ตอนที่ 12 เปรต
กว่าผมจะจัดการเรื่องงานเสร็จเรียบร้อยเวลาก็ล่วงเลยไปจนเกือบสองทุ่มแล้ว แต่จนถึงตอนนี้ผมยังอดเป็นห่วงเรื่องคุณป้าร้านขายเมื่อตอนบ่ายไม่ได้เลย ลองคิดดูแล้วผมเองก็ใจร้อนเกินไปที่พุ่งเข้าไปเอาเรื่องลูกชายของคุณป้าอย่างนั้น ถ้าเด็กนั่นมันเกิดโมโหในสิ่งที่ผมทำแล้วไประบายด้วยทำร้ายคุณป้าตอนที่ผมไม่อยู่ล่ะก็ ผมคงรู้สึกผิดมากที่เป็นต้นเหตุให้คุณต้องเจ็บตัวจากน้ำมือลูกชายของอีกครั้ง แล้วถ้าเกิดว่าเด็กนั่นมันเกิดมีเป็นไปตามที่นายนะโมว่าไว้เสียก่อนที่จะได้กลับไปหาคุณ คุณป้าก็คงจะเสียใจมาก ไม่ว่าทางไหนก็ไม่ดีไปกว่ากันสำหรับคุณป้าเลยสักนิด
“ผมรู้นะว่าชลเป็นห่วงคุณป้าคนนั้น ทำใจให้สบายนะครับ อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด ผมรู้ว่ามันยากแต่ผมจะผ่านไปมันไปพร้อมกับชลเอง” แววตาแห่งความห่วงใยและรอยยิ้มที่อบอุ่นละมุนจากนายนะโมที่ส่งมาให้ผม ถึงมันจะไม่ได้ทำให้ความกังวลของผมบรรเทาลงสักเท่าไหร่ แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้ผมรู้สึกอุ่นใจว่าไม่ว่าเพราะจะต้องพบเรื่องกับที่มันน่าเศร้าขนาดไหน ก็ยังจะมีนายนั่นที่อยู่เคียงข้างผมและไม่มีวันปล่อยให้ผมต้องเคว้งคว้าง ผมอมยิ้มแทนคำขอบคุณตอบกลับนายนะโม ขอบคุณมากนะที่อยู่ข้างกัน
เฮ้ย!
ผมอุทานออกมาดังลั่น ไปพร้อม ๆ กับการเหยียบเบรกอย่างแรงเพื่อหยุดรถอย่างกะทันหัน เมื่อในระหว่างทางที่ผมขับรถมาอยู่ดี ๆ อยู่ ๆ ก็ปรากฏร่างของชายสูงวัยขวางหน้ารถผมเอาไว้อย่างกะทันหัน โชคยังดีที่รถผมไม่เกิดเสียหลักไป แต่เมื่อพินิจดูดี ๆ แล้วผมก็พอจะเดาออกว่าคุณลุงคนนั้นคงไม่ใช่มนุษย์เป็นแน่ ผมยกมือขึ้นทาบสัมผัสหัวใจยังสั่นระรัวเพราะยังไม่คลายจากอาการตกใจ ตอนที่ต้องเบรกอย่างกะทันหันเมื่อครู่หัวใจผมแทบจะตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม โชคยังที่ไม่มีรถแล่นตามหลังมา ไม่อย่างนั้นล่ะก็คงจะเกิดเป็นภาพที่ผมไม่อยากจะนึกถึงมันเลย
“ช่วยเมียลุงด้วย เมียลุงกำลังตกอยู่ในอันตราย” ทันทีที่รถของผมจอดนิ่งสนิทคุณลุงคนนั้นกระโดดขึ้นมาบนกระโปรงหน้ารถผมด้วยท่าทางที่ดูร้อนอกร้อนใจพร้อมกับตะโกนบอกเรื่องที่กำลังทุกข์ใจ ผมพยายามจะที่จะตั้งสติให้ได้เร็วที่สุดเพื่อจะสื่อสารกับคุณลุงคนนั้น เพราะดูแล้วคุณลุงคงกำลังต้องการความช่วยเหลืออย่างมากเป็นแน่
เมื่อสื่อสารกันจนได้ความจนผมทราบว่าภรรยาของคุณลุงคนนั้นก็คือคุณป้าร้านข้าวเมื่อตอนบ่าย ผมรีบวกรถกลับไปอย่างกระวนกระวายใจ เมื่อรู้ว่าตัวผมเป็นต้นเหตุที่ทำให้คุณป้าต้องตกอยู่ในอันตรายด้วยน้ำมือลูกชายตัวเองอยู่ตอนนี้ มันเป็นเพราะความใจร้อนของผมแท้ ๆ เลย
“ใจเย็น ๆ ชลขับเร็วขนาดนี้เดี๋ยวก็เกิดอุบัติเหตุหรอก”
“ฉันเย็นไม่ไหวหรอกนะโม ฉันทำให้คุณป้าเขาเดือดร้อนนะ ถ้าฉันไม่ไปมีเรื่องกับเด็กนั่นมันคงไม่โมโหจนกลับไปทำร้ายคุณป้าตอนที่ฉันไม่อยู่”
“มันไม่เกี่ยวกับชลหรอก ต่อให้เขาไม่ได้มีเรื่องกับชล เด็กคนนั้นเขาก็ทำร้ายแม่เขาอยู่ดี เพราะจิตใจของเด็กคนนั้นมันก้าวเข้าสู่ความเป็นเปรตจนแทบจะไม่เหลือจิตใต้สำนึกของความเป็นมนุษย์แล้วยังไงล่ะ”
ถึงนายนะโมจะพูดแบบนั้น แต่ก็มันไม่ได้ช่วยให้ผมรู้สึกดีขึ้นสักเท่าไหร่ อย่างไรเสียผมก็มีส่วนยั่วยุอารมณ์ของเด็กนั่นอยู่ดี ไม่รู้ว่าป่านนี้คุณป้าจะเป็นยังไงบ้าง ตอนนี้ผมใจไม่มีดีเลย ยิ่งประกอบกับที่ได้เห็นท่าทีวิตกและร้อนใจอย่างหนักจากวิญญาณคุณลุงคนนั้นเพราะเป็นห่วงภรรยาที่อยู่ต่างภพภูมิ ก็ยิ่งพาให้ผมใจเสียไปด้วย ถ้าเกิดเด็กคนนั้นได้รู้ว่าวาระสุดท้ายของตัวเองกำลังจะมาถึง เขาจะคิดได้บ้างไหมนะว่าสิ่งที่เขาทำผิดบาปอย่างมหันต์แค่ไหน
☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎
ตั้งแต่วินาทีแรกที่รถของผมเลี้ยวเข้าไปในซอยบ้านคุณป้าตามเส้นทางที่วิญญาณคุณลุงได้บอกไว้ ผมก็ต้องพบกับเสียงกรีดร้องอย่างโหยหวยอันน่าสะพรึงกลัว มันดูเป็นเสียงกรีดร้องจากความเจ็บปวดและทรมานของอสูรกาย มันฟังดูทั้งน่ากลัวและน่าหดหู่ไปพร้อม ๆ กัน ถ้าไม่ติดว่ายังต้องควบคุมรถผมแทบอยากจะละมือจากพวกมาลัยมาอุดหูให้รู้แล้วรู้รอด ผมไม่อยากได้ยินเสียงนั่นเลยมันช่างเป็นเสียงที่ทรมานโสตประสาทการรับเสียงเสียเหลือเกิน
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นนะโม”
“ไม่ต้องกลัวชลพวกเขาก็แค่มารอรับเพื่อนใหม่ มันจวนนะถึงเวลาแล้ว” นายนะโมตอบกลับด้วยท่าทีที่ดูนิ่งสงบ คำว่าถึงเวลาของนายนะโมผมเข้าใจดีว่านายนั่นหมายถึงอะไร เพราะอย่างนั้นผมถึงต้องรีบเหยียบคันเร่งตรงไปให้ถึงบ้านของคุณป้าให้เร็วที่สุด
เสียงเอะอะโวยวายและเสียงร้องไห้อย่างน่าเวทนาของหญิงสูงวัยดังออกมาถึงนอกตัวบ้าน ผมรีบบุกเข้าไปอย่างฉายเดียวเพราะนายนะโมไม่สามารถผ่านผู้ดูแลบ้านเข้ามาได้ ภาพที่ผมเห็นมันคงเป็นสิ่งคงจะไม่มีใครบนโลกนี้รับได้ รวมถึงตัวผมเองก็เช่นกัน เด็กระยำคนนั้นกำลังกระชากคอเสื้อและใช้กำปั้นของตัวเองกระแทกใส่ใบหน้าผู้เป็นมารดาอย่างไม่ยั้งมือซ้ำแล้วซ้ำอีก แม้คุณป้าคนนั้นจะทั้งยกมือไหวและและส่งเสียงอ้อนวอนร้องขอความเมตตาแต่มันก็ไม่ได้สะกิดใจผู้เป็นลูกชายแท้ ๆ เลยแม้แต่น้อย เด็กนั่นมันสัตว์นรกกลับชาติมาเกิดชัด ๆ สิ่งที่ผมคว้าได้ในตอนนั้นคือขวดแก้วเปล่าที่วางอยู่ใกล้ ๆ ถ้าวันนี้ผมไม่ได้เอาเลือดชั่วออกจากหัวเด็กระยำนั่นออกก็อย่าเรียกผมว่าคนอีกเลย
“มึง!” ผมกระชากตัวไปเด็กนั่นออกจากคุณป้าคนนั้น ก่อนจะใช้ขวดแก้วในมือฟาดลงบนหัวมันอย่างไม่ต้องยั้งคิดทันที
“โอ๊ย!” เด็กนั่นร้องลั่นทันทีที่ถูกกระทำ ผมรีบผลักตัวมันออกไปโดยไม่ได้ใส่ใจกับเลือดที่ไหลเอ่อจากหัวของเด็กนั่นเพราะรอยแผลที่ผมเพิ่งกระทำลงไป ผมรีบเข้าไปประครองร่างของคุณป้าที่ล้มกองอยู่กับพื้น ใบหน้าของคุณป้าที่อาบไปด้วยเลือดใครเห็นก็คงจะอดสงสารไม่ได้ น้ำตาที่ไหลรินของผู้เป็นแม่ที่ผสมไปกับน้ำเลือดที่เอ่อล้นจากรอยแผลทั่วไปหน้ามันช่างเป็นภาพที่น่าสะเทือนใจยิ่งนัก และที่น่าหดหู่ไปกว่านั้นก็คือรอยแผลทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจากน้ำมือของผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นลูกในไส้ของคุณป้าเอง ถ้าชะตากรรมของเด็กเป็นอย่างที่นายนะโมว่าไว้จริง ๆ ......
มันก็สมควรตายแล้ว......
“นี่มึงอีกแล้วเหรอ” เด็กนั่นตวาดชี้หน้าผม แววตาที่มันมองมาที่ผมดูเต็มไปด้วยความอาฆาต ผมยกแขนขึ้นกันคุณป้าไว้ และมืออีกข้างยกขวดปากฉลามที่ได้มาจากการเอาเลือดชั่วออกจากหัวเด็กนรกนั่นขึ้นมาเป็นการ์ดรอรับมือกับมัน
“เออกูเอง กูบอกมึงแล้วไงถ้ากูรู้ว่ามึงทำร้ายแม่มึงอีก กูจะกลับมาจัดการมึง” ผมตอบกลับอย่างไร้ซึ่งความเกรงกลัว ก็มันมีอะไรที่ผมต้องกลัวด้วยเหรอ เมื่อตอนกลางวันผมก็คว่ำมันมาแล้ว และแผลใหญ่บนหัวมันก็ฝีมือผมอีกเช่นกัน เจ้าเด็กนั่นตั้งท่าจะพุ่งเข้าใส่ผมหลายครั้งแต่ก็ยังดูเกรงอาวุธในมือผม ทุกครั้งที่ตั้งท่าจะพุ่งเข้ามามันก็เป็นอันชะงักและถอยกลับไป
ผมถึงกับต้องกลืนก้อนสะอึกเมื่อสองตาเหลือบไปเห็นบานกระจกที่อยู่ด้านหลังของเจ้าเด็กเลวที่กำลังยืนประจันหน้ากับผม เมื่อภาพที่สะท้อนในกระจกนั้นผมไม่สามารถมองเงาสะท้อนตรงส่วนหัวของเด็กนั่นได้เลย มันใกล้จะถึงเวลาแล้วจริง ๆ สินะ
“เฮ้ย!” เพียงเสี้ยววินาทีที่ผมเผลอ เจ้าเด็กนั่นพุ่งเข้ามายื้อแย่งขวดปากฉลามในมือผม ผมกับมันยื้อแย่งขวดแก้วนั่นกันอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนที่ความรู้สึกเจ็บแปลบจะมาเยือนที่หน้าท้องผมพร้อมกับรอยยิ้มเย้ยหยันที่แสยะขึ้นบนใบหน้าของเจ้าเด็กนั่น เมื่อเบนสายตาลงมองด้านล่างผมถึงได้ผมกับต้นเหตุของความเจ็บนั้น ปลายแหลมของขวดแก้วปักที่อยู่หน้าท้องของผม
เด็กนั่นกระชากขวดแก้วปลายแหลมนั่นออกไปพร้อมกับร่างกายของผมที่ล้มลง ผมถูกมันเตะเสยคางจนฟุบกับพื้น ผมพยายามที่จะดันตัวเองลุกขึ้นแต่ถูกมันตามมาเตะเข้าที่กลางลำตัวซ้ำเข้าตรงแผลที่ถูกแทง ผมนอนตัวงอเอามือกุมท้องเพราะทั้งจุกและเจ็บแผลอย่างหนัก ท่ามกลางเสียงหัวเราะอย่างสาแก่ใจของเจ้าเด็กระยำคนนั้น
“พอเถอะลูก อย่าทำเขาเลยแม่ขอร้องนะ” คุณป้าพยายามที่เข้าไปรั้งลูกชายที่กำลังจะเข้ามาประทุษร้ายร่างกายผมซ้ำอีก
“ไม่ต้องมาเสือก” คำร้องขอจากผู้เป็นแม่ไร้ซึ่งความหมายสำหรับลูกทรพี เด็กนั่นผลักคุณป้าอย่างแรงจนคุณป้ากระเด็นไปอีกทาง ก่อนที่คุณป้าจะล้มฟุบและหมดสติไป
“มึงรนหาที่เองนะ” เด็กนั่นว่าพลางเหยียบลงไปบนรอยแผลที่กำลังโชกไปด้วยเลือดบนหน้าท้องผม เท้าของเด็กนั่นขยี้อย่างแรงบนแผลของผม ผมได้แต่ส่งเสียงร้องและดิ้นทุรนทุรายอย่างทรมาน
มือที่ถือขวดฉลามเงื้อขึ้นเป็นวงกว้าง ก่อนที่เจ้าเด็กนั่นจะส่งด้านที่เป็นปลายแหลงพุ่งตรงมาที่ผม ผมได้เพียงหลับตารอรับชะตากรรมอย่างหมดหนทางสู้ ผมมาที่นี่เพราะตั้งใจจะมาช่วยคุณป้าที่กำลังเดือดร้อนแท้ ๆ แต่ทำไมผมกลับต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ ถ้าผมต้องตายไปพ่อกับแม่ผมจะเป็นยังไง พ่อครับ แม่ครับ ผมรักพ่อกับแม่มากนะขอบคุณที่ดูแลผมมาอย่างดีตลอด...
เวลาล่วงเลยไปเกือบนาทีแต่ผมกลับยังไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดจากการที่ความแหลมคมจากขวดแก้วนั้นที่พุ่งเข้ามาทำร้ายร่างกายแต่อย่างใด มันเกิดอะไรขึ้นผมไม่เชื่อหรอกนะว่าคนอย่างเจ้าเด็กระยำคนนั้นจะคิดได้ด้วยตัวเอง และเปลี่ยนใจไม่ทำร้ายผม ผมค่อย ๆ ลืมตาขึ้น ก่อนจะพบกับภาพเจ้าเด็กนั่นที่กำลังพยายามที่จะใช้อาวุธในมือจ้วงแทงผม แต่ราวกับมีพลังงานบางอย่างที่ฉุดรั้งเอาไว้ทำให้มันไม่สามารถบังคับร่างกายของตัวเองได้
ร่างกายของเด็กนั่นค่อย ๆ ลอยขึ้นเหนือจากพื้นก่อนจะลอยพุ่งไปกระแทกกับกำแพงอย่างแรงราวกับถูกจับเหวี่ยง ไฟทั้งบ้านดับมืดสนิท ก่อนจะตามมาด้วยเสียงกระจกทุกบานและอุปกรณ์ทุกอย่างภายในบ้านที่จากแก้วแตกพร้อม ๆ กัน เจ้าเด็กนั่นตัวยังติดอยู่กับกำแพงราวกับถูกใครบางคนกดเอาไว้ เจ้าเด็กนั่นจับที่คอตัวเองและดิ้นทุรนทุรายสภาพราวกับคนกำลังขาดอากาศหายใจ
“พอเถอะนะโม” คงจะมีแค่ผมคนเดียวที่มองเห็นผู้ที่กระทำสิ่งนั้นได้ แววตาของนายนะโมดูดุดันจนน่ากลัวอย่างที่ผมไม่เคยมาก่อน มือหนาของนายนั่นบีบคอเจ้าเด็กระยำอย่างเอาเป็นเอาตาย เสียงร้องห้ามจากผมทำให้นายนั่นชะงัก ผมพยายามใช้กำลังที่ยังพอมีดันตัวเองลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล แววตาของนายนะโมที่มองมาทางผมแปรเปลี่ยนจากแววตาที่ดุดันเป็นแววตาที่อ่อนโยนและแฝงไปด้วยความห่วงใย ก่อนที่ร่างของเขาจะค่อย ๆ จางหายไป
ดวงไฟทั้งบ้านกลับมาให้ความสว่างไสวเป็นปกติ เจ้าเด็กนั่นล้มลงก่อนจะรีบลุกขึ้นมาเหลียวมองไปมองรอบตัวอย่างหวาดระแวง
“มากราบเท้าขอโทษนายเดี๋ยวนี้” ผมพูดรั้งเจ้าเด็กนั่นที่กำลังอยู่ในอาการหวาดผวาอย่างรุนและกำลังตั้งท่าจะวิ่งหนีออกไป พลางเหลียวมองไปที่ร่างของคุณป้าที่กำลังนอนสลบไสลเพราะร่างกายบอบช้ำอย่างหนัก
ที่ผมพูดไปแบบนั้นเพราะผมรู้ว่าการออกจากบ้านครั้งนี้ของเด็กนั่น เขาจะไม่มีโอกาสได้กลับมา สิ่งที่ผมพูดไปผมคิดว่ามันเป็นสิ่งที่เขาควรจะทำเป็นครั้งสุดท้ายในขณะที่ยังมีลมหายใจ ผมเปลี่ยนแปลงดวงชะตาของใครไม่ได้ แต่อย่างน้อยการที่ให้เด็กนั่นได้กราบขอขมาผู้เป็นแม่ มันอาจจะช่วยผ่อนปรนโทษทัณฑ์ที่เขาจะต้องได้รับในชีวิตหลังความตายได้บ้าง ไม่มากก็น้อย เพราะเวรกรรมที่เขาได้กระทำมันหนักหนาเหลือเกิน
เด็กนั่นที่กำลังสติแตกขวัญกระเจิงแทบจะไม่ได้ใส่ใจฟังสิ่งที่ผมพูดเลยด้วยซ้ำ ภาพเด็กนั่นที่วิ่งเตลิดออกจากไปทำให้ผมอดใจหายไม่ได้ อย่างไรเสียสัตว์โลกก็ต้องเป็นไปตามกรรม
ภาพการรับรู้ของผมค่อย ๆ มืดลงจนถูกตัดขาดหายไปในที่สุด....
☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎
เมื่อรู้สึกขึ้นมาอีกครั้งพบว่าตัวเองอยู่ในชุดคนไข้และนอนอยู่ในเตียงของโรงพยาบาลสักแห่ง พ่อ คุณนายนกยูง เจสซี่ และพัตเตอร์ อยู่ล้อมรอบเตียงคนป่วยที่ผมนอนอยู่ ทุกคนดูดีใจไม่น้อยที่ได้เห็นผมลืมตาขึ้นมา บรรยากาศดูน่าจะอบอุ่นเป็นอย่างดี แต่ทำไมผมกลับรู้สึกหวิว ๆ ก็ไม่รู้ หรืออาจเป็นเพราะผมไม่ได้พบหน้าคนที่ผมมักจะได้พบหน้าเป็นคนแรกอยู่เสมอยามที่ลืมตาตื่นขึ้นมา แต่ทำไมในเวลานี้ถึงไม่มีเขาอยู่ตรงนี้ นะโมนายอยู่ไหน...
เมื่อได้ทราบข่าวว่าคุณป้าคนนั้นปลอดภัยดี ผมก็พอเบาใจไปได้ส่วนหนึ่ง ผมถูกคุณนายนกยูงดุเอาเป็นการใหญ่เรื่องที่เอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงอันตราย แต่ยังมีคำชื่นชมจากพ่อที่ว่าผมกล้าเข้าไปให้ความช่วยเหลือคนที่กำลังเดือดร้อน ทุกอย่างดูจะผ่านพ้นไปได้ด้วยดี แต่ก็ยังมีอีกเรื่องที่ผมยังอดห่วงและเป็นกังวลไม่ได้ ป่านนี้นายนะโมจะเป็นยังไงบ้างนะ ขนาดเมื่อคราวก่อนที่นายนั่นใช้พลังเพื่อเอาปากมาสัมผัสกับปากผมเขายังสูญเสียพลังไปมากจนแทบจะต้องนอนหยอดน้ำข้าวต้ม แต่สิ่งที่นายนั่นทำไปเมื่อคืนมันคงจะต้องใช้พลังมากกว่านั้นหลายเท่าตัวนัก และในตอนนี้ผมไม่สามารถสัมผัสถึงเขาได้เลย ไม่แม้แต่จะได้ยินเสียง นายนั่นจะรู้บ้างไหมว่าผมเป็นห่วงเขามากแค่ไหน
☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎
เสียงกรีดร้องอันโหยหวนปลุกผมให้ตื่นขึ้นมาในยามวิกาล เสียงนั้นมันชวนให้แสบแก้วหูเกินกว่าที่ผมจะทนนอนต่อไปได้ แต่เมื่อหันมองไปทางคุณนายนกยูงที่มานอนเฝ้าไข้ผม เธอกลับยังนอนได้อย่างเป็นปกติดี คงจะมีแค่ผมสินะที่ต้องเผชิญกับเสียงที่หลอกหลอนนั่น ความน่ากลัวเสียงนั่นมันช่างคล้ายคลึงกับเสียงที่ผมได้ยินตอนที่กำลังไปหาคุณป้า ผมลุกขึ้นอย่างทรมานเพื่อตามหาที่มาของเสียงนั้น เพียงแค่ขยับตัวนิดเดียวความรู้สึกเจ็บจี๊ดที่แผลตรงหน้าท้องก็มาเยือนอย่างรุนแรงแต่ผมก็ยังฝืนเดินไปที่ระเบียง เพื่อมองหาที่มาของเสียงที่ทรมานโสตประสาทนั้น
ทันทีที่เปิดม่านออก ภาพที่เห็นทำเอาผมแทบช็อก นั่นมันเด็กคนนั้นลูกชายของคุณป้านี่ ศีรษะของเด็กนั่นอยู่ตรงหน้าระเบียงห้องผมดี และตรงปากของเขาเล็กมากเสียจนแทบจะมองไม่เห็น แววตาที่เขามองราวกับอยากจะสื่อสารอะไรบางอย่างแต่เพราะปากที่เล็กมากเกินกว่าจะสื่อออกมาเป็นคำพูดได้ มีแต่เพียงเสียงกรีดร้องอันโหยหวนดังออกมา แต่ห้องที่ผมพักก็อยู่ชั้นที่สูงพอตัว แต่ส่วนหัวของเด็กมาโผล่ถึงชั้นนี้ได้ อย่างนั้นก็แสดงความว่า...
เมื่อผมลองมองลงไปด้านล่างจึงได้พบว่าลำตัวของนั่นยาวสูงพอกับตึกแปดชั้น มือทั้งสองข้างแผ่บานใหญ่อย่างกับใบตาล ผมถึงกับผงะ สิ่งที่อยู่ตรงหน้าผมตอนนี้คือสิ่งที่ใครต่อใครเรียกกันว่าเปรต สิ่งที่ถูกเล่าขาลกันมาแต่โบราณว่าเป็นเวรกรรมที่ลูกทรพีทุบตีบิดามารดาจะต้องได้รับและต้องทนทุกข์ทรมาน เด็กนั่นกลายเป็นเปรตไปแล้วจริง ๆ หรือนี่ ผมพยายามที่จะตั้งสติ และทำในสิ่งที่คิดว่าดีที่สุดที่พอจะทำได้ในตอนนั้นก็คือการสวดอุทิศส่วนกุศลให้กับดวงวิญญาณอสูรกายตรงหน้า ไม่นานนักเสียงกรีดร้องที่ทรมานโสตประสาทนั้นก็สงบลงไปพร้อม ๆ ร่างของเปรตตนนั้นที่หายไปในความมืด
☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎
พาดหัวข่าวบนหนังสือพิมพ์ของวันนี้ กลุ่มเด็กวัยรุ่นเสพยาจนคลุ้มคลั่งและเกิดเหตุฆ่ากันตาย ภาพของผู้เสียชีวิตหนึ่งในนั้นก็คือลูกชายของคุณป้าคนนั้น นั่นก็เป็นสิ่งช่วยยืนยันถึงที่มาในสิ่งที่ผมได้พบเจอเมื่อคืน และยิ่งตอกย้ำสัจธรรมที่ว่าไม่มีใครหนีกฎแห่งกรรมพ้น เมื่อทำอะไรไว้สิ่งนั้นมันก็จะย้อนกลับมาสนองไม่ช้าก็เร็ว เพราะฉะนั้นเมื่อยังมีโอกาสก็จงสร้างแต่กรรมดีกันไว้เถอะ
“พัตเตอร์ วันนี้แกมีเรียนไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ทั้งวัน” ผมเอ็ดให้เจ้าเด็กพัตเตอร์ที่วันนี้ใส่ชุดนักศึกษามาแต่ไม่ยอมไปเรียน กลับมาอยู่เฝ้าผมตั้งแต่เช้าจนบ่ายคล้อย
“ไม่เป็นไรหรอกน่า ผมฝากเพื่อนจดเลคเชอร์แล้ว พี่เจ็บอยู่นี้ให้ผมไปเรียนผมก็เรียนไม่รู้เรื่องหรอก”
“พี่ชลกินผลไม้นะ เดี๋ยวผมไปจัดใส่จานให้” เจ้าพัตเตอร์รีบชิงตัดบท คงรู้ตัวว่าจะโดนผมว่าให้อีกเป็นแน่ พัตเตอร์คว้ากระเช้าผลไม้ที่ลูกค้าที่ร้านเพิ่งแวะเอามาเยี่ยมผมเมื่อสักพักใหญ่แล้วเจ้าเด็กนั่นก็รีบเดินแยกตัวออกไป
“นี่ตาชล ลูกกับพัตเตอร์นี่ยังไงกันแน่ เป็นแฟนกันเหรอ” คำถามที่คุณนายนกยูงกระซิบที่ข้างหูผมตั้งแต่ที่เจ้าเด็กพัตเตอร์ยังไม่ทันจะคล้อยหลังไป ทำเอาผมแทบจะสำลักน้ำลายตัวเอง ไม่รู้ว่าคุณนายนกยูงเธอคิดอะไรถึงได้ถามคำถามนั้นออกมา
“แม่เอาอะไรมาพูด ผมกับเจ้าเป็นพี่น้องกันเฉย ๆ ไม่ได้มีอะไรกันสักหน่อย” ผมรีบแก้ต่างให้ตัวเองอย่างทันควัน
“ก็แม่เห็นพัตเตอร์เขามาเฝ้าลูกเช้าถึงเย็นถึง ตอนที่ลูกยังไม่ได้สติเขานั่งเฝ้าทั้งคืนไม่ยอมหลับยอมนอน แม่ว่าดูยังไงก็ไม่น่าเป็นแค่เพื่อนหรือพี่น้องกันนะ ถ้าจะคบหากันจริง ๆ แม่กับพ่อก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอกนะ แม่กับพ่อหัวสมัยใหม่อยู่แล้วลูกจะรักจะชอบใครพ่อแม่ก็ไม่ว่าอะไรหรอก แถมเด็กนั่นก็หล่ออย่างกับพระเอกละครหลังข่าว แม่ชอบ” คุณนายนกยูงกอดอกแสดงวิสัยทัศน์ที่ผมอยากจะกุมขมับ เธอบอกว่าเธอเป็นคนหัวสมัยใหม่มันช่างขัดแย้งกับความชอบส่วนตัวของเธอที่นำพามาซึ่งการมองเห็นในสิ่งที่คนทั่วไปเขาไม่เห็นกันของผมเสียจริง ๆ
หันมองไปอีกด้านเจ้าเด็กพัตเตอร์ยืนอมยิ้มพลางจัดผลไม้ใส่จาน รู้นะว่าได้ยินที่คุณนายนกยูงพูด ยังทำเฉยอยู่ได้แทนที่จะมาช่วยกันแก้ต่าง
☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎
หลังจากที่ผมออกจากโรงพยาบาล ผมได้มีโอกาสแวะเวียนไปเยี่ยมและให้กำลังใจคุณป้าอยู่บ้างเป็นครั้งคราว หัวใจของคนเป็นแม่ แม้ว่าลูกจะทำตัวไม่ดีด้วยสักเพียงใด แต่สำหรับคนเป็นแม่แล้วลูกก็ยังเป็นยอดรักยอดดวงใจอยู่วันยันค่ำ เมื่อลูกชายอันเป็นที่รักมาด่วนจากไปอย่างกะทันหันหัวใจก็แทบสลาย ผมยังจำภาพตอนที่ผมไปร่วมงานเผาศพของลูกชายคุณได้อยู่เลย คุณป้าร้องไห้ปานใจจะขาดและพร่ำเอ่ยแต่คำกล่าวโทษว่าเป็นความผิดของตัวเองที่เลี้ยงลูกได้ไม่ดี จนเป็นเหตุให้ลูกชายอันเป็นที่รักต้องมาพบจุดจบที่น่าสลดใจเช่นนี้ ผมได้แต่เพียงให้กำลังใจและบอกให้คุณป้าหมั่นทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ดวงวิญญาณลูกชายผู้ล่วงลับ ผมก็ได้แต่หวังว่าคุณป้าและกลับมาเข้มแข็งและยืนหยัดได้โดยเร็ว วิญญาณของคุณลุงยังคงเฝ้ามองคุณป้าด้วยความห่วงใยที่เปี่ยมล้น
ผมไม่รู้ว่าดวงวิญญาณของลูกชายคุณป้าอยู่ที่ไหนในเวลานี้เพราะหลังจากที่โรงพยาบาลในวันนั้นผมก็ไม่ได้พบเห็นดวงวิญญาณของเด็กนั่นอีกเลย เช่นเดียวกับที่เป็นเวลาล่วงเลยมากว่าสองสัปดาห์แล้วที่ผมไม่ได้พบเจอ ไม่ได้สัมผัสและไม่สามารถรับรู้ถึงสิ่งใดที่เกี่ยวข้องนายนะโมได้เลย ผมไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหนและเขาจะเป็นอย่างไรบ้าง และไม่รู้เลยว่าเขาจะรู้บ้างไหมว่าผมคิดถึงและเป็นห่วงเขามากแค่ไหน
☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎ ☎
เป๊าะ
เสียงดีดนิ้วของดร.กุสุมา เรียกให้ผมกลับออกมาจากภวังค์ ครั้งนี้ผมก็ยังไม่สามารถมองเห็นอะไรได้จากการสะกดจิตเพื่อระลึกชาติอีกเช่นเดิม ถึงตอนนี้จะเข้าสู่สัปดาห์ที่สามแล้วที่ผมไม่สามารถติดต่อกับนายนะโมได้เลย แต่ผมก็ยังไม่หยุดที่จะค้นหาปริศนาที่ช่วยนำพาให้นายนั่นกลับเข้าร่างให้ได้
“ผมมองไม่เห็นอะไรเลยครับพี่โรส” ผมเรียกชื่อเล่นเธอหลังจากที่มีการพูดคุยกันจนเกิดความสนิทสนม
“อย่าเพิ่งท้อนะจ้ะ เพิ่งครั้งที่สองเอง คนที่ประสบความสำเร็จในการระลึกชาติด้วยด้วยการสะกดจิตของพี่แต่ละคนใช้เวลากันเป็นสิบ ๆ ครั้ง การที่จิตของคนเราจะแข็งแรงพอที่จะมองย้อนไปเห็นได้ถึงอดีตชาติมันไม่ใช่เรื่องง่ายนะจ๊ะ ของแบบนี้มันต้องใช้เวลา”
“เดี๋ยวชลนั่งพักในห้องพี่ให้หายเหนื่อยก่อนก็แล้วกันนะ ได้ยินว่าคราวที่แล้วถึงขั้นหมดสติไปเลยนี่ เดี๋ยวให้คนเอาน้ำกับขนมเข้ามาให้” พี่โรสกล่าวก่อนจะลุกออกไป
การสะกดจิตเพื่อละลึกชาตินี้ผมรู้สึกว่ามันทำให้ผมสูญเสียไปพลังงานในร่างกายไปมาก ยิ่งคราวนี้ผมยิ่งรู้สึกเหนื่อยยิ่งกว่าคราวที่แล้วเสียอีก ผมหยิบเจ้าโทรศัพท์มือถือคู่ใจขึ้นเพื่ออัพเดทข่าวสารด้วยการท่องไปในโลกโซเชียลเน็ตเวิร์คในระหว่างที่นั่งพักอยู่ในห้องทำงานของพี่โรส
“อยากเลี้ยงข้าวเราถึงขนาดตามหาFacebookเราเลยเหรอ ขอโทษนะ พอดีเราไม่ค่อยได้เล่น ไม่เห็นว่าชลแอดมา” ข้อความนั้นค้างอยู่ในกล่องข้อความในเฟซบุ๊กของผม ข้อความนั้นถูกส่งมาในระหว่างที่โทรศัพท์ของผมถูกปิดเครื่องขณะที่ผมอยู่ในระหว่างการสะกดจิต และข้อความนั้นถูกส่งมาจากแอคเคาท์ของ.... ไตรจักร!
ผมตาลุกวาวอย่างมีความหวังเมื่อได้พบว่ามีการตอบรับเป็นเพื่อนในเฟซบุ๊กจากบุคคลที่ผมรอคอยมากว่าหลายสัปดาห์ ผมไม่รอช้ารีบกดเข้าไปดูที่หน้าเฟซบุ๊กของไตรจักรทันที ดูแล้วไตรจักรก็คงจะไม่ค่อยได้เล่นโซเชียลจริง ๆ อย่างที่เจ้าตัวว่า เพราะข้อความที่ถูกโพสครั้งล่าสุดก็ตั้งแต่เมื่อเดือนที่แล้ว ผมเลือกที่จะเข้าไปดูในอัลบั้มภาพของไตรจักรเพราะผมคิดว่าถ้าสองคนนั้นรู้จักกันจริง ๆ ก็คงจะต้องมีภาพบางอย่างที่เชื่อมโยงถึงกันได้บ้างแหละน่า แต่ให้ตายเถอะผมเลื่อนหาจนตาลายแล้วก็ยังไม่พบภาพต้องสงสัยที่ต้องการเลย ไตรจักรแทบจะไม่โพสภาพบุคคลเลยจะมีก็แต่ภาพสถานที่ท่องเที่ยวและภาพวิวทิวทัศน์ต่าง ๆ
เฮ้ย! เจอแล้ว! ในที่สุดผมก็เจอภาพ ๆ หนึ่งที่น่าจะเป็นประโยชน์อย่างมากเข้าจนได้แล้ว ภาพนั้นถูกอัพโหลดไว้ตั้งแต่เมื่อห้าปีที่แล้ว เป็นภาพในวันรับปริญญาของไตรจักร ในภาพนั้นมีคนอยู่สามคนพร้อมเขียนแคปชั่นว่า My Family สามคนในภาพนั้นมีไตรจักรที่สวมชุดครุยยืนอยู่ตรงกลาง และด้านซ้ายมือเป็นชายสูงวัยท่าทางภูมิฐาน และทางขวามือก็คือ.... นายนะโม!!! ใช่จริง ๆ ด้วยนั่นรูปนายนะโมไม่ผิดแน่ ๆ พวกเขารู้จักกันจริง ๆ ผมยิ้มร่าออกมาได้อย่างมีความหวังเมื่อเริ่มเห็นเค้าโครงของแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์
นะโมฉันเข้าใกล้การตามหาร่างของนายไปอีกก้าวหนึ่งแล้วนะ แล้วนายล่ะ นายอยู่ที่ไหน รีบกลับมาสักทีสิ ฉันคิดถึงนายมากนะ
TBC