ตอนที่ 6 หมาดำ
“ว่าแต่วันนั้น แกไปหาฟางทำไมเหรอชล” ผมชะงักไปเมื่อจู่ๆเจสซี่ก็ถามคำถามนั้นขึ้นมากลางวงอาหารกลางวัน
ช่วงสองถึงสามวันมานี่ผมเริ่มจะกลับมาร่าเริงได้จนเกือบจะเป็นปกติหลังจากเหตุการณ์น้องฟางที่ทำให้ผมซึมเศร้าเหมือนหมดอาลัยตายยากไปร่วมสองสัปดาห์ ช่วงนั้นเจสซี่คงเห็นผมอาหารไม่ค่อยดีเลยไม่ได้ซักถามอะไร
“ฉันถามอะไรพัตเตอร์มันก็ไม่ยอมบอกฉัน บอกแต่ไม่มีอะไร” เจสซี่เริ่มจี้เมื่อเห็นผมเริ่มนิ่งไปนาน
ผมเผลอหลบสายตาเจสซี่ไม่ว่าเป็นพิรุธอะไรให้ยัยนั่นสงสัยหรือเปล่า เพราะตอนนี้กำลังใช้ความคิดอย่างหนักว่าหาคำตอบอะไรที่มันดูดีที่สุด เพราะหากบอกไปตามตรงว่าผมไปหาน้องฟางเพราะเห็นวิญญาณจะมาเอาชีวิตเธอ ยัยเจ็ดสีคงได้หาว่าผมเสียสติเป็นแน่
“เอ่อ… คือว่า...” ยัยเจ็ดสีมองผมอย่างคาดคั้น โอย ทำไมทีเวลาอย่างนี้สมองผมมันดันตันตื้อไปหมด ไม่รู้ว่าควรจะตอบว่ายังไงถึงจะทำให้ยัยนั่นเลิกสงสัยได้
“ก็ไม่มีอะไรก็แค่พี่ฟางเขาเผลอหยิบกระเป๋าเงินสลับกับของผมไป ผมก็เลยให้พี่ชลรีบพาไปเปลี่ยนคืน” โอ้ พัตเตอร์น้องรัก ขอบใจมากที่แกพูดแทรกขึ้นถูกจังหวะในตอนที่พี่กำลังมืดแปดด้านพอดี
“ก็ถ้ามันเรื่องแค่นั้นทำไมแกถึงไม่ยอมบอกฉันตั้งแรก” ยัยเจ็ดสีจิกตามองน้องชายราวกับกำลังพยายามจับผิด ดูท่าทางแล้วยัยนั่นคงจะไม่ได้เชื่อคำพูดของพัตเตอร์สักเท่าไหร่ แต่จะว่าไปแล้วถ้าผมเป็นยัยเจ็ดสีก็คงไม่เชื่อคำตอบนั้นของเจ้าเด็กนั่นเหมือนกันนั่นแหละ
“ผมก็แค่อยากจะรู้ว่าถ้าผมไม่บอกเจ๊ แล้วปล่อยให้ต่อมเผือกเจ๊กำเหริบไปเรื่อยๆ มันจะตลกขนาดไหน” พัตเตอร์ยกยิ้มกวน และยักคิ้วให้พี่สาวอย่างผู้มีชัย เออ ไอ้พี่น้องคู่นี้หาเรื่องตีกันได้แทบจะทุกวันจริงๆ แต่ผมก็ขอยอมในความแถของเจ้าเด็กนั่นเลยจริงๆ
“นี่แกหลอกด่าฉันเหรอไอ้เด็กบ้า!” เรื่องปกติของยัยเจ็ดสีเขาล่ะ เวลาเถียงสู้ผมกับพัตเตอร์ไม่ได้ทีไร มักจนลงด้วยการใช้กำลัง สงสัยยัยนั่นจะเป็นพวกเสพติดความรุนแรง
“โอ๊ย เจ๊ผมเจ็บนะ” พัตเตอร์มองหน้าพี่สาวอย่างเคืองๆ พลางเอากุมหูข้างที่เพิ่งโดนพี่สาวหัวร้อนดึงเสียเกือบหัวทิ่ม
“สมน้ำหน้า เออ ชล อีกสองอาทิตย์วันหยุดยาวฉันกับไอ้พัตเตอร์จะไปเยี่ยมคุณตาคุณยายที่อยุธยา แกไปกับพวกฉันไหมถือว่าไปพักผ่อน บ้านคุณตาฉันบรรยากาศดีนะ” เจสซี่ค้อนให้น้องชาย ก่อนจะหันมาเปลี่ยนเรื่องคุยกับผม ต้องขอบคุณพัตเตอร์ที่ทำให้พี่สาวมันปล่อยผ่านเรื่องน้องฟางไปได้
อีกสองสัปดาห์ข้างหน้ามีวันหยุดราชกาลติดกันหลายวันผมกับเจสซี่เลยตกลงกันว่าเราจะปิดร้านเพื่อให้พนักงานในร้านได้พักบ้าง
“นี่ไปด้วยกันเถอะ ฉันเห็นช่วงนี้แกเครียดๆไปผ่อนคลายบ้าง แล้วอีกอย่างมีคนบางคนเขาอยากแกไปด้วยมากเลยนะ” เจสซี่ว่าพลางเหล่มองไปทางน้องชายที่ตอนนี้กำลังทำท่าทางเหมือนไม่รู้ไม่ชี้อะไร เห็นแล้วผมก็อดขำไม่ได้
“อืม เอาสิ” ผมตอบตกลงไปอย่างไม่ต้องคิดอะไรมาก เพราะเข้าใจว่าสองพี่น้องนั้นก็คงเป็นห่วงผมที่เห็นผมซึมไปหลายวัน ยัยเจ็ดสีเคยเล่าให้ผมฟังว่าบ้านคุณตาอยู่ริมแม่น้ำอากาศดีร่มรื่นมาก ช่วงนี้สมองผมมันก็เจอเรื่องหนักๆมามากให้มันได้พักบ้างก็คงดี
เพียงแค่ผมตอบตกลงเจ้าพัตเตอร์ก็ยิ้มหน้าบานและอารมณ์ดีขึ้นกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด มันจะดีใจอะไรขนาดนั้น
“นี่ได้ยินแว่วๆว่าวันหยุดจะไปไหนกันเหรอ ผมไปด้วยคนนะชล” ทันทีที่เจสซี่ลุกไปเข้าห้องน้ำ นายนะโมปรากฏตัวมานั่งแทนที่เจสซี่ทันที นายนั่นว่าพลางหยิบขนมจากห่อในมือใส่ปากเคี้ยวตุ้ยๆ ขนมนั่นผมเพิ่งใส่บาตรไปให้นายนั่นเมื่อเช้า เพราะมารบเร้าว่าอยากกิน ไม่อยากเชื่อว่ามันจะถึงนายนั่นทั้งห่อแบบนี้จริงๆ
“ผมว่าพี่สาวผมชวนแค่พี่ชลนะ พี่ไม่เกี่ยว” พัตเตอร์ว่าพลางมองนายนะโมอย่างดูไม่ค่อยสบอารมณ์นัก ไอ้หนึ่งคนกับหนึ่งวิญญาณคู่นี้นี่เจอกันทีไรเป็นอันต้องเขม่นกันทุกที
“แต่ถ้าผมไม่ได้ไปด้วย ชลก็คงไปพักผ่อนอย่างไม่มีความสุขหรอกเนอะ” ผมละเบื่อสายเว้าวอนกับน้ำเสียงออดอ้อนแบบนั้นจริงๆ
“เอ่อ พัตเตอร์พี่อยากทิ้งนายนะโมไว้คนเดียว ให้นะโมไปด้วยนะ” ก็เพราะสายตาและน้ำเสียงแบบนั้นมันทำให้ผมใจอ่อนปฏิเสธนายนั่นไม่ได้ทุกทีไงเล่า ก็ในช่วงเกือบเดือนที่ผ่านมานายนะโมอยู่กับผมแทบจะทั้งวันทั้งคืนจนมันเกือบจะกลายเป็นความเคยชินไปแล้ว ถ้าจะบอกว่าไม่มีความห่วงนายนั่นก็คงไม่ใช่ แต่ที่แน่ๆก็คือไม่อยากทิ้งนายนั่นไว้คนเดียวจริงๆนั่นแหละ
“เออๆ ไปก็ไป” ถึงจะอิดออดแต่เด็กนั่นยอมแต่โดยดี
“ขอบใจนะ แกนี่เป็นน้องที่น่ารักที่สุด”
“เมื่อกี้พี่บอกว่าผมน่ารักเหรอ” เอ่อ ไม่รู้พูดอะไรผิดไปหรือเปล่านะ แค่ผมชมไปนิดเดียวเมื่อครู่ เจ้าเด็กนั้นหันควับมามองหน้าผมอย่างไว
“อะ อืม”
พี่ชายชมน้องชายว่ารักมันก็เป็นเรื่องปกติใช่ไหม ทำไมเจ้าเด็กนั่นต้องทำท่าทางเหมือนเขินแล้วยิ้มหน้าบานราวกับว่ามันเป็นเรื่องที่พิเศษมากอย่างไรอย่างนั้น เท่านั้นยังไม่พอเจ้าเด็กนั่นหันไปยักไหล่ให้นายนะโมเหมือนกับกำลังข่มนายนะโมเรื่องอะไรอย่างบาง แต่คิดว่าคงไม่น่าจะใช่เรื่องผมหรอกมั๊ง ส่วนทางฝั่งนายนะโมนายนั่นหันมาทำหน้ายู่ให้ผมก่อนจะหายตัวไป เฮ้อ ผมได้เพียงแต่ส่ายหัวระอา ปวดหัวจริงๆกับไอ้หนึ่งคนหนึ่งวิญญาณคู่นี้
☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎
วันนี้ผมอยู่เคลียร์งานที่ร้านจนฟ้ามืดจนได้กลับบ้านเป็นคนสุดท้าย หลังจากปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกอย่างเรียบและล็อคประตูร้านอย่างแน่นหนาเตรียมตัวจะกลับบ้าน หันมาอีกทีก็เห็นนายนะโมยืนกอดอกเหรอผมอยู่หน้าร้านแล้ว
“ป่ะ นะโมกลับบ้านกัน”
เอ้า พูดด้วยก็ไม่พูดด้วย นายนั่นยืนกอดกรอกตาไปมา ทำหน้าเหมือนไม่สนใจโลก ทำราวกับว่าไม่เห็นและไม่ได้ยินผมอย่างนั้นแหละ นี่นายนั่นโกรธอะไรผมหรือเปล่าเนี่ย
“นี่นายเป็นอะไรหรือเปล่า” นั่น ถามแล้วก็ยังนิ่ง ทำเป็นไม่สนใจอะไร
“อย่างนั้นก็ตามใจนะ ฉันกลับละ” ก็ในเมื่อถามแล้วก็ไม่พูดด้วย อย่างนั้นก็ยืนอยู่ตรงนั้นต่อไปก็แล้วกัน ผมเดินจ้ำอ้าวแยกตัวออกมาปล่อยนายทิ้งไว้ตรงนั้นนั่นแหละ
“เฮ้ย เดี๋ยวสิชล ง้อผมก่อนสิ” ผมก้าวขาออกมายังไม่ทันจะถึงสามก้าว นายนั่นก็วาปมาดักหน้าผมอย่างร้อนอกร้อนใจ ถือว่ามาไวกว่าที่ผมคิดเสียอีก ทำไมตอนนี้ดูมีอารมณ์บนสีหน้าไม่ทำหน้าเป็นนิ่งไร้อารมณ์แบบเมื่อครู่แล้วล่ะ อ่อนไปไอ้น้อง จะมาแกล้งงอนให้พี่ง้ออย่างนั้นเหรอ ไม่เคยมีใครบอกใช้ไหมว่าแอคติ้งห่วย
“จะให้ฉันง้อนายเรื่องอะไร”
“ก็เมื่อตอนกลางวันชลชมไอ้เด็กนั่นว่าน่ารักต่อหน้าผมนี่ ทีกับผมชลไม่เคยเห็นชมแบบนั้นบ้างเลย” ห๊ะ นายนั่นงอนผมเพราะเรื่องนี้เนี่ย นี่ผมลืมไปแล้วนะเนี่ย เห็นนายนั่นทำหน้าบึ้งตึงน้ำเสียงกระฟัดกระเฟียดจนผมอยากจะขำ ไอ้เด็กน้อยเอ๊ย
“ไร้สาระน่า พัตเตอร์นั่นน้องฉันนะ พี่จะชมน้องมันผิดตรงไหน”
หลังจากที่นิ่งไปเพียงครู่สั้นๆ นายนะโมฉีกยิ้มเจ้าเล่ห์และมองผมอย่างกรุ้มกริ่มดูมีเลศนัย ผมล่ะเกลียดรอยยิ้มและแววตาแบบนั้นเป็นบ้า เพราะเวลานายนั่นทำหน้าแบบนี้ทีไรมักจบด้วยการหยอดคำหวานชวนเลี่ยนและหลอกแต๊ะอั๋งผมอยู่ร่ำไป
“ชลชมไอ้เด็กนั่นเพราะคิดว่ามันเป็นแค่น้องชาย อย่างนั้นก็แสดงว่าชลคิดกับผมมากกว่าพี่น้องใช่ไหม” หืม.. เมื่อครู่นี้ผมไม่ได้เผลอไปชี้นำอะไรใช่ไหม ถึงได้ทำให้นายนั่นคิดไปเองแบบผิดๆจนทำให้ผมหน้าชาอยู่ตอนนี้
“ชลหน้าแดงอีกแล้วนะ เวลาเขินทีไรชอบทำตัวน่ารักทุกทีเลย”
“ไม่คุยด้วยแล้วโว้ย” ผมรีบชิงตัดบทด้วยการเดินหนี บ้า ใครเขิน ผมไม่ได้เขินสักหน่อย ถ้าเป็นสาวๆมาเล่นมุขแบบนี้กับผมแล้วผมจะเขินค่อยว่าไปอย่าง แต่นี่มันวิญญาณผู้ชายตัวเท่าตึกผมจะไปเขินยังไงล่ะ
“อ้าว ชลจะรีบไปไหน ผมยังไม่ได้หอมแก้มเลยนะ” โว้ย!! นายนั่นยังเล่นไม่เลิก ยิ่งได้ยินเสียงนายนั่นตามหลังมาผมยิ่งเร่งฝีเท้าจ้ำอ้าวเร็วขึ้น ใครจะไปอยู่ให้หอมง่ายๆเล่า ต้องให้ย้ำอีกกี่รอบว่าผมเป็นผู้ชาย แล้วพ่อแม่ผมก็หวงด้วย แก้มผมไม่ได้มีไว้ให้นายนั่นหอมเล่นตามอำเภอใจนะเว้ย
“หยุดเดินแบบนี้จะยอมให้ผมหอมแล้วใช่ไหม” นายนะโมกล่าวขึ้นคงเพราะเห็นผมที่เดินจ้ำอ้าวรัวๆอยู่เมื่อครู่ จู่ๆก็หยุดกึกเอาเสียดื้อๆ
ก็จะไม่ให้หยุดได้อย่างไรล่ะ ก็สิ่งที่อยู่ตรงหน้าผมตอนนี้มัน....
“นะโมดูนั่น....”
เจ้าหมาสีดำตัวขนาดมหึมา ตัวมันใหญ่มาก ใหญ่กว่ามาสตีฟตัวโตๆที่ผมเคยเห็นมาประมาณหนึ่งเท่าตัวได้ ขนปุยของมันดูกระเซอะกระเซิงราวกับเพิ่งไปฟัดสูงหมาที่ตัวพอๆกันฝูงใหญ่ๆมา ดวงตาของมันเป็นสีแดงสดเต็มดวงทั้งสองข้าง สิ่งนั้นทำให้ผมพอจะเดาออกว่าเจ้านั่นคงไม่ใช่หมาธรรมดาเป็นแน่ น้ำลายเหนียวข้นของมันไหลยืดหยดลงพื้นไม่ขาดสาย เจ้าตัวนี้ผมไม่เคยเห็นมันมาก่อนเลยนะ มันคงจะแค่ผ่านมา แต่ดูท่าทางแล้วตอนนี้มันคงจะยังไม่อยากผ่านไปง่ายๆ
เสียงหมาหอนทั่วๆไปก็ว่าหลอนเอาการอยู่แล้ว แต่กับเจ้าหมายักษ์สีดำตัวนี้ เมื่อมันหันมาเห็นผมกับนายนะโม มันแหงนหน้าขึ้นฟ้าแล้วเปล่งเสียงหอนออกมาลากเสียงยาว ในน้ำเสียงของมันตั้งแต่ต้นจนจบแฝงไปด้วยความโหยหวนและหดหู่ที่ชวนให้ขนลุกขนพอง จนผมต้องกลืนก้อนสะอึกอย่างหวาดหวั่น
หลังจากสิ้นเสียงหอนเสียงน่าสยองของมัน มันมองตรงมาทางผมกับนายนะโมด้วยดวงตาสีแดงสดที่เต็มไปด้วยความดุดัน มันแยกเขี้ยวอวดคมเขี้ยวที่ทั้งใหญ่และคมอย่างเต็มภาคภูมิ ก่อนจะเปล่งเสียงขู่คำรามที่ฟังดูน่ากลัวพอๆกับเสือโคร่งตัวโตๆ ดูท่าไม่ค่อยดีแล้วสิ
เจ้าหมาดำตัวนั้นมันพุ่งกระโจนตรงมาทางผมกับนายนะโมราวกับว่ากำลังต้องอาหารมื้อค่ำ ความไวของมันคงพอๆกับเสือชีตาห์ ผมกับนายนะโมไม่มีโอกาสที่จะวิ่งหนีด้วยซ้ำ เพราะเพียงไม่ถึงชั่วพริบตามันก็เข้าประชิดตัวพวกเราได้แล้ว แต่ไม่สิมันไม่ได้กระโจนเข้าใส่มันไม่ได้กระโจนเข้าใส่พวกเรา แต่มันพุ่งตรงไปหานายนะโมคนเดียวต่างหาก มันกระโจนเข้าใส่นายนะโมราวกับเสือตะครุบเหยื่อ
นายนะโมถูกเจ้าหมาดำตัวนั้นเล่นงานจนหงายหลังล้มลง ก่อนที่มันจะขึ้นเหยียบทับบนตัวของนายนะโมอย่างภาคภูมิใจ น้ำลายของมันหยดไหลลงเต็มหน้านายนะโมแววตาของมันที่มองนายนะโมเหมือนกับว่านี่คืออาหารอันโอชะของมัน มันคำรามขึ้นฟ้าสองครั้ง ก่อนจะแยกเขี้ยวแล้วอ้าปากกว้างจนสุดขากรรไกร ก่อนจัดส่งคมเขี้ยวพุ่งตรงไปที่ลำคอของนายนะโม
“ชลหนีไป!” นายนะโมหันมาตะโกนสั่งผม ปัดโธ่เว้ย มันใช่เวลามาทำตัวเป็นพระเอกไหมนั่น แล้วจะให้ทิ้งไปได้ยังไงล่ะ แต่จะช่วยนายนั่นยังไงนี่ต่างหากที่ประเด็นสำคัญ ผมลนลานอย่างคิดไม่ตก โธ่เว้ย ทำไมเวลาคับขันที่ไรสมองผมตันทุกทีเลยวะ อย่างนั้นเอาอย่างนี้ก็แล้วกัน หนทางเดียวที่พอจะปรากฏขึ้นมาในหัวสมองของผมตอนนี้
“สัพเพ สัตตา สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น” เหมือนจะได้ผล... คมเขี้ยวที่อยู่ห่างจากลำคอของนายนะโมไม่น่าจะถึงหนึ่งเซนติเมตรด้วยซ้ำในตอนนั้น มันหยุดชะงักได้ทันเวลา นายนะโมหันมาพยักหน้าให้ผมเชิงบอกว่าให้ทำต่อไป
“อะเวราโหนตุ จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย” เจ้าหมาดำตัวนั้นละคมเขี้ยวและถอยห่างออกจากนายนะโม
“อัพยาปัชฌาโหนตุ จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย” มันละความสนใจจากนายนะโม แต่หันเหความสนใจมองตรงมาทางผมแทน เอ่อ ไม่ดีมั๊ง ดวงตาสีแดงสดที่จ้องมองมาทำตัวเอาผมขนลุกไปทั้งตัว
“อะนีฆาโหนตุ จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีความทุกข์กายทุกข์ใจเลย” ผมยังคงกั้นใจท่องบทแผ่เมตตาต่อไป แม้ว่าตอนนี้เจ้าหมายักษ์สีดำมันกำลังย่างกายตรงเข้ามาหาผมอย่างช้าๆแล้วก็ตาม
“สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ จงมีแต่ความสุขกายสุขใจ รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้นเถิด” บทสวดจบลงพอดีกับที่เจ้าหมาดำตัวนั้นมาหยุดอยู่ตรงหน้าผม เอ่อ หวังว่ามันคงไม่ได้คิดจะจับผมกินเป็นอาหารแทนนายนะโมหรอกนะ
“อย่าทำอะไรชลนะ” นายนะโมประครองตัวลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล เขาก็คงจะเจ็บไม่น้อยจากการโดนโจมตีเมื่อครู่
แต่เจ้าหมายักษ์สีดำมันก็ไม่ได้ดูมีทีท่าว่าจะทำร้ายผม จะมีก็แค่เดินวนรอบตัวผมแล้วเอาจมูกจ่อดมกลิ่นกายผมอยู่ครู่หนึ่ง ผมพยายามคิดเข้าข้างตัวเองอยู่ว่ามันคงไม่ได้กำลังตรวจเช็คสภาพอาหารอยู่หรอกนะ เจ้าหมาดำตัวนั้นมันหยุดลงตรงหน้าผม มันเงยมองตรงมาที่ผม ดวงตาสีแดงของมันในตอนนี้ราวกับมีบางอย่างดึงดูดให้ผมมองลึกเข้าไปข้างในแววตาของมัน
เมื่อผมมองลึกเข้าไปในตาของมัน ราวกับมีบางสิ่งบางอย่างดูกลืนผมเข้าไปเพื่อให้ได้พบได้เห็นกับบางสิ่ง ภาพที่สะท้อนเข้ามาในหัวของผม เจ้าหมาดำตัวนั้นในขนาดตัวที่ดูไม่ได้ผิดแผกจากหมาทั่วๆไป ไม่ได้ตัวโตมหึมาดั่งเช่นที่ผมได้เห็นในปัจจุบัน เจ้าหมาจรจัดที่น่าสงสาร มันตกเป็นแพะในข้อหากัดเด็กน้อยวัยอนุบาล ทั้งที่มันไม่ได้ทำ คงจะเป็นคราวซวยของมัน ที่มันดันผ่านมาทางนั้นพอดีที่พ่อของเด็กออกเห็น รอยคมเขี้ยวประทับอยู่บนแขนและขาของลูกสาวตัวน้อยที่กำลังร้องไห้โฮ ส่วนหมาตัวที่ก่อเหตุจริงๆมันหนีหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ เจ้าหมาดำผู้น่าสงสารเลยตกเป็นจำเลยในคดีนั้นไปโดยปริยายแม้ว่ามันจะไม่ได้เป็นผู้ก่อ
โทสะของพ่อเด็กพิพากษาให้มันต้องรับโทษประหารชีวิต ชายคนนั้นคว้าเอาไม้ท่อนใหญ่ที่อยู่ใกล้ตัวมาฟาดลงตรงกลางหลังเจ้าหมาดำผู้น่าสงสาร ตัวของมันล้มพับลงกับพื้นซีเมนต์ดิ้นทุรนทุรายและส่งเสียงร้องโหยหวนออกมาอย่างเจ็บปวดและทรมาน ชายคนนั้นไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขาใช้ไม้ท่อนฟาดลงมาบนตัวมันนับครั้งไม่ถ้วนอย่างไม่ยั้งมือจนสาแก่ใจ เลือดของมันสาดกระเด็นเลอะเต็มตัวของเขา และกระจัดกระจายบนพื้นเป็นวงกว้างตามทิศทางที่มันพยายามจะดิ้นหนีตะเกียกตะกายเพื่อหนีตาย แต่ความตายก็ไม่ปราณีมันร่างกายที่ดิ้นทุรนทุรายค่อยๆสงบนิ่งลงไปพร้อมๆกับเสียงร้องโหยหวนและเสียงลมหายใจที่แผ่วลงอย่างช้าๆ ก่อนที่มันจะขาดใจไปช้าตายอย่างน่าเวทนาและอเนจอนาจใจ มันถูกตัดสินโทษประหารโดยที่มันไม่ได้ทำความผิด
ผมไม่อาจจะกั้นน้ำตาไว้ได้กับชะตากรรมอันน่าสังเวชของเจ้าหมาดำตัวนั้น ภาพตัดกลับมาที่เจ้าหมายักษ์สีดำน้ำใสๆก็หล่นร่วงออกมาจากดวงตาสีแดงที่ดูน่ากลัวแต่แฝงไปด้วยความโศกเศร้าเช่นกัน
“ไม่ต้องกลัวนะมนุษย์ไม่ได้ใจร้ายทุกคนหรอก แกคงหิวและทรมานมากใช่ไหม หลังจากนี้ฉันจะทำบุญให้แกเรื่อยๆนะ แกอย่าไปทำร้ายคนอื่นอีกเลยมันบาป” ผมพูดไปก็พยายามข่มอารมณ์ไม่ให้เสียงสั่นเครือ เพราะสงสารมันจับใจ
ดวงตาของมันเปลี่ยนจากสีแดงสดกลับกลายเป็นสีปกติของดวงตาสุนัขทั่วๆไป และไม่ได้แสดงอาการดุร้ายออกมาเหมือนเมื่อครู่ ก่อนที่มันจะเดินแยกจากผมไปอย่างช้าๆและกลืนหายเข้าไปกับความมืด ผมมองตามมันอย่างเวทนาและยังสะเทือนใจกับภาพเหตุการณ์อันโหดร้ายที่มันเพิ่งทำให้ผมได้เห็น แต่เชื่อไหมมีความรู้สึกหนึ่งบอกกับผมว่าผมกับมันต้องได้เจอกันอีกแน่ๆ
“เป็นแม่ทูนหัวของผม แล้วยังเป็นแม่พระของสัตว์โลกอีกนะเนี่ย อย่างนี้จะไม่ให้ผมหลงได้ยังไง เนอะ” ผมหันไปมองแรงใส่ไปตัวที่เพิ่งพูดไม่เข้าหูเมื่อครู่ที่มันโผล่ยืนอยู่ข้างตัวผมตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ นายนั่นยังยิ้มระรื่นได้อย่างดูไม่ทุกข์ร้อนอะไร รู้อย่างนี้น่าจะปล่อยให้ตกเป็นอาหารค่ำของเจ้าหมาดำนั่นเสียก็ดี หึ
☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎
♫
“ใครหนอดีดซึงให้ข้าเจ้าซึ้งซ่านทรวงเอ๋ย”♫ เสียงร้องเพลงที่ผมคุ้นเคยเป็นอย่างดี เสียงร้องเพลงที่ฟังแล้วช่างปลุกเร้าอารมณ์ ปลุกเร้าอารมณ์โมโหอะนะ
♫
“ก่อนอ้ายพี่เคยดีดซึงสอนข้า เจ้าฮัก”♫ แม่ผีสาวสไบเขียวเจ้าของต้นกล้วยปริศนาที่พ่อผมเอามาลงไว้ในสวนที่บ้าน แฟนพันธุ์แท้ตัวแม่ของคุณอรวี สัจจานนท์ร้องได้ทุกเพลงทุกอัลบั้ม และดูเธอช่างดูมีอารมณ์สุนทรีไปการร้องเพลงเสียจริง แต่ขอโทษเคยถามคนที่ต้องทนฟังบ้างไหมว่าสุนทรีกับเสียงร้องของเธอด้วยหรือไม่
♫
“ต่างฮู้ ใจกันทุกวันประจักษ์พะเยาป่าสักสลักเสียงซึงยังตรึงอุรา”♫ นอกจากจะดูมีความสุขกับการร้องเพลงที่สร้างความปวดประสาทให้กับผู้ที่ผ่านมาได้ยินแล้ว ดูยัยพี่นีจะมีความสุขมากกว่ากับเกาะแขนและซบอิงแนบชิดกับไหล่หนาๆที่ห่อหุ้มด้วยเสื้อแจ็คเก็ตสีแดงของนายนะโม
นายนั่นก็ดูยิ้มอารมณ์ดีเสียจริงนะ คงไม่ได้มีความสุขไปกับการฟังเพลงแน่นอน (ใครมีความสุขไปกับการฟังเสียงร้องของยัยพี่นีก็คงสติไม่ดีแล้วล่ะ) แต่คงจะมีความสุขไปกับการมีสาวสวยสไบเขียวมาออเซาะอย่างนี้มากกว่า ฮึ่ย เห็นแล้วหมั่นไส้ เอ่อ ผมหมายถึงหมั่นไส้ยัยพี่นีที่ชอบร้องเพลงรบกวนหรอกนะ ไม่เกี่ยวอะไรกับนายนะโมเลย ไหล่ของเขาเขาจะไปให้สาวที่ซบมันก็เรื่องของเขาสิ ผมจะมีสิทธิ์อะไรไปหมั่นไส้ แต่เห็นแล้วมันยิ่งหงุดหงิดเว้ย
“พี่นีครับเวลาที่พี่นีจะเข้าไปอยู่ในต้นกล้วยพี่นีทำยังไงเหรอ” ผมทำทีเข้าไปชวนคุยหมายจะให้ยัยพี่นีหยุดร้องเพลงสักที
“ก็ไม่เห็นยากนี่คะน้องชล ก็แค่เดินเข้าไปง่ายๆ” ขนาดคุยกับผมยังไม่หยุดออดอ้อนออเซาะนายนะโม นายนั่นก็ยืนนิ่งปล่อยให้เขาซบอยู่ได้ หมั่นไส้โว้ย! หมายถึงหมั่นไส้เรื่องร้องเพลงนะขอย้ำ ไม่เกี่ยวอะไรกับนายนะโมเลย
“ถ้าอย่างนั้นพี่นีทำให้ผมดูหน่อยผมอยากเห็น”
“จริงๆแล้วน้องชลก็ถือว่าเป็นผู้ชายคนหนึ่งนะคะ สำหรับผู้ชายหน้าตาดีพี่นีทำตามคำขอให้ได้เสมอค่ะ รอพี่นีสักครู่นะคะน้องนะโม เดี๋ยวพี่นีโชว์เข้าต้นกล้วยให้น้องชลดูแล้วพี่นีจะรีบกลับออกมาหา” ยัยพี่นีทำท่าทางอาลัยอาวรณ์นายนะโมเสียเหลือเกิน จับแก้มนายนะโมมาแนบที่แก้มตัวเอง ทำราวกับว่าต้องจากกันนานแสนนาน รีบๆเข้าต้นกล้วยไปสักทีเถอะ แล้วจะได้จากกันนานแสนนานสมใจแน่ หึหึ
ยัยพี่นีเดินผ่านทะลุเข้าไปในต้นกล้วยได้อย่างง่ายดาย อย่างกับว่าเดินเข้าประตูบ้าน เพียงชั่วพริบตาร่างของยัยพี่นีก็หายเข้าไปอยู่ในต้นกล้วยแล้ว หึหึ เสร็จไอ้ชล
“พี่นีออกไปได้หรือยังคะน้องชล”
“อีกเดี๋ยวหนึ่งนะครับพี่นี อยู่ในนั้นไปก่อน” ผมแสยะยิ้มอย่างตัวร้ายในละครไทย ก่อนจะล้วงหยิบเอาบางสิ่งในกระเป๋ากางเกง ผ้ายันต์กันภูตผีจากอาจารย์ชื่อดังที่คุณนายนกยูงเคยไปขอมา ผมจัดการติดมันลงไปบนต้นกล้วยพี่ทันที หึหึ
“ว้าย! น้องชลทำอะไรพี่นี ทำไมพี่นีออกไปไม่ได้ ปล่อยพี่นีออกไปเดี๋ยวนี้!” ยัยพี่นีคงจะรู้ตัวแล้วเลยเริ่มส่งเสียงประท้วงออกมาจากด้านในต้นกล้วย
“ถ้าปล่อยออกมาแล้วรับปากไหมล่ะว่าจะไม่ร้องเพลงแล้ว”
“ว้าย ได้ยังไงคะ พี่นีเป็นนางไม้สาวแสนสวยผู้หลงรักเสียงเพลง จะให้พี่นีหยุดร้องเพลง เป็นไม่ได้ อิมพอสซิเบิ้ล” อิมพอสซิเบิ้ลอย่างนั้นเหรอ ถ้าอย่างนั้นก็อยู่ในต้นกล้วยต่อไปก็แล้ว บาย
“นี่ชล ที่ทำแบบนี้นี่เพราะรำคาญเสียงพี่นี หรือเพราะหึงผมกันแน่ หึงโหดนะเรา” นายนะโมไม่ว่าเปล่า เขายื่นหน้าเข้ามาใกล้หน้าผม จนผมต้องเป็นฝ่ายหลบสายตานายนั่นอีกแล้ว พยายามจะจ้องกลับแล้วแต่มันทำไม่ได้จริงๆ นายนั่นมองผมเหมือนรู้ทัน แต่รู้ทันอะไร ผมไม่มีอะไรให้รู้ทันสักหน่อย ก็ผมหมั่นไส้ยัยพี่นีเพราะร้องเพลงน่ารำคาญแค่นั้นจริงๆ ไม่ได้มีเรื่องอื่นสักหน่อย
“หึงบ้าอะไร ใครหึง ฉันจะไปหึงนายทำไม นายจะให้ใครซบก็เรื่องของนายดิ” เฮ้ย แค่ไม่ได้หึงก็บอกไปตรงๆก็พอแล้วไหมวะ ผมจะลนลานจะหัวร้อนแถมเหวี่ยงนายนั่นไปด้วยทำไมวะเนี่ย
“ไม่เคยมีใครบอกชลว่าเก็บอาการไม่เก่ง เวลาเขินทีไรแก้มแดงเป็นแอปเปิ้ลทุกที เข้าใจหรือยังเวลาชลยอมให้ไอ้เด็กพัตเตอร์เข้าถึงเนื้อถึงตัวผมรู้ยังไง” ผมรีบยกมือขึ้นมาปิดแก้มทั้งสองข้างหลังจากสิ้นคำนายนะโม แก้มผมแดงอยู่เหรอ ว่าแต่มันแดงเพราะอะไร ไม่รู้เว้ย แต่คงไม่ใช่เพราะเขินตามที่นายนั่นกล่าวหาแน่นอน(มั๊งนะ)
“นี่น้องชลขา พี่นีก็เข้าใจนะว่าหวงแฟน แต่น้องชลจะมาลงกับพี่นีนางไม้แสนสวยและบอบบางอย่างนี้ไม่ได้” นั่น มาพูดไม่เข้าหูอีกคนแล้ว จับถ่วงน้ำไปทั้งต้นเลยเสียดีไหม ตอนแรกคิดว่าจะแกล้งแค่ครู่เดียว แต่ตอนนี้อยู่ในนั้นต่อไปเถอะ
“นี่นายนะโมนายนั่งเฝ้าต้นกล้วยยัยพี่นีนั่นไปเลยนะ ไม่ต้องเดินตามฉันมา”
ผมเดินไปเปิดสายยางมารดน้ำต้นไม้ในสวนฆ่าเวลาไปอย่างไม่รู้จะทำอะไรในตอนสายของวันที่ร้านปิด หันมองไปทางนายนะโมทีไรก็เห็นนายมองผมตาละห้อยอยู่ตลอด นายนั่นก็พาลซื่อนะบอกให้นั่ง นายนั่นก็นั่งขัดสมาธิตรงข้างต้นกล้วยยัยพี่นีจริงๆ
แต่จะว่าไปแล้วนี่ก็หนึ่งเดือนเต็มๆแล้วนะที่นายมาอยู่กับผม ไม่รู้ว่านายนั่นคิดถูกหรือเปล่าที่มาฝากชีวิตไว้กับผม จนป่านนี้ผมก็ยังไม่รู้เลยว่าผมจะมาพาเขากลับเข้าร่างได้ยังไง อย่าว่าแต่จะพากลับเข้าร่างเลยแค่จะไปเริ่มตามหาร่างเขาที่ไหนผมเองก็ยังคิดไม่ตก
“ไม่ต้องเครียดไปหรอกเจ้าหนู เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม คำสัญญาที่เจ้าทั้งสองเคยให้กันไว้ตั้งแต่อดีตชาติจะเป็นสิ่งที่นำพาให้เจ้านั่นกลับเข้าร่างได้เอง”
“คุณลุง คุณลุงหมายความยังไงครับ” ผมยกมือไหว้คุณลุงผู้ปกปักรักษาบ้านผมที่ตอนนี้ท่านมาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าผมพร้อมกับกล่าวบางสิ่งที่ชวนให้ผมฉงน คำสัญญา สัญญาอะไร
“ลุงบอกเจ้ามากกว่านี้ไม่ได้ มันผิดกฎของสวรรค์ เมื่อถึงเวลาเจ้าจะเข้าใจทุกอย่างเอง”
คุณลุงมาปรากฏกายเพียงเท่านั้น ชั่วครู่ท่านก็หายไปพร้อมกับแสงสีขาวนวล แต่อย่างน้อยคุณลุงท่านก็บอกว่านายนะโมจะได้กลับเข้าร่างผมก็สบายใจ แต่คำสัญญาคืออะไร... แล้วผมกับนายนะโมเคยเกี่ยวข้องกันยังไงในอดีตชาตินั่นคงเป็นปริศนาที่ผมจะต้องหาคำตอบสินะ...
“น้องชลขาปล่อยพี่นีไปเถอะ พี่นีไม่ร้องเพลงแล้วก็ได้”
เอ เสียงผู้หญิงไหนมาเอะอะโวยวายแถวนี้ แต่ช่างเถอะผมคงหูแว่วไปเอง
TBC