนาการถึงดนตร์ในวัยเด็กที่คอยหลบเลี่ยงงานในครัว ครอบครัวนี้อบอุ่นไม่น้อย ถึงจะมีฐานะปานกลาง แต่ความรักที่มีให้กันกลับเปี่ยมล้น แม้จะอิจฉาที่กรณ์ได้ออกไปกับดนตร์สองต่อสอง แต่การช่วยคุณดารินนวดแป้งตำเครื่องแกงก็เหนื่อยไม่ยอก ขนาดอากาศเย็นสบายยังทำให้เหงื่อแตกได้ พอเครื่องแกงเริ่มจะเข้ากัน เสียงกริ่งหน้าบ้านดังขึ้น ไม่นานก็ได้ยินเสียงสนทนาของคุณดารินกับเด็กผู้ชายดังแว่วเข้ามาในครัว

    “แม่บอกว่าให้เอาไชเท้ามาให้ครับ ปีนี้ได้หัวสวยเชียว เอาไว้ใส่น้ำซุปน่าจะหวานมากเลย”

    “ขอบใจมากพระนาย ไม่ได้ไปไหนใช่ไหม มาช่วยป้าทำข้าวซอยหน่อยสิ คืนนี้ป้ามีแขกหลายคนทำคนเดียวไม่ไหว”

   “ได้ครับ ผมว่างตลอดทั้งเย็นเลย”

   อริญชย์มองตามต้นเสียง ที่เห็นคือคุณดารินกำลังถือตะกร้าที่มีหัวไชเท้า สีขาวน่ากิน แล้วที่เดินตามมานั้นคือ เด็กหนุ่มตัวไม่สูงมาก น่าจะเตี้ยกว่าดนตร์ด้วยซ้ำ เดาจากความอ่อนเยาว์ของใบหน้าคงไม่เกินสิบแปดปี ดวงตากลมใส เส้นผมสีดำสนิท จมูกโด่งรับกับริมฝีปากรูปกระจับ ผิวขาวเหมือนหัวไชเท้าที่เจ้าตัวนำมาฝาก ทันทีที่เห็นเขาเจ้าตัวก็ชะงักงัน ดวงตาเหมือนลูกกวางมีแววประหลาดใจ

   “นี่อริญชย์เพื่อนพี่เพลง รู้จักเขาไว้สิ...อริญชย์ นี่พระนาย ลูกชายเพื่อนน้าเอง”

....................................

 :monkeysad:ขออภัยนะคะที่อัพช้า คุณแม่เสียแล้วค่ะ ยุ่งวุ่นวายมาก เพิ่งจะมีเวลาว่างนี่เอง หลังจากนี้จะอัพบ่อยๆ นะคะ

ออฟไลน์ warin

  • รถไฟขบวนนั้น ได้แล่นผ่านไปแล้ว
  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1938
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
    • -
เสียใจเรื่องคุณแม่ด้วยนะคะ  สู้ๆ  เข้มแข็งนะคะ
ขอบคุณที่มาลงเรื่องให้อ่านนะคะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ แม้วธวัลหทัย

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
ใจแข็งแรงไวๆ นะคะพี่

พระนายเอาพี่รันไปโล้ดดดด

ออฟไลน์ libra82

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 285
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +236/-5
Chapter 20 Big Hero


    พระนายเป็นหนุ่มน้อยวัยสิบแปดปี เรียนอยู่ในโรงเรียนมัธยมประจำจังหวัด ส่วนสูงไล่เลี่ยกับดนตร์ ผอมกว่านิดหน่อย เส้นผมสีดำ เช่นเดียวกับดวงตา ท่าทางว่านอนสอนง่าย สังเกตได้จากการพยักหน้าหงึกหงักตอนที่ผู้ใหญ่พูด อริญชย์มองมือเรียวค่อนข้างเล็กจับมีดซอยผักกาดดองคล่องแคล่ว ซึ่งทั้งหมดผู้ชายที่ไม่เคยผ่านการทำอาหารมาก่อนอย่างอริญชย์ไม่สามารถทำได้ จึงทำได้แค่มองเท่านั้น

    ไม่นานข้าวซอยไก่ก็เสร็จด้วยฝีมือของพระนายและคุณดาริน ส่วนอริญชย์หมดหน้าที่ตั้งแต่ตำเครื่องแกงเสร็จ แต่ก็ยังวนเวียนอยู่ในครัว ยอมรับว่าการมองทั้งสองคนทำอาหารก็เพลินดีไม่น้อย หลายครั้งที่คุณดารินหันมาถามเรื่องชีวิตในรั้ว
มหาวิทยาลัยบ้าง หรือชีวิตส่วนตัวรวมถึงเรื่องคนรู้ใจ แม้จะคันปากยิบๆ แต่ก็ไม่อาจบอกได้ว่าตนเองปรารถนาจะได้คนรู้ใจที่ชื่อดนตร์

    “ว่าแต่เราเถอะ มีแฟนกับเขาหรือยัง จะจบ ม. 6 แล้วไม่ใช่เหรอ”

   พระนายทำหน้าเหรอหราเมื่อจู่ๆ ก็ถูกพาดพิง เจ้าตัวเหลือบมามองทางเขาเล็กน้อยก่อนจะส่ายหน้าปฏิเสธ “ยังครับ คนอย่างผมใครจะมามอง”

   “ทำไมล่ะ เราน่ะหน้าตาน่ารักจะตาย ไม่เชื่อก็ถามพี่เขาดูสิ”
 
    อรัญชย์ยิ้มรับน้อยๆ อันที่จริงที่คุณดารินพูดก็ไม่ได้เกินจริงนัก พระนายเป็นหนุ่มน้อยที่กระเดียดไปทางน่ารักมากกว่าจะหล่อ คงด้วยรูปร่างและดวงตาที่กลมโตนั่นกระมัง เขาไม่แน่ใจนักว่าเด็กวัยนี้เจริญเติบโตเต็มที่แล้วหรือยังเพราะจำได้ว่าตอนที่เรียนอยู่ม. ปลายปีสุดท้ายเขายังไม่หยุดสูงเลย จนเข้ามหาวิทยาลัยนี่แหละที่ความสูงหยุดลงแต่ก็เกิน ร้อยแปดสิบเซนไปแล้ว ส่วนพระนายต่อให้สูงขึ้นอีกก็คงไม่เกินห้าเซนติเมตร

    พระนายมองมาทางเขาอีกรอบ แต่เมื่อประสานสายตาอีกฝ่ายก็เสหลบไป ใบหน้าเรียวก้มต่ำกว่าปกติเล็กน้อย แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังเห็นว่าที่โหนกแก้มของเด็กหนุ่มมันระเรื่อขึ้นเล็กน้อย...



    ห้างสรรพสินค้าที่เชียงใหม่ไม่ได้ใหญ่โตโอ่อ่ากว้างขวางเท่ากับที่กรุงเทพฯ แต่ก็มีของให้ซื้อหาตามที่ต้องการในชีวิตประจำวันได้ รายการอาหารรวมไปถึงสิ่งของที่คุณดารินจดมาให้ ดนตร์บอกว่าสามารถหาได้จากที่นี่ กรณ์ผู้ที่นานทีปีหนจะออกมาซื้อของด้วยตัวเองถึงกับตาลายกับรายการที่ยาวเหยียดเป็นหางว่าว คงเพราะอยู่คนเดียวเสียจนเคยชิน การซื้อของใช้หรือของกินเลยมีแค่นิดเดียว ซึ่งเทียบไม่ได้เลยกับที่คุณดารินให้มา

   “ตกลงแม่นายจะจัดงานวันเกิดหรือเลี้ยงทั้งหมู่บ้าน ทำไมถึงได้ซื้อเยอะขนาดนี้”

    กรณ์บ่นเป็นหมีกินผึ้งระหว่างที่เดินนำอยู่เบื้องหน้า โดยมีดนตร์ทำหน้าที่เข็นรถตาม

   “ก็มีของสด ขนมของเด็ก น้ำอัดลม ส่วนผสมของเค้ก แล้วก็ของกินอีกสองสามอย่าง ไม่มีอะไรแปลกนี่ครับ อ้อ! ต้องซื้อของขวัญด้วย”

   ‘ไม่มีอะไรแปลก’

    จริงสิมันไม่แปลกสักนิด เพราะดนตร์เติบโตมาในครอบครัวที่มีครบทั้งพ่อ แม่ แถมยังมีพี่สาวอีกด้วย การได้กิน พูดคุย เฉลิมฉลองแบบพร้อมหน้าพร้อมตาในวันพิเศษ มันเป็นเรื่องปกติ แต่สำหรับคนที่แทบจะไม่รู้จักคำว่า ‘ครอบครัว’ อย่างเขา มันคือสิ่งแปลกใหม่และก็โหยหาที่จะสัมผัสกับมันมาโดยตลอด คิดแล้วก็อดอิจฉาไม่ได้ ครอบครัวไม่ได้มีทรัพย์สินเงินทองมากมายก็จริง แต่กลับมีความรักล้นเหลือ

    กรณ์ชะลอฝีเท้าลง และปล่อยให้ดนตร์เข็นรถขึ้นนำ หลังจากไล่ดูรายการในลิสต์ที่คุณดารินจดให้เจ้าตัวก็หยิบจับของหลายชิ้นลงในรถ แต่ก่อนจะเลือกหยิบลงก็มีการเทียบเคียงราคา คุณภาพและขนาด พลิกไปพลิกมาอยู่หลายรอบถึงจะตัดสินใจเลือกมัน ถ้าเป็นเขาขอแค่เป็นสิ่งที่ต้องการก็หยิบโยนใส่รถเลย

   “ทำไมต้องอ่านละเอียดขนาดนั้นด้วย” กรณ์ถาม ขณะที่ดนตร์กำลังอ่านส่วนประกอบของแป้งอะไรสักอย่างที่เขาไม่รู้จัก

    “แม่ให้ซื้อแป้งสาลีสำหรับทำเค้ก แต่แป้งสาลีมันมีทั้งแบบทำเค้ก แบบเอนกประสงค์แล้วก็แบบที่ใช้ทำขนมมปัง”

   กรณ์แทบจะกรอกตามองเพดานห้าง แค่ประเภทแป้งเขาก็งงเสียแล้ว ดังนั้นหน้าที่ซื้อของเขายกให้ดนตร์แต่เพียงผู้เดียว ส่วนเขาจะเป็นคนเข็นรถเอง มือขยับดังใจคิด เมื่อรู้หน้าที่แน่ชัดเขาก็แย่งเอารถเข็นมาครองไว้เสียเอง ดนตร์ทำหน้างง แต่พอเขาทำเฉยก็เลยไม่ถามอะไร แล้วเดินหาของที่ต้องซื้อต่อไป

    เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าการช้อปปิ้งมันจะทั้งเหนื่อยและสนุกขนาดนี้ ไม่ใช่ว่าไม่เคยไปเดินเลือกซื้อของ แต่ไปบ่อยจนเบื่อเลยต่างหาก เพราะแต่ละครั้งเขาจะทำแค่รอกับรอเท่านั้น โยษิตามักจะมีความสุขอยู่กับกระเป๋า เสื้อผ้าหรือรองเท้าที่เธอหลงใหล ทิ้งให้เขากลายเป็นส่วนเกินในร้านไปโดยปริยาย และจะกลับมามีตัวตนอีกครั้งตอนที่ต้องจ่ายเงิน ทว่าวันนี้มันกลับกัน เขาต้องเข็นรถตามคุณพ่อบ้าน ได้ฟังการบรรยายเกี่ยวกับของที่ซื้อคร่าวๆ ดนตร์มีความรู้เรื่องอาหารการกินมากพอดู โดยเฉพาะเรื่องขนม

   “ต้องใส่นมสดเค้กถึงจะอร่อย หอมด้วย กลิ่นวนิลาก็ช่วยได้นะ แต่ต้องใส่ในปริมาณพอดีไม่อย่างนั้นมันจะหอมเลี่ยนเกินไป”

    เขาเชื่อว่าส่วนหนึ่งที่ทำให้ดนตร์มีความรู้เรื่องขนมมาจากการได้ทำงานในร้านกาแฟนั่น แม้จะเป็นช่วงระยะเวลาสั้นๆ ก็ตาม
 
   “แล้วชอบกินอะไรล่ะ หมายถึงชอบกินเค้กรสอะไร” เขาถามเรื่อยๆ ขณะที่มองมือเรียวหยิบจับของลงรถเข็น

   “อืม ก็ไม่มีที่ชอบเป็นพิเศษหรอกครับ แต่ถ้าเลือกได้ก็ชอบที่มีพวกเบอร์รี่ ผมชอบที่มีรสเปรี้ยวนิดหน่อย”

    กรณ์พยักหน้าทำทีเป็นไม่มีอะไรน่าสนใจเป็นพิเศษ ทว่าลึกๆ แล้วกลับเก็บข้อมูลพวกนี้ไว้ เพราะเขารู้อะไรเกี่ยวกับดนตร์น้อยเหลือเกิน แม้กระทั่งงานอดิเรกเขายังไม่รู้เลย เขาเป็นคนรักที่ห่วยจนถึงขั้นแย่ เรื่องพื้นฐานยังไม่รู้ แต่จะให้ถามตรงๆ ก็ดูจะเสียชื่อกรณ์เกินไปหน่อย

    “ต้องซื้ออันนี้ด้วยเหรอ” กรณ์ถามเมื่อดนตร์หยิบห่อแพมเพิร์สเด็กทารกขนาด XL ออกมาแล้วโยนใส่รถเข็น คงเพราะมีชื่อยี่ห้อและไซส์ที่ชัดเจน คุณพ่อบ้านเลยไม่ต้องมาเทียบราคากับคุณภาพอีก

   “ครับ มันอยู่ในรายการที่แม่จดมา”

   เขาเพิ่งสังเกตเห็นว่าในแผนกนี้มีแต่ผู้หญิงทั้งนั้น สาบานได้ว่าตั้งแต่เกิดมาเขาไม่เคยย่างกรายเข้ามาแผนกนี้มาก่อน รอบๆ ตัวมีแต่ของใช้สำหรับเด็กอ่อน ทั้งผ้าอ้อมสำเร็จรูป นมผง ขวดนม อุปกรณ์ทำความสะอาดและของใช้จิปาถะอีกหลายอย่างที่เขาไม่รู้จัก ดนตร์เลือกแพมเพิร์สอย่างคล่องแคล่วและไม่เขินอาย ตอนที่เจ้าตัวเอานิ้วไล่ไปตามชื่อยี่ห้อ มองดูคล้ายกับคุณแม่ลูกอ่อนจริงๆ

    “สองคนนี้น่ารักจัง มีน้องเล็กเหรอคะ”

    “ห๊ะ...เอ่อ ครับ”

    กรณ์เผลอขยับศีรษะตอบรับไปโดยอัตโนมัติ เขาเพิ่งสังเกตเห็นว่าในแผนกนอกจากเขากับดนตร์แล้วก็ไม่มีใครที่เป็นผู้ชายอีก ทั้งหมดเป็นผู้หญิงไล่ตั้งแต่วัยรุ่นไปถึงวัยกลางคน

    “นมยี่ห้อนี้ดีนะคะ ใกล้เคียงกับนมแม่ เออ แล้วนี่น้องกินนมแม่หรือกินนมผงล่ะจ๊ะ” ผู้หญิงคนเดิมถามต่อ ท่าทางเธอสนใจพวกเขาไม่น้อย และพอเธอหันไปชี้ยี่ห้อนมที่แนะนำเขาถึงได้เห็นว่าที่ด้านหลังของเธอมีเด็กทารกตัวกลมอยู่ด้วย เด็กนั่นหัวเราะเอิ๊กอ๊ากใส่ทั้งที่ไม่มีอะไรน่าขำสักนิด แต่พอเห็นตากลมๆ กับเหงือกแดงๆ ก็อดอมยิ้มตามไม่ได้ ดนตร์ทิ้งจากชั้นแพมเพิร์สเข้าไปเล่นกับเด็กทันที

    “ชื่ออะไรเหรอครับ ตัวอ้วนเชียว”

   “ทำอย่างกับหลานตัวเองตัวเล็กนักนี่” กรณ์อดเหน็บไม่ได้ เจ้าน้ำเหนือตัวใหญ่กว่านี้เสียอีก ดนตร์หันมาย่นจมูกใส่ก่อนจะยื่นนิ้วชี้ให้มือเล็กๆ กุมไว้

   “ชื่อลิลลี่จ้ะ เห็นตัวอ้วนอย่างนี้นี่เด็กผู้หญิงนะจ๊ะ คุณพ่อเขาอยากให้ชื่ออินเตอร์หน่อย ยังไม่ครบขวบเลย ตัวหนักจนพี่ปวดหลังแล้ว” ผู้เป็นแม่ยิ้มกว้าง เอี้ยวตัวหันไปหัวเราะกับลูกสาววัยยังไม่ถึงขวบดีของตัวเอง “แล้วน้องคนเล็กของน้องสองคนกี่ขวบแล้ว ดูจากแพมเพิร์สท่าทางจะตัวใหญ่ไม่เบาเลย”

    “ตัวใหญ่มากครับ ใหญ่กว่าลิลลี่อีก” กรณ์ตอบแทน ซึ่งก็ไม่ได้เกินจริง น้ำเหนือตัวอ้วนกลม แขนขาเป็นปล้องๆ แก้มใหญ่กว่าซาลาเปาเสียอีก

   “เด็กผู้หญิงหรือผู้ชายจ๊ะ”เธอถามต่อ

    “ผู้ชายครับ พรุ่งนี้ก็ขวบหนึ่งแล้ว” คราวนี้ดนตร์เป็นคนตอบเอง ระหว่างนั้นก็หันไปเออออกับลิลลี่ราวกับคุยกันรู้เรื่อง

    กรณ์มองภาพนั้นราวกับถูกสะกดไว้ ใบหน้าของดนตร์ดูอ่อนโยน รอยยิ้มสดใสบริสุทธิ์จริงใจไร้การปั้นแต่ง ปลายนิ้วเรียวที่อยู่ในอุ้งมือเล็กๆ ทั้งนุ่มนวลและเต็มไปด้วยความรู้สึก ตั้งแต่เกิดมาเขาไม่เคยเห็นด้านนี้ของใครมาก่อนแม้แต่ผู้ให้กำเนิด เพราะช่วงเวลาที่อยู่ร่วมกันมันแทบหาบรรยากาศแบบนี้ไม่ได้เลย

    “น้องคนนี้น่ารักดีนะคะ นี่ถ้ามีลูกต้องเป็นคุณพ่อที่ดีแน่ๆ เลย”

   “คุณพ่อเหรอ....แม่ต่างหาก”

    แม่ของลิลลี่ทำหน้าสงสัย แต่เขาก็ไม่ได้แก้ต่างอะไรแค่อมยิ้มตอบกลับไปเท่านั้น

   ...ฟังไม่ผิดหรอก ดนตร์เป็นแม่น่ะถูกแล้ว...



    “เฮ้อ อิ่มจัง”
    มือบางตบที่พุงน้อยๆ ของตัวเอง หลังจากที่จัดการข้าวซอยไก่ร่อยไปสองถ้วยเต็มๆ ตามด้วยขนมเค้กรสยอดเยี่ยมของคุณแม่สุดที่รัก ตั้งแต่ไปใช้ชีวิตนักศึกษาที่กรุงเทพฯ ก็ไม่ค่อยได้กินอิ่มนัก ดีหน่อยก็ข้าวที่โรงอาหาร แต่หลักๆ มักจะฝากท้องที่ร้านสะดวกซื้อเสียมากกว่า คนอย่างดนตร์ไม่เลือกกินอยู่แล้ว แต่ที่รักที่สุดคือฝีมือของแม่ ไม่ว่าจะเมนูไหนก็อร่อยทั้งนั้น

   คำเยินยอนั้นไม่ได้เกินจริงสักนิด เพราะไม่ใช่แค่ดนตร์เท่านั้นที่กินข้าวซอยเกินหนึ่งถ้วย ทั้งกรณ์และอริญชย์ก็ไม่ต่างกัน สองหนุ่มกินแบบไม่เงยหน้าจากถ้วยด้วยซ้ำ แม้แต่เค้กก็ไม่เหลือ ขนาดคนที่บอกว่าไม่ชอบของหวานยังฟาดเรียบไม่ต่างกัน

    แน่นอนว่าคนที่ยิ้มจนแก้มปริไม่ใช่ใครที่ไหนคุณนายดารินนั่นเอง เธอไม่เคยปลาบปลื้มดีใจเท่านี้มาก่อน เพราะทุกคนในบ้านคุ้นชินกับฝีมือแม่บ้านคนเก่งดีเลยไม่มีคำชมออกมาให้ได้ยิน คราวนี้ก็เช่นกันแม้จะไม่มีเสียงชื่นชมแต่ทั้งข้าวซอยและเค้กที่แทบไม่เหลือให้เห็นก็เป็นการพิสูจน์ได้ว่าฝีมือของตนไม่เคยตกจริงๆ

   “อิ่มไหมกรณ์ รัน อ้อ พระนายด้วย”

   ทั้งสามที่ถูกกล่าวถึงพยักหน้าหงึก โดยเฉพาะอริญชย์ที่ถึงกับเอนตัวพิงกับเก้าอี้ เพราะปริมาณอาหารที่มีมากเกินไปจนไม่อาจนั่งตัวตรงได้ ส่วนกรณ์ที่นั่งติดกับดนตร์ตาเริ่มปรอยอย่างเห็นได้ชัด ขณะที่คนที่เด็กที่สุดอย่างพระนายได้แต่อมยิ้มตาประสาเด็กขี้อาย

    “ท่าทางกรณ์จะง่วงนะ น้าว่าเราไปอาบน้ำนอนดีกว่า พรุ่งนี้จะทำข้าวต้มไว้ให้ ตื่นกันเร็วๆ นะหนุ่มๆ”

    ดนตร์เหลือบมองคนที่ทำท่าจะหลับคาโต๊ะกินข้าว กรณ์เผลออ้าปากหาวโดยไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ คนอื่นๆ ในโต๊ะพากันแอบขำ แม้แต่คุณนทีที่นานทีปีหนจะมีรอยยิ้มยังหลุดยิ้ม

    กรณ์ลุกเดินกลับขึ้นไปยังห้องพักโดยไม่ท้วงติงเพราะรู้สึกง่วงจริงๆ ปกติแล้วเขาไม่ใช่คนตื่นเช้านักแต่วันนี้ต้องตื่นให้ทันคนอื่น ไหนจะต้องคอยตามเฝ้าดนตร์ทุกระยะเพราะกลัวเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อจะฉวยโอกาสกับคนรัก ตบท้ายด้วยการไปซื้อของตามรายการยาวเหยียดที่คุณดารินจดให้ กลับมาก็หิวซก พอเจอของอร่อยก็ตั้งหน้าตั้งตากิน หลังจากนั้นก็เข้าตำรา ‘หนังท้องตึงหนังตาก็หย่อน’ ทันที แต่ก็ต้องยอมรับว่าฝีมือคุณดารินไม่ธรรมดาจริงๆ

   ระหว่างเดินขึ้นไปชั้นสองเขาเดินสวนกับนับดาวพี่สาวของดนตร์ เธอหอบเสื้อผ้าเด็กไว้เต็มอ้อมแขน จะว่าไปแล้วเขาไม่เห็นเธอที่โต๊ะอาหาร คงต้องพาน้ำเหนือเข้านอน ถึงเขาจะไม่ใช่พวกละเอียดอ่อนนักแต่ก็รู้ว่าคนเป็นแม่เหนื่อยไม่น้อย ไม่มีเวลากิน ไม่มีเวลานอน เธอชะงักเท้าและหยุดลง ใบหน้าที่มีส่วนคล้ายกับดนตร์เงยขึ้น ดวงตากลมมองมาที่เขา แก้วตาสีน้ำตาลเข้มฉายแววคลางแคลง ลังเล ผ่านไปครึ่งนาทีเธอถึงได้ยอมเคลื่อนไหว

    “คือ...นายกับเพลงคบกันจริงๆ ใช่ไหม”

    “...ครับ”

    “แล้วทางบ้านนาย...เขาไม่ว่าเหรอ” เธอถามต่อ ท่าทางคงเก็บงำความสงสัยมาพักใหญ่

    “ไม่ครับ ผมตกลงเรื่องนี้กับพ่อแล้ว”

   “พ่อ…แล้วแม่นายล่ะ”

   “แม่...พ่อแม่ผมแยกทางกันแล้วครับ แม่ผมอยู่อเมริกา ท่านไม่ค่อยมายุ่งกับชีวิตผม....นานแล้ว”

    นับดาวดูเหมือนจะตกใจเล็กน้อย แววตาทอแสงอ่อนลง เธอกระชับเสื้อผ้าในอ้อมแขนแล้วใช้มือข้างขวาโอบมันไว้ ก่อนจะเอื้อมมือซ้ายมาแตะที่หัวไหล่เขาเบาๆ

   “ฉันไม่ได้คิดจะขัดขวางนะ แค่ไม่อยากให้มีปัญหาทั้งจากฝั่งของนายและของเรา แต่ถ้านายเคลียร์กับพ่อแม่ได้แล้ว ฉันก็เบาใจ...สู้ๆ นะ”

    เธอยิ้มให้เขา มันเป็นรอยยิ้มที่อบอุ่นและจริงใจที่สุด กรณ์ยิ้มกลับ ต้นกล้าเล็กๆ ผุดขึ้นจากหัวใจที่แห้งแล้ง พร้อมกับความชุ่มชื่นที่ก่อตัวขึ้นทีละน้อย...

(มีต่อ)

ออฟไลน์ libra82

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 285
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +236/-5
   อากาศตอนกลางคืนที่เชียงใหม่หนาวเย็นจนถึงกระดูก ไหนจะลมที่พัดเป็นระยะๆ ยิ่งทำให้อุณหภูมิในร่างกายลดต่ำลงอีก มือหนากระชับเสื้อกันหนาวตัวใหญ่เพียงตัวเดียวที่หิ้วมาจากกรุงเทพฯ แต่ก็ยังไม่พอสำหรับอุณหภูมิที่ต่ำจนเหลือเลขตัวเดียว ตาคมใหญ่มองไปยังร่างเล็กของพระนาย ใช้คำว่าเล็กก็ไม่เกินจริงนัก คะเนจากที่เห็นพระนายคงสูงไม่เกินหนึ่งร้อยเจ็ดสิบสามเซนติเมตร ผมสีดำล้อมกรอบหน้าเรียว ดวงตากลม แก้วตาเป็นสีดำ จมูกโด่งเล็กรับกันดีกับริมฝีปากจิ้มลิ้ม หัวไหล่แคบแต่ตั้งตรง ช่างขาเรียวแต่ขาวได้รูป ผิวขาวเนียนแต่คล้ำกว่าดนตร์ รายนั้นยิ่งกว่ามีไฟนีออนในผิวเสียอีก พระนายสวมเสื้อและกางเกงขายาวเนื้อหนาเท่านั้น คงเพราะคุ้นชินกับอากาศหนาวเย็นของเชียงใหม่มาตั้งแต่เกิด

    ที่โต๊ะอาหารพระนายเอ่ยปากขอตามไปดูดนตร์ถ่ายแบบในวันพรุ่งนี้ ซึ่งก็ไม่มีใครคัดค้าน ท่าทางเด็กคนนี้กับดนตร์จะสนิทกันไม่น้อย อริญชย์แอบฟังสองคนสนทนากันด้วยเรื่องเมื่อครั้นที่ทั้งคู่ยังเด็ก สร้างวีรกรรมทะโมนโลดโผนไว้ไม่น้อย ลองพิจารณาดีๆ พระนายก็มีส่วนคล้ายดนตร์อยู่ไม่น้อย ไม่ใช่รูปร่างหน้าตาแต่เป็นนิสัยและความขี้อาย

    สองเท้าก้าวไปบนผืนหญ้าแห้งๆ ระยะห่างจากอีกฝ่ายราวสองช่วงตัว คุณน้าดารินบอกว่าบ้านของพระนายอยู่ข้างๆ กันนี่เอง แต่อาณาบริเวณของบ้านทั้งสองหลังกว้างพอสมควร การเดินไปส่งลูกชายเพื่อนบ้านเลยไกลกว่าที่คิด

   ที่จริงพระนายปฏิเสธความเป็นห่วงของคุณดารินที่ต้องการเดินไปส่ง เจ้าตัวยืนยันหนักแน่นว่าสามารถเดินกลับเองได้ คุณดารินก็ยังเป็นห่วงอยู่ดี เขาเลยตัดบทรับหน้าที่ไปส่งให้เอง ไม่ใช่เพราะอยากแสดงความเป็นสุภาพบุรุษแต่เขาไม่อยากล้างจานกองพะเนินต่างหาก ส่วนหน้าที่นั้นก็ต้องตกเป็นของลูกชายเจ้าของบ้านไปโดยปริยาย แต่คนที่สบายที่สุดคือกรณ์ ไอ้เพื่อนรักตัวดีมันหนีไปนอนหลังจากกินอิ่มทันที

    ทั้งคู่เดินกันไปเงียบๆ เช่นเดียวกับบรรยากาศรอบตัว มีเพียงแต่เสียงลมกรีดผ่านใบไม้ดังมาให้ได้ยินเป็นระยะ ไม่นานก็เดินผ่านเสาไฟฟ้าที่ให้แสงสีส้มสว่างตา ลำแสงส่องกระทบกับเส้นผมสีดำของพระนายสะท้อนเป็นเงา ตอนนั้นเองผีเสื้อกลางคืนตัวใหญ่ก็บินมาเกาะบนกลุ่มผมสีดำ พระนายสะดุ้งสุดตัว

    “ว๊าก!!! แมลงๆ เอาออกไปที ผมเกลียดแมลงๆ ช่วยทีๆ”

    มือเล็กๆ ปัดอยู่แถวศีรษะตัวเอง แต่ก็ไม่ได้เฉียดเข้าใกล้ผีเสื้อตัวใหญ่สักนิด เจ้าผีเสื้อนั่นก็เหลือใจไม่ยอมขยับไปไหน พระนายกระโดดโหยงเหยง กระทืบเท้าจนร่างสั่นแต่กระนั้นผีเสื้อก็ยังเกาะอยู่ที่เดิมราวกับมีกาวอยู่ที่ปลายขา เขาเกือบหลุดหัวเราะ แต่ก็กลั้นไว้ได้ทัน ทั้งขำทั้งสงสาร

   “อยู่เฉยๆ กระโดดเป็นกบแบบนี้ฉันจะจับผีเสื้อออกให้ได้ยังไง”

    พระนายที่กระโดดมาทางเขาพอดี หยุดขาลงเหมือนถูกกดรีโมท ดวงตากลมใสวาววับมองตรงมา เขาเห็นแววตื่นตระหนกด้านใน ชั่วจังหวะหนึ่งเขามองกิริยานั้นด้วยความเผลอไผล พระนายสั่นไปทั้งตัว แผ่นอกสะท้อนขึ้นลงเร็วๆ ลมหายใจกระชั้นถี่ ริมฝีปากแดงสดนั่นเผลอขึ้น ปล่อยลมอุ่นออกมาไม่เป็นจังหวะ อริญชย์ไม่อาจหยุดจินตนาการของตัวเองได้ เมื่อภาพในหัวมันเปลี่ยนฉากหลัง จากเสาไฟฟ้าเป็นเตียงนอนสีขาว

    “พี่ครับ...ช่วยผมหน่อย”

    เสียงขาดห้วงดังขึ้น ตาคู่สวยเหมือนลูกกวางตัวน้อยวิงวอนขอความช่วยเหลือ อริญชย์กลั้นหายใจตอนที่เอื้อมมือไปปัดผีเสื้อกลางคืนตัวใหญ่ ปีกของมันสยายกว้าง แล้วกระพือขึ้นลงเร็วๆ ก่อนจะบินจากไป พระนายถอนหายใจเสียงดัง เปลือกตาบางปิดลง อริญชย์ละปลายนิ้วไปบนหน้าผากนูน ไล่เลื่อนลงมาถึงปลายจมูกโด่งเล็ก จนเกือบจะถึงกลีบปากสวย เจ้าตัวก็ลืมตาขึ้นพอดี

   “มีอะไรติดหน้าผมอีกเหรอฮะ”

    ถึงตอนนี้สติเพิ่งกลับคืน อริญชย์ส่ายหน้าเรียกสติโดยไว รีบดึงมือกลับ ไม่รู้ว่าผีห่าซาตานตัวไหนเข้าสิงเขาถึงได้หลุดเข้าไปอยู่ในห้วงความคิดลามกแบบนั้นได้ พระนายขอบคุณเขาเบาๆ ชั่วจังหวะหนึ่งก่อนที่เจ้าตัวจะหมุนตัวกลับ เขาเห็นโหนกแก้มของเด็กตัวเล็กระเรื่อขึ้น

   อริญชย์ลอบถอนหายใจ ปล่อยให้พระนายเดินนำหน้าไปหลายก้าวแล้วค่อยเดินตาม ระหว่างนั้นก็ทบทวนความคิดของตัวเองเมื่อครู่ไปด้วย

    ...หรือว่าเขาจะกลายเป็นพวกโชตะค่อนไปแล้ว...


    การทำงานในฐานะนายแบบของดนตร์ในวันที่สองตั้งแต่เช้าตรู่ เพราะอาใหญ่กลัวว่าจะไม่ได้เห็นแม่คะนิ้ง หลังจากจัดการกาแฟและโอวัลตินที่คุณดารินสู้อุตส่าห์ตื่นมาเตรียม ทั้งหมดก็ขึ้นรถตู้ของอาใหญ่ที่มาจอดรับตามเวลาที่นัดหมายพอดี เช้านี้กรณ์ไม่มีอาการงี่เง่าให้เห็น ซ้ำสีหน้ายังสดชื่นมากกว่าใคร ใบหน้าหล่อเหลาที่มักจะติดเย็นชากลับมีรอยยิ้มน้อยๆ ให้เห็น หลายครั้งที่ดนตร์หันไปมองก็ต้องรีบหันหน้าหนี เพราะจะพบกับสายตาอ่อนเชื่อมผิดปกติมองกลับมาทุกครั้ง

    เหมือนคนติดยา

   แม้จะคิดอย่างนั้นแต่ก็ไม่ได้พูดออกไป เพราะกลัวว่ากรณ์จะอารมณ์เสีย ให้มีสภาพเหมือนคนติดยาแบบนี้ดีกว่าเหวี่ยง วีน พาล เพราะถ้าเป็นแบบนั้นมีหวังกองถ่ายได้พังพินาศแน่

    พระนายขอตามมาด้วย เขาอยากดูการทำงานของพี่ชายในฐานะนายแบบ ที่จริงพระนายพูดเรื่องนี้ไว้ตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว และเมื่อไม่มีใครคัดค้าน พระนายมายืนรอที่หน้าบ้านของดนตร์ตั้งแต่ตีห้าครึ่ง

    รีสอร์ทที่อาใหญ่บอกอยู่ห่างจากบ้านพักของดนตร์ไม่น้อย ต้องนั่งรถเกือบชั่วโมงกว่าจะถึง เพราะช่างภาพชื่อดังอยากได้หมอกที่ลอยอ้อยอิ่งเหนือผืนน้ำในยามเช้าตรู่ พร้อมกับแสงแรกของวัน พอมาถึงรีสอร์ทเพื่อนของอาใหญ่พระอาทิตย์ก็กำลังจะพ้นขอบฟ้าพอดี เจ้าของให้การต้อนรับอย่างดี มีน้ำชา กาแฟ ปาท่องโก๋บริการเสร็จสรรถ หลังจากทักทายนิดหน่อย ทุกคนกระวีกระวาดรีบทำหน้าที่ของตัวเอง พระนายเองก็ช่วยหยิบจับเท่าที่จะทำได้ คงมีแค่คนเดียวที่ทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อน

    กรณ์มองดนตร์ที่ถูกผู้ช่วยต้อนเข้าไปในห้องน้ำของรีสอร์ทเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า หลังจากไม่ถึงสิบนาที ดนตร์ก็กลับมาด้วยเสื้อผ้าที่ไม่ต่างจากเมื่อวานมากนัก เปลี่ยนลูกเล่นนิดหน่อย แต่ยังคงคอนเซ็ปต์เดิม

   ดนตร์มีความสามารถด้านการแสดงสมกับสาขาที่กำลังร่ำเรียน สีหน้าและแววตาเป็นไปตามที่อาใหญ่ต้องการ ช่างภาพและผู้ช่วยอย่างอริญชย์เข้าขากันดีกว่าเดิม อริญชย์เปลี่ยนจากคุณชายที่แสนเอาแต่ใจกลายเป็นเด็กฝึกงานขยันขันแข็ง ไม่ปริปากบ่นตอนที่อาใหญ่ตะโกนร้องเอาโน่นนี่

    กรณ์ได้ที่นั่งไม่ห่างจากจุดที่ดนตร์อยู่นัก พลางเท้าคางมองนายแบบหน้าใหม่ที่กำลังเดินเอาขาไขว้กันพร้อมกางแขนอยู่ริมแม่น้ำ อากาศหนาวมากจนแม้แต่ผู้ชายตัวใหญ่ๆ อย่างเขายังต้องพึ่งเสื้อถึงสามชั้น แต่ดนตร์กลับสวมแค่เสื้อผ้าที่ใช้ถ่ายแบบ ดังนั้นเขาเลยได้เห็นปลายจมูกโด่งแดงจัดเหมือนลูกกวาง

    “พี่เพลงน่ารักจังเลย เท่ห์ด้วย หล่อด้วย”

    พระนายพูดชมไม่ขาดปาก เด็กหนุ่มน้องชายข้างบ้านของดนตร์ขอตามมาด้วย เขาไม่ได้สนใจเด็กนี่เท่าไรนัก รู้แค่ว่าเป็นลูกชายเพื่อนบ้านของดนตร์ พูดน้อย ขี้อายและตัวเล็ก พระนายนั่งอยู่ข้างๆ เขา นอกจากจะชมด้วยปากแล้วดวงตาคู่นั้นยังแสดงถึงความชื่นชม

    “นายกับเพลงสนิทกันไหม”

   “ครับ?”

   “ฉันถามว่า...สนิทกับเพลงใช่ไหม” กรณ์ถามย้ำ

    “อ่า..ครับ” พระนายผงกหัว จมูกโด่งแดงด้วยความหนาวเย็นไม่ต่างจากพี่ชายข้างบ้าน “ก็สนิทกัน เพราะแถวนี้ก็มีแค่ผมกับพี่เพลงที่รุ่นเดียวกันแล้วก็เป็นเด็กผู้ชาย ที่เหลือก็แก็งค์พี่นับดาวหมด”

    “แก็งค์? นับดาวน่ะเหรอ”
 
    “ใช่ครับ” พระนายพยักหน้า “ตอนช่วงมัธยมพี่นับดาวห้าวมากเลยครับ ยกพวกไปตีกับเด็กผู้ชายที่มาแกล้งพี่เพลง กลับมาโดนป้ารินตีซ้ำ พี่เพลงก็โดนด้วยเพราะไม่ยอมห้ามพี่” พระนายพูดไปยิ้มไป คงเป็นความทรงจำที่น่าประทับใจไม่น้อย “แต่พี่นับดาวไม่ร้องสักแอะ แถมยังกอดน้องไว้อีก พี่นับดาวรักพี่เพลงมาก ผมอยากมีพี่สาวหรือพี่ชายบ้างจัง”

    “เป็นลูกคนเดียวเหรอ”

    “ครับ...พี่เพลงใจดีกับผมมาก ผมอยากจะไปเรียนกรุงเทพฯ เหมือนกัน แต่ไม่รู้ว่าจะไหวหรือเปล่า” พระนายหน้าเจื่อนลงเล็กน้อย

    “ไม่ลองก็ไม่รู้ พยายามเข้าๆ แต่ถ้ากลัวเหงา ยังไงที่กรุงเทพฯ ก็มีเพลงเป็นเพื่อนทั้งคน” ชายหนุ่มให้กำลังใจ เชื่อเหลือเกินว่าปีหน้าที่มหาวิทยาลัยจะมีหนุ่มน้อยจากเมืองเชียงใหม่ไปเพิ่มอีกคน

    คนที่พระนายทั้งรัก ทั้งเคารพ ทั้งชื่นชม กำลังตั้งใจทำงานชิ้นแรกอย่างตั้งใจ หลังจากที่ได้ภาพตามที่อาใหญ่ต้องการ เจ้าตัวก็รีบวิ่งกลับมาเพื่อขอเช็คภาพที่ได้ เขาได้เห็นอิริยาบถต่างๆ ของดนตร์มากกว่าที่เคยเห็น ทั้งดีใจ ยิ้ม หัวเราะ หรือแม้แต่พูดจาเล่นหัวกับอริญชย์ ใช่! คนที่ดนตร์กำลังหัวเราะด้วยตอนนี้คืออริญชย์!

    นี่มันลำเอียงชัดๆ แม้แต่เขาที่พร้อมเปิดเผยสถานะตลอดเวลาว่าเป็นคนรัก แต่ไม่เคยเลยสักครั้งที่ดนตร์จะหัวเราะกับเขาได้อย่างจริงใจแบบนี้ อย่างมากก็แค่ยิ้ม เขาพยายามบอกกับตัวเองว่าไม่อิจฉา แต่สุดท้ายก็ยอมแพ้! เขาอิจฉาอริญชย์! สองคนนี้คุยกันอย่างสนิทชิดเชื้อมีการหยอกเอิน ชกต่อยกันแบบเบาๆ แล้วในจังหวะที่อริญชย์สวนหมัดกลับ ดนตร์เบี่ยงตัวหลบ ทว่าขาก้าวไปด้านหลังมากเกินไป เท้าที่วางบนตลิ่งอย่างหมิ่นเหม่ เลยลื่นไถลไปด้านล่าง

    ตูม!

    “พี่เพลง!”

    “เพลง!”

    ช่วงแขนเรียวหลุดจากนิ้วมือไปอย่างน่าใจหาย ทั้งร่างของดนตร์ลอยลงสู่ผืนน้ำ โดยที่อริญชย์คว้าตัวเอาไว้ไม่ทัน อริญชย์ตกใจจนแทบสิ้นสติ ตัวชาวาบมองดูร่างโปร่งจมหายไปในน้ำต่อหน้าต่อตา ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วจนตั้งสติไม่ทัน กว่าจะรู้ตัวว่าควรจะทำอะไร ดนตร์ลงไปลึกเกินคว้าไว้ได้เสียแล้ว แต่ในช่วงที่สติยังไม่กลับคืนเขาก็เห็นอีกร่างทะยานลงไปในสายน้ำ กรณ์พุ่งตัวดำดิ่งลงใต้ผืนน้ำโดยไม่สนใจสิ่งใด

     คนที่เหลือมีสภาพไม่ต่างกันกับเขา ทุกคนวิ่งมาออที่ริมตลิ่งบริเวณที่ดนตร์ตกลงไป ใจร้อนรนด้วยความเป็นห่วงเพราะนอกจากน้ำที่กระเพื่อมเป็นวงกลมและแผ่เป็นวงกว้าง ก็ไม่เห็นสิ่งใดอีก ผืนน้ำสีเข้มมองไม่เห็นใต้ล่างราวกับไม่มีจุดสิ้นสุด อากาศหนาวเย็นยิ่งเพิ่มความน่ากังวลเป็นเท่าตัว อริญชย์กำมือแน่น ใจเต้นแรงจนปวดหน้าอกไปหมด ยอมรับว่าตั้งแต่เกิดมาไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่เขากลัวเสียเพื่อนมากขนาดนี้ แม้แต่คราวก่อนที่ประสบอุบัติเหตุเขายังไม่ห่วงกรณ์มากเท่านี้ นั่นเป็นเพราะ กรณ์ว่ายน้ำไม่เป็น!

    “ผมจะลงไป กรณ์ว่ายน้ำไม่เป็น”

   “อะไรนะ!” อาใหญ่อุทานเสียงดัง ใบหน้าขาวซีดยิ่งกว่ากระดาษ

   “แต่พี่เพลงพอว่ายได้นะครับ” พระนายบอก

   คำบอกของพระนายไม่ได้ทำให้สบายใจขึ้นสักนิด เพราะถึงดนตร์จะว่ายน้ำเป็นทว่ากระแสน้ำที่ไม่ได้นิ่งสงบเหมือนอย่างที่เห็น บวกกับอุณหภูมิที่เหลือแค่ไม่กี่องศาอาจทำให้เป็นตะคริวก่อนที่จะตั้งหลักได้ แต่ในจังหวะที่เขากำลังจะพุ่งตัวลงไปตาม ศีรษะของใครบางคนก็โผล่ขึ้นผิวน้ำ

    “พี่เพลง!”

    พระนายอุทานสุดเสียง อริญชย์ไม่รีรออีก กระโดดลงไปแล้วรีบใช้มือล็อคคอของดนตร์เอาไว้ แม้ว่าในวินาทีที่ร่างกายสัมผัสกับความเย็นจัดของน้ำจะทำให้ทุกส่วนของร่างกายแทบจะหยุดเคลื่อนไหวในทันทีก็ตาม อริญชย์ใช้ทักษะการว่ายน้ำที่มีติดตัวลากเอาอีกคนเข้าฝั่งได้อย่างไม่ยากนัก แล้วทุกคนก็ช่วยกันนำร่างอ่อนปวกเปียกของดนตร์ขึ้นมาอยู่บนฝั่ง ส่วนตัวเขายังอยู่ในน้ำ กัดฟันสู้กับสายน้ำเย็นที่ไม่ต่างจากคมมีดกรีดร่าง แต่เขายังไม่อาจเอาตัวรอดได้ถ้าหากกรณ์ยังอยู่ในน้ำ!

    “กรณ์ล่ะ กรณ์อยู่ไหน”

    เขาตะโกนถาม ทว่ากลับไม่มีคำตอบใดๆ กลับมา ทุกคนมีสีหน้ากังวลไม่แพ้กัน ถึงดนตร์จะปลอดภัยแต่ยังเหลือกรณ์อีกคน อริญชย์กลั้นใจพาตัวลงสู่ผืนน้ำอย่างแท้จริง เขาไม่สนว่ามันจะทรมานไปถึงกระดูกหรือเปล่าขอแค่เจอตัวกรณ์เท่านั้น

    อริญชย์พยายามเพ่งสายตาสู้กับความดำทะมึนของผืนน้ำ กระแสน้ำด้านล่างไม่ได้นิ่งสงบเหมือนอย่างที่คิดไว้จริง แต่สำหรับผู้ที่ว่ายน้ำเป็นมันก็ไม่ยากนักถ้าหากจะเอาตัวรอด ทว่าสำหรับคนที่ไม่รู้แม้แต่วิธีการหายใจในน้ำอย่างกรณ์โอกาสรอดมีน้อยนัก เขากวาดมือไปรอบๆ หวังสุดหัวใจว่าจะคว้าเสื้อหรือส่วนไหนก็ตามของกรณ์ได้ ทว่ามันว่างเปล่า ดำดิ่งลงไปลึกมากกว่าเดิมก็ไม่เจอ น้ำเย็นเริ่มกัดกินผิวกายจนปวดร้าวไปหมด อากาศในปอดลดน้อยลงทุกขณะ แต่ยังกัดฟันหาต่อ หลายครั้งที่ต้องทะลึ่งตัวขึ้นไปบนผิวน้ำเพื่อโกยอากาศหายใจและกลับลงมาอีกครั้ง โดยห่างจากจุดเดิมไปเรื่อยๆ

    ร่างกายเริ่มอ่อนล้า แต่สองแขนก็ยังจ้วงหาร่างของเพื่อนรักไม่หยุด กระบอกตาแสบน้ำตาไหลออกมาปะปนกับสายน้ำเย็นเยียบ ขณะที่กำลังทรงตัวลอยอยู่ในน้ำปลายเท้าก็รู้สึกถึงบางอย่าง หัวใจลิงโลดด้วยความหวัง เขากลับลงไปใต้น้ำอีกครั้ง พยายามพุ่งตัวไปในจุดที่ปลายเท้าสัมผัสอยู่ ในความดำมืดเขาเห็นเงาลางเลือนมองดูคล้ายกับร่างของมนุษย์ อริญชย์ใช้มือเกี่ยวดึงเอาสิ่งนั้นขึ้นมาแล้วก็พบว่ามันคือแขนของกรณ์ เขาทุ่มพลังทั้งหมดดึงร่างของเพื่อนรักขึ้น ขณะที่อีกมือพลุ้ยแหวกน้ำ ยันกายขึ้นสู่ด้านบน

    “พี่รัน!”

    พระนายร้องสุดเสียง เด็กหนุ่มกวักมือไปด้านหน้า ความหวาดกลัวเมื่อครู่ทลายไปสิ้นเมื่อเห็นร่างของอริญชย์ทะลึ่งขึ้นมา อริญชย์ใช้มือเพียงข้างเดียวในการว่ายน้ำกลับเข้าฝั่ง โดยที่อีกมือรัดรอบคอของกรณ์เอาไว้ ตอนนี้ยังไม่อาจเดาได้ว่ากรณ์ปลอดภัย ร้อยเปอร์เซ็นต์หรือเปล่า แต่แค่ทั้งคู่ไม่ได้จมสู่ก้นน้ำเขาก็ดีใจจนน้ำตาไหลแล้ว

    อาใหญ่และผู้ช่วยช่วยกันรับร่างของกรณ์ขึ้นมา ก่อนที่จะช่วยอริญชย์อีกคน ฮีโร่หนุ่มนอนแผ่หราเนื้อตัวสั่นเทาด้วยความหนาว พระนายรีบถอดเสื้อกันหนาวของตัวเองห่อร่างอริญชย์เอาไว้ ถูมือจนอุ่นแล้วประคองไปที่แก้มเย็นจัด ทำซ้ำอยู่อย่างนั้นจนใบหน้าขาวซีดเริ่มมีสีเลือดขึ้นมา

    “กรณ์...ล่ะ”

    พระนายขมวดคิ้วแน่น ก่อนจะส่ายหน้าปฏิเสธ เพราะมัวแต่เป็นห่วงอริญชย์เลยทิ้งหน้าที่ปฐมพยาบาลให้กับอาใหญ่และทีมงาน

    อริญชย์เหลือบมองไปที่ร่างของเพื่อนรัก กรณ์นอนนิ่งอยู่ไม่ห่างจากเขามากนัก หน้าซีดเซียวจนดูขาวโพลนไปหมด ริมฝีปากม่วงคล้ำ เช่นเดียวกับปลายนิ้ว การที่อยู่ในน้ำที่เย็นจัดแบบนั้น ถึงจะแค่ไม่กี่นาทีก็สามารถคร่าชีวิตได้ อาใหญ่กดมือไปที่หน้าอกของกรณ์อยู่หลายครั้งแต่ก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหว หัวใจเขาเต้นถี่แรงไม่ใช่เพราะเหนื่อยอ่อนแต่เขากำลังกลัว

    “กรณ์...”

   “พี่กรณ์! ไอ้บ้า ลืมตาเดี๋ยวนี้นะ!”

    เสียงตะโกนคล้ายกับจะโกรธดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ ร่างโปร่งที่เปียกปอนไปทั้งตัวโถมเข้าใส่กรณ์ สองมือระดมทุบไปบนร่างของคนที่ยังนอนนิ่ง ดนตร์ปัดมืออาใหญ่ออกแล้วทำหน้าที่นั้นเสียเอง มือเรียวขาวซีดกดไปบนหน้าอกเป็นจังหวะ ทำซ้ำอยู่อย่างนั้น จากนั้นก็ใช้มือข้างหนึ่งบีบจมูกกรณ์แล้วใช้มืออีกข้างบีบแก้มจนริมฝีปากเปิดออก ก่อนที่ดนตร์จะเป่าลมเข้าไป มองเผินๆ คล้ายกับทั้งคู่กำลังจูบกัน ทว่าแท้จริงแล้วดนตร์พยายามจะช่วยชีวิตกรณ์ไว้ต่างหาก

    ตอนที่ดำลงไปในน้ำเพื่อหาตัวกรณ์เขาลืมไปด้วยซ้ำว่าดนตร์จะเป็นตายร้ายดีอย่างไร ตอนนั้นเขาห่วงกรณ์มากกว่า

    “พี่กรณ์ ตื่นสิ! ตื่น”

    ดนตร์พร่ำเรียกชื่ออีกคนอยู่อย่างนั้นขณะที่มือก็กดทับไปยังตำแหน่งของหัวใจสลับกับการผายปอด ดวงตาแสบร้อนไปหมดด้วยหยาดน้ำตาที่ไหลอาบสองแก้ม ยิ่งเห็นแผ่นอกหนายังราบเรียบไม่มีการขยับเขยื้อนก็ยิ่งใจเสีย ปากพร่ำเรียกชื่อไม่ขาด หวังให้คนที่หลับได้ยินเสียงแล้วตื่นลืมตาขึ้น

    เมื่อรู้ว่าตัวเองตกลงไปในน้ำก็ตกใจจนแทบลืมวิธีว่ายน้ำ ต้องตั้งสติอยู่พักใหญ่กว่าจะทรงตัวในน้ำได้ แต่ก่อนที่จะว่ายกลับเข้าฝั่ง ร่างของอีกคนก็พุ่งตามลงมา มันเร็วมากจนเขาไม่อาจบอกได้ว่าเป็นใคร แต่พอร่างนั้นพยายามตะกุยตะกายเข้ามาใกล้ก็รู้ว่าคือกรณ์ เพราะความมืดและความหนาแน่นของมวลน้ำทำให้เขาหาอีกฝ่ายไม่เจอ พยายามป้ายมือไปด้านหน้า จนสุดท้ายก็สามารถคว้าเอาปลายนิ้วของกรณ์เอาไว้ได้ เขาเลื่อนตัวจนกุมมือกันได้สำเร็จ แต่จังหวะนั้นขาซ้ายกลับชาดิก ความปวดไล่จากปลายเท้าแล่นขึ้นมาถึงต้นขาอย่างรวดเร็ว เขาไม่อาจขยับตัวได้ เมื่อเสียกำลังขาที่ทำหน้าที่ไม่ต่างจากหางเสือของเรือ การว่ายน้ำจึงมีปัญหา ร่างกายพาลดำดิ่งลงสู่เบื้องล่าง แล้วก็เป็นกรณ์ที่เหนี่ยวร่างของเขาขึ้นก่อนจะดันจนโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำได้สำเร็จ และตอนนั้นเองที่อริญชย์เข้ามาช่วยไว้ เป็นกรณ์เสียเองที่หายไป 
   “พี่ครับ ตื่น! ตื่นขึ้นมา อย่าเป็นอะไรนะ ห้ามมาปอดแหกตอนนี้นะ ผมสัญญาว่าถ้าพี่ลืมตาขึ้นมาผมจะไปบอกพ่อกับแม่ว่าพี่กับผมเป็นอะไรกัน ฟื้นขึ้นมา ฟื้นเดี๋ยวนี้! ไอ้คนบ้า ผมรักพี่นะ!”

    ดนตร์ทุ่มตัวลงไปกอดร่างหนาเอาไว้ ใบหน้าแนบกับแผ่นอกกว้างที่เคยอบอุ่น ทว่าบัดนี้มันเย็นเยียบไม่ต่างจากก้อนน้ำแข็ง ผิวกายที่อุ่นที่เคยโอบกอดก็เย็นไม่ต่างกัน กรณ์กำลังทำให้เขาหวาดกลัว...กลัวการจากลาที่เร็วเกินไปเกินกว่าจะรับมือได้ทัน หยาดน้ำตามากมายไหลแทรกซึมไปกับเสื้อผ้าเปียกชื้น ความหนาวเย็นของอากาศและน้ำที่กัดกรีดผิวเทียบไม่ได้เลยกับหัวใจที่กำลังจะสลาย

    ...พระเจ้าได้โปรดอย่าเพิ่งพรากคนที่เขารักไป เพราะแม้แต่คำว่า ‘รัก’ เขาก็ยังไม่เคยบอกกับอีกฝ่ายให้ได้ยิน...

    “ผมรักพี่” ดนตร์พูดประโยคที่อยากพูดมาตลอดเกือบหนึ่งปีที่เฝ้ามองรุ่นพี่คนนี้ ทั้งก่อนหน้านี้ที่ไม่มีโอกาส และตอนที่มีโอกาสเขาก็ยังไม่เคยพูดให้กรณ์ฟัง ทั้งที่รักสุดหัวใจ...รักแล้วทำไมถึงจะยอมแพ้...เขาจะไม่ยอมให้กรณ์เป็นอะไรไป!!

    ศีรษะทุยยกขึ้นจากอก ปาดน้ำตาทิ้งเช่นเดียวกับความอ่อนแอ สองมือวางประสานที่ตำแหน่งเดิมอีกครั้ง ออกแรงกดหนักๆ ทำตามที่เคยเรียนมา สลับกับผายปอดให้ ปากก็ร้องเรียกชื่อกรณ์ไปด้วย แม้จะกระทำเหมือนเดิมแต่คราวนี้ไม่มีน้ำตามีแต่กำลังใจเท่านั้น กระทั่งฝ่ามือรับรู้ถึงการเคลื่อนไหวของบางอย่างและเป็นจังหวะเดียวกันกับที่ร่างของกรณ์ยกสูงก่อนจะไอเสียงดังพร้อมกับน้ำที่กลืนเข้าไป

    “แค่ก แค่ก”

    “พี่กรณ์!”

    ดนตร์ยิ้มกว้างด้วยความยินดี ร่างกายเบาหวิว ก้อนแห่งความหวาดกลัวที่กดทับไว้หลุดทิ้งไปในทันที อาใหญ่กับคนอื่นๆ กรูเข้ามาให้ความช่วยเหลือ ทั้งบีบนวดเนื้อตัว หาเสื้อผ้าอุ่นๆ มาคลุมไว้ให้ กรณ์มีสีหน้าอ่อนเพลียอย่างเห็นได้ชัด ดวงตาแดงจัดจนเป็นสีเลือด ริมฝีปากเขียวคล้ำ แต่แผ่นอกขยับตามจังหวะการหายใจแล้ว ถึงจะยังไม่เป็นปกติแต่อย่างน้อยกรณ์ก็ตื่นขึ้นมามองหน้ากัน

    “พี่ก็รักนาย”

................................................

มาอัพแล้วค่า ตอนนี้เข้มแข็งแล้วประมาณนึง  :กอด1:

ออฟไลน์ Panizzz3838

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 157
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4992
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ แม้วธวัลหทัย

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
กอดๆ นะคะ  :กอด1:

เขาบอกรักกันแล้ว
กว่าจะบอกกันได้
ไม่มีสถานการณ์กดดันก็คงไม่ได้บอก

ลูกเจี๊ยบบบบบบ
หลวมตัวไปลึกมากเลย
เรายังไม่ลืมว่ากรณ์เคยทำอะไรไว้
ทำไมลูกเจี๊ยบลืมมมมม

พี่รันจ๋า
เปลี่ยนเป้าหมายใหม่แล้วหรอ

ขอบคุณสำหรับนิยายค่ะ

ออฟไลน์ pamhicc

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 265
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
เลิกปากแล้วกันแล้วว แล้วพระนายนี่คู่กับพี่รันใช่ป่าว?
เป็นกำลังใจให้นะคะ สู้ๆค่ะ  :pig4:

ออฟไลน์ libra82

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 285
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +236/-5
Chapter 21 Promise


    ภายในห้องผู้พักฟื้นมีคนป่วยนอนเรียงกันอยู่สามคน หนึ่งคนคือผู้ที่ประสบเหตุตกลงไปเพราะอุบัติเหตุ อีกหนึ่งคือคนที่
กระโดดลงไปช่วย และคนสุดท้ายคือวีรบุรุษอย่างแท้จริง

    หลังจากผ่านเหตุชุลมุน อาใหญ่ก็รีบพาทุกคนมาโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด กรณ์มีอาการแย่มากกว่าใครเพราะจมอยู่ในน้ำที่มีเย็นยิ่งกว่าน้ำแข็ง ระหว่างทางต้องช่วยกันให้ไออุ่น ดนตร์แสดงความเป็นห่วงอย่างไม่ปิดบัง สองมือโอบกอดร่างของกรณ์เอาไว้แบ่งปันไออุ่นจากกายให้อีกฝ่าย กระทั่งถึงโรงพยาบาลเจ้าตัวก็ยังจะไม่ยอมเข้าห้องตรวจเพราะยังไม่คลายความกังวลทั้งที่ก็จมน้ำไปนานอยู่ไม่น้อย แต่สุดท้ายแล้วทั้งสามก็ปลอดภัยเพียงแต่ต้องพักดูอาการกันอีกสักระยะ

    พ่อแม่ พี่สาวรวมไปถึงหลานชายตัวอ้วนของดนตร์เดินทางมาถึงหลังจากทั้งสามหนุ่มหลับไปได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง พระนายเป็นคนโทรบอก เมื่อได้รับคำอนุญาตจากอาใหญ่แล้ว สาเหตุที่ต้องบอกให้รู้ทีหลังเพราะไม่อยากให้รีบเดินทางมากนักเกรงว่าจะเกิดอุบัติเหตุขึ้นอีก รอจนแน่ใจว่าปลอดภัยดีแล้วค่อยติดต่อไปแจ้งข่าวคราว

    คุณดารินมารดาของดนตร์ดูตระหนกมากกว่าใคร ใบหน้าของท่านขาวซีด ผวาไปที่เตียงของดนตร์เฝ้ามองบุตรชายที่เพิ่งหลับไปด้วยฤทธิ์ยาของคุณหมอ มือแตะเบาๆ บนหน้าผากลูบเลยไปด้านหลัง ดวงตากลมแต่หวานมีน้ำคลอหน่วยตา ส่วนคุณนทีและนับดาวก็ยืนประกบไม่ห่าง ด้วยสีหน้าที่ไม่ต่างกันนัก คงมีแต่เจ้าหนูน้อยน้ำเหนือที่หัวเราะร่าเอียงคอมองน้าชายในอ้อมอกของมารดาด้วยความอ่อนเดียงสา

    “เกิดอะไรขึ้น ทำไมเพลงถึงตกน้ำได้”

    เสียงของคุณดารินแหบพร่า ทั้งที่ได้ฟังถึงสาเหตุมาแล้วก่อนหน้านี้ผ่านทางโทรศัพท์ทว่าหัวอกของผู้เป็นแม่นั้นอะไรที่เกี่ยวข้องกับลูกก็ยินดีจะฟังซ้ำๆ

    “คือ...มันเป็นอุบัติเหตุครับคุณป้า” พระนายตอบ คิ้วขมวดมุ่นระหว่างที่มองไปยังผู้ป่วยที่นอนเรียงรายกันอยู่สามเตียงติด แต่สายตากลับเลือกที่จะมองคนที่ติดผนัง จำวินาทีที่เจ้าตัวพุ่งลงน้ำได้ดี ท่วงท่าสวยงามไม่ต่างจากนักกีฬาว่ายน้ำ ช่วงแขนยาวแข็งแรงจ้วงลงไปในสายน้ำเย็นยิ่งกว่าน้ำแข็ง แล้วเพียงไม่กี่อึดใจก็เกี่ยวเอาร่างของพี่ชายข้างบ้านขึ้นมาได้ พอดนตร์ปลอดภัย วีรบุรุษก็กลับดำดิ่งลงไปในผืนน้ำอีกครั้งเพื่อควานหาตัวพี่ชายหน้าหล่ออีกคน แต่คราวนี้มันนานกว่าเดิมเป็นเท่าตัว เวลานั้นเขาใจเสีย นั่งกอดดนตร์ที่ตัวสั่นด้วยความหนาวแน่น ภาวนาให้ทั้งคู่ปลอดภัย แล้วก็สำเร็จ อริญชย์สามารถหาตัวกรณ์ได้จริงๆ แต่ใบหน้าขาวซีดและริมฝีปากเขียวคล้ำนั่นก็ยังไม่อาจวางใจได้ ตอนที่เห็นกรณ์ ดนตร์แทบจะกระโจนน้ำลงไปอีกรอบดีที่เขาคว้าตัวไว้ ก่อนที่จะช่วยกันลากร่างหนาหนักขึ้นมาบนฝั่งได้สำเร็จ

    ดนตร์พุ่งตัวเข้าไปหากรณ์ทันที ขณะที่เขาเลือกที่จะช่วยอริญชย์ บิ๊กฮีโร่ตัวจริงของวันนี้ แม้จะตัวใหญ่พอๆ กับพวกฝรั่ง ทว่าเมื่อต้องออกแรงในน้ำที่ทั้งเย็นทั้งเชี่ยวเป็นเวลานานก็ทำหมดแรงได้ง่ายๆ เนื้อตัวของอริญชย์เย็นจัดไปหมด ปากสั่นซีด ตาแดงก่ำ ปลายนิ้วเป็นสีคล้ำ เขารีบกุมมืออีกฝ่ายไว้ ทั้งบีบทั้งขยำแบ่งปันไออุ่นในร่างกายให้ จนรู้สึกว่านิ้วยาวนั่นมันอุ่นขึ้นถึงได้เบาใจ ชั่ววินาทีหนึ่งที่อริญชย์ลืมตาขึ้นแล้วมองมาคล้ายกับจะขอบคุณ หัวใจของเขาเต้นรัว ไม่ใช่แค่ดีใจ แต่ความรู้สึกบางอย่างมันเกิดขึ้นกะทันหัน คล้ายกับตอนที่เห็นรุ่นพี่คนสวยเดินผ่าน ตื่นเต้นระคนเขินอาย

    หลังจากเหตุการณ์ชุลนุนพระนายได้รู้ความจริงอีกข้อว่า ทั้งกรณ์ อาใหญ่และผู้ช่วย ไม่มีใครว่ายน้ำเป็นเลย รวมไปถึงตัวเขาด้วย และกว่าที่พนักงานในรีสอร์ทจะมาทั้งกรณ์ ดนตร์และอริญชย์ก็ขึ้นมาอยู่บนฝั่งแล้ว จากนั้นเพื่อนของอาใหญ่ก็ช่วยกันพาทุกคนมาส่งที่โรงพยาบาล

    “เพลงก้าวพลาดน่ะครับ ดินตรงนั้นมันอ่อนตัวพอดี เลยหงายหลังตกลงไป” อาใหญ่อธิบายเพิ่มเติม โดยมีผู้ช่วยคอยบีบนวดที่หัวไหล่ให้อยู่เนืองๆ

    “แล้ว...แล้วจมน้ำได้ยังไง ก็เพลงว่ายน้ำเป็น” คุณดารินถามต่อ ซึ่งคำถามนี้ทุกคนก็จนปัญญา เพราะเมื่อกรณ์ขึ้นมาบนฝั่งได้ดนตร์ก็ไม่เหลือสติเอาไว้ตอบคำถามใครได้ เจ้าตัวเทความสนใจไปที่กรณ์เท่านั้น

    “เรื่องนั้นพวกเราไม่ทราบหรอกครับ แต่ตอนนี้เขาปลอดภัยดีแล้ว” อาใหญ่กล่าวเสริม ซึ่งทั้งสามก็ไม่ได้ซักถามอะไรเพิ่มเติม...แม้แต่ผู้ที่ให้ความช่วยเหลือ

    “พี่...กรณ์..ช่วยผม”

    ทุกสายตาในห้องพุ่งไปที่จุดเดียว ริมฝีปากซีดเซียวขยับเล็กน้อย เช่นเดียวกับปลายนิ้ว นานจนเกือบลืมลมหายใจเปลือกตาบางถึงได้ค่อยๆ เปิดขึ้น

   “เพลง!” ผู้เป็นมารดาใช้สองมือประคองใบหน้าของบุตรชาย ก่อนจะเลื่อนไปสำรวจส่วนอื่นๆ ทั้งหัวไหล่ แขน ลำตัว “เป็นยังไงบ้าง เจ็บตรงไหนไหม หายใจสะดวกหรือเปล่า”

    ศีรษะสวยสั่นเบาๆ “ผมไม่เป็นอะไรแล้ว”

    ดนตร์ค่อยๆ กระถดกายขึ้น โดยมีมารดาคอยให้ความช่วยเหลือ หมอนใบใหญ่ที่ใช้หนุนนอนกลายมาเป็นเบาะพิงหลังชั่วคราว

    คุณดารินหันไปรินยาต้มที่นำมาจากบ้านใส่แก้วให้ เป็นยาสูตรพิเศษที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษ สมัยก่อนนี้เชียงใหม่หนาวกว่านี้มาก เลยจำเป็นต้องมียาบำรุงเพื่อทำให้ร่างกายอบอุ่น ไอร้อนลอยโชยเหนือปากแก้วแค่ได้กลิ่นก็ต้องเบ้หน้าหนี แต่เพราะเป็นความรักความห่วงใยของมารดาเลยปฏิเสธไม่ได้ ดนตร์กลั้นใจระหว่างที่รับยาสมุนไพรเข้าปาก ตอนที่กลืนลิ้นแทบจะไม่อยากสัมผัสรับรสชาติด้วยซ้ำถึงกระนั้นกลิ่นเหมือนหญ้าไหม้ก็ยังอวลในปากอยู่ดี

    พอท่านทำท่าจะช่วยป้อนให้อีกอึกก็รีบสั่นหน้าปฏิเสธ “ผมไม่หนาวแล้วครับแม่”

   เพราะไม่อยากคะยั้นคะยอคนป่วย คุณดารินถึงได้ยอมรามือ ฝ่ายสามีจัดการเก้าอี้ตัวเล็กๆ มารองรับภรรยาด้วยความรู้ใจ ท่านหย่อนสะโพกลงนั่งพอดี โดยที่ไม่ยอมปล่อยมือจากบุตรชายเลยแม้แต่วินาทีเดียว

   “ทำไมถึงจมได้ล่ะ เราว่ายน้ำเป็นไม่ใช่หรือไง”

     “ครับ...ขาผมเป็นตะคริวน้ำเย็นมาก ผมพยายามว่ายแล้วแต่พอเป็นตะคริวผมก็ยิ่งจม”

    “แล้วใครไปช่วยเหลือ เขา...” คุณดารินเหลือบมองไปยังร่างที่นอนติดผนังสุด แต่ดนตร์สั่นหัว

   “พี่กรณ์ครับ” น้ำเสียงติดแหบตอบกลับมา “เขาไปช่วยผมทั้งที่ว่ายน้ำไม่เป็น เขาห่วงผมมากกว่าตัวเอง แม่ครับ” ดนตร์จับมือมารดาเอาไว้ “ผมเคยชอบพี่กรณ์ครับ แต่ตอนนี้มันกลายเป็นรักแล้ว”

    “ห๊ะ! เพลงนี่แกตกน้ำจนพูดเพ้อเจ้อไปแล้วอย่างนั้นเหรอ”

    “เปล่าครับ ผมมีสติดี แต่ตอนที่เห็นพี่กรณ์กำลังจะตาย ผมเกือบจะเป็นคนเสียสติไปแล้วจริงๆ” ตากลมมองไปที่เตียงที่ติดกัน กรณ์ยังนอนนิ่ง ตั้งแต่ออกจากห้องฉุกเฉิน กรณ์ยังไม่ตื่นขึ้นมาเลย ถึงคุณหมอจะรับรองความปลอดภัยแต่เขาก็ยังวางใจไม่ได้ “ก่อนหน้านี้ผมลังเลที่จะบอกเรื่องนี้ ผมกลัวว่าทุกคนจะเกลียดผม แต่ตอนที่เห็นพี่กรณ์อยู่ในน้ำผมก็รู้ว่าสิ่งที่ผมกลัวที่สุดคือต้องเสียเขาไป ผมรักเขาครับ ถึงพ่อกับแม่จะโกรธ จะเกลียด จะยอมรับหรือไม่ก็ตาม แต่ผมจะไม่มีวันเลิกรักเขา”

   “เพลง!” นับดาวปราม ทำเอาหนูน้อยในอ้อมแขนตกใจเบะปากแต่ยังไม่แผดเสียงร้อง

    “พี่นับดาว” ดนตร์ยิ้ม “ขอบคุณที่รักผม...แล้วก็ขอโทษที่ทำให้ผิดหวังครับ”

    “ไอ้น้องบ้า! คิดหรือไงว่าฉันจะรังเกียจน้องตัวเอง” ผู้เป็นพี่น้ำตาคลอ “กรณ์บอกเรื่องนี้กับพี่แล้ว”

   “บอกแล้ว?”

    “ใช่!” นับดาวพยักหน้า “ตั้งแต่วันแรกเลย พี่เห็นนายกับกรณ์เอ่อ...ช่างมันเถอะ แต่เขาก็บอกเรื่องนี้กับพี่ เขากล้าหาญไม่ปิดบัง แล้วก็ให้เกียรตินาย แถมวันนี้เขายังช่วยชีวิตนายเอาไว้อีก...” น้ำตาเม็ดใหญ่ไหลผ่านแก้มขาว “พ่อขาแม่ขา ได้โปรดเถอะนะคะ อย่าเกลียดน้องกับกรณ์เลย เขาแค่รักกัน...แค่รักกัน”

    “แง๊!”

    เมื่อเห็นว่ามารดาร้องไห้ น้ำเหนือเองก็พลอยขวัญเสียไปด้วย ทารกตัวอ้วนร้องไห้จ้า นับดาวรีบปลอบประโลมยกใหญ่ คุณดารินเองก็ด้วย

    “เพลง”

    คุณนทีเรียกชื่อบุตรชาย ไม่กี่ครั้งหรอกที่ท่านจะเรียกชื่อจริง แต่รู้ว่าในแต่ละครั้งที่เรียกย่อมมีนัยยะสำคัญ ร่างสูงใหญ่ที่ยังคงสง่างาม ผมที่ยังดกหนาและมีสีดำหวีเรียบไปด้านหลัง บิดาของดนตร์ไม่ใช่หนุ่มรูปงาม แต่ก็มีเสน่ห์เฉพาะตัว ดวงตากลมแก้วตาสีสนิมผ่านโลกมาเกือบหกสิบปี ท่านเป็นคนใจเย็น ใช้เหตุผลตัดสินปัญหา ใบหน้าที่มีริ้วรอยแห่งวัยตามปรากฏที่หน้าผาก หางตา มุมปาก แว่นทรงกลมสีทองทำให้ท่านดูสุขุมมากกว่าเดิม

    เพี้ยะ!

    “เพลง!”

    เสียงฝ่ามือกระทบแก้มดังแล่นเข้าไปในประสาทหู ใบหน้าซีกซ้ายชาวาบราวกับถูกราดด้วยน้ำเย็น ดนตร์หลับตาในชั่วระยะเวลาสั้นๆ ใต้เปลือกตาเป็นประกายวิบวับ กระพุ้งแก้มรับรู้ถึงรสฝาดของเลือด กลิ่นสนิมคลุ้งทั่วปาก ไม่ใช่ว่าไม่เคยถูกตบ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ถูกบิดาตบ ตั้งแต่เล็กจนถึงตอนนี้ท่านไม่เคยตีหรือทำร้ายเขาเลย อย่างมากที่สุดก็ตำหนิ รอจนอาการชากลายเป็นเจ็บแสบเขาถึงได้เปิดตาขึ้น

    “คุณตบเพลงทำไม” คุณดารินโผเข้ากอดบุตรชาย ท่ามกลางความตื่นตะลึงของทุกคนในห้อง โชคดีที่ห้องพักฟื้นมีคนไข้แค่สามรายเท่านั้น

   “แกเป็นผู้ชายทำไมถึงได้ขี้ขลาดแบบนี้!” คุณนทีพูดเสียงดัง “ทั้งที่กรณ์กล้าที่บอกกับคนอื่นๆ ว่าเป็นอะไรกับแก แต่แกกลับเลือกที่จะปิดบังพ่อกับแม่ พ่อสอนให้แกกล้าหาญและเข้มแข็งมาเสมอ แล้วทำไมถึงได้กลัวกับเรื่องแค่นี้”

    “ผม...ผม”

    “พ่อผิดหวังในตัวแกจริงๆ”

    “พ่อครับ ผม...ผมขอโทษ”

    “ไม่ต้องมาขอโทษพ่อ โน่นต่างหากที่แกต้องไปขอโทษ” นิ้วของคุณพ่อชี้ไปยังร่างของคนป่วยที่นอนบนเตียงถัดไป “เขากล้าหาญถึงขนาดยอมลงไปช่วยแก ทั้งที่ว่ายน้ำไม่เป็น ไปขอโทษและขอบคุณเขาซะ แล้วก็....ถ้าพร้อมเมื่อไรก็พาเขามา เราจะพูดคุยกันอย่างเป็นทางการอีกที”

    “พ่อ...”

    เสียงของดนตร์สั่นเครือ ความเจ็บปวดที่ใบหน้าซีกซ้ายหายวับไปในนาทีนั้น ภาพใบหน้าของบิดาพร่าเลือนด้วยม่านน้ำตาที่เข้ามาบดบัง การถูกทำร้ายครั้งแรกมันคือการลงโทษที่เขาขี้ขลาดไม่สมเป็นลูกผู้ชาย หากแต่ไม่ใช่เพราะมีหัวใจให้กับเพศเดียวกัน ดนตร์ยิ้มทั้งน้ำตาขอบคุณบิดาในใจ

    ...สาบานว่าจากนี้ไปเขาจะต้องกล้าหาญให้เท่ากับกรณ์ให้ได้…

(มีต่อ)


ออฟไลน์ libra82

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 285
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +236/-5
        พระนายยังไม่กลับ เขารับหน้าที่เฝ้าคนป่วยให้ ขณะที่คนอื่นๆ กลับกันไปหมดแล้ว ป้ารินไม่โกรธพี่เพลงสักนิดที่บอกว่าตนเองรักพี่กรณ์ เอาแต่กอดปลอบประโลม คงห่วงในชีวิตของผู้เป็นลูกมากกว่าความรู้สึกของตัวเอง แถมยังป้อนยาบำรุงให้พี่เพลงอยู่หลายอึก กระทั่งน้ำเหนือเริ่มงอแงเพราะได้เวลานอน ทั้งหมดก็กลับไป พี่เพลงนอนหลับไปอีกรอบเมื่อห้องกลับมาสงบอีกครั้ง อาใหญ่กับผู้ช่วยขอตัวกลับไปพักผ่อน นับว่าเป็นโชคช่วยเพราะก่อนที่พี่เพลงจะตกน้ำไป การถ่ายแบบสิ้นสุดลงพอดี

    พระนายเดินผ่านสองเตียงไปสู่เตียงสุดท้าย พี่รันยังหลับสนิท ใบหน้าในตอนหลับดูอ่อนโยนกว่าปกติ ความกระด้างของดวงตาถูกเปลือกตาปิดทับไว้ ริมฝีปากหนาแต่รับกับใบหน้าส่วนอื่นๆ ปิดสนิท เรือนกายกำยำมีมัดกล้ามพอประมาณจากการออกกำลังกายเป็นประจำพอเหมาะพอดี ไม่ได้ใหญ่หนาจนน่ากลัวเกินไป เส้นผมสีดำกับคิ้วหนาสีเดียวกันยิ่งเสริมให้เจ้าตัวทั้งคมและเข้ม ปฏิเสธไม่ได้ว่าอริญชย์หน้าตาดีอย่างหาตัวจับได้ยากคนหนึ่งเลยทีเดียว พี่กรณ์เองก็หล่อเหลาแต่แววตาเย็นชานั่นทำให้เขากลัวมากกว่า

    เด็กหนุ่มนั่งบนเก้าอี้ข้างเตียงอย่างเงียบเชียบที่สุด วางข้อศอกกับเตียงคนป่วยแล้วใช้หลังมือรองรับคางตัวเองอีกที ตั้งแต่คืนก่อนแล้วที่เขารับรู้ถึงความผิดปกติของหัวใจตัวเอง มันเต้นไม่เป็นส่ำตอนที่พี่ชายตัวใหญ่ไล่ผีเสื้อให้ แม้จะแน่ใจว่าตัวเองไม่ได้มีรสนิยมชอบเพศเดียวกัน แถมยังเคยคบกับผู้หญิงมาแล้ว ทว่าไอ้อาการใจเต้นไม่เป็นจังหวะ หายใจติดๆ ขัดๆ ที่เป็นอยู่นี่มันเรียกว่าอะไร

    “เฮ้ย!”

    ฉับพลันเปลือกตาหนาก็เปิดขึ้น พระนายลุกจากเก้าอี้ถอยกรูรวดเดียวไปอยู่ท้ายห้อง ดวงตาเบิกกว้างขณะที่มองคนป่วยยันกายขึ้นจากเตียง อริญชย์ยังคงงัวเงียอยู่ไม่น้อย ใบหน้าคมหันมองไปรอบๆ ก่อนจะมาหยุดที่เขา

    “นาย...กรณ์ฟื้นหรือยัง” พระนายส่ายหน้า ถึงตอนนี้คงมีแค่กรณ์เท่านั้นที่ยังไม่ตื่น “แค่กๆ”

    พอตั้งสติได้พระนายก็ค่อยๆ สาวเท้ากลับมาที่เดิม สีหน้าของพี่รันดีขึ้นกว่าเดิม เลือดกลับมาสูบฉีดแล้ว ปลายนิ้วไม่ได้คล้ำ แต่ยังเหลือความอิดโรยไว้ให้เห็นอยู่บ้าง

    “พี่...เป็นอะไรเหรอครับ ให้ผมตามหมอให้ไหม”

    มือหนาโบกไปมาในอากาศ ก่อนจะชี้ไปที่เหยือกน้ำ พระนายรีบรินน้ำใส่แก้วแล้วส่งให้ อริญชย์กระดกน้ำทีเดียวหมดก้าวแล้วคืนแก้วให้

    “เพลงล่ะ ฟื้นหรือยัง”

    “ฟื้นแล้วครับ เพิ่งหลับไปเมื่อครู่ใหญ่ๆ นี่เอง...ส่วนอาใหญ่กับคนอื่นๆ ก็เพิ่งกลับไปเหมือนกันครับ”

    “คนอื่นๆ?” คิ้วหน้าขมวดน้อยๆ ด้วยความสงสัย

   “ครอบครัวพี่เพลงก็มาครับ กลับไปเมื่อครู่ใหญ่ๆ นี้เอง แล้วพ่อแม่พี่รันล่ะครับจะมาไหม ครอบครัวพี่กรณ์อีก ตายๆ ผมลืมขอเบอร์อาใหญ่ไว้ด้วย ทำยังไงดี พี่รันจะให้ผมติดต่อใครให้ไหม เดี๋ยวผมจัดการให้”

    “พอๆ” อริญชย์ยกมือขึ้น “ฉันอยากดูดบุหรี่”

    “ครับ?” พระนายทำหน้างง ก่อนจะตามทัน “แต่ผมไม่มีบุหรี่นะครับ”

    “อยู่ในกระเป๋ากางเกง ดูมาให้หน่อยสิ”

    พระนายพยักหน้า จำได้ว่าเสื้อผ้าเปียกๆ พวกนั้นอาใหญ่ส่งไปซักให้แล้ว ส่วนข้าวของติดตัวใส่ถุงรวมกันไว้ เด็กหนุ่มเดินไปที่โต๊ะตัวเล็กกลางห้อง ค้นจนเจอซองบุหรี่กับไฟแช็ก

    “นี่ครับ...” พระนายยื่นให้เจ้าของ แต่อริญชย์ไม่ยอมรับ

    “ถือมาให้ที”

    แม้จะสงสัยแต่ก็ไม่กล้าถาม เขาปล่อยให้คนป่วยลุกขึ้นจากเตียงและลากเสาน้ำเกลือเอง ถึงอยากจะช่วยสักแค่ไหนแต่ท่าทางของอริญชย์คงไม่อยากให้เขาไปยุ่งเท่าไร

    อริญชย์ออกจากห้องพักฟื้น เดินไปเรื่อยตามทางเดินที่ยาวสุดลูกหูลูกตา มือข้างที่มีเข็มน้ำเกลือทิ่มจับเสาน้ำเกลือลากไปด้วย ส่วนมืออีกข้างต้องคอยจับปมกางเกงเอาไว้ แม้จะไม่ได้ดูสง่างามอย่างเคยแต่ความดูดีก็ไม่ได้ลดลงเช่นกัน ใบหน้าซีดเซียวยังคงเคร่งขรึมและมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง อริญชย์เดินเลี้ยวซ้ายเพื่อออกสู่ระเบียง พระนายห่อตัวเข้าหากันด้วยอากาศหนาวที่เริ่มแผ่เข้ามา เขาได้ยินเสียงลมพัด คงเพราะนี่คือชั้นห้าของโรงพยาบาล

    แต่คนป่วยกลับไม่มีทีท่าจะหนาวสักนิด อริญชย์เลือกมุมที่เห็นทิวทัศน์บริเวณด้านล่างได้ ก่อนจะให้เขาดึงบุหรี่ออกจากซองให้เท่านั้นไม่พอเจ้าตัวยังขอให้เขาจุดไฟให้อีก ทั้งที่มีบุหรี่คาบอยู่ในปาก แม้จะอายจนมือสั่นเพราะไม่เคยทำแบบนี้ให้ใครมาก่อนแต่สุดท้ายเปลวไฟก็เผาไหม้เกิดเป็นไฟสีแดงวาบ

   ควันสีขาวลอยในอากาศ กลิ่นนิโคตินไม่ได้ทำให้รำคาญเท่าไรนัก คนสูบมองเลื่อนลอยไปยังเบื้องหน้า จนควันที่สองถูกปล่อยออกมา อริญชย์ถึงได้พูดขึ้น

    “ฉันชอบเพลงเขาน่ารัก ซื่อบื้อ แล้วก็ตรงดี ฉันพยายามจะจีบเขา แต่ไม่เคยสำเร็จ เพราะกรณ์ ที่จริงฉันกับไอ้กรณ์เราเป็นเพื่อนรักกัน แต่ตอนนี้ไอ้กรณ์คงเกลียดฉันเข้ากระดูกดำไปแล้ว”

    “ทำไม...ล่ะครับ” พระนายถาม พยายามกลืนก้อนแข็งๆ ที่จู่ๆ ก็วิ่งขึ้นมาจุกที่คอหอย พร้อมกับอาการหวิวโหวงในอก...พี่รันชอบพี่เพลง

    “เพราะมันก็ชอบเพลงเหมือนกัน” อริญชย์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ปล่อยควันบุหรี่ออกมาอีกครั้ง “แต่ฉันจะตัดใจแล้วล่ะ...เพื่อนสำคัญที่สุด”

    พระนายไม่ได้แสดงความเห็นใดๆ เขาปล่อยให้อริญชย์อยู่กับบุหรี่ไปเรื่อยๆ จนหมดมวน...

                                               

    เปลือกตาที่ปิดนานไปกว่าหกชั่วโมงค่อยๆ ขยับเปิดอย่างเชื่องช้า ทันทีที่มีแสงตกกระทบเข้ามาในม่านตาก็ต้องรีบหลับตาลงอีกรอบ รอจนแสงระยิบระยับใต้เปลือกตาลดน้อยลงแล้วจึงลืมตาขึ้น คราวนี้ใช้เวลาอีกพักใหญ่สายตาถึงปรับสภาพได้ แสงไฟบนเพดานเป็นสิ่งแรกที่ได้เห็น จากนั้นก็เป็นผนังสีขาวขุ่นๆ ผ้าม่าน บานหน้าต่างเก่าๆ และเตียงนอน กลิ่นยาโชยเข้ามาในปอดจนต้องเบ้หน้า เขาไม่ถูกกับกลิ่นสารเคมีที่ใช้รักษาร่างกายเท่าไรนัก ครั้งสุดท้ายที่ได้กลิ่นเขาต้องทนดมมันนานเป็นสัปดาห์ เพราะมันติดอยู่ตรงขมับนี่เอง พูดถึงแผลก็อดยกมือขึ้นแตะไม่ได้ แผลที่ได้มาจากการสารภาพบาป แม้จะไม่ได้ยาวจนน่าเกลียดแต่รอยนูนของมันก็เป็นสิ่งที่มีไว้ย้ำเตือนความทรงจำได้ดี

    ชายหนุ่มพรูลมหายใจเฮือกใหญ่ รู้สึกว่าร่างกายอ่อนล้าไปหมด แขนขาหนักเหมือนมีตุ้มเหล็กถ่วงไว้ เท่านั้นไม่พอศีรษะยังหนักอึ้ง ความคิดลอยคว้าง รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นลูกโป่งไม่มีผิด เขายันกายขึ้นจากเตียงเล็ก ขนาดที่จะพลิกตัวแล้วไม่ระวังมีหวังได้ตกลงไปนอนบนพื้นเป็นแน่ กระทั่งเอาศีรษะพิงกับผนังห้องเย็นๆ ได้ เจ็บหน่วงๆ ที่หลังมือเพราะเข็มน้ำเกลือ แล้วหลุบตามองชุดที่ตัวสวมใส่อยู่ มันเป็นชุดผู้ป่วยจริงๆ กรณ์แค่นยิ้ม ไม่กี่เดือนที่ผ่านมาเขาเข้าโรงพยาบาลมาสองครั้งแล้ว ครั้งนี้แย่ที่สุด รู้ไปถึงไหนอายไปถึงนั่น กรณ์ผู้แข็งแกร่งต้องมานอนหยอดน้ำข้าวต้มเพราะว่ายน้ำไม่เป็น

    ถึงจะหลับไปนาน แต่ก็จำได้ว่าสาเหตุที่ทำให้ต้องมานอนบนเตียงเล็กๆ แคบๆ นี้เป็นเพราะอะไร ยอมรับว่าวินาทีที่เห็นดนตร์ตกน้ำ เขาแทบสิ้นสติลืมไปด้วยซ้ำว่าตัวเองว่ายน้ำไม่เป็น รู้แค่ว่าดนตร์จะต้องปลอดภัย แต่น้ำมันเย็นเหลือเกิน ความเย็นของมันเหมือนมีดคมกรีดไปบนผิวกาย มวลน้ำหนาแน่นโอบรัดรอบตัวจนแทบจะขยับแขนขาไม่ได้ แต่ในนาทีที่กำลังดิ้นรนหาทางเอาตัวรอดเขาก็เห็นดนตร์พอดี เขาตัดสินใจดันร่างเล็กด้วยพละกำลังที่มีโดยไม่สนใจว่าตัวเองจะตายหรือจะรอด แล้วน้ำก็พากันไหลเข้าไปในปาก จมูก อัดแน่นอยู่ในตัวเขาจนหายใจไม่ออก ร่างกายเริ่มชาและไร้ความรู้สึก ก่อนที่ทุกอย่างจะดับมืดไป...แล้วเขาก็ไม่รับรู้อะไรอีกเลย กระทั่งได้ยินเสียงบางอย่าง มันคล้ายกับเสียงร่ำไห้สลับกับร้องเรียก ตอนนั้นหัวใจเขาอุ่นซ่านขึ้นอย่างน่าประหลาด เรี่ยวแรงที่หายไปกลับคืนมาอีกครั้ง ไออุ่นจากใครบางคนมันผ่านเข้ามาในผิวกาย ถ้อยคำเลือนรางชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ จนสามารถจับเป็นประโยคได้

    ‘ผมรักพี่’

   คำบอกรักที่ไม่เคยได้ยิน ราวกับแรงส่งมหาศาลมันดึงให้เขาหลุดจากหลุมสีดำ และเมื่อเปิดตาขึ้นสิ่งแรกที่ได้เห็นคือใบหน้าของคนที่เขารัก

    กรณ์หันมองรอบกายอีกครั้ง ดนตร์ยังอยู่ข้างๆ เขาแม้แต่ในตอนที่อยู่ในสภาพช่วยเหลือตัวเองแทบไม่ได้เช่นนี้ ใบหน้าขาวซีดกว่าที่เคยเห็น ริมฝีปากแห้งผาก เปลือกตาบางปิดทับดวงตากลม ถึงจะไม่พิสมัยชุดคนไข้เท่าไรนัก แต่เขากลับรู้สึกว่ามันเข้ากับดนตร์ได้อย่างไม่น่าเชื่อ ผ้าฝ้ายไม่หนาไม่บาง คอกว้าง ตัวหลวมโพรกกับกางเกงหูผูกใส่สบายๆ ที่หลังมือของดนตร์มีเข็มน้ำเกลือปักอยู่เช่นเดียวกับเขา แม้จะห่วงสุดหัวใจแต่ก็เบาใจที่อย่างน้อยก็ได้กลับมานอนข้างกัน

    นี่ไม่ใช่รักแรก...รักครั้งแรกของเขาเกิดตอนมัธยมต้นปีสุดท้าย เขาพบกับเธอที่ห้องชมรมศิลปะ เธอเป็นหนึ่งในลูกศิษย์ของอาจารย์ดิน ผิวของเธอขาว ดวงตากลมโตเหมือนกวาง ผมยาวถึงกลางแผ่นหลัง และมีรอยยิ้มอ่อนหวาน รักครั้งแรกหวานชื่นดีตามประสารักในวัยเยาว์ กระทั่งวันที่สำเร็จการศึกษา เขาก็ได้พบกับข่าวร้าย เธอต้องไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ ทั้งที่สัญญาว่าจะไม่ลืมกัน แต่สุดท้ายพวกเขาก็ต้องยอมแพ้ให้กับระยะทาง การจากลาทั้งที่ยังรักย่อมเจ็บปวดมากกว่าหมดรัก เขาใช้เวลาเยียวยาหัวใจอยู่นานกว่าที่แผลรักจะตกสะเก็ด จากนั้นเขาก็ไม่เคยคิดจะรักใครจริงๆ สักที แม้แต่กับโยษิตา คู่รักที่คบกันยาวนานที่สุด

    ทว่ากับดนตร์ ระยะเวลาสั้นๆ ที่ได้เรียนรู้กันอย่างจริงจัง กลับทำให้เขารู้ซึ้งถึงคำว่ารักอีกครั้ง มันเหมือนตลกร้าย ดนตร์เป็นผู้ชาย หน้าตาธรรมดา ไม่มีอะไรดึงดูด นอกเสียจากนิสัยอวดดี แต่จะด้วยเหตุผลกลใดก็ตามเขาก็เอาตัวเข้าไปพัวพันจนได้ แล้วสุดท้ายก็แกะไม่ออก แถมยิ่งนานวันความรู้สึกก็ยิ่งชัดเจน...เขารักดนตร์จริงๆ

    กรณ์ลงจากเตียง ใช้มืออีกข้างที่ไม่มีเข็มปักอยู่ช่วยเลื่อนเสาน้ำเกลือไปด้วย แล้วมาหยุดที่เตียงที่ติดกัน ดนตร์หลับสนิท ลมหายใจผ่อนเข้าออกเป็นจังหวะสม่ำเสมอ แผ่นอกสะท้อนตามจังหวะการหายใจ ริมฝีปากเผยอน้อยๆ จนเห็นไรฟันขาวสะอาด ชายหนุ่มย่อตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตัวเล็ก ละมือจากเสาน้ำเกลือมาที่ขอบริมฝีปาก เกลี่ยไล้มันเบาๆ แล้วเลื่อนเลยไปตามสันจมูกโด่ง คิ้วคม เค้าโครงใบหน้าค่อนข้างสมบูรณ์ อาใหญ่ตาถึงจริงๆ ที่เลือกดนตร์มาเป็นนายแบบ ไม่ได้หล่อผุดผาดสะดุดตา หากยิ่งพิศก็ยิ่งน่าหลงใหล

    “ขี้เซาจังนะ ไอ้เด็กดื้อ” กรณ์พูดเบาๆ พลางก้มหน้าลงไปใกล้กับพวงแก้มนุ่ม กลิ่นหอมอ่อนๆ คล้ายกับน้ำนมชวนให้กดจมูกลงไป...แล้วเขาก็ทำจริงๆ กลิ่นยาบาดจมูกยังพ่ายให้กับกลิ่นเนื้ออ่อนของดนตร์

    เปลือกตาบางขยับขยุกขยิก ทำท่าเหมือนจะเปิดแต่ก็ไม่เปิด ผ่านไปชั่วอึดใจก็กลับไปนิ่งสงบเช่นเดิม กรณ์อมยิ้มด้วยความเอ็นดู จิตใจฝ่ายดีอยากจะให้ดนตร์ได้พักผ่อนเต็มที่ ทว่าอีกฝั่งกลับสั่งให้เขา ‘หาเศษหาเลย’ ต่ออีกนิด...คนอย่างกรณ์ก็เลือกทำตามใจอยู่แล้ว

    เขาไล่จมูกไปตามโครงหน้าสวย ทั้งคาง แก้ม สันจมูก คิ้ว หน้าผาก เปลือกตาและริมฝีปาก กรณ์พรมจูบเบาๆ อยู่ที่มุมปากแล้วเลื่อนเลยไปบนกลีบปากนุ่มเย็นชืด กดซ้ำๆ อยู่อย่างนั้นหลายที ยิ่งเห็นคนหลับไม่มีทีท่าจะตื่นขึ้นมาคัดค้านก็ยิ่งย่ามใจ มือข้างที่ไม่มีเข็มน้ำเกลือวางไปบนหัวไหล่บางลูบเลยมาถึงช่วงลำคอที่อยู่เหนือผ้าห่มสีตุ่นๆ ปลายนิ้วยาวสอดเข้าไปในตัวเสื้อ ผิวกายอุ่นซ่านเต็มไปด้วยความรู้สึก ราวกับจะเชิญชวนให้ตักตวง

    “อะแฮ่ม! นี่มันโรงพยาบาลนะ ทำอะไรก็หัดเกรงใจกล้องวงจรปิดบ้าง”

    กรณ์กระชากลมหายใจพร้อมกับสบถหยาบคายในคอ ใบหน้าหล่อเหลาหันมองต้นเสียง อริญชย์ยืนพิงกรอบประตูห้อง ข้างๆ กันนั้นมีเด็กหนุ่มที่กำลังทำหน้าเหมือนเห็นผีอยู่ด้วย เขาจิ๊ปากเพราะถูกขัดจังหวะอีกรอบ แล้วถอยกลับไปที่เตียงตัวเอง

    อริญชย์เดินลากเสาน้ำเกลือเดินผ่านไป โดยมีพระนายตามติด มีครั้งหนึ่งที่พระนายหันมามอง พอเห็นว่าเขาเองก็จ้องมองอยู่ก็รีบหลบตาวูบก้มหน้างุดๆ เดินหนีไป

    กรณ์ใช้เวลาพักใหญ่เพื่อปรับอารมณ์ให้เข้าที่ ระหว่างนั้นก็มองหากล้องวงจรปิดที่อริญชย์พูดถึงไปด้วย มันมีอยู่จริงๆ กล้องตัวเล็กติดอยู่ตรงมุมบนสุดของห้องทางขวามือ หันทิศทางมาทางพวกเขาเสียด้วย กรณ์ถอนหายใจอีกรอบ นี่ถ้าอริญชย์ไม่เข้ามาเขากับดนตร์คงได้แสดงหนังสดให้เจ้าหน้าที่ดูไปแล้ว...พูดถึงอริญชย์ เขาก็ต้องแปลกใจ เพราะที่เห็นอริญชย์อยู่ในสภาพคนป่วยเช่นเดียวกันกับเขา...เพราะอะไร

    “ทำไมแกมาอยู่ที่นี่ได้วะ”

   “ช่วยลูกหมาตกน้ำมา” อริญชย์ตอบ น้ำเสียงยานคางยียวน

    “ลูกหมาที่ไหน”

    “ลูกหมาสองตัวที่นอนอยู่บนเตียงนี่ไง” อริญชย์ใช้นิ้วมือชี้มาทางเขาและดนตร์

    “นี่แก...”

    อริญชย์ไม่พูดอะไรอีก แต่ล้มตัวลงนอนหันหลังให้แทน กรณ์มองไปที่พระนายอย่างเค้นคำตอบ เจ้าตัวสะดุ้งน้อยๆ แต่ก็ยอมเดินมาที่เตียง ใบหน้าอ่อนเยาว์ที่แทบจะเหมือนเด็กมัธยมต้นมีแววประหม่า พระนายเม้มปากเป็นเส้นตรงก่อนจะพูดกับเขาด้วยระดับน้ำเสียงที่เรียกว่ากระซิบ

   “ตอนที่พี่กระโดดลงไปช่วยพี่เพลง พี่รันก็กระโดดตามลงไปครับ เขาเป็นคนช่วยพี่ขึ้นมา”

    “ช่วยฉัน...มันเนี่ยนะ”

    “ครับ” เด็กหนุ่มพยักหน้า พลางปรายตาไปที่เตียงตัวติดผนัง “เขาเป็นห่วงพี่มากนะครับ ถามหาพี่ก่อนใคร”
   กรณ์นิ่งไปชั่วอึดใจ เขาเชื่อว่าพระนายไม่ได้พูดเกินจริง และไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องปั้นเรื่องด้วย ทว่าเป็นเขาเองต่างหากที่มีอคติมากเกินไป ทั้งที่น่าจะรู้อยู่แล้วว่าอริญชย์รักเพื่อนพ้องมากแค่ไหนแต่กลับเอาเรื่องอื่นมาบดบังมิตรภาพ ชายหนุ่มตบที่บ่าพระนายเบาๆ เป็นเชิงขอบคุณ เด็กหนุ่มยิ้มกว้างแล้วหมุนตัวกลับไปนั่งบนโซฟาตัวยาวท้ายห้อง

    ออกจากโรงพยาบาลคราวนี้ เขามีเรื่องรอให้สะสางหลายเรื่องเลยทีเดียว...



    ภายในห้องโถงบัดนี้เต็มไปด้วยแขกผู้มาเยือนและเจ้าของบ้านที่อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา แม้แต่สามีของนับดาวก็อยู่ด้วยเช่นกัน เจ้าของบ้านทั้งห้าประกอบด้วย คุณนทีผู้เป็นประมุขของบ้าน คุณดาริน นับดาว และชเนศ สามีของนับดาว โดยมีทารกน้ำเหนือนั่งตัวกลมอยู่ในอ้อมแขนของบิดา ขณะที่ผู้เป็นแขกคือกรณ์และบุตรชายคนเล็กของบ้านนั่งบนพื้นพรมต่อหน้าของทั้งห้าคนพอดี

    คุณนทีมีใบหน้าเรียบเฉยไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆ ออกมา ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเพราะโดยปกติแล้วผู้นำตระกูลฮวงคนนี้มักไม่ค่อยแสดงความรู้สึกมากนัก ส่วนคุณดารินผู้เป็นภรรยาแสดงความอึดอัดผ่านแววตาหากทว่าถ้าจ้องมองดีๆ จะเห็นความอ่อนโยนอยู่ในนั้นด้วย และสองสามีภรรยากำลังหยอกล้ออยู่กับลูกน้อย ราวกับว่าไม่มีส่วนรู้เห็นใดๆ

    กรณ์นั่งทับท่อนขาตัวเองโดยปลายเท้าทั้งสองหันไปด้านหลัง ดนตร์เองก็นั่งในท่าเดียวกัน ทั้งที่ในห้องมีเสียงพูดคุยของสามพ่อแม่ลูก แต่ประสาทการได้ยินกลับได้ยินแค่เสียงลมหายใจของตัวเองเท่านั้น มือที่กุมอยู่บนหน้าขาเริ่มชื้นเหงื่อ แม้จะไม่มีคำพูดแต่กลับรู้สึกถึงความกดดันจนจังหวะการหายใจไม่คงที่ ดนตร์เหลือบมองคนข้างๆ เป็นระยะๆ ทั้งเป็นห่วง ทั้งกังวล

    เมื่อเช้าหลังจากตื่นขึ้นเขาก็พบกับกรณ์ที่อยู่ในชุดพร้อมกลับบ้านเรียบร้อยแล้ว ใบหน้าหล่อเหลาดูคมเข้มขึ้นเล็กน้อยด้วยหนวดเคราที่ยังไม่ได้รับการกำจัด ดวงตาคมกริบจ้องมองมาตลอดเวลาที่เขาเคลื่อนไหว ก่อนที่จะบอกว่าคุณหมออนุญาตให้กลับบ้านได้แล้ว เขาถามหาถึงพี่รัน เจ้าตัวตอบเสียงห้วนๆ ว่าอาใหญ่มารับกลับไปแล้ว รวมไปถึงพระนายด้วย ดังนั้นทั้งห้องจึงเหลือแค่เขากับกรณ์แค่สองคนเท่านั้น

    ‘ผมพร้อมที่จะบอกพ่อกับแม่แล้ว’

    นั่นเป็นประโยคแรกที่เขาพูด กรณ์ไม่ได้ตอบโต้อะไรนอกจากพยักหน้าเบาๆ เท่านั้น     

    “ผมขอโทษครับ” กรณ์โน้มตัวลง จนหน้าผากติดกับพื้น มือทั้งสองข้างวางข้างศีรษะ “ผมขอโทษที่ทำผิดประเพณี ขอโทษที่ทำให้ครอบครัวของคุณเสี่อมเสีย แต่ผมรักเพลงจริงๆ ครับ”

    “พี่กรณ์!” ดนตร์ร้องเสียงดัง พยายามรั้งหัวไหล่หนาขึ้นแต่ไม่เป็นผล “พี่ไม่ต้องทำแบบนี้ ผมเองต่างหากที่ต้องทำ”

   ชั่วจังหวะหนึ่งกรณ์เอียงหน้าขึ้นแต่หน้าผากยังติดกับพื้น ดวงตาคมมีแววตำหนิ “ฉันจะรับผิดชอบเรื่องนี้เอง”

    “ไม่! เราต้องรับผิดชอบด้วยกัน ผมจะไม่ยอมให้พี่เท่ห์คนเดียวหรอก!”

    ในเมื่อไม่มีใครยอมใคร ดนตร์เลยโน้มตัวทำท่าเดียวกัน

   “จะก้มให้เลือดลงหัวแล้วป่วยอีกรอบหรือไงกัน” เสียงใหญ่กังวานแต่ทรงอำนาจดังขึ้น ทั้งสองเหลือบมองหน้ากันเล็กน้อยแต่ยังไม่ยอมเงยหน้าขึ้น “เงยหน้าขึ้นแล้วมาคุยกันให้รู้เรื่องสักทีดีกว่า”

    ดนตร์ยกศีรษะขึ้นตามคำบอกของบิดา รู้สึกมึนงงเล็กน้อยคงเป็นผลกระทบจากการจมน้ำเมื่อวาน พอหันมองคนข้างๆ ก็เกือบหลุดขำ เพราะที่หน้าผากของกรณ์มันเป็นรอยแดงกว้าง

   “เธอคงไม่รู้ว่าฉันคุยเรื่องนี้กับเพลงแล้วเมื่อวาน เธอกล้าหาญมากที่ช่วยเหลือลูกชายของฉันทั้งที่ตัวเองก็ว่ายน้ำไม่เป็น ขอบใจมากนะ” มือกร้านยกขึ้นแตะที่หัวไหล่หนาและบีบเบาๆ “เพลงเองก็รักเธอเหมือนกัน เมื่อวานเขาบอกกับฉันว่า เขากับเธอรักกัน สำหรับคนเป็นพ่อเป็นแม่นั้นมันเป็นเรื่องที่ยากแก่การยอมรับ แต่ก็ใช่ว่าจะยอมรับไม่ได้ ฉันเองก็แก่แล้ว สิ่งที่หวังไม่ใช่แค่ให้ลูกให้หลานประสบความสำเร็จ มีเงินมีทองใช้ แต่ฉันอยากเห็นลูกมีความสุข เธอจะรับปากได้ไหมว่าจะทำให้เพลงมีความสุข”

    “เพลงพูดกับคุณอาแล้วหรือครับ”

   “ใช่...แล้วฉันก็ทำโทษเพลงไปแล้วด้วย” คุณนทีบอก

    “ทำโทษ! คุณอาทำอะไรเพลงครับ คุณอาตีเขาหรือเปล่า เขาเพิ่งตกน้ำมา ทำไมคุณถึงใจร้ายแบบนี้ ถ้าคุณอาไม่พอใจคุณอาก็ทำผมสิ แต่อย่าทำร้ายเพลง” กรณ์โวยวาย ก่อนจะหันมาสำรวจเนื้อตัวของดนตร์

   “พี่ครับ พ่อไม่ได้ตีผม เขาแค่...”

    “ตบ...ที่ปาก หรือว่าต่อย!” กรณ์พูดแทรกทันทีเมื่อเหลือบไปเห็นรอยช้ำที่มุมปากของดนตร์ ให้ตายสิ! เขามันมีตาแต่ไม่มีแวว ทั้งที่เมื่อคืนมีโอกาสได้สำรวจแบบใกล้ๆ แล้วแท้ๆ แต่กลับไม่เห็นรอยช้ำนี่เลย กระทั่งตอนที่ตื่นนอนจนมาถึงที่นี่ก็ยังไม่สังเกตเห็น เพิ่งมาเห็นตอนที่คุณนที บอกว่าทำโทษดนตร์ไปแล้วนี่เอง “ไหนคุณบอกว่าอยากเห็นเขามีความสุขไง แล้วทำไมถึงต้องทำร้ายเขาด้วย”

    “พี่กรณ์ ฟังก่อน พ่อเขาแค่...”

    “ไม่ฟัง! ถ้าอยากให้เรารักกันก็ไม่เป็นไร นายไม่ต้องอยู่ที่นี่แล้ว ไปอยู่กับฉัน ฉันจะดูแลนายเอง” กรณ์ลุกขึ้นเต็มความสูง รั้งต้นแขนดนตร์ขึ้นมาด้วย

    “กล้าหาญดี เสียแต่ใจร้อนไปหน่อย นั่งลงก่อนกรณ์ ฉันยังพูดไม่ทันจบเลย เธอก็ชิงตัดบทเสียก่อน” คุณนทีพูดอย่างใจเย็น

    “ก็คุณอาบอกว่าคุณอาทำโทษเพลง รอยช้ำที่ปากนี่ด้วย”

    ผู้อาวุโสระบายยิ้มอ่อนโยนผิดกับอารมณ์ของอีกฝ่าย “แต่ฉันยังไม่ได้บอกเธอนี่ว่าฉันทำโทษเพลงทำไม”

    “ก็เพราะเพลงมารักกับผม คุณอารับไม่ได้ก็เลยทำร้ายเขา”

    “ไม่ใช่ นั่งลงก่อน ยืนแบบนี้ฉันปวดคอ”

    ดนตร์ที่อยู่ข้างๆ ยกมือขึ้นลูบแขนคล้ายกับจะปลอบกัน เขาหันมองใบหน้าของคนรัก ดวงตากลมมีแววอ้อนวอน กรณ์ถอนหายใจหนักๆ แต่ก็ยอมกลับลงไปนั่งตามเดิมด้วยท่าขัดสมาธิไม่ใช่คุกเข่าอย่างในตอนแรก

    “ฟังพ่อหน่อยนะ รับรองนายจะต้องอารมณ์ดีอย่างแน่นอน” นับดาวพูด

    น่าแปลก..ในขณะที่เขากำลังโกรธจนควันออกหูแต่คนในครอบครัวของดนตร์กลับไม่มีใครเป็นเดือดเป็นร้อนสักคน มิหนำซ้ำยังอารมณ์ดีผิดปกติ แม้แต่คุณดารินที่น่าจะทั้งรักทั้งห่วงดนตร์มากกว่าใคร ก็ยังทำนิ่งเฉย

    “ฉันทำโทษเพลงเพราะเขาเป็นคนขี้ขลาด เราเป็นชาย ต้องกล้าหาญ อดทน มีความรับผิดชอบ ฉันไม่เคยสอนให้ลูกเป็นคนขี้ขลาด แต่เขากลับไม่กล้าบอกฉันเรื่องที่คบอยู่กับเธอ” กรณ์รับฟังด้วยท่าทางสงบ แต่ดวงตากลับไม่คลาดเคลื่อนไปจากผู้สูงอายุเลย “แต่ฉันไม่ได้โกรธหรือเกลียดเพลงที่คบกับเธอ เข้าใจแล้วใช่ไหม”

    “ไม่ได้โกรธ....หมายความว่าคุณอา...”

    “มันก็ไม่ถึงขนาดยอมรับได้หรอกนะ เรื่องพรรค์นี้ต้องใช้เวลา ขนาดนับดาวกับชเนศ ฉันยังให้ดูใจกันตั้งสามปีถึงจะยอมให้แต่งงานกันได้ เธอกับเพลงก็ต้องใช้ความพยายามให้มากกว่านั้นอีกเท่าตัว หรือก็จนกว่าเธอจะพิสูจน์ได้ว่าสามารถทำให้เพลงมีความสุขได้จริงๆ”

    “..............”

    “ว่ายังไงล่ะ เธอจะรับปากกับฉันได้ไหมว่าจะทำให้เพลงมีความสุข” คุณนทีถามซ้ำ แต่กรณ์ยังคงนิ่งงัน “กรณ์...กรณ์! ได้ยินที่ฉันพูดไหม”

    “ครับ! ผมสัญญา! ขอบคุณมากนะครับ ขอบคุณ”

    เหมือนภูเขาลูกใหญ่มันได้หลุดออกไปจากอก คำขอร้องง่ายๆ ไม่ซับซ้อนแต่มันคือคำสัญญาที่เขาจะต้องทำให้ได้ กรณ์ผุดลุกขึ้นอีกครั้งก่อนจะโค้งคำนับขอบคุณครอบครัวสามครั้ง ดอกไม้เล็กๆ ในหัวใจมันกำลังเติบโตขึ้นอย่างช้าๆ แต่แข็งแรงและมั่นคง...


   น้ำเหนือหัวเราะเอิ๊กอ๊ากท่ามกลางกล่องของขวัญที่ผู้เป็นแม่และน้าชายลงมือห่อให้ ในนั้นมีทั้งขนมและของเล่นสำหรับเด็กทารกอยู่ด้วย ริมฝีปากแดงเล็กๆ คอยอ้าปากรับขนมที่มารดาป้อนให้ น้ำเหนือสามารถกินได้ตลอดเวลาพิสูจน์ได้จากขนาดตัวที่ใหญ่กว่าเด็กทั่วไปเป็นเท่าตัว

   “กินแบบนี้ไม่กลัวอ้วนเหรอครับ” กรณ์ถาม

   “ไม่อ้วนหรอก ตอนเพลงเล็กๆ ก็ตัวเท่านี้แหละ” นับดาวบอกเมื่อเขาท้วงกลัวว่าน้ำเหนือจะอ้วนไปถึงตอนโต

    เพื่อยืนยันคำพูด นับดาวลงทุนไปรื้ออัลบั้มรูปของดนตร์ตั้งแต่แรกเกิดจนถึงปัจจุบันมาให้ดู ดนตร์ในวัยทารกตัวอ้วนจ้ำม่ำแก้มแดงจัดเป็นพวงเหมือนน้ำเหนือไม่มีผิด
    
    ที่จริงเขามีของขวัญให้น้ำเหนือด้วย เป็นขนมนำเข้ามาจากต่างประเทศ แล้วเด็กอ้วนก็กินหมดไปแล้วด้วยเช่นกัน ส่วนของขวัญของดนตร์เป็นนิทานภาษาอังกฤษแบบมีเสียง แต่น้ำเหนือดูจะสนใจของกินมากกว่า

    แขกพิเศษในงานวันเกิดของน้ำเหนือไม่ได้มีแค่กรณ์ แต่ยังมีอริญชย์กับพระนายด้วย รายแรกมาถึงตอนหกโมงเย็น เพราะต้องไปช่วยอาใหญ่ทำงานก่อนถึงจะมาร่วมสังสรรค์ได้ ส่วนพระนายมาช้ากว่านั้นเล็กน้อยโดยมีไก่ทอดสีเหลืองทองน่ากินติดมือมาด้วย

    กรณ์ปล่อยให้คนอื่นๆ แย่งกันร้องคาราโอเกะ แล้วปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับโลกในอดีตของดนตร์แทน เขาพลิกอัลบั้มรูปที่นับดาวเอามาให้ พินิจพิจารณาดนตร์แบบละเอียดถี่ถ้วน ได้เห็นพัฒนาการของดนตร์ตั้งแต่ยังเป็นทารกจนถึงปัจจุบัน เค้าโครงหน้าเปลี่ยนไปตามกาลเวลา แต่ที่ยังมีให้เห็นคือพวงแก้มนุ่มนิ่ม ที่แม้จะอายุเกือบยี่สิบปีแล้ว แต่แก้มกลมนั่นก็ยังมีให้เห็น ดนตร์เริ่มสวมแว่นตั้งแต่ช่วงมัธยมต้น ในรูปถ่ายเจ้าตัวมักจะยืนตรงกลางมีเพื่อนล้อมหน้าล้อมหลัง ผิดกับเขาที่นอกจากจะหารูปถ่ายได้ยากแล้ว เพื่อนก็ยังน้อยอีกด้วย เพื่อนสนิทชนิดที่ตายแทนกันได้ก็มีแต่ชนวีร์เท่านั้น ซึ่งนั่นเขายกให้เป็นทั้งญาติทั้งพี่น้องเลยทีเดียว

    เขากับดนตร์แตกต่างกันแทบจะทุกอย่าง สิ่งที่ขาดหายไปในชีวิตดนตร์เข้ามาเติมเต็มให้ แม้ระยะเวลาจะสั้นแต่มันกลับมีค่าและเต็มไปด้วยความทรงจำมากมาย ใครจะไปคิดล่ะว่าเด็กผู้ชายเชยหลุดโลกจะเปลี่ยนแปลงเขาได้ ทั้งความคิด การกระทำและความรู้สึก เขายอมกลับไปหาพ่อเพื่อดนตร์ ขณะที่ดนตร์ก็ทำให้เขารู้จักคำว่าครอบครัวอย่างแท้จริง

    กรณ์เงยหน้าจากอัลบั้มรูปเมื่อภาพถ่ายใบสุดท้ายผ่านสายตาไปแล้ว เจ้าของอัลบั้มกำลังนั่งตบมือตามจังหวะเพลงให้กับชเนศผู้เป็นพี่เขย เสียงร้องเพลงที่จัดว่าแย่ไม่ได้ทำให้บรรยากาศสนุกสนานลดลงเลย คุณนที คุณดารินหัวเราะชอบใจในเสียงร้องเพี้ยนๆ ของชเนศ น้ำเหนือนั่งกินขนมที่มารดาป้อนให้จนแก้มเปื้อน ส่วนอริญชย์นั่งทำหน้าหล่ออยู่มุมห้องฝั่งตรงข้ามกับเขา และถึงจะไม่ได้แสดงออกว่าสนุกแค่ไหนแต่แววตาเป็นประกายมันสะท้อนความรู้สึกออกมาได้ดี เขาคิดว่าอริญชย์เองก็คงไม่ต่างกันกับเขา ความอบอุ่นจากครอบครัวส่งผ่านไปถึงทุกคนจริงๆ

    กรณ์ลุกจากที่นั่ง ปัญหาเรื่องรักระหว่างเขากับดนตร์ลงเอยด้วยดีแล้ว แต่ยังมีอีกเรื่องที่ต้องจัดการ...เพื่อนรักและศัตรูหัวใจ...อริญชย์

    “ออกมาคุยกันหน่อยสิ” 

                                                                  ...............................

ไม่รู้ว่าอีพี่กรณ์มันกล้าหาญจริงหรือเปล่า ก๊ากกกกก เอาเท่าที่เอาได้เนาะ

ออฟไลน์ pamhicc

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 265
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
เรื่องครอบครัวก็ผ่านไปแล้วเนอะ สองหนุ่มก็จะเคลียร์กันแล้ว
เอาใจช่วยทั้งคู่น้าา ขอบคุณค่าา

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4992
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1425
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
พ่อแม่ไม่ขัดขวาง ความรัดท่าทางจะราบรื่น เสียอย่างเดียวกรณ์ใจร้อนมากไปหน่อย ไหนจะหึงหวงเว่ออีก จะมีปัญหาตามมาทีหลังแน่ๆ

ออฟไลน์ แม้วธวัลหทัย

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
รำคาญกรณ์!!!!!!!!!!!!!!!!!!

ออฟไลน์ panpang

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 508
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1

ออฟไลน์ libra82

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 285
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +236/-5
Chapter 22 Fear!

“ออกมาคุยกันหน่อยสิ”


คำชวนถูกตอบรับด้วยสีหน้านิ่งเรียบ ดวงตาของอีกฝ่ายจ้องมามองคล้ายกับจะแปลกใจ แต่ไม่ได้เอ่ยถามอะไร เขาเป็นฝ่ายเดินออกมาก่อน โดยเลือกห้องที่ใช้พักเป็นสถานที่ในการนัดหมาย

กรณ์ยืนติดริมหน้าต่าง เห็นเงาสะท้อนของตัวเองผ่านกระจกแผ่นหนาสีเข้ม ไม่นานเขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าแม้จะเบากริบแต่ก็จำได้ว่าเป็นของใคร อริญชย์หยุดยืนกลางห้อง

ชายหนุ่มเอี้ยวตัวกลับ พิงหัวไหล่กับกำแพงเย็นขณะที่อีกฝ่ายยืนกอดอกสะโพกติดกับขอบหน้าต่าง ภายในห้องเงียบเสียจนได้ยินเสียงลมหายใจตัวเอง กรณ์สบตากับอีกฝ่ายนานร่วมนาทีก่อนจะเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อน

“แกชอบเพลง?”

คิ้วหนาของอริญชย์เลิกสูง ก่อนที่มุมปากจะยกตาม “ถามโง่ๆ”

หากเป็นเมื่อก่อนถ้าถูกสบประมาทขนาดนี้เขาคงได้ประเคนหมัดใส่ปากฝ่ายตรงข้ามไปแล้ว ทว่าเวลานี้ไม่ใช่ “แต่ฉันไม่ยกให้หรอกนะ ถึงฆ่ากันให้ตายไปข้างหนึ่งฉันก็ไม่ยกเพลงให้ใครเด็ดขาด”

“หึ คิดว่าตัวเองเป็นพระเอกนิยายน้ำเน่าหรือไง” อริญชย์ทำเสียงขึ้นจมูก “เกิดอะไรขึ้นกับกรณ์ผู้ไม่ยี่หระต่อสิ่งใด ทำไมถึงได้กลายเป็นคนรักจริงหวังแต่งขึ้นมาได้”

“รักไง” เขาตอบ “ถ้าแกรักใครจริงๆ สักคน ก็คงเป็นเหมือนกัน” อริญชย์เงียบไป เขาคิดว่าอีกฝ่ายคงรู้สึกดีกับเพลงไม่น้อยและเกือบจะได้รู้จักคำว่ารักแล้ว หากแต่เพลงเลือกที่จะสอนคำนี้ให้กับเขา กรณ์ถอนหายใจเบาๆ ถึงเวลาที่เขาต้องยุติเกมบ้าๆ นี่เสียที “ที่ฉันอยากจะบอกกับนายก็คือ จะไม่มีการแข่งขัน ไม่มีการท้าทายใดๆ อีกแล้ว แต่ฉันจะไม่มีวันยอมให้ใครได้เพลงไปเด็ดขาด”

“ที่พูดมานี่ แน่ใจแล้วใช่ไหม” อริญชย์หรี่ตาลง “...ว่าเพลงไม่ได้เกลียดนาย”

“ฉันว่านายรู้คำตอบข้อนี้ดี”

อริญชย์เงียบไปนานร่วมนาที ก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ฉันจะไม่แย่งเพลงจากนาย...แต่ถ้าวันไหนเพลงร้องไห้เพราะนาย วันนั้นจะเป็นวันยุติความเป็นเพื่อนของเรา”

คราวนี้เป็นกรณ์ที่เงียบไป เขามองหน้าเพื่อนรักนิ่งนาน ดวงตาสองคู่สบประสาน ระหว่างผู้ชายไม่จำเป็นต้องพูดอะไรให้มากความ แค่ประโยคสั้นๆ ก็สื่อความหมายได้ทั้งหมด คำว่าเพื่อนสำหรับพวกเขาไม่มีวันเปลี่ยนแปลงแต่เขาก็ไม่อาจเสียดนตร์ไปได้เช่นกัน “ขอบใจนะ”

“ไม่ต้องมาขอบใจ ฉันทำเพื่อเพลง”

“ไม่ใช่เรื่องนี้...เรื่องที่นายช่วยฉันไว้”

อริญชย์ยิ้มมุมปาก “ใครจะทนเห็นเพื่อนตายไปต่อหน้าต่อตาได้วะ”

แม้คำตอบจะยียวนกวนโทสะแค่ไหน แต่เขากลับรู้สึกดี

ทั้งดนตร์และอริญชย์ทำให้เขารู้ว่า รักแท้กับเพื่อนแท้นั้นมีอยู่จริง...

…………………………..



ที่กรุงเทพฯ ยังคงวุ่นวายเหมือนเดิม เวลามีค่าพอๆ กับเงินทอง ทุกคนต่างเร่งรีบช่วงชิง ท้องถนนคราคร่ำไปด้วยผู้คนตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางดี พ่อค้าแม่ค้าออกมาตั้งแผงขายของอุปโภคบริโภค ร้องเรียกหาลูกค้ากันเซ็งแซ่ ชีวิตอันแสนสงบที่เชียงใหม่หมดไปเมื่อสามวันก่อน คิดแล้วก็อดเสียดายไม่ได้

แม้ว่าจะเกือบแปดโมงเช้าแล้ว แต่กรณ์ก็ยังนอนนิ่งอยู่บนเตียง ดวงตาคมมองไปทางปลายเตียงอันเป็นตำแหน่งที่ตั้งของตู้เสื้อผ้า ใครบางคนยืนอยู่ตรงนั้นโดยไม่รู้สักนิดว่ากำลังถูกจับจ้อง ร่างโปร่งที่มีเพียงแค่ผ้าขนหนูสีขาวพันสะโพกไว้อย่างหมิ่นเหม่กำลังยืนเลือกเสื้อผ้าอย่างเร่งรีบ เพราะวันนี้ที่คณะนิเทศน์มีงานสังสรรค์ปีใหม่ นักศึกษาต้องไปช่วยกันจัดเตรียมงาน และหนึ่งในนั้นก็คือดนตร์

สามวันแล้วที่เขากับดนตร์กลับมาใช้ชีวิตที่กรุงเทพฯ แม้ว่าบ้านที่พวกเขาอยู่จะไม่ได้อยู่ในย่านวุ่นวาย แต่เขาก็ยังรักบรรยากาศที่เชียงใหม่มากกว่า อันที่จริงภูเก็ตบ้านเกิดของเขาก็สวยไม่แพ้เชียงใหม่ แต่มันไม่สงบเงียบแบบนั้น คงเพราะเป็นจังหวัดแห่งการท่องเที่ยว ไม่ว่าจะมุมไหนก็มีนักท่องเที่ยวเต็มไปหมด

กรณ์มองคนที่กำลังจะปลดผ้าออกจากสะโพกด้วยหัวใจที่เต้นแรงขึ้นอีกจังหวะ ดนตร์ไม่รู้หรอกว่าอารมณ์มึนๆ งงๆ จากการเพิ่งตื่นนอนของชายหนุ่มมันถูกกระตุ้นจากเรือนร่างเกือบจะเปลือยของตัวเอง เส้นผมสีดำเปียกชื้น ผิวกายขาวผ่องเนียนละเอียดราวกับไข่มุกมีหยาดน้ำเกาะอยู่เล็กน้อย ชายหนุ่มไล่สายตาไปตามแผ่นหลังเปลือย ต่ำลงมาถึงช่วงเอวคอดเล็ก จนถึงเนินบั้นท้ายกลมกลึงที่ยังซ่อนตัวอยู่ใต้ผ้าขนหนูสีขาว

ชายหนุ่มลุกขึ้นจากเตียงอย่างเงียบเชียบฝีเท้าเบาไม่ต่างจากแมวย่อง ไม่ถึงนาทีก็ยืนประชิดกับร่างโปร่ง ไล้ลมหายใจไปบนหัวไหล่ขาว แม้ว่ามันจะไม่ได้มนกลมกลึงเหมือนอิสตรี มีกล้ามเนื้อเล็กน้อยอย่างคนเคยออกกำลังกาย แต่มันเย้ายวนเขาได้มากมายนัก ดนตร์สะดุ้งน้อยๆ หันกายกลับอัตโนมัติ ด้วยใบหน้าที่อยู่ห่างกันแค่คืบเลยทำให้ดนตร์หอมแก้มเขาไปเต็มรัก

“แต๊ะอั๋งกันเหรอ”

“ผมไม่ได้โรคจิตเหมือนพี่นะ” ดนตร์ขมวดคิ้วใส่ และก่อนที่จะได้ผละห่างออกไปเขาก็ใช้แขนรัดรอบเอวบางไว้เสียก่อน ผิวกายเย็นเยียบจากไอน้ำช่วยทำให้กระปรี้กระเปร่าขึ้นอีกหนึ่งระดับ กลิ่นครีมอาบน้ำดูเหมือนจะหอมยิ่งกว่าตอนเจ้าตัวใช้เอง ทั้งที่กลิ่นเดียวกันแต่เขาไม่เคยรู้สึกว่ามันหอมจนเมื่อดนตร์มาใช้

“ปล่อยผมก่อน เดี๋ยวพี่วินฆ่าตาย”

“มันไม่กล้ากับนายหรอก เพราะมันรู้ว่านายมีแบ็คดี”

“พี่ครับ ดะ..เดี๋ยวสาย”

เสียงของดนตร์ขาดห้วง เมื่อเขากดจมูกลงที่หลังกกหู กลิ่นหอมของครีมอาบน้ำเคล้ากับผิวกาย มันหอมละมุนไปหมด ดนตร์ไม่ต่างจากขนมชิ้นโปรดได้กินเท่าไรก็ไม่รู้จักอิ่ม แถมช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาต่างคนต่างก็วุ่นเสียจนแทบหาเวลาทำ ‘รัก’ ไม่ได้เลย อุตส่าห์ได้ไปเมืองอบอุ่นอย่างเชียงใหม่ทั้งทีก็เอาแต่ทำงาน แถมยังเกิดเรื่องวุ่นวาย เสียเวลานอนโรงพยาบาลอีก คืนที่ฉลองคริสต์มาสก็ไม่ได้นอนด้วยกัน หลังจากผ่านเที่ยงคืนเขาก็หลับเป็นตาย รู้ตัวอีกทีก็ต้องกลับกรุงเทพฯ เสียแล้ว พอมาถึงกรุงเทพฯ ก็ไม่มีเวลาให้สวีทหวาน ชนวีร์ลากเขาไปคุยงานที่อยากจะให้เขารับอีก แต่เขาปฏิเสธ เพราะอีกไม่กี่เดือนเขาต้องเข้าฝึกงานแล้ว ถึงงานในวงการบันเทิงจะน่าสนใจไม่น้อย แต่มันไม่ใช่สิ่งที่เขารักจริงๆ

เท่านั้นยังไม่พอ เขายังต้องทำงานส่งอีกหลายชิ้น ทุกอย่างมีผลกับการฝึกงานทั้งสิ้น ถึงจะเป็นบริษัทของเพื่อนบิดา แต่ก็ไม่อยากได้ชื่อว่าใช้เส้นสายอย่างเดียว เขาอยากจะใช้ความสามารถพิสูจน์ด้วยเช่นกัน ส่วนดนตร์ก็ยุ่งอยู่กับรายงานและต้องช่วยรุ่นพี่เตรียมงานละครเวที ทุกปีคณะนิเทศน์จะต้องมีละครเวทีให้ได้ชมกัน ดนตร์เพิ่งอยู่ปีหนึ่งเลยต้องอยู่เบื้องหลัง เช่นเดียวกับลลิตาและเมธัส

...และนั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เขามีความต้องการมากกว่าปกติ! ...

“เดี๋ยวฉันไปส่ง...นะ ไม่ได้กอดกันตั้งหลายวันแล้วนายไม่ ‘อยาก’ บ้างหรือไง”

“ไอ้คนลามก! ปล่อยเลย”

แทนที่จะปล่อยมือ กรณ์กลับขยับมือรัดแน่นกว่าเดิม ดนตร์ดิ้นอึกอัก แกะมือไม้ของกรณ์ออกเป็นพัลวันแต่สุดท้ายที่หลุดไปคือผ้าขนหนู! เจ้าตัวตกใจตาโต ทั้งร่างเปลือยเปล่าสมใจกรณ์

“ขาวชะมัด”

กรณ์พึมพำ กดริมฝีปากกับต้นคอขาวผ่อง ใช้ฟันขบเม้มด้วยอดมันเขี้ยวไม่ได้ ผิวเนื้อบริเวณนั้นแดงช้ำทันตาเห็น ชายหนุ่มเคลื่อนริมฝีปากไปตามอำเภอใจ จนถึงใบหูเล็ก สัมผัสเพียงแผ่วเบาก็ทำเอาคนในอ้อมแขนตัวอ่อนลงได้ กรณ์อมยิ้ม นี่เป็นจุดที่ไวต่อความรู้สึกของดนตร์ แค่ลมหายใจไล้ผ่านเจ้าตัวก็แทบจะทรุดลงไปกองกับพื้นแล้ว เขาใช้จังหวะที่ดนตร์อ่อนแรงเลื่อนมือไปบนแผ่นอก นิ้วหัวแม่มือปัดป่ายไปบนปลายถันเล็ก เพียงไม่กี่ครั้งที่ถูกสัมผัสผ่านมันก็หดเกร็ง เขาใช้ปลายเล็บสั้นกรีดลงในส่วนบนสุด ดนตร์เผลอหวีดร้อง แอ่นหน้าอกขึ้นแล้วทิ้งศีรษะพิงที่หัวไหล่ของเขาไว้

อาการต่อต้านน้อยลงยิ่งทำให้ได้ใจ มือทั้งสองกอบกุมหน้าอกแน่น นิ้วมือทำหน้าที่เท่าเทียมกัน ยอดถันแข็งชันจากการกรีดย้ำซ้ำๆ ป้านฐานมีตุ่มเล็กๆ ผุดพราย กรณ์ก้มลงพรมจูบที่หัวไหล่ลาดเอียงไล่เรื่อยไปถึงต้นคอ ท้ายทอย เลยไปถึงหัวไหล่อีกฝั่ง ขณะที่นิ้วมือยังปรนนิบัติอย่างซื่อตรง ดนตร์ส่งเสียงครางในคอ ลมหายใจกระเส่าแทรกปนออกมา มือแกร่งละจากอกด้านซ้ายเคลื่อนลงมาที่หน้าท้องแบนราบ และหยุดที่กึ่งกลางลำตัว แกล้งลากนิ้วผ่านวนเวียนอยู่แถวนั้น กายร้อนลุกชันทั้งที่ยังไม่ได้แตะต้องด้วยซ้ำ เขากดจูบหนักๆ ที่หลังกกหูอีกครั้งก่อนจะรูดรั้งส่วนนั้นให้อย่างเอาใจ

“อื้อ...พี่กรณ์ ระ...เร็วหน่อย”

ทั้งที่เพิ่งปฏิเสธไปได้ไม่ถึงห้านาทีดีด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้ดนตร์กลับเร่งเร้าให้เขาช่วยปลดปล่อยเสียแล้ว แผ่นหลังโค้งงอ สะโพกกลมขยับขึ้นลงเสียดสีกับส่วนหน้าของเขาราวกับจะเชิญชวนกัน เขากดจมูกที่แก้มนวลหนักๆ สูดเอากลิ่นหอมที่แสนรักไว้ในปอดพร้อมกับข่มความต้องการที่สูงขึ้นเป็นเท่าตัวไปด้วย เขายังอยากจะแกล้งคนปากแข็งต่ออีกสักพัก หรือไม่ก็จนกว่าเจ้าตัวจะเอ่ยปากขอเองนั่นแหละ

มืออุ่นขยับเชื่องช้า รูดรั้งไปตามความยาวจนสุดแล้วเลื่อนกลับไปที่ส่วนโคน ก้านนิ้วยาวเลยลงไปถึงพวงเนื้อนุ่มทั้งสอง เกลี่ยขยำเบาๆ แค่นั้นดนตร์ก็สะท้านไปทั้งตัว ยอดอกสีสดแข็งกว่าเดิม เสียงครางหวานสูงหลุดออกมาให้ได้ยินเป็นระยะ ร่างโปร่งเปลือยเปล่าโน้มตัวลงต่ำเมื่อถูกความเสียวเสียดที่หน้าท้องเล่นงานหนักขึ้นจนไม่อาจหยัดกายให้ตรงได้ บั้นท้ายหนั่นแน่นโยกย้ายอยู่ที่หน้าขาของกรณ์จนแก่นกายปวดหนึบ

“จะยั่วกันหรือไง” เสียงทุ้มติดแหบกระซิบถามชิดกับใบหูเล็ก ลิ้นร้อนแทรกเข้าไปในรูหูเลียลิ้มชิมรสหวาน ไม่ว่าจะส่วนไหนๆ ของร่างกายก็หวานติดลิ้นไปหมด

ดนตร์ตัวสั่นอย่างเกินควบคุมส่วนหน้าลุกชันและแข็งกร้าว หยาดน้ำหลั่งไหลชโลมเงาวับ ยิ่งช่วยให้การขยับมือง่ายดายกว่าเดิม เสียงชื้นแฉะแข่งกับเสียงครวญ ฟังดูลามกและน่าอาย ทว่าก็ไม่มีใครห้ามปราม

แล้วจู่ๆ กรณ์ก็หยุดมือ เขาปล่อยมันเสียดื้อๆ เล่นเอาอีกคนร้องขัดใจอยู่ในคอ ชายหนุ่มยกยิ้มที่มุมปาก มือกดแผ่นหลังเนียนให้ต่ำลงจนขนานกับพื้นโลก ใช้หัวเข่าแยกขาเรียวขาวให้ออกกว้าง ช่องทางเล็กๆ สีสดยังปิดสนิท รอยยับรูปวงกลมขยับขมิบน้อยๆ

“ยังแข็งอยู่เลย ทำให้อ่อนลงหน่อยดีกว่า” กรณ์พูดกับตัวเองแต่ก็จงใจให้ดนตร์ได้ยิน

มือขาววางแนบอยู่กับประตูตู้เสื้อผ้า ใบหน้าก้มต่ำลงมองเห็นเนื้อร้อนของตัวเองที่ตั้งชันแล้วก็ต้องหลับตาหนี มันน่าอาย ทว่าความต้องการมันมีมากเสียจนยากจะปฏิเสธ ขาที่แยกกว้างทำให้ต้องเปิดส่วนน่าอายให้อีกฝ่ายได้เห็น หัวใจดวงน้อยเต้นระรัวเตรียมพร้อมสำหรับการรุกรานที่หนักหน่วง ดนตร์กัดปากแน่นเมื่อนิ้วร้อนลากผ่านต้นขาด้านใน เฉียดพวงนุ่มไปมาหลายรอบแล้ววนสูงใกล้กับด้านหลัง แต่มันกลับไม่เข้าไปมากกว่านั้น ยังวนเวียนอยู่ที่เดิม บางครั้งก็ทำเป็นแตะเบาๆ แล้วก็ผละออกไป ดนตร์ยกสะโพกสูง กางขากว้างกว่าเดิมเพราะคิดไปเองว่ากรณ์อาจจะเห็นส่วนนั้นไม่ถนัด

ชายหนุ่มแตะลิ้นที่มุมปาก ดนตร์กำลังยั่วเขาอยู่จริงๆ ท่วงท่าที่เปิดเผยนั้นมันบอกให้รู้ว่าเจ้าตัวมีความต้องการมากขนาดไหน แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังไม่ยอมทำตามใจอีกฝ่ายง่ายๆ นิ้วเฉียดผ่านเข้าใกล้แต่ก็ยังไม่ยอมทำให้รอยจีบนุ่มลงอย่างที่พูดเอาไว้ ระหว่างนั้นก็เลื่อนกางเกงนอนของตัวเองลง ขยับมือรูดรั้งตัวเอง เพียงไม่กี่ครั้งมันก็ขยายใหญ่ กรณ์โน้มตัวลงต่ำ ลากลิ้นไปบนแผ่นหลังหลังเนียนนุ่มจนถึงกลางแอ่งเอว ดนตร์ยกสะโพกสูงเด่น ปลายเท้าจิกไปบนพื้นพรมสีเข้ม

“พะ..พี่กรณ์ อื้อ จะทำอะไร...ก็ทำ”

“แล้วจะให้ทำอะไร” เขาเล่นลิ้น ใช้ส่วนหน้าของตัวเองถูไถกับพวงนุ่มทั้งสอง

ดนตร์ตัวสั่นหนักกว่าเดิม ใบหน้าน่ารักเอี้ยวหันกลับมา ดวงตาหวานหรี่ปรือ พวงแก้มแดงระเรื่อ ริมฝีปากอิ่มเม้มแน่น บางจังหวะก็ผ่อนออก มือเรียวเอื้อมมาแตะที่ข้อมือ

“พี่ ไม่เอา...เข้ามาสักที”

“เอาอะไรเข้า” กรณ์ยังไม่เลิกแกล้ง สะโพกสอบสวนเข้าไปในร่องว่างระหว่างช่องขา มือขยำเนื้อนวลด้วยความมันเขี้ยว

(มีต่อ)

ออฟไลน์ libra82

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 285
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +236/-5
อื้อ!” ดนตร์ทำเสียงขึ้นจมูกด้วยความขัดใจ ก้นกลมยกสูงขึ้น

“ถ้าไม่พูด ฉันจะรู้ได้ยังไง...ถ้าอยากก็บอก อยู่กันแค่สองคนไม่เห็นต้องอายใคร” เขาบอก น้ำเสียงยั่วเย้าเช่นเดียวกับการกระทำ คนตัวเล็กกว่าหายใจกระเส่า แผ่นหลังบิดโค้งไปมา ดูก็รู้ว่ามีความต้องการมากขนาดไหน ส่วนหน้าแข็งขืนและบวมเป่งแต่ก็ยังดื้อดึง ทว่าคนอย่างกรณ์สะกดคำว่าแพ้ไม่เป็น เขาเลื่อนมือไปตามแนวลำตัวแล้ววกไปด้านหน้า ส่งปลายนิ้วสะกิดกับยอดอกอีกครา ดนตร์ส่งเสียงอืออา โค้งตัวลงต่ำดันสะโพกใส่หน้าขาของเขา “หัวนมนายแข็งแล้ว” พูดไปก็ใช้เล็บจิกไปบนเนื้ออ่อน เขาเห็นตุ่มเล็กๆ ผุดขึ้นทั่วร่าง “อยากมากใช่ไหม”

เส้นความอดทนขาดสะบั้นลงเมื่อได้ยินถ้อยคำหยาบโลน ความต้องการเพิ่มสูงเป็นเท่าตัว สมองตื้อตันไปหมด ถูกเมฆหมอกแห่งราคะเข้าครอบงำเสียจนควบคุมตัวเองไม่อยู่ ด้านหน้าปวดหนึบไปหมด มันถูกปลุกเร้ามาได้สักพักแล้วทว่ายังไม่ได้ปลดปล่อย หน้าท้องเกร็งแน่น หากไม่ได้รับการบำบัดคงต้องตายเพราะความปรารถนาที่มีมากเกินไปแน่ๆ

“อ๊ะ...เข้ามา! จะนิ้วหรืออะไรก็ได้ เข้ามาสักที ผมทรมาน”

คำพูดของดนตร์ราวกับระฆังส่งสัญญาณ กรณ์ปล่อยมือจากแผ่นอกเนียนกลับมาที่ช่องทางด้านหลัง มือแหวกเนื้อกลมออกจากกัน ขณะที่ใบหน้าก้มต่ำลงเรื่อยๆ กระทั่งลิ้นสัมผัสกับรอยจีบ ดนตร์สะดุ้งขาสั่น ร้องปรามทั้งที่เป็นคนสั่งให้เขาทำ

“ไม่ได้นะครับ! มันสกปรก คะ...แค่นิ้วก็พอ”

“ไม่มีคำว่าสกปรกสำหรับคนที่ฉันรัก” ชายหนุ่มบอกเสียงนุ่ม ไม่มีส่วนไหนของดนตร์ที่สกปรก มันสะอาด หอมเหมือนนมไปทุกที่ ลิ้นร้อนสอดเข้าไปในระยะตื้น กระทั่งแน่ใจว่ามันอ่อนลงถึงได้ถอนใบหน้าออกมา จากนั้นก็ใช้นิ้วสอดเข้าไป ความคับแน่นรัดรึงรอบข้อนิ้วพร้อมกับเยื่อเมือกอ่อนบาง มันช่วยทำให้เคลื่อนไหวง่ายขึ้น กรณ์สอดนิ้วเพิ่มเข้าไป จากหนึ่งเป็นสองและสาม นิ้วทั้งสามหมุนวนอยู่ด้านใน จังหวะที่มันสอดลึกปลายนิ้วกลางสะกิดจุดเชื่อมต่อ ดนตร์สะท้านเฮือกเข่าอ่อนจนแทบลงไปกองกับพื้นดีที่เขาจับเอวไว้ได้ทัน “จะเข้าไปแล้วนะ”

คำกระซิบเป็นการบอกให้อีกฝ่ายเตรียมตัว ดนตร์สูดหายใจหนักๆ ขากางกว้าง ใบหน้าและฝ่ามือแนบกับประตูตู้เสื้อผ้าเพื่อรอคอยสิ่งที่ใหญ่กว่านิ้วทั้งสาม

ท่อนเนื้อร้อนพร้อมรบตั้งผงาด กรณ์จับมันจดจ่ออยู่กับปากทางเข้า แม้จะเบิกทางไปบ้างแล้วแต่ก็ต้องใช้ความใจเย็นอยู่ไม่น้อย แม้ความต้องการจะมีสูงจนแน่นอกก็ตาม กรณ์ขบกรามแน่นด้วยความอดทน กระทั่งดนตร์ดูดกลืนตัวตนของเขาเข้าไปจนหมด

“อา...”

ช่องทางคับแน่นที่เจือด้วยเยื่อเมือกอ่อนโอบล้อมและรัดแน่น เขาแช่แก่นกายอยู่ในนั้นจนกล้ามเนื้อด้านในผ่อนคลายลง มือแกร่งยึดสะโพกมนเอาไว้แล้วค่อยๆ ถอนตัวออกมาจนเกือบสุด เมื่อส่วนปลายจวนเจียนจะหลุดพ้นก็ดันกายกลับเข้าไปใหม่ ความฝืดแน่นทำให้การเคลื่อนไหวเป็นไปอย่างเชื่องช้าทว่าหนักแน่นนัก น้ำหล่อลื่นจากภายในช่วยทำให้ดีขึ้นบ้าง กรณ์สูดปากด้วยความเสียวกระสัน ดนตร์ยังคับแน่น ยิ่งห่างหายไปหลายวันมันยิ่งแน่นนัก บางครั้งก็ตอดรัดเสียจนเขาแทบขยับตัวไม่ได้ แต่บางจังหวะก็ผ่อนลงทำให้เลื่อนไถลเข้าไปลึกสุด มันทั้งสุขสมทั้งทรมานในคราวเดียว เหงื่อกาฬผุดพรายทั้งที่อากาศค่อนข้างเย็น เขาจับสะโพกบางแน่นกว่าเดิมขณะที่ขยับสะโพกสอดใส่ไวขึ้น

ร่างบางโคลงเคลงคลอนแคลน เสียงครวญหวานดังสูงต่ำสลับกันแทรกด้วยเสียงเนื้อกระทบเนื้อที่ดังก้องห้องนอน ดนตร์เริ่มพยุงกายไม่อยู่ หลายครั้งที่หัวเข่าเกือบจะแตะพื้น เขาต้องช่วยดึงรั้งเอาไว้ จังหวะรักเร็วและหนักกว่าเดิม เขาเลื่อนมือไปด้านหน้าช่วยรูดรั้งให้อีกฝ่าย กายร้อนขยายพองเต็มฝ่ามือน้ำใสหลั่งรินไม่ขาดสาย

“อื้อ...ไม่ไหว...พี่ครับ ระ...เร็วหน่อย”

คนผู้น้องร้องส่งเสียงสั่นเครือตามจังหวะการถูกกระทั้นกระแทก ร่างเล็กกว่าทำท่าจะทรุดลงไปอีกรอบ เขาใช้กำลังที่มากกว่ายกช้อนทั้งร่างบางไปนั่งหน้ากระจกโต๊ะเครื่องแป้ง ไม่สนใจข้าวของที่จะล้มระเนระนาด ส่วนนั้นยังคงสอดประสานแนบแน่น ยกท่อนขาเรียวขึ้นพาดที่หัวไหล่ก่อนจะกดริมฝีปากกับเนื้ออ่อนด้านในสร้างรอยรักเอาไว้เพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ พอตั้งหลักได้ดนตร์ก็วางข้อศอกกับพื้นไม้เนื้อเย็น สะโพกลอยเด่น หน้าขาแทบจะติดกับหน้าอก ยอดอกสีสดเปล่งปลั่ง ตุ่มเล็กๆ ผุดรอบป้านฐาน ใบหน้าน่ารักเทียบเท่ากับนายแบบเหยเก ริมฝีปากแดงเห่อถูกฟันขาวขบเม้มเอาไว้ ดวงตากลมปิดแน่นแต่บางครั้งก็คลายออกพอให้เห็นนัยน์ตาหวานหยด

กรณ์โหมสะโพกไม่ยั้ง ใบหน้าโน้มต่ำจนปลายจมูกสัมผัสกัน ดนตร์เผยอริมฝีปากเปิดเผยความต้องการ ชายหนุ่มยกยิ้มพอใจแล้วค่อยสอดลิ้นเข้าหา เรียวลิ้นทั้งสองเกี่ยวกระหวัด รุกไล่แลกเปลี่ยนกันอย่างไม่ยอมกัน ดนตร์ตอบโต้อย่างถึงใจทั้งที่ด้านหลังถูกรุกรานอย่างหนัก รอยจีบบวมแดงจากการถูกเสียดสี กายร้อนระอุไม่ต่างจากเหล็กอังไฟเคลื่อนไหวไม่หยุดหย่อน บ้างก็สอดลึก บ้างก็หมุนวน จงใจสร้างความปั่นป่วนให้อีกคนทรมานเล่น กรณ์ดูดลิ้นหนักๆ ตามจังหวะการขับเคลื่อนของตัวเอง

“พะ..พี่ ผม จะไม่ไหว...เร็ว.. อ๊ะ!”

ดนตร์หวีดร้องเสียงสูง ตัวกระตุกและสั่นไหวรุนแรง น้ำนมข้นพุ่งจากส่วนปลายและตกลงที่เนินหน้าท้อง ตาคู่หวานคลอเคล้าด้วยหยาดน้ำตาที่มาจากความเสียวเสียดที่มีมากเกินไป

เมื่อส่งให้ดนตร์ไปถึงจุดสุดยอดได้แล้ว เขาก็ไม่ประวิงเวลาอีก กรณ์เดินหน้าเต็มกำลัง แรงกระแทกมีมากเสียจนดนตร์ต้องนอนราบไปกับพื้นโต๊ะ มือแกร่งดันต้นขาให้ยกสูง เปิดทางรักให้รับเขาได้เต็มที่ ความกระสันรัญจวนโจมตีเป็นลูกคลื่น หน้าท้องเกร็งแน่นจนมองเห็นกล้ามเนื้อ เส้นเลือดพองนูนขึ้นตั้งแนวกระดูกเชิงกรานจนถึงเอ็นร้อนที่ผลุบเข้าออก ท้ายที่สุดในหูของเขาก็ได้ยินเสียงปริแตกจากบางอย่าง หัวสมองขาวโพลน บางอย่างทะยานออกจากตัว ตัวสั่นเกร็ง ขนในกายลุกชัน รู้สึกเหมือนได้ยินเสียงคำรามคล้ายสัตว์ป่า ซึ่งก็ไม่ใช่สัตว์ตัวใดหากแต่เป็นเสียงของเขาเอง

กรณ์หลั่งรินหยาดน้ำรักในกายดนตร์ ปริมาณของมันมากจนบางส่วนไหลย้อนออกมาด้านนอกคงมาจากผลพวงที่ไม่ได้ปลดปล่อยมานานหลายวัน ชายหนุ่มกดจมูกกับหน้าผากนูนหนักๆ ก่อนจะเคลื่อนมาถึงปลายจมูกโด่งชื้นเหงื่อและหยุดที่ริมฝีปากเนิ่นนานโดยที่ส่วนนั้นยังคั่งค้างอยู่ภายใน

“เพิ่งจะแปดโมงยี่สิบเอง ขออีกรอบก็แล้วกันนะ”

.................................



“เป็นอะไร? ทำไมเดินแบบนั้นล่ะ”

ดนตร์แทบจะเอาหน้าซุกลงไปในดิน เมื่อประธานชมรมภาพยนตร์ตะโกนถามทันทีที่เขาปรากฏตัว ดนตร์รีบยืดกายตั้งตรง แม้ว่าแผ่นหลังจะร้าวระบมลามลงมาถึงช่วงล่าง เรี่ยวแรงแทบจะไม่เหลือไว้ให้เดินแต่เพราะไม่อยากถูกติติงเลยจำใจต้องฝืนสังขารมาที่คณะ เมื่อสองชั่วโมงก่อนเขาถูกเอาเปรียบอย่างหนัก บทรักที่ไม่เคยจบในรอบเดียวกินเวลาไปนับชั่วโมง เขาต้องกลับไปอาบน้ำใหม่อีกรอบ กว่าจะหลุดจากอ้อมแขนก็เกือบสิบโมงเข้าไปแล้ว แต่กรณ์ก็ใช่ว่าจะใจร้ายเสียทีเดียว หลังจากหลอกล่อเขาด้วยลีลารักร้อนแรงและแสนช่ำชอง เจ้าตัวก็อาสามาส่งถึงคณะ แม้ว่าเขาจะไม่ได้ขอร้องก็ตาม

จนถึงคณะก็ยังไม่ยอมไปไหนกลับเดินตามมา ทั้งที่คณะนิเทศน์กับคณะสถาปัตย์อยู่คนละฝากของมหาวิทยาลัยด้วยซ้ำ จากคนที่ไม่เคยมีค่าในสายตาใคร ตอนนี้เขากลายเป็นคนดังของคณะไปแล้ว ไม่เพียงแต่จะได้เป็นคนรักใหม่ของกรณ์ผู้โด่งดัง แต่ยังเป็นเพศเดียวกันอีกด้วย

“ปวดหลัง มีอะไรไหมไอ้อ้วน”

แน่นอนว่าคนที่ตอบคำถามชวนให้มีเรื่องนั่นไม่ใช่เขาแน่นอน ดนตร์ถอนหายใจหนักๆ เขาคงต้องตกเป็นเป้าสายตาอีกนานเลยทีเดียว

“แล้วแกมาทำไม นี่มันคณะนิเทศน์ หลงคณะหรือไง” ลูกพี่ลูกน้องตัวอ้วนไม่ยอมแพ้ สวนกลับอย่างไม่ห่วงความสัมพันธ์ระหว่างสายเลือด

“ไม่ได้หลงคณะ แต่หลงคนในคณะ” กรณ์ตอบสวนกลับทันควัน โดยไม่สนใจว่าหน้าของคนที่อยู่ข้างๆ จะเห่อร้อนแค่ไหน

“เสี่ยวแดก” ชนวีร์บิดปาก “มาแล้วห้ามกวน ห้ามโวยวาย เพราะที่นี่เพลงคือเด็กในคอนโทรลของฉัน เข้าใจไหม”

“ก็แล้วแต่” กรณ์ยักไหล่ “แต่ห้ามยกของหนัก เพราะช่วงนี้เอวกับหลังไม่ค่อยดี”

“แกเป็นหมอส่วนตัวของเพลงหรือไง”

“เปล่า” หนุ่มคณะสถาปัตย์ปฏิเสธ “แค่เป็นผัว”

“โอ๊ย! พอที” ยิ่งฟังก็ยิ่งเข้าตัว สองพี่น้องต่างไซส์นี่ไม่รู้หรอกว่าคนที่ตกเป็นเป้าสายตามันมีเขาอยู่ในนั้นด้วย “พี่กลับไปทำงานต่อเถอะครับ เดี๋ยวถ้าเสร็จงานแล้วผมไปหา”

กรณ์หรี่ตาลงทำท่าเหมือนจะคัดค้าน แต่สุดท้ายก็ยอมพยักหน้า “ห้ามเกินหกโมง ฉันจะรอที่คณะ ห้ามยกของหนักแล้วก็ห้ามเดินเยอะ”

“รู้แล้วน่า!” ความห่วงใยของกรณ์มันยิ่งทำให้หน้าใกล้ระเบิดเต็มที กิจกรรมล่าสุดที่ได้ทำร่วมกันมันชัดเจนยิ่งกว่าดูหนังสามมิติ ทั้งตู้เสื้อผ้า โต๊ะเครื่องแป้ง บนเตียงและในห้องน้ำ

ก่อนไปกรณ์คว้าคอเขาเอาไว้แล้วจุ๊บเร็วๆ ที่กลางกระหม่อม กว่าจะตั้งตัวได้อีกฝ่ายก็เดินไปไกลแล้ว

“ออกนอกหน้านอกตาขนาดนี้แล้วเหรอยะ ทีเมื่อก่อนแค่มองหน้ายังไม่มีเลย” ลลิตาเดินตรงปรี่เข้ามา ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ในมือมีถุงขนมห่อใหญ่อยู่ด้วย

เขาอมยิ้ม รู้สึกเขินหน่อยๆ ยอมรับว่ายังไม่คุ้นเคยกับสถานะ ‘แฟน’ เท่าไรนัก “แล้วยีนส์ล่ะ ยังไม่มาเหรอ”

“มาแล้ว กำลังช่วยพี่ไฟทำเวทีอยู่ นายก็มาด้วยกันสิ ยังทำฉากไม่เสร็จเลย”

วันนั้นทั้งวันดนตร์เลยต้องกลายเป็นกรรมกรเต็มตัว สารพัดงานที่โยนมาให้เขาต้องทำให้เสร็จโดยห้ามปริปากบ่น แม้ว่าการเคลื่อนไหวจะลำบากและติดขัดไปบ้าง เพราะช่วงล่างยังระบมอยู่ แต่ก็ใช่ว่าจะหยิบจับอะไรไม่ได้เลย สิ่งที่ต้องทนคือคำแซวของเพื่อนบ้าง รุ่นพี่บ้างเท่านั้นเอง

รู้ตัวอีกทีก็เกือบหกโมงครึ่งแล้ว ฉากที่ต้องทำเสร็จไปแล้วบางส่วน แต่ยังเหลืออีกหลายฉาก ดนตร์ยืนมองแผ่นโฟมที่เขาเป็นคนตัดมันด้วยตัวเองด้วยความภูมิใจ เม็ดโฟมเล็กๆ ติดตามตัวจนดูเหมือนไปวิ่งตากหิมะมาไม่ผิด ไม่ใช่แค่เขา แต่ทั้งลลิตา เมธัสและคนอื่นๆ ในคณะก็มีสภาพไม่ต่างกัน แต่คนที่ดูเหนื่อยกว่าใครคงจะเป็นชนวีร์ เพราะไม่ใช่แค่ทำหน้าที่กำกับการแสดง แต่ยังต้องควบคุมระบบไฟ แสงสีเสียง และฉากต่างๆ เรียกได้ว่าถึงไม่ได้ลงมือทำด้วยตัวเองแต่ก็ต้องลงมาดูแลด้วยตัวเองทั้งหมด

“หกโมงกว่าแล้ว ยังไม่รีบไปหาสุดที่รักอีกเดี๋ยวมันก็ตามมาฉีกอกฉันหรอก”

“ห๊ะ! ครับ?”

“ยังจะมาทำหน้าเป็นหมางง ไอ้กรณ์มันให้ไปหาที่คณะตอนหกโมงไม่ใช่หรือไง”

เหมือนเครื่องเตือนความจำร้องเตือน ดนตร์ทำตาโต ยกนาฬิกาที่ข้อมือขึ้นดู อีกไม่ถึงห้านาทีก็จะหกโมงครึ่งแล้ว เขาไม่เคยผิดนัด แต่ก็ไม่อยากผิดนัด โดยเฉพาะกับคนที่เดาอารมณ์ไม่ได้อย่างกรณ์ เขารีบขอบคุณชนวีร์ก่อนจะคว้ากระเป๋าเป้แล้ววิ่งไปอีกคณะทันที

คณะสถาปัตย์เงียบเชียบผิดปกติ คนในคณะแทบไม่มีให้เห็น แต่ถึงจะเดินสวนกันอีกฝ่ายก็ทำเหมือนเขาไม่มีตัวตนอยู่ดี ดนตร์หอบหายใจเบาๆ ทบทวนเส้นทางในตัวคณะหลังจากที่เคยมาเยี่ยมเยียนเพียงแค่หนเดียวเท่านั้น แถมกรณ์ก็ไม่ได้บอกว่าอยู่ส่วนไหนของคณะอีกต่างหาก ที่ร้ายที่สุดคือเขาไม่สามารถติดต่อกับกรณ์ได้ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะปิดโทรศัพท์ไปแล้ว

เขาเดินขึ้นบันได ใช้ความจำที่หลงเหลืออยู่เดาทิศทางห้องที่เคยเจอกรณ์ แต่ระหว่างทางเดินมืดๆ นั้นหูก็ไปได้ยินเสียงบางอย่างแทรกปะปนมากับเสียงลมหวีดหวิวที่ลอดผ่านประตูหน้าต่างเข้ามา ขนในกายลุกชัน แม้จะถูกสอนมาให้ไม่เชื่อในสิ่งที่มองไม่เห็นแต่เสียงร้องของคนที่กำลังได้รับความเจ็บปวดมันทำให้อดรู้สึกหวาดกลัวไม่ได้

“อือ….เจ็บ!”

ราวกับหัวใจจะหยุดเต้นเสียให้ได้ รอบด้านก็ไร้ผู้คน แสงจากดวงไฟสีส้มก็มีน้อยเสียเหลือเกิน ความมืดบวกกับความกลัวก่อให้เกิดจินตนาการน่าสะพรึง ยิ่งขยับขา เสียงที่ได้ยินก็ยิ่งชัดขึ้นเรื่อยๆ

“เจ็บ….พอ…ธาม…พอก่อน”

จินตนาการตามหนังสยองขวัญที่เคยดูหยุดลงกะทันหัน เมื่อได้ยินชื่อของคนรู้จักดังแทรกในเสียงร้อง ดนตร์ขมวดคิ้ว ลืมเรื่องผีสางหรือสิ่งที่มองไม่เห็นไปชั่วขณะ จังหวะการก้าวเดินช้ากว่าเดิมเช่นเดียวกับน้ำหนักเท้าที่เบาลง เขาเดินไปตามเสียงที่ได้ยิน แล้วก็รู้ว่ามันลอดมาจากห้องสุดท้ายของตัวอาคาร ที่มีป้ายติดเอาไว้ว่า ‘ห้องเก็บของ’

ประตูไม้สีเข้มปิดสนิท แต่เป็นแบบลงกลอนจากด้านใน ดนตร์รวบรวมความกล้าอีกรอบแล้วค่อยๆ แนบหูลงกับไม้เนื้อแข็ง เขาแทบจะกลั้นใจเพราะไม่อยากให้เสียงลมหายใจรบกวนการได้ยินของตัวเอง

“เบาๆ อื้อ! มันเจ็บ บอกให้เบาๆ ไง ไอ้ธาม!”

ตากลมเบิกโพลง เสียงร้องคล้ายเสียงเจ็บปวดเมื่อครู่ มันไม่ใช่เสียงของคนที่ได้รับบาดเจ็บ คิดแล้วก็โมโหตัวเองนัก ที่จริงน่าจะคุ้นชินกับเสียงแบบนี้ดี แต่อย่างว่าถึงเวลาเขาก็ไม่เคยมีสติเหลือพอให้ฟังเสียงตัวเอง ทว่าชื่อของธาวินมันน่าสนใจกว่านั้น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเหมือนเดจาวู ราวกับเคยเกิดขึ้นมาแล้ว เมื่อเดือนก่อนที่สวนต้นท้อ เขาก็เคยพบกับเหตุการณ์คล้ายกัน แต่ตอนนั้นเป็นนักรบกับเพื่อนรักของเขา แต่วันนี้เป็นธาวินกับ...

“อา...เรียกชื่อฉันหน่อยสิ ทิว เรียกชื่อฉัน”

คราวนี้ตาเขาแทบจะถลนออกนอกเบ้า เมื่อได้ยินชื่ออีกคน ก่อนหน้านี้ก็เคยตะขิดตะขวงใจในความสัมพันธ์ของเพื่อนสนิทคู่นี้ จนกระทั่งวันนี้ ทุกอย่างชัดเจนและค่อนข้างแน่นอน มิน่าเล่าหมู่นี้ธาวินไม่ค่อยมาตอแย ผิดกับเมื่อก่อนที่ไม่ว่าจะเวลาไหนเขาก็มักจะเห็นธาวินเสมอ

...หรือเพราะเขาเอาตัวไปติดกับกรณ์มากเกินไป...

ใบหน้าพลันร้อนผ่าว หัวใจเต้นระรัว ไม่ต้องเสียเวลาวิเคราะห์เลยว่าสองคนนั้นทำอะไรกันอยู่ในห้องเก็บของ จะติดก็ตรงสถานที่เป็นถึงหนุ่มฮอต รูปหล่อพ่อรวยทั้งที แต่เลือกที่ทำรักได้แย่ชะมัด แถมอีกฝ่ายก็เป็นคุณหมอไม่ห่วงเรื่องความสะอาดบ้างหรือไง

ดนตร์ตบแก้มตัวเองเบาๆ เรียกสติให้เข้าที่ นี่มันยิ่งกว่าบ้า เขาล่วงรู้อีกหนึ่งความสัมพันธ์เข้าให้แล้ว เขาถอยห่างจากประตูไม้โอ๊ค นึกตำหนิในความเสียมารยาทของตัวเอง แต่จะโทษเขาทั้งหมดก็ไม่ถูกนักถ้าหากจันทร์ทิวาไม่ร้องเสียงดังเขาก็คงไม่เดินตามเสียงมาหรอก ดนตร์ถอนหายใจหนักๆ เพราะเสียงบ้านั่นทำให้เกือบลืมไปว่ามาที่นี่ทำไม เปลือกตาบางหลับลงแล้วทบทวนแผนที่คณะนี้อีกหน

“มาทำอะไรตรงนี้!”

………………………



คิ้วหนาขมวดมุ่น ความหงุดหงิดก่อตัวขึ้นเรื่อยๆ ตามเข็มนาฬิกาที่หมุนวน ร่วมชั่วโมงแล้วที่ดนตร์ผิดนัด ทั้งที่กำชับไว้แล้วแท้ๆ ว่าต้องมาหาเขาที่คณะตอนหกโมงเย็น แต่นี่เกือบจะทุ่มตรงแล้วดนตร์ก็ยังไม่มา จะโทรไปโทรศัพท์เจ้ากรรมก็แบตหมดตั้งแต่ก่อนสี่โมงเย็น เพราะไอ้เพื่อนรักบัดซบดันยึดโทรศัพท์ไปเล่นเกม ขณะที่เขาต้องสเกตช์รูปมือเป็นระวิง

“งานยังไม่เสร็จน่ะสิ แล้วนี่โทรไปถามไอ้อ้วนหรือยัง” คนที่เอาโทรศัพท์ไปเล่นจนแบตหมดเอ่ยถาม คล้ายกับจะหวังดี แต่แววตาของมันเป็นประกายระยิบคล้ายกับจะสะใจ

“แบตมันหมด จะให้ส่งโทรจิตไปหรือไง”

“เหรอ…ไม่เห็นรู้เรื่องเลย”

“ไอ้รัน!”

แต่เจ้าตัวกลับแค่ยักคิ้วให้ แล้วกลับไปนั่งเล่นโทรศัพท์ของตัวเองต่อหลังจากที่จัดการกับโทรศัพท์ของเขาจนแบตหมดเกลี้ยง

กรณ์ถอนหายใจหนักอีกครั้ง ไอ้งานบ้านี่ก็เยอะเหลือใจ ยิ่งใกล้วันฝึกงานเท่าไร งานก็ยิ่งสูงเป็นเท่าตัว เพราะชิ้นงานพวกนี้มีผลต่อบริษัทที่เข้าฝึกงาน ถ้าหากดูฝีมือก็อาจจะไม่ใช่แค่นักศึกษาฝึกงาน รุ่นพี่หลายคนได้เข้าทำงานในบริษัทใหญ่ๆ ระดับประเทศ ส่วนตัวเขาเองแม้จะมีสถานที่ฝึกงานแล้ว แต่ก็ใช่ว่าจะวางใจได้ เพราะเขาจะไปในฐานะกรณ์เด็กฝึกงานธรรมดา ไม่ใช่กรณ์ลูกชายเพื่อนเจ้าของบริษัท

ส่วนงานด้านวงการบันเทิง อีกไม่กี่วันนิตยสารที่ถ่ายคู่กับรดาก็จะวางแผงแล้ว ชนวีร์เคยมาคุยเรื่องงานอื่นคร่าวๆ บ้างแล้ว แต่เขายังไม่ตอบรับ เพราะแค่นี้ก็หาเวลานอนแทบไม่ได้ ถึงมันจะเป็นโอกาสทองหากแต่นั่นไม่ใช่ความฝันที่แท้จริงของเขา เขายังอยากสร้างสรรค์ผลงานต่อไปเรื่อยๆ เท่าที่มือและจินตนาการยังทำงานได้อยู่

กรณ์ข่มความหงุดหงิดแกมเป็นห่วงเล็กๆ เอาไว้ บางทีอาจจะเป็นอย่างที่อริญชย์บอกก็ได้ การเตรียมความพร้อมสำหรับงานละครเวทีไม่ใช่เรื่องง่าย เขาเคยเข้าไปช่วยชนวีร์อยู่สองครั้ง มันเหนื่อยเอาการ ทั้งการทำฉาก จัดไฟ เครื่องเสียง หรือแม้แต่เสื้อผ้านักแสดง เป็นงานหนักและต้องอาศัยความร่วมมือจากคนอื่นๆ เขามันเห็นแก่ตัวเกินไปหน่อย ที่คิดจะให้ดนตร์กลับก่อนใคร พอคิดได้อย่างนั้นก็ดึงสมาธิให้กลับมาจดจ่อกับงานตรงหน้าอีกครั้ง

ทว่าเกือบจะสองทุ่มแล้ว ดนตร์ก็ยังไม่มา หากจะสายหรือจะเลทแค่ชั่วโมงครึ่งชั่วโมงก็ยังพอเข้าใจได้ แต่มันสองชั่วโมงเข้าไปแล้ว เส้นความอดทนขาดลงอีกรอบ เขาคว้าโทรศัพท์จากมืออริญชย์ต่อสายหาชนวีร์ทันที

“ไอ้อ้วน! ทำไมป่านนี้ยังไม่เลิกงานกันอีก บอกแล้วไงว่าเพลงทำงานหนักไม่ได้”

“พูดบ้าอะไร เพลงออกไปตั้งแต่หกโมงครึ่งแล้ว นี่อย่าบอกนะว่าแกยังไม่เจอเพลงน่ะ”

“หมายความว่าอะไร? ดนตร์ออกมาตั้งแต่หกโมงครึ่ง แล้วทำไมป่านนี้ยังมาไม่ถึงอีกล่ะ!” ใจกระตุกวูบความโกรธเปลี่ยนเป็นกังวลทันที “แค่นี้นะ ฉันจะโทรหาเพลง”

มือเร็วเท่าความคิด เขากดเบอร์โทรศัพท์ของดนตร์ได้อย่างแม่นยำ แต่พอกดสายโทรออกมันก็ขึ้นชื่อ ‘ลูกเจี๊ยบ’ อริญชย์มันก็มีเบอร์ของดนตร์เหมือนกัน

มีเสียงสัญญาณตอบรับแต่กลับไม่มีใครรับสาย โทรซ้ำอีกหลายรอบก็เป็นเหมือนเดิม จนในที่สุดสัญญาณก็ขาดหายไป กรณ์กำมือแน่น ในอกไหววูบ บางอย่างบอกกับเขาว่าดนตร์กำลังไม่ปลอดภัย...นี่มันไม่ปกติ ถ้าหากมีธุระดนตร์ต้องพยายามติดต่อมาหาเขาหรืออย่างน้อยก็ใครสักคนที่จะบอกกับเขาได้ แต่นี่กลับหายไป ความหวาดกลัวอาบรดทั่วร่าง หวังว่าลางสังหรณ์ของเขาจะผิดพลาด...

.............................

ถึงคนอ่านจะน้อย แต่ก็น่ารัก เราก็จะขยันอัพเป็นการตอบแทนเนาะ

ออฟไลน์ panpang

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 508
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
อ้าวใครรรร

ออฟไลน์ libra82

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 285
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +236/-5
Chapter 23 ครั้งสุดท้าย 50%

“เฮ้อ!”


ลมหายใจเย็นเยียบถูกปล่อยออกมาเป็นรอบที่สิบพอดี จำไม่ได้แล้วว่าถูกขังอยู่ในนี้นานเท่าไรแล้ว อาจจะชั่วโมง สองชั่วโมง หรือมากกว่านั้น อากาศในห้องลดน้อยลงเรื่อยๆ เช่นเดียวกับอุณหภูมิ ถึงจะไม่ได้หนาวเสียดไปถึงกระดูกเหมือนคราวที่ตกน้ำ แต่ก็มันก็เย็นเกินไปอยู่ดีสำหรับเขาที่อยู่ในชุดนักศึกษาธรรมดา

ความอ่อนเพลียทำให้เปลือกตาหนักขึ้นทุกที หากแต่สติยังเหลือที่จะระลึกไปถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ที่ทำให้ต้องมาอยู่ในห้องนี้

หลังจากที่ถอยห่างจากประตูห้องเก็บของ สถานที่เก็บความลับของธาวินและจันทร์ทิวา เขาก็พบกับคนๆ หนึ่ง ที่หายไปจากความทรงจำแล้วพักใหญ่ เขาสะเพร่าเสียจนลืมไปว่าที่นี่คือคณะสถาปัตย์นอกจากจะมีกรณ์ ธาวิน อริญชย์ นักรบ เรียนอยู่แล้ว ยังมีโยษิตาอีกคน

หล่อนยืนกอดอก ใบหน้าน่ารักเหมือนตุ๊กตาเชิดสูง สายตามีแต่ความเกลียดชัง ริมฝีปากบิดยก ข้างๆ กันนั้นมีเพื่อนผู้หญิงและผู้ชายอยู่ด้วย รวมกันสี่ถึงห้าคน ตอนนั้นเขาแปลกใจมากกว่าตกใจ เพราะเขาลืมไปแล้วว่าโยษิตาคือคนรักเก่าของกรณ์และเขาคือคนที่มาแทรกกลาง

“มาอ่อยผู้ชายถึงคณะฉันเลยเหรอ แค่กรณ์คนเดียวคงไม่สาแก่ใจแกสินะ ร่าน!”

ยอมรับว่านาทีนั้นหน้าเขาชาเป็นแถบ ทั้งอายทั้งโกรธ แต่เมื่ออีกฝ่ายเป็นผู้หญิงเขาจึงไม่ตอบโต้และพยายามจะเดินหนี ทว่าแค่ขยับเท้าโยษิตาก็ก้าวขึ้นมาดักหน้า

“พูดความจริงเข้าหน่อย ก็ทำเป็นรับไม่ได้? หึ” หล่อนทำเสียงขึ้นจมูก “พวกแกดูหน้ามันเอาไว้นะ มันนี่แหล่ะที่แย่งกรณ์ไปจากฉัน ถึงขนาดยอมเอาตัวแลก แย่ยิ่งกว่าเด็กไซต์ไลน์ซะอีก พวกนั้นนอนกับผู้ชายยังได้เงิน แต่นี่แม้แต่สตางค์แดงเดียวก็ไม่ได้”

ความชาเปลี่ยนเป็นเห่อร้อน ทุกคำพูดของโยษิตาดูถูกเหยียบย่ำเกียรติและศักดิ์ศรีชายชาติมังกรยิ่งนัก ถึงเขากับกรณ์จะคบกันในฐานะคนรัก แต่นั่นมันคือความชอบ มันคือความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับทุกคน แม้จะผิดจารีตประเพณีหากแต่ก็ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน เว้นเสียแต่ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้านี่เท่านั้น มือทั้งสองข้างกำเข้าหากัน สันกรามขบกัดจนปวดร้าว เพื่อระงับไม่ให้ตัวเองโต้ตอบถึงจะโกรธแค่ไหนแต่อีกฝ่ายก็เป็นผู้หญิง

“อึ้งเลยล่ะสิ ฉันพูดถูกใช่ไหมล่ะ” โยษิตาบิดปากโค้ง ตากลมกวาดไล่มองตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าแล้ววกกลับมาที่หน้าของเขา “สารรูปยังย่ำแย่เหมือนเดิม ท่าทางแกคงจะไม่ถูกใจเขาล่ะสิ เขาถึงไม่ซื้อเสื้อผ้ากับรองเท้าดีๆ ให้ แกดูนี่” หล่อนยื่นกระเป๋าสีดำประทับยี่ห้อดังจากอิตาลี “เขาซื้อให้ฉันตอนที่ครบรอบหนึ่งปี ก่อนหน้านั้นก็มีทั้งเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า สร้อย ต่างหู แหวน โอ๊ย เยอะแยะจนตู้ไม่พอใส่ต้องสั่งทำเพิ่ม แต่นี่...แกยังเหมือนขอทานเหมือนเดิม”

“ผมไม่เคยขออะไรจากเขา” ดนตร์พูดรอดไรฟัน โกรธจนหน้าร้อนเหมือนโดนไฟนาบ “เราคบกันด้วยหัวใจไม่ใช่สิ่งของ แล้วถ้าคุณไม่มีธุระอะไร ผมขอตัว!”

เขาเน้นเสียงก่อนจะหันหลังให้ โดยไม่รู้ตัวสักนิดว่าจะเป็นการเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายทำร้ายตัวเองได้ เพียงเสี้ยวนาทีที่เขาก้าวเดิน ช่วงท้ายทอยก็ถูกของบางอย่างฟาดเข้ามาเต็มแรง แล้วหลังจากนั้นเขาก็มาอยู่ในห้องๆ นี้ ห้องแคบๆ ที่คล้ายกับห้องเก็บของ กลิ่นฝุ่นคลุ้งในอากาศ ไม่มีหน้าต่างหรือแม้แต่ช่องระบายอากาศ ไฟเสีย เพราะตอนที่เพิ่งฟื้นขึ้นมาเขาพยายามคลำไปตามกำแพงพบกับสวิตซ์ไฟแต่มันไม่ทำงาน สายตาเพ่งมองผ่านความมืดพอจะเห็นรูปร่างของโต๊ะและเก้าอี้ที่ใช้งานไม่ได้แล้วเกือบสิบตัว ส่วนโทรศัพท์ไม่เหลือแบตแม้แต่ขีดเดียว แค่เปิดใช้งานยังทำไม่ได้

ไม่น่าแปลกใจหรอกที่โยษิตาจะจงเกลียดจงชังเขาขนาดนี้ เพราะหล่อนเสียคนรักที่เพียบพร้อมแทบทุกด้านให้กับคนอย่างเขา ที่ร้ายไปกว่านั้นเขาเป็นผู้ชาย แต่ก็อีกนั่นแหละเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมกรณ์ถึงได้เกิดสนอกสนใจเขาขึ้นมาและจริงจังถึงขนาดกล้าเปิดเผยสถานะทั้งต่อสาธารณชนและต่อหน้าผู้ปกครอง กรณ์กล้าหาญสมเป็นลูกผู้ชายเลือดมังกรขณะที่เขาต้องรอให้จวนตัวความกล้าจึงบังเกิด พอคิดได้ก็นึกละอายใจ ทั้งที่เขาเป็นฝ่ายเริ่มชอบกรณ์ก่อนแท้ๆ

ย้อนกลับไปเมื่อต้นปี เขาได้พบกับกรณ์ในฐานะกรรมการคัดเลือกนักศึกษา ด้วยรูปลักษณ์ภายนอกที่สะดุดตา ดวงตาคม ใบหน้าที่ค่อนข้างมีเอกลักษณ์ติดเย่อหยิ่งและเย็นชา ท่าทางไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไรนักแต่กลับมีเสน่ห์ดึงดูดได้อย่างน่าประหลาด เขาเผลอจ้องรุ่นพี่คนนี้อยู่นานกว่าจะรู้ตัวก็ซึมซับเรื่องราวของกรณ์มากพอตัว จากนั้นก็มานั่งทบทวนความรู้สึกของตัวเองอีกที จึงได้มติเป็นเอกฉันท์ว่าเขาตกหลุมรักผุ้ชายที่ชื่อกรณ์เสียแล้ว ตอนนั้นเขาได้แต่คิดว่ามันไม่มีหวังเอาซะเลย กรณ์ไม่มีทางสนใจคนอย่างเขา และไม่มีทางที่จะมีรสนิยมชอบเพศเดียวกันแน่ๆ ทว่าโชคชะตากลับเล่นตลก วันนั้นที่สนามกีฬา...มันเป็นวันเริ่มต้นความสัมพันธ์ อาจจะไม่ราบรื่นสวยงาม แต่สุดท้ายกรณ์ก็พูดคำว่า ‘รัก’ กับเขาจนได้

ถึงตอนนี้ถ้าหากไม่มีโอกาสได้หลุดออกไปจากห้องนี้ เขาก็ยังดีใจที่ได้รักกรณ์ ผู้ชายไร้ความโรแมนติก ไม่เคยพูดจาชวนฝัน แต่กลับสร้างเรื่องประทับใจให้มากมาย ดนตร์ขดตัวเข้าหากันแน่นขึ้น เอียงหน้าซบลงบนหัวเข่า สูดเอาฝุ่นมาไว้ในปอด ขณะที่อากาศแทบจะไม่เหลือ

สมองเริ่มไล่เรียงเหตุการณ์จากวันที่พบกันจนถึงบทสนทนาก่อนที่เจ้าตัวจะปล่อยเขาไว้ที่คณะ ทุกคำพูด ทุกรอยยิ้มเริ่มเลือนรางราวกับภาพในความฝัน ขณะเดียวกันเปลือกตาก็หนักอึ้งไม่ต่างจากแผ่นเหล็ก ลมหายใจแผ่วบางลงเรื่อยๆ ถึงกระนั้นภาพใบหน้าและรอยยิ้มของกรณ์ก็ยังอยู่ ดนตร์ยิ้มให้กับตัวเองราวกับจะตอบรับรอยยิ้มที่วาดขึ้นในจินตนาการ แล้วริมฝีปากก็ตกลงเรื่อยๆ พร้อมกับลมหายใจที่ขาดหายไป...

…………………………..



“ให้มันอยู่ในนั้นนั่นแหละ สมน้ำหน้า เล่นกับใครไม่เล่น ดันมาเล่นกับโยษิตา ไอ้ตุ๊ดหน้าจืดเอ๊ย!”

หัวคิ้วเรียวขมวดมุ่นเมื่อได้ยินเสียงผู้หญิงดังลอดเข้ามา เขาหยุดมือที่กำลังทำความสะอาดส่วนล่างไปโดยปริยายแล้วเงี่ยหูฟังอีกครั้ง หวังว่าจะได้ยินอะไรเพิ่มขึ้นอีก แล้วก็สมใจ

“ถ้ามันเป็นอะไรขึ้นมาจริงๆ ล่ะจะทำยังไง ตรงทางเดินมีกล้องด้วยนะ ถ้ามันติดภาพพวกเราไม่แย่กันหมดหรอกเหรอ”

“ช่างมันประไร! เดี๋ยวฉันให้พ่อของพี่ซันวิ่งเต้นให้เอง”

“แกจะเอาตัวรอดคนเดียวอย่างนั้นสิ! นี่แกยังเห็นฉันเป็นเพื่อนอยู่ไหม”

“โอ๊ย! อย่าปัญญาอ่อนได้ไหม! มันไม่ตายหรอกน่า เดี๋ยวยามก็ขึ้นไปดูเองแหละ! ถ้ามันรักตัวกลัวตายก็น่าจะแหกปากร้องหาคนช่วย”

ผู้หญิงที่เขาคิดว่าน่าจะเป็นโยษิตาพูด จู่ๆ หัวใจก็พลันเต้นรัว บางอย่างบอกกับเขาว่าคนที่โยษิตาพูดถึงอาจจะเป็นดนตร์ และมีความเป็นไปได้สูงเสียด้วย โยษิตากับดนตร์มีเรื่องบาดหมางกัน ซึ่งทั่วทั้งมหาวิทยาลัยก็รู้กันทั้งนั้น เขาแทบจะกลั้นใจแม้ว่าจะอยู่ในห้องน้ำและพวกหล่อนก็ไม่มีทางเข้ามาแน่ ทว่าปฏิกิริยาพวกนั้นมันเป็นไปเองโดยอัตโนมัติ

เขารอให้โยษิตาและเพื่อนผ่านห้องน้ำไป โดยระหว่างนั้นก็ยังได้ยินบทสนทนาต่ออีกนิดหน่อย ดูเหมือนว่าเพื่อนของโยษิตาจะยังหวาดกลัวอยู่แม้ว่าโยษิตาจะยืนกรานว่าจะไม่มีใครเอาเรื่องได้ก็ตาม...กระทั่งเสียงรองเท้ากระทบพื้นไม่หลงเหลือให้ได้ยินแล้วเขาจึงรีบเร่งมือทำความสะอาดสิ่งที่ ‘ตกค้าง’ ในร่างกายออกให้หมด จากนั้นก็ใช้กระดาษชำระเช็ดลวกๆ แล้วรีบออกจากห้องน้ำตามกลุ่มของโยษิตาไปเงียบๆ โดยเดินตามเสียงรองเท้าของพวกหล่อนที่ทิ้งค้างเอาไว้

“ถ้าไม่อยากให้เรื่องถึงตำรวจ ก็บอกฉันมาว่าเพลงอยู่ที่ไหน”

ดวงตากลมภายใต้อายไลเนอร์ดำเฉียบเบิกโพลง ร่างเล็กตัวแข็งทื่อเหมือนถูกสาปไปชั่วขณะ นั่นยิ่งเปิดโอกาสให้คนที่เดินตามมาพักใหญ่รวบอ้อมแขนแน่นขึ้น

“กะ...แก พะ..พูดเรื่องอะไร ฉัน!”

“ตอบคำถามมา ไม่อย่างนั้นฉันจะแจ้งตำรวจว่าเธอกับยาหยีร่วมมือกันกักขังหน่วงเหนี่ยวเพลง”

“ไอ้บ้า! พูดจาไม่รู้เรื่อง ฉันไม่รู้...!”

“พูดมา!” บางอย่างในมือจี้ไปที่เอว ขณะที่มืออีกข้างรัดรอบลำคอเล็กเอาไว้ กลิ่นยาที่ติดตัวมายิ่งทำให้อีกฝ่ายลนลานด้วยความหวาดกลัว “หรือเธออยากจะกลายเป็นศพอำพราง รู้ใช่ไหมว่าที่เอวนี่อะไร” เพิ่มน้ำหนักมืออีกนิด ปลายเล็กของสิ่งนั้นแทงทะลุผ่านเนื้อผ้าจนถึงผิวกายด้านใน เจ้าหล่อนสะดุ้งเฮือกพยายามขืนตัวหนี ทว่ายิ่งดิ้นรนความแหลมคมก็ยิ่งครูดรูดผิว “แค่สลิงเดียวเธอก็จะได้ไปเฝ้ายมบาล”

“ห้องเก็บของ! บนดาดฟ้า” หล่อนละล่ำละลักบอก “ยะ..อย่าแจ้งตำรวจเลยนะ ไม่สิ! อย่าฆ่าฉันเลยนะ ฉันไม่ได้ตั้งใจ ยาหยี! แกต้องไปเล่นงานยาหยีสิ ฉันไม่ได้ทำ มันต่างหากที่เป็นคนทำ”

“หึ...ไม่ต้องห่วงหรอก พวกเธอโดนทุกคนแน่” เสียงทุ้มดังใกล้ใบหู ลมหายใจไม่อุ่นไม่เย็นที่เป่ารดลงมาเพิ่มความน่าขนลุกให้อีกเท่าตัว ท่อนแขนยาวกระชับขึ้นอีกนิด รั้งร่างเล็กของสตรีให้แนบชิดกว่าเดิม “พาฉันไป!”

“ไม่! ฉันบอกแกแล้วนี่”

“ฉันไม่ได้โง่หรอกนะ รีบเดินนำไป ถ้าไม่อยากตายด้วยArsenic [1] ”

สิ่งที่น่ากลัวแท้จริงไม่ใช่ความแหลมคมหากแต่เป็นของเหลวที่อยู่ถัดไปต่างหาก เจ้าหล่อนเบิกตาโพลงจนแทบจะถลนออกนอกเบ้า รีบเดินนำไปโดยมีช่วงแขนยาวรัดรอบลำคอ แข้งขาสั่นจวนเจียนจะล้มไปหลายรอบ

...หวังว่าผู้ที่อยู่อีกฟากของสายโทรศัพท์จะได้ยินบทสนทนาเมื่อครู่...

ย้อนไปเมื่อยี่สิบนาทีที่แล้ว เขาเร้นกายในความมืด โชคดีที่โยษิตาและพวกไม่สังเกตเห็นว่ามีคนแอบตามมา คงเพราะระยะห่างที่มากพอประมาณและความมืดของตัวอาคารทำให้พวกหล่อนไม่เอะใจ แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังแอบจับพฤติกรรมของบางคนได้ ต้องขอบคุณสาขาที่เรียนมาทำให้สามารถจับความรู้สึกหรือพฤติกรรมของคนได้ไม่ยาก หนึ่งในพรรคพวกของโยษิตาท่าทางกังวลใจมากกว่าใคร ขณะที่คนอื่นๆ แสดงความหวาดหวั่นออกมาพอประมาณ แต่ก็เลือกที่จะเชื่อเส้นสายบิดาของโยษิตา เมื่อทั้งหมดหลุดจากตัวอาคารก็แยกย้ายกันไป ส่วนเขาก็เลือกที่จะตามผู้หญิงตัวเล็ก ผมยาวจรดบั้นเอว สวมรองเท้าส้นสูงสีดำ เขาไม่รู้จักชื่อหล่อนแต่เคยเห็นหน้าคร่าตาบ้าง ทว่านั่นไม่สำคัญเท่ากับการที่หล่อนจะกลายเป็นพยานคนสำคัญ

เขาเคลื่อนไหวรวดเร็ว เพียงแค่พริบตาเดียวก็เข้าประชิดตัว ใช้เงามืดของต้นไม้บดบังใบหน้า จากเดิมที่หวาดกลัวอยู่แล้ว ยิ่งเพิ่มพูนเป็นเท่าทวี ดังนั้นจึงไม่ยากต่อการข่มขู่ แต่ก่อนที่เข้าหา เขาจัดการติดต่อหาใครบางคนไว้แล้ว หวังว่าเจ้าสมอลล์ทอล์คจะทำหน้าที่ได้ทรงประสิทธิภาพเท่ากับยี่ห้อและราคาของมัน

กว่าที่สองขาเก้ๆ กังๆ พาลจะล้มพับเพราะความกลัวที่มีมากเกินไปจะพามาถึงห้องเก็บของที่ว่าก็เล่นเอาปวดแขน เพราะต้องรักษาระยะห่างของปลายเข็ม ถึงจะไม่ชอบพฤติกรรมน่ารังเกียจของพวกหล่อนนัก แต่เขาก็ไม่โหดร้ายพอที่จะฆ่าคนด้วยสารหนูได้ และอันที่จริงของเหลวที่อยู่ในหลอดก็เป็นแค่ยาชาธรรมดาที่บังเอิญติดกระเป๋าเสื้อกาวน์มาเท่านั้น ก็ตอนที่ถูกคนบ้าลากมาจากห้อง เขากำลังจัดยาอยู่พอดี หลังจากนั้นกิจกรรมของคนบ้าก็เกิดในห้องเก็บของ ไม่รู้ว่าจะบ้าไปถึงไหน ห้องหับตัวเองก็มีแต่เลือกที่จะทำในห้องเก็บวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการรังสรรค์ผลงานศิลปะ แต่ที่บ้ามากกว่าคือเขาเองที่ไม่อาจต้านทานความต้องการของอีกคนได้เลย

สุดท้ายหลังจากที่ทั้งบังคับและประคับประคองกันมา ทั้งเขาและผู้หญิงคนนี้ก็มาหยุดอยู่หน้าห้องที่หล่อนว่า กระแสลมที่ค่อนข้างแรงพัดใส่ ต่างคนซวนเซทำท่าจะล้มไปหลายครั้ง เขาขมวดคิ้วพลางเพ่งสายตามองหาคนที่ติดต่อด้วย ถ้าหากได้ยินสิ่งที่เขากับผู้หญิงคนนี้พูดก็น่าจะมาถึงที่นี่ได้ในเวลาไล่เลี่ยกัน

“ยืนทำบื้ออะไร! รีบมาดูสิ เป็นหมอไม่ใช่หรือไง!”

ว่าที่คุณหมอสะดุ้งสุดตัว ละสายตาจากจุดโฟกัสแล้วกวาดหาต้นตอของเสียง ด้วยความมืดและลมทำให้การมองเห็นไม่ชัดเจน ห่างจากจุดที่ยืนไปราว สี่ถึงห้าเมตร ใกล้กับแท็งค์น้ำ เขาเห็นเงาตะคุ่มๆ ของบางอย่าง ลักษณะคล้ายคนแต่ท่วงท่ามันผิดปกติไปเล็กน้อย หลังจากฝืนจนตาเริ่มเจ็บถึงได้มองออกว่าที่เห็นนั่นเป็นเงาของคนสองคนที่กำลังโอบกอดกัน

ผู้หญิงคนนั้นดิ้นจนหลุดไปจากอ้อมแขน ดูเหมือนว่าปลายเข็มจะเฉียดผิวเนื้อแถวเอวไปหลายที แต่เพราะเขาไม่ได้กดปลายกระบอกเข็มเอาไว้ ดังนั้นจึงไม่มีสารเคมีใดๆ ติดตัวเธอแน่นอน นอกจากบาดแผลเท่ารอยเข็มเท่านั้น เจ้าหล่อนวิ่งหนีหายไปในความมืด เขาได้ยินเสียงกรีดร้องคล้ายตกใจมาจากแถวบันไดทางขึ้น คงจะเจอใครระหว่างที่กำลังหลบหนี แต่ก็ช่าง เพราะอย่างไรเสียเขาก็เจอตัวดนตร์แล้ว

จันทร์ทิวาเดินตรงเข้าไปใกล้กลุ่มเงานั่น พอระยะห่างเหลือไม่มากถึงได้เห็นเค้าหน้าชัดเจน ว่าที่คุณหมอแสยะยิ้ม ไอ้หมอนี่มันเร็วอย่างที่คาดการณ์ไว้จริงๆ

“ยิ้มบ้าอะไร! เพลงยังไม่รู้สึกตัวเลย หลับไปนานแค่ไหนก็ไม่รู้ ตัวเริ่มเย็นแล้ว”

จันทร์ทิวากรอกตามองฟ้า ก่อนจะย่อกายลง ทรงตัวด้วยปลายเท้า ระหว่างนั้นเองก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่ดังมาสมทบ สมกับเป็นเพื่อนสนิทไม่กี่อึดใจก็ตามมาสมทบกันจนครบแก็งค์

มือเรียวยื่นไปสัมผัสเด็กหนุ่มที่อยู่ในอ้อมแขนของกรณ์ เนื้อตัวของดนตร์เย็นเยียบ จันทร์ทิวาเลื่อนนิ้วไปยังตำแหน่งชีพจร มันยังเต้นอยู่แม้จะอ่อนและช้ามากก็ตาม

“พาไปที่อื่นก่อน ถ้าอยู่ตรงนี้นานมีหวังได้ตายจริงๆ แน่”

เพียงเท่านั้น ทั้งร่างของดนตร์ก็ถูกช้อนขึ้น ใบหน้าขาวซีดซบอยู่กับอกกว้างของกรณ์...

...................................


[1] Arsenic (สารหนู)

อาการรับพิษจากสารหนู

1. แบบเฉียบพลัน (จากการกิน) ทำให้เกิดการระคายเคืองต่อกระเพาะอาหารลำไส้คลื่นไส้อาเจียนและท้องร่วงในคนไข้ที่มีอาการรุนแรงอุจจาระอาจมีเลือดปนคนไข้จะอ่อนเพลียอาจช็อกและตายได้
2. แบบเรื้อรัง (จากการกินหรือหายใจ) จะมีอาการอ่อนเพลียเบื่ออาหารคลื่นไส้ระบบทางเดินอาหารผิดปกติตับอาจถูกทำลายนอกจากนี้อาจมีอาการทางผิวหนังทำให้เกิดการเปลี่ยนสีของผิวหนังทำให้หนังด้านอาการนูนบวมแข็งอาจจะเป็นสาเหตุของมะเร็งที่ผิวหนังได้นอกจากนี้ยังทำให้เกิดความผิดปกติของระบบขับเหงื่อและทำให้เกิดเนื้อตายบริเวณนิ้ว

.....................................

อีกไม่กี่ตอนก็จบแล้ว เรื่องนี้ได้ตีพิมพ์กับ Hermit นะคะ รับรองเอาลงจบแน่นอน แต่ในเล่มจะมีตอนพิเศษของแต่ละคู่นะคะ

ฝากนิยายอีกเรื่องด้วยนะคะ ในรูปแบบอีบุ๊คค่ะ เรื่องราวของ 'เจ้านาย' กับ 'คนใช้' แซ่บ ดุ เด็ด เผ็ด มันส์แน่นอน  The Chain
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-09-2017 19:41:31 โดย libra82 »

ออฟไลน์ libra82

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 285
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +236/-5
ตอนที่ 23 (ต่อ)

ไม่รู้จะขอบคุณความบังเอิญ หรือเพราะดวงที่ยังไม่ถึงฆาตของดนตร์ดีที่ทำให้เจ้าตัวยังมีชีวิตรอดมาได้ ตาคมมองใบหน้าอ่อนเยาว์ของคนป่วยที่ยังหลับใหลบนเตียงสะอาดสีขาว เกือบสองชั่วโมงแล้วที่ดนตร์หลับไป แต่เนื้อตัวที่อุ่นขึ้นจนเกือบเป็นปกติก็ทำให้คลายความกังวลลงไปได้เยอะทีเดียว กรณ์กระชับมือที่กุมไว้มานานเท่ากับช่วงเวลาที่เจ้าตัวหลับไป อยากจะแบ่งปันไออุ่นในตัวไปให้อีกทอด แม้ว่าตอนนี้แทบจะทั้งตัวของดนตร์จะจมอยู่ในอ้อมอกของตัวเขาเองแล้วก็ตาม

ดนตร์ไม่รู้หรอกว่าตอนที่เขากระแทกบานประตูเข้าไปแล้วเห็นร่างน้อยนอนคุดคู้อยู่มุมห้อง หัวใจเขามันหล่นวูบไปอยู่ที่ตาตุ่ม กลัวจนมือสั่น กลัวว่าจะมาช้าเกินไป กลัวว่าจะไม่ได้โอบกอดกันอีก เขารีบคว้าร่างของดนตร์เข้ามาสวมกอดไว้ ตัวของดนตร์เริ่มเย็น วินาทีนั้นเขากลัวเหลือเกินว่าประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยและอาจจะไม่โชคดีอีก คว้าช้อนอุ้มร่างของคนรักขึ้นมาแนบอก แล้วพาออกมาด้านนอกก่อนที่จันทร์ทิวามาถึงไม่กี่นาที

พูดถึงจันทร์ทิวา ถ้าไม่ใช่เพราะหมอนี่เขาจะไม่มีทางรู้เลยว่าดนตร์ถูกขังไว้ในห้องเก็บของพังๆ บนดาดฟ้าของคณะ เขาเพิ่งได้รู้จากปากของว่าที่คุณหมอเมี่อครู่ใหญ่นี่เองว่า ที่รู้ว่าดนตร์ถูกขังไว้เพราะบังเอิญได้ยินโยษิตากับเพื่อนคุยกันระหว่างที่พวกหล่อนเดินผ่านห้องน้ำชาย เขาไม่ได้ถามหรอกว่าทำไมไอ้คุณหมอหน้าขาวมันถึงมาอยู่ที่คณะได้ แต่เพราะมันทำให้เขาเจอตัวดนตร์ และรู้ว่าโยษิตายังเล่นไม่เลิก

เป็นเพราะเขาประมาทไปเองที่หลงคิดว่าโยษิตาจะยอมลามือ เลยไม่คิดจะทำอะไร ถึงจะให้บิดาช่วยจัดการให้ทว่าเรื่องแบบนี้ไม่มีใครเตรียมการได้ทัน โยษิตาใช้จังหวะที่ดนตร์อยู่ตามลำพัง หมอบอกว่าที่ท้ายทอยของดนตร์มีรอยฟกช้ำคล้ายถูกกระแทกด้วยของแข็ง ซึ่งเขาเดาว่าอาจจะเป็นกระเป๋าหรืออะไรเทือกๆ นั้น แต่น้ำหนักมือไม่น่าจะใช่ของผู้หญิง และกลุ่มเพื่อนๆ ของโยษิตาก็มีผู้ชายอยู่ด้วย ถ้าหากจะตามหาคนทำคงไม่ยากนัก

กรณ์กัดฟันกรอด เขากล่าวโทษตัวเองนับร้อยนับพันรอบ ถ้าสละเวลายอมเป็นฝ่ายไปหาเสียเอง ดนตร์คงไม่ต้องมาเจ็บตัวแบบนี้ เขามันไม่ได้เรื่อง รับปากคุณนที ได้ไม่เท่าไรก็ต้องผิดคำพูดเสียแล้ว ดนตร์ต้องมาเจ็บตัวซ้ำแล้วซ้ำเล่าซึ่งมันก็เป็นผลพวงมาจากการทำอะไรไม่เด็ดขาดของเขานั่นเอง

...บางทีคำว่าเพราะเป็น ‘ผู้หญิง’ ก็ใช้ไม่ได้ผลกับทุกกรณี โดยเฉพาะครั้งนี้...

ร่างโปร่งบางที่อยู่ในอาภรณ์ชุดใหม่อุ่นสบายขยับเบียดเข้าหา เบาใจเหลือเกินที่ได้เห็นพวงแก้มนุ่มกลับมาระเรื่ออีกครั้ง คุณหมอที่ให้การรักษาบอกว่าถ้าหากอยู่ในห้องนั้นนานถึงข้ามคืนดนตร์อาจจะขาดอากาศหายใจได้ เพราะห้องนั้นทั้งเล็กทั้งแคบ เต็มไปด้วยฝุ่นละออง และหนาวเย็น กรณ์ก้มลงกดจมูกบนหน้าผากนูนแล้วเลาะไล่ลงมาถึงกลีบปากอิ่ม ตอนที่เห็นริมฝีปากสีสวยนี่ซีดจนไม่ต่างจากหน้ากระดาษใจเขาหล่นไปอยู่ตาตุ่ม จนถึงมือหมอและได้รับคำยืนยันว่าดนตร์ไม่เป็นอะไรแล้วเขาถึงได้เบาใจ แต่ก็ยังไม่ยอมปล่อยให้ร่างน้อยห่างจากอ้อมแขนแม้แต่วินาทีเดียว

กรณ์กระชับมือ การที่มีศีรษะทุยหนุนนอนบนท่อนแขนไม่ได้ทำให้รู้สึกปวดชาเลยแม้แต่น้อย เปลือกตาบางปิดไปหลายชั่วโมงแล้ว แม้จะพรมจูบซ้ำๆ ไปหลายรอบก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะเปิดขึ้น เขาไม่ได้ตั้งใจรบกวนคนนอนแค่อยากจะสัมผัสคนรักให้ได้มากที่สุด หลังจากผ่านเหตุการณ์เลวร้ายมาครั้งแล้วครั้งเล่า ประสบการณ์เหล่านั้นสอนให้เขารู้ว่า ไม่ควรปล่อยเวลาให้ผ่านเลยไปโดยที่ยังไม่ทำอะไร

“อือ” ดนตร์ครางเบาๆ คงรู้ตัวว่าการพักผ่อนถูกรบกวน แต่แค่ส่งเสียงในคอจากนั้นก็เงียบสนิทเช่นเดิม

ชายหนุ่มอมยิ้มน้อยๆ ในความโกรธยังมีความเอ็นดูแทรกปะปน ในยามหลับดนตร์ดูอ่อนเยาว์กว่าเดิมเสียอีก พวงแก้มใสจนมองเห็นเส้นเลือดฝาด ขากรรไกรจนถึงลูกคางไม่มีไรหนวดเคราแบบที่คนหนุ่มพึงมี คิ้วเข้มทอดยาวจรดหางตา จมูกโด่งเป็นสันรับกันดีกับริมฝีปากอิ่มสีสด เสียงครางบวกกับการขดตัวเบาๆ เมื่อครู่ทำให้ดนตร์ช่างคล้ายกับลูกแมวขี้อ้อน ซึ่งภาพแบบนี้หาดูไม่ง่ายนักเพราะเจ้าตัวอ้อนไม่เก่ง แต่ถ้าทำทีใจก็อ่อนยวบเป็นขี้ผึ้งถูกไฟลน

เด็กบ้านี่ชักจะน่ารักเกินไปแล้ว!

พรึ่บ!

ฉับพลันเปลือกตาที่ปิดอยู่ก็เปิดขึ้น แก้วตาใสจ้องมองมา มันมีแววมึนงงแต่หลังจากผ่านไปชั่วอึดใจก็เปลี่ยนเป็นยินดี “พี่ยิ้มให้ผม” กรณ์เลิกคิ้วสูง เจ้าเด็กนี่คงคิดว่าตัวเองยังฝันอยู่กระมัง “ยิ้มอีกสิ”

“อะไรของนาย ตื่นมาก็เพี้ยนเลยหรือไง” เขาเย้า แต่ริมฝีปากกลับฉีกยิ้มกว้าง

“ยิ้มเยอะๆ แต่พี่ต้องยิ้มให้ผมคนเดียวนะ”

“หืม...ทำไมล่ะ” เขาลองถาม ไม่แน่ใจว่าเจ้าตัวดีนี่ตื่นเต็มตาแล้ว หรือว่ายังหลงติดอยู่ในภวังค์ความฝันกันแน่

“ผมอยากจะเก็บไว้คนเดียว เก็บไว้เยอะๆ เผื่อว่าจะไม่มีโอกาสได้...!!”

ก่อนที่ถ้อยคำชวนใจหายจะดังต่อ เขาก็จัดการหยุดมันไว้ด้วยริมฝีปากของตัวเอง กลีบปากนุ่มที่กลับมาอุ่นซ่านอีกครั้งถูกกดย้ำแน่นๆ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นบดเคล้า ดนตร์เผยอปากน้อยๆ อย่างรู้หน้าที่ เปิดช่องทางให้สอดลิ้นเข้าไปกวาดต้อน คนเด็กกว่าไม่ได้หดหนีแต่กลับตอบรับ ลิ้นเล็กขยับเคลื่อนไหว บางครั้งก็รุกล้ำเข้ามาเสียเอง เสียงชื้นแฉะจากของเหลวดังก้องในโสตประสาท ประสานกับเสียงเต้นของหัวใจที่รัวถี่ขึ้นเรื่อยๆ ...

..................................



“งี่เง่าปัญญาอ่อน!”


อคิราห์เลิกคิ้วมองเมื่อจู่ๆ คนรักสาวก็สบถหยาบคายขึ้น “มีอะไร?”

“ไม่มี!” เธอกระแทกเสียงใส่ คิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน ก่อนที่จะโยนโทรศัพท์รุ่นใหม่ล่าสุดลงบนโต๊ะอย่างไม่สนใจว่ามันจะพังหรือเสียหาย

เกือบสาม เดือนแล้วที่เขากับโยษิตาคบหากันอย่างเป็นทางการ อันที่จริงความสัมพันธ์ของเขากับเธอมันเริ่มมาก่อนหน้านั้นพักใหญ่แล้ว ทว่าตอนนั้นเธอยังคบกับผู้ชายอีกคน ผู้ชายที่สุดท้ายก็ยอมล่าถอยไปเปิดทางให้เขา ทว่าเหตุผลที่ยอมแพ้ง่ายๆ ไม่ใช่เพราะสู้เขาไม่ได้ หากแต่เป็นเพราะอีกฝ่ายได้พบคนที่ถูกใจกว่าต่างหาก

เด็กคนนั้นชื่อ ‘ดนตร์’

เด็กหนุ่มหน้าตาหมดจด ผิวพรรณผุดผาด แม้จะใส่แว่นทรงเห่ยๆ แต่ก็ไม่อาจปิดกั้นความน่าสนใจเอาไว้ได้ เดิมทีเขาเองก็ไม่คิดจะใส่ใจนักเพราะการที่กรณ์ยอมเป็นฝ่ายถอยไปย่อมเป็นผลดีกับตัวเขา แต่เมื่อได้ยินโยษิตาพูดถึงชื่อนี้บ่อยๆ กอปรกับที่ได้เจอโดยบังเอิญ หลายครั้งความคิดของเขาเลยมาหยุดที่ดนตร์อย่างช่วยไม่ได้ ที่จริงแล้วดนตร์ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่โยษิตาว่าสักนิด ออกจะซื่อๆ ด้วยซ้ำ ท่าทางไม่มีพิษไม่มีภัย อยู่ด้วยแล้วคงจะสบายใจไม่น้อย เขาพอจะเดาเหตุผลได้ว่าทำไมกรณ์ถึงได้เลือกไปหารักครั้งใหม่แทนที่ยึดคนรักเก่าเอาไว้

“ไม่มีก็กินข้าว ผมมีสอนตอนบ่าย”

“มีสอน? ไหนว่าหมดแค่ตอนเที่ยงไง แล้วใครจะพาฉันไปดูกระเป๋าล่ะ” โยษิตาโวยวาย ส่วนเขาได้แต่ถอนหายใจ

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอแสดงท่าทางอย่างนี้ออกมา เมื่อไม่ได้ดั่งใจก็จะใช้คำพูดไม่ดีหรือบางครั้งก็เรียกร้องเอาสิ่งอื่นเพื่อทดแทนสิ่งที่ตัวเองพลาดไป ยอมรับว่าภาพพจน์ที่เขาวาดไว้กับตัวตนของเธอมันต่างกันลิบลับ เมื่อคราแรกที่พบกันเธออ่อนหวานน่ารัก ช่างเอาใจ เหมือนลูกสาวคนเล็กที่ใครๆ ก็หลงรัก ทว่าเมื่อความสนิทสนมมีมากขึ้น นิสัยที่แท้จริงก็เปิดเผยออกมาทีละน้อย

“ไปกับเพื่อนก่อน เอาบัตรผมรูดก็ได้ อยากได้อะไรก็ตามใจคุณ”

“แล้วใครจะช่วยฉันถือของ!” เธอแหวใส่ ใบหน้าหวานบึ้งตึงไม่พอใจ “คุณบอกฉันเองนะว่าเลิกสอนตอนเที่ยง ฉันถึงได้นัดคุณมากินข้าวที่นี่เพราะจะได้ไปช้อปปิ้งต่อ”

“ผมไม่ได้บอก” เขาปฏิเสธ จำได้ว่าที่เลือกที่นี่เพราะมันใกล้กับมหาวิทยาลัยของเธอ ถึงแม้จะอยู่ห่างจากโรงเรียนที่เขาเป็นครูสอนอยู่ก็ตาม

“บอก!”

อคิราห์ส่ายหน้าเบาๆ แล้วก้มลงไปกินอาหารต่อ เขาเบื่อที่จะต่อล้อต่อเถียง โดยไม่รู้ว่านั่นยิ่งเป็นการเติมเชื้อเพลิงให้กับโทสะที่คุกรุ่น

“ยกเลิกสอนไปเลย! ฉันอยากได้กระเป๋า แล้วคุณก็ต้องไปช่วยฉันถือด้วย”

มือใหญ่วางช้อนลง ก่อนจะเงยหน้ามองสตรีที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม พอเห็นว่าเขาไม่ตอบโต้ดูเหมือนว่าเธอจะยิ่งได้ใจ เขาไม่รู้หรอกว่าก่อนหน้านี้กรณ์ปฏิบัติหรือเอาใจเธออย่างไร แต่เมื่ออยู่กับเขา ผู้ที่มาอายุและวุฒิภาวะมากกว่าอย่างน้อยเธอก็ควรให้เกียรติเขาบ้าง

“ผมมีสอน” เขาพูดเรียบๆ ข่มลมหายใจให้เป็นปกติ

“แต่ฉันอยากได้กระเป๋า!” โยษิตายืนกราน แก้มเห่อแดงทั้งสองข้าง ทุบกำปั้นลงกับโต๊ะเสียงดัง

“ผมจะพูดครั้งสุดท้าย วันนี้ผมมีสอน ถ้าอยากจะไปช้อปปิ้งต่อก็เชิญตามสบายแต่ผมจะไม่ไปกับคุณ อ้อ! แล้วก็อย่าทำกิริยาแบบนี้ใส่ผมอีก ผมไม่ชอบ!” แม้ทุกคำพูดจะไม่แสดงถึงความเกรี้ยวกราด ทว่าดวงตากลับเต็มไปด้วยพลังอำนาจ โยษิตาดูเหมือนจะชะงักลง แต่ด้วยความถือดีทำให้ยังไม่ยอมแพ้ง่ายๆ

“แต่...!”

โครม!!

อคิราห์เบิกตากว้าง ลุกขึ้นจากเก้าอี้ด้วยความรวดเร็ว เพราะจู่ๆ รองเท้านับสิบคู่รวมทั้งกระเป๋าร่วมสิบใบก็ถูกโยนโครมมาที่กลางโต๊ะกินข้าว จานอาหารตกแตกเกลื่อนพื้น โยษิตาอุทานเสียงดัง อาหารบางส่วนกระเด็นเปื้อนชุดสวยที่สวมใส่ ส่วนเขาไหวตัวทันนอกจากตกใจก็ไม่มีส่วนไหนหรืออะไรเสียหาย

“ชอบนักก็เอาไปสิ ฉันให้เธอหมดเลย คอลเล็คชั่นต้อนรับฤดูหนาวเลยนะ กระเป๋านั่นก็ด้วย”

อาจารย์หนุ่มหันมองต้นตอของเสียงและน่าเป็นคนเดียวกับที่โยนบรรดารองเท้าและกระเป๋าใส่โต๊ะด้วย ความตกใจบวกเพิ่มเป็นสองเท่าเมื่อเห็นหน้าคร่าตาชัดเจน

“กรณ์”

“ขอบคุณที่ยังจำกันได้” อีกฝ่ายค้อมตัวลงอย่างสุภาพ ก่อนที่ใบหน้าเย่อหยิ่งถือดีจะกลับมาตั้งตรง “แฟนเก่าผม เอ่อ ในที่นี้หมายถึงแฟนคุณ ชอบรองเท้า กระเป๋าหรือเครื่องประดับ คอลเล็คชั่นไหนออกใหม่จะต้องซื้อให้ได้”

กรณ์บอก ระหว่างนั้นสายตาก็จับจ้องไปที่โยษิตา มันไม่มีความพิศวาสหรือห่วงหาอาทรให้เห็น แต่มันเหมือน ‘รังเกียจ’

“ทำบ้าอะไร! หรือว่าพอไปคบกับไอ้เกย์นั่นแล้วนิสัยเลยพาลต่ำทรามไปด้วย”

“ถามตัวเองดีกว่าไหม ว่านิสัยใคร ต่ำ กว่ากัน” กรณ์เน้นย้ำคำ ชวนให้คนฟังได้คิด

“นายว่าใคร!”

“ก็ใครที่ทำร้ายเพลง ฉันก็ด่าคนนั้นนั่นแหละ” กรณ์สวนกลับ ร่างสูงใหญ่ขยับเข้ามาใกล้มากกว่าเดิม ไม่ใช่ใกล้เขาหากแต่เป็นโยษิตา

โยษิตาเผลอถอยหลังหนีโดยอัตโนมัติ สะโพกชนเก้าอี้จนล้มแต่อีกฝ่ายยังเดินหน้าเข้ามาเรื่อยๆ อย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ผู้คนรอบข้างต่างหันมองด้วยความสนใจหากแต่ไม่มีใครคิดยื่นมือมาช่วย ดวงตาคมดุจ้องเขม็งถ้าหากเป็นมีดมันคงกรีดไปบนผิวหนังจนได้เลือดไปแล้ว กลิ่นอายแห่งอันตรายแผ่มาจากอดีตคนรัก ขนอ่อนที่ต้นคอลุกชัน ไม่เคยเห็นกรณ์น่ากลัวขนาดนี้มาก่อน

“พะ...พี่ซัน ช่วยด้วย” เธอเอ่ยขอความช่วยเหลือจากคนรักใหม่ แต่เพราะตรงหน้าคือผู้ชายตัวสูงเกินหกฟุตบดบังการมองเห็นแทบจะทั้งหมด ปากสั่นจนเริ่มจะควบคุมไม่อยู่ ไม่ใช่แค่ปากแต่ยังลามลงมาถึงปลายนิ้วอีกด้วย ไม่คิดเลยว่ากรณ์จะตามมาถึงที่นี่หลังจากที่เพิ่งรับโทรศัพท์จากเพื่อนได้ไม่ถึง ห้านาทีด้วยซ้ำ

ภาพของกรณ์พร่าเลือนขึ้นเรื่อยๆ ด้วยระยะห่างที่ลดน้อยลง กระทั่งใบหน้าหล่อเหลาที่เคยหลงใหลโน้มต่ำลงจนลมหายใจอุ่นจัดเป่ารดลงมาที่ผิวแก้ม หากเป็นเมื่อก่อนเธอคงยินดี เพราะทั้งกลิ่นกายและไออุ่นจากกรณ์มันกระตุ้นความต้องการได้ดีนัก ทว่าตอนนี้เวลานี้มันตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง แก้วตาสีดำราวกับหลุมลึกที่ไม่อาจหาจุดสิ้นสุดได้ ภาพใบหน้าตื่นตระหนกของตัวเองที่สะท้อนอยู่ในกระจกตายิ่งสร้างความหวาดหวั่นมากกว่าเดิม รอบตัวกรณ์ราวกับมีน้ำแข็งฉาบเอาไว้ ทั้งเยือกเย็นและอันตราย

“เธอทำร้ายเพลง ครั้งแล้วครั้งเล่า” เสียงต่ำกระซิบบอก ขณะที่กรณ์พูดหัวใจเธอเต้นรัวยิ่งกว่ากลองชุดเหงื่อกาฬไหลเต็มแผ่นหลัง

“พะ..พี่ซัน...!”

“นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันจะเตือนเธอ” กรณ์ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าก่อนจะดึงโทรศัพท์ออกมา ขยับอยู่แถวหน้าจออยู่ชั่วประเดี๋ยวแล้วยื่นจ่อกับลูกตา ที่เห็นคือภาพเคลื่อนไหวของกลุ่มคนที่กำลังลากหรือดึงร่างของใครสักคน ภาพนั้นไม่ปะติดปะต่อก็จริงแต่ได้จากหลายมุม หากแต่สังเกตดีๆ จะเห็นว่ากลุ่มคนพวกนั้นคือกลุ่มเดียวกันและทำพฤติกรรมเหมือนเดิม แต่ที่เลวร้ายที่สุดคือหนึ่งในกลุ่มคนพวกนั้นมีเธออยู่ด้วย ทั้งรูปร่างหน้าตาเสื้อผ้าทรงผม ทุกอย่างล้วนแล้วแต่ระบุว่าเป็นเธอทั้งสิ้น “ฉันได้มันมาจากกล้องวงจรปิดทุกตัวที่เธอเดินผ่าน รู้ใช่ไหมว่าถ้ามันไปถึงมือตำรวจ จะเป็นยังไง ถึงพ่อของแฟนเธอจะเป็นรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการก็ช่วยไม่ได้หรอก โลกโซเชียลน่ะ มันน่ากลัวกว่าที่เธอรู้อีกนะยาหยี”

“พะ..พี่ซัน...”

“อยากให้หมอนั่นรู้อีกคนหรือไงว่าพฤติกรรมเธอมันน่ารังเกียจแค่ไหน” กรณ์กระซิบ เสียงเบากว่าเดิมแต่กลับชัดเจนจนแก้วหูปวดร้าว ความกลัวเกาะกุมไปทั้งร่าง ไม่ใช่แค่ภาพจากกล้องวงจรปิด หากแต่ยังดวงตาสีดำคู่นี้ด้วย “ฉันขอห้ามไม่ให้เธอเข้าใกล้เพลง และจะต้องไม่มีเรื่องระยำแบบนี้เกิดขึ้นอีก แต่ถ้าหากเธออยากจะท้าทายก็ได้นะ ฉันพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อปกป้องคนที่ฉันรักเหมือนกัน”

กรณ์ถอยห่างออกไปแล้ว แต่ดวงตายังจ้องนิ่งอยู่ที่เดิม กระทั่งภาพแผ่นหลังของใครสักคนเข้ามาแทนที่ เข่าทั้งสองข้างก็ทรุดลงไปกองบนพื้นเสียแล้ว

“นายทำอะไรยาหยี”

“ทำตามหน้าที่”

“หน้าที่อะไร” อคิราห์ถามกลับ เพราะอยู่ด้านหลังทำให้เธอไม่เห็นสีหน้าของทั้งคู่ แต่แค่น้ำเสียงของกรณ์ก็ทำให้เธอสั่นได้

“ถ้าวันหนึ่งคนที่นายรักถูกทำร้าย นายก็จะรู้คำตอบ” กรณ์พูดเพียงแค่นั้น แล้วเดินจากไป

เหลือไว้แค่อันตรายที่ยังอยู่ในลมหายใจ...

อคิราห์หันหลังกลับไปหาคนรัก โยษิตานั่งอยู่บนพื้น เนื้อตัวสั่นเทาอย่างเห็นได้ชัด คิ้วหนาขมวดมุ่นแม้จะไม่รู้ว่ากรณ์พูดอะไรกับโยษิตาถึงทำให้เธอตกอยู่ในสภาพเหมือนคนขวัญเสียได้ขนาดนี้ แต่มันคงไม่ใช่เรื่องดีนัก

“กลับกันเถอะ ผมกับคุณ เรามีเรื่องต้องคุยกันยาวเลยล่ะ”

................................



อริญชย์เหลือบตามองเพื่อนรักสองคนที่ข้างๆ ตัวมี ‘ผู้ชาย’ นั่งขนาบข้าง คนหนึ่งเป็นหนุ่มน้อยคณะนิเทศน์ ดวงตากลมโต ตัวเล็ก แต่วาจาเฉียบคมยิ่งกว่าใบมีดโกน ส่วนอีกหนึ่งหนุ่มเป็นนักศึกษาคณะแพทย์ศาสตร์ ใบหน้าเรียวขาวสะอาด ดวงตาเฉี่ยว จมูกโด่ง ริมฝีปากบาง ตัวสูง คะเนจากสายตาคงเกือบจะแตะหกฟุต แต่ผอมบางและมักจะสวมเสื้อกาวน์สีขาวเสมอ ทั้งสี่ ไม่สิ ทั้งสองคู่นั่งอยู่ใกล้กันจนแทบจะเกยขึ้นมาบนตัก โดยเฉพาะหนุ่มน้อยจากคณะนิเทศน์ที่นักรบถึงกับเอาหน้าวางบนหัวไหล่เล็ก แสดงถึงความสนิทสนมที่มีมากกว่ารุ่นพี่รุ่นน้องอย่างไม่ปิดบัง คู่นี้ไม่เท่าไร แต่อีกคู่นี่สิ

ก็พอรู้อยู่บ้างว่าธาวินกับจันทร์ทิวาเป็นเพื่อนสนิทต่างคณะกัน แต่ที่เห็นและสัมผัสได้ในตอนนี้มันไม่ใช่ ‘เพื่อนธรรมดา’ แต่น่าจะเป็น  ‘เพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อ’ เสียมากกว่า

ส่วนกรณ์หนุ่มฮอตของคณะก็หายหัวไปตั้งแต่ส่งงานเสร็จ ไม่ต้องเดาให้เสียเวลาว่าไอ้หมอนั่นไปไหน ถ้าไม่ใช่คณะนิเทศน์ก็ชมรมภาพยนตร์หรือที่ที่มีดนตร์อยู่ รายนี้อาการหนักสุด หายใจเข้าออกเป็นดนตร์ ยิ่งหลังจากที่ดนตร์โดนจับไปขังไว้ในห้องบนดาดฟ้านานหลายชั่วโมง กรณ์ยิ่งแทบไม่ปล่อยให้ห่างตัว อย่างมากที่สุดก็ให้ไปเรียน เลิกเรียนก็ไปรับถึงคณะ

พูดถึงวันที่ดนตร์หายตัวไป ตอนนั้นกรณ์เหมือนหมาบ้า กระหน่ำโทรหาทุกคนที่รู้จักให้ช่วยกันออกตามหา แล้วก็เหมือนมีปาฏิหาริย์ เพราะในขณะที่ทุกคนกำลังวุ่นวายจันทร์ทิวาก็โทรเข้ามาที่โทรศัพท์ของเขา บอกเล่าถึงสิ่งที่ได้รู้ได้เห็นมา จากนั้นกรณ์ก็วิ่งออกไปทันทีโดยไม่บอกเขาสักคำว่าจะไปที่ไหน กว่าที่เขาจะตามไปถึงดนตร์ก็อยู่ในอ้อมแขนของกรณ์เสียแล้ว

กรณ์แทบเป็นบ้ากอดดนตร์ไม่ห่าง แม้แต่ตอนที่ต้องเอาตัวดนตร์เข้าไปรักษามันก็ทำท่าจะตามเข้าไปด้วย พวกเขาต้องห้ามเอาไว้ พอตั้งสติได้มันก็โทรหาคุณนที เพื่อเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ฟัง มันถึงกับคุกเข่าขอโทษแม้จะไม่ได้อยู่ต่อหน้าท่านก็ตาม

...กรณ์รักดนตร์มากจริงๆ มากเสียจนเขาต้องยอมถอยออกมา...

อริญชย์ถอนหายใจหนักๆ คิดแล้วก็อดสงสัยไม่ได้ทำไมพรรคพวกของเขาถึงได้มี ‘ผู้ชาย’ ข้างกายเสียได้ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ทุกคนล้วนแล้วแต่เป็นเพลย์บอยตัวพ่อ ควงสาวๆ ไม่ซ้ำหน้า มีแค่กรณ์กระมังที่คบหาดูใจกับโยษิตาอย่างเป็นตัวเป็นตน ที่เหลือก็ ‘One night stand’ น้ำแตกแล้วแยกทาง! เขาเองก็ใช่ว่าจะผิดแผกแตกต่างไปจากคนอื่นเพราะดันเกิดไปถูกชะตาหนุ่มน้อยคณะนิเทศน์ด้วยเหมือนกัน แถมยังเป็นคนเดียวกับกรณ์ แต่สุดท้ายก็ต้องยอมล่าถอยเพราะไม่อาจเข้าไปแทรกกลางได้จริงๆ

คิดถึงดนตร์ ดนตร์ก็มาจริงๆ เจ้าอดีตเด็กแว่นสุดเนิร์ดตอนนี้กลายเป็นหนุ่มน้อยน่ารักไปเสียแล้ว แค่ไม่มีแว่นตาความน่ารักก็ฉายชัดขึ้น ยิ่งระยะหลังเสน่ห์ยิ่งเพิ่มพูน ไม่แปลกใจเลยที่กรณ์จะทำตัวเป็นจงอางหวงไข่ นี่ขนาดนิตยสารที่ดนตร์ไปเป็นนายแบบให้ยังไม่วางจำหน่าย ยอดติดตามในเฟซบุ๊คก็เพิ่มขึ้นทุกวันๆ ที่น่าขำก็คือเพศที่มากดติดตามส่วนใหญ่จะเป็นผู้ชาย

“จะไปไหนกัน”

เขาถาม เหมือนคนโง่ๆ คนหนึ่งที่อยากรู้อยากเห็นไปเสียหมด กรณ์ทำหน้าเบื่อหน่ายพลางยกแขนวางพาดหัวไหล่เล็กของคนรักเอาไว้ เขาเบะปากด้วยอดหมั่นไส้ไม่ได้

“พระนายมากรุงเทพฯ ครับ กำลังจะไปรับที่สนามบิน พี่รันจะไปด้วยไหม”

“ไป!”

....................................

ใกล้จะจบแล้วค่า

ออฟไลน์ pamhicc

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 265
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
พระนายมาแล้ว พี่รันรีบไปหาคู่เลยค่าา
 :pig4: :pig4:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด